[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
04 กรกฎาคม 2568 20:24:27 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : ตะวันตกกับวัตถุนิยมโลกพัง-แผนของจักรวาล?  (อ่าน 1597 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5162


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 13 มิถุนายน 2553 15:38:33 »


 
 
โลกนี้เหมือนความฝันอย่างแท้จริง   อะไรๆ  เท่าที่เรารู้เราเห็นทั้งหมดทั้งสิ้นเลยล้วนแล้วแต่เป็นเช่นหมอกควันหรือเป็นเช่นความฝันที่ไม่มีส่วนของความจริงแม้แต่น้อย  นั่นคือความจริงแท้ๆ  ที่ละเอียดสุดละเอียดเหนือควอนตัมที่นักฟิสิกส์ส่วนที่ไม่น้อยคิดและเชื่อ  แต่นักวิทยาศาสตร์กายวัตถุนิยมไม่เชื่อ  ไม่อ่าน  ไม่ติดตามงานวิจัยจึงไม่รู้  แถมหรือจ้างให้เราที่เป็นคนทั่วๆ  ไปก็ไม่เชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกในจักรวาล   (แห่งนี้)  ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งสมมติหรือสมุตติสัจจะ  นักวิทยาศาสตร์ในระยะแรกที่ค้นพบควอนตัมฟิสิกส์ใหม่  รวมทั้งไอน์สไตน์เองยังไม่เชื่อและพูดว่า  "พระเจ้าไม่เล่นการพนันหรอก"  (God  does  not  play  dices)  คนเราเกิดมาสืบเนื่องเปลี่ยนแปลง   แล้วก็ตายไป  ต่างเป็นสิ่งสมมติทั้งสิ้น  ซึ่งศาสนาพุทธหรือศาสนาที่ได้มาจากลัทธิพระเวทว่าไว้เหมือนๆ  กัน  หรือแม้แต่ศาสนาใหญ่ๆ  อื่นๆ  ที่กล่าวคล้ายๆ  กัน   หรือแม้ในปัจจุบันวันนี้เราจะมีวิทยาศาสตร์ใหม่แล้ว  มีแต่สัมพัทธภาพกัน  มีควอนตัมเม็คคานิกส์แล้ว  เราที่เป็นคนส่วนใหญ่มากๆ  ก็ยังไม่เชื่อกัน  เพราะว่ามันยากยิ่งจะเชื่อ  เนื่องจากมันขัดกับสามัญสำนึกและขัดกับความเคยชินของเราไปไกลเหลือเกิน   เรายังไปดูหนัง  ดูละคร ดูมหรสพกัน   เราจึงแยกไม่ออกว่าหนังละครที่ว่า  จริงหรือไม่จริง  นั่นเพราะอะไร?  เราไม่เคยฉุกคิดว่า   แท้จริงแล้วสามัญสำนึกก็ดี   ความเคยชินก็ดี  เราได้มาและเชื่อมาอย่างไร?  เราคิดว่ามนุษยชาติใหญ่ที่สุดในโลก  เพราะแม้แต่ช้างหรือปลาวาฬก็ยังแพ้มนุษย์จนเราฆ่ามันจนเกือบเกลี้ยง   เราใหญ่เพราะเราชนะเขาทั้งโลก  รวมทั้งตัวโลกเอง  จักรวาลนั้นกว้างใหญ่ไพศาล   แม้เราจะคิดว่ามันคงจะสิ้นสุด  แต่มันก็ใหญ่  แถมพองตัว  (inflation)  ออกไปเรื่อยๆ   เพราะพลังงานมืดอย่างแทบไม่มีที่สิ้นสุดจนเราไม่มีทางรู้จักมันได้   ได้แต่คิดคำนึงจินตนาการกระทั่งระบบสุริยะทั้งหมดทั้งสิ้นเอง   หากเรานำมาเปรียบเทียบกันดูก็จะพบว่าระบบสุริยะจะมีขนาดเท่ากับจุดเล็กๆ  จุดหนึ่งของโลกเท่านั้น  จักรวาลที่ใหญ่ไพศาลนั้น - เต็มไปด้วยนพลังงานหรือพลังมืด  (ส่วนใหญ่)  กับสสารมืด  (ส่วนน้อย)  โดยมีสสารวัตถุที่เรามองเห็นและรู้จัก  เช่น  กาแล็กซี  ดาว  และเนบูลา  (ส่วนน้อยนิดไม่ถึง  4%) - เทียบกับโลกเราทั้งหมดหรือใหญ่กว่าโลกก็ได้   นั่นคือจักรวาลวิทยาศาสตร์ใหม่ที่เรารู้ในปัจจุบัน  ที่สำคัญสำหรับบทความของวันนี้ก็คือ  ความเป็นตะวันตกหรือตะวันออกที่ประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์บ่งบอก  ก็เป็นเช่นสมุตติสัจจะทั้งหลาย  เราเรียกตะวันตกหรือตะวันออกก็เพราะเราดูและมองเห็นดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า   และจะขึ้นคนละทางกันเป็นตรงกันข้าม  ดวงอาทิตย์จะโผล่ขึ้นทางทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตกเสมอ   แต่นั่นสัมพันธ์กับคนที่มองหรือสังเกตว่ายืนอยู่ที่ตรงไหน?  ในขณะที่ดวงอาทิตย์กับโลกต่างเป็นลูกทรงกลมที่ลอยเคว้งคว้างอยู่ในอวกาศ  ต่างก็ไม่รู้เหนือ  ใต้  ตะวันออก  ตะวันตก  เพราะมันไม่มีจิตรู้หรือสมอง

