พระอาจารย์ กล่าวว่า "หลักการใช้
สาลิกาลิ้นทอง เขาบอกว่าให้พูดเพราะๆ พูดหวานขานเพราะไปไหนคนก็รัก
พระพุทธเจ้า ท่านว่าเป็น
ปิยวาจา ในเรื่องคำพูด
พระพุทธเจ้า ท่านแบ่งเป็น
ปุปผภาณี แปลว่า วาจาที่หอมเหมือนดอกไม้ มีแต่คนอยากฟัง
มธุภาณี แปลว่า คำพูดหวานเหมือนน้ำผึ้ง คนฟังจะติดใจ
คูถภาณี ก็คือ วาจาเหม็นเหมือนขี้ ประเภทปากไม่ดี คนไม่อยากเข้าใกล้
เพราะฉะนั้น..ในส่วนปิยวาจานี้ต้องเว้นคูถภาณี ปุปผภาณีหรือมธุภาณีถึงใช้ได้ คำว่า
"ภาณี" แปลว่าพูด
สุภาณี คือ พูดดี พูดเพราะ
เราได้ยินว่า
"ภาณยักษ์ ภาณพระ" ภาณตัวนี้แหละคือภาณี คือพระพูดหรือยักษ์พูด ก็คือคาถา
นะโม เม สัพพะพุทธานัง อุปปันนานัง มเหสินัง ข้าพเจ้าขอน้อมต่อบรรดาสมเด็จพระผู้มีพระภาค ผู้เป็นใหญ่ที่ได้อุบัติขึ้นแล้วในโลก
ตัณหังกโร มหาวีโร เมธังกโร มหายโส พระพุทธตัณหังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีความกล้าอันยิ่งใหญ่ คือกล้าที่จะต่อสู้ฝ่าฟันกับกิเลส
เมธังกโร มหายโส ฯ พระพุทธเจ้ามีนามว่า เมธังกร ผู้มียศอันยิ่งใหญ่ คือคนเขายกย่องให้เหนือผู้อื่น เพราะเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว
คาถานี้ผูกขึ้นโดยท้าวมหาราชทั้ง ๔ ท่านประชุมกันที่อาฏานาฏิยนครซึ่งเป็นเมืองหลวงของสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ว่ายักษ์และผีที่ไม่เคารพนับถือพระพุทธเจ้า ตลอดจนพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนานั้นมีจำนวนมาก ถ้าหากไม่ออกคำสั่งห้ามไว้ ถึงเวลาอาจจะมีการทำร้ายพระที่เป็นพุทธสาวกได้"
"ท่านก็เลยประชุมรวมกันแต่งฉันท์สรรเสริญคุณพระพุทธเจ้า บอกว่า
ถ้าหากว่าผู้ใดสวดสาธยายคาถาบทนี้แล้ว ห้ามผีและยักษ์ทั้งหลายไปทำร้าย ถ้าหากว่าผีหรือยักษ์ตนใดไปทำร้ายผู้ที่สวดสาธยาย ถือว่าเป็นขบถต่อท้าวจตุมหาราช เมื่อประกาศให้ยักษ์ทั้งหลายทราบล่วงหน้าแล้ว ท่านก็นำไปกล่าวถวายพระพุทธเจ้า ตอนที่ท่านกล่าวถวายพระพุทธเจ้า เขาเรียกว่า
ภาณยักษ์ คือ
ยักษ์พูด เมื่อเสร็จสรรพเรียบร้อย พระพุทธเจ้ารับมาแล้วก็มาแจ้งต่อพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย โดยตรัสทวนให้ฟังอีกรอบ จึงเรียกว่า
ภาณพระ คือ
พระพุทธเจ้าพูด ใครจะเอาไปท่องก็ได้ ที่เขาขึ้นว่า
วิปัสสิสสะ นะมัตถุ จักขุมันตัสสะ สิรีมะโต สิขิสสะปิ นะมัตถุ สัพพะภูตานุกัมปิโน จนกระทั่งท้ายสุด
สัพพะโรคะวินิมุตโต สัพพะสันตาปะวัชชิโตฯ ท่องไว้ทุกวัน อยู่ที่ไหนก็ปลอดภัยจากพวกผีพวกยักษ์ที่จะทำร้าย เทวดาที่เป็นมิจฉาทิฐิจะหลีกไป เทวดาที่เป็นสัมมาทิฐิจะช่วยรักษา"
"แต่อย่าไปท่องอย่างท่าน
อาจารย์สำราญ วัดเขาวงพระจันทร์ นะ
หลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านเล่าให้ฟังว่า ตอนนั้น
หลวงปู่ปาน ไปช่วยสร้าง
วัดเขาวงพระจันทร์ อาจารย์สำราญท่องภาณยักษ์ทุกวัน ปกติคนเขาจะท่องด้วยความเคารพนอบน้อมในพระรัตนตรัย แต่อาจารย์สำราญท่องเพื่อไล่ผีไล่เทวดา ไม่ให้ไปกวนแก
หลวงปู่ปานพอทราบเข้าก็ไปเตือนว่า
“ท่านสำราญ...ทำอย่างนี้เดี๋ยวจะเดือดร้อน ไปไล่ผีไล่เทวดาเขาได้อย่างไร" ท่านสำราญไม่ฟัง ท่องทุกวัน อยู่ๆ วันหนึ่งหลวงปู่ก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย ร้องโอดโอยอยู่บนกุฏิ พอวิ่งขึ้นไปดูเห็นคนนุ่งแดงตัวใหญ่หัวค้ำเพดาน ถือหวายท่อนเท่าแขนตีอาจารย์สำราญ หวดซ้ายป่ายขวาอุตลุด
หลวงปู่ปานก็บอกว่า
“ พ่อขุนด่าน พอเถอะ เดี๋ยวตายเปล่าๆ ” คนนุ่งแดงใส่แดงหันมาบอกว่า ถ้าไม่ใช่ท่านขอไว้จะล่อให้ตายจริงๆ แล้วคนนุ่งแดงก็ก้าวขึ้นขื่อหายวับไป นั่น
เจ้าพ่อขุนด่าน ถ้าใครออกไปทางด้านลพบุรี ชัยภูมิ จะผ่านจุดหนึ่งที่มีศาลเจ้าพ่อขุนด่าน
อาจารย์สำราญไปท่องไล่อยู่ทุกวัน พวกผีเล็กผีน้อยหนีหมด แต่เจ้าพ่อท่านเป็นระดับมหาอำมาตย์แล้ว ท่านไม่หนีแต่ทนไม่ไหวจึงตีเลย เพราะฉะนั้น..ถ้าใครท่องให้ท่องด้วยความเคารพในพระรัตนตรัยนะจ๊ะ ไม่ใช่ไปท่องไล่เขา ถ้าท่องไล่ผีให้ระวัง ถึงเวลาผีจะไล่เอาบ้าง"
สนทนากับพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญเก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกันยายน ๒๕๕๔ ที่มา : watthakhanun.com