[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 มีนาคม 2567 06:34:03 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ด้วยฤทธิ์แห่งนาค กับ น้ำท่วม แผ่นดินไหว ภัยพิบัติ  (อ่าน 17494 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 13 มิถุนายน 2553 11:03:51 »

[ บทความคัดลอกมาจาก อ.มดเอ็กซ์ ที่โพสท์ไว้ใน บอร์ดเก่า ]


จาก... http://www.navaraht.com/forum/forum15/topic181.html
 

 
เรื่องลึกลับในโลก โดยมากก็มักเป็นเรื่องลึกลับกันมานาน อาจจะนับได้เป็นพันปี หรือ ร้อยปี หรือสิบปี หากถึงกระนั้น ณ วันนี้เรื่องราวเหล่านั้นก็ยังคงลึกลับอยู่ เพราะคนที่จะไขได้ย่อมต้องเป็นผู้รู้จริง แตกฉานในศาสตร์นั้น ๆ เรื่องราวนั้น ๆ จริง
 
และเมื่อรู้จริงก็มักไม่ยอมพูดเสียด้วย
 
เรื่องของสิ่งมีชีวิตในอีกมิติหนึ่งซึ่งยากที่คนทั่วไปจะรู้ตาม เป็นสิ่งอันยากต่อการพิสูจน์ ด้วยเพียงปรารภขึ้นว่า ‘อีกมิติหนึ่ง’ คนทั้งหลายก็ล้วนตั้งป้อมรอท่าไว้ก่อนแล้วว่ากำลังจะได้รับฟัง ‘นิยาย’
 
ทว่านิยายนี้ พระพุทธเจ้าศาสดาองค์เอกของโลกก็ทรงรับรองถึงความมีอยู่จริง ในอีกมิติหนึ่งที่เราเข้าไปไม่ถึงและมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ปรากฏสิ่งมีชีวิตซึ่งมีรูปกายอันประณีต ละเอียดเล็กจนตาเนื้อไม่อาจเล็งแลได้ดุจเดียวกับ ‘เชื้อจุลินทรีย์’ เชื้อจุลินทรีย์ก็ดี เชื้อไวรัสก็ดี เชื้อบักเตรีก็ดี ชีวิตเล็ก ๆ เหล่านี้นักวิทยาศาสตร์และผู้คนทั่วโลกล้วนยอมรับว่ามีอยู่จริงและมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ต้องใช้เครื่องมือที่ควรกันเพื่อมอง
 
กล้องจุลทรรศน์จึงถือกำเนิดขึ้น
 
เช่นเดียวกัน เมื่อเราอยากเห็น ‘สิ่งมีชีวิต’ ที่อยู่ต่างภพภูมิก็จำเป็นต้องปรับจูนตาของเราให้มีประสิทธิภาพดีพอเยี่ยงกล้องจุลทรรศน์ เพื่อให้เห็นในสิ่งที่อยากเห็น แต่มิใช่ที่ตานอก หากเป็น ‘ตาใน’ ตาในที่แจ่มใสด้วยอำนาจฌาน-ญาณ ของสมเด็จพระบรมศาสดาและพระอรหันตสาวก รวมไปถึงผู้ออกเดินในเส้นทางแห่งภาวนาทั้งหลาย สายตาย่อมแจ่มชัดกว่าปุถุชนผู้หนากิเลสทั่วไป
 
ย่อมเห็นในสิ่งที่คนทั้งหลายไม่อาจเห็น และแม้จะพูดว่าได้เห็นอะไร ความหนาในใจก็ยังปิดกั้นให้นั่งรับฟังได้แต่ไม่ยอมเชื่อถือ คนจึงไม่กลัวบาป เพราะไม่เชื่ออย่างถึงใจว่านรกมี อสุรกายมี เปรตมี คนจึงไม่ทำบุญ เพราะไม่เชื่ออย่างถึงใจว่าสวรรค์มี พรหมโลกมี และไม่ปฏิบัติธรรมภาวนา เพราะไม่เชื่ออย่างถึงใจว่า พระนิพพานมี ดินแดนแห่งบรมสุขมีอยู่จริง
 
เหตุนี้พระพุทธองค์จึงทรง ‘ห้ามพูด’
ห้าม....แม้ว่าจะได้เห็นจริง
 
ดังนั้น ปริศนาของสิ่งลี้ลับในโลกเร้นลับ จึงยังคงครองความลี้ลับต่อไปได้อย่างสง่าผ่าเผย คนผู้พยายามไขหรือชี้แจงจึงมักเป็นเพียง ‘ตัวตลก’ ในสายตาของคนทั้งโลก
 
แต่ไม่เชื่อ ก็ใช่ว่าจะทำให้สิ่งนั้นไม่มี
 
หลวงพ่อกัสสปมุนี วัดปิปผลิวนาราม ต.หนองบัว อ.บ้านค่าย จ.ระยอง จึงให้ศิษย์ติดป้ายปริศนาอันหนึ่งไว้ในวัดข้างแท้งค์น้ำว่า
 
‘สิ่งไม่มี ไม่มีในโลก’
 
กัสสปมุนีภิกขุ
 

 
พญานาค เป็นอีกหนึ่งสัตว์โลกที่อาศัยอยู่ด้วยบุญ บาป เช่นเดียวกับเรา เป็นผู้อยู่ในอีกมิติหนึ่งอันใกล้ชิดกับมนุษย์อย่างยิ่ง จนบางคราวก็ได้ปรากฏออกมาให้พบเจอกันซึ่งก็มีทั้งโดยเจตนาและโดยบังเอิญ
 
พญานาค มีด้วยกันหลายตระกูล ถือกำเนิดด้วย ‘อุเบกขาสันตีรณกุศลวิบาก’ คือบุญที่มีบาปพัวพัน หลวงปู่ชอบ ฐานสโม วัดป่าสัมมานุสรณ์ อ.วังสะพุง จ.เลย เคยปรารภว่า ใครที่อยากเกิดเป็นนาคต้องอธิษฐานเอานะ ทำบุญแล้วอธิษฐานจิตให้มั่นคง แต่หากทำบุญภาวนาอย่างเดียวก็ไม่ได้เกิดเป็นนาคอีก ได้เป็นเทวดาไปเสียเมื่อตาย คนที่ได้เกิดเป็นนาคนั้น มักเป็นผู้บุญก็ทำบาปก็ทำและมีความยินดีในภพของนาค เมื่อตายลงไปบุพกรรมนั้นก็ชักนำให้ได้เป็นเกิดเป็นนาค
 
นาคบางพวกมีฤทธิ์น้อย เหล่านี้จึงตกเป็นอาหารของ ‘ครุฑ’ นาคบางพวกมีฤทธิ์มาก ครุฑจับกินไม่ได้ ซ้ำดีร้ายก็ยังต้องหนีเพราะนาคมีพิษที่ร้อนแรงยิ่งกว่าเพลิงกาฬ เมื่อครั้งที่ท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทัตโต นำคณะพระกรรมฐานหลายรูปเที่ยววิเวกอยู่ในป่าลึก ครั้นถึงบึงน้ำใหญ่ในป่าแห่งหนึ่งก็ดำริกันว่าจะพักกลดภาวนากัน ณ สถานที่นี้
 
พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
 

 
แต่ท่านพระอาจารย์มั่นนั้นทราบล่วงหน้าแล้ว เห็นล่วงหน้าแล้วแต่ไกล ถึงสิ่งลี้ลับที่อาศัยอยู่ในบึงแห่งนี้ นั่นคือ ‘พญานาค’ ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 3 ตน นาคทั้งสามเมื่อเห็นคณะพระธุดงค์เดินทางเข้ามาใกล้ ก็ให้อัศจรรย์กับรัศมีที่รุ่งเรืองแผ่ซ่านออกมาด้วยบุญบารมี นาคทั้งสามจึงเกิดความคิดอยากทดลองกำลังบุรุษผู้มีบุญเหล่านี้ จึงพากัน ‘คาย’ พิษที่รุนแรงยิ่งลงในน้ำ จากนั้นก็พากันหลีกหนีไปซุ่มดู
 
ท่านอาจารย์ใหญ่แม้เห็นดังนั้นแล้วก็นิ่งเฉยเสีย จนเดินทางมาถึงบึงน้ำจึงมีคำสั่งแก่หมู่คณะว่าห้ามตักน้ำในบึงมาใช้สอยดื่มกินเป็นอันขาด แล้วหันไปทางพระน้อยรูปหนึ่งสั่งความ ปรากฏว่าพระน้อยรูปนั้นก็ทราบมาแต่ไกลแล้วเช่นเดียวกับท่านอาจารย์ใหญ่ จึงรับบัญชาอาสาไป ‘ทรมาน’ นาคมิจฉาทิฏฐิเหล่านั้นให้คลายพยศลดมานะ
 
และท่านก็ทำสำเร็จได้ในเวลาไม่นานนัก ท่านพระอาจารย์ใหญ่จึงออกปากชมเชยถึงอำนาจจิตและคุณธรรมในพระน้อยองค์นี้เป็นที่ยิ่ง ไม่อาจทราบได้ว่าพระหนุ่มรูปนั้น ‘ปราบ’ พญานาคทั้งสามด้วยวิธีใดจนเขามายอมรับนับถือพระรัตนไตรและยอม ‘ถอน’ พิษที่รุนแรงนั้นออกจากน้ำ แต่ทราบแน่นอนว่าพระน้อยรูปนั้นชื่อ....
 
พระอาจารย์ชอบ ฐานสโม
 

 
จึงเห็นได้ว่าพิษนาคนั้นมีอานุภาพมาก แม้คายลงไปผสมปนเปกับน้ำปริมาณมหาศาลก็ยังไม่อาจเจือจางได้ หากคณะท่านพระอาจารย์มั่นไม่สูงส่งด้วยอำนาจญาณ ก็อาจต้องถึงแก่มรณภาพด้วยพิษนั้น และใครจะรู้ได้เล่าว่าพระธุดงค์ก็ดี ชาวบ้านก็ดี ที่ต้องถึงแก่ชิวิตด้วยการดื่มน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติบางแห่งจะไม่ได้ตายเพราะพิษนาค !
 
เพราะความที่อยู่บนพื้นฐานของความไม่เชื่ออย่างสุดโต่งนี้เอง จึงสันนิษฐานทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเป็นเรื่องของความบังเอิญบ้าง เป็นเหตุสุดวิสัยบ้าง เป็นโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ บ้าง แม้ครูบาอาจารย์จะกล่าวเตือนหรือท้วงติงอย่างไร ก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจคนมีทิฏฐิมานะสูงเหล่านั้นได้
 
จนกว่าจะได้รับผลของการกระทำ
 
ปัจจุบันคนทั่วโลกตื่นตัวกันมากและโจษจันไปทั่วกับสิ่งที่เรียกว่า ‘ภาวะโลกร้อน’ โลกร้อนขึ้น ทำให้ฝนตกหนักและตกผิดฤดู ทำให้หิมะละลาย ทำให้น้ำท่วม ทำให้แผ่นดินไหว เกิดภัยพิบัติต่าง ๆ จากธรรมชาติขึ้นไม่เว้นวัน คนที่เชี่ยวชาญในวิทยาศาสตร์ก็ออกมาอธิบายแบบวิทยาศาสตร์ คนที่เชี่ยวชาญในภูมิศาสตร์ก็ออกมาอธิบายแบบภูมิศาสตร์ แต่วันนี้จะขออธิบายแบบที่ผู้คนชอบเรียกกันว่า ‘ไสยศาสตร์’ แม้จะไม่ได้เชี่ยวชาญก็เถิด
 
เป็นที่รู้กันในกลุ่มคนที่ศึกษาพระพุทธศาสนาแบบทั่วไปและคนที่ศึกษาในระบบเทววิทยา ว่าเทวดาผู้ควบคุมฝนคือ พระพิรุณ และยังมีอีกพวกหนึ่งคือ นาค
 
อันฝนตกนั้นแน่นอนว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติ หาใช่การดลบันดาลจากใครไม่ แต่เชื่อไหมว่าแม้กระนั้นก็ยังมีผู้ที่คอยควบคุมอยู่เบื้องหลังอีกชั้นหนึ่ง การตกแบบธรรมชาติเขาก็ปล่อยให้ตกไป แต่บางคราวการตกแบบไม่ธรรมชาติ เขาก็ต้องทำ เช่น เมื่อมีการบวงสรวงร้องขอ เมื่อมีการประกอบพุทธาภิเษกสำคัญ ๆ ซึ่งอันนี้จะทำให้โปรยปรายเป็นฝอยละเอียดเพื่อเป็นศุภนิมิตถึงความชุ่มเย็น หรือตกหนักก่อนหน้าเพื่อ ‘ชะล้าง’ สิ่งสกปรกดังเช่นเมื่อตอนหลวงปู่ดู่จะปลุกเสกเหรียญเปิดโลก เป็นต้น
 
ดังนั้นเรื่องลม ฝน แผ่นดิน นอกจากจะจัดว่าเป็นสิ่งอันธรรมชาติรังสรรค์แล้วก็ยังแน่นอนได้ว่ามีผู้สามารถบังคับได้ทำงานอยู่อย่างที่เราไม่รู้ไม่เห็น
 
บอกแล้วว่าไม่รู้ไม่เห็น ไม่ได้แปลว่าไม่มี
 
ย้อนไปในปี พ.ศ. 2472 ยังมีพระมหาเถระผู้ทรงธรรมอันเลิศอยู่ด้วยกันหลายองค์ แต่ละรูปละองค์ก็ล้วนตั้งมั่นอยู่ในพระธรรมวินัยเป็นอันดี อีกทั้งยังเปี่ยมด้วยอำนาจฌาน-ญาณซึ่งเกิดจากการฝึกฝนจิตอย่างชนิดที่เรียกว่า “ไม่ตายก็ให้มันดี ไม่ดีก็ให้มันตาย”
 
พระมหาเถระดังกล่าวจึงนิยมในความสงบไม่พลุกพล่านวุ่นวาย ดังนั้น ภายใต้การนำของ พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) พระอริยเจ้าแห่งวัดบรมนิวาส พระนคร กับท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต แม่ทัพธรรม จึงนำพระภิกษุสามเณรจาริกไปยังเมืองเชียงใหม่ และได้พักจำพรรษาอยู่ ณ วัดเจดีย์หลวง ในปี พ.ศ. 2472 นั้นเอง
 
พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท)
 

 
ปีนั้นได้เกิดภัยแล้งแก่เมืองเชียงใหม่อย่างน่าเวทนาเป็นที่สุด ทั้งชาวไร่และชาวนาต่างได้รับความทุกข์เดือดร้อนอย่างสาหัส เพราะฝนไม่ตกเอาเสียเลยทั้งที่เข้าพรรษามานานแล้ว ทุกวันมีแต่แสงแดดแผดจ้าจนไม้ใหญ่ก็ล้มตายไม้เล็กก็ไม่ได้เกิด หนำซ้ำพืชผลที่พอได้ใช้อยู่ใช้กินก็พลอยตายกันหมดสิ้นมิพักต้องพูดถึงพืชเศรษฐกิจใด ๆ
 
ความทุกข์นี้ครอบงำไปทั่วนครเชียงใหม่ไม่เว้นแม้โดยรอบปริมณฑลอำเภอต่าง ๆ เสียงพร่ำบ่นถึงความทุกข์มีให้ได้ยินกันทุกวันจนแทบกลายเป็นคำทักทาย ในที่สุดเสียงทุกข์คร่ำครวญก็ดังเข้าสู่วัดเจดีย์หลวง
 
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
 

 
วันหนึ่งในตอนบ่าย ท่านเจ้าคุณอุบาลี ฯ ได้ออกจากกุฏิมาเรียกพระอาจารย์แหวน สุจิณโณ ว่า
 
“แหวน ๆ มานี่หน่อย”
 
เมื่อพระอาจารย์แหวนเข้าไปหาแล้วกราบลงเป็นที่เรียบร้อย ท่านเจ้าคุณอุบาลี ฯ ก็สั่งความว่า
 
“วันนี้ทำทางจงกรมให้หน่อยนะ ฝนแล้งเหลือเกิน จะเสก อิ ติ ปิ โส สักเจ็ดวัน เอาให้ฝนตกท่วมเมืองเชียงใหม่เลย...!!”
 
ครั้นพระอาจารย์แหวนกราบลาออกมาแล้วก็ไปเรียกสามเณรมาให้ช่วยดายหญ้าปรับพื้นที่ให้นูนสูงเป็นทางเดินยาวประมาณ 30 ก้าวเดิน เกลี่ยและปรับหน้าดินข้างบนให้เรียบเนียน เสร็จแล้วก็ไปกราบเรียนให้ท่านทราบ
 
และในเย็นวันนั้น เมื่อท่านเจ้าคุณอุบาลี ฯ สรงน้ำเรียบร้อยแล้วก็เป็นหัวหน้านำหมู่คณะไหว้พระสวดมนต์เจริญภาวนา ครั้นเสร็จธุระจากหมู่ ท่านก็เดินตรงไปยังทางจงกรมที่พระอาจารย์แหวนรับบัญชาไปทำไว้
 
จากนั้นท่านก็ขึ้นทางจงกรมพนมมือภาวนารำลึกถึงคุณพระรัตนตรัย เมื่อออกก้าวเดินท่านเจ้าคุณอุบาลี ฯ ก็หาได้กำหนดลมหายใจเข้าออกพร้อมบริกรรมพุทโธแต่อย่างใดไม่ หากท่านสวดสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย คือ อิติปิโส ฯลฯ จนจบ แล้วต่อด้วย สวากขาโต ฯลฯ แล้วต่อด้วย สุปฏิปันโน ฯลฯ อันเป็นบทสวดมนต์ธรรมดาที่เราสวดกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
 
แต่เมื่อจบบทพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วท่านได้สวดต่อว่า...
 
“อากาสัฏฐา จะ ภุมมัฏฐา เทวา นาคา มหิทธิกา ปุญญัง โน อนุโมทันตุ รักขันตุ โน สะทา” แล้วท่านก็ตั้งสัจจาธิษฐานด้วยเสียงอันดังว่า
 
“ขอให้มหาเมฆอันใหญ่ จงตั้งขึ้นในทิศปัจจิม ข้ามศีรษะของข้าพเจ้าไปยังทิศอุดร แล้วยังฝนให้ตกลงมายังพื้นปฐพีอันแห้งแล้งนี้ เพื่อบรรดาสัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลายผู้อาศัยอยู่ในปฐพี จะได้ดื่มกิน เพื่อยังพืชพันธุ์ธัญญาหารและมูลผลาหารทั้งหลายให้สมบูรณ์บริบูรณ์ในพื้นปฐพี เพื่ออนุเคราะห์สัตว์ทั้งหลายผู้อาศัยอยู่ในน้ำ มีน้ำแห้งกำลังจะตายให้รอดพ้นจากความตาย.....”
 
จากนั้นท่านก็สวดสรรเสริญคุณพระรัตนตรัยขึ้นใหม่อีกรอบหนึ่งแล้วสวด “อากาสัฏฐา....” จนจบต่อด้วยการตั้งสัจจาธิษฐานด้วยบุญญาบารมีของท่าน เป็นแต่เปลี่ยนทิศเรื่อยไปจนครบทิศทั้งสี่
 
ท่านเจ้าคุณอุบาลี ฯ เดินจงกรมและบริกรรมอย่างนี้ไปล่วงได้แล้ว 5 วัน พอย่างเข้าสู่วันที่ 6 ขณะที่องค์ท่านกำลังเดินจงกรมภาวนาอยู่ ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณ 18.00 น. เศษ ได้บังเกิดอัศจรรย์มีเสียงดังสะท้านสะเทือนเลื่อนลั่นมาจากทุกทิศทุกทาง มีลมพัดกรรโชกมาอย่างรุนแรงหอบเอาใบไม้แห้งและฝุ่นคลีปลิวคลุ้งทั่วไปในอากาศ บนท้องฟ้าปรากฏหมู่เมฆพยับปกคลุมให้อากาศมืดครึ้มลงอย่างรวดเร็ว เมฆดำทะมึนกระจายตัวล้อมไปทั่วบริเวณ เสียงฟ้าผ่าฟ้าร้องดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วกระทั่งแผ่นดินสะเทือน แสงฟ้าแล่บแปลบปลาบปรากฏอยู่ไม่ขาดระยะจนสว่างไปทั่วนครเชียงใหม่
 

 
แล้วฝนก็เริ่มสาดเม็ดโปรยปรายลงสู่แผ่นดินอย่างรุนแรงชนิดที่เรียกว่าใบไม้โงหัวไม่ขึ้น เสียงของสายฝนที่ตกกระหน่ำในวันนั้นหลวงปู่แหวนเล่าว่าดังราวกับรถไฟโบกี้ยาวที่วิ่งไปตามรางด้วยความรวดเร็ว
 
ฝนได้ตกหนักอย่างนี้อยู่ตลอดเวลามิได้หยุดเลยนับตั้งแต่เวลาหกโมงเย็นเศษของวันวาน จวบจนรุ่งเช้าจึงค่อย ๆ ซาลงและขาดเม็ด
 
ปรากฏว่าน้ำฝนจากภูสูงที่อยู่ล้อมเป็นปราการทั่วเมืองเชียงใหม่ได้ไหลหลั่งลงมาจากทุกทิศทุกทางท่วมตัวเมืองเชียงใหม่จนหมด เฉพาะภายในวัดเจดีย์หลวงเองน้ำทะลักท่วมสูงเกือบถึงโคนขา ทำให้พระภิกษุสามเณรออกบิณฑบาตไม่ได้ ศรัทธาญาติโยมต้องลุยน้ำหาบ-เทิน นำภัตตาหารเข้ามาส่งถึงภายในวัด
 
และในวันเดียวกันนี้ ท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทัตโต ผู้ซึ่ง ‘เฝ้าดู’ อาจารย์ของท่านกระทำอริยวิธีเพื่อสงเคราะห์สัตว์โลกอยู่ตั้งแต่หกวันก่อนแล้ว ก็ได้พูดกับท่านเจ้าคุณอุบาลี ฯ ผู้เป็นอาจารย์ว่า...
 
“เมื่อคืนนี้กระผมนั่งภาวนาอยู่ภายในกุฏิ กระผมกำหนดดูไปทางบริเวณดอยสุเทพก็ดี บริเวณดอยบวกห้าก็ดี เห็นมีพญานาคจำนวนล้านจำนวนโกฏิมิใช่จำนวนแสนจำนวนหมื่น พากันพ่นน้ำอยู่เต็มดอยทั้งสองจนหาที่ว่างไม่ได้อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน...”
 
นี่คือความอัศจรรย์ !!
 
อัศจรรย์ใจจากพระมหาเถระนาม พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) ผู้ทรงอรรถทรงธรรมและทรงคุณวิเศษอย่างยากจะหาผู้ใดเทียบได้ ท่านแตกฉานทั้งปริยัติและปฏิบัติมิได้หนักเอาเพียงข้างใดข้างหนึ่งจนเอียง ทรงไว้ซึ่งภูมิรู้โดยที่ไม่ต้องอวดแต่สามารถนำออกเมื่อถึงคราวอันควร
 
อัศจรรย์ใจกับบุญบารมีขององค์ท่านที่ไม่ต้องใช้เวทย์มนต์คาถาใด ๆ เสกเป่า ไม่ต้องตั้งขันครูหัวหมูบายศรี หรือ ประกอบพิธีแห่นางแมว หากท่านสวดสรรเสริญคุณพระรัตนตรัยแล้วอ้างเอาบุญบารมีขององค์ท่านเองเป็นที่ตั้ง ดังความว่า...
 
“อากาสัฏฐา จะ ภุมมัฏฐา เทวา นาคา มหิทธิกา ปุญญัง โน อนุโมทันตุ รักขันตุ โน สะทา”
 
หมายความว่า ข้าแต่ภุมมเทวดา แล อากาศเทวดา ทั้งหลาย เทพ แล หมู่นาค ผู้ทรงมหาอิทธิฤทธิ์ ขอจงได้พากันอนุโมนาซึ่งบุญที่ข้าพเจ้าทั้งหลายได้กระทำ แล้วจงช่วยกันพิทักษ์รักษาพวกข้าพเจ้าด้วย...
 
ดังนั้น หมู่เทพและนาคที่แห่แหนกันมาดลบันดาลเมฆ ลม และฝน ให้ตกอย่างหนักนั้น จึงมิได้มาด้วยถูกบังคับจากเวทย์มนต์คาถา มิได้มาเพราะต้องการเครื่องเซ่นสรวงบูชา หากมาเพราะประสงค์จะ ‘อนุโมทนา’ ซึ่งบุญของพระอริยเจ้าเหล่านั้น และเพื่อ ‘บูชา’ ซึ่งพระอริยเจ้าเช่นท่านเจ้าคุณอุบาลี ฯ ก็เมื่อ ‘พระอรหันต์’ ร้องขอ มีหรือทวยเทพจะไม่ยินดียิ่งต่อการทำถวายเพราะหวังบุณย์อันไพบูลย์
 
นี่คือเหตุการณ์หนึ่งที่อาจพิสูจน์ได้ด้วยตาและด้วยใจของคนผู้ร่วมเหตุการณ์หรือมีความศรัทธาเป็นฐานอยู่แล้วให้หนักแน่นเข้าว่า ‘นาค’ สามารถควบคุมน้ำได้ตามใจปรารถนา หากเพียงน้ำและฝนส่วนใหญ่นั้นหมู่นาคก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเอง แต่เมื่อต้องการจะควบคุม ก็ไม่ใช่เรื่องยากจนเกินทำ
 
หลวงปู่คำพัน โฆสปัญโญ วัดธาตุมหาชัย เคยบอกว่า “นาคมีสามธาตุ โดยมีธาตุน้ำเป็นหลัก” น้ำจึงเป็นสิ่งจำเป็นของนาค เป็นเครื่องหล่อเลี้ยง เป็นที่อยู่อาศัย หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ถึงปรารภว่า “ที่ใดมีแหล่งน้ำธรรมชาติ ที่นั่นก็มีนาค”
 
ครั้งที่ประเทศจีนประกาศจะระเบิดเกาะแก่งแหล่งหินในลำน้ำโขงตลอดสาย เพื่อเบิกทางให้น้ำลึกมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะต้องการเป็นเจ้าเป็นใหญ่ในทางเศรษฐกิจด้วยการนำเรือเดินสมุทรวิ่งขึ้นล่องไปตามแม่น้ำโขงโดยไม่ต้องอ้อมเวียตนาม กัมพูชา
 
ระเบิดเกาะแก่งในแม่น้ำโขง
 
คิดได้อย่างไร ? แม่น้ำโขงนั้นถือได้ว่าเป็น ‘มหานทีแห่งชีวิต’ เพราะเป็นแม่น้ำนานาชาติ ทุกประเทศที่อยู่ติดลำน้ำมิได้อาศัยแม่น้ำโขงเพียงเพื่อสัญจรไปมา หากยังใช้ชีวิตพึ่งพิงอิงอยู่กับน้ำ ทั้งอาบ ดื่ม ซัก ล้าง และหาอยู่หากิน คือทอดแห ตกปลา แม้กระทั่งเลี้ยงปลาในกระชังก็ทำ
 
ปลาบึก ปลาเนื้ออ่อน ปลาตะโกก ฯลฯ ปลาต่าง ๆ สัตว์น้ำต่าง ๆ ในแม่น้ำโขงได้อาศัยเกาะ แก่งแอ่งหินต่าง ๆ เป็นที่หลบภัยและวางไข่ ทำให้ระบบนิเวศน์และชีวิตในลำน้ำโขงยังปรากฏอยู่ตามธรรมชาติตราบจนทุกวันนี้
 
แต่จีนอยากระเบิดทิ้ง !!
 
