[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
09 พฤศจิกายน 2568 18:54:27 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: “เป็นครั้งเดียวในชีวิตที่ข้าพเจ้า ได้เห็นพ่อทรงพระกันแสง”  (อ่าน 74 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออนไลน์ ออนไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 6224


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 109.0.0.0 Chrome 109.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 13 ตุลาคม 2568 14:46:14 »




“เป็นครั้งเดียวในชีวิตที่ข้าพเจ้า ได้เห็นพ่อทรงพระกันแสง”
-------------------------


พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ พระราชนัดดา (หลานย่า) พระองค์แรกในสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินาถฯ ทรงบันทึกไว้ว่า

“…ข้าพเจ้าคงไปนอนค้างที่พญาไททุก ๆ คืนวันเสาร์เวลาโรงเรียนเปิด เมื่อข้าพเจ้าไปถึงตอนค่ำวันเสาร์ที่ ๑๘ ตุลาคม มีผู้บอกว่าย่าไม่สู้จะทรงสบาย ขออย่าให้พวกเราเด็ก ๆ ทำเสียงเอ็ด

ครั้นข้าพเจ้าเข้าไปนอนเบื้องหลังพระแท่น ท่านก็บรรทมหลับอยู่ เมื่อข้าพเจ้าออกมาจากห้องบรรทม ในเวลาเช้าวันอาทิตย์ก็ยังบรรทมหลับ จึงมิได้ทูลลา พอข้าพเจ้ากลับถึงบ้าน พ่อถามว่าสมเด็จย่าทรงเป็นอย่างไร ข้าพเจ้าก็ทูลว่าไม่สู้จะทรงสบาย ทั้งพ่อและข้าพเจ้าก็ไม่ตกใจเป็นพิเศษอย่างใด เพราะย่าท่านไม่ทรงสบายอยู่บ่อย ๆ อย่างที่เราเรียกกันว่า สามวันดีสี่วันไข้

ฉะนั้นเมื่อวันรุ่งขึ้นวันจันทร์ที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๔๖๒ ข้าพเจ้าตื่นแต่เช้าเพื่อไปโรงเรียนตามธรรมดา เวลาที่ข้าพเจ้ากำลังกินอาหารกลางวันอยู่ที่โรงเรียน โดยนั่งที่โต๊ะพิเศษของวังพญาไทตามธรรมดา มหาดเล็กของพ่อคือปลัดกรมพ่วง ขุนมาตย์หริภุญไชย (พ่วง จุลเสวก) ได้เดินเข้ามาหาข้าพเจ้าสีหน้าดูบึ้งตึง เครียดผิดธรรมดา

มาบอกกับข้าพเจ้าว่าทูลกระหม่อมรับสั่งให้เชิญฝ่าบาทเสด็จกลับวัง เดี๋ยวนี้ แล้วก็ไม่แถลงเหตุผลอย่างไร แต่แรกข้าพเจ้าก็ตกใจ นึกว่าตนไปทำความผิดอย่างร้ายกาจอย่างใดเข้าแล้ว พ่อคงจะกริ้วมาก ถึงกับจะต้องทรงเอ็ดทันที จะรอจนตอนค่ำก็ไม่ได้

ครั้นถึงวังปารุสก์พอลงจากรถยนต์ก็แลเห็นมหาดเล็กยืนหน้ายิ่งกันอยู่เป็นอันมาก และทุกๆ คน มีผ้าพันแขนดำไว้ทุกข์ ไม่ต้องมีใครบอกข้าพเจ้าอย่างใด ก็เดาได้ทันทีว่าข้าพเจ้าสิ้นย่าของข้าพเจ้าเสียแล้ว

ของอันไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ ก็ได้เกิดขึ้นแล้ว ข้าพเจ้าขึ้นไปยังห้องของข้าพเจ้าชั้นบน พบชมกำลังร้องให้อยู่ และชมบอกว่าย่าสวรรคตเสียแล้ว ข้าพเจ้าตะลึง ใจอัดอั้นตัวชาไปหมดแต่นัยน์ตาแห้ง รู้สึกว่าทำอะไรไม่ได้ จึงเอนตัวลงนอนนิ่งอยู่บนเก้าอี้ยาว

ราวสองชั่วโมงภายหลังพ่อจึงเสด็จกลับ ข้าพเจ้าวิ่งไปรับเสด็จที่หัวบันไดชั้นบนตามเคย เสียงรองพระบาทกับเดือยยังหนักแน่นอยู่ตามเคย

ครั้นถึงชั้นบนพอแลเห็นข้าพเจ้าเข้าท่านก็ผวาเข้าหา ทรงกอดข้าพเจ้าเข้าไว้พลางทรงกันแสงอย่างรุนแรง ข้าพเจ้าก็เลยพลอยร้องไห้โฮใหญ่ คราวนั้นจะเป็นครั้งเดียวในชีวิตที่ข้าพเจ้าได้เห็นพ่อทรงพระกันแสง

ค่ำวันนั้นเราไปที่พระบรมมหาราชวังในการสรงน้ำพระบรมศพ ซึ่งได้ถูกเชิญไปที่นั่นจากวังพญาไท ห้องสรงน้ำพระบรมศพนั้น ก็คือห้องน้ำเงินที่ข้าพเจ้าเคยกินอาหารเมื่อไปอยู่กับย่าที่ในวังหลวง คนที่ไปในงานแต่งเต็มยศทั้งสิ้น เมื่อไปถึงนั้นพระบรมศพอยู่ในห้องบรรทม ในไม่ช้าก็หามท่านออกมา
ที่ห้องน้ำเงิน โดยใช้พระเก้าอี้หามซึ่งเคยใช้มาเมื่อยังทรงมีพระชนม์อยู่

พระบรมศพทรงดำอย่างที่ท่านได้ทรงไว้ทุกข์ทูลหม่อมปู่เรื่อยมาๆ เขาคลุมพระพักตร์ด้วยแพรดำอันบาง เมื่อวางพระบรมศพลงบนพระแท่นจึงเลิกผ้าออก ดูย่าเหมือนบรรทมหลับอยู่แต่ดูทรงงามกว่าธรรมดาอีก พิธีสรงน้ำและบรรจุในพระบรมโกศก็เป็นไปตามธรรมดา ข้าพเจ้าจำได้ว่าทูลหม่อมลุงนั้นพระพักตร์แดงก่ำเข้ากับสีฉลองพระองค์เต็มยศแดงทหารมหาดเล็ก เนื่องด้วยย่าเป็นสมเด็จพระพันปีจึงไม่มีใครรดน้ำที่พระหัตถ์ในพิธีนั้น รดที่พระบาทกันทั้งสิ้น

ข้าพเจ้าจำได้ว่าทรงรองพระบาทหนังดำมัน พอถึงที่ข้าพเจ้าก็ดูเปียกโชก ข้าพเจ้าใจคอตื่นต้นหมดเมื่อถึงเวลารดน้ำ อดร้องไห้น้ำตาไหลไม่ได้ ทั้งรู้สึกแปลกที่ต้องถวายบังคมพระบรมศพสามทีแทนการหมอบกราบย่าอย่างเร็วๆ

ข้าพเจ้าได้เห็นพิธีบรรจุพระบรมโกศตั้งแต่ต้นจนจบ รู้สึกหวาดเสียวและสังเวชใจอย่างยิ่งในเรื่องการมัดและคลุมพระบรมศพ แต่ต้องขออย่าว่าเจ้าหน้าที่ภูษามาลา เขาพยายามตั้งอกตั้งใจทำด้วยความเคารพและละมุนละม่อมที่สุด

ทูลหม่อมลุงในฐานเป็นพระโอรสองค์ใหญ่ได้หวีพระเกษา พอเขาเอาหน้ากากทองสวมพระพักตร์ก็เป็นอันแน่ว่าจะไม่ได้เห็นพระพักตร์อันเต็มเปี่ยมไปด้วยพระเมตตากรุณาอันสดชื่นนั้นอีกต่อไปในชีวิตนี้

เมื่อบรรจุลงพระลองเงินแล้วนายทหารมหาดเล็กก็เชิญไปยังพระราชยาน ทูลหม่อมอาเอียดกับพ่อประคองพระโกศ ทูลหม่อมลุงและคนอื่น ๆ ตามแห่กระบวนน้อยไปยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เสียงปี่ชวา แตรฝรั่ง กลองชนะ ดังวังเวงจับใจอย่างหาคำใดจะมาอธิบายได้ยาก

พระบรมศพได้ตั้งประดิษฐานอยู่ที่ดุสิตมหาปราสาท มีพระบรมโกศทองใหญ่ประกอบ มีเศวตฉัตร ๗ ชั้น ของพระบรมราชินีแขวนอยู่เบื้องบน มีฉัตรพัดใหญ่น้อยตั้งวางรอบข้างมณฑปตามพระเกียรติยศ นับตั้งแต่วันนั้นก็มีการทำบุญทุก ๆ ๗ วัน มีทำบุญ ๕๐ วันและ ๑๐๐ วัน

ตามธรรมดาทูลหม่อมลุงเสด็จทุกครั้ง และแม้ตามหมาย กรมวังจะบ่งว่าต้องแต่งครึ่งยศหรือเต็มยศ ทูลหม่อมลุงทรงผ้าขาวในฐานเป็นลูกทุก ๆ คราว

ในระหว่างที่พระบรมศพตั้งอยู่ที่ดุสิตมหาปราสาท ข้าพเจ้าได้คุยกับภูษามาลาเป็นอันมาก จึงได้เล่าเรียนถึงขนบธรรมเนียมต่าง ๆ และได้เรียนถึงว่าโกศชนิดไหนสำหรับเจ้านายชั้นใด

ในที่สุดก็ได้มีการถวายพระเพลิงพระบรมศพที่พระเมรุท้องสนามหลวงในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๓ ทำเป็นการใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ทูลหม่อมปู่สวรรคต ราว ๑๐ ปีก่อนนั้น พระเมรุนั้นเสด็จปู่นริศฯ ได้ทรงออกแบบอย่างงดงาม

ในงานพระเมรุคราวนั้นเป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้เห็นพระมหาพิชัยราชรถที่ใช้เชิญพระบรมโกศ ทั้งราชรถอีกสามคันสำหรับพระอ่านพระธรรม ทูลหม่อมอาเอียดทรงโปรยดอกไม้เงินทอง พ่อทรงชักพระบรมศพ ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ข้าพเจ้าได้เห็นพ่อทรงมงกุฎงานถวายพระเพลิง

มีเหตุที่ทูลหม่อมลุงกับพ่อทรงขัดกันอีก ทูลหม่อมลุงทรงเห็นว่างานถวายพระเพลิงนั้น เมื่อจบเป็นพิธีในตอนเย็นแล้วก็ควรจะจบกัน ใคร ๆ ควรกลับบ้าน เหลือแต่ภูษามาลาซึ่งเมื่อเขาชักม่านปิดพระเมรุแล้วเขาก็จัดการถวายพระเพลิงจริงตามลำพังของเขา

พ่อไม่ทรงเห็นเช่นนั้นทรงเห็นว่าญาติที่สนิทเช่นลูกหลานควรจะกลับไปดูการถวายพระเพลิงจริง ๆ อีก

ทูลลหม่อมลุงตกลงพระทัยว่าจะไม่เสด็จ ไม่ต้องด้วยพระราชนิยม แต่พ่อก็ยังจะเสด็จจนได้ ไปทรงกางเต็นท์ทหารบกบรรทมอยู่ตลอดคืน น้อง ๆ ของท่าน คือ ทูลหม่อมอาทั้งสามพระองค์ก็เสด็จด้วยรวมทั้งเสด็จปู่สวัสดิ์และข้าพเจ้าด้วย

ครั้นย่าสวรรคตแล้ว พ่อก็เลยตกลงจะทำให้แตกหักกันเสียเลย ท่านไปรับเอาท่านหญิงชวลิตฯ มาอยู่เป็นชายาที่วังปารุสก์ ในจดหมายเหตุรายวันที่ตกมาอยู่ในอารักขาของข้าพเจ้า ท่านทรงอ้างว่าสำหรับเจ้านายนั้น การเสกสมรสตามกฎหมายไม่เป็นของจำเป็น ทรงอ้างว่าทูลหม่อมปู่กับย่าก็มิได้เคยทรงทำพิธีเสกสมรสหรือจดทะเบียนอย่างใดเลย ถึงกระนั้นย่ายังได้เป็นสมเด็จพระบรมราชินีได้ ท่านหญิงชวลิต ฯ ก็ย่อมเป็นชายาของท่านได้ โดยไม่มีพิธีเสกสมรสเช่นเดียวกัน

การที่ท่านหญิงชวลิต ฯ มาอยู่วังปารุสก์มิได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของข้าพเจ้าอย่างใด ท่านหญิงชวลิตฯ มิได้เข้าครอบครองการดูแลวังอย่างใดเลย พ่อได้ทรงควบคุมการดูแลบ้านทรงทำบัญชีเองทุก ๆ วัน เช่นเดียวกับเมื่อแม่ไม่อยู่…”



ที่มา เพจ Thai Classic
      "เกิดวังปารุสก์"
      พระนิพนธ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์
      จากหอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี (ออนไลน์)

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.297 วินาที กับ 28 คำสั่ง