     ในปัจจุบันนี้ประชาชนทั่วไปในบ้านเราที่เป็นคนส่วนใหญ่มากๆ   ของประเทศ  รวมทั้งคนส่วนมากของประเทศด้อยพัฒนา   กำลังพัฒนาและประเทศที่เพิ่งพัฒนาใหม่ๆ  ในเร็วๆ  นี้  แม้แต่นักวิชาการหรือนักวิทยาศาสตร์เองจำนวนมาก  - ที่ต้องแยกจากคนในประเทศตะวันตก  เช่น   ยุโรปส่วนใหญ่หรือสหรัฐอเมริกา   ซึ่งได้พัฒนาอุตสาหกรรมมาเป็นเวลาช้านานนับเป็นร้อยๆ   ปีแล้ว - มักจะเป็นนักวัตถุนิยมกายภาพ  หรือแมตทีเรียลลิสต์  (materialist)  คือเชื่อในเรื่องของรูปธรรมที่แยกส่วน  เชื่อแต่สิ่งที่อวัยวะสัมผัสบอก  นั่นคือ  สิ่งที่ตามองเห็น  หรือหูได้ยินที่ตั้งอยู่ข้างนอกนั่น   นอกจากนั้นคนส่วนใหญ่มากๆ  ที่ว่านั้น  ยังเชื่อในหลักการแยกส่วนต่างๆ   ตามที่ตามองเห็น  หรือหูได้ยินนั้นๆ  ให้แปลกและแยกออกจากกัน  และแล้วต่างก็ทำงานของมันไปดุจหุ่นยนต์นาฬิกาเครื่องจักรกล   นั่นไม่ได้กล่าวโทษกัน  เพราะวิทยาศาสตร์แบบที่ว่านั้นมีมานานร่วม   500   ปี  หากนับตั้งแต่ที่เรารู้จักการเคลื่อนที่ของระบบสุริยะ  และดาวเคราะห์ต่างๆ   ที่โคเปอร์นิกัสและเคปเลอร์บอกเรา  ซึ่งต่อมานิวตัน   กาลิเลโอพิสูจน์ได้เบ็ดเสร็จทางคณิตศาสตร์   รูปสิ่งไม่มีชีวิตก็เช่นนั้น  ชีวิตกับสังคมก็เช่นนั้น  ทั้งหมดทั้งสิ้นที่พูดมานั้นเรียกว่าวิทยาศาสตร์   ซึ่งก็คือความก้าวหน้าศิวิไลซ์ - ที่มีในประเทศทางตะวันตกก่อนที่จะแพร่ทางตะวันออกนานนัก   ซึ่งวิวัฒนาการของมนุษยชาติของโลกของจักรวาลเป็นมาเช่นนั้นราวกับว่ามันมีแผนการ  (design)  ของจักรวาลให้เป็นเช่นนั้น  เป็นตะวันออกที่จีนกับอินเดีย  เป็นตะวันตกที่เมดิเตอร์เรเนียนกับกรีซ   พูดง่ายๆ  คือ  ความรู้ที่ว่านั้นทีแรกไม่ใช่ของประเทศไทยเรา   หรือเป็นของตะวันออกเรา  แต่เป็นของฝรั่งเขา  เป็นของตะวันตกเขา  การเป็นตะวันออกและตะวันตกนั้นเกิดจากหลักการแยกส่วนหรือที่ตามองเห็น  อันเป็นปรัชญาของกรีซและของตะวันตก  ปรัชญาที่เชื่อว่าอะไรก็ตามที่ตาของมนุษย์มองเห็น   หูได้ยินหรือที่อวัยวะประสาทสัมผัสรับรู้บอกแก่มนุษย์เรานั้น  ถูกต้อง  เหมาะสม  และเป็นความจริงที่แท้จริง  100  เปอร์เซ็นต์เต็ม  ซึ่งแตกต่างกันที่ปรัชญาตะวันออกบอกเรา  และเราเคยเชื่อมานานเป็นตรงกันข้าม  แต่ในตอนนั้น   เรา - ที่เป็นชาวตะวันออกกลับไปมองเห็นว่าฝรั่งดีกว่าเรา  จึงพร้อมใจกันโยนทิ้งของเก่าของเราที่เชื่อมานาน   เห็นปรัชญาของกรีซของฝรั่งตะวันตกดีและงาม  เห็นว่าฝรั่งทั้งฉลาดและเก่งกว่า  เราที่อยากดีอยากงามทั้งยังอยากฉลาดอยากเก่ง  จึงพร้อมใจกันเอาอย่างฝรั่งเขาบ้าง  ความดีความงามและความฉลาดความเก่งถูกเราคิดว่าเป็นอารยธรรมความเจริญศิวิไลซ์เยี่ยงฝรั่ง   ซึ่งเป็นเป้าหมายของประเทศชาติ  หรือของสังคมตะวันออกทุกๆ  สังคมตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา

     วิทยาศาสตร์นั้นคลี่ขยายวิวัฒนาการเช่นความรู้อื่นๆ  คือ  จากน้อยและเรียบง่ายไปสู่ความมากและซับซ้อนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ  ตามลูกศรแห่งเวลา  (arrow  of  time)  ก่อนหน้านั้น  มนุษย์ที่ชอบคิดคำนึงจินตนาการล้วนแล้วแต่เป็นนักปรัชญาที่พยายามจะอธิบายธรรมชาติที่อยู่รอบตัวและในตัว  คือ  ทั้งภายนอกและภายใน  ทำให้เกิดมีความแตกต่างกันของนักคิดนักปรัชญาระหว่างตะวันตกกับตะวันออก  นักคิดนักปรัชญาตะวันตกจะสนใจเฉพาะสิ่งที่ตั้งอยู่ภายนอก  คือ  สิ่งที่ตามองเห็น  หูได้ยิน  หรือรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสภายนอกทั้ง  5  เป็นส่วนใหญ่  กับสิ่งที่ประสาทสัมผัสภายในตัวอีกหนึ่งที่ได้จากการรับรู้จากจิตรู้หรือจิตสำนึกประกอบเป็นความคิดจากการระลึกความจำจากภายใน  และคิดว่าทั้งหมดเป็นความจริงที่มีหนึ่งเดียวเท่านั้น  (monism)  นักคิดนักปรัชญาเหล่านี้จึงกลายเป็นนักวิทยาศาสตร์   และนักจิตวิทยากับนักการศึกษา  ส่วนนักคิดนักปรัชญาของตะวันตกที่สนใจเรื่องของจิตรู้หรือความคิดจิตสำนึกบ้าง   ก็กลายเป็นนักเทววิทยาและนักศาสนาที่มีความเชื่อศรัทธาแทบจะเป็นประการเดียว  แต่นักคิดนักปรัชญาทางตะวันออกผิดจากนั้นเป็นตรงกันข้าม  ชาวตะวันออกจะถูกสอนว่าสิ่งที่ตามองเห็น   หูได้ยิน  หรือสิ่งที่ประสาทสัมผัสรับรู้บอกเรานั้น   ไม่ใช่ความจริงที่แท้จริง  เป็นเพียงมายาหรือภาพลวงตาจากความเป็นทวิลักษณ์  หรือความเป็นสอง  (dualism)  แต่ความจริงที่แท้จริงซึ่งอยู่ล้ำลึกยิ่งกว่านั้น  ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเนื้อธรรมดาๆ   ได้ยินด้วยหูธรรมดาๆ  หรือรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสภายนอก   หรือแม้แต่ภายในเป็นความคิดจิตรู้  หรือความคิดจิตสำนึก  ซึ่งก็คือมโนทัศน์  (concept)  เพราะตามองไม่เห็น   หูไม่ได้ยิน  รับรู้ด้วยประสาทสัมผัส  "รู้"  ด้วยจิตตื่นรู้อันเป็นความคิดต่างๆ  ดังนั้นบางทีและบางคนจึงใช้การรับรู้ด้วยกระบวนการภายในที่ไม่ต้องใช้ประสาทสัมผัสรับประสบการณ์ตรง   นั่นคือการติดต่อทางจิตไร้สำนึก - ระหว่างปัจเจกบุคคลกับจิตไร้สำนึกร่วมของจักรวาล  หรือการติดต่อระหว่างจิตกับจิต - ซึ่งมนุษย์เราส่วนใหญ่มากไม่รู้กัน  โดยเฉพาะชาวตะวันตกที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้   แต่ปัจจุบันมีหลักฐานที่เป็นวิทยาศาสตร์แท้ๆ  ได้พิสูจน์ - โดยการวิจัยที่ยาวนานกว่า   30  ปี  (Dean  Radin  :  The  Conscious  Universe, 1997  ;  The  Entangled  Mind, 2007)  อย่างสิ้นข้อสงสัยกังขา  ซึ่งมีวิธีปฏิบัติด้วยวิธีปฏิบัติสมาธิต่างๆ  ตามศาสนาทุกศาสนาที่อุบัติขึ้นมาทางตะวันออกตั้งแต่กว่า  3,000  ปีมาแล้ว   ตะวันออกจึงแตกต่างจากตะวันตกเหมือนเป็นการมีแบบ  (design)  ให้เป็นตรงกันข้ามกัน  - คือต่างกันระหว่างภายในหรือจิตไร้สำนึกที่มองไม่เห็น  ซึ่งรวมทั้งการใช้อุปกรณ์ช่วยในการมองเห็นนั้น  กับภายนอกหรือกายวัตถุและจิตสำนึกที่มองเห็นหรือจำและระลึกได้  ซึ่งควอนตัมฟิสิกส์พิสูจน์ได้ทั้งหมด   ทั้งทางคณิตศาสตร์และภายในห้องทดลองและทำซ้ำได้  แถมยังแม่นยำกว่าคลาสสิคัลฟิสิกส์ที่เป็นวิทยาศาสตร์กายภาพเก่าของนิวตันเป็นร้อยเป็นพันเท่า

     การเชื่อแต่รูปธรรมกายวัตถุหรือภายนอกเท่านั้นว่าเป็นความจริง   การเชื่อแต่วิทยาศาสตร์กายภาพเก่าๆ  และเทคโนโลยีที่หยาบกระด้าง  แม้จะมีส่วนจริงตามที่ตามองเห็น  หรือหูได้ยิน   ซึ่งเป็นสภาวะของสัตว์โลกธรรมดาๆ  ซึ่งการเชื่อวิทยาศาสตร์เก่าๆ  และเทคโนโลยีแบบที่ว่า - ที่ยาวนานหลายร้อยปีย่อมจะสร้างจิตรู้หรือจิตสำนึกใหม่ให้เปลี่ยนไป  - เป็นความเคยชินใหม่  เป็นสามัญสำนึกใหม่ที่ด้านชาต่อการเปลี่ยนแปลงใดๆ  ที่ต่ำกว่า  หรือน้อยกว่าความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานทั้งกายและใจอย่างสุดแสนสาหัส  มนุษยชาติทั้งผองจะต้องลิ้มรสทุกๆ  ความเจ็บปวดที่จะต้องเกิดขึ้นกับโลกเราภายในระยะใกล้ๆ   นี้อย่างแน่นอน  เป็นไปได้ที่จะเกิดภายในปลายปี   2012  และต้นปี  2013  นี้  ดังที่ศาสนาเกือบทุกศาสนา  และแม้ทางวิทยาศาสตร์ก็บอกไว้คล้ายๆ   กันว่าภาวะโลกร้อน  "ประดุจนรก"  นั้นจะเกิดขึ้นและต้องเกิดขึ้นอย่างไร้ทางหลีกหนีใดๆ   ไม่ว่าเราจะป้องกันอย่างไร?   หรือหาพลังงานทดแทน  ปลูกป่าหาคาร์บอนมาทดแทนทันหรือไม่?   สภาพโลกที่ว่ามันก็ต้องเกิด  เพราะว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศจะสลายไปทั้งหมดก็ต้องใช้เวลานานนับเป็นพันๆ   ปี  โลกและมนุษยชาติจะพากันย่อยยับจากภาวะโลกร้อน  ซึ่งจะร้อน  "ประดุจนรก"  ราวๆ  ปี  2020-2040  ซึ่งก่อนหน้านั้นนานนัก  (James  Lovelock  :  Revenge  of  Gaia,  2007)  ที่น่าแปลกคือ  เจมส์  ลัฟล็อก  กล่าวว่า  มนุษยชาติโดยเผ่าพันธุ์ที่เหลือน้อยเต็มทีจะมีอยู่แถบขั้วโลกเท่านั้น  ที่แปลกก็คือ   หนังสือของชาร์ลส์  แฮปกูด  (ที่อัลเบิร์ต  ไอน์สไตน์  เขียนคำนำก่อนตายไปกว่า   1  ปี - อ้างแล้ว)  บอกว่าแผ่นเปลือกโลก  หรือขั้วโลกเหนือได้เริ่มย้ายมาหากรีนแลนด์ตั้งแต่ที่มีการวัดกันทีแรกในปี  1900  ต่อมาถึงปี  1968  มันย้ายเพียง  20  เมตร  และตั้งแต่นั้นมาขั้วโลกเหนือจะย้ายที่อยู่เรื่อยๆ   ปีหนึ่งๆ  ประมาณ  10  เซนต่อปี  และย้ายมากขึ้นเรื่อยๆ  จนขณะนี้ย้ายทุกวันไปทางกรีนแลนด์  อีกหน่อยก็ถึงไซบีเรีย  จีนและไทยเรา  ดังที่บริการการเคลื่อนที่ของขั้วโลกเหนือนานาชาติ  (IMPS)  บอกที่อธิบายการอ่อนไหวของเปลือกโลก  อธิบายแผ่นดินไหว  ภูเขาไฟระเบิดที่มีบ่อยและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

     จากที่ได้อ่าน  ได้คิดและเขียนมา  กับจากประสบการณ์ส่วนตัวที่ได้มาและสะสมมากขึ้นตามวัยด้วยลูกศรของเวลา  ผู้เขียนอดไม่ได้ที่จะคิดย้อนกลับไปเมื่อยังเป็นเด็กที่เล็กมากๆ  และแม่บอกว่าที่เรามองเห็นหรือความจริงที่ประสบอยู่ทุกวันในชีวิตนั้นไม่ใช่ความจริงที่แท้จริง   เป็นแต่ภาพลวงตา   เป็นมายา  แม่บอกว่าความจริงที่แท้จริงนั้นมี  แต่ต้องหา  คนเราเกิดมาต้องหาความจริงแท้สำหรับตัวเองกันทั้งนั้น  แต่ถ้าเราไปติดกับดักของสังคมตามที่ตาเห็น  เราติดกับของละคร  ติดกับความแปลกแยก  คนคนนั้นก็ต้องอยู่กับสังคมที่แปลกแยกไปเรื่อยๆ  จนเคยชินเป็นสันดาน  ตะวันออก-ตะวันตกมาแต่นั้น  ระบบทุกๆ  ระบบของสังคมมาจากนั้น  หรือการมีตะวันตก  มีวิทยาศาสตร์กายภาพ  มีทฤษฎีควอนตัมที่บอกว่าตะวันออก - ถูกแต่โลกพังไปแล้ว  นั่นเป็นแผนของจักรวาลรึ?.
 
 
http://www.thaipost.net/sunday/201209/15247

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.503 วินาที กับ 29 คำสั่ง

Google visited last this page 24 พฤศจิกายน 2567 02:06:32