เพียงเพื่อสนองความอยากใหญ่ในระบบเศรษฐกิจ อยากเป็นผู้นำแห่งเอเซียทั้งด้านการทหารและการค้า โดยลืมทุกสิ่งทุกอย่างหมดสิ้น ไม่เว้นแม้กระทั่งมารยาทและคุณธรรม
 
จีนบอกกับทุกประเทศที่แม่น้ำโขงไหลผ่านว่าให้ร่วมมือกันระเบิดเกาะแก่งเพื่อล่องเรือใหญ่ เมื่อหลายประเทศพากันคัดค้านไม่เห็นด้วยจีนก็ออกไม้ตายว่าถ้าไม่ยอมตามก็จะทุ่มงบประมาณขุดแม่น้ำสายใหม่ขึ้นมาในจีนให้ไหลไปออกอีกทางนัยว่าเซี่ยงไฮ้ แล้วจะทำการสร้างเขื่อนใหญ่กั้นแม่น้ำโขงไว้ให้ไหลไปตามทางสายใหม่ไม่ไหลมาทางเดิม
 
และจีนก็นำร่องด้วยการระเบิดเกาะแก่งแหล่งหินดอนในแม่น้ำโขงไปหลายจุดแล้วในส่วนที่ไหลอยู่ในเขตประเทศจีน เป็นเหตุให้เกิดดินโคลนและตะกอนพัดพากันมาทับถมอยู่ตามแนวตลิ่ง และหาดทราย ตลอดทางที่แม่น้ำไหลนับจากใต้ตำแหน่งที่ระเบิดลงมา คนที่มีพื้นเพอยู่ตามแนวแม่น้ำโขงต่างพบกับปัญหานี้กันถ้วนหน้า
 
นี่คือจีน
 
แม่น้ำโขงที่มีมาเป็นพันเป็นหมื่นปีก่อนคนที่คิดอย่างนี้จะเกิด ต้องมาจบลงด้วยวิธีการอย่างนี้ล่ะหรือ ? หลายคำถามประดังใส่ผมจากคนที่คุ้นเคย
 
ผมตอบไปตามความ ‘งมงาย’ ส่วนตัวทันทีว่า ไม่มีทางหรอก ผมเชื่อโดยส่วนตัวของผมเองอย่างจริง ๆ จัง ๆ ว่าในแม่น้ำโขง เป็นที่อาศัยของหมู่นาค เป็นทางออก ทางเข้า ทางขึ้นลงที่ใหญ่ที่สุดแล้วในโลกของปวงนาค เขาหรือจะยอมให้จีนประเทศมหาอำนาจแบบโลก ๆ แต่ไม่ใช่มหาอำนาจแบบธรรมชาติอย่างที่พวกเขาเป็นมาทำลาย
 
ผมพูดกันตั้งสองปีมาแล้วว่าถ้าจีนยังดันทุรังจะทำอย่างที่บอก รับรองได้ว่าจีนจะได้พบกับความ ‘วิบัติ’ อย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน เพราะนาคไม่ใช่จะควบคุมได้เพียงแค่น้ำ แต่ถ้าจำต้อง ‘บังคับ’ ธาตุทั้งสี่เขาก็ทำได้เช่นกัน
 
แล้วไม่นานจีนก็น้ำท่วมหนัก...
แล้วก็แผ่นดินไหวอย่างหนัก...!!
 
ราวสองสามปีก่อนผมได้คุยกับอาจารย์เวทย์ อาจารย์บอกว่าพวกนาคโกรธมากที่คนทำให้แหล่งน้ำธรรมชาติสกปรก ไม่ว่าจะทิ้งขยะ ทิ้งสิ่งปฏิกูลลงไปมากมาย ซ้ำคนบนโลกส่วนมากก็ไม่มีศีลธรรมกัน ไม่เชื่อบุญเชื่อบาป หนำซ้ำพวกเขาลอยประทีบบูชาคุณพระพุทธเจ้าก็พากันหาว่าเป็นธรรมชาติสร้างบ้าง คนสร้างขึ้นมาบ้าง เพราะพญานาคไม่มีอยู่จริง เป็นเรื่องแต่ง สรุปคือไม่เชื่อ ไม่นับถือนาค แล้วเขาก็บอกกับอาจารย์เวทย์ว่า ให้เตรียมตัวให้ดี
 
“มนุษย์ทำให้พวกเราเดือดร้อน คราวนี้เราจะทำให้มนุษย์เดือดร้อนบ้าง”
 
ด้วยคำปฏิญาณที่น่ากลัวเช่นนี้ อาจารย์เวทย์จึงถามถึงหนทางที่จะพอบรรเทาได้ นาคบอกว่าหากเป็นคนดีมีศีลมีธรรม ก็จะได้รับความคุ้มครองให้ปลอดภัย นอกนั้นตายหมด และยังบอกอีกว่าถ้านับถือพวกเรา เราก็จะช่วยให้รอด ใครที่มีสิ่งอันเป็นเครื่องระลึกถึงเรา เราก็จะขึ้นมาช่วย
 
ดังนั้น อาจารย์เวทย์จึงหารือกับครูอำพล เจน จนได้เกิด ‘พญานาคาธิบดี’ ขึ้นมาทั้งสองรุ่น และรุ่นที่ 3 กำลังจะออกให้บูชาในเร็ววันนี้
 
ผมคุยกับครูอำพลถึงเรื่องน้ำท่วมหนักอย่างไม่เคยมีมาก่อน บ้านที่ไม่เคยท่วมก็ยังท่วม หนักขึ้นเรื่อย ๆ หนักขึ้นทุกปี และกระจายตัวไปทั่วโลกอย่างน่าประหลาด เกิดขึ้นทุกทวีป ทุกประเทศ แม้ประเทศที่อยู่บนแผ่นดินสูงหรือที่ราบเชิงเขาอย่างสวิสเซอร์แลนด์ก็ยังมีน้ำท่วมหนักจนเสียหายไปหลายล้านได้แบบไม่น่าเชื่อ ครูอำพลพูดสั้น ๆ ว่า
 
“นี่แค่หนังตัวอย่าง หนังจริงยังไม่ฉาย…!!”
 
ผมก็อ้าปากค้างไปเท่านั้น และครูยังย้ำอีกว่า “ต่อเอ๋ย ถ้ามีปฐวีธาตุก็ให้นำมาใส่ ถ้ามีพญานาคาธิบดีอยู่แล้วจะรุ่นไหนก็ให้เอามาใส่ เรารักใครชอบใครเป็นห่วงใครก็หาให้เขาใส่ ส่วนใครที่จะไม่เชื่อก็เป็นกรรมของเขา ให้เจ้าใส่ไว้ ให้นับถือบูชาไว้ แล้วจะได้รู้”
 
ปกติครูอำพลจะไม่ค่อยพูดถึงการใส่วัตถุมงคลในเชิงแนะนำหรือบังคับ มักปล่อยให้เป็นไปตามอัธยาศัยของหมู่พวก แต่สำหรับเรื่องนี้ดูท่าครูอำพลท่านจะมี ‘ข้อมูล’ ดี ๆ เชิงลึกที่คนอื่นยังไม่รู้ซ่อนเร้นอยู่ในใจอีกมาก ทว่าเล่าไปคงไม่สะดวกจึงใช้วิธีพูดเชิงแนะนำว่าให้ใส่ไว้ ให้บูชาไว้
 
เพราะเขาสร้างขึ้นมาเพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้โดยเฉพาะ
 
หากใครเป็นผู้ที่สนใจในเรื่องราวของสิ่งศักดิ์สิทธิ์และครูบาอาจารย์ผู้วิเศษคงเคยได้ยินชื่อเสียงกิตติคุณของท่านผู้นี้แม้จะไม่เคยเห็นตัว
 
หลวงปู่สรวง
 

 
ท่านจะเป็นใครและเป็นอะไรกันแน่ทุกวันนี้ก็ยังหาคนรู้ชัดได้ยาก แต่ที่เห็นกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันคือความอัศจรรย์ที่ท่านทำ เป็นอัศจรรย์ที่เมื่อเผยแพร่ออกไปก็กลายเป็น ‘นวนิยาย’ หรือ ‘หนังอินเดีย’ ไปทันที เพราะมีความมันส์อยู่ในเนื้อเรื่องเหมือนได้เห็นตัวละครเหาะเหินเดินอากาศ
 
เดินตากฝนไม่เปียก นั่งอยู่ใต้น้ำได้หลายชั่วโมงโดยไม่มีอุปกรณ์ดำน้ำและไม่ตาย ปรากฏตัวได้ในเวลาเดียวกันถึงสามแห่ง กระทืบแผ่นดินทีเดียวตัวเลขดัชนีดาวน์โจนส์ในสหรัฐก็เลื่อนไปตรงกับตัวเลขที่บอกชาวบ้านว่าจะเป็นหวย เอามือคลึงท๊อฟฟี่ให้คนขับรถที่ง่วงจนเหลือทนอมแล้วหายง่วงขับรถได้อีกนับสิบชั่วโมง เอามือไปลูบหน้าอกผู้หญิงที่เป็นมะเร็งระยะที่สามแค่นั้นก็หายขาดไม่ต้องผ่าตัดรักษาใด ๆ ศิษย์บ่นยากกินต้มปลาก็เอามือล้วงลงในย่ามหยิบเอาปลาดุกปลาช่อนสด ๆ ออกมาหลายตัวให้ไปต้มกิน จะไปไหนขึ้นรถแล้วชี้นิ้วบอกทางอย่างเดียวทั้งที่ท่านไม่เคยไปคนขับรถก็ไม่เคยไปแต่ก็ไม่เคยหลงไม่เคยพลาดไปมาแล้วทั่วประเทศไทย ฯลฯ
 
สิ่งเหล่านี้คือ ‘ปาฏิหาริย์’ เพียงส่วนหนึ่งในหลายร้อยเรื่องที่หลวงปู่สรวงบันดาลให้เกิด คนที่ใกล้ชิดพบเห็นกันอยู่เป็นประจำจนเกิดศรัทธาอย่างไม่คลอนแคลน หากคนไกลกลับมองเป็นสิ่งงมงายและสร้างขึ้นเพื่อลวง ส่วนจะลวงกันเพื่อเหตุผลอะไรก็คิดค้นกันได้ตามอัตภาพ
 
จากการที่คุณอาสุธน ศรีหิรัญ ได้ตามเก็บข้อมูลเรื่องราวของหลวงปู่สรวงเพื่อนำมาเผยแพร่ ได้ไปพบกับพระเถระรูปหนึ่งซึ่งเคยเจอหลวงปู่สรวงและมีข้อมูลบางอย่างที่น่าประหลาดใจยิ่งนัก จึงขออนุญาตนำความนั้นมาบอกเล่าเพื่อให้พวกเราได้พิจารณากัน
 
ท่านพระครูจันทธรรมานุโยค (ลมัย จันทโร) อายุ 80 ปี เจ้าอาวาสวัดโคกตาเขียว อ.สังขะ จ.สุรินทร์ เป็นพระสงฆ์อีกรูปหนึ่งที่หลวงปู่สรวงเดินทางมาพบโดยที่ท่านไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เมื่อมาถึงแล้วหลวงปู่ก็ได้กระทำกฤษดาภินิหารให้ท่านพระครูได้เห็นหลายอย่างเป็นที่น่าอัศจรรย์ เช่น ตีฆ้องใหญ่ด้วยไม้นวมจนปุ่มตียุบเข้าไป เรียกเงินธนบัตรและเหรียญให้หล่นลงมาจาก ‘อากาศ’ แล้วมอบให้ท่านพระครูเก็บไว้สร้างวัด ฯลฯ
 
อภินิหารเหล่านี้ท่านแสดงให้ท่านพระครูได้พบเห็นเพื่อเป็นการปลูกศรัทธา หลวงปู่สรวงมาหาท่านพระครูนับได้ทั้งสิ้นราว 7 ครั้ง ครั้งที่ 6 เป็นสิ่งที่มาสัมพันธ์กับเรื่องราวของพวกเรา กล่าวคือหลวงปู่สรวงได้พูดกับท่านพระครูลมัยเป็นภาษาเขมรราวกับคำสั่งเสียมีใจความว่า
 
“ในปีพ.ศ. 2550 ถึง พ.ศ. 2555 หางนาคกวาดน้ำให้โลกมาได้ครึ่งหนึ่งแล้ว กำลังจะกวาดน้ำขึ้นมาล้างโลก จะเกิดน้ำท่วมโลกใหญ่ คนไม่ดีไม่มีศีลธรรมจะตายไปมาก ส่วนคนดีคนมีศีลธรรมจะอยู่รอดปลอดภัยได้
 
ปี 2555 นะ คนที่ว่าเก่งอยู่ในเมืองไทยจะอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่มุมไหนของประเทศก็แล้วแต่ พ่อแม่ญาติพี่น้องไม่ต้องสู้นะ จะตายหมด น้ำทะเลตีข้างล่างได้ครึ่งโลกแล้ว ไม่ใช่ครึ่งประเทศนะ ครึ่งโลกแล้ว มาบอกให้หยุดทะเลาะกันนะ ไม่ต้องอยากชนะกันให้ออกไป อย่ามีเวรมีกรรมต่อกันเลย
 
แล้วพวกที่ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์นี่นะ ไปก่อน นางนาคเป่าน้ำทะเลเต็มหมด มันจะไปแต่พวกนี้ ประมาณสองชั่วโมงกว่า ๆ น้ำก็ตีเข้ามาท่วมภูเขา มีทั้งขี้ดินขี้โคลนเข้ามา พวกทำไม่ดีตายหมด
 
เทวดาตัดสินเอง เจ้ากรรมนายเวรตัดสินเอง ไม่ต้องกลัวเลย 2555 นางนาคเป่าน้ำท่วมทั้งน้ำทั้งดินตายวอด คนที่ไม่ดีตายหมด คนดีไม่ตาย คนดีมันเป็นเอง ไม่ตาย จะรอด คอยดูเถอะ นางนาคจะกลับเอาน้ำขึ้นข้างบนสามวันสามคืน มีลูกเห็บ ถูกใครตายระเนระนาดนะ ถ้าคนมีศีลห้าไม่ถูก เพราะเราไม่ได้กบฎพระเจ้าอยู่หัวนะ คนที่กบฏ คนที่อยากชนะผืนแผ่นดินตายแน่”
 
หลวงพ่อลมัยนั้นมีความเชื่อในหลวงปู่สรวงเป็นทุนอยู่แล้ว เมื่อท่านพูดขนาดนี้จึงมีความตระหนกอยู่มิใช่น้อย ได้บอกกับหลวงปู่สรวงว่า
 
“ถ้าน้ำท่วมมากขนาดนั้น อย่าว่าแต่คนไม่ดีไม่มีศีลธรรมเลย แม้คนดีก็คงจะไม่รอดเหมือนกัน จะทำอย่างไรได้ พอมีหนทางช่วยเหลือไหม”
 
หลวงปู่สรวงนิ่งอยู่อึดใจจึงบอก ‘คาถา’ เพื่อเป่าน้ำไม่ให้ท่วมตัวมีใจความที่ออกเสียงตามภาษาเขมรจริง ๆ ว่า
 
“อ้ม เกร๊อะ เกร๊อะ เกร๊อะ เตียงตึ๊ก เกร๊อะ ตึงได อ้มสติสวาหะ”
 
เมื่อผมรับทราบถึงคาถานี้ก็ได้โทรศัพท์ทางไกลหาครูอำพล เจน ทันที แล้วลงมือเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ปรากฏว่าครูค่อนไปทางเชื่ออยู่มาก เพราะเพื่อนรุ่นเดียวกับครูเป็นตำรวจอยู่ที่อุบล ฯ หลวงปู่สรวงได้เดินทางมาหาถึงโรงพักโดยที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแล้วบอกว่านายตำรวจคนนี้เคยเป็นลูกของท่านเมื่อในอดีต จึงเดินทางมาเพื่อเยี่ยมเยียน
 
แล้วได้แสดงอภินิหารหลายอย่างหลายประการจนเป็นที่น่าอัศจรรย์และเป็นที่น่าปวดหัวแก่ตำรวจทั้งสถานี อาทิ ถามเขาว่าขังคนพวกนี้ไว้ทำไมน่าสงสาร เมื่อตอบท่านว่าเขาทำผิดกฎหมาย ท่านฟังแล้วก็นิ่งอยู่ แผลบเดียวท่านไปเป่ากุญแจเขาหลุดออกหมดปล่อยผู้ต้องหาออกมาเดินเฉย อย่างนี้เป็นต้น
 
เมื่อผมเล่าเรื่องคาถานี้ให้ครูอำพลฟังท่านก็รีบต่อสายไปถึงเพื่อนสนิทที่มีเชื้อสาย ‘เขมร’ จริง ๆ ในจังหวัดศรีสะเกษ เพื่อนก็บอกว่าคาถาที่พูดมาในทีแรกนั้นในภาษาเขมรแล้วไม่มีเหตุเพราะออกเสียงผิด ที่ถูกควรต้องออกเสียงอย่างนี้จึงถูกต้อง แล้วก็พูดช้า ๆ ชัดถ้อยชัดคำให้ฟัง ซึ่งทุกคำที่ถูกต้องผมก็ได้นำมาลงไว้แล้วดังบรรทัดบน พร้อมกับแปลเป็นภาษาไทยให้ฟังว่า
 
“อ้ม แปลว่า ลุง เกร๊อะ แปลว่า ดื่ม ซึ่งโดยมากมักหมายถึงการดื่มสุราเป็นหลัก เตียง คือ บึงน้ำ บ่อน้ำใหญ่ ตึ๊ก หมายถึง น้ำ แหล่งน้ำ ตึงได หมายถึง แขนขา ในที่นี้แปลว่า สาขาที่แตกย่อยออกไปของแม่น้ำลำคลองลำธารต่าง ๆ สติ ก็คือสติ สวาหะ เป็นคำคาถา ดังนั้นโดยรวมจึงหมายความว่า คุณลุงดื่มน้ำ แล้วก็ดื่ม ดื่ม ดื่ม ได้อย่างกับบึงบ่อที่ไม่รู้จักอิ่มน้ำ เหมือนมีสาขาย่อยแยกน้ำออกไปไม่รู้จักเต็ม แต่ถึงดื่มขนาดนั้นก็ยังมีสติ”
 
มองไม่เห็นว่าจะศักดิ์สิทธิ์ตรงไหน
แต่เชื่อเถิดว่า ‘ศักดิ์สิทธิ์’ จริง
 
เพราะที่บ้านน้อยผมนั้นน้ำท่วมได้ท่วมดีทุกปีจริง ๆ แฟนหนังสือศักดิ์สิทธิ์หลายท่านที่เคยเข้าไปหาผมถึงบ้านในหน้าน้ำ ได้เคยมีประสบการณ์ร่วมกันมาแล้วว่า น้ำท่วมบ้านผมมันน่าสงสารขนาดไหน มันท่วมหนักมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 ไม่มีปีไหนที่น้ำจะไม่ท่วมท้นล้นเข้ามาจนถึงห้องนอนเลยแม้สักปีเดียว
 
แต่นับจากวันที่ได้รู้จักกับคาถานี้แล้วทดลอง ‘เป่า’ ด้วยตัวเองตามมีตามเกิด เชื่อเถิดครับสามปีติดกันแล้วน้ำไม่เคยท่วมบ้านผมอีกเลย ทำให้ผมต้องขวนขวายห

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 13 มิถุนายน 2553 11:04:00 »



 

นาคาธิบดีสีสัตตนาคบาดาล ตอน 1
  • มูลเหตุที่เกิดรูปราชาแห่งนาคทั้งปวง (พญานาค 7 เศียร) ซึ่งได้นำไปสถาปนา ฤทธิคุณและเดชคุณ เป็นปฐมที่เมืองหลวงพระบางก่อนจะจบปัจฉิมที่เมืองอุดรธานี เนื่องด้วยพยากรณ์ของสุนทรธรรมากร (หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ) วัดธาตุมหาชัย จังหวัดนครพนม
  • “หลังหลวงปู่ตาย 3 ปี บ้านเมืองจะเริ่มวุ่นวายเดือดร้อนให้พวกเจ้าศรัทธา และ บูชาพญานาค ก็จะพ้นวิกฤตินั้นได้”
    พยากรณ์นี้สอดคล้องกับพยากรณ์โบราณของเจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ก (พระครูขี้หอม) ผู้บูรณะพระธาตุพนม ระหว่างปี พ.ศ. 2233 – 2235

  • “ปี 2555 เมืองไทยจะเกิดวิกฤติ จนถึงขั้นอาจตกต่ำลงไป”

  • และยายชีนวล วัดภูฆ้องคำ อายุ 90 กว่าปี อดีตเพื่อนสำเร็จตัน (ศิษย์
  • สำเร็จลุน) ได้ย้ำพยากรณ์นี้ว่า

  • “เริ่มแล้วนะ (2549) เค้าของความวุ่นวายเดือดร้อนจะปรากฏชัดเจน ขึ้นเรื่อย จนอีก 5 ปีข้างหน้า, ถ้าเป็นผู้อยู่ในศีลธรรมจะปลอดภัย”

  • พยากรณ์เหล่านี้ไม่ใช่พุทธทำนายที่ถือเป็นพยากรณ์โลก แต่เป็นแค่
  • พยากรณ์ของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่ทำนายเฉพาะถิ่น คือจำกัดอยู่เพียงบ้านเมืองของเราเท่านั้น
    กลัวไหม?

  • แม้ไม่มีทางทราบว่าพยากรณ์เหล่านี้จะจริงหรือเท็จ, ผมรับว่ากลัว
    เมื่อกลัว ต้องหาที่ยึดเหนี่ยว
    มวลชนชาวขลังย่อมรู้ว่าที่ยึดเหนี่ยวของพวกเขานั้น มักจะคล้ายๆกันหรือ
  • เหมือนกัน
    อาจกล่าวได้ว่ารูปราชาแห่งนาคนี้เกิดด้วยเหตุ 2 ประการ คือ ความกลัว
  • ต่อภัยที่ยังไม่ทราบว่าจะเป็นอะไร อย่างไรในอนาคต และเกิดด้วยการชี้นำของครูบาอาจารย์หลายองค์
    บางทีจะมีเหตุประการที่สามซ้อนเข้ามาด้วย นั่นคือความเป็นเครื่องระลึกถึง และบูชาคุณผู้พิทักษ์พุทธศาสนา
    ความเชื่ออันมั่นคงของชาวพุทธที่ว่า เหล่าพญานาคทั้งปวงเป็นผู้พิทักษ์
  • พระศาสนามาช้านานนับพันปีนั้นเป็นความจริงที่ปรากฏในวัดพุทธทั่วโลก
    พญานาคเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับพระพุทธศาสนามาโดยตลอด

  • ครั้งแรกที่พญานาคปรากฏตัวในพุทธศาสนา น่าจะเป็นคราวที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ใต้ร่มพระศรีมหาโพธิ์ แล้วเสด็จออกจากที่นั่นมาประทับที่ใต้ร่มต้นจิก และทรงเสวยวิมุติสุข (สุขจากการหลุดพ้น) อยู่ 7 วัน
    ไม้จิกที่พระพุทธองค์ทรงประทับเสวยวิมุติสุขนั้นอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา
  • ตำบลอุรุเวลา และอยู่ห่างจากต้นพระศรีมหาโพธิ์ออกมาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้เล็กน้อย
    ในมุจจลินทสูตรกล่าวว่า “สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคตรัสรู้ใหม่ๆ ประทับอยู่
  • ควงไม้มุจลินท์ (จิก) ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคประทับนั่งเสวยวิมุติสุขด้วยบัลลังก์อันเดียวตลอด 7 วัน”

  • บัลลังก์อันเดียว คือประทับนั่งอยู่กับที่แห่งเดียวตลอด 7 วัน
  • “สมัยนั้น อกาลเมฆใหญ่บังเกิดขึ้นแล้ว ฝนตกพรำตลอด 7 วัน มีลมหนาว
  • มาประทุษร้าย (อกาลเมฆ คือเมฆฝนนอกฤดูกาล) ครั้งนั้นแลพระยามุจลินท์นาคราช ออกจากที่อยู่ของตนมาวงรอบพระกายของพระผู้มีพระภาคด้วยขนดหาง 7 รอบ แผ่พังพานใหญ่เบื้องบนพระเศียร ด้วยตั้งใจว่า ความหนาวอย่าได้เบียดเบียนพระผู้มีพระภาค ความร้อนอย่าได้เบียดเบียนพระผู้มีพระภาค สัมผัสแห่งเหลือบ ยุง ลม แดด และสัตว์เลื้อยคลานอย่าได้เบียดเบียนพระผู้มีพระภาค”

  • พญามุจลินท์สัตตมัง เป็นพญานาค 7 เศียร ได้ถวายการอารักขาพระ
  • พุทธองค์จนพ้นจากแดดลมฝน และสรรพสิ่งที่อาจรบกวนพระองค์ตลอด 7 วัน
    นี่คือเหตุแห่งการเกิดพระพุทธรูปปางนาคปรก ซึ่งเชื่อว่าเป็นปางที่เป็นที่สุดแห่งความสุขสมบูรณ์ พร้อมกันนั้นก็เป็นครั้งแรกสุดของการปวารณาตนของพญานาค เพื่อทำหน้าที่พิทักษ์พระพุทธศาสนาตลอดมาจนวันนี้

  • พญานาค มีจริงหรือไม่
    บนพื้นฐานของความเชื่อในเรื่องพญานาคนั้น มีพระไตรปิฎกเป็นหลัก ด้วยมีการกล่าวถึงพญานาคอยู่หลายวาระ แม้ผู้ไม่เชื่อในเรื่องพวกนาคก็ยังคงสงบปาก ไม่วิจารณ์เพราะเกรงว่าบางทีพญานาคอาจมีจริง
    ผู้เข้าอุปสมบทเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนาแม้ไม่เชื่อ หรือไม่รู้จักพญานาค ย่อมรู้จักอัตรายิกธรรมทุกคน

  • อัตรายิกธรรม คือข้อขัดข้องที่จะทำให้ผู้นั้นบวชเป็นพระภิกษุไม่ได้ ซึ่งมีอยู่ 8 ข้อ อันพระอุปัชฌาย์จะต้องถามผู้ขอบวช 8 คำถาม
  • 1 ใน 8 คำถามนั้นคือ
    “ท่านเป็นมนุษย์หรือไม่”

  • ความจริงของเรื่องนี้มีปรากฏชัดเจนในพระไตรปิฎก พญานาคตนหนึ่งฟังธรรมของพระพุทธองค์จนบังเกิดความเลื่อมใส คิดออกบวชเพื่อติดตามพระพุทธองค์ ซึ่งเวลานั้นเป็นห้วงครึ่งพุทธกาล อันพระพุทธองค์ได้ทรงอนุญาตให้คณะสงฆ์เป็นคณะอุปสมบทผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนาได้ พญานาคตนนั้นสบโอกาส จึงขอบวชกับคณะสงฆ์ และได้เป็นพระภิกษุสมใจปรารถนา
    หลังจากบวชแล้ว พญานาคตนนั้นได้พำนักในวัดที่พระพุทธองค์ประทับอยู่ (วัดชื่ออะไรไม่ทราบ....ลืม) เพื่อจะได้อยู่ใกล้ชิดพระพุทธองค์ แต่ความที่เป็นพญานาคจึงมีความเป็นอยู่แตกต่างไปจากมนุษย์ คือในขณะหลับโดยไร้สติในกุฏิของตนนั้น ร่างเดิมของพญานาคก็จะปรากฏขึ้น บังเอิญมีพระภิกษุรูปหนึ่งมาเห็นเข้าจึงนำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระพุทธองค์ และได้ทรงเรียกพญานาคตนนั้นเข้าเฝ้าให้พญานาคสิ้นสุดความเป็นภิกษุ แล้วทรงเมตตาประทานโอวาทธรรมเพื่อเป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติแก่พญานาค

  • เมื่อพญานาคผิดหวังในการบวช จึงทูลขอถวายคำว่า นาค ให้แก่ผู้ขอบวชเพื่อเป็นอนุสรณ์ พระพุทธองค์ทรงเมตตาตามคำทูลขอนั้น จึงเป็นเหตุให้เกิดคำว่า บวชนาค และเกิดอัตรายิกธรรม เป็นต้นมา
    บางทีการที่ทรงประทานอนุญาตนามนาคก่อนบวชเป็นพระภิกษุ อาจด้วย
  • เหตุอีกประการหนึ่งหนุนอยู่ นั่นคือ สมัยอดีตชาติหนึ่งของพระพุทธองค์ ทรงเคยเสวยชาติเป็นพญานาคชื่อว่า ภูริทัตต์ รวมถึงพุทธสาวกอีกหลายองค์ ที่มีอดีตชาติเป็นพญานาค อย่างเช่น พระสารีบุตรและพระอานนนท์ ซึ่งเคยเป็นพญานาคชื่อว่า เทวทัตนาคราช

  • พญานาคเกี่ยวข้องแน่นแฟ้นและลึกซึ้งกับพระพุทธศาสนาเช่นนี้จึงไม่มี
  • ปัญหาอะไรกับการประทานนามนาค เอาไว้เป็นเครื่องรำลึกถึง

  • พญานาคคืออะไร

  • เมื่อพูดถึงความเป็นพญานาค ต้องรับว่าเกิดจากความเชื่อ ซึ่งยากจะหาข้อบ่งชี้ หรือพิสูจน์ให้เห็นจริงได้
    เปรียบเสมือนเรื่องผี ที่มีทั้งผู้เชื่อว่ามี และไม่เชื่อว่ามี
    แต่พญานาคก็มีเรื่องราวกล่าวถึงมากมายทั้งในตำรา และคำบอกเล่าของผู้รู้ ผู้เคยสัมผัส
  • ในพระไตรปิฎกกล่าวถึงกำเนิด 4 แห่งพญานาคเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า
    1. พญานาคเกิดจากไข่
    2. พญานาคเกิดจากครรภ์
    3. พญานาคเกิดจากเถ้าไคล หรือที่ชื้นแฉะ
    4. พญานาคเกิดขึ้นเองคล้ายเทวดา

