[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
25 เมษายน 2567 01:19:20 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: บุคคลตัวอย่างพุทธานุสสติกรรมฐาน  (อ่าน 7337 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
sometime
บุคคลทั่วไป
« เมื่อ: 17 มิถุนายน 2553 10:00:09 »


<table class="maeva" cellpadding="0" cellspacing="0" border="0" style="width: 800px" id="sae1"> <tr><td style="width: 800px; height: 576px" colspan="2" id="saeva1"><script type="text/javascript"><!-- // --><![CDATA[ var oldLoad = window.onload; window.onload = function() { if (typeof(oldLoad) == "function") oldLoad(); if (typeof(aevacopy) == "function") aevacopy(); } // ]]></script><embed type="application/x-mplayer2" src="http://www.fungdham.com/download/song/allhits/17.wma" width="800px" height="576px" wmode="transparent" quality="high" allowFullScreen="true" allowScriptAccess="never" ShowControls="True" autostart="false" autoplay="false" /></td></tr> <tr><td class="aeva_t"><a href="http://www.fungdham.com/download/song/allhits/17.wma" target="_blank" class="aeva_link bbc_link new_win">http://www.fungdham.com/download/song/allhits/17.wma</a></td><td class="aeva_q" id="aqc1"></td></tr></table>




ท่านสาธุชนทั้งหลาย วันนี้ขอพบกับบรรดาท่านพุทธบริษัท ในด้านของอานิสงส์แห่งพุทธบูชา คำว่า พุทธบูชา มหาเตชวัณโต
แปลเป็นใจความว่า การบูชา พระพุทธเจ้าย่อมมีเดชอำนาจมาก คำว่า เดชอำนาจ ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่า คนที่บูชาพระพุทธเจ้าแล้ว จะต้องเป็นนักเลงโต ไม่ใช่อย่างนั้น คำว่า เดชอำนาจ ในพระพุทธศาสนา หมายถึง ความดี
ฉะนั้น การที่บูชาพระพุทธเจ้า โดยมยอมรับนับถือความดีที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน โดยการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา และ มีความสามัคคีซึ่งกันและกัน ช่วยกันสร้างสรรค์ความดีให้เกิดขึ้น ไม่ใช่มาช่วยกันสร้างสรรค์ความเดือดร้อนความดีให้เกิดขึ้น ไม่ใช่มาช่วยกันสร้างสรรค์ความเดือดร้อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และปวงชนชาวไทย และ ชาวโลกทั้งหลาย ให้มีความเดือดร้อน การมีเดช มีอำนาจในพระพุทธศาสนา หมายถึง เดชอำนาจในด้านของความดีโดยเฉพาะ เป็นทางนำมาซึ่งสันติสุข
สำหรับนางวิสาขา เคยแปลใน พระธรรมบท ปรากฏว่า เธอมีความงามเป็นพิเศษ ตอนนี้จะขอพูดเรื่อง พุทธบูชา ได้ความงามเป็นพิเศษ เพราะบรรดาสุภาพบุรุษก็ดี สุภาพสตรีก็ดี ต้องการความสวยสดงดงามด้วยกันทุกคน ที่กล่าวว่า ทุกคน ก็ถือว่า เป็นส่วนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ต้องการความสวย ต้องการความเรียบร้อยของร่างกาย บุคลิกลักษณะของร่างกาย ต้องการให้เป็นที่ถูกตาถูกใจ ของบุคคลผู้ทัศนา หรือว่าได้เห็น ( คำว่า ทัศนา แปลว่า ดู )
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับสุภาพสตรี ถือว่า รูปเป็นทรัพย์ คือ เราจะเห็นได้ว่า สตรีคนใดมีความงาม ถึงแม้ว่าจะมีฐานะเดิมยากจนเข็ญใจ ก็อาจจะหาคู่ครองที่มีฐานะดี ๆ มีศักดิ์ศรีใหญ่ได้ ฉะนั้น องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงกล่าวว่า สตรีมีรูปเป็นทรัพย์ ฉะนั้น ตอนนี้จะได้คุยถึง เรื่องสตรีมีรูปเป็นทรัพย์ และมีทรัพย์สินมากด้วย เอากันแค่รูปเป็นทรัพย์ก่อน คือ มีความสวย
ตอนนี้จะขอนำบุคคลที่บูชาพระพุทธเจ้า ที่กล่าวว่า พุทธบูชา มหาเตชวัณโต มาเล่าให้บรรดาท่านพุทธบริษัทฟังว่า ท่านบูชาแล้ว ท่านมีอานิสงส์เป็นประการใดบ้าง ท่านผู้นี้ก็คือ นางวิสาขามหาอุบาสิกา ที่มีความเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเหตุ การที่นางบูชาองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ มีผลหลายประการเป็นตัวอย่าง จะนำมาคุยกับบรรดาท่านพุทธบริษัทเป็นตอน ๆ ไป สำหรับตอนนี้ จะนำเอา ความ รูปสวยของนางวิสาขา มาคุยกับบรรดาท่านพุทธบริษัท

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17 มิถุนายน 2553 10:53:03 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #1 เมื่อ: 17 มิถุนายน 2553 10:04:45 »




นางวิสาขามีความสวยเป็นกรณีพิเศษ คือ สวยไม่เหมือนชาวบ้านเขา สวยเป็นสาวอายุ ๑๖ ปี เมื่อถึงคราวอายุ ๑๖ ปี รูปร่างยอดนารี มีลักษณะเช่นใด และอยู่ต่อไปถึง ๑๒๐ ปี ก็ยังเป็นสาวแค่อายุ ๑๖ ปี อยู่นั่นเอง ลักษณะความสาว และความสวยของนางวิสาขา ตามบาลีท่านกล่าวว่า มี ๕ อย่างด้วยกัน ตามภาษาบาลีท่านเรียกว่า เบญจกัลยาณี
สำหรับลักษณะ ๕ ประการ ถ้าจะกล่าวเป็นภาษาบาลี มันฟังยาก ตอนนี้มากล่าวกันเป็นภาษาไทย เจ้าคุณราชเมธี วัดประยุรวงศาวาส ท่านเคยประพันธ์ไว้เป็นกลอน แต่ว่าคำกลอนนี้จะถูกต้องตามแบบฉบับของนักแต่งกลอนหรือไม่ อาตมาไม่ทราบ ท่านกล่าวไว้ดังนี้...........................


๑.งามผมสมพักตร์ลักขณา

๒.โอษฐาจิ้มลิ้มดูพริ้มเพรา

๓.งามทนต์ยลปลั่งดั่งสังข์ขัด

๔.ผิวทัศน์กรรณิการ์งามราศรี

๕.จะคลอดบุตรสักเท่าไรวัยยังดี





.....................................หญิงเช่นนี้ใครได้มางามหน้าเอย................................





ที่นางวิสาขามีความสวย ๕ ประการ ถ้าหากว่า บรรดาสุภาพสตรีