[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
09 พฤศจิกายน 2568 18:54:28 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องราวของแม่หยัวศรีสุดาจันทร์  (อ่าน 64 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 13
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2694


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 18 ตุลาคม 2568 13:35:51 »


แม่หยัวศรีสุดาจันทร์ พระรูปสมัยใหม่ซึ่งสร้างขึ้นไว้ในศาลเจ้าที่วัดแร้ง

มีความเชื่อกันว่า วัดแร้ง ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นสถานที่เสียบประจานพระศพของแม่หยัวศรีสุดาจันทร์
ปัจจุบันได้กลายสภาพเป็นป่าละเมาะ และมีผู้ตั้งศาลขนาดเล็กอุทิศแด่พระนาง ต่อมาใน พ.ศ. 2566 มีผู้เปิดร้าน
กาแฟในบริเวณดังกล่าว และจัดสร้างศาลขึ้นใหม่ มีขนาดใหญ่ ประดิษฐานพระรูปของพระนาง ขนาดเท่าคนจริง
ทรงเครื่องแบบนางกษัตริย์ โดยระบุว่า ต้องการให้เป็นศูนย์การเรียนรู้และพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ไปพร้อมกัน



แม่หยัวศรีสุดาจันทร์

แม่หยัวศรีสุดาจันทร์  เป็นสตรีในประวัติศาสตร์ไทยซึ่งเอกสารทางประวัติศาสตร์ระบุว่าเป็นพระมเหสีในพระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยา 2 พระองค์ คือ สมเด็จพระไชยราชาธิราช และขุนชินราช (หรือขุนวรวงศาธิราช) มีพระราชโอรส 2 พระองค์กับสมเด็จพระไชยราชาธิราช คือ สมเด็จพระยอดฟ้า และพระศรีศิลป์ และเมื่อสมเด็จพระยอดฟ้าเสวยราชย์สืบต่อจากพระราชบิดาขณะมีพระชนมายุ 11 พรรษา พระนางยังได้สำเร็จราชการแทนพระองค์

แม่หยัวศรีสุดาจันทร์ถูกกล่าวหาในหน้าประวัติศาสตร์ว่ามีส่วนในการสวรรคตของสมเด็จพระไชยราชาธิราชผู้เป็นพระสวามี และสมเด็จพระยอดฟ้าผู้เป็นพระโอรส แต่เอกสารต่าง ๆ ก็ระบุไม่ตรงกันในเรื่องการสวรรคตของสมเด็จพระไชยราชาธิราช โดยเอกสารส่วนใหญ่มิได้ระบุว่าเกิดด้วยสาเหตุผิดธรรมชาติ มีเพียงเอกสารโปรตุเกส (และเอกสารฝรั่งเศส) ระบุว่า เกิดขึ้นเพราะแม่หยัวศรีสุดาจันทร์วางยาพิษ ส่วนการสวรรคตของสมเด็จพระยอดฟ้านั้น เอกสารส่วนใหญ่ทั้งของไทยและต่างประเทศระบุสอดคล้องต้องกันว่า แม่หยัวศรีสุดาจันทร์มีส่วนก่อให้เกิดขึ้น เพื่อให้ขุนชินราชผู้เป็นชายชู้ได้ครองบัลลังก์แทน

เอกสารทางประวัติศาสตร์มิได้ระบุเกี่ยวกับพระชาติกำเนิดของแม่หยัวศรีสุดาจันทร์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเห็นว่า พระนางน่าจะเป็นญาติกับขุนชินราชผู้เป็นชายชู้ เห็นได้จากที่ภายหลังขุนชินราชได้รับชื่อ "วรวงศาธิราช" ซึ่งเป็นชื่อราชนิกุล แปลว่าพระญาติของพระเจ้าแผ่นดิน  และนักประวัติศาสตร์เห็นว่า พระนามแม่หยัวศรีสุดาจันทร์บ่งบอกว่าเดิมพระนางเป็นพระสนมเอกมีชื่อตำแหน่งว่า ท้าวศรีสุดาจันทร์ เมื่อประสูติพระราชโอรสแล้วจึงได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นแม่หยัวเมือง มีสถานะรองจากพระอัครมเหสี

เอกสารทางประวัติศาสตร์ทั้งของไทยและของต่างประเทศยังพรรณนาถึงบทบาทของพระนางในการสังหารสมเด็จพระยอดฟ้าซึ่งเป็นโอรสของตน เพื่อเปิดทางให้ขุนชินราชผู้เป็นชายชู้ได้ขึ้นสู่ราชบัลลังก์แห่งกรุงศรีอยุธยา และพระนางยังอาจมีส่วนในการปลงพระชนม์สมเด็จพระไชยราชาธิราชผู้เป็นสวามีแห่งตนด้วย ทำให้นักประวัติศาสตร์แต่เดิมมักประณามพระนางว่าเป็นหญิงชั่วร้าย มีพฤติกรรมน่าอับอาย


พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐ จัดแสดง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร  เอกสารไทยฉบับเก่าแก่ที่สุดที่หลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน กล่าวถึงแม่หยัวศรีสุดาจันทร์ คือ พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐ เรียบเรียงขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ.2223 ราว 132 ปีหลังเกิดเหตุการณ์ของพระนาง เอกสารนี้กล่าวถึงพระนางไว้สั้น ๆ มีใจความดังนี้

ใน จ.ศ. 907 (พ.ศ. 2088) สมเด็จพระไชยราชาธิราช พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงยกทัพขึ้นไปเมืองเชียงใหม่ และทรงตีได้เมืองลำพูนไชยในวันอังคาร ขึ้น 3 ค่ำ เดือน 4 ต่อมาในวันศุกร์ ขึ้น 13 ค่ำ เดือนเดียวกัน เกิดนิมิตอุบาทว์ เห็นเลือดติดอยู่ ณ ประตูบ้านเรือนและวัดทุกแห่งทั้งในเมืองและนอกเมือง จึงทรงยกทัพกลับพระนครศรีอยุธยา หลังจากนั้นอีก 2 เดือน ตรงกับเดือน 6 จ.ศ. 908 (พ.ศ. 2089) พระองค์ก็สวรรคต และสมเด็จพระยอดฟ้า พระราชโอรส ทรงสืบราชสมบัติต่อ เกิดเหตุการณ์อุบาทว์ต่าง ๆ เช่น งาช้างพระยาไฟที่ให้เข้าชนช้างเกิดหักเป็น 3 ท่อน ช้างต้นชื่อพระฉัททันต์ร้องเป็นเสียงสังข์ และประตูไพชยนต์ร้องเป็นอุบาทว์ กระทั่งวันอาทิตย์ ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 8 จ.ศ. 910 (พ.ศ. 2091) สมเด็จพระยอดฟ้าทรง "เป็นเหตุ" ขุนชินราชจึงได้ราชสมบัติเป็นเวลา 42 วัน ต่อมาขุนชินราชกับแม่หยัวศรีสุดาจันทร์ "เป็นเหตุ" พระเทียรราชาจึงทรงได้รับการอัญเชิญขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ สิ้นเรื่องราวของแม่หยัวศรีสุดาจันทร์เพียงเท่านี้

เรื่องราวของแม่หยัวศรีสุดาจันทร์ได้รับการขยายความต่อมาอีกเป็นอันมากในเอกสารสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เริ่มจาก พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพระจักรพรรดิพงศ์ (จาด) ซึ่งเรียบเรียงขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) และส่งอิทธิพลต่อมายังพระราชพงศาวดารฉบับหลัง ๆ คือ พระราชพงศาวดาร ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) เรียบเรียงขึ้นในรัชกาลที่ 1 เมื่อ พ.ศ. 2338 พระราชพงศาวดารกรุงสยาม ฉบับบริติชมิวเซียม เรียบเรียงขึ้นถวายรัชกาลที่ 1 เมื่อ พ.ศ. 2350 พระราชพงศาวดาร ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์วัดพระเชตุพน เรียบเรียงขึ้นจากฉบับ พ.ศ. 2350 พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) และพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท ทรงช่วยกันชำระจาก ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ฯ เมื่อ พ.ศ. 2398 และ พระราชพงศาวดาร ฉบับหมอบรัดเล นายแพทย์แดน บีช แบรดลีย์ พิมพ์เผยแพร่ในรัชกาลที่ 4 เมื่อ พ.ศ. 2407

เอกสารเหล่านี้กล่าวถึงแม่หยัวศรีสุดาจันทร์ (โดยออกพระนามว่าแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์) มีใจความดังนี้

ใน จ.ศ. 888 (พ.ศ. 2069) สมเด็จพระไชยราชาธิราช พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงยกทัพขึ้นไปเมืองเชียงใหม่ ทรงตีได้เมืองลำพูนไชย แต่ต่อมาเกิดนิมิตอุบาทว์ เห็นเลือดตกอยู่ตามประตูบ้านเรือนทุกแห่งทั้งในและนอกเมือง จึงทรงยกทัพกลับพระนครศรีอยุธยา แต่สวรรคตกลางทาง มุขมนตรีจึงอัญเชิญพระศพเข้าพระนคร ขณะนั้นขึ้น จ.ศ. 889 (พ.ศ. 2070) แล้ว สมเด็จพระไชยราชาธิราชเสวยราชย์มาได้ 15 ปี มีพระราชโอรส 2 พระองค์กับแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ทรงพระนามสมเด็จพระยอดฟ้า (บางฉบับเรียกพระแก้วฟ้า) มีพระชนมายุ 11 พรรษา พระราชโอรสพระองค์เล็กทรงพระนามพระศรีศิลป์ มีพระชนมายุ 5 พรรษา เหล่าขุนนางและคณะสงฆ์จึงอัญเชิญสมเด็จพระยอดฟ้าขึ้นสืบราชสมบัติต่อ โดยมีแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ช่วยว่าราชการแผ่นดิน เมื่อเสร็จงานถวายพระเพลิงพระศพสมเด็จพระไชยราชาธิราชแล้ว พระเทียรราชา ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ของสมเด็จพระไชยราชาธิราช ก็ทรงคำนึงว่า ถ้ายังทรงเป็นฆราวาสต่อไปจะเกิดภยันตราย จึงเสด็จออกไปผนวชเป็นพระภิกษุ ณ วัดราชประดิษฐาน

เมื่อสมเด็จพระยอดฟ้าเสวยราชย์แล้ว เกิดนิมิตร้ายต่าง ๆ เช่น งาช้างพระยาไฟที่ให้เข้าชนช้างเกิดหักเป็น 3 ท่อน ช้างต้นชื่อพระฉัททันต์ร้องเป็นเสียงคนร้องไห้ และประตูไพชยนต์ร้องเป็นอุบาทว์ในเวลาค่ำคืน  ต่อมาแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์เสด็จไปประพาส ณ พระที่นั่งพิมานรัตยา ทอดพระเนตรเห็นพันบุตรศรีเทพ พนักงานเฝ้าหอพระข้างหน้า ก็เกิดปฏิพัทธ์ รับสั่งให้สาวใช้นำเมี่ยงหมากห่อผ้าเช็ดหน้าไปประทานให้ พันบุตรศรีเทพรับมาแล้วก็รู้ถึงพระทัยพระนาง จึงฝากดอกจำปาให้สาวใช้นำกลับไปถวาย พระนางก็ยิ่งกำหนัดในพันบุตรศรีเทพ รับสั่งให้พระยาราชภักดี เลื่อนพันบุตรศรีเทพขึ้นเป็นขุนชินราช พนักงานเฝ้าหอพระข้างใน เมื่อขุนชินราชเข้ามาอยู่หอพระข้างในแล้ว ก็ได้ลักลอบสังวาสกับพระนางมาช้านาน พระนางปรารถนาจะยกขุนชินราชขึ้นครองราชสมบัติ จึงรับสั่งให้พระยาราชภักดีตั้งขุนชินราชเป็นขุนวรวงศาธิราช ให้ปลูกจวนสำหรับพักอาศัยอยู่ริมศาลาสารบัญชี มีหน้าที่พิจารณาเลก เพื่อจะได้มีกำลังคน และให้ปลูกจวนสำหรับว่าราชการที่ริมต้นหมัน ทั้งให้เอาพระราชอาสน์ไปตั้งให้ขุนวรวงศาธิราชนั่งว่าราชการ ผู้คนจะได้ยำเกรง ต่อมาพระยามหาเสนา พูดคุยกับพระยาราชภักดีด้วยความร้อนใจที่ "แผ่นดินเป็นทุรยศ" พระนางทราบจึงรับสั่งให้พระยามหาเสนามาเข้าเฝ้าที่ริมประตูดิน ครั้นตกค่ำ พระยามหาเสนากลับออกไป ก็ถูกคนลอบแทงตาย

ขณะนั้น พระนางเกิดตั้งครรภ์กับขุนวรวงศาธิราช จึงเรียกประชุมขุนนางมาเสนอให้ยกขุนวรวงศาธิราชขึ้นว่าราชการแผ่นดินจนกว่าสมเด็จพระยอดฟ้าจะทรงเจริญพระชนม์ ไม่มีผู้ใดกล้าขัดข้อง พระนางจึงให้จัดการราชาภิเษกยกขุนวรวงศาธิราชขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ครองกรุงศรีอยุธยา ตั้งนายจันแห่งบ้านมหาโลก น้องชายของขุนวรวงศาธิราช เป็นมหาอุปราช ขุนวรวงศาธิราชเมื่อขึ้นครองราชย์แล้วก็ปรารภกับพระนางว่า ตนเป็นที่จงเกลียดจงชังของเหล่าขุนนาง และหัวเมืองฝ่ายเหนือก็กระด้างกระเดื่อง จึงสั่งให้เรียกเจ้าเมืองฝ่ายเหนือทั้ง 7 เมือง ลงมาผลัดเปลี่ยน หัวเมืองฝ่ายเหนือจะได้จงรักภักดีต่อตน ครั้นปี จ.ศ. 891 (พ.ศ. 2072) ขุนวรวงศาธิราชคิดกันกับพระนางให้นำสมเด็จพระยอดฟ้าไปประหารชีวิตที่วัดโคกพระยา สมเด็จพระยอดฟ้าทรงอยู่ในราชสมบัติ 1 ปีกับ 2 เดือน

ขุนพิเรนทรเทพ ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ และขุนนางอีกจำนวนหนึ่ง จึงจับกลุ่มกันวางแผนโค่นล้มขุนวรวงศาธิราชกับพระนาง แล้วจะอัญเชิญพระเทียรราชาที่ผนวชนั้นขึ้นสู่ราชสมบัติแทน ก่อนลงมือ คณะผู้ก่อการไปทำพิธีเสี่ยงเทียนที่วัดป่าแก้วเพื่อทำนายถึงความสำเร็จของแผนการ เสี่ยงเทียนเสร็จแล้วประมาณ 15 วัน มีข่าวเกี่ยวกับช้างมงคลจากเมืองลพบุรี ขุนวรวงศาธิราชจึงกำหนดว่าจะออกไปจับช้างดังกล่าว ครั้นเวลาค่ำก่อนวันจับช้าง คณะผู้ก่อการให้หมื่นราชเสน่หานอกราชการไปลอบสังหารมหาอุปราชจัน น้องชายขุนวรวงศาธิราช ที่ท่าเสือ จากนั้นนำกำลังไปซุ่มซ่อนไว้ที่คลองบางปลาหมอ รอกระบวนเสด็จทางชลมารคของขุนวรวงศาธิราชซึ่งมาพร้อมกับพระนางและธิดาของทั้งคู่ที่เพิ่งคลอด ครั้นกระบวนเรือมาถึง คณะผู้ก่อการก็นำกำลังเข้าจู่โจมเรือพระที่นั่งอย่างฉับพลัน แล้วรุมจับขุนวรวงศาธิราช พระนาง และทารกหญิงนั้นฆ่าเสีย เอาศพเสียบประจานไว้ที่วัดแร้ง ส่วนพระศรีศิลป์ พระราชโอรสของสมเด็จพระไชยราชาธิราชกับพระนางนั้น ให้ไว้ชีวิต ขุนวรวงศาธิราชอยู่ในราชสมบัติได้ 5 เดือน เสร็จแล้วคณะผู้ก่อการจึงอัญเชิญพระเทียรราชาขึ้นสืบราชสมบัติเป็นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เป็นอันสิ้นเรื่องราวของพระนางเพียงเท่านี้




เอกสารโปรตุเกส  
Peregrinação ฉบับพิมพ์ครั้งแรก ค.ศ. 1614


ส่วนเอกสารต่างชาตินั้น ฉบับเก่าแก่ที่สุดที่กล่าวถึงแม่หยัวศรีสุดาจันทร์ได้แก่เอกสารภาษาโปรตุเกสชื่อ Peregrinação ("การจาริก") ซึ่งฟือร์เนา เม็งดึช ปิงตู นักสำรวจชาวโปรตุเกสที่เข้ามากรุงศรีอยุธยาในรัชกาลสมเด็จพระไชยราชาธิราช เรียบเรียงขึ้น พิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกใน ค.ศ. 1614 และได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษชื่อ The Voyages and Adventures of Ferdinand Mendez Pinto, the Portuguese ("การเดินทางและผจญภัยของเฟอร์ดินันด์ เมนเดซ ปินโต ชาวโปรตุเกส") พิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกใน ค.ศ. 1692 ต่อมานันทา วรเนติวงศ์ ข้าราชการกรมศิลปากร แปลจากฉบับภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย และกรมศิลปากรพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกใน พ.ศ. 2538 ให้ชื่อว่า การท่องเที่ยว การเดินทาง และการผจญภัยของเฟอร์ดินันด์ เมนเดซ ปินโต

เอกสารนี้ระบุดังนี้ ในช่วง 6 เดือนที่พระสวามีเสด็จไปทัพที่เมืองเชียงใหม่ พระนางทรงคบชู้กับออกขุนชินราชซึ่งเป็นคนส่งอาหารประจำราชสำนักของพระนาง จนทรงพระครรภ์ 4 เดือนกับคนผู้นั้น เมื่อพระสวามีเสด็จกลับมา พระนางทรงเกรงว่าพระองค์จะทรงล่วงรู้ความผิดของพระนาง จึงถวายน้ำนมเจือยาพิษให้พระองค์เสวย พระองค์เสวยแล้วก็สวรรคตภายใน 5 วันหลังจากนั้น พระราชโอรสพระชนมายุ 9 พรรษาทรงขึ้นสืบราชสมบัติต่อ พระนางทรงได้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต่อมา 4 เดือน พระนางทรงให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่งกับออกขุนชินราช ด้วยพระทัยปรารถนาจะทรงยกคนผู้นั้นขึ้นนั่งราชบัลลังก์ จึงทรงวางกองกำลังไว้รอบพระกายพระโอรส ประกอบด้วยพลเดินเท้า 2,000 คน และพลม้า 500 คน โดยทรงอ้างว่าเกรงจะมีผู้ลอบทำร้ายพระโอรส แต่กองกำลังนั้นกลับถูกใช้เพื่อกำจัดศัตรูทางการเมืองของพระนาง เสร็จแล้วพระนางทรงสละตำแหน่งผู้สำเร็จราชการให้แก่ออกขุนชินราช และเพื่อให้ราชบัลลังก์ว่างลง พระนางจึงทรงกำจัดพระโอรสด้วยยาพิษเฉกเช่นเดียวกับที่ทรงกำจัดพระสวามี เมื่อสิ้นพระเจ้าแผ่นดินผู้ทรงพระเยาว์แล้ว พระนางก็ทรงสถาปนาออกขุนชินราชไว้บนราชอาสน์ ณ วันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1545 แต่พระนางและชายชู้ไม่อาจอยู่ในอำนาจได้นาน เพราะเหล่าขุนนางซึ่งนำโดยออกญาพิษณุโลก และได้รับความสนับสนุนจากกษัตริย์แห่ง Cambaya ได้เคลื่อนไหวเพื่อโค่นล้มทั้งสอง โดยลวงทั้งสองไปยังงานเลี้ยงสมโภชสุริยเทพ ณ วัดชื่อ Quiay Figrau แล้วสังหารทั้งคู่ที่นั่น ก่อนจะถวายราชบัลลังก์ให้แก่พระเทียนผู้เป็นพระภิกษุแห่งวัด Quiay Mitran เป็นอันสิ้นเรื่องราวของพระนางเพียงเท่านี้



เอกสารฝรั่งเศส
Histoire civile et naturelle du royaume de Siam ฉบับพิมพ์ครั้งแรก ค.ศ. 1771


เนื้อความคล้ายคลึงกับในเอกสารโปรตุเกสยังปรากฏในเอกสารภาษาฝรั่งเศสชื่อ Histoire civile et naturelle du royaume de Siam, et des révolutions qui lui ont bouleversé cet empire jusqu'en 1770 ("ประวัติศาสตร์พลเมืองและธรรมชาติของราชอาณาจักรสยาม และในเรื่องการปฏิวัติอันสร้างความปั่นป่วนให้แก่แว่นแคว้นนั้นจนถึงปี 1770") ซึ่งฟร็องซัว-อ็องรี ตูร์แป็ง เขียนขึ้น และได้รับการพิมพ์เผยแพร่ใน ค.ศ. 1771 ต่อมาสมศรี เอี่ยมธรรม ข้าราชการกรมศิลปากร แปลจากคำแปลภาษาอังกฤษออกเป็นภาษาไทย และกรมศิลปากรเผยแพร่ใน พ.ศ. 2522 ให้ชื่อว่า ประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยา ฉบับตุรแปง

เอกสารนี้ระบุดังนี้ พระเจ้าแผ่นดินสยาม (สมเด็จพระไชยราชาธิราช) ซึ่งขึ้นครองราชย์ใน ค.ศ. 1550 มิได้ทรงอยู่ในความรุ่งโรจน์นานนัก เพราะระหว่างที่เสด็จไปศึกสงครามนั้น พระราชินีผู้เป็นพระมเหสีของพระองค์ทรงลักลอบมีชู้ พระนางทรงเกรงโทษทัณฑ์ จึงถวายน้ำนมถ้วยหนึ่งซึ่งเจือยาพิษให้พระองค์เสวย พระองค์เสวยแล้วก็ประชวรต่อไปอีก 5 วัน ระหว่างนั้นทรงใช้เวลาจัดแจงราชการบ้านเมือง ครั้นสวรรคตแล้ว พระราชโอรสของพระองค์ทรงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่ แต่พระราชินีมีพระประสงค์จะทรงยกชายชู้ขึ้นนั่งบัลลังก์แทน จึงทรงวางกองกำลังไว้รอบพระกายพระโอรส ประกอบด้วยพลเดินเท้า 2,000 คน และพลม้า 500 คน โดยทรงอ้างว่าเกรงจะมีผู้ลอบทำร้ายพระโอรส แต่กองกำลังนั้นกลับถูกใช้เพื่อกำจัดศัตรูทางการเมืองของพระนาง จนที่สุดพระนางก็ทรงสามารถสถาปนาชายชู้ไว้บนราชอาสน์ ก่อนพระนางจะทรงกำจัดพระเจ้าแผ่นดินผู้เป็นพระโอรสของพระนางเองด้วยเครื่องดื่มที่เป็นอันตราย เหล่าขุนนางซึ่งชิงชังพระนาง และได้รับความสนับสนุนจากกษัตริย์แห่ง Cambaye จึงเคลื่อนไหวเพื่อโค่นล้มพระนาง โดยลวงพระนางและชายชู้ไปยังงานเลี้ยงสมโภช แล้วสังหารทั้งคู่ที่นั่น ก่อนจะถวายราชบัลลังก์ให้แก่เจ้าชายพระองค์หนึ่งซึ่งเป็นพระเชษฐาหรืออนุชาโดยสายเลือดของพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ที่ขึ้นครองราชย์ใน ค.ศ. 1550 นั้น เจ้าชายพระองค์นี้ทรงยอมสละสมณเพศมาเข้าสู่ชีวิตทางโลก เป็นอันสิ้นเรื่องราวของพระนางเพียงเท่านี้


เอกสารดัตช์

เรื่องราวของแม่หยัวศรีสุดาจันทร์ยังปรากฏในเอกสารภาษาดัตช์ชื่อ Cort Verhael van't naturel eijnde der vollbrachter tijt ende successie der Coningen van Siam, voor sooveel daer bij d'oude historien bekennt sijn ซึ่งเยเรเมียส ฟาน ฟลีต พ่อค้าชาวดัตช์ที่เข้ามากรุงศรีอยุธยาในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง เขียนขึ้นใน พ.ศ. 2181 ราว 90 ปีหลังเหตุการณ์ของพระนาง ต่อมาหม่อมราชวงศ์ศุภวัฒย์ เกษมศรี แปลจากคำแปลภาษาอังกฤษออกเป็นภาษาไทย เผยแพร่ครั้งแรกใน พ.ศ. 2519 ให้ชื่อว่า พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับเยเรเมียส ฟาน ฟลีต และวนาศรี สามนเสน แปลจากคำแปลภาษาอังกฤษออกเป็นภาษาไทยเช่นกัน มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒพิมพ์เผยแพร่ใน พ.ศ. 2523 ให้ชื่อว่า พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับวันวลิต พ.ศ. 2182

เอกสารนี้ออกพระนามแม่หยัวศรีสุดาจันทร์ว่า "Mee-soo-Seda t'siau" ซึ่งหม่อมราชวงศ์ศุภวัฒย์ถอดเป็น "แม่ศรีสุดาเจ้า และวนาศรีถอดเป็น "แม่สีดาเจ้า" เอกสารนี้กล่าวถึงพระนางโดยมีใจความดังนี้

ในปลายรัชกาล สมเด็จพระไชยราชาธิราชเสด็จไปตีเมืองลำพูนได้ และขณะเสด็จกลับพระนคร พระองค์ก็สวรรคตด้วยสาเหตุซึ่งหม่อมราชวงศ์ศุภวัฒย์ให้คำแปลว่า "สวรรคตไปตามปกติธรรมดา" และวนาศรีให้คำแปลว่า "สิ้นพระชนม์ลงเนื่องจากสาเหตุตามธรรมชาติ" จากนั้นพระยอดเจ้า ผู้เป็นพระราชโอรส มีพระชนมายุ 10 พรรษา ได้ขึ้นสืบราชสมบัติต่อได้เพียง 3 ปี แม่ศรีสุดาเจ้า ผู้เป็นพระสนมของพระราชบิดา ก็ทรงร่วมมือกับหมอผีประจำราชสำนักซึ่งมีหน้าที่เล่าเรื่องราวเก่าแก่และเรื่องต่างประเทศถวาย ใช้เวทมนตร์และยาพิษปลงพระชนม์ในห้องพระบรรทม ยังความโศกเศร้ามาสู่พสกนิกร

หลังจากนั้น ด้วยความช่วยเหลือของแม่ศรีสุดาเจ้า หมอผีคนดังกล่าวจึงได้ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินทรงพระนามว่าขุนชินราช ซึ่งไม่เป็นที่พึงประสงค์ของคนทั้งปวง เหล่าขุนนางจึงคบคิดกันลอบปลงพระชนม์ขุนชินราช โดยลวงให้ไปยังสถานที่จับช้าง แล้วยิงด้วยปืนจนตาย เสร็จแล้วคณะผู้ก่อการก็โยนศพขุนชินราชให้ฝูงสุนัขกิน ขุนชินราชอยู่ในราชสมบัติเป็นเวลา 40 วัน ส่วนแม่ศรีสุดาเจ้านั้นทรงถูกประหารด้วยดาบแล้วพระศพถูกโยนทิ้งลงแม่น้ำไป

พระเทียนราชา ซึ่งหม่อมราชวงศ์ศุภวัฒย์ให้คำแปลว่าเป็น "พระญาติของพระยอดเจ้า" และวนาศรีให้คำแปลว่าเป็น "ลูกพี่ลูกน้องหรือหลานชายของพระยอดเจ้า" ได้ขึ้นสืบราชสมบัติต่อด้วยความยินยอมพร้อมใจของเหล่าขุนนาง ราชบัลลังก์จึงยังเป็นของราชวงศ์เดิม เป็นอันสิ้นเรื่องราวของแม่ศรีสุดาเจ้าเพียงเท่านี้




เอกสารพม่า
คำให้การชาวกรุงเก่า ฉบับพิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2457


ยังมีเอกสารอีกฉบับเป็นภาษาพม่า คือ คำให้การชาวกรุงเก่า เรียบเรียงขึ้นจากคำให้การของชาวอยุธยาที่ถูกจับตัวไปในสงครามเมื่อ พ.ศ. 2310 กล่าวถึงแม่หยัวศรีสุดาจันทร์โดยมีใจความดังนี้

พระปรเมศวรเป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา มีพระมเหสี 2 พระองค์ พระองค์หนึ่งเป็นฝ่ายขวาทรงพระนามว่าจิตรวดี อีกพระองค์หนึ่งเป็นฝ่ายซ้ายทรงพระนามว่าศรีสุดาจันทร์ พระมเหสีจิตรวดีประสูติพระราชโอรส 2 พระองค์ พระองค์โตทรงพระนามว่าพระเฑียร พระองค์เล็กทรงพระนามว่าพระไชย แต่พระปรเมศวรทรงโปรดปรานพระมเหสีศรีสุดาจันทร์ยิ่งกว่าพระมเหสีจิตรวดี รับสั่งให้พระมเหสีศรีสุดาจันทร์เข้าเฝ้าอยู่ข้างพระที่มิได้ขาด และถ้าพระมเหสีศรีสุดาจันทร์ทรงทูลคัดง้างอย่างใดในเรื่องราชการทั้งฝ่ายหน้าและฝ่ายใน พระปรเมศวรก็ทรงเชื่อฟังทั้งสิ้น

พระปรเมศวรยังทรงมีมหาดเล็กผู้หนึ่งนามว่านายบุญศรี ทำหน้าที่ขับกล่อมให้ทรงพระบรรทมอยู่เสมอ พระมเหสีศรีสุดาจันทร์มีพระทัยปฏิพัทธ์นายบุญศรี จึงลอบกระทำชู้กับนายบุญศรี และทูลพระปรเมศวรให้ตั้งนายบุญศรีเป็นเสนาบดี พระปรเมศวรก็ทรงตั้งนายบุญศรีเป็นขุนเชียนนเรศ เสนาบดีกรมวัง ขุนเชียนนเรศจึงได้ว่าราชการในพระราชวังทั้งสิ้น เป็นที่เคารพยำเกรงของผู้คน พระปรเมศวรเสวยราชย์มาได้ 23 ปีก็สวรรคต เมื่อสิ้นพระปรเมศวรแล้ว พระมเหสีศรีสุดาจันทร์กับขุนเชียนนเรศก็มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในราชการบ้านเมือง

พระมเหสีศรีสุดาจันทร์จึงทรงเรียกประชุมพระบรมวงศ์และขุนนางทั้งหลาย เสนอให้ยกขุนเชียนนเรศขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เพราะเป็นที่ไว้วางพระทัยมาแต่รัชกาลก่อน เมื่อไม่มีผู้ใดกล้าคัดค้าน พระนางก็รับสั่งให้จัดการราชาภิเษกขุนเชียนนเรศขึ้นครองแผ่นดิน และพระนางเองทรงดำรงตำแหน่งอัครมเหสีของขุนเชียนนเรศ เมื่อได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินแล้ว ขุนเชียนนเรศก็มิได้ยกย่องพระเฑียรกับพระไชย พระราชโอรสของพระปรเมศวร สักเท่าใด ทั้งยังให้นำพงศาวดารเก่า ๆ ไปเผาไฟบ้าง ทิ้งน้ำบ้าง เป็นเหตุให้พงศาวดารขาดตอนมาจนทุกวันนี้ ขุนเชียนนเรศยังปกครองด้วยความกดขี่ เป็นที่เดือดเนื้อร้อนใจของคนทั้งปวง พระยากลาโหม พี่เลี้ยงพระเฑียร จึงคบคิดกับพระพิเรนทรเทพวางแผนโค่นล้มฝ่ายขุนเชียนนเรศ ก่อนดำเนินการ คณะผู้ก่อการได้ทำพิธีเสี่ยงเทียนที่วัดพระศรีสรรเพชญ์เพื่อทำนายถึงความสำเร็จของแผนการ