  • ในที่นี้จะกล่าวถึงการเกิดขึ้นเองอย่างเทวดา
    พญานาคเป็นชาติภพอีกชั้นหนึ่ง มีความละเอียดและพิเศษกว่าสัตว์โลกหรืองูทั่วไป คือ มีสภาวะเป็นทิพย์ มีกำเนิดในลักษณะเดียวกับเทวดา เป็นการเกิดแบบที่เรียกว่า โอปปาติกะ โดยมีบุพกรรมเป็นตัวกำหนด
    ภพภูมิของพญานาค คือหนึ่งในภพภูมิของเทวดา ซึ่งมีอยู่ 16 ชั้น (ดังที่
  • ปรากฏในบทสวดธัมมจักกัปปวัตนสุตตัง) โดยแบ่งเป็นกามาวจรภพ 6 ชั้น และ
  • อกามาวจรภพ 10 ชั้น เหตุที่แบ่งออกมาเป็น 2 กลุ่ม ก็เพราะว่าทั้ง 2 กลุ่ม มีความแตกต่างกัน คือ กลุ่มแรกที่มี 6 ชั้นนั้น เป็นภพภูมิที่ยังติดอยู่ในสุข ยังเสพย์กาม ส่วนกลุ่มหลังที่มี 10 ชั้นนั้น ไม่ติดอยู่ในกามแล้ว
    เรียกว่า กามาวจรภพ เป็นภพภูมิของเทวดาชั้นต่ำ ส่วนอกามาวจร เป็นภพ
  • ภูมิของเทวดาชั้นสูง

  • 6 ชั้นของกามาวจรภพ มีดังนี้
    1. ภุมมานัง (ชั้นต่ำสุด)
    2. จาตุมมะหาราชิกา โดยมีชั้นละเอียดกว่าซ้อนอยู่อีกชั้น เรียกว่าจาตุมะหาราชิกานัง แต่ก็ถือว่าเป็นชั้นที่ 2 ด้วยกัน
    3. ตาวะติงสา เรานิยมเรียกชั้นนี้ว่า ดาวดึงส์ จนถึงชั้นเปรียบเทียบว่ามีความสุขเหมือนขึ้นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และในชั้นนี้ยังมีรายละเอียดเข้าไปอีก คือ ตาวะติงสานัง
    4. ยามา ก็มีซ้อนกันอีกชั้นหนึ่งที่ละเอียดกว่าคือ ยามานัง
    5. ตุสิตา ที่เรียกว่าสวรรค์ชั้นดุสิต ก็ยังมีที่ละเอียดเข้าไปอีกคือ ตุสิตานัง
    6. นิมมานะระตี ซึ่งละเอียดประณีตเข้าไปอีกเป็น นิมมานะระตีนัง, ปะระนิมมิตะวะสะวัตตี และ ปะระนิมมิตะวะสะวะตีนัง
    กล่าวคือ 6 ชั้นภพภูมิแรกนี้เป็นภูมิของเทวดาชั้นหยาบ จากชั้นที่ 7 ขึ้นไปเป็นชั้นละเอียดและสูงกว่าจนถึงชั้นสุดท้าย คือชั้นที่ 16 ที่เรียกว่าชั้นอะกะนิฏฐะกา รวมแล้วเรียก 10 ชั้นนี้ว่า ชั้นพรหม หรือสวรรค์ชั้นพรหม ส่วน 6 ชั้นแรกเป็นชั้นต่ำ และไม่ถือว่าเป็นพรหม
    ภพภูมิของพญานาคนั้นอยู่ชั้นแรกสุดคือ ชั้นภุมมานัง ซึ่งไม่มีความโลภ แต่ยังมีราคะ และโทสะ
    พญานาคจึงมีทั้งคุณและโทษอยู่ในตัว
    ภพภูมิ ชั้นภุมมานัง ยังคงเป็นภพภูมิของเทวดาที่มีทิพยอำนาจเหนือธรรมดา และอยู่ใกล้ชิดภพภูมิของมนุษย์มากที่สุด
    แหล่งกำเนิดของพญานาค มีทั้งบนบกและในน้ำ เรียกตามพระไตรปิฎกว่า ถลชะ เกิดบนบก และ ชลชะ เกิดในน้ำ

  • กำเนิดพญานาคในแบบอุบัติขึ้นเอง ที่เรียกว่า แบบโอปปาติกะนั้น เกิดได้ทั้งบนบกและในน้ำ
    คือนอกจากจะอาศัยบุพกรรมเป็นตัวกำหนดแล้วยังอาศัยสัญญาเป็นตัวพาให้เกิดด้วย
    พญานาคที่เกิดบนบกและในน้ำ มีการดำเนินชีวิตเหมือนกัน คือเป็นไปด้วยอำนาจทิพย์ สุดแต่จิตปรารถนา โดยมีเรือนกายที่ประกอบด้วยธาตุ 3 คือ ธาตุน้ำ, ธาตุลม และธาตุไฟ สามารถไปไหนมาไหนได้ทุกที่ และเสวยสมบัติทิพย์เหมือนเทวดา
    ส่วนฤทธิ์และอำนาจของพญานาคจะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับกรรมที่เคยสร้างไว้ในอดีตชาติเป็นตัวส่งผลดลให้ รวมทั้งรูปลักษณ์ของพญานาคเท่าที่มีผู้พบเห็นก็จะแตกต่างกันไปด้วย พญานาคตนใดบำเพ็ญเพียรภาวนาสร้างกุศลจะยิ่งมีลักษณะงดงาม และสามารถเนรมิตกายได้หลายรูปแบบ
    ด้วยความที่เป็นเพียงภพภูมิแรกสุดของเทวดา พญานาคจึงมีหลากหลายสายพันธุ์ และหลายอุปนิสัย ทั้งใจดีและดุร้าย

  • ดังเช่นความเชื่อของชาวหลวงพระบาง ยังเชื่อว่าหลวงพระบางเป็นแดนแห่งพญานาค และมีพญานาคอยู่ที่นั่นมากถึง 15 ตระกูล
    ถ้าจะเปรียบกับภพภูมิของมนุษย์ก็จะเหมือนชาติพันธุ์ของมนุษย์มีหลายเผ่าพันธุ์ มีทั้งไทย เขมร จีน ฝรั่ง แขก และคนผิวดำ เป็นต้น
    พญานาคก็คงจะแตกต่างทางสายพันธุ์เช่นเดียวกันนี้

  • สายพันธุ์ของพญามุจลินท์นาคราช คือ พญานาค 7 เศียร ซึ่งสืบสายพันธุ์มาจนถึง พญาศรีสัตตนาคราช (นาคาธิบดีสีสัตตนาคบาดาล) ซึ่งเชื่อว่าเป็นกษัตริย์แห่งพญานาคฝั่งลาว ส่วนฝั่งไทยคือ พญาศรีสุทโธนาคราช (นาคาธิบดีสีสุทโธ) เป็นกษัตริย์พญานาคฝั่งไทย แต่เป็นพญานาคเศียรเดียว ซึ่งกล่าวกันว่า ทั้ง 2 ราชาพญานาคนี้เป็นสหายกัน

  • เรื่องราชาแห่งนาคทั้ง 2 นี้ หลวงปู่คำพันธ์เคยเล่าไว้ว่า ในผืนแผ่นน้ำของประเทศไทยของเรานั้น มีพญานาคราชเป็นใหญ่นามว่า พญาศรีสุทโธ ท่านชอบจำศีลบำเพ็ญเพียร และปฏิบัติธรรม มีนิสัยอ่อนโยนมีเมตตา ไม่ชอบการต่อสู้ ชอบมาปฏิบัติธรรมที่พระธาตุพนม โดยมอบหมายให้เหล่าพญานาค 6 อำมาตย์ดูแลแทน ในระหว่างที่หลบมาจำศีลภาวนา

  • หลวงปู่เอ่ยชื่อ 6 อำมาตย์แห่งพญานาคไว้เพียง 3 คือ

  • 1. พญาจิตรนาคราช เป็นพญานาคที่รักสวยรักงาม มีเขตแดนปกครองของตน ตั้งแต่ตาลีฟู ถึงจังหวัดหนองคาย ตามแนวแม่น้ำโขง โดยมีที่สุดแดนอยู่วัดหินหมากเป้ง
    2. พญาโสมนาคราช มีเขตแดนปกครอง ตั้งแต่วัดหินหมากเป้ง มาจนถึงวัดพระธาตุพนม สุดเขตแดนที่แก่งกะเบา พญาโสมนาคราช มีอุปนิสัยคล้ายพญาศรีสุทโธนาคราช คือชอบปฏิบัติธรรม จึงเป็นที่ไว้วางใจ และโปรดปรานแก่พญาศรีสุทโธนาคราชมากกว่าพญานาคอื่น ๆ
    3. พญาชัยยะนาคราช มีเขตแดนจากแก่งกะเบา เรื่อยไปจนสุดแดนที่ปากแม่น้ำโขงลงทะเลในเขมร พญานาคตนนี้มีฤทธิ์เดชมาก ชอบการรณรงค์ทำสงคราม คือชอบการต่อสู้เป็นนิสัย

  • ส่วนฝั่งลาวนั้น มี พญาศรีสัตตนาคราช เป็นใหญ่เหนือพญานาคทั้งปวง เป็นพญานาคที่ทรงฤทธิ์ ทรงอำนาจเหนือกว่าพญานาคทั้งหลายใน 2 แผ่นดินนี้ แต่ท่านเป็นพญานาคที่ชอบจำศีลและประพฤติปฏิบัติธรรมเหมือนพญาศรีสุทโธนาคราช โดยชอบมาที่วัดพระธาตุพนมเหมือนกัน จนถึงกับมีการให้พันธะสัญญาแก่กันว่า หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องการความช่วยเหลือก็จะช่วยกันอย่างเต็มที่เต็มกำลังสามารถ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องน้อยใหญ่ประการใด

  • พญาศรีสัตตนาคราช มีความเด่นสง่าด้วยมี 7 เศียร ซึ่งถือได้ว่าเป็นตระกูลพญานาคที่มีมาแต่ครั้งพุทธกาล มีความใกล้ชิดพระพุทธองค์ และพระพุทธศาสนา จนอาจถือว่าเป็นต้นตระกูลแห่งพญานาคทั้งหมด

  • หลวงปู่คำพันธ์ยังได้กล่าวอีกว่า ส่วนใดที่อยู่ใกล้ต้นน้ำลำธาร หรือหากมี
  • พิธีกรรมอันใดเกิดขึ้น ให้อัญเชิญบอกกล่าวแก่เหล่าพญานาค พิธีกรรมนั้นจะศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง

  • เกี่ยวกับพญานาคที่วัดธาตุพนม มีเรื่องราวบันทึกไว้ว่า ในคืนขึ้น 15 ค่ำ
  • เดือน 11 ปี 2500 (วันออกพรรษา) คืนนั้นมีฝนตกหนัก นายไกฮวดและภรรยา ได้ลุกขึ้นมารองน้ำฝนไว้ดื่มกินตอนกลางดึก บังเอิญเห็นลำแสงแปลกประหลาดสว่างเป็นลำโต ขนาดต้นตาล 7 ลำแสง และมีสีสันแตกต่างกัน 7 สี สวยงามมาก โดยที่ลำแสงทั้ง 7 พุ่งมาจากฟากฟ้าทิศเหนือ ด้วยลักษณะแข่งกัน คือแซงกันไปแซงกันมา จนพุ่งเข้าซุ้มประตูวัดธาตุพนมแล้วก็หายไป
    มีสามเณรรูปหนึ่งในขณะนั้นประทับทรงบอกนายไกฮวดและภรรยาว่าลำ
  • แสงทั้ง 7 คือ พญานาค มาจากเทือกเขาหิมาลัย มาเพื่อปกปักรักษาพระธาตุพนม และช่วยเหลือประชาชนผู้ตกทุกข์ได้ยาก
    แต่หลวงปู่คำพันธ์บอกว่า นั่นเป็นพญาศรีสุทโธนาคราช และอำมาตย์ทั้ง 6 แสดงฤทธิ์

  • ในโอกาสที่ท่านได้บอกกล่าวเรื่องพญานาคนี้ ท่านจึงได้กล่าวพยากรณ์ดัง
  • ข้างต้นว่า พญานาคจะช่วยผู้ที่บูชาศรัทธาในพญานาคให้ผ่านพ้นอันตรายจากภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นหลังจากท่านมรณภาพไปแล้ว 3 ปี

  • นี่ก็ก้าวเข้าปีที่ 3 แล้ว จวนเจียนจะครบตามกำหนดในพยากรณ์ ซึ่ง
  • ท่านบอกว่าจงสังเกตดูให้ดีจะเห็นความวุ่นวายเดือดร้อนจะปรากฏขึ้นเรื่อย ๆ

  • หลวงปู่คำพันธ์มรณภาพ เมื่อ 24 พฤศจิกายน 2546

  • ผมก็ได้แต่ตั้งความหวังเอาไว้ว่า พยากรณ์ของท่านและเหล่าครูบาอาจารย์
  • ในอดีตจงอย่าได้เป็นจริง
    อย่างไรก็ตามพญานาคก็หาได้มีแต่ในพุทธศาสนา หรือเพิ่งเกิดมีขึ้นในสมัยพุทธกาล
    พญานาคมีมาก่อนสมัยพระพุทธเจ้าโคดมและปรากฏตัวอยู่ในศาสนาอื่นๆหลายศาสนา เฉกเช่นมนุษย์ก็ยังคงนับถือศาสนาไม่เหมือนกัน
    ชาวฮินดูถือว่าพญานาคเป็นสะพานเชื่อมโลกกับแดนเทพเทวา การสร้าง
  • เทวสถาน เช่น ปราสาทขอมทุกปราสาท จะมีสะพานนาค หรือบันไดนาคทอดยาวรับมนุษย์เข้าไปสู่แดนศักดิ์สิทธิ์ข้างในปราสาท

  • มีเรื่องเล่าไว้ในพระไตรปิฎก (มหาวรรค) ว่า ครั้งหนึ่งพระพุทธองค์เสด็จไปโปรดชฎิล 3 พี่น้อง ที่ตำบลอุรุเวลา คือ อุรุเวลากัสสป, นทีกัสสป และคยากัสสป ซึ่งชฎิลทั้ง 3 นี้ มิได้รู้จักพระพุทธองค์ ไม่ได้นับถือพระพุทธองค์ แต่พวกเขานับถือบูชาพญานาคมาช้านาน
    พญานาคที่ชฎิล 3 พี่น้องนับถือบูชาก็ไม่รู้จักและนับถือพระพุทธองค์เช่นกัน
    พุทธองค์ทรงขอเข้าพำนักในโรงบูชาไฟของพวกตนมีพญานาคดุร้าย
  • อาศัยอยู่ พระพุทธองค์หาได้หวั่นเกรงไม่
    พญานาคเห็นพระพุทธองค์เข้ามาก็ไม่พอใจ จนในที่สุดแสดงฤทธิ์สู้กัน แต่ก็พ่ายแพ้ต่อพระพุทธองค์ ถึงกับถูกพระพุทธองค์จับพญานาคนั้นขดไว้ในบาตร และทรงแสดงแก่ชฎิลทั้ง 3 ว่า
    “ดูกร กัสสป นี่พญานาคของท่าน เราครอบงำเดชของมันด้วยเดชของเราแล้ว”

  • หลังจากนั้น ทรงแสดงปาฏิหาริย์หลายอย่างจนคลายทิฐิมานะของชฎิลทั้ง 3 ได้ และสุดท้ายชฎิล 3 พี่น้อง ได้ขอบวชพร้อมทั้งบริวารหลายร้อยคน
    อีกครั้งหนึ่ง พระพุทธองค์เสด็จพร้อมพระอรหันต์ 500 รูป สู่เทวโลก ได้
  • เสด็จผ่านวิมานของเหล่านาคที่กำลังรื่นเริงสนุกสนานกัน วิมานนี้มี นันโทปะ นันทะนาคราช เป็นใหญ่เกิดความไม่พอใจในการเสด็จผ่านคราวนั้น จึงแสดงฤทธิ์เป็นนาคขนาดใหญ่พันโอบรอบเขาพระสุเมรุ ปิดบังทางผ่านไปสู่เทวโลกไว้ (ดาวดึงส์) แล้วร้องด่าท้าทายพระพุทธองค์อย่างสาดเสียเทเสีย
    พระอรหันต์สาวกรูปหนึ่งกราบทูลพระพุทธองค์ว่าให้ทรงเรียกพญามุจลินท์
  • นาคราชมาปราบนันโทนาคราช และพระพุทธองค์ทรงปฏิเสธ โดยตรัสบอกว่า เวลานี้ พญามุจลินท์กำลังทรงฌานอยู่ ไม่ทรงอยากเรียก ทรงเกรงจะเป็นบาปกรรม
    ซึ่งถือเป็นตัวอย่าง ต่อมาในภายหลังว่า เวลาพระภิกษุกำลังบำเพ็ญเพียร
  • สมาธิภาวนาอยู่ไม่ควรรบกวน เพราะจะเป็นบาปนั่นเอง

  • พญามุจลินท์ก็กำลังอยู่ในสมาธิภาวนาเช่นกัน

  • ในที่สุดทรงอนุญาตพระโมคคัลลาน์ให้เป็นผู้ปราบนันโทนาคราชจนสิ้นฤทธิ์
    เรื่องพญานาคเกเรที่ปรากฏในพระไตรปิฎกเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าพญานาคนั้นมีอยู่แล้ว และเป็นพญานาคที่ไม่รู้จักพุทธศาสนาอีกด้วย
    พญานาคทั้งปวงจะเลื่อมใสศรัทธา และกลายเป็นผู้พิทักษ์พระศาสนานั้น
  • ไม่ง่ายเลย
    เดชานุภาพ คุณานุภาพของพระพุทธองค์มีเป็นล้นพ้น
    เมื่อพญานาคหันหน้าสู่พุทธศาสนาแล้ว พญานาคก็อยู่คู่กับพุทธศาสนาตลอดมา
    และยังเป็นผู้เลื่อมใสในภารกิจพิทักษ์พระศาสนาที่ไม่เคยคลอนแคลนศรัทธา
  • (โปรดอ่านต่อตอน 2)

  • พิมพ์โดย .... คนเฝ้าสวน

บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 13 มิถุนายน 2553 11:04:11 »


 
 
นาคาฯ ตอน 2
 
 

  • นาคาฯ 2
พญานาคในเชิง ชีววิทยาไม่มีตัวตนจริง ดังนั้นความเห็นในเชิงนี้จึงเห็นพญานาคเป็นเพียงจินตนาการ และเป็นแค่สัญลักษณ์ที่มนุษย์คิดค้นแทนสิ่งที่มีอยู่จริงในโลก

  • ในเชิงสัญลักษณ์เห็นว่า พญานาค คือตัวแทนของน้ำ ดังเช่น สถาปัตยกรรมรูปเขาพระสุเมรุ ซึ่งมีมหาสมุทรล้อมรอบนั้น แทนที่จะทำเป็นรูปน้ำล้อมรอบ ก็ทำเป็นรูปพญานาคขดลำตัวล้อมเขาพระสุเมรุ โดยหมายเอาว่า พญานาค คือ น้ำ นั่นเอง
    โดยนัยแห่งความคิดเห็นหรือความเชื่อของนักวิชาการสมัยใหม่ เชื่อว่าพญานาคเป็นความเชื่อของคนรุ่นโบราณ ซึ่งความเชื่อเก่าแก่นี้จะมีพื้นฐานมาจากความงมงายไร้สาระ หรือจากอะไรก็ตาม ยังคงเป็นคำถามที่หาคำตอบที่แน่ชัดได้ยาก แต่เมื่อคนโบราณเชื่อเช่นนี้ ก็ส่งผลให้เกิดเป็นวัฒนธรรมประเพณีและเกิดรูปพญานาคในเชิงศิลป์เท่านั้น
    เคยสงสัยไหมว่า เหตุใดคนโบราณจึงมีความเชื่อในเรื่องพญานาค โดยที่ความเชื่อนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่กลุ่มคนกลุ่มเดียวหรือคนเพียงคนเดียว แต่ความเชื่อนี้กลับรุกล้ำเข้าในแทรกตัวอยู่ในลัทธิและศาสนาหลายศาสนา รวมทั้งคนอีกหลายเชื้อชาติหลายวัฒนธรรม
    ทำไมพญานาคจึงเกิดเป็นความเชื่อขึ้นมา

  • คำถามนี้ก็เหมือนอีกหลาย ๆ คำถาม เช่น ทำไมคนจึงเชื่อว่าผีมีจริง ทำไมคนจึงเชื่อเรื่องนรกและสวรรค์ ทำไมคนจึงเชื่อเรื่องเทวดาและนางฟ้า
    คำถามเหล่านี้ไม่สามารถตอบในเชิงวิทยาศาสตาร์ เพราะไม่สามารถพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนได้

  • ถ้าจะมองในแง่ของวิทยาศาสตร์ จะเห็นได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างต้องเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้ พิสูจน์ได้ จึงจะเป็นที่ยอมรับเชื่อถือ

  • เมื่อมองในเชิงนี้ก็จะเห็นทุกคำถามที่เกิดขึ้นนั้นเป็นของไม่มีจริงทันที
    ในที่สุดแล้วทั้งผี นรกสวรรรค์ เทวดานางฟ้า และพญานาคก็ป็นแค่ความเชื่องมงายไร้สาระ

  • ทั้งหมดที่เป็นความงมงายไร้สาระกลับปรากฏอยู่ในพุทธศาสนาและศาสนาอื่น ๆ หลายศาสนา นั่นย่อมหมายความว่าพุทธศาสนาที่กล่าวถึงเรื่องนี้ต้องเป็นศาสนาที่งมงายไร้ สาระด้วย
    คงต้องคิดดูว่าจะเลิกนับถือศาสนาเสียที เพราะว่ามีแต่เรื่องงมงายไร้สาระที่พิสูจน์ให้เห็นจริงไม่ได้เลย
    มีเรื่องตลกฝรั่งน่าคิดอยู่เรื่องหนึ่ง
    ชาย คนหนึ่งมีธุระจะไปที่ทำการไปรษณีย์ แต่ไม่ทราบว่าที่ทำการไปรษณีย์อยู่ที่ไหน บังเอิญเห็นนักบวชท่านหนึ่งอยู่แถวนั้นจึงปรี่เข้าไปถาม
    “คุณพ่อครับ ที่ทำการไปรษณีย์อยู่ไหน ช่วยชี้ทางให้ผมด้วย”
    “พ่อไม่รู้เหมือนกัน” นักบวชตอบ “แต่ถ้าลูกจะไปสวรรค์ พ่อก็พอจะชี้ทางไปสวรรค์ให้ลูกได้”
    นี่คือวิทยาศาสตร์กับความเชื่อ วิทยาศาสตร์เป็นรูปธรรม ส่วนความเชื่อเป็นนามธรรม แต่นักวิทยาศาสตร์ที่มีความเชื่อในเรื่องนาธรรมคือ ศาสนา ก็มีอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เขากล่าวไว้ว่า “ถ้าศาสนาใดจะเปรียบได้กับวิทยาศาสตร์ ศาสนานั้นคือพุทธศาสนา”
    ไอน์สไตน์ เห็นอะไรในพุทธศาสนา
    หากเขาไม่ด่วนตายไปเสียก่อน บางทีสิ่งที่เขาเห็นอาจจะกลายเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ในโลกแห่งวิทยาศาสตร์
    ถ้าจะพูดถึงพญานาคในแง่ของรูปธรรมกับนามธรรม คนต้องยกตัวอย่างเพื่ออธิบายให้เกิดความเข้าใจว่า ความเชื่อที่ถือที่เป็นนามธรรม เมื่อมาเกิดเป็นรูปธรรมนั้นมีลักษณะอย่างไร
  • เราเชื่อว่านายจัน หนวดเขี้ยว แห่งบ้านบางระจัน มีตัวตนจริงโดยไม่มีข้อสงสัย แต่เราไม่มีทางรู้ได้ว่านายจัน หนวดเขี้ยว มีหน้าตาอย่างไร เป็นคนสูงต่ำดำขาวแค่ไหน คนที่เคยเห็นนายจัน หนวดเขี้ยว ก็ตายไปหมดแล้ว ไม่มีภาพถ่ายของนายจัน หนวดเขี้ยวให้ดูอีกด้วย
    เราผู้เชื่อว่านายจัน หนวดเขี้ยว มีจริง แต่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตา จะเห็นนายจัน หนวดเขี้ยว โดยจินตนาการ (นามธรรม) ครั้นวาดรูปหรือปั้นรูปนายจัน หนวดเขี้ยว (รูปธรรม) ให้ปรากฏขึ้นมาก็อาศัยจินตนาการเป็นหลัก
    ช่างวาด 10 คน ช่างปั้น 10 คน จะทำรูปนายจัน หนวดเขี้ยว ไม่เหมือนกัน
    แต่ ทุกคนดูรูปนายจัน หนวดเขี้ยวจากฝีมือช่างทุกฝีมือก็รู้ และเข้าใจตรงกันว่านี่คือ นายจัน หนวดเขี้ยว โดยยึดลักษณะที่ว่ามีหนวดเฟิ้ม และเรียวโง้งขึ้นไปทั้ง 2 แก้ม ซึ่งลักษณะนี้แม้จะเกิดด้วยจินตนาการ แต่มีพื้นฐานจากข้อเท็จจริงคือ เกิดจากเอกสารและคำบอกเล่าของผู้ที่เคยเห็นนายจัน หนวดเขี้ยว ได้บอกเล่าหรือจดเอาไว้
    รูปพญานาคก็เช่นกัน คือเกิดขึ้นจากจินตนาการ และจินตนาการก็เกิดจากการได้รับฟังลักษณะของพญานาคจากผู้ที่เคยเห็นพญานาค อธิบายไว้
    พญานาคทุกฝีมือ ช่างทุกวัฒนธรรมก็ไม่เหมือนกัน แต่มีลักษณะเด่นที่เหมือนกันคือ มีลำตัวเหมือนงูและมีหงอนบนหัว
    ถ้าหากเป็นช่างฝีมือจัดเป็นเลิศ และมีจินตนาการลึกล้ำ หงอนของพญานาคก็ยิ่งสวยงามจนถึงกับเป็นลวดลายกนก ดังเช่น พญานาคในจินตนาการของช่างศิลป์ไทย
    แม้ว่าการเกิดรูปพญานาคกับการเกิดรูปนายจัน หนวดเขี้ยว จะเกิดด้วยจินตนาการเหมือนกัน แต่ความเชื่อในนายจัน หนวดเขี้ยว เป็นที่ยอมรับทั่วไป ส่วนความเชื่อในเรื่องพญานาคไม่เป็นเช่นนั้น
    คือมีผู้มาบอกว่าเคยเห็นนายจัน หนวดเขี้ยว คนทั้งหลายจะเชื่อว่า ผู้บอกนั้นเห็นนายจัน หนวดเขี้ยวจริง เพราะเชื่อเต็มหัวใจว่านายจัน หนวดเขี้ยวมีตัวตนจริง ตรงกันข้ามกับพญานาค ถ้าหากว่ามีผู้บอกเคยเห็น จะมีทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อ

  • อย่างไรก็ตามการเกิดรูปของพญานาคและเรื่องราวของพญานาคในพุทธศาสนา ในตำนาน ในนิทาน หรือในคำเล่าลือ ก็ยังคงเป็นสิ่งที่นักวิชาการสมัยใหม่เห็นว่านาคเป็นของไม่มีจริงในโลก ปัจจุบันอยู่ดี

  • ความเชื่อที่ว่าพญานาคไม่มีจริงจึงถูกตีความไปในเชิงสัญลักษณ์ และเมื่อพญานาคกลายเป็นสัญลักษณ์แล้วก็ถูกตีความต่อไปว่าสัญลักษณ์นั้นหมาย ถึงอะไร
    ตัวอย่างที่เป็นความเห็นของนักวิชาการสมัยใหม่ที่เห็นว่านาคไม่มีจริงแต่เป็นเพียงสั
    ญลักษณ์

  • “พุทธประวัติตอนหนึ่งที่มีการกล่าวถึงมูลเหตุของการบวชนาค ดูจะเป็นตัวอย่างที่ดีในการอธิบายถึงแนวความคิดผ่านภาวะ (Transition) เพราะเป็นการเปลี่ยนผ่านสถานะปกติจากบุคคลธรรมดาสามัญ หรือที่เรียกว่า เพศฆราวาส เพื่อเปลี่ยนเข้าสู่สถานะใหม่ที่มีความศักดิ์สิทธิ์เพิ่มขึ้นเป็นพระสงฆ์ หรือที่เราเรียกว่า เพศบรรพชิต ภาวะที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว จึงเป็นภาวะที่เกิดขึ้นระหว่างโครงสร้างปกติ (Structure) ทั้งที่เป็นโครงสร้างอันเก่าและโครงสร้างอันใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น สถานะที่อยู่ในช่วงนี้จึงยังคงกำกวม ผู้ที่ขอบวชเป็นนาคจึงมีข้อห้ามมากมาย เพราะการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนพื้นที่ทางวัฒนธรรม จากโครงสร้างที่มีระเบียบทางวัฒนธรรมแบบหนึ่ง ไปสู่โครงสร้างที่มีระเบียบทางวัฒนธรรมอันใหม่ที่แตกต่างออกไป ดังนั้นสถานภาพของผู้จะบวชที่เรียกว่า นาคนั้น จึงต้องถูกจำกัดพื้นที่ทางวัฒนธรรม โดยอาศัยกรอบทางพิธีกรรมกำหนดกฎห้ามเอาไว้
    เรื่องราวต่างๆ ของนาคที่ปรากฏเป็นตัวละครสัญลักษณ์ในนิทานทั้งหลายที่พยายามเลื่อนสถานะ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพุทธศาสนา ทั้งการก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง โดยอาศัยพิธีกรรม เช่นเรื่องราวในพุทธประวัติตอนที่พญานาคขอบวชอยู่ใต้ร่มบวรพระพุทธศาสนา หรือการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง โดยอาศัยรูปแบบทางชีวกรรมผ่านสายโลหิตเดียวกับพระพุทธเจ้า ดังเช่นในนิทานพระอุปคุตที่มีปลา เงือก งู เข้ามากินอสุจิของพระองค์ แล้วให้กำเนิดออกมาเป็นพระอุปคุต ซึ่งเป็นการเปลี่ยนผ่านทั้งรูปแบบสัญลักษณ์ของท้องถิ่นให้เข้ามาสูกระแสคติ ทางพุทธ เพื่อให้คติทั้งสองอยู่ร่วมกันได้ รวมทั้งเรื่องราวการปฏิบัติธรรมเพื่อสะสมบารมีของพญานาค เพื่อให้บรรลุมรรคผลเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า นาคที่ปรากฏในเรื่องรวที่ผ่านมาทั้งหมด จึงมีสถานะเป็นผู้ที่อยู่ระหว่าง (betwixt between) หรือมีฐานะอยู่ในภาวะที่เรียกว่าเปลี่ยนผ่าน (transitional state) ทั้งหมดนี้ เพื่อก้าวเข้าไปสู่ภาวะชีวิตที่ดีขึ้นแบบพุทธอุดมคติ อันถือเป็นอุดมคติสูงสุดในการดำเนินชีวิตนั่นเอง”

  • จะเห็นได้ว่าพญานาคในความหมายนี้เป็นเพียงสัญลักษณ์ของสังคมแบบชาวบ้าน ก่อนจะเข้าไปสู่สังคมแบบพระภิกษุ มูลเหตุที่เห็นนาคเป็นสัญลักษณ์อย่างนี้ ก็มาจากความเชื่อที่ว่านาคไม่มีตัวตน
    แต่กับผู้ที่เชื่อว่านาคมีจริง ก็จะเห็นตามพุทธประวัติว่า มีพญานาคมาขอบวชเป็นพระจริง และหลังจากนั้นพญานาคก็ขอถวายนามนาคเป็นที่ระลึกในการบวชของชาวพุทธจนทุก วันนี้
    เรื่องความเชื่อที่แตกต่างกันอย่างนี้เป็นเรื่องที่ชี้ขาดลำบาก ซึ่งคงต้องอาศัยคำพูดของหลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง ที่กล่าวถึงความเชื่อเรื่องผีว่า
    “ผู้ที่เคยเห็นผีก็จะเชื่อว่าผีมีจริง ผู้ที่ไม่เคยเห็นผี ก็จะเชื่อว่าผีไม่มีจริง”

  • ความเห็นในเชิงสัญลักษณ์ของนักวิชาการสมัยใหม่นั้นจะว่าไปแล้วก็น่าจะมีพื้น ฐานหรืออาศัยแนวความคิดเชิงโครงสร้าง-หน้าที่ (Structural-Functionalism) ซึ่งพัฒนามาจากทฤษฎีของเดอร์ไคม์ (Emile Durkheim) และใช้หลักการนี้ตีความทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสัญลักษณ์ในระดับความสัมพันธ์ ระหว่างศาสนาและสังคม
    ตัวเดอร์ไคม์เองก็แสดงความคิดเห็นไว้ว่า “สังคมคือระบบของการกระทำที่เกิดจากแรงผลักของกระบวนการทางสัญลักษณ์” และ “สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เกิดจากความสัมพันธ์ทางสัญลักษณ์เช่นกัน”
    แนวความคิดนี้จะมีพื้นฐานมาจากความเชื่อหรือไม่เชื่อเสียก่อน เมื่อไม่เชื่อเสียแล้วก็จะตีความทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสัญลักษณ์ไปหมด แต่ถ้าเชื่อก็จะไม่ตีความ หรือตีความไม่ได้
    สมมติว่า ภายใต้แนวความคิดในทฤษฎีของเดอร์ไคม์ ไม่เชื่อว่านายจัน หนวดเขี้ยวมีจริง นายจันและชาวบ้านบางระจันก็จะถูกตีความเป็นสัญลักษณ์เช่นกัน อาจเป็นสัญลักษณ์ของความรักชาติ สัญลักษณ์ของการป้องกันประเทศชาติ สัญลักษณ์ของความสามัคคี สัญลักษณ์ของความช่วยเหลือกันและกันในสังคม รวมทั้งสัญลักษณ์ของศาสนากับการรักชาติ (พระอาจารย์ธรรมโชติ) ซึ่งสัญลักษณ์อันนี้แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างศาสนากับชาวบ้าน แม้จะอยู่ในสภาวะสงครามก็ยังคงมีความเกี่ยวเนื่องกัน
    และหากเห็นว่าพม่าไม่มีจริง พม่าก็จะกลายเป็นสัญลักษณ์ของภัยจากภายนอกสังคมที่คนในสังคมต้องร่วมกันป้องกันและต่
    อสู้
    แต่นายจัน หนวดเขี้ยว และชาวบ้านบางระจัน ได้ป็นที่ยอมรับว่ามีจริง จึงไม่ถูกตีความในเชิงสัญลักษณ์
    อาจกล่าวได้ว่าทั้งหมดนี้ที่ได้อธิบายในเชิงสัญลักษณ์ของแนวความคิดเดอร์ไค ม์ มีพื้นฐานมาจากการไม่เชื่อทั้งสิ้น และผมก็ไม่เชื่อในเดอร์ไคม์ เพราะเดอร์ไคม์ไม่ใช่พ่อของผม ถึงแม้เดอร์ไคม์จะเกิดเป็นพ่อของผมจริง ๆ ผมก็มีสิทธิที่จะไม่เชื่อฟังพ่อของผมเหมือนกัน
    ดังนั้น ผมจึงเห็นว่าฝ่ายที่เชื่อว่าผีมีจริง เพราะว่าเคยถูกผีหลอกมาแล้ว ควรจะมีผมเป็นพวกพ้องด้วยคนหนึ่ง เผื่อว่าอีก 100 ปีข้างหน้า ชื่อของผมจะกลายเป็นสัญลักษณ์กับเขาบ้าง แม้จะเป็นสัญลัษณ์ของความงมงายไร้สาระก็เอา

  • เคยดูหนังเรื่องคนเหล็ก ภาค 3 ไหมครับ ในเรื่องนี้มีเหตุการณ์น่าขันอยู่ตอนหนึ่ง ซึ่งคนเหล็ก (อาร์โนลด์) กับพระเอก และนางเอก ซึ่งอยู่ในฐานะที่ทุกคนเข้าใจว่าเป็นตัวประกัน ได้เข้าไปในสุสานเพื่อเอาอาวุธที่แม่พระเอกฝังซ่อนเอาไว้ ต่อมานางเอกก็หนี หรือถูกตำรวจช่วยออกมาจากสุสานได้ ก็มีนักจิตวิทยาหรืออะไรจำพวกนี้มาช่วยปลอบขวัญตัวประกันตามหน้าที่
    “คุณเป็นยังไงบ้าง” นักจิตวิทยาปฏิสันถารก่อน
    “เขา...เขาไม่ใช่มนุษย์” นางเอกยังคงละล่ำละลักกับสิ่งที่ตัวเองประสบ ซึ่งก็คือ หุ่นยนต์คนเหล็กที่ตอนนี้ยังถูกล้อมไว้ในสุสาน โดยตำรวจหลายสิบนาย
    “อะไรนะ” นักจิตวิทยาถามเหมือนจะหาข้อมูล
    “เขาไม่ใช่มนุษย์จริง ๆ” นางเอกยืนยัน
    “ผมเข้าใจดี สำหรับภาวะจิตใจของตัวประกัน เพราะว่าผมก็เคยเป็นตัวประกันมาก่อน ความกลัวจะทำให้อะดรีนาลีนพลุ่งพล่าน ทำให้เกิดจินตนาการเห็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ สิ่งที่บ้าบอคอแตก สิ่งที่ไม่มีจริงในโลก...”
    ครั้นคนเหล็กแหกวงล้อมออกมาจากสุสาน นักจิตวิทยาท่านนั้นเห็นด้วยตามตนเองเข้าก็เผ่นแน่บไปก่อนเพื่อนแบบพลิกตำรา วิชาการที่ร่ำเรียนมาไม่ทัน

  • คนที่ไม่เชื่อว่าผีมีจริง วันหนึ่งโดนผีหลอกเข้าบางทีจะช็อคจนเสียสติไปก็ได้ ผิดกับคนที่เชื่อว่าผีมีจริงก็จะเห็นว่าผีเป็นเรื่องธรรมดา ผีจะหลอกกี่ครั้งก็เฉย ๆ ไม่ตกใจอะไร เพราะว่ามีความเชื่อและความเข้าใจในความเป็นผีเป็นอย่างดี

  • ยังมีท่านผู้หนึ่งซึ่งเชื่อว่า พญานาคมีจริงจนกระทั่งได้กล่าวกับผมว่า
    “ถ้ามีใครบอกว่า พญานาคไม่มีจริง ให้มาบอกผม ผมจะไปเถียงกับมัน ผมเห็นพญานาคมากับตาตนเอง 2 ครั้ง ผมขอยืนยันว่า พญานาคมีจริง” ท่านผู้นี้คือ นายบุญตา หาญวงศ์ ประธานกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดอุบลราชธานี (ประธาน กกต. อุบลฯ) ได้เห็นพญานาคด้วยตาตนเองที่บ้านเกิด คือ บ้านบ่อน้อย อ.เชียงยืน จ.อุดรธานี โดยได้เขียนเรื่องประสบการณ์ในการพบเห็นพญานาคไว้ในหนังสือที่ระลึกในคราว เกษียณราชการในตำแหน่งนายอำเภอเดชอุดม จ.อุบลราชธานี ในวันที่ 21 สิงหาคม 2531
    “เมื่อข้าพเจ้ามีอายุประมาณ 5 ขวบ จำความได้ดี บิดาได้ไปช่วยญาติดำนาที่นาทาม (นาในที่ล่ม) ท่านได้พาข้าพเจ้าไปด้วย ซึ่งเวลานั้นข้าพเจ้ายังเดินไม่คล่องสำหรับพื้นที่นานั้น ท่านจึงให้ข้าพเจ้าขี่คอ
    ทางที่จะไปนาของญาติต้องผ่านหนองใหญ่ประจำบ้าน เรียกว่า หนองเลิง มีความกว้างและลึกพอสมควร มีร่องน้ำไหลผ่าน ชาวบ้านได้สร้างทำนบปิดกั้นร่องน้ำไว้ เพื่อให้ระดับน้ำในหนองสูงขึ้น ชาวบ้านได้ใช้ทำนบนี้เป็นทางเดินผ่านไปมา แต่ในตอนนั้นเป็นฤดูฝน น้ำมากจนล้นหนองและท่วมทำนบ ประมาณหัวเข่า ชาวบ้านก็ยังคงอาศัยทำนบนี้เป็นทางสัญจร แม้จะต้องเดินลุยน้ำก็ตาม เนื่องจากว่าเส้นทางนี้จะลัดสั้นกว่าทางอื่น
    วันที่เห็นพญานาคนั้นเป็นเวลา 5 โมงเย็น บิดาและข้าพเจ้ากำลังลุยน้ำบนทำนบจะกลับบ้าน ข้าพเจ้ามองเห็นสัตว์ 2 ตัว คล้ายงูขนาดใหญ่ประมาณเสาหน้า 4”-5” มีสีเขียวทั้งตัว แต่พื้นท้องเป็นสีแดงสลับขาว ตั้งแต่คางถึงหาง ตัวหนึ่งมีหงอนคล้ายไก่ตัวผู้ อีกตัวมีหงอนตูม ๆ คล้ายไก่ตัวเมีย ทั้ง 2 ตัวกอดเกี้ยวเล่นน้ำเสียงดังตูมตามอย่างสนุกสนาน ทำให้น้ำเกิดระลอกคลื่นซัดมาไม่ขาดระยะ
    ข้าพเจ้ารู้สึกตื่นเต้นระคนดีใจประสาเด็ก ไม่เกิดความกลัวและถามบิดาว่านั่นอะไร บิดาข้าพเจ้าเอามือตีขาข้าพเจ้าเบา ๆ และกระซิบว่า ไม่ต้องพูด ดูเฉย ๆ แล้วก็ยังคงค่อยๆ พาข้าพเจ้าเดินห่างออกมาเรื่อย ๆ ส่วนข้าพเจ้าได้แต่เหลียวดูจนสัตว์ 2 ตัวนั้นอยู่สุดสายตาแล้วหายไป
  • เมื่อกลับถึงบ้านได้เล่าให้มารดาฟัง บิดาก็ห้ามไม่ให้ทั้งมารดาและข้าพเจ้าพูดเรื่องนี้ ซึ่งข้าพเจ้าไม่ทราบว่ามีเหตุผลอะไร”
    นี่เป็นการเห็นครั้งแรก ส่วนครั้งที่ 2 นั้น ท่านประธาน กกต. บุญตา หาญวงศ์ ได้เห็นในขณะอายุประมาณ 15 ปี

  • “ข้าพเจ้าเข้าไปเรียนหนังสือในตัวจังหวัด ซึ่งอยู่ไกลจากบ้าน 10 กว่ากิโลเมตร ตอนนั้นโรงเรียนปิดเทอม 15 วัน จึงเดินทางกลับบ้าน ซึ่งเวลานั้นน้ำในห้วยหลวงจวนเจียนจะล้นฝั่งแล้ว เพราะว่าเป็นฤดูฝน ข้าพเจ้าได้พำนักอยู่ที่บ้านจนถึงเวลาโรงเรียนจะเปิดเทอม บิดาจึงเดินมาส่งข้าพเจ้าในช่วงที่จะข้ามห้วยหลวง
    ขณะที่ข้าพเจ้าและบิดากำลังเดินข้ามห้วยหลวงโดยอยู่บนสะพานไม้ ก็มองเห็นงูขนาดใหญ่ตัวหนึ่งกำลังพันหลักไม้ที่โผล่พ้นน้ำ (หลักต้อน) กลางห้วย งูใหญ่ตัวนี้มีขนาดใกล้เคียงกับที่ข้าพเจ้าเคยเห็นตอนอายุ 5 ขวบ คือ ประมาณเสาไม้หน้า 4”-5” และเป็นงูที่มีลักษณะคล้ายกับที่เคยเห็นด้วย คือมีหงอนตูมเหมือนไก่ตัวเมีย มีลำตัวเป็นสีน้ำตาล ข้าพเจ้าถามบิดาว่า นั่นงูอะไร บิดาก็ห้ามข้าพเจ้าไม่ให้พูดอะไร ให้อยู่เงียบ ๆ
    เมื่อข้ามสะพานพ้นแล้วก็เดินไปจนไกลจากงูตัวนั้นประมาณ 200 เมตร ข้าพเจ้าก็เห็นงูตัวนั้นคลายขนดลำตัวจากการพันหลักไม้ออก แล้วลอยตามข้าพเจ้าและบิดามาจนทัน แล้วจากนั้นก็ลอยด้วยความเร็วเท่ากับการเดินของข้าพเจ้าและบิดา โดยอยู่ห่างกันประมาณ 10 เมตร จนกระทั่งข้าพเจ้าถึงที่หมาย คือบนฝั่งที่พ้นจากน้ำท่วม งูตัวนั้นก็เหหัวลอยจากไป
    แปลกที่ลักษณะการลอยตัวของงูใหญ่นั้นเป็นการลอยทื่อๆ ตรงๆ เหมือนท่อนไม้ ไม่คดไปมาเหมือนงูทั่วไป"
    นี่เป็นประสบการณ์ที่ท่านประธาน กกต. บอกว่า ทำให้เกิดความเชื่อว่าพญานาคมีจริง

  • ถ้าพูดถึงงูมีหงอนแล้ว ในเชิงชีววิทยาไม่มี แต่ก็มีการกล่าวถึงงูมีหงอนในนิทานเรื่อง “พรานงูเหลือม” ซึ่งนักวิจัยเห็นว่า พญานาคนั้นมาจากงูเหลือม
    นิทานเรื่องนี้กล่าวว่า งูเหลือมเมื่อมีอายุมากจะมีหงอน 7 หงอน จะอยู่ป่าไม่ได้ ต้องลงไปอยู่ในน้ำและกลายเป็นนาค
    ซึ่งข้อเท็จจริงแล้ว งูเหลือมแม้จะแก่เฒ่าแค่ไหนก็จะไม่มีหงอน ดังนั้นการโยงงูเหลือมให้เห็นเป็นรูปธรรมว่า พญานาคเกิดจากงูเหลือมจึงไม่เป็นความจริง และยังขัดแย้งกับกำเนิดพญานาคในพระไตรปิฎกอีกด้วย (ความมีอยู่ในตอนที่ 1)
    เรียกว่าไม่เป็นความจริงทั้งแง่ความเชื่อ และในแง่ของชีววิทยา
    ถ้าหากมีความเชื่อว่าพญานาคเป็นเทพตระกูลหนึ่งในชั้นภุมมานัง มีสภาวะเป็นทิพย์ มีทิพยอำนาจ สามารถเนรมิตกายได้หลายรูปแบบแล้ว ความพยายามที่โยงพญานาคให้มีตัวตนกับสัตว์ในโลกชีววิทยาจึงไม่สามารถทำได้ เช่นเดียวกับผี ซึ่งไม่อยู่ในภาวะของชีววิทยา แต่เป็นภาวะที่ไม่มีตัวตนในโลก จึงไม่สามารถโยงได้
    แต่กระนั้นตำนานหรือนิยายเรื่องแดร๊กคิวล่า หรือแฟรงเก้นสไตน์ ก็เป็นเรื่องที่โยงเอาผีมาเชื่อมกับมนุษย์ได้อยู่บ้าง ทว่านั้นก็เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการอย่างแท้จริง ผิดกับผีและพญานาค ซึ่งแม้เกิดรูปธรรมด้วยจินตนาการเหมือนกัน แต่มีพื้นฐานมาจากความเชื่อว่าพญานาคมีจริง
    เห็นจะต้องคุยต่อไปในฉบับหน้าแล้วครับ
  • (โปรดอ่านต่อตอน 3 )
  • พิมพ์โดย .... คนเฝ้าสวน

บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 13 มิถุนายน 2553 11:04:22 »




นาคาฯ ตอน 2
 
 

  • นาคาฯ 2
พญานาคในเชิง ชีววิทยาไม่มีตัวตนจริง ดังนั้นความเห็นในเชิงนี้จึงเห็นพญานาคเป็นเพียงจินตนาการ และเป็นแค่สัญลักษณ์ที่มนุษย์คิดค้นแทนสิ่งที่มีอยู่จริงในโลก

  • ในเชิงสัญลักษณ์เห็นว่า พญานาค คือตัวแทนของน้ำ ดังเช่น สถาปัตยกรรมรูปเขาพระสุเมรุ ซึ่งมีมหาสมุทรล้อมรอบนั้น แทนที่จะทำเป็นรูปน้ำล้อมรอบ ก็ทำเป็นรูปพญานาคขดลำตัวล้อมเขาพระสุเมรุ โดยหมายเอาว่า พญานาค คือ น้ำ นั่นเอง
    โดยนัยแห่งความคิดเห็นหรือความเชื่อของนักวิชาการสมัยใหม่ เชื่อว่าพญานาคเป็นความเชื่อของคนรุ่นโบราณ ซึ่งความเชื่อเก่าแก่นี้จะมีพื้นฐานมาจากความงมงายไร้สาระ หรือจากอะไรก็ตาม ยังคงเป็นคำถามที่หาคำตอบที่แน่ชัดได้ยาก แต่เมื่อคนโบราณเชื่อเช่นนี้ ก็ส่งผลให้เกิดเป็นวัฒนธรรมประเพณีและเกิดรูปพญานาคในเชิงศิลป์เท่านั้น
    เคยสงสัยไหมว่า เหตุใดคนโบราณจึงมีความเชื่อในเรื่องพญานาค โดยที่ความเชื่อนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่กลุ่มคนกลุ่มเดียวหรือคนเพียงคนเดียว แต่ความเชื่อนี้กลับรุกล้ำเข้าในแทรกตัวอยู่ในลัทธิและศาสนาหลายศาสนา รวมทั้งคนอีกหลายเชื้อชาติหลายวัฒนธรรม
    ทำไมพญานาคจึงเกิดเป็นความเชื่อขึ้นมา

  • คำถามนี้ก็เหมือนอีกหลาย ๆ คำถาม เช่น ทำไมคนจึงเชื่อว่าผีมีจริง ทำไมคนจึงเชื่อเรื่องนรกและสวรรค์ ทำไมคนจึงเชื่อเรื่องเทวดาและนางฟ้า
    คำถามเหล่านี้ไม่สามารถตอบในเชิงวิทยาศาสตาร์ เพราะไม่สามารถพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนได้

  • ถ้าจะมองในแง่ของวิทยาศาสตร์ จะเห็นได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างต้องเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้ พิสูจน์ได้ จึงจะเป็นที่ยอมรับเชื่อถือ

  • เมื่อมองในเชิงนี้ก็จะเห็นทุกคำถามที่เกิดขึ้นนั้นเป็นของไม่มีจริงทันที
    ในที่สุดแล้วทั้งผี นรกสวรรรค์ เทวดานางฟ้า และพญานาคก็ป็นแค่ความเชื่องมงายไร้สาระ

  • ทั้งหมดที่เป็นความงมงายไร้สาระกลับปรากฏอยู่ในพุทธศาสนาและศาสนาอื่น ๆ หลายศาสนา นั่นย่อมหมายความว่าพุทธศาสนาที่กล่าวถึงเรื่องนี้ต้องเป็นศาสนาที่งมงายไร้ สาระด้วย
    คงต้องคิดดูว่าจะเลิกนับถือศาสนาเสียที เพราะว่ามีแต่เรื่องงมงายไร้สาระที่พิสูจน์ให้เห็นจริงไม่ได้เลย
    มีเรื่องตลกฝรั่งน่าคิดอยู่เรื่องหนึ่ง
    ชาย คนหนึ่งมีธุระจะไปที่ทำการไปรษณีย์ แต่ไม่ทราบว่าที่ทำการไปรษณีย์อยู่ที่ไหน บังเอิญเห็นนักบวชท่านหนึ่งอยู่แถวนั้นจึงปรี่เข้าไปถาม
    “คุณพ่อครับ ที่ทำการไปรษณีย์อยู่ไหน ช่วยชี้ทางให้ผมด้วย”
    “พ่อไม่รู้เหมือนกัน” นักบวชตอบ “แต่ถ้าลูกจะไปสวรรค์ พ่อก็พอจะชี้ทางไปสวรรค์ให้ลูกได้”
    นี่คือวิทยาศาสตร์กับความเชื่อ วิทยาศาสตร์เป็นรูปธรรม ส่วนความเชื่อเป็นนามธรรม แต่นักวิทยาศาสตร์ที่มีความเชื่อในเรื่องนาธรรมคือ ศาสนา ก็มีอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เขากล่าวไว้ว่า “ถ้าศาสนาใดจะเปรียบได้กับวิทยาศาสตร์ ศาสนานั้นคือพุทธศาสนา”
    ไอน์สไตน์ เห็นอะไรในพุทธศาสนา
    หากเขาไม่ด่วนตายไปเสียก่อน บางทีสิ่งที่เขาเห็นอาจจะกลายเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ในโลกแห่งวิทยาศาสตร์
    ถ้าจะพูดถึงพญานาคในแง่ของรูปธรรมกับนามธรรม คนต้องยกตัวอย่างเพื่ออธิบายให้เกิดความเข้าใจว่า ความเชื่อที่ถือที่เป็นนามธรรม เมื่อมาเกิดเป็นรูปธรรมนั้นมีลักษณะอย่างไร
  • เราเชื่อว่านายจัน หนวดเขี้ยว แห่งบ้านบางระจัน มีตัวตนจริงโดยไม่มีข้อสงสัย แต่เราไม่มีทางรู้ได้ว่านายจัน หนวดเขี้ยว มีหน้าตาอย่างไร เป็นคนสูงต่ำดำขาวแค่ไหน คนที่เคยเห็นนายจัน หนวดเขี้ยว ก็ตายไปหมดแล้ว ไม่มีภาพถ่ายของนายจัน หนวดเขี้ยวให้ดูอีกด้วย
    เราผู้เชื่อว่านายจัน หนวดเขี้ยว มีจริง แต่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตา จะเห็นนายจัน หนวดเขี้ยว โดยจินตนาการ (นามธรรม) ครั้นวาดรูปหรือปั้นรูปนายจัน หนวดเขี้ยว (รูปธรรม) ให้ปรากฏขึ้นมาก็อาศัยจินตนาการเป็นหลัก
    ช่างวาด 10 คน ช่างปั้น 10 คน จะทำรูปนายจัน หนวดเขี้ยว ไม่เหมือนกัน
    แต่ ทุกคนดูรูปนายจัน หนวดเขี้ยวจากฝีมือช่างทุกฝีมือก็รู้ และเข้าใจตรงกันว่านี่คือ นายจัน หนวดเขี้ยว โดยยึดลักษณะที่ว่ามีหนวดเฟิ้ม และเรียวโง้งขึ้นไปทั้ง 2 แก้ม ซึ่งลักษณะนี้แม้จะเกิดด้วยจินตนาการ แต่มีพื้นฐานจากข้อเท็จจริงคือ เกิดจากเอกสารและคำบอกเล่าของผู้ที่เคยเห็นนายจัน หนวดเขี้ยว ได้บอกเล่าหรือจดเอาไว้
    รูปพญานาคก็เช่นกัน คือเกิดขึ้นจากจินตนาการ และจินตนาการก็เกิดจากการได้รับฟังลักษณะของพญานาคจากผู้ที่เคยเห็นพญานาค อธิบายไว้
    พญานาคทุกฝีมือ ช่างทุกวัฒนธรรมก็ไม่เหมือนกัน แต่มีลักษณะเด่นที่เหมือนกันคือ มีลำตัวเหมือนงูและมีหงอนบนหัว
    ถ้าหากเป็นช่างฝีมือจัดเป็นเลิศ และมีจินตนาการลึกล้ำ หงอนของพญานาคก็ยิ่งสวยงามจนถึงกับเป็นลวดลายกนก ดังเช่น พญานาคในจินตนาการของช่างศิลป์ไทย
    แม้ว่าการเกิดรูปพญานาคกับการเกิดรูปนายจัน หนวดเขี้ยว จะเกิดด้วยจินตนาการเหมือนกัน แต่ความเชื่อในนายจัน หนวดเขี้ยว เป็นที่ยอมรับทั่วไป ส่วนความเชื่อในเรื่องพญานาคไม่เป็นเช่นนั้น
    คือมีผู้มาบอกว่าเคยเห็นนายจัน หนวดเขี้ยว คนทั้งหลายจะเชื่อว่า ผู้บอกนั้นเห็นนายจัน หนวดเขี้ยวจริง เพราะเชื่อเต็มหัวใจว่านายจัน หนวดเขี้ยวมีตัวตนจริง ตรงกันข้ามกับพญานาค ถ้าหากว่ามีผู้บอกเคยเห็น จะมีทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อ

