[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
06 ธันวาคม 2567 04:50:01 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: 10 อันดับงานวิจัยใต้สะดือแห่งปี 2011  (อ่าน 6452 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Compatable
นักโพสท์ระดับ 11
*

คะแนนความดี: +3/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1210


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 16.0.912.75 Chrome 16.0.912.75


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 09 มกราคม 2555 12:23:16 »

10 อันดับงานวิจัยใต้สะดือแห่งปี 2011


เว็บไซต์ข่าววิทยาศาสตร์ชั้นนำของสหรัฐฯ จัดอันดับ 10 งานวิจัยใต้สะดือยอดเยี่ยมของปี 2011 มีทั้งเรื่องเซ็กส์ทอยที่ชาวสหรัฐฯ โปรดปราน ปลาหมึกที่มีเพศสัมพันธ์พิสดาร และใครจะรู้ล่ะว่าการนั่งสมาธิเพิ่มความสุขทางเพศรสได้ บางครั้งวิทยาศาสตร์ก็ลงไปแตะเรื่องใต้สะดือแล้วก้ได้ผลลัพธ์ที่น่าสนใจออกมา ปีที่ผ่านมาก็เช่นกัน เมื่อมีนักวิจัยลงไปสำรวจเรื่องชวนให้ขวยเขินจำพวก การถึงจุดสุดยอดเร็วเกินไป, เซ็กส์ทอย, และการมีเพศสัมพันธ์กับสัตว์ ทั้ง 10 เรื่องต่อไปนี้ถูก Livescience จัดให้เป็น 10 อันดับงานวิจัยใต้สะดือประจำปี 2011
 
1.) ไม่ใช่เพียงผู้ชายเท่านั้นที่รู้สึกว่าตนถึงจุดสุดยอดเร็วเกินไป
 
จากงานวิจัยของวารสารเพศวิทยา Sexologies ฉบับเดือน ต.ค. 2011 การถึงจุดสุดยอดเร็วเกินไปเกิดในเพศหญิงมากกว่าที่คิด ในการสำรวจขั้นต้นจากกลุ่มตัวอย่างผู้หญิงชาวโปรตุเกส โดยโรงพยาบาลในโปรตุเกสเปิดเผยว่ามีผู้หญิงร้อยละ 14 ประสบกับปัญหาการถึงจุดสุดยอดไม่พึงปรารถนาก่อนเวลาอันควรอยู่บ่อยๆ ผู้หญิงกลุ่มนี้ไม่สามารถควบคุมการถึงจุดสุดยอดของตัวเองได้ และมักจะรู้สึกอึดอัดหากจะมีเพศสัมพันธ์ต่อ ทำให้คู่นอนรู้สึกไม่ดี นักวิจัยเผยว่าพวกเขาจะทำการวิจัยต่อยอดเพื่อศึกษาว่า การถึงจุดสุดยอดเร็วเกินไปในเพศหญิงนั้น จะถูกจัดเป็นความผิดปกติในการมีเพศสัมพันธ์เช่นเดียวกับการหลั่งเร็วในเพศชายได้หรือไม่
 
2.) ชาวอเมริกันโปรดปรานไวเบรเตอร์
 
เรื่องนี้อาจจะไม่น่าแปลกใจนัก ในปีที่ผ่านมามีการสำรวจพบว่าชาวอเมริกันดูจะชื่นชอบเซ็กส์ทอย อย่างน้อยก็ในกลุ่มผู้หญิง จากการสำรวจของสหรัฐฯ พบว่า กลุ่มตัวอย่างราวครึ่งหนึ่งเห็นด้วยกับประโยคที่ว่า "ไวเบรเตอร์ (เซ็กส์ทอยที่เป็นเครื่องระบบสั่น) เป็นส่วนหนึ่งของวิธีทางเพศของผู้หญิงที่ดีต่อสุขภาพ" เปรียบเทียบกับร้อยละ 10 ของกลุ่มตัวอย่างที่มองประโยคนี้ในแง่ลบ รวมถึงผู้มีความเชื่อที่ว่าการใช้ไวเบรเตอร์เป็นการดูถูกคู่นอนของพวกเธอ
ก่อนหน้านี้คณะผู้วิจัยทีมเดียวกันเคยสำรวจพบว่า มีกลุ่มตัวอย่างผู้หญิงร้อยละ 53 และผู้ชายร้อยละ 45 เคยใช้ไวเบรเตอร์มาก่อน และพบความเกี่ยวข้องระหว่างการใช้ไวเบรเตอร์กับความพึงพอใจทางเพศ
 
3.) การทำสมาธิช่วยเพิ่มความสุขทางเพศรส
 
เรื่องนี้เป็นเรื่องเซ็กส์ในเหล่าสตรีเพศอีกแล้ว งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งในเดือน พ.ย. ปีที่ผ่านมาพบว่า ผู้หญิงที่ "ทำสมาธิวิปัสสนา" จะมีร่างกายที่ไวต่อการตอบสนองสิ่งเร้าทางเพศเช่น รูปอิโรติก มากขึ้น นักวิจัยรายงานในวารสารเวชศาสตร์กายจิต (Psychosomatic Medicine) ว่า การทำสมาธิที่เน้นให้คนอยู่กับปัจจุบันขณะ จะช่วยยับยั้งความวิตกกังวลและความรู้สึกไม่ปลอดภัยที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผู้หญิงมีเพศสัมพันธ์ได้
 
4.) มนุษย์โบราณก็มีการผสมข้ามพันธุ์
 
ก่อนหน้านี้ในปี 2010 เคยมีข่าวการสำรวจพบว่า มนุษย์เผ่าพวกเราและนีแอนเดอทาล เคยมีความสัมพันธ์กัน แต่ในปี 2011 มีการสำรวจไปไกลกว่านั้น เมื่อมีการค้นพบในเดือน มิ.ย. ว่า นักวิจัยค้นพบหลักฐานทางดีเอนเอ ที่บอกว่ามนุษย์ยุคปัจจุบันมีชิ้นส่วนของพันธุกรรมนีแอนเดอทาลอยู่ร้อยละ 9 ยกเว้นในทวีปแอฟริกา นั่นหมายความว่า การทดลองมีเพศสัมพันธุ์กันข้ามเผ่าพันธุ์จนเกิดการผสมยีนส์กันน่าจะเกิดขึ้นไม่นานหลังจากที่มนุษย์เราอพยพออกจากทวีปแอฟริกา
 
และในทวีปเอเชียเมื่อ 23,000 ถึง 45,000 ปีที่แล้ว มนุษย์เราก็มีความใกล้ชิดกับมนุษย์พันธุ์เดนีโซวาน ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ที่แตกแขนงเผ่าพันธุ์มาจากเครือญาตินีแอนเดอทาล
 
อีกนัยหนึ่ง การมีเพศสัมพันธ์ข้ามพันธุ์อาจจะเกี่ยวเนื่องกับการคุมกำเนิดด้วยก็ได้ เมื่องานวิจัยในเดือน ก.ย. 2011 เผยว่าการผสมข้ามพันธุ์ระหว่างมนุษย์กับนีแอนเดอทาลจะมีโอกาสเกิดลูกเพียงร้อยละ 2 เท่านั้น
 
5.) วัยรุ่นคิดว่าออรัลเซ็กส์ มีความเสี่ยงน้อยกว่า
 
แม้จะมีหลักฐานชี้ว่าการทำออรัลเซ็กส์ (การทำรักด้วยปาก) มีความเสี่ยงบางส่วนต่อมะเร็งหู คอ จมูก แต่วัยรุ่นก็คิดว่าการออรัลเซ็กส์มีความเสี่ยงน้อยกว่าการสอดใส่ทางช่องคลอดหรือทวารหนัก ในเดือน ก.พ. 2011 มีการนำเสนองานวิจัยในที่ประชุมประจำปีของสมาคมเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์แห่งอเมริกา (American Association for the Advancement of Science) ซึ่งเปิดเผยว่า มีวัยรุ่นร้อยละ 14 คิดว่าการทำออรัลเซ็กส์ไม่ได้มีความเสี่ยงใดๆ ต่อสุขภาพ ในความจริงคือมีไวรัสอยู่ตัวหนึ่งที่ชื่อ papilloma virus (HPV) ที่สามารถติดต่อระหว่างคน และความเสี่ยงต่อการติดไวรัสนี้ในปากและคอจะเพิ่มขึ้นหากยิ่งมีการทำออรัลเซ็กส์ให้คู่นอนมากคน


Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า
Compatable
นักโพสท์ระดับ 11
*

คะแนนความดี: +3/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1210


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 16.0.912.75 Chrome 16.0.912.75


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 09 มกราคม 2555 12:23:49 »

6.) การได้รับวัคซีนต้านไวรัส ไม่ได้เป็นการส่งเสริมให้วัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์มากขึ้น
 
ยังคงอยู่ในประเด็นเรื่องเพศของวัยรุ่น งานวิจัยล่าสุดเมื่อเดือน ธ.ค. 2011 เปิดเผยว่าการที่วัยรุ่นรับวัคซีนป้องกันเชื้อ HPV ไม่ได้ทำให้พวกเขาอยากสำส่อนทางเพศเพิ่มขึ้น ซึ่งงานวิจัยชิ้นนี้จะได้รับการตีพิมพ์ในวารสารเวชศาสตร์ป้องกันของสหรัฐฯ (American Journal of Preventative Medicine) โดยศูนย์สถิติและควบคุมโรครายงานว่าวัยรุ่นผู้หญิงที่ได้รับวัคซีนป้องกัน HPV ไม่ได้มีพฤติกรรมเสี่ยงเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับวัยรุ่นหญิงที่ไม่ได้รับวัคซีน
 
ผู้วิจัยรานงานว่า วัยรุ่นหญิงที่ได้รับวัคซีน HPV จะใช้ถุงยางตอนมีเพศสัมพันธ์มากกว่าวัยรุ่นหญิงที่ไม่ได้รับวัคซีน น่าจะเป็นเพราะพวกเธอได้รับความรู้เรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ดังนั้นการรับวัคซีน HPV ก็ไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องอายเลย
 
7.) นักศึกษาชอบคุยโวเรื่องเพศมากกว่าทำจริง
 
ในเดือน ก.ย. นักวิจัยได้เปิดโปงเรื่องที่อาจทำให้นักศึกษาจอมคุยต้องทำตัวลีบลงไปบ้าง แม้นักศึกษาจะเชื่อว่าการมีเพศสัมพันธ์ในช่วงวัยเรียน รวมถึงการนอกใจเป็นเรื่องปกติ แต่ก็มีหลายรายที่เป็นการเล่าขวัญชาวหอพัก มากกว่าจะทำจริง
 
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเนบราสก้า-ลินคอน ได้สอบถามนักศึกษาว่าเพื่อนของพวกเขามีเพศสัมพันธ์กับนักศึกษาคนอื่นมากน้อยขนาดไหน แล้วก็พบว่าสิ่งที่รับรู้มาไม่ค่อยตรงกับความจริงเท่าไหร่ ตัวอย่างเช่น มีนักศึกษาร้อยละ 90 คิดว่า การมีเพศสัมพันธ์กับคนอื่นอย่างน้อย 2 คนเป็น "เรื่องปกติ" สำหรับวัยนักศึกษา แต่ในความจริงแล้วมีเพียงร้อยละ 37 เท่านั้นที่มีเพศสัมพันธ์กับจำนวนคนที่ว่ามา การคุยโวเรื่องบนเตียงไม่เคยจะเก่าเลยจริงๆ
 
8.) ปลาหมึกน้ำลึกปล่อยสเปิร์มแล้วชิ่ง
 
แม้ว่าสัตว์จะไม่เรื่องมากในเรื่องเพศเท่ามนุษย์ พวกมันไม่ค่อยเรียกร้องหาความเป็นส่วนตัวเท่าใดนัก แต่เจ้าปลาหมึกน้ำลึกอย่าง Octopoteuthis deletron มีเซ็กส์ที่หวือหวากว่านั้น พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในน้ำลึกอันมืดมิดแถบชายฝั่งแคลิฟอร์เนีย น้อยครั้งที่พวกมันจะได้เจอปลาหมึกตัวอื่นที่อยู่ในสปีชีส์เดียวกัน นักวิจัยรายงานในวารสาร Biology Letters ว่าเมื่อปลาหมึกพวกนี้พบเจอพวกเดียวกัน มันไม่ใช้เวลาดูด้วยซ้ำว่าตัวที่มันเจอเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย แต่พวกมันจะฉีดกลุ่มสเปิร์มไปที่ตัวที่เพิ่งจะเจอกันทันที จากนั้นก็ชิ่งหนีไป ฟังดูเป็นเรื่องน่าอายสำหรับตัวที่ถูกยิงสเปิร์มใส่ แต่เป็นเรื่องดีสำหรับนักวิจัยในการติดตามการพยายามสืมพันธุ์ของพวกมัน โดยกลุ่มสเปิร์มก็จะยังคงติดตัวปลาหมึกตัวเป้าหมายขณะที่พวกมันว่ายน้ำต่อไป
 