กระทั่งวันหนึ่งซึ่งได้โอกาส พระยากลาโหมก็ทูลขุนเชียนนเรศว่าพบช้างเผือกในป่าเมืองสรรคบุรี ขุนเชียนนเรศก็สั่งให้เตรียมการจะไปจับช้าง คณะผู้ก่อการจึงนำกำลังลงเรือไปซุ่มรอคอยกระบวนเสด็จทางชลมารคของขุนเชียนนเรศ ครั้นกระบวนเรือมาถึง คณะผู้ก่อการก็นำกำลังเข้าจู่โจมเรือพระที่นั่งอย่างฉับพลัน เอาดาบฟันขุนเชียนนเรศตายอยู่บนเรือ ขุนเชียนนเรศอยู่ในราชสมบัติได้ 2 ปี เมื่อสิ้นขุนเชียนนเรศแล้ว คณะผู้ก่อการก็อัญเชิญพระเฑียรขึ้นสืบราชสมบัติ ทรงพระนามว่าพระมหาจักรวรรดิ์ ส่วนชะตากรรมของพระมเหสีศรีสุดาจันทร์นั้น เอกสารนี้มิได้กล่าวถึงแต่ประการใด เป็นอันสิ้นเรื่องราวของพระนางเพียงเท่านี้ (อนึ่ง เอกสารพม่า ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเนื้อหาค่อนข้างสับสนเลอะเลือน โดยเฉพาะในกรณีท้าวศรีสุดาจันทร์ เนื่องจากในการเรียบเรียงนั้นต้องแปลระหว่างภาษาไทย ภาษามอญ และภาษาพม่า)

ความเห็นของนักประวัติศาสตร์
พระนาม

เอกสารไทยที่เก่าแก่ที่สุด คือ พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐ นั้น ออกพระนามพระนางว่า "แม่หยัวศรีสุดาจันทร์" (เขียนแบบเก่าว่า "แม่หญัวศรีศุดาจัน" หรือ "แม่หญัวศรีสุดาจัน") ส่วนเอกสารสมัยรัตนโกสินทร์ออกพระนามว่า "แม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์" หรือ "นางพระยาแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์" (เขียนแบบเก่าว่า "นางพญาแม่อยู่หัวศรีสุดาจัน" หรือ "นางพญาแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์")

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเห็นว่า ที่เรียก "แม่หยัวศรีสุดาจันทร์" นั้นหมายความว่า เป็นผู้ดำรงตำแหน่งพระสนมเอก มีชื่อประจำตำแหน่งว่าท้าวศรีสุดาจันทร์ และมีบรรดาศักดิ์เป็นแม่หยัวเมืองตามกฎมนเทียรบาล แต่ผู้แต่งพงศาวดารสมัยรัตนโกสินทร์เรียก "แม่หยัว" ไปเป็น "แม่อยู่หัว"  สุจิตต์ วงษ์เทศ เห็นว่า การที่กฎมนเทียรบาลจัดลำดับแม่หยัวเมืองไว้ถัดจากพระอัครมเหสี แสดงว่า แม่หยัวเมืองมีฐานะรองจากพระอัครมเหสี  ท้าวศรีสุดาจันทร์เป็นพระสนมเอก ประสูติพระโอรสถึง 2 พระองค์ จึงมีฐานะเป็นแม่หยัวเมือง  ส่วนกรมศิลปากรเห็นว่า แม่หยัวเมืองเป็นตำแหน่งพระอัครชายา และราชบัณฑิตยสภาเห็นว่า "แม่หยัว" ก็ดี "แม่หยัวเมือง" ก็ดี หรือ "แม่อยู่หัว" ก็ดี ล้วนเป็นคำในกลุ่มเดียวกัน ใช้สำหรับเรียกพระมเหสี (ภรรยาของพระมหากษัตริย์)

เกี่ยวกับรากศัพท์นั้น ประเสริฐ ณ นคร เห็นว่า คำ "หยัว" กร่อนมาจาก "อยู่หัว" ดังนั้น "แม่หยัว" ก็คือ "แม่อยู่หัว" และ "แม่หยัวเมือง" ก็คือ "แม่อยู่หัวเมือง"  ใน โคลงยวนพ่าย ก็ปรากฏคำว่า "หญัว" และราชบัณฑิตยสถานว่า "สันนิษฐานว่ากร่อนมาจาก อยู่หัว" แต่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงเห็นว่า "หยัว" อาจกร่อนมาจากคำว่า "อยู่" เฉย ๆ ก็ได้ เพราะมีตัวอย่างที่ "อู" กลายเป็น "ว" เช่น "ตู" กลายเป็น "ตัว" และ "ผู้" กลายเป็น "ผัว" ดังนั้นจึงทรงเห็นว่า "แม่หยัวเมือง" ได้แก่ "แม่อยู่เมือง" ใช้เป็นคำเรียกรองจาก "แม่อยู่หัว"

อนึ่ง พระนาม "ศรีสุดาจันทร์" นั้นเป็นพระนามที่ได้จากการดำรงตำแหน่งพระสนมดังกล่าว มิใช่พระนามที่แท้จริงของพระนาง บุคคลอาจมีชื่อที่แท้จริงอย่างใดก็ได้ แต่เมื่อดำรงตำแหน่งพระสนมเอกแล้ว ก็จะได้ชื่อหนึ่งชื่อใดตามที่พระอัยการตำแหน่งนาพลเรือน ระบุ ซึ่งรวมถึงชื่อ "ศรีสุดาจันทร์" นี้




Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18 ตุลาคม 2568 14:00:50 โดย ใบบุญ » บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.683 วินาที กับ 27 คำสั่ง