  • อย่างไรก็ตามการเกิดรูปของพญานาคและเรื่องราวของพญานาคในพุทธศาสนา ในตำนาน ในนิทาน หรือในคำเล่าลือ ก็ยังคงเป็นสิ่งที่นักวิชาการสมัยใหม่เห็นว่านาคเป็นของไม่มีจริงในโลก ปัจจุบันอยู่ดี

  • ความเชื่อที่ว่าพญานาคไม่มีจริงจึงถูกตีความไปในเชิงสัญลักษณ์ และเมื่อพญานาคกลายเป็นสัญลักษณ์แล้วก็ถูกตีความต่อไปว่าสัญลักษณ์นั้นหมาย ถึงอะไร
    ตัวอย่างที่เป็นความเห็นของนักวิชาการสมัยใหม่ที่เห็นว่านาคไม่มีจริงแต่เป็นเพียงสั
    ญลักษณ์

  • “พุทธประวัติตอนหนึ่งที่มีการกล่าวถึงมูลเหตุของการบวชนาค ดูจะเป็นตัวอย่างที่ดีในการอธิบายถึงแนวความคิดผ่านภาวะ (Transition) เพราะเป็นการเปลี่ยนผ่านสถานะปกติจากบุคคลธรรมดาสามัญ หรือที่เรียกว่า เพศฆราวาส เพื่อเปลี่ยนเข้าสู่สถานะใหม่ที่มีความศักดิ์สิทธิ์เพิ่มขึ้นเป็นพระสงฆ์ หรือที่เราเรียกว่า เพศบรรพชิต ภาวะที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว จึงเป็นภาวะที่เกิดขึ้นระหว่างโครงสร้างปกติ (Structure) ทั้งที่เป็นโครงสร้างอันเก่าและโครงสร้างอันใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น สถานะที่อยู่ในช่วงนี้จึงยังคงกำกวม ผู้ที่ขอบวชเป็นนาคจึงมีข้อห้ามมากมาย เพราะการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนพื้นที่ทางวัฒนธรรม จากโครงสร้างที่มีระเบียบทางวัฒนธรรมแบบหนึ่ง ไปสู่โครงสร้างที่มีระเบียบทางวัฒนธรรมอันใหม่ที่แตกต่างออกไป ดังนั้นสถานภาพของผู้จะบวชที่เรียกว่า นาคนั้น จึงต้องถูกจำกัดพื้นที่ทางวัฒนธรรม โดยอาศัยกรอบทางพิธีกรรมกำหนดกฎห้ามเอาไว้
    เรื่องราวต่างๆ ของนาคที่ปรากฏเป็นตัวละครสัญลักษณ์ในนิทานทั้งหลายที่พยายามเลื่อนสถานะ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพุทธศาสนา ทั้งการก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง โดยอาศัยพิธีกรรม เช่นเรื่องราวในพุทธประวัติตอนที่พญานาคขอบวชอยู่ใต้ร่มบวรพระพุทธศาสนา หรือการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง โดยอาศัยรูปแบบทางชีวกรรมผ่านสายโลหิตเดียวกับพระพุทธเจ้า ดังเช่นในนิทานพระอุปคุตที่มีปลา เงือก งู เข้ามากินอสุจิของพระองค์ แล้วให้กำเนิดออกมาเป็นพระอุปคุต ซึ่งเป็นการเปลี่ยนผ่านทั้งรูปแบบสัญลักษณ์ของท้องถิ่นให้เข้ามาสูกระแสคติ ทางพุทธ เพื่อให้คติทั้งสองอยู่ร่วมกันได้ รวมทั้งเรื่องราวการปฏิบัติธรรมเพื่อสะสมบารมีของพญานาค เพื่อให้บรรลุมรรคผลเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า นาคที่ปรากฏในเรื่องรวที่ผ่านมาทั้งหมด จึงมีสถานะเป็นผู้ที่อยู่ระหว่าง (betwixt between) หรือมีฐานะอยู่ในภาวะที่เรียกว่าเปลี่ยนผ่าน (transitional state) ทั้งหมดนี้ เพื่อก้าวเข้าไปสู่ภาวะชีวิตที่ดีขึ้นแบบพุทธอุดมคติ อันถือเป็นอุดมคติสูงสุดในการดำเนินชีวิตนั่นเอง”

  • จะเห็นได้ว่าพญานาคในความหมายนี้เป็นเพียงสัญลักษณ์ของสังคมแบบชาวบ้าน ก่อนจะเข้าไปสู่สังคมแบบพระภิกษุ มูลเหตุที่เห็นนาคเป็นสัญลักษณ์อย่างนี้ ก็มาจากความเชื่อที่ว่านาคไม่มีตัวตน
    แต่กับผู้ที่เชื่อว่านาคมีจริง ก็จะเห็นตามพุทธประวัติว่า มีพญานาคมาขอบวชเป็นพระจริง และหลังจากนั้นพญานาคก็ขอถวายนามนาคเป็นที่ระลึกในการบวชของชาวพุทธจนทุก วันนี้
    เรื่องความเชื่อที่แตกต่างกันอย่างนี้เป็นเรื่องที่ชี้ขาดลำบาก ซึ่งคงต้องอาศัยคำพูดของหลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง ที่กล่าวถึงความเชื่อเรื่องผีว่า
    “ผู้ที่เคยเห็นผีก็จะเชื่อว่าผีมีจริง ผู้ที่ไม่เคยเห็นผี ก็จะเชื่อว่าผีไม่มีจริง”

  • ความเห็นในเชิงสัญลักษณ์ของนักวิชาการสมัยใหม่นั้นจะว่าไปแล้วก็น่าจะมีพื้น ฐานหรืออาศัยแนวความคิดเชิงโครงสร้าง-หน้าที่ (Structural-Functionalism) ซึ่งพัฒนามาจากทฤษฎีของเดอร์ไคม์ (Emile Durkheim) และใช้หลักการนี้ตีความทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสัญลักษณ์ในระดับความสัมพันธ์ ระหว่างศาสนาและสังคม
    ตัวเดอร์ไคม์เองก็แสดงความคิดเห็นไว้ว่า “สังคมคือระบบของการกระทำที่เกิดจากแรงผลักของกระบวนการทางสัญลักษณ์” และ “สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เกิดจากความสัมพันธ์ทางสัญลักษณ์เช่นกัน”
    แนวความคิดนี้จะมีพื้นฐานมาจากความเชื่อหรือไม่เชื่อเสียก่อน เมื่อไม่เชื่อเสียแล้วก็จะตีความทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสัญลักษณ์ไปหมด แต่ถ้าเชื่อก็จะไม่ตีความ หรือตีความไม่ได้
    สมมติว่า ภายใต้แนวความคิดในทฤษฎีของเดอร์ไคม์ ไม่เชื่อว่านายจัน หนวดเขี้ยวมีจริง นายจันและชาวบ้านบางระจันก็จะถูกตีความเป็นสัญลักษณ์เช่นกัน อาจเป็นสัญลักษณ์ของความรักชาติ สัญลักษณ์ของการป้องกันประเทศชาติ สัญลักษณ์ของความสามัคคี สัญลักษณ์ของความช่วยเหลือกันและกันในสังคม รวมทั้งสัญลักษณ์ของศาสนากับการรักชาติ (พระอาจารย์ธรรมโชติ) ซึ่งสัญลักษณ์อันนี้แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างศาสนากับชาวบ้าน แม้จะอยู่ในสภาวะสงครามก็ยังคงมีความเกี่ยวเนื่องกัน
    และหากเห็นว่าพม่าไม่มีจริง พม่าก็จะกลายเป็นสัญลักษณ์ของภัยจากภายนอกสังคมที่คนในสังคมต้องร่วมกันป้องกันและต่
    อสู้
    แต่นายจัน หนวดเขี้ยว และชาวบ้านบางระจัน ได้ป็นที่ยอมรับว่ามีจริง จึงไม่ถูกตีความในเชิงสัญลักษณ์
    อาจกล่าวได้ว่าทั้งหมดนี้ที่ได้อธิบายในเชิงสัญลักษณ์ของแนวความคิดเดอร์ไค ม์ มีพื้นฐานมาจากการไม่เชื่อทั้งสิ้น และผมก็ไม่เชื่อในเดอร์ไคม์ เพราะเดอร์ไคม์ไม่ใช่พ่อของผม ถึงแม้เดอร์ไคม์จะเกิดเป็นพ่อของผมจริง ๆ ผมก็มีสิทธิที่จะไม่เชื่อฟังพ่อของผมเหมือนกัน
    ดังนั้น ผมจึงเห็นว่าฝ่ายที่เชื่อว่าผีมีจริง เพราะว่าเคยถูกผีหลอกมาแล้ว ควรจะมีผมเป็นพวกพ้องด้วยคนหนึ่ง เผื่อว่าอีก 100 ปีข้างหน้า ชื่อของผมจะกลายเป็นสัญลักษณ์กับเขาบ้าง แม้จะเป็นสัญลัษณ์ของความงมงายไร้สาระก็เอา

  • เคยดูหนังเรื่องคนเหล็ก ภาค 3 ไหมครับ ในเรื่องนี้มีเหตุการณ์น่าขันอยู่ตอนหนึ่ง ซึ่งคนเหล็ก (อาร์โนลด์) กับพระเอก และนางเอก ซึ่งอยู่ในฐานะที่ทุกคนเข้าใจว่าเป็นตัวประกัน ได้เข้าไปในสุสานเพื่อเอาอาวุธที่แม่พระเอกฝังซ่อนเอาไว้ ต่อมานางเอกก็หนี หรือถูกตำรวจช่วยออกมาจากสุสานได้ ก็มีนักจิตวิทยาหรืออะไรจำพวกนี้มาช่วยปลอบขวัญตัวประกันตามหน้าที่
    “คุณเป็นยังไงบ้าง” นักจิตวิทยาปฏิสันถารก่อน
    “เขา...เขาไม่ใช่มนุษย์” นางเอกยังคงละล่ำละลักกับสิ่งที่ตัวเองประสบ ซึ่งก็คือ หุ่นยนต์คนเหล็กที่ตอนนี้ยังถูกล้อมไว้ในสุสาน โดยตำรวจหลายสิบนาย
    “อะไรนะ” นักจิตวิทยาถามเหมือนจะหาข้อมูล
    “เขาไม่ใช่มนุษย์จริง ๆ” นางเอกยืนยัน
    “ผมเข้าใจดี สำหรับภาวะจิตใจของตัวประกัน เพราะว่าผมก็เคยเป็นตัวประกันมาก่อน ความกลัวจะทำให้อะดรีนาลีนพลุ่งพล่าน ทำให้เกิดจินตนาการเห็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ สิ่งที่บ้าบอคอแตก สิ่งที่ไม่มีจริงในโลก...”
    ครั้นคนเหล็กแหกวงล้อมออกมาจากสุสาน นักจิตวิทยาท่านนั้นเห็นด้วยตามตนเองเข้าก็เผ่นแน่บไปก่อนเพื่อนแบบพลิกตำรา วิชาการที่ร่ำเรียนมาไม่ทัน

  • คนที่ไม่เชื่อว่าผีมีจริง วันหนึ่งโดนผีหลอกเข้าบางทีจะช็อคจนเสียสติไปก็ได้ ผิดกับคนที่เชื่อว่าผีมีจริงก็จะเห็นว่าผีเป็นเรื่องธรรมดา ผีจะหลอกกี่ครั้งก็เฉย ๆ ไม่ตกใจอะไร เพราะว่ามีความเชื่อและความเข้าใจในความเป็นผีเป็นอย่างดี

  • ยังมีท่านผู้หนึ่งซึ่งเชื่อว่า พญานาคมีจริงจนกระทั่งได้กล่าวกับผมว่า
    “ถ้ามีใครบอกว่า พญานาคไม่มีจริง ให้มาบอกผม ผมจะไปเถียงกับมัน ผมเห็นพญานาคมากับตาตนเอง 2 ครั้ง ผมขอยืนยันว่า พญานาคมีจริง” ท่านผู้นี้คือ นายบุญตา หาญวงศ์ ประธานกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดอุบลราชธานี (ประธาน กกต. อุบลฯ) ได้เห็นพญานาคด้วยตาตนเองที่บ้านเกิด คือ บ้านบ่อน้อย อ.เชียงยืน จ.อุดรธานี โดยได้เขียนเรื่องประสบการณ์ในการพบเห็นพญานาคไว้ในหนังสือที่ระลึกในคราว เกษียณราชการในตำแหน่งนายอำเภอเดชอุดม จ.อุบลราชธานี ในวันที่ 21 สิงหาคม 2531
    “เมื่อข้าพเจ้ามีอายุประมาณ 5 ขวบ จำความได้ดี บิดาได้ไปช่วยญาติดำนาที่นาทาม (นาในที่ล่ม) ท่านได้พาข้าพเจ้าไปด้วย ซึ่งเวลานั้นข้าพเจ้ายังเดินไม่คล่องสำหรับพื้นที่นานั้น ท่านจึงให้ข้าพเจ้าขี่คอ
    ทางที่จะไปนาของญาติต้องผ่านหนองใหญ่ประจำบ้าน เรียกว่า หนองเลิง มีความกว้างและลึกพอสมควร มีร่องน้ำไหลผ่าน ชาวบ้านได้สร้างทำนบปิดกั้นร่องน้ำไว้ เพื่อให้ระดับน้ำในหนองสูงขึ้น ชาวบ้านได้ใช้ทำนบนี้เป็นทางเดินผ่านไปมา แต่ในตอนนั้นเป็นฤดูฝน น้ำมากจนล้นหนองและท่วมทำนบ ประมาณหัวเข่า ชาวบ้านก็ยังคงอาศัยทำนบนี้เป็นทางสัญจร แม้จะต้องเดินลุยน้ำก็ตาม เนื่องจากว่าเส้นทางนี้จะลัดสั้นกว่าทางอื่น
    วันที่เห็นพญานาคนั้นเป็นเวลา 5 โมงเย็น บิดาและข้าพเจ้ากำลังลุยน้ำบนทำนบจะกลับบ้าน ข้าพเจ้ามองเห็นสัตว์ 2 ตัว คล้ายงูขนาดใหญ่ประมาณเสาหน้า 4”-5” มีสีเขียวทั้งตัว แต่พื้นท้องเป็นสีแดงสลับขาว ตั้งแต่คางถึงหาง ตัวหนึ่งมีหงอนคล้ายไก่ตัวผู้ อีกตัวมีหงอนตูม ๆ คล้ายไก่ตัวเมีย ทั้ง 2 ตัวกอดเกี้ยวเล่นน้ำเสียงดังตูมตามอย่างสนุกสนาน ทำให้น้ำเกิดระลอกคลื่นซัดมาไม่ขาดระยะ
    ข้าพเจ้ารู้สึกตื่นเต้นระคนดีใจประสาเด็ก ไม่เกิดความกลัวและถามบิดาว่านั่นอะไร บิดาข้าพเจ้าเอามือตีขาข้าพเจ้าเบา ๆ และกระซิบว่า ไม่ต้องพูด ดูเฉย ๆ แล้วก็ยังคงค่อยๆ พาข้าพเจ้าเดินห่างออกมาเรื่อย ๆ ส่วนข้าพเจ้าได้แต่เหลียวดูจนสัตว์ 2 ตัวนั้นอยู่สุดสายตาแล้วหายไป
  • เมื่อกลับถึงบ้านได้เล่าให้มารดาฟัง บิดาก็ห้ามไม่ให้ทั้งมารดาและข้าพเจ้าพูดเรื่องนี้ ซึ่งข้าพเจ้าไม่ทราบว่ามีเหตุผลอะไร”
    นี่เป็นการเห็นครั้งแรก ส่วนครั้งที่ 2 นั้น ท่านประธาน กกต. บุญตา หาญวงศ์ ได้เห็นในขณะอายุประมาณ 15 ปี

  • “ข้าพเจ้าเข้าไปเรียนหนังสือในตัวจังหวัด ซึ่งอยู่ไกลจากบ้าน 10 กว่ากิโลเมตร ตอนนั้นโรงเรียนปิดเทอม 15 วัน จึงเดินทางกลับบ้าน ซึ่งเวลานั้นน้ำในห้วยหลวงจวนเจียนจะล้นฝั่งแล้ว เพราะว่าเป็นฤดูฝน ข้าพเจ้าได้พำนักอยู่ที่บ้านจนถึงเวลาโรงเรียนจะเปิดเทอม บิดาจึงเดินมาส่งข้าพเจ้าในช่วงที่จะข้ามห้วยหลวง
    ขณะที่ข้าพเจ้าและบิดากำลังเดินข้ามห้วยหลวงโดยอยู่บนสะพานไม้ ก็มองเห็นงูขนาดใหญ่ตัวหนึ่งกำลังพันหลักไม้ที่โผล่พ้นน้ำ (หลักต้อน) กลางห้วย งูใหญ่ตัวนี้มีขนาดใกล้เคียงกับที่ข้าพเจ้าเคยเห็นตอนอายุ 5 ขวบ คือ ประมาณเสาไม้หน้า 4”-5” และเป็นงูที่มีลักษณะคล้ายกับที่เคยเห็นด้วย คือมีหงอนตูมเหมือนไก่ตัวเมีย มีลำตัวเป็นสีน้ำตาล ข้าพเจ้าถามบิดาว่า นั่นงูอะไร บิดาก็ห้ามข้าพเจ้าไม่ให้พูดอะไร ให้อยู่เงียบ ๆ
    เมื่อข้ามสะพานพ้นแล้วก็เดินไปจนไกลจากงูตัวนั้นประมาณ 200 เมตร ข้าพเจ้าก็เห็นงูตัวนั้นคลายขนดลำตัวจากการพันหลักไม้ออก แล้วลอยตามข้าพเจ้าและบิดามาจนทัน แล้วจากนั้นก็ลอยด้วยความเร็วเท่ากับการเดินของข้าพเจ้าและบิดา โดยอยู่ห่างกันประมาณ 10 เมตร จนกระทั่งข้าพเจ้าถึงที่หมาย คือบนฝั่งที่พ้นจากน้ำท่วม งูตัวนั้นก็เหหัวลอยจากไป
    แปลกที่ลักษณะการลอยตัวของงูใหญ่นั้นเป็นการลอยทื่อๆ ตรงๆ เหมือนท่อนไม้ ไม่คดไปมาเหมือนงูทั่วไป"
    นี่เป็นประสบการณ์ที่ท่านประธาน กกต. บอกว่า ทำให้เกิดความเชื่อว่าพญานาคมีจริง

  • ถ้าพูดถึงงูมีหงอนแล้ว ในเชิงชีววิทยาไม่มี แต่ก็มีการกล่าวถึงงูมีหงอนในนิทานเรื่อง “พรานงูเหลือม” ซึ่งนักวิจัยเห็นว่า พญานาคนั้นมาจากงูเหลือม
    นิทานเรื่องนี้กล่าวว่า งูเหลือมเมื่อมีอายุมากจะมีหงอน 7 หงอน จะอยู่ป่าไม่ได้ ต้องลงไปอยู่ในน้ำและกลายเป็นนาค
    ซึ่งข้อเท็จจริงแล้ว งูเหลือมแม้จะแก่เฒ่าแค่ไหนก็จะไม่มีหงอน ดังนั้นการโยงงูเหลือมให้เห็นเป็นรูปธรรมว่า พญานาคเกิดจากงูเหลือมจึงไม่เป็นความจริง และยังขัดแย้งกับกำเนิดพญานาคในพระไตรปิฎกอีกด้วย (ความมีอยู่ในตอนที่ 1)
    เรียกว่าไม่เป็นความจริงทั้งแง่ความเชื่อ และในแง่ของชีววิทยา
    ถ้าหากมีความเชื่อว่าพญานาคเป็นเทพตระกูลหนึ่งในชั้นภุมมานัง มีสภาวะเป็นทิพย์ มีทิพยอำนาจ สามารถเนรมิตกายได้หลายรูปแบบแล้ว ความพยายามที่โยงพญานาคให้มีตัวตนกับสัตว์ในโลกชีววิทยาจึงไม่สามารถทำได้ เช่นเดียวกับผี ซึ่งไม่อยู่ในภาวะของชีววิทยา แต่เป็นภาวะที่ไม่มีตัวตนในโลก จึงไม่สามารถโยงได้
    แต่กระนั้นตำนานหรือนิยายเรื่องแดร๊กคิวล่า หรือแฟรงเก้นสไตน์ ก็เป็นเรื่องที่โยงเอาผีมาเชื่อมกับมนุษย์ได้อยู่บ้าง ทว่านั้นก็เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการอย่างแท้จริง ผิดกับผีและพญานาค ซึ่งแม้เกิดรูปธรรมด้วยจินตนาการเหมือนกัน แต่มีพื้นฐานมาจากความเชื่อว่าพญานาคมีจริง
    เห็นจะต้องคุยต่อไปในฉบับหน้าแล้วครับ
  • (โปรดอ่านต่อตอน 3 )
  • พิมพ์โดย .... คนเฝ้าสวน

บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: 13 มิถุนายน 2553 11:04:35 »



นาคาฯ ตอน 3
 
 

นาคาฯ 3
  • การ ปรากฎตัวของนาคในศาสนาพราหมณ์ หรือก่อนหน้านั้นในยุคพระเวทที่มีคัมภีร์ยชุรเวท และอาถรรวเวท กล่าวถึง จนแม้คัมภีร์เก่าแก่ที่สุดคือ ฤคเวท ล้วนเป็นเครื่องยืนยันว่าความเชื่อในเรื่องพญานาคนั้นมีมาก่อนพระพุทธศาสนา
  • แม้คัมภีร์เหล่านี้จะยังไม่เอ่ยคำว่า “นาค” หากแต่ใช้คำ “อหิ” ซึ่งแปลว่า งูใหญ่ บรรดาเหล่านักวิชาการยังคงเชื่อว่ามีความหมายเป็นอันเดียวกัน
  • คำว่า “นาค" เพิ่งจะปรากฏเป็นครั้งแรกในคัมภีร์ศตปถะพราหมณะ และจากนั้นก็ใช้คำว่า “นาค” เรื่อยมาจนบัดนี้
  • เมื่อจะพูดถึงพญานาคในเชิงความเชื่อ จะต้องลืมพญานาคในเชิงสัญลักษณ์
  • ไม่เช่นนั้นจะพูดกันไม่รู้เรื่อง
  • เรียกว่าการพูดเกี่ยวกับความเชื่อกับคนที่มีความเชื่อเดียวกันหรือในแนวทางเดียวกัน จะพูดกันรู้เรื่องง่ายที่สุด
  • การ ศึกษาเรื่องของพญานาคในเชิงความเชื่อจะเห็นว่า นอกจากพญานาคจะมีอยู่ก่อนพระพุทธศาสนาอุบัติขึ้นแล้ว ย่อมต้องแสดงว่ามีมาก่อนยุคพระเวทอุบัติขึ้นอีกด้วย
  • ได้ มีการพบหลักฐานเก่าแก่ที่สุดก่อนประวัติศาสตร์ในภาชนะดินเผาของคนบ้านเชียง เป็นรูปเขียนสีที่เป็นภาพงู (นาค) อยู่มากมาย ทำให้เชื่อว่าคนบ้านเชียงในยุคสมัยนั้นรู้จักนับถือพญานาค ซึ่งคนบ้านเชียงในยุคนั้นก็คงจะยังไม่มีศาสนานับถือ แต่ก็มีลัทธิบูชาพญานาคกันแล้ว
  • อะไร เป็นเหตุให้คนบ้านเชียงเชื่อถือและบูชาพญานาค ย่อมเป็นคำถามเดียวกันที่จะถามว่า ทำไมชาวอะบอริจินที่เป็นชนเผ่าดั้งเดิมของทวีปออสเตรเลีย จึงนับถืองู (พญานาค) เหมือนกับคนลาวทั้งประเทศ ทั้ง ๆ ที่ 2 ชาติพันธ์นี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน แต่กลับเชื่อถือและนับถือในสิ่งเดียวกัน
  • ความ เชื่อในเรื่องพญานาคมีปรากฏอยู่มากมาย ทั้งในและนอกศาสนา เป็นเรื่องน่าคิดว่าทำไมคนเหล่านี้ที่มีสถานะและสังคมแตกต่างกันจึงนับถือใน สิ่งเดียวกันมานานแสนนานจนแม้ปัจจุบันนี้
  • ว่ากันโดยมากแล้ว เรื่องราวของพญานาคมักปรากฏอยู่ในลักษณะของ myth ซึ่งก็คือ วรรณกรรมปรำปรา, เทพนิยาย ,นิทานโบราณ, ตำนาน หรือแม้แต่ศาสนตำนาน หรือศาสนนิทาน ซึ่งเป็นเรื่องที่ปลงใจเชื่อได้ยาก
  • ถ้าจะวิเคราะห์ myth ของพญานาคแล้ว ก็จะต้องทำใจให้เป็นกลาง ๆ จึงจะเห็นว่าใน myth ของพญานาคหรือของอะไรก็ตามย่อมมีทั้งสิ่งที่เชื่อได้และเชื่อไม่ได้ปนกันอยู่
  • คือมีทั้งเรื่องจริงและไม่จริงอยู่ด้วยกัน
  • ผมจะยกตัวอย่างการเกิด myth สักเล็กน้อย
  • อย่างเช่น หลวงปู่รูปหนึ่งเล่าว่า “อาตมามีนิมิตว่าได้ลงไปในเมืองบาดาล ฯลฯ” ผู้ที่ได้ฟังก็จะไปเล่าต่อว่า “หลวงปู่เล่าว่าได้ถอดจิตลงไปเมืองบาดาล” ต่อมาก็มีผู้เล่าต่อไป “หลวงปู่ท่านลงไปเมืองบาดาล (ด้วยตนเอง)"
  • สุดท้ายเรื่องหลวงปู่นิมิต (ฝัน) ก็จะกลายเป็นความมหัศจรรย์ที่แสนพิสดารจนถึงขั้นเชื่อกันไม่ได้
  • ทั้งหมดนี้เกิดด้วยความเคารพนับถือในตัวหลวงปู่ รวมทั้งเรื่องนิมิตของหลวงปู่ที่คลาดเคลื่อนไปก็ด้วยความเคารพเหมือนกัน
  • ดังนั้นเรื่องของพญานาคใน myth ต่าง ๆ หรือในพระไตรปิฎก ก็คงจะเป็นในลักษณะนี้
  • อย่างเช่น ในคราวพระพุทธองค์เสด็จไปดาวดึงส์แล้ว นันโทนาคราชมาขวางทางไว้นั้น พระไตรปิฎกกล่าวว่า เสด็จเหาะไปพร้อมเหล่าอรหันตสาวก 500 รูป ซึ่งข้อเท็จจริงพระพุทธองค์คงไม่ได้เหาะ แต่ผู้จารึกพระไตรปิฎก จารึกด้วยความเคารพในพระพุทธองค์ เรื่องจึงกลายเป็นเหาะไปอย่างนี้
  • ส่วนการเสด็จไปโดยวิธีใดนั้น ผมก็ไม่อาจทราบได้ และไม่สามารถวิจารณ์ แต่ผมเชื่อว่าไม่ใช่ทรงเหาะไปอย่างแน่นอน
  • เรื่องเหาะของพระพุทธองค์มีปรากฏมากมายในหลาย myth เช่นใน “ตำนานพระเจ้าเลียบโลก” ซึ่ง เป็นตำนานที่เกี่ยวข้องกับพญานาค และเชื่อว่าเป็นหัวใจของตำนานอุรังคนิทาน ทำให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างพระพุทธองค์กับสถานที่ต่าง ๆ และพญานาคในลุ่มน้ำโขง เป็นเหตุให้เกิดศาสนสถานสำคัญหลายแห่งตลอดลุ่มน้ำโขง
  • เรื่อง มีอยู่ว่า สมัยนั้นพระพุทธองค์ประทับอยู่เชตวันมหาวิหาร (วัดแห่งแรกในพุทธศาสนา) ทรงพิจารณาถึงพุทธประเพณีโบราณว่า เมื่อเสด็จปรินิพพานแล้ว บรรดาสาวกมักจะนำเอาพระบรมสารีริกธาตุไปประดิษฐานยังที่ต่าง ๆ กันตามความเหมาะสม พระองค์ทรงพิจารณามาทางภูมิภาคของลุ่มน้ำโขงนี้ จึงเสด็จพร้อมด้วยพระอานนท์และคณะพุทธสาวกอีกจำนวนหนึ่ง
  • พูดแบบชาวบ้านก็คือ มาสำรวจหาสถานที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุนั่นแหละครับ
  • เมื่อ เสด็จถึงภูเขาหลวงริมน้ำบังพวน พญาปัพพารนาคได้มาถวายภัตตาหาร และภายหลังที่นี่ก็กลายเป็นพระธาตุบังพวนประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ (พระธาตุหัวเหน่า) ต่อมาทรงเสด็จยังแคว้นศรีโคตบูรณ์ (จังหวัดนครพนม) ทรงรับบาตรที่ภูกำพร้า หรือดอยกัปปนคีรีแล้วทรงมีพุทธทำนายว่า ต่อไปที่นี่จะเป็นที่ประดิษฐานพระอุรังคธาตุของพระองค์ ซึ่งก็คือ พระธาตุพนมเดี๋ยวนี้ หลังจากนั้นเสด็จไปภูกูเวียน หรือภูพานในเขตจังหวัดอุดรธานี เพื่อเทศน์โปรดพญานาคทั้งหลายให้อยู่ในศีลในธรรม ทรงประทับรอยพระบาทไว้ที่ภูกูเวียนใกล้ปากถ้ำสุวรรณนาค ที่หนองบัวบานให้แก่พุทโธปาปนาคอีกแห่ง และที่บนแผ่นหินโพนบกให้แก่นาคทั้งหลาย ต่อจากนั้นเสด็จไปที่ดอยนันทกังฮี ซึ่งพญาสีสัตตนาคทูลขอพระองค์ให้ทรงย่ำรอยพระบาทไว้ และพระองค์ทรงมีพุทธทำนายว่าในภายภาคหน้าที่นี่จะกลายเป็นเมืองชื่อว่าเมือง ศรีสัตตนาค หลังจากนั้นเสด็จกลับไปปรินิพพานที่เมืองกุสินาราย
  • ตำนานนี้กล่าวว่า เสด็จมาทางอากาศ ซึ่งก็คือเหาะมานั่นเอง
  • โดยข้อเท็จจริงแล้วคงไม่ได้เหาะ แต่จะเสด็จโดยวิธีใดไม่ทราบเหมือนกัน
  • เกี่ยว กับการที่ทรงประทับรอยพระพุทธบาทให้แก่พญานาคนั้น ใช่จะมีแต่ในตำนาน ในพระไตรปิฎกก็มีกล่าวถึงคือ ครั้งที่พระพุทธองค์เสด็จกลับจากการแสดงธรรมในพิภพของพญานาคที่แม่น้ำนัม มทานที แคว้นทักษิณาบท ประเทศอินเดีย พญานาคได้ทูลขอให้พระองค์ประทับรอยพระบาทไว้ที่ริมฝั่งนัมมทานที รอยพระบาทนี้เป็นที่เคารพสักการะของเหล่าพญานาคทั้งหลาย ตลอดจนสรรพสัตว์ทั้งหลาย
  • เหตุการณ์ นี้ในพุทธประวัติกล่าวว่าป็นพรรษาเดียวกันกับที่พระพุทธองค์เสด็จโปรดพระ มารดาที่ดาวดึงส์ และทรงจำพรรษาอยู่ที่นั่น ครั้นออกพรรษาแล้วจึงเสด็จไปพิภพพญานาค เพื่อแสดงธรรมและประทับรอยพระบาทไว้
  • ชาว พุทธทั้งหลายต่างรู้และเข้าใจดีว่าวันนั้นคือวันพระเจ้าเปิดโลก ซึ่งเป็นวันที่เหล่าพญานาคแสดงความยินดีด้วยการแสดงฤทธิ์เนรมิตลูกไฟต่างธูป เทียนจนเกิดความสว่างไสวช่วงโชติชัชวาล เป็นการบูชาพระพุทธองค์
  • นี่กระมังที่เป็นต้นเหตุของการเรียกลูกไฟที่เกิดขึ้นในวัน 15 ค่ำ เดือน 11 (วันออกพรรษา) ในลำน้ำโขง จังหวัดหนองคายว่า บั้งไฟพญานาค
  • และ หากบั้งไฟพญานาคมีความเกี่ยวข้องกับพุทธประวัติตอนนี้ ก็ยิ่งทำให้เห็นว่าเรื่องราวต่าง ๆ ในตำนาน หรือนิทานปรำปราใช่จะไร้ความจริงไปทั้งหมด
  • นักมานุษยวิทยาคนหนึ่งชื่อว่า Malinowski ได้ให้ทัศนะว่า “วรรณกรรมปรัมปรา (myth) ไม่ได้เป็นแค่เรื่องเล่าที่ไม่มีแก่นความจริง แต่มาจากสิ่งที่มีอยู่จริง”
  • ทำ ให้ต้องคิดว่า พญานาคที่ปรากฏอยู่ในที่ต่าง ๆ ทั่วโลก จะมีจริงหรือไม่ แม้เรื่องเล่าที่ได้ฟังนั้นจะไม่ชวนให้เชื่อว่าพญานาคมีจริง ก็จะต้องยับยั้งชั่งใจไว้ก่อนว่าพญานาคอาจมีจริง
  • ดังนั้นการอ่านตำนานหรือนิทานปรำปรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ขอให้เปิดใจกว้างเหมือน Malinowski ก็จะทำให้การอ่านการฟังสนุกขึ้น และเข้าใจถึงแก่นแท้ของตำนานง่ายขึ้น
  • ต่อไปนี้เราจะมาดูในเรื่องของวรรณกรรมโบราณในส่วนที่เกี่ยวข้องกับพญานาคที่มีความสั
    มพันธ์กับภูมิภาค 2 ฝั่งโขง รวมไปถึงพงศาวดารกำเนิดชนชาติลาวที่เชื่อว่าชนชาติลาว มาจากพญานาค
  • ขอขอบคุณท่านผู้หนึ่งซึ่งได้มีมานะรวบรวม myth ของพญานาคเอาไว้จนง่ายแก่การค้นคว้า ท่านผู้นี้เป็นใครผมยังไม่ทราบชื่อ เอาไว้อ่านงานวิทยานิพนธ์หรือวิจัยของท่านไปเรื่อย ๆ จนพบว่า ท่านชื่อเสียงเรียงไรจะเอามากล่าวอีกทีหลัง
  • โหมโรงด้วยบทประพันธ์ร้อยกรองของท่านกวีศรีสยาม เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เสียก่อน
  • “ล้านช้าง ล้านนา”
  • สองมหาอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์
  • สองนาคเนรมิตเป็นลำโขง
  • หนึ่งศรีสตนาคอันจรรโลง
  • สองหุตนาคโยงแผ่นดินดอน
  • คือศรีสตนาคคนหุต
  • เช่นขุดควักแดนแผ่นสิงขร
  • เป็นสายน้ำตำนานแลนาคร
  • อันกระฉ่อนเลื่องชื่อลือล้านช้าง
  • บังเกิดโยนกนาคนคร
  • สิงหนวัติบวรเวียงกว้าง
  • ปู่เจ้าลาวจกแต่ก่อนปาง
  • จวบหิรัญเงินยางสว่างเวียง
  • แลสุวรรณโคมคำตำนานท่า
  • เชื่อมล้านนาล้านช้างเป็นอย่างเยี่ยง
  • มีมหาอาณาจักรแห่งเวียงเชียง
  • ส่วยเสบียงเลี้ยงฟ้าเลี้ยงแผ่นดิน
  • สองมหาอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์
  • อารยธรรมสัมฤทธิ์ทั้งศาสตร์ศิลป์
  • หล่อหลอมยุคทองของธรณิน
  • เถลิงถิ่นล้านนาล้านช้างนิรันดร์
  • เพื่อขยายความเรื่องราวของการกำเนิดบ้านเมือง 2 ฝั่งโขงคือ ล้านช้างล้านนา ก็จะได้นำตำนานสุวรรณโคมคำมาเล่าโดยย่อ พอเป็นที่เข้าใจดังนี้
  • เดิม พญาศรีสัตตนาคราช และพญาสุตตนาค เป็นสหายกัน อาศัยอยู่ในหนองหลวงด้วยกัน วันหนึ่งขัดใจกันด้วยเรื่องการแบ่งปันอาหารจนระงับโทสะไม่อยู่ ลุกขึ้นต่อสู้กันจนในที่สุดก็อยู่ร่วมกันไม่ได้
  • พญาศรีสัตตนาคคุ้ยควักแผ่นดินลงไปทางใต้ จนเกิดร่องทางคุ้ยควักเป็นแม่น้ำชุลนที ซึ่งคือแม่น้ำโขงเดี๋ยวนี้
  • พญา ศรีสัตตนาคและบริวาร ได้อพยพลงมาทางนี้ จนได้มีโอกาสช่วยเหลือรักษาชีวิตเจ้าสุวรรณทวารกุมาร ที่ถูกแกล้งลอยแพไปตามลำน้ำให้กลับคืนสู่ท่าเสาโคมทอง แล้วช่วยเจ้าสุวรรณทวารกุมาร ทั้งบ้านเมืองที่นั่น คือ เมืองสุวรรณโคมคำจนสำเร็จ
  • สมัยต่อมา ธิดาพญานาค 3 พี่น้องได้ขึ้นมาจากพิภพพญานาคมาเที่ยวเล่นในไร่ของมานพหนุ่มผู้หนึ่ง พอเที่ยวเล่นจนเป็นที่พอใจก็กลับพิภพพญานาค แต่บิดาพญานาคได้บัญชาให้ธิดาทั้ง 3 กลับคืนเมืองมนุษย์ ให้ไปช่วยมานพหนุ่มผู้นั้น โดยการเนรมิตเรือสินค้าไปทำการค้าขายกับเมืองสุวรรณโคมคำ ทว่าเจ้าเมืองสุวรรณโคมคำกลับไม่ตั้งอยู่ในธรรม กลั่นแกล้งมานพหนุ่ม จนเป็นเหตุให้ธิดาพญานาคกลับไปฟ้องพญานาคผู้เป็นบิดาที่บังเกิดโทสะอย่าง ระงับไม่ได้ สั่งการให้บริวารพญานาคขึ้นมาพิภพมนุษย์จู่โจมทำลายเมืองสุวรรณโคมคำจนสาป สูญไป (จมน้ำ)
  • ตำนานสุวรรณโคมคำได้ชื่อว่าเป็นการแสดงให้เห็นว่า พญานาคกลุ่มแรกที่อพยพมายังแดนล้านช้างล้านนาคือ พญาสีสัตตนาคราช นั่นเอง
  • ส่วนตำนานสังหนวัติกุมาร ได้แสดงเหตุการณ์เกี่ยวเนื่องกับตำนานสุวรรณโคมคำ คือ เป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องอย่างเหมาะเจาะ
  • กำเนิด เมืองสิงหนวัตินคร เกิดด้วยพญานาคชื่อ พันธุนาคราช เนรมิตตนเองเป็นพราหมณ์เข้าไปชี้แนะเจ้าสิงหนวัติกุมาร ผู้เป็นราชบุตรของกษัตริย์ฮ่อแห่งตระกูลไทยเมือง ชื่อ เทวกาล ให้ตั้งบ้านเมืองที่ริมฝั่งแม่น้ำชลนที แล้วพญานาคได้แสดงฤทธิ์ขุดคูรอบเมืองกว้าง 3000 วาโดยรอบทุกด้าน แล้วตั้งชื่อเมืองเป็นอนุสรณ์ระหว่างพญานาคกับมนุษย์ว่า “เมืองนาคพันธุสิงหนวตินคร” ซึ่งต่อมาภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น “โยนกนครไชยบุรีราชธานีศรีช้างแสน”
  • สองตำนานนี้จะว่าไปแล้วเท่ากับเป็นการแสดงกำเนิดแผ่นดินล้านนา (ภาคเหนือของประเทศไทย)
  • ที นี้มาดูอุรังคชาตนิทาน ซึ่งเป็นเอกสารตำนานแสดงการเกิดอาณาจักรล้านช้าง ซึ่งมีเรื่องราวเป็นอันเดียวกันกับตำนานสุวรรณโคมคำ หากแต่แตกต่างที่เป็นพญานาคคนละตน
  • อุรังคธาตุนิทาน แสดงเรื่องราวของพญานาคอย่างละเอียดและซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากกว่าตำนานสุวรรณโคมคำแบบ
    เทียบกันไม่ได้
  • อุรังคธาตุนิทานถือเป็นเอกสารตำนานเก่าที่ค่อนข้างสมบูรณ์ คือแสดงทั้งเรื่อง Myth และประวัติศาสตร์ของตัวบุคคลที่มีอยู่จริงไปด้วยกัน
  • ผู้เรียบเรียงอุรังคธาตุ คือ พระยาศรีชมพู และคัดลอกต่อมาโดย อาชญาเจ้าอุปราชใน พ.ศ. 2404 ต้นฉบับแท้ดั้งเดิมปัจจุบันเก็บไว้ที่กองหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร คือ เก็บไว้ที่งานบริการหนังสือภาษาโบราณ ใครสนใจไปขอดูและค้นคว้าได้
  • อุรังคธาตุนิทาน กล่าวถึงกำเนิดล้านช้าง ล้านนา ไว้ว่า หนองแส เป็นสถานที่อยู่ของเหล่าพญานาคจำนวนมาก โดยมีพญานาค 2 ตน ชื่อว่า พินทโยนกวติ กับ ธนะมูลนาค เป็นสหายกัน ต่อมาทะเลาะกันเรื่องแบ่งปันอาหาร ทำให้ธนะมูลนาคอพยพลงไปทางใต้ โดยขุดคุ้ยควักแผ่นดินจนเกิดแม่น้ำมูลนที (แม่น้ำมูลทุกวันนี้) ส่วนแม่น้ำชี ก็เกิดจากการคุ้ยควักของชีวายนาค ผู้เป็นหลาน
  • แม่ น้ำมูลกับแม่น้ำชี ก็มีความสัมพันธ์กันคือ ชีไหลลงมูลที่จังหวัดอุบลฯ ดูไปก็คล้ายว่า คุ้ยควักแผ่นดินมาด้วยกันแล้วแยกออกจากกันที่อุบลฯ
  • เมื่อ ธนะมูลนาคอพยพหนีมาทางใต้แล้ว พินทโยนกวตินาคก็คุ้ยควักแผ่นดินไปทางตรงข้ามคือ ไปทางเหนือ โดยออกไปทางเมืองเชียงใหม่ เกิดทางนั้นว่า แม่น้ำพิง (ปิง) ส่วนวัง ยม และน่าน ตำนานไม่ได้กล่าวถึง จึงคาดว่าจะเกิดจากลูกหลานบริวารของพินทโยนกวตินาคคุ้ยควักไปก็เป็นได้ เพราะว่ามีความเกี่ยวเนื่องกัน
  • คู่กรณี 2 ตน หนีจากหนองแสไปแล้ว ไม่นานหนองแสก็ขุ่นคลั่ก ทำให้เหล่านาคที่เหลือทนอยู่หนองแสไม่ได้ จึงอพยพหนีออกไปอีกเป็นรุ่นที่ 2 ทำให้เกิดสถานที่สำคัญมากมาย
  • สุวรรณ นาค หนีไปอยู่ปู่เวียน (ภูเวียน, ภูพาน) พุทโธปาปนาค ไปอยู่หนองบัวบาน ปัพพารนาค ไปอยู่ภูเขาหลวง สุกขรนาค ไปอยู่เวินหลอด หัตถศรีสัตตนาค อยู่ดอยนันทกังรี และเหล่าพญาเงือก งู ชั้นบริวารไปอยู่แม่น้ำงึม
  • ทั้งหมดนี้เป็นเหตุการณ์ที่แสดงการกำเนิดบ้านเมืองและสถานที่สำคัญ 2 ฝั่งโขง ทั้งล้านนาและล้านช้าง โดยมีเหตุกำเนิดมาจากพญานาค
  • เรื่องของนาคอพยพลงมาทางใต้นั้นก็มาพ้องกับตำนานพระเจ้าเลียบโลกที่ได้กล่าวไปแล้ว ทำให้เป็นที่น่าสังเกตุว่าแต่ละตำนาน (Myth) มีความสัมพันธ์กันอย่างน่าแปลกใจ
  • เนื้อ ความในตำนานนี้ยังกล่าวถึงกำเนิดเมืองเวียงจันทน์ เมืองหลวงของลาวทุกวันนี้ไว้ด้วยว่าเกิดจากสุวรรณนาค และบริวาร ช่วยสร้างเมืองเวียงจันทน์ เนรมิตสมบัติ ปราสาท สระน้ำ โรงข้าว และกำแพงรอบพระนคร ทั้งยังแต่งตั้งพญานาคทั้ง 9 รักษาบ้านเมืองไว้
  • ตำนาน นี้ได้ไปพ้องกับนิทานพื้นเมืองของชาวบ้านสีธานใต้และชาวเวียงจันทน์ โดยมีการเล่าสืบต่อกันมาว่า สมัยก่อนเมืองเวียงจันทน์มีความผูกพันกับพญานาคเป็นอันมาก ถึงกับกล่าวว่า “แผ่นดินเป็นของมนุษย์ แม่น้ำเป็นของนาค” โดยเชื่อว่ามีเมืองบาดาลของนาคซ้อนกันอยู่กับเมืองเวียงจันทน์ เมืองบาดาลนั้นปกครองโดยพญานาค 7 หัว (พญาสีสัตตนาคราช 7 เศียร) ผู้มีอิทธิฤทธิ์และชีวิตวนเวียนอยู่กับคน ระหว่างเมืองนาคและเมืองมนุษย์
  • 2 เมืองนี้มีเส้นทางไปมาหาสู่กัน (รูพญานาค) เมื่อมนุษย์มีเหตุร้าย (ชาวเวียงจันทน์) จะตีกลอง “หมากแค้ง” เป็นสัญญาณเรียกพญานาคมาช่วย เพราะเหตุนี้เมืองเวียงจันทน์จึงไม่เคยแพ้สงครามและอยู่รอดปลอดภัยตลอดมา เพราะอำนาจพญานาค
  • ต่อ มาพวกคนสยาม (มีวิชาอาคมดี) ปลอมตัวเป็นพระนุ่งผ้าขาวมาจำศีลอยู่ป่าหลายแห่งที่นครเวียงจันทน์ ได้แอบลอบถมรูนาคและทำลายกลองหมากแค้งทิ้ง จึงเป็นเหตุให้ชาวเวียงจันทน์เรียกพญานาคมาช่วยไม่ได้ เวียงจันทน์จึงถูกโจมตีทำลายกลายเป็นเมืองขึ้นของสยาม
  • นิทาน “พื้นเวียงจันทน์” นี้เท่ากับตอกย้ำตำนานว่า มีพญานาครักษาเมืองเวียงจันทน์จริง
  • อย่า ว่าแต่ชาวนครเวียงจันทน์จะเชื่อถือเรื่องพญานาครักษาเมืองเลย แม้พงศาวดารสกลนครก็มีเรื่องเกี่ยวข้องกับพญานาคเหมือนกันคือ ในสมัยของพระยาสุรอุทก เมืองหนองหาร ถูกทำลายลงโดยธนะมูลนาค ซึ่งเป็นผู้รักษาแม่น้ำมูลที่เป็นอาณาเขตระหว่างเมืองหนองหารกับเมืองอิน ทปัฐนคร
  • เมื่อเมืองอินทปฐนครล่มสลายลง สุวรรณนาคได้อภิเษกเจ้าอภิงคาร เป็นเจ้าเมืองใหม่ และได้นามตามพญานาคว่า พระยาสุวรรณภิงคาร
  • สุวรรณนาคนี้คือ พญานาคผู้รักษารอยพระพุทธบาทที่พระพุทธองค์ทรงประทับไว้ที่บริเวณริมหนองหารนั่นเอง
  • พงศาวดาร ล้านช้าง ได้กล่าวถึงฤๅษีพี่น้องแปงเมืองล้านช้างขึ้นมา โดยประกอบด้วยเมืองเชียงทอง (เอาต้นทองเป็นนิมิต) เมืองเชียงคง (เอาต้นคงเป็นนิมิต) เมืองล้านช้าง (เอาภูมิช้างเป็นนิมิต) และศรีสัตตนาคนหุต (เอาพญาศรีสัตตนาคราชเป็นนิมิต) แล้วเรียกว่า “ศรีสัตตนาคนหุตราชธานีศรีเชียงคงเชียงทอง” ซึ่งปรากฏเรื่องราวของนาคพ้องกันกับอุรังคนิทาน
  • เรื่องราวของพญานาคใน Myth ต่าง ๆ มีปรากฏมากมายหลายยุคสมัย เป็นเหตุให้น่าจะตั้งข้อสังเกตุว่า พญานาคมีความสัมพันธ์กับมนุษย์ในภูมิภาคนี้จนเกิดเป็นความเชื่อถือและนับถือ พญานาคนั้นน่าจะมีเหตุมาจากพญานาคมีจริง จึงมีบทบาทเกี่ยวข้องกับผู้คนทั้งในแง่การสร้างบ้านแปงเมือง และช่วยเหลือผู้คนมาแต่โบราณกาล จะมีเหตุลอย ๆ ด้วยการโฆษณาชวนเชื่อให้ผู้คนทุกชาติภาษามานับถือและเชื่อถือพญานาคคงจะไม่ ได้
  • พฤติกรรม ของพญานาคในอดีตที่แสดงออกไปถึงการมีส่วนร่วมกับสังคมมนุษย์ ทั้งในแง่การปกครองและการป้องกันภัยอันตรายให้ผู้คนและบ้านเมืองนั้น ปัจจุบันพฤติกรรมของพญานาคได้เปลี่ยนไป กลายมาเป็นผู้พิทักษ์ศาสนา สถานที่สำคัญ และศาสนสถานมากขึ้น ความเกี่ยวข้องอย่างในอดีตลดน้อยลง
  • ต่อไปจะได้พูดถึงบทบาทของพญานาคในส่วนที่เกี่ยวข้องกับศาสนสถาน และสถานที่สำคัญ
  • ซึ่งจะยังคงใช้เวลาอยู่กับพญานาคอีกพอสมควร ด้วยมีข้อมูลมากมายที่ยังหวังจะให้ผู้อ่านทำความเข้าใจและใกล้ชิดพญานาคมากขึ้น
  • ผมไม่หวังอะไร แค่หวังจะทำอะไรสักอย่างเพื่อระลึกถึงคุณของผู้พิทักษ์พระศาสนาเท่านั้นเอง
  • (อ่านต่อฉบับหน้า) พิมพ์โดย .... คนเฝ้าสวน [/FONT]
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: 13 มิถุนายน 2553 11:04:47 »



 
 
นาคาฯ ตอน 4
 
 

  • ตอน 4
  • ดังที่ได้กล่าวแล้วว่า วรรณกรรมปรัมปรา (Myth) ย่อมจะมีทั้งความจริงและไม่จริงปนกันอยู่ แต่ฐานของข้อมูลโดยมากมักจะมาจากข้อเท็จจริงอันเดียวกัน
    คือ ในทุก ๆ Myth ของพญานาค ล้วนมาจากความเชื่อว่าพญานาคมีจริง จึงเป็นเหตุให้เกิด Myth ต่างๆมากมาย และปรากฏเรื่องราวพิสดารควบคู่ไปด้วย
    ความเชื่อของผู้ที่เชื่อว่าพญานาคมีจริง เป็นความเชื่อที่ใครก็ลบล้างไม่ได้
    เหมือนความเชื่อของหลวงปู่ครูบาอาจารย์ผู้บรรลุธรรมแล้ว ย่อมเชื่อว่าพระนิพพานมีจริง
    ใครก็ลบล้างไม่ได้
    ถ้าลบล้างได้
    หลวงปู่ก็คงต้องสึกอย่างไม่ต้องสงสัย
  • เฉกเช่นพระอเสกขาที่หาพระนิพพานไม่เจอ จึงทำระยำตำบอนอย่างที่เป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์บ่อย ๆ เห็นแล้วสลดใจมาก ถึงกับแสดงภาพกำลังจะร่วมเพศกับสีกาก็มี
    ลักษณะนี้คือ นอกจากจะล้มเลิกความเชื่อในพระนิพพานแล้วยังรวมไปถึงไม่เชื่อในบาปบุญ หรือนรกสวรรค์ จึงมีความกล้าสามารถที่จะกระทำการอันผิดวิสัยของสมณเพศ โดยไม่พรั่นพรึงต่ออะไรทั้งสิ้น
    สำหรับผู้ที่มีความเชื่อโดยไม่คลอนแคลนในพญานาคที่เป็นมวลใหญ่ที่สุด เห็นจะเป็นคนลาวทั้งประเทศ เชื่อไปถึงที่สุดว่า พวกเขาสืบเชื้อสายมาจากพญานาค จนกระทั่งปรากฏเป็นพงศาวดารลาว และกล่าวถึงการกำเนิดคนลาวและชนชาติลาวที่เกี่ยวข้องกับพญานาคอย่างเต็มที่ เต็มทาง ดังเนื้อหาโดยย่อต่อไปนี้

  • “นานมาแล้ว ยังมีคนพวกหนึ่งย้ายตั้งถิ่นฐานอยู่แถบแม่น้ำโขง ข้างภูเขาในแดนเสฉวนของจีนปัจจุบัน มีหญิงคนหนึ่งในหมู่คนพวกนั้นมีลูกแล้ว 8 คน วันหนึ่งไปช้อนปลาที่ริมฝั่งแม่น้ำโขง เกิดมีขอนไม้ประหลาด มีเกล็ดสากๆลอยมาพาดขาของนาง โดยที่นางเองไม่ทราบว่าเป็นอะไร เข้าใจแต่เพียงว่าเป็นขอนไม้พิลึกๆเท่านั้น

  • จากนั้นมานางได้ตั้งครรภ์ลูกคนที่ 9 และให้กำเนิดลูกคนที่ 9 จนกระทั่งลูกคนที่ 9 เจริญวัยพอวิ่งเล่นได้ นางได้พาลูกๆทั้ง 9 คนไปช้อนปลาที่ริมฝั่งโขงอีกครั้ง ขณะนั้นมีนาคตัวหนึ่งปรากฏตัวขึ้นแล้วร้องถามนางว่า “ลูกเราอยู่ไหน” นางตกใจร้องเสียงหลงว่า “เก้าหล้ง”
    นางกับลูกทั้ง 8 คนวิ่งหนีไปได้ เว้นแต่ลูกคนเล็กคือ คนที่ 9 หนีไม่ทัน พญานาคได้ขึ้นมาแลบลิ้นเลียด้วยความรัก

  • ต่อมาเมื่อลูกทั้ง 9 คน เติบใหญ่แล้ว ปรากฏว่าลูกคนที่ 9 มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดกว่าใคร ๆ คนทั้งหลายจึงพร้อมใจกันยกให้เป็นหัวหน้าปกครองหมู่คณะ และสื้บเชื้อสายเป็นทอด ๆมา จนกลายเป็นต้นกำเนิดของชนชาติลาว โดยเรียกว่า พวกอ้ายลาว”

  • พงศาวดารลาวนี้ใช่จะเป็นเรื่องเป็นราวลอย ๆในอากาศก็หาไม่ แม้พงศาวดารจีนก็มีกล่าวถึงไว้ใกล้เคียงกันดังนี้
    “ถิ่นฐานดั้งเดิมของชาติลาวตั้งอยู่บริเวณภูเขาอ้ายลาว (เมืองเสฉวนทุกวันนี้) ริมแม่น้ำโขงที่เรียกชื่อว่า “เก้าหล้ง” โดยที่จีนเรียกว่า “กิวลุงเกียง” แปลว่า แม่น้ำนาคทั้ง 9 หมายความว่าเป็นถิ่นฐานของชาย 9 คน ซึ่งเป็นต้นกำเนิดชนชาติลาว”
    พวกอ้ายลาวจึงนิยมนับถือนาค มักจะสักรูปนาคใส่แขนและขา จนเป็นเอกลักษณ์ของพวกอ้ายลาวสมัยนั้น

  • ความเชื่อในพญานาคของชนชาติลาวยังมีปรากฏในพงศาวดารจีนว่า แม้แต่เมืองแทบทุกเมืองของพวกอ้ายลาวที่ได้ตั้งขึ้นและอาศัยอยู่ล้วนมีความ เกี่ยวข้องกับพญานาคทั้งสิ้น ดังที่ได้ปรากฏในงานวิจัยเรื่อง นาค ของนางคำผุย พลลือชา ซึ่งเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติลาว จังหวัดกำแพงนครเวียงจันทน์ ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
    “เมืองลุง หรือนครลุง เป็นเมืองหลวงของชาติลาวในสมัยอ้ายลาว เนื่องจากพวกจีนเรียก พวกอ้ายลาวทั้ง 9 ว่า พวกลี และเรียกประเทศของพวกลีว่า ประเทศจก คำว่า หลง กับ ลี คงจะเป็นคำเดียวกัน ต่อมาจึงเพี้ยนเป็น ลุย แล้วเพี้ยนเป็น ลวง ที่สุดก็กลายเป็น ลาว ดังนั้นที่จีนเรียกว่า กิ้วหล้ง หรือกิวลุงนั้น จึงหมายถึง ลาวทั้ง 9 หรือนาคทั้ง 9 คำว่า ลุง ที่กลายมาเป็นชื่อ เมืองลุง หรือนครลุง จึงมีความหมายว่า นครนาค นั่นเอง

  • ต่อมาเมื่อประมาณ 843 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ชนชาติตาดได้เข้ามารุกรานพวกจีนแล้วเลยเข้ามารุกรานพวกอ้ายลาวถึงนครลุง ชนชาติลาวสู้ไม่ได้จึงอพยพหลบหนีลงมาอยู่ที่นครปา และสร้างนครใหม่ขึ้นอีกคือ นครเงี้ยว หรือเมืองเงี้ยว ชื่อของเมืองใหม่ก็ยังคงสัมพันธ์กับนาค เพราะว่า เงี้ยว แปลว่า งู และ งู ก็คือ นาค (งู เป็นคำลาว นาคเป็นคำบาลี)
    จากนั้นมา 70 ปี ชนชาติจีนได้เข้ามารุกรานนครปาและนครเงี้ยวของพวกลาวอีก ชาวลาวจึงอพยพหนีลงมาทางใต้ของเมืองเสฉวน โดยมาสร้างอาณาจักรใหม่ที่หนองแส เรียกว่า อาณาจักรลาวหนองแส หรืออาณาจักรน่านเจ้า”
    หนองแสเป็นบึงใหญ่ อยู่ตะวันออกของแม่น้ำโขง ในเขตมณฑลยูนนานของจีน สมัยโบราณ ลาวเรียกบึงนี้ว่า หนองแส หรือหนองกระแส แสนย่าน แต่จีนกลับเรียกว่า ตาลีฟู
    อาณาจักรหนองแสนี้มีเรื่องราวกล่าวถึงความเชื่อในพญานาคอยู่ไม่น้อย ปรากฏอยู่ในนิทานและตำนานหลายเล่ม เช่น ในเรื่องขุนทึง กล่าวว่า ขุนเทืองไปได้กับลูกสาวพญานาคอยู่หนองแสชื่อ เอกไคล้ และได้ลูกคนหนึ่งชื่อ ขุนทึง ต่อมาขุนทึงได้มาสร้างเมืองเชียงใหม่ขึ้น ทั้งขุนเทือง ขุนทึง เชื่อว่าเป็นพวกขอมที่สืบเชื้อสายมาจากพระนางจามเทวีที่ครองเมืองหริภุญไชย ในระหว่างปี พ.ศ. 1008 ตอนนั้นพวกอ้ายลาวก็อพยพมาอยู่หนองแสแล้ว พวกขอมกับลาวจึงไปมาหาสู่กันตลอดเวลาหลายชั่วคน จนขุนเทืองมาได้กับนางเอกไคล้ ผู้เป็นลูกกษัตริย์เมืองหนองแส จึงได้กล่าวว่า นางเอกไคล้เป็นลูกสาวนาคหนองแส เพราะว่าชาวอ้ายลาวสืบเชื้อสายมาจากนาค จึงเรียกพวกอ้ายลาวว่า นาคทั้งชนชาติ
    ต่อมาอาณาจักรหนองแส ได้ถูกชนชาติจีนรุกรานอีก จึงอพยพลงมาสร้างเมืองใหม่อยู่ทุ่งนาน้อยอ้อยหนู เกิดเป็นอาณาจักรแถน จีนเรียกอาณาจักรแถนว่า เก้าหล้ง และเรียกเมืองแถนว่า เมืองกาหลง ซึ่งมาจากคำ เก้าหล้ง และมีความหมายว่าเป็นเมืองนาคตามเดิม

  • จากพงศาวดารต่างๆนั้น ทำให้เห็นชัดเจนว่า ชนชาติลาวมีความเชื่อในพญานาคอย่างแน่นแฟ้น ชื่อเมืองทุกเมืองล้วนเกี่ยวเนื่องกับพญานาคทังสิ้น ไม่เพียงแต่การตั้งชื่อเมืองให้เกี่ยวข้องกับพญานาค หากแต่ยังปรากฏคติความเชื่อในการหาฤกษ์งามยามดีในการขึ้นครองราชย์ของเจ้า นครอีกด้วย เช่น ขุนบรมราชาธิราช เจ้านครหนองแส ผู้สร้างเมืองแถนจนสำเร็จ จึงหาฤกษ์ขึ้นครองเมืองแถน ซึ่งหาได้วันที่ราหูเข้าสู่ราศีตุลย์ สัตว์คู่ราศีคือ พญานาค

  • ความสัมพันธ์ระหว่างนาคกับนครต่าง ๆ ของชาวลาวไม่ได้สิ้นสุดอยู่ในสมัยขุนบรม สายสัมพันธ์นี้ยังสืบทอดมาถึงรุ่นลูกของขุนบรมคือ ขุนลอ ซึ่งเป็นผู้สร้างเมืองเชียงคง เชียงทอง (หลวงพระบาง) โดยมีการหมายเขตแดนเมืองดังตำนานว่า “เอาโง่นหมิ่นหลวงเป็นหางนาค เอาปากน้ำคาน (ที่ไหลมาบรรจบแม่น้ำโขง) เป็นหัวนาค" แล้วเรียกชื่อนครนี้ว่า “นครเชียงทองสีสัตตนาค” กลายมาเป็น นครหลวงพระบางจนทุกวันนี้

  • หลวงพระบางได้ชื่อว่าเป็นนครแห่งนาค ชาวหลวงพระบางเชื่อถือในพญานาคอย่างแนบแน่นในจิตใจ จนถึงกับปรากฏความเชื่อในเรื่องบรรพบุรุษของชาวหลวงพระบางคือ พญานาค 15 ตระกูล และพญานาคทั้ง 15 ตระกูล ก็ยังอยู่ประจำรักษาเขตแดนต่างๆดังนี้
    พญานาคตระกูลที่ 1 อยู่แก้งหลวงน้ำช่วง ตระกูลที่ 2 อยู่สบบ่อ ตระกูลที่ 3 อยู่คกเรือ ตระกูลที่ 4 อยู่แก้งอ้อย ตระกูลที่ 5 อยู่สบเชือง ตระกูลที่ 6 อยู่แก้งตังนาย ตระกูลที่ 7 อยู่สบโฮบ ตระกูลที่ 8 อยู่แก้งหลวง ตระกูลที่ 9 อยู่พูสี ตระกูลที่ 10 อยู่หนองตาบาก ตระกูลที่ 11 อยู่ท่าท้าง ตระกูลที่ 12 อยู่ปากคาน ตระกูลที่ 13 อยู่ผาเผือก ตระกูลที่ 14 อยู่พูช้าง และตระกูลที่ 15 อยู่พูชวง
    (ด้วยเหตุที่หลวงพระบางเป็นแดนแห่งพญานาคดังกล่าวนี้ จึงเป็นความเหมาะควรโดยประการทั้งปวงที่จะเป็นสถานที่สถาปนาฤทธิ์เดชให้กับ นาคาธิบดีสีสัตตนาคบาดาลที่สภาบุญได้จัดสร้างขึ้น และกำลังเป็นกระแสเชี่ยวกรากให้ผู้เสื่อมใสศรัทธาได้สัมผัสในขณะนี้)

  • ความสัมพันธ์ระหว่างพญานาคกับคนลาวที่ปรากฏในตำนานนิทานหรือพงศาวดารมักจะมี ลักษณะของความเป็นประวัติศาสตร์สอดแทรกอยู่ด้วยเสมอ แม้แต่ตำนานการสร้างเมืองหลวง เมืองสุดท้ายของลาว ก็ยังคงเกี่ยวข้องกับพญานาคเหมือนกัน
    อุรังคธาตุนิทาน กล่าวถึงการสร้างนครเวียงจันทน์ว่ามีเหตุมาจากพญานาคดังนี้
    มี ชายคนหนึ่งชื่อบุรีจันทน์ เป็นคนอัปลักษร์ ตัวดำใหญ่ พุงใหญ่ จนเรียกกันทั่วไปว่า “บุรีจันทน์อ่วยล้วย” (อ่วยล้วย = คนอ้วนคนพี) เป็นชาวเมืองสุวรรณภูมิ อยู่บ้านเก้าเลี้ยว (ในเขตเวียงจันทน์) ได้ออกมาตั้งบ้านเรือนอยู่บ้านร่องแก ข้างหนองคันเทเสือน้ำบุรีจันทน์ แม้อัปลักษณ์ รูปชั่วตัวดำ แต่จิตใจงดงาม เต็มไปด้วยเมตตา เป็นทั้งคนใจบุญสุนทาน รักษาศีล ภาวนา และได้อุปถัมภ์อุปัฐากพระอรหันต์ 2 รูป มาจากราชคฤห์นคร องค์หนึ่งชื่อ พระมหาพุทธวงศ์ อยู่ริมบึง อีกองค์ชื่อ พระมหาสัชชติ อยู่ในป่าเหนือบึง และด้วยอำนาจบุญกุศลดังกล่าว คนทั้งหลายจึงพากันยกบุรีจันทน์เป็นหัวหน้าและเป็นอาจารย์สั่งสอนศีลธรรม ศิลปหัตถกรรม การกสิกรรม จนเป็นที่รักใคร่ของเหล่ามนุษย์และเทวดา รวมไปถึงเหล่านาคทั้งหลายที่มาคอยช่วยเหลือ โดยมีนาคใหญ่คือ สุวรรณนาค เป็นราชาแห่งนาคในเขตนั้น
    ครั้งหนึ่งน้ำท่วมไร่นาชาวบ้านเสียหายมาก สุวรรณนาคมีบัญชาให้เศรษฐไชยนาคมาเนรมิตคันเทกั้นน้ำเอาไว้ไม่ให้น้ำท่วมนา ข้าว จึงเกิดชื่อ หนองคันเทเสือน้ำในเวลาต่อมา

  • กาลล่วงผ่านไปจนกระทั่งถึงเวลาที่บุญวาสนาของบุรีจันทน์จะบังเกิดผล สุวรรณนาคจึงให้เอกจักขุนาคกับสุคันธนาคแปลงเพศเป็นงูน้อย 2 ตัว มีเกล็ดสีทองเหมือนทองคำ มีหงอนงามเข้าไปอยู่ในไซดักปลาของชาวบ้าน ระหว่างนั้นบุรีจันทน์ก็ฝันไปว่าไส้ของตนไหลอออกมาจากท้องมาพันรอบเอวได้ 7 รอบ พอตื่นเช้าก็กลัวความฝันนั้นเป็นอันมากถึงกับเล่าฝันให้พระมหาพุทธวงศ์ฟัง ซึ่งก็ได้รับคำแนะนำให้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้พญานาค พอดีเป็นเวลาบิณฑบาต บุรีจันทน์จึงถือโอกาสใส่บาตรอุทิศส่วนบุญกุศลทันที
    ครั้นตกสายชาวบ้านไปกู้ไซเห็นงูน้อย 2 ตัว แปลกประหลาดมาก ก็นำมาให้บุรีจันทน์ดู บุรีจันทน์จึงของู 2 ตัวนั้นไว้ ตั้งใจว่าจะเอาไปถวายท้าวคำบาง ผู้เป็นเจ้าเมือง พอค่ำลง สุวรรณนาคก็เนรมิตกายเป็นคนเฒ่านุ่งข่าวห่มขาวมาหาบุรีจันทน์ และบอกว่างู 2 ตัวนั้นเป็นลูกจะมาขอคืน บุรีจันทน์บอกว่าจะเอางู 2 ตัวไปถวายเจ้าเมือง และสงสัยว่าทำไมคนเฒ่าจึงบอกว่างูเป็นลูก
    “เราเป็นพญานาค ไม่จำเป็นต้องเอาลูกของเราไปให้ท้าวคำบางเลย ท้าวคำบางต่างหากจะต้องเป็นฝ่ายให้ท่าน”

  • เมื่อทราบเช่นนั้นบุรีจันทน์จึงมอบงูน้อย 2 ตัว ให้คนเฒ่า (สุวรรณนาค) และคนเฒ่าจึงบอกบุรีจันทน์ว่า จงไปขุดบ่อน้ำไว้ที่ริมบึงนอกบ้าน ถึงวันพระจะให้นาคน้อย 2 ตัวนี้มา ท่านประสงค์สิ่งใดจงบอกแก่นาคน้อยทั้ง 2 ก็จะสมดังประสงค์ทุกประการ
    หลังจากนั้น สุวรรณนาคได้ไปดลใจให้ท้าวคำบางและมเหสี เกิดความคิดจะยกลูกสาวคือ นางอินทะสว่าง ให้ไปเป็นสนมพญาสุมิตธรรมวงศา กษัตริย์เมืองมารุขระ (มรุกขนคร) คือ เมืองธาตุพนมเดี๋ยวนี้
    เมื่อนางอินทะสว่างทราบว่าบิดาจะยกตนให้ไปเป็นเมียของพญาสุมิตธรรมวงศา ก็โศกเศร้าเสียใจด้วยไม่มีความเต็มใจแต่ประการใด บิดาจึงขู่ว่า “ถ้าไม่อยากไปเป็นเมียท้าวพญามหากษัตริย์ ก็จะให้เป็นเมียบุรีจันทน์ท้องใหญ่เสียเลย”

  • แทนที่นางอินทะสว่างจะตกใจกลัว กลับมีความพอใจและหายโศกหายเศร้าง เกิดความรู้สึกอยากเห็นตัวบุรีจันทน์ จึงยอมที่จะเดินทางไปมารุขระนคร แต่ขอแวะนอนที่ท่าตรงข้ามที่บ้านหนองคันเทเสือน้ำสักคืน เพื่อจะได้ดูตัวบุรีจันทน์

  • ท้าวคำบางก็ตามใจลูกสาว สั่งให้บ่าวไพร่ไปปลูกหอไว้ที่หาดดอนจันทร์ แล้วพาลูกสาวล่องเรือมาพักค้างคืนที่หอนั้น โดยสั่งบ่าวไพร่ให้ไปตามบุรีจันทน์มาเฝ้าในตอนรุ่งเช้า เพื่อว่าลูกสาวเห็นบุรีจันทน์แล้วจะได้กลัว
    ฝ่ายบุรีจันทน์เมื่อทราบดังนั้น จึงออกไปที่บ่อน้ำเรียกหานาคทั้ง 2 ตัวให้มาช่วย โดยบอกนาคทั้ง 2 ว่า ครั้งนี้เราเกิดอยากได้นางอินทะสว่างเป็นเมีย จงช่วยเราด้วยเถิด
    พญานาคทั้งหลายก็ร่วมแรงแข็งขันช่วยบุรีจันทน์คนละไม้คนละมือ ให้บุรีจันทน์อาบน้ำในบ่อนั้น สุคันธนาคให้ขวดไม้จันทน์และกระบวยดักน้ำอาบ เอกจักขุนาคให้ผ้าเช็ดตัว กายโลหนาค ให้ผ้านุ่ง อินทจักขุนาคให้แหวนธำมรงค์ เศรษฐนาคให้ดาบศรีด้ามแก้ว สหัสสพลนาคให้เสื้อรูปท้าวพันตา สิทธิโภคนาคให้มงกุฎทองคำประดับแก้ว คันธัพนาคให้สังวาลย์ทองคำ ศิริวัฒนานาคให้รองเท้าทองคำ อินทรศิริเทวดาให้แว่นกรองทองคำ เทวดาผยองให้ต่างหูทองคำ เทวดาสนิทให้ผ้าเช็ดหน้า ประสิทธิสักกเทวดาให้ขวดน้ำมันแก้วผลึก

  • เมื่อเหล่านาคและเทวดาร่วมมือกันปานนี้ บุรีจันทน์ก็กลายเป็นคนละคน
    ส่วนสุวรรณนาค หัตถีนาค ปัพพาละนาค และพุทโธปาปนาค ได้ร่วมกันเนรมิตปราสาทหลังงามให้
    ของที่นาคและเทวดาเนรมิตให้นี้ คนทั่วไปจับต้องไม่ได้ ถ้าจับต้องจะมีเหตุเป็นไปต่างๆนานา
    คืนนั้นหลังจากอาบน้ำแล้วบุรีจันทน์กลายเป็นชายหนุ่มรูปงาม หอมไปทั้งเนื้อทั้งตัว
    เทวดามัจฉานารีจึงอุ้มบุรีจันทน์ไปนอนกับนางอินทะสว่างจนได้เสียเป็นเมียผัวและเกิดค
    วามรักใคร่พอใจจะร่วมชีวิตเป็นสามีภรรยากัน

  • ท้าวคำบางเมื่อทราบว่าบุรีจันทน์กับนางอินทะส่ว่างลักลอบได้เสียกัน แทนที่จะโกรธกลับมีความยินดีไปด้วย จึงทำพิธีอภิเษกสมรสให้บุรีจันทน์ที่ดอนนั้น

  • ต่อมาบุรีจันทน์ได้สร้างหนองคันเทเสือน้ำให้เป็นเมือง และได้เป็นเจ้าเมืองปกครองเมืองนี้ โดยเรียกชื่อว่า “เมืองจันทน์บุรีสีสัตตนาค” กลายเป็นเมืองเวียงจันทน์จนทุกวันนี้

  • นางคำผุย พลลือชา ได้ตั้งข้อสังเกตุว่า
    “ถ้าพิจารณาจากพงศาวดารและนิทานพื้นบ้าน ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ของชนชาติลาว จะพบว่า เริ่มแรกที่ชนชาติลาวสร้างบ้านสร้างเมืองมาจนถึงอาณาจักรสุดท้ายที่คนลาว อาศัยอยู่ในปัจจุบันนี้ ทั้งเมืองลุง เมืองปา เมืองเงี้ยว ในเขตเมืองเสฉวนของจีนทุกวันนี้ ตลอดจนถึงการสร้างอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงเช่น อาณาจักรหนองแส อาณาจักรแถน และอาณาจักรล้านช้าง คือ นครเวียงจนทน์และหลวงพระบาง ล้วนแต่มีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับนาค ดูเหมือนว่า นาคจะเป็นเจ้าแห่งปิตุภูมิที่เป็นพื้นที่อยู่อาศัยของคนลาวและผูกพันกับคน ลาวอย่างใกล้ชิด และคนลาวก็เชื่อถือว่าสืบสกุลมาจากนาค พร้อมกับนิยมนับถือบูชาพญานาค ใช้รูปนาคเป็นตราประจำชาติสืบมา”

  • ความเชื่อในเรื่องพญานาคของชนชาติลาวไม่ได้หยุดอยู่แค่ระดับพงศาวดารหรือใน ระดับ Myth ต่าง ๆ แต่กลับปรากฏอยู่ในระดับชาวบ้าน หรือในการดำรงชีวิตประจำวันที่เชื่อว่า เมื่อมีภัยอันตรายเกิดขึ้น สามารถพึ่งพญานาคช่วยให้พ้นภัยได้

  • นางแนน อายุ 63 ปี (9 ตุลาคม 2542) ชาวบ้านสีฐานใต้เล่าว่า ก่อนมารดาของตนจะเสียชีวิตได้สั่งว่า แม้จะมีเหตุร้ายเกิดขึ้น พวกเจ้าไม่ต้องหนีจากบ้าน ให้ไปพึ่งป่าหางบ้าน พญานาคจะเอาหางมาเกี้ยวกอดพวกเจ้าเอาไว้ ทำให้ไม่เกิดภัยต่อพวกเจ้า เพราะว่าบ้านสีฐานใต้อยู่ในเขตหางนาค

  • นางแสงแก้ว อายุ 68 ปี (9 ตุลาคม 2542) ผู้ปฏิบัติหน้าที่จัดอาหารคาวหวานประกอบพิธีกรรมบูชาพญานาคประจำวัดนาคห่อ ผ้าได้บอกว่า เขตวัดนาคห่อผ้า บ้านฐินเพีย เป็นเขตหัวนาค ส่วนบ้านสีฐานใต้เป็นเขตหางนาค สมัยก่อนในวัดนาคห่อผ้าจะมีรูโปร่งทะลุถึงหนองคำแสนบ้านสีฐานใต้ เรียกว่า รูนาค เขตนี้เป็นที่อยู่ของพวกนาค

  • ดูจากโครงสร้างกำแพงนครเวียงจันทน์ชั้นใน จะเห็นว่าเขตแดนทิศเหนือติดกับบ้านสีฐานหนือจนถึงบ้านเก้าเลี้ยว ซึ่งเรียกว่า เป็นเขตทำนาเหนือ ชาวลาวเชื่อว่ามีพญานาคชื่อว่า สิริวัดทนนาครักษา มีหอบูชาพญานาคอยู่ที่บ้านเก้าเลี้ยว ส่วนเขตแดนทิศใต้ก็อยู่ที่บ้านสีฐานใต้ นับตั้งแต่บ้านบ่อโอทำนาจนถึงสีฐานใต้ เป็นเขตทำนาใต้ มีพญานาคชื่อ สิริโพธิ์พระนาครักษา มีหอบูชาอยู่บ้านห้อม บ้านโอท่านา

  • ความเชื่อเรื่องพญานาค 2 ตนนี้ ชาวบ้านสีฐานใต้ยังรักษาไว้จนปัจจุบัน

  • เวลามีประเพณีแข่งเรือที่วัดจันทน์ นครเวียงจันทน์ ชาวสีฐานใต้จะนำเรือล่องตามลำน้ำโขงกราบไหว้พญานาค 2 ตนที่กล่าวมานี้เสียก่อนจะนำเรือลงมาแข่งที่วัดจันทน์ พิธีการกราบไหว้บูชาพญานาคนี้ ชาวสีฐานยังปฏิบัติสืบต่อมาจนทุกวันนี้

  • ได้ยินว่าที่บ้านหนองหมากนาว ออกไปจากกำแพงนครเวียงจันทน์ 40 กิโลเมตร จะมีพิธีบูชาพญานาคที่ริมฝั่งโขงหลังเหตุการณ์บั้งไฟพญานาคไม่กี่วัน พิธีนี้ปฏิบัติกันทุกปี หลังพิธีแล้วจะมีงูสารพัดชนิดทุกขนาดขึ้นมารวมตัวอยู่บนหาดทรายริมฝั่งโขง นับร้อยตัว
    ไว้ได้ไปเห็นด้วยตาตนเองเมื่อไหร่จะกลับมาเล่าให้ฟัง
    เรื่องนาคนี้ยังไม่จบครับ....
พิมพ์โดย .... คนเฝ้าสวน
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #6 เมื่อ: 13 มิถุนายน 2553 11:05:05 »

http://i538.photobucket.com/albums/ff346/natesmp/naga%20fireball/naga.jpg
ด้วยฤทธิ์แห่งนาค กับ น้ำท่วม แผ่นดินไหว ภัยพิบัติ


นาคาฯ ตอน 5
 
 

  • ตอน 5
ภาพพญานาคบนท้องฟ้าที่นำมาลงให้ดูนี้ เป็นภาพที่มาจากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 8 กันยายน 2549 ถ่ายโดยกล้องโทรศัพท์มือถือ ผู้ถ่ายคือ นายยงยุทธ ฤกษ์อุดม พ่อค้าขายอาหารตามสั่ง หน้าปากทางเข้าคุ้มหนองคู อยู่บ้านเลขที่ 27/17 ถนนรอบเมือง เขตเทศบาลนครขอนแก่น
นายยงยุทธเล่าว่า เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2549 ตนกับภรรยาไม่ได้ออกไปขายของเพราะว่าฝนตกหนัก พอตกค่ำจึงชวนเพื่อนพ้องมาร่วมวงดื่มเหล้าที่หน้าบ้านเช่า สักพักเห็นแสงไฟหลากสีพุ่งไปมาอยู่บนฟ้าตะวันออก จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายภาพเอาไว้และได้ภาพตามที่เห็นนี้
นายยงยุทธเชื่อว่าเป็นภาพพญานาคจริงๆ และตั้งใจว่าจะนำภาพถ่ายนี้ไปขยายใส่กรอบไว้บูชาต่อไป
ตามข่าวกล่าวว่า มีชาวบ้านมากมายทยอยกันไปขอดูภาพพญานาคบนท้องฟ้าของนายยงยุทธตลอดเวลา แสดงว่า มีผู้สนใจเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย ส่วนพญานาคในภาพจะเป็นพญานาคจริงหรือไม่ ผมก็เห็นว่ายังจะสรุปไม่ได้ คงเห็นแต่เพียงว่าแปลกประหลาดดี

  • เรื่องพญานาคบนท้องฟ้าที่ ปรากฏในรูปลำแสงประหลาดหลากสีสันนั้น เคยปรากฏมาก่อนแล้วครั้งหนึ่งที่วัดพระธาตุพนม ตอนปี พ.ศ. 2500 ดังบันทึกของพระเทพรัตนโมลีต่อไปนี้
    “พ.ศ. 2500 เดือน 11 ขึ้น 15 ค่ำ (วันออกพรรษา) เวลากลางคืน บ่าย 2 โมง (คือเวลาตี 2 นั่นแหละครับ คนโบราณยังเรียกว่า บ่ายกลางคืน หรือบ่ายกลางวัน) มีฝนตกหนักครึ่งชั่วโมง แล้วก็พรำมาอีก 20 กว่านาที ขณะที่ฝนตกฟ้าร้องดังสนั่นแผ่นดินเฟือนในคืนนั้น นายไกฮวด ชาวตลาดออกมารองน้ำฝนที่บ้านของตน เห็นแสงประหลาดโตเท่าลำตาล มีสีต่างๆ กัน พุ่งแข่งกันมาจากทิศเหนือ แสงนั้นมาถึงตรงพระธาตุแล้วหายไป ได้เรียกภรรยาออกมาดูด้วย สงสัยว่าจะมาแต่ไหน จะออกจากชายคาร้านไปดูริมแม่น้ำโขง เพราะบ้านอยู่ใกล้ก็กลัวฟ้าร้องและขโมยจะเข้าบ้านได้ แต่มองลอดชายคาระเบียงร้านดูด้วยความสงบ รุ่งเช้าเล่าให้คนฟัง มีคนสนใจน้อยมาก ต่อมาอีก 2 วัน คือ ขึ้น 7 ค่ำ เดือนเดียวกัน เจ้าอาวาสให้สามเณรลูกศิษย์ตรวจเหตุการณ์ดูทางในเข้าไปพบพญานาคทั้ง 7 เรียงกันเป็นแถวอยู่ลานพระธาตุ หงอนแดง และหางแดง สามเณรน้อยงงอยู่ ประเดี๋ยวกลับกลายเป็นมานพ 7 นาย ทรงเครื่องขาวนั่งเรียงกันเป็นแถวอยู่ลานพระธาตุชั้นใน สามเณรสนเท่ห์ใจ งงจนพูดอะไรไม่ออก จะว่าก้มก็มิใช่ ยืนก็มิใช่ อากัปกิริยาอยู่ระหว่างยืนกับก้ม มานพหัวหน้าร้องถามว่า พ่อเณรมีธุระอะไร อย่ากลัวจงบอกมา สามเณรงงอยู่มิได้ตอบอะไร ตั้งใจว่าจะกลับกุฏิ ก็พอดีพญานาคราชหัวหน้าตรัสว่า พ่อเณรจะกลับแล้วหรือ ขอไปด้วย จะสนทนากับท่านเจ้าคุณ พอขาดคำก็เข้าประทับร่างเณร สามเณรหมดความรู้สึก ส่วนร่างของเณรที่เข้าสมาธินิ่งอยู่ต่อหน้าเจ้าอาวาสและแขกอีกราว 4 คน ก็แสดงปฏิกิริยายกมือไหว้เจ้าคุณพร้อมกับพูดว่า สวัสดีท่านเจ้าคุณ หม่อมฉันมาได้ 2 คืนแล้วมิรู้หรือ ท่านเจ้าคุณไต่ถามได้ความว่า เป็นพญานาคทั้ง 7 มาจากสระอโนดาตในเทือกเขาหิมาลัย พระอินทราธิราช มีบัญชาให้มารักษาพระบรมธาตุ พวกที่รักษาแต่ก่อนอาศัยแต่สินบนเครื่องเซ่นสรวง ท่านไม่ต้องการอันใด ขอแต่น้ำบูชาถ้วยเดียวเท่านั้น ฯลฯ ต่อมาก็เข้าประทับทรงเรื่อย ๆ มาแสดงธรรมสั่งสอน,ดูโรค, บอกยารักษาคนป่วยเห็นผลมามาก จนกระทั่งสั่งให้เอาไหน้ำมนต์ไปตั้งไว้ในลานพระธาตุชั้นใน แล้วเอาน้ำมนต์มาใช้ก็ศักดิ์สิทธิ์เป็นที่อัศจรรย์จนบัดนี้ ผู้ฝึกทางสมถวิปัสสนาได้สมาธิแก่กล้าจนดับพละ 5 ได้แม้เพียง 5 นาที ฝึกจนชำนาญแล้วก็จะสามารถเห็นได้ทางญาณ ท่านบอกว่าจะอยู่ไปจนหมดศาสนาพระโคดม”
    มีผู้อ่านท่านหนึ่งให้ข้อมูลว่า พญานาคทั้ง 7 นี้มีชื่อเรียงตามลำดับดังนี้
    องค์แรกมีนามว่า พญาสัทโทนาคราชเจ้า เป็นประธานหมู่คณะ องค์ที่ 2 คือ พญาศีลวุฒินาโค องค์ที่ 3 คือ พญาหิริวุฒินาโค องค์ที่ 4 คือ พญาโอตตัปปะวุฒินาโค องค์ที่ 5 คือ พญาพาหสัจจะวุฒินาโค องค์ที่ 6 คือ พญาจาคะวุฒินาโค และองค์ที่ 7 พญาปัญญาเตชะวุฒินาโค
    ชื่อพญานาคทั้ง 7 นี้ ได้มาจากการประทับทรงสามเณร ซึ่งผู้อ่านท่านนี้ได้แนบเอกสารประกอบมาด้วยว่า ชื่อสามเณรทรัพย์ คือทราบชื่อสามเณรรูปนี้ด้วย
    ข้อเท็จจริงของชื่อสามเณรทรัพย์นั้นได้มาจากการสัมภาษณ์แม่ชีมณีจันทร์พันธ์ เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2537 หลังจากเกิดเหตุการณ์เข้าทรง 37 ปี แต่ในขณะเดียวกันก็มีหลายท่านบอกว่าสามเณรนั้นชื่อ สมบัติ ก็มี
    เมื่อดูในบันทึกที่เป็นทางการของวัดธาตุพนม ที่เขียนโดยอดีตเจ้าอาวาสวัดธาตุพนม กลับไม่ปรากฏชื่อสามเณรแต่อย่างใด
    ผู้อ่านท่านนี้ได้แย้งมาด้วยว่า ชื่อของพญานาคทั้ง 7 องค์ ที่ส่งมาให้ผมนั้นไม่ตรงกันกับที่ผมได้ลงไว้ในสืบหาพระเครื่องดี ฉบับ 566 หน้า 42 ซึ่งที่จริงก็คงจะเป็นหน้า 67 ที่ได้กล่าวถึงความเห็นของหลวงปู่คำพันธ์ ซึ่งเห็นว่า ที่นายไกฮวดเห็นลำแสงประหลาด 7 ลำแสงนั้น เป็นพญาศรีสุทโธและอำมาตย์ทั้ง 6 แสดงฤทธิ์ และบอกชื่ออำมาตย์ทั้ง 6 ไว้เพียง 3 ชื่อ ซึ่ง 3 ชื่อนี้ไม่ตรงกับข้อมูลที่ผู้อ่านท่านนี้ส่งมา

  • เรื่องชื่อนี้เป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ เกิดจากความเชื่อของแต่ละแหล่งข้อมูล และเป็นแหล่งข้อมูลที่เป็นแค่นามธรรม จับต้องไม่ได้ เพราะว่าออกมาจากปากของร่างทรง จึงขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกเชื่ออะไรหรือไม่เชื่ออะไร

  • อย่างไรก็ตาม ชื่อพญานาคทั้ง 7 นี้ เมื่อพิจารณาแล้วจะพบว่า เป็นชื่อที่มาจากสัตตธรรม คือ ข้อธรรมทั้ง 7 คือ สัทโธ (ศรัทธา) ศีล, หิริและโอตัปปะ, จาคะ, ปัญญา นับว่าเป็นชื่อที่ดีมาก และชื่อพญานาคทั้ง 7 นี้ก็เป็นที่ยอมรับอยู่ในวัดพระธาตุพนมจนทุกวันนี้ ถึงกับว่ามีการกำหนดสีประจำพญานาคแต่ละองค์ไว้ด้วย
    พญาสัทโท สีน้ำเงิน, พญาศีลวุฒิ สีเขียวแก่, พญาหิริวุฒิ สีเขียวอ่อน พญาโอตตัปปะ สีเหลือง, พญาพหุสัจจะ สีชมพู, พญาจาคุวุฒิ สีแสด และ พญาปัญญาวุฒิ สีขาว

  • ในพิธีบูชาพญานาคของวัดพระธาตุพนมทุกปี ก็จะจัดพานกระทง 7 สี ตามนี้
    เกี่ยวกับพิธีบูชาพญานาคของวัดพระธาตุพนมนั้น แต่เดิมไม่มี เพิ่งจะมีขึ้นครั้งแรกในปี 2501 คือ ปีรุ่งขึ้นหลังจากนายไกฮวดเห็นลำแสงประหลาด (พ.ศ. 2500) และก็มีต่อมาเป็นประจำทุกปีจนปัจจุบันนี้ (พิธีจัดในวันออกพรรษา)
    ในการจัดพิธีบูชาพญานาคครั้งแรกในปี 2501 นั้น ก็มีผู้ได้เห็นลำแสงประหลาดอีกครั้งหนึ่ง ดังบทสัมภาษณ์นายสมบูรณ์ ตั้งไพบูลย์ ต่อไปนี้
    “วันจัดงานครั้งแรก 2501 นั้น ฉันเห็นแถบสีขึ้นมา 7 สี พาดอยู่บนท้องฟ้า เกิดขึ้นตอนกลางคืนก่อนเวลาตีสอง ฉันไหว้พระไหว้อะไรแล้วก็ออกไปเดินยืดแข้งยืดขาอยู่ในลานพระธาตุ (เดินจงกรม) มีเพื่อนออกมาด้วยคนหนึ่ง เพื่อนบอกว่า ดูโน่นแน่ะบนฟ้า ฉันเงยหน้าดูเห็นเป็นริ้วๆ 7 สี จะว่ารุ้งกินน้ำก็ไม่ใช่ อะไรจะมีรุ้งตอนกลางคืน ริ้วของสี 7 สี เกิดขึ้นนานพอสมควร จนพอจะเรียกคนอื่นมาดูด้วยกันได้อีกหลายคน ฉันก็เลยนั่งลงยกมือไหว้”

  • เรื่องแสงประหลาดที่มีผู้พบเห็นก็ไม่เคยได้ยินอีกเลย จนกระทั่งนายยงยุทธ ชาวขอนแก่นบันทึกภาพไว้ได้ในเร็ว ๆ นี้ ซึงยังไม่อาจทราบได้ว่าลำแสงที่นายยงยุทธถ่ายภาพไว้จะเป็นเหมือนลำแสงที่นาย ไกฮวดและคนของนายสมบูรณ์เห็นหรือไม่
    ความเชื่อในเรื่องพญานาคนี้เป็นเรื่องที่พูดลำบาก ยากที่จะหาเหตุผลมากล่าวอ้าง จนแม้เพื่อนพ้องของผมเองก็ตั้งข้อสงสัยว่า พญานาคนี้เป็นอะไรแน่ ภพภูมิของพญานาคต่ำกว่าคนหรือเปล่า หรือว่าพญานาคจะจัดเป็นพวกอสุรกาย
    พระมหาสม สุมโน ได้อธิบายเกี่ยวกับพญานาคไว้เพียงสั้นๆ ว่า
    “พญานาคเป็นเทวดาพวกหนึ่ง ไม่ใช่งู อยู่รวมกัน แต่อยู่คนละภพ ละเอียดกว่ามนุษย์เรา และฝึกจิตได้ในระดับหนึ่ง”
    ความเชื่อในเรื่องพญานาคทั้ง 7 ยังปรากฏอยู่ในบทเทศนาของเจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนม ปี 2530 ระหว่างพิธีบูชาพญานาคประจำปีนั้น ดังนี้
    “องค์สมเด็จพญานาคเจ้าทั้ง 7 ได้เสด็จมาประทานโอกาสบำเพ็ญบารมีธรรม ได้อาศัยร่มเงาพระธาตุพนมเจ้ามาเป็นเวลาหลายสิบปี เริ่มแต่พระธรรมราชานุวัตร เจ้าอาวาสองค์ก่อนลำดับมา ปรากฏได้ประจักษ์ในการรักษาบรรเทาโรคภัยไข้เจ็บแก่ประชาสัตว์ ประชาชนน้อยใหญ่หลั่งไหลมา ได้ความสุขความเจริญ แบ่งเบาบรรเทาทุกข์ในกาย ใจ ตามลำดับ เพื่อประโยชน์แก่ส่วนตน ส่วนรวม ประเทศชาติทั้งหลาย
    ข้าพเจ้าในนามเจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนม คณะกรรมการสงฆ์ 12 รูป คณะไวยาวัจกร คณะสงฆ์ สามเณร 300 กว่ารูป ชีพราหมณ์ พราหมณ์ชี ลูกศิษย์ คนงาน ที่อาศัยแผ่นดินวัดพระธาตุพนมทั้ง 300 ไร่ และ 380 ไร่ที่ได้มาใหม่ ทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นพระบารมีธรรม
    ต่อจากนั้นกล่าวถึงทศชาติ อันเป็นตัวอย่างของความตั้งใจในการบรรลุนิพพาน โดยเสวยชาติสุดท้ายเป็นพระพุทธเจ้า เมื่อบรรลุแล้วได้เทศนาโปรดสัตว์ มนุษย์ เทวดา ทั้งไตรภูมิ คือ กามภูมิ รูปภูมิ อรูปภูมิ
    พญานาคเคารพพระพุทธเจ้ามาขอบวช พระพุทธเจ้าให้บวช บวชแล้วนอนกลางวัน ไม่ปิดประตู สติไม่พอ นอนแล้วกลายเป็นงู คนไปฟ้องว่าทำไมเอางูมาบวช แต่ตอนเช้ากลายเป็นพระ พระนาครูปนั้นเลยสึก แล้วขอฝากชื่อไว้เพราะเคารพพระพุทธเจ้า ใครมาขอบวชก็ให้ได้ชื่อว่าบวชนาคเถิดพระเจ้าข้า
    เพราะฉนั้นเรื่องพญานาคเชื่อได้ แต่เรื่องหลอกเอาเงินคนนั้นเป็นบาป ถือว่าเชื่อไม่เป็น พญานาคมีจริง มีได้เป็นจริง เป็นได้ อาจเป็น 7, 100, 1,000 องค์ นับถือได้ เคารพปฏิบัติได้ ส่งเสริมได้ อุปัฏฐากได้ ต้องให้ได้ประโยชน์ พระธาตุพนมเคารพได้เป็นบุญ เคารพผิดเป็นบาป แม้แต่พระ อาศัยญาติโยมเลี้ยง หากินมาให้ พระเณรย่อมเป็นศัตรูตัวเอง กินข้าวบาตรโยมไม่เป็น
    พญานาคทั้ง 7 องค์ อย่าได้เกรงใจคน ขอให้ศักดิ์สิทธิ์ ข้าพเจ้าเป็นเจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนม ขอมอบสิทธิอำนาจวัดพระธาตุพนม พระเณรปฏิบัติตัวไม่ดี ขอให้พ่นพิษพญานาคใส่ เพื่อฆ่ากิเลส ความโลภ โกรธ หลง แก่พระวัดนี้ พญานาคเจ้าทั้ง 7 องค์ มีสุทโทพญานาคเจ้า เป็นต้น ขอได้ทรงทราบ รับทราบ ได้รับศีล ส่วนกุศลที่พ่อแม่พี่น้อง ที่พระเดชพระคุณ ท่านพ่อพระธรรมราชานุวัตร ได้เป็นองค์ต้น จัดของแต่งสถานที่รับรองแด่พญานาคทั้ง 7 แห่งพระธาตุพนม เทวดาทั้งหลายที่รักษาพระธาตุ ปู่ย่าตาทวด มเหสักข์หลักเมืองที่รักษาพระธาตุทุกองค์ทุกท่านขอได้โปรดทราบ รับส่วนแสดงออกอำนาจอิทธิ์ฤทธิมหากุศล ฤทธิ์มหานุภาพทั้งหลายที่จะปราบโลกสกปรก คนเสนียดจัญไรอย่าให้มีในวัดนี้ ในชีวิตจิตใจเราทั้งหลายนี้ ให้หนีจากไปให้ได้แต่ความเจริญ สามัคคี มงคล 38 ประการ ขอถวายพระพรแด่พญานาคทั้ง 7”
    ความเชื่อในเรื่องพญานาคที่ปรากฏนี้ เป็นความเชื่อที่แน่นแฟ้นไม่คลอนแคลน เช่นเดียวกับความเชื่อของชาวอุบลฯ ที่เชื่อว่ามีพญานันทนาคราชรักษาเมืองอุบลฯ โดยมีวังอยู่ในแม่น้ำมูลตรงบริเวณท่าน้ำวัดหลวง (ใกล้ตลาดใหญ่) จนถึงกับมีพิธีกรรมบูชาและประทับทรงพญานันทนาคราชที่วัดหลวงในวันออกพรรษา ทุกปี
    เกี่ยวกับพญานาคในแม่น้ำมูล มีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นกับยายพุ่ม (ไม่ทราบนามสกุล) ปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว ตัวยายพุ่มเองเป็นชาวลาว ข้ามแม่น้ำโขงมาอยู่อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลฯ ตั้งแต่ยังเป็นสาว ต่อมายายสว่าง พาศิริ ได้นำตัวยายพุ่มมาอยู่ด้วยกันที่เมืองอุบลฯ โดยเช่าบ้านอยู่ใกล้ท่าน้ำตลาดใหญ่ ซึ่งเวลานั้นคาดว่าจะเป็นห้วงเวลาราว ๆ พ.ศ. 2469-2470 โดยทั้งยายพุ่มและยายสว่าง มีอายุได้ประมาณ 20 ปี
    ครั้งหนึ่งยายพุ่มลงไปอาบน้ำมูล ได้นำผ้าเปื้อนระดูของตนลงไปซักล้างด้วย ขณะที่กำลังยืนแช่น้ำขนาดหัวเข่าซักผ้าเปื้อนระดูอยู่นั้น เห็นงูสีเขียวลอยน้ำตรงเข้ามา แล้วมุดน้ำลงไปพันเกี้ยวรอบขาของยายพุ่ม ชูคอโผล่หัวพ้นน้ำขึ้นมาด้วยลักษณะเป็นงูมีหงอนสีทอง ลำตัวไม่ใหญ่มากแค่ประมาณท่อนแขนของยายพุ่มเอง
    ยายพุ่มตกใจถึงกับหงายหลังล้มลงไป งูสีเขียวหงอนทองก็ชูคออยู่ตรงหน้ายายพุ่ม แล้วพูดออกมาเป็นเสียงมนุษย์ว่า “อย่าทำแบบนี้อีกนะ เพราะเห็นว่ามีความสัมพันธ์กับเรามาก่อนจึงจะไว้ชีวิต”
    หลังจากนั้นมายายพุ่มก็เปลี่ยนไป กลายเป็นคนถือศีลปฏิบัติธรรม และไม่อาบน้ำเลยจนกว่าจะถึงวันพระ คือ อาบน้ำเฉพาะวันพระเท่านั้น และจะมาอาบตรงท่าน้ำที่ยายพุ่มพบงูมีหงอนสีทอง ลำตัวเขียว จนตลอดชีวิต
    จากเหตุการณ์นั้น ยายพุ่มยังได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน อีกอย่างหนึ่งคือ กลายเป็นคนพูดอะไรออกมาแล้วจะเป็นจริงตามพูดทุกอย่าง ไม่ว่าจะพูดเรื่องอดีตหรืออนาคต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตนเองหรือของคนอื่น บอกได้แม้ว่าใครจะตายเวลาไหน ด้วยเหตุอะไร คือพยากรณ์อะไรก็ถูกต้องไปหมดจนเป็นที่นับถือของชาวเมืองอุบลฯ ตลอดสมัยของชีวิตยายพุ่ม
    ภายหลังยายพุ่มย้ายมาอยู่ในซอยข้างวัดแจ้ง ยังคงเป็นผู้ที่หากทักท้วงอะไรจะเป็นจริงเช่นเดิม และยังเดินทางไปอาบน้ำที่ท่าน้ำตลาดใหญ่ทุกวนพระเหมือนเดิม จนกระทั่งเสียชีวิตอยู่ที่นี่ ขณะมีอายุประมาณ 80 ปี
    งานศพยายพุ่ม คนทั้งซอยวัดแจ้งร่วมกันเป็นเจ้าภาพ รวมทั้งพระเณรในวัดแจ้งด้วย
    มีผู้ที่รู้จักใกล้ชิดยายพุ่มท่านหนึ่งคือ ป้านิภา เพียรสุข ปัจจุบันพำนักอยู่ตรงข้ามโรงแรมปทุมรัตน์ เมืองอุบลฯ ได้เล่าว่า
    “ยาย พุ่มเป็นคนไม่ค่อยพูด แต่ถ้าพูดอะไรออกมาเป็นจริงหมด และยายพุ่มเคยบอกว่าพญานาคที่แม่น้ำมูล ยายพุ่มได้พบเห็นบ่อย อาจจะแทบทุกครั้งที่ลงไปอาบน้ำที่นั่น โดยมักจะเห็นคราวละ 2 ตัว บางทีก็ออกอาการเล่นน้ำหยอกล้อกันคล้ายๆจะเป็นนาคผัวมียทำนองนั้น”

  • เรื่องของยายพุ่มนี้คนที่รู้จักยายพุ่มทุกคนจะรับรองนับถือว่าเป็นความจริง นับว่าแปลกประหลาดดี

  • ยังมีอีกท่านหนึ่งซึ่งมีประสบการณ์เกี่ยวข้องกับพญานาคอย่างชัดเจน เพราะมีพยานรู้เห็นเหตุการณ์มากมาย ท่านผู้นี้คือ ยายชีนวล แสงทอง วัดภูฆ้องคำ บ้านดงตาหวาน อำเภอกุดข้าวปุ้น จังหวัดอุบลราชธานี ปัจจุบันอายุประมาณ 93-94 ปี
    ยายชีนวลค่อนข้างจะมีความพิสดารอยู่ในตัวไม่น้อย จนแม้หลวงปู่คำพันธ์ได้เห็นยายชีนวลครั้งแรก ยังแสดงอาการผงะและออกปากว่า “ยายชีผู้นี้ไม่ใช่เล่น เป็นคนมีวิชาเต็มตัว” ซึ่งก็จริงตามนั้น เพราะว่ายายชีนวลมีลูกศิษ์ลูกหา ทั้งโยมทั้งพระมากมาย ทั้งยังเป็นที่พึ่งคนทุกข์ใจทุกข์กายมาโดยตลอด

  • ในสมัยยายชีนวลเป็นสาวก็เป็นผู้ใฝ่ใน ธรรม ถือศีล ออกปฏิบัติกับครูบาอาจารย์มากมายหลายสำนัก ทั้งยังเป็นสหายกับสำเร็จตัน ผู้ศิษย์สำเร็จลุนอีกด้วย สำเร็จตันจะไปไหนมักเรียกยายชีนวลไปด้วยกันเสมอ
    พอถึงห้วงเวลาหนึ่ง ยายชีนวลก็แต่งงานมีครอบครัว โดยมีชายหนุ่มมาหลงรักและขอแต่งงาน ยายชีนวลได้กำหนดข้อแม้ว่า ถ้าจะแต่งงานกับฉันก็ได้ แต่ต้องรับว่ามี 2 ข้อที่ฉันจะขอเอาไว้คือ หนึ่ง ฉันจะไม่เข้าครัวทำอาหารให้กิน สองฉันจะไปจากบ้านกับพระกับเจ้าเมื่อไหร่ก็ไม่จำเป็นต้องบอก ชายหนุ่มผู้นั้นก็ยอมรับ
    ยายชีนวลใช้ชีวิตแต่งงานอยู่นานพอสมควรก็ขอลาสามีออกบวชชี และบวชเรื่อยมาจนปัจจุบันนี้
    ประสบการณ์ในการพบเห็นพญานาคของยายชีนวลเกิดขึ้นขณะยายชีนวลมีอายุประมาณ 16-17 ปี ได้บวชเป็นชีแล้ว และด้วยความที่เป็นผู้อุปนิสัยเป็นอิสระในทุกๆ อย่าง นึกจะไปไหนก็ไป ไม่เคยกลัวอะไร จึงออกธุดงค์ไปถ้ำแกลบ ซึ่งชาวบ้านร่ำลือว่ามีอาถรรพณ์และความน่ากลัวแอบแฝงอยู่
    ถ้ำแกลบอยู่ในพื้นที่ของอำเภอนิคมคำสร้อย จังหวัดมุกดาหาร
  • ในสมัยปี 2472 นั้น บริเวณถ้ำแกลบคือ ป่าดงดิบรกทึบน่าสะพรึงกลัวเป็นที่สุด ชาวบ้านละแวกนี้นไม่กล้าออกไปหาของป่า หรือไปทำอะไรอยู่แถวๆ นั้น ด้วยมีคนเคยเห็นงูขนาดยักษ์เลื้อยเข้าอออกถ้ำแกลบบ่อย ๆ
    เมื่อชาวบ้านเห็นแม่ชีสาวเดินธุดงค์มา และบอกความประสงค์จะขึ้นไปปฏิบัติธรรมอยู่ถ้ำแกลบ ชาวบ้านก็ตกใจพากันห้ามปรามทัดทานเอาไว้ แต่ไม่สำเร็จ ไม่สามารถเปลี่ยนใจแม่ชีสาวได้ แม้แต่จะเดินทางไปส่งแม่ชีสาวถึงถ้ำแกลบก็ยังไม่มีใครยอมไป คงเพียงแต่อธิบายบอกทางและวิธีไปถึงถ้ำแกลบเท่านั้น
    หลังจากแม่ชีสาวเดินขึ้นถ้ำแกลบเล้วก็หายเงียบไปเป็นเวลาแรมเดือน โดยไม่เคยมีใครได้ข่าว หรือเห็นแม่ชีสาวกลับลงมาหมู่บ้านเพื่อหาเสบียงอาหาร
    ชาวบ้านทั้งหลายเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความรู้สึกนึกคิดไปประการต่าง ๆ ทั้งประหลาดใจ และห่วงใยแม่ชีสาว ซึ่งอายุก็ยังน้อยอยู่ จนที่สุดชาวบ้านประมาณ 10 คน รวมกลุ่มคนใจกล้าแล้วก็ตัดสินเดินกันขึ้นถ้ำแกลบเพื่อดูแม่ชีสาวว่าอยู่ อย่างไร
    เมื่อไปถึงถ้ำแกลบ ทุกคนก็ตกตะลึงพรึงเพริด ขนลุกขนชันแทบคุมสติไม่อยู่
    ตรงปากถ้ำนั้นมีงูหนอนแดง ลำตัวขาวขนาดใหญ่พันรัดลำตัวของแม่ชีสาวเอาไว้ จนเห็นแค่ใบหน้าและศีรษะของแม่ชีสาวเท่านัน
    ชาวบ้านทุกคนเชื่อว่าขณะนั้นแม่ชีสาวคงจะเสียชีวิตไปแล้ว ก็พากันเผ่นหนีกลับลงมาหมู่บ้าน และเล่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้เห็นให้คนทั้งหมู่บ้านฟัง แล้วสรุปว่าแม่ชีสาวตายไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย
    หลังจากนั้นอีก 2 วัน ชาวบ้านทั้งหลายก็มีอันต้องตกตะลึงอีกครั้ง เมื่อได้เห็นแม่ชีสาวเดินกลับลงมาจากถ้ำแกลบถึงหมู่บ้านโดยปลอดภัย ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งยังบอกแก่ชาวบ้านว่า
    “ไม่ต้องกลัวท่านพญานาคนั้นหรอก เพราะว่าท่านเป็นพญานาคมีศีลและปฏิบัติธรรมด้วย ขอเพียงให้ชาวบ้านเราทุกคนเมื่อจะขึ้นเขาหาของป่า หรือเข้าใกล้บริเวณนั้น ให้พากันบอกกล่าวท่านก่อน ให้เรียกชื่อท่านว่า พญานาคคำขาว แล้วทุกคนจะปลอดภัย ไม่มีอันตราย หากินก็จะง่าย”
    ชาวบ้านทุกคนก้มกราบแม่ชีสาวด้วยความศรัทธาเลื่อมใส และยังกล่าวขวัญถึงเรื่องนี้สืบต่อมาจนทุกวันนี้
    ปัจจุบันแม่ชีสาวนั้นกลายเป็นยายชีอายุเกือบ 100 ปี พำนักอยู่เพียงลำพังองค์เดียวในวัดภูฆ้องคำที่ไม่มีแม้แต่พระหรือเณรอยู่ อาศัย
    เมื่อกลางปีที่แล้วยายชีนวลถูกงูกัด (เขาลือว่าเป็นงูจงอาง) คิดว่าตนเองจะต้องตายแน่แล้ว จึงกระเสือกกระสนขึ้นกุฏิเข้าพักในนั้น ปิดประตูเงียบจนตลอดคืน พอรุ่งเช้าก็ออกมา ไม่ตาย แถมยังแข็งแรงกระปรี้กระเปร่า เดินเหินคล่องแคล่วกว่าเดิมอีกด้วย
    ยายชีนวลมีวิชาความรู้ดีจริง สมคำหลวงปู่คำพันธ์ว่าไว้ได้ช่วยเหลือญาติโยมมามาก แต่เป็นคนไม่ใคร่พูดเรื่องความหลัง หรืออวดวิชา ใครสนทนาซักถาม มักจะตอบว่า
    “บ่อู้ บ่จัก” (ไม่รู้ ไม่เป็น)
    แต่ถ้าสนิทชิดเชื้อแล้ว จะทราบเองว่ายายชีเก่ง และมีเรื่องราวพิสดารแต่หนหลังมากมาย ไว้มีโอกาสอาจจะเขียนถึงยายชีเป็นการเฉพาะโดยละเอียดทีหลัง
    เรื่องประสบการณ์ของผู้ที่พบเห็นและเกี่ยวข้องกับพญานาคยังมีอีกไม่น้อย จะทยอยเล่าสู่กันฟังต่อไป
  • (อ่านต่อตอนต่อไป) พิมพ์โดย .... คนเฝ้าสวน
http://www.suankhlang.com/ipb//index.php?showforum=5
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
คำค้น: ฤทธิ์ นาค น้ำท่วม แผ่นดินไหว ภัยพิบัติ บันดาล 
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
[ข่าวด่วน] - แผ่นดินไหว 5.3 ริกเตอร์ที่อิบารากิ-ฟุกุชิมะในญี่ปุ่น ไม่มีเตือนสึนามิ
สุขใจ ร้านน้ำชา
สุขใจ ข่าวสด 0 211 กระทู้ล่าสุด 19 เมษายน 2565 08:58:08
โดย สุขใจ ข่าวสด
[ข่าวด่วน] - แผ่นดินไหว 1.7 ที่เมียนมา ห่าง อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ 66 กม.ไม่มีรายงานความเสียหาย
สุขใจ ร้านน้ำชา
สุขใจ ข่าวสด 0 193 กระทู้ล่าสุด 24 เมษายน 2565 09:33:51
โดย สุขใจ ข่าวสด
[ข่าวด่วน] - แผ่นดินไหว 6.1 ริกเตอร์ในอัฟกานิสถาน มีเจ็บกว่า 600 ตาย 280 คนแล้ว
สุขใจ ร้านน้ำชา
สุขใจ ข่าวสด 0 208 กระทู้ล่าสุด 22 มิถุนายน 2565 15:14:58
โดย สุขใจ ข่าวสด
[ข่าวด่วน] - รอง ผบ.ตร.สั่งตำรวจทุกพื้นที่เตรียมรับมือฝนตกหนัก-น้ำท่วม พร้อมจัดชุดช่วยเหลือ
สุขใจ ร้านน้ำชา
สุขใจ ข่าวสด 0 171 กระทู้ล่าสุด 09 กันยายน 2565 03:11:25
โดย สุขใจ ข่าวสด
[ข่าวด่วน] - แผ่นดินไหว 5.8 เขย่าสุมาตราเหนือ พบผู้เสียชีวิตแล้ว 1 ราย
สุขใจ ร้านน้ำชา
สุขใจ ข่าวสด 0 178 กระทู้ล่าสุด 01 ตุลาคม 2565 13:41:06
โดย สุขใจ ข่าวสด
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 2.43 วินาที กับ 34 คำสั่ง

Google visited last this page 8 ชั่วโมงที่แล้ว