9.) แบททีเรียชวนแหวะบนโต๊ะกาแฟ
 
พักเรื่องเซ็กส์ๆ ไว้ชั่วคราว เพราะมีอีกงานวิจัยชิ้นหนึ่งของปี 2011 ที่เป็นข่าวร้ายเอามากๆ สำหรับโต๊ะกาแฟของหนุ่มโสด เนื่องจากนักวิจัยด้านจุลชีววิทยาบอกว่า ห้องพักของชายหนุ่มโสดจะมีแบททีเรียมากกว่าห้องพักของสาวโสด 15 เท่า และแบททีเรียบางชนิดที่พบก็เป็นแบททีเรียชนิดเดียวกับที่อยู่ในอุจจาระ
ความจริงอีกข้อหนึ่งคือ มีการตรวจพบโคลิฟอร์มแบททีเรียในอุจจาระดังกล่าวบนโต๊ะกาแฟของกนุ่มโสดในอัตรา 7 ต่อ 10 ของกลุ่มตัวอย่างที่สำรวจ สาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีแบททีเรียที่ว่าคือการที่ผู้ชายมักเอาเท้าพาดกับโต๊ะในขณะที่ยังใส่รองเท้าอยู่
 
แต่หญิงโสดก็อย่าได้ใจไป มีการตรวจพบโคลิฟอร์มแบททีเรียในที่พักของพวกเธอด้วยเช่นกัน เพียงแค่มีความหนาแน่นน้อยกว่าที่พักของชายโสดเท่านั้นเอง จุดสำคัญอื่นๆ ที่พบโคลิฟอร์มแบททีเรียพวกนี้ได้แก่ ร๊โมทโทรทัศน์, โต๊ะข้างเตียงนอน และลูกบิดประตู
 
10.) การมีเพศสัมพันธ์กับสัตว์และมะเร็งองคชาติ
 
แม้จะเป็นอันดับสุดท้าย แต่ก็ชวนให้หวาดเสียว (หรือหวาดผวา) ไม่แพ้อันดับอื่น เมื่อนักวิจัยได้เผยแพร่ผลงานในวารสารเวชศาสตร์ทางเพศ (Sexual Medicine) ในเดือน พ.ย. ที่ผ่านมาเปิดเผยว่าการมีเพศสัมพันธ์กับสัตว์มีส่วนเกี่ยวโยงกับโรคมะเร็งองคชาติ
 
นักวิจัยค้นพบความเกี่ยวข้องนี้จากการศึกษากลุ่มตัวอย่างชาย 492 คนในแถบชนบทของบราซิล พวกเขาพบว่ามีถึงร้อยละ 35 ของกลุ่มตัวอย่างที่บอกว่าตนมีเพศสัมพันธ์กับสัตว์ครั้งหนึ่งในชีวิต และนักวิจัยก็พบว่าคนที่ป่วยเป็นมะเร็งองคชาติมักจะเป็นคนเดียวกับที่มีเพศสัมพันธุ์กับสัตว์ พวกเขาตั้งสมมุติฐานว่าการบาดเจ็บขององคชาติและสารคัดหลั่งในสัตว์สปีชี่ส์อื่นอาจเป็นตัวทำให้เกิดเชื้อโรคที่เป็นเหตุของมะเร็ง เช่นเดียวกับ papillomo ไวรัสของคน
 
บันทึกการเข้า
คำค้น: 10 อันดับ งานวิจัย ใต้สะดือ sex 
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.288 วินาที กับ 28 คำสั่ง

Google visited last this page 21 กันยายน 2567 09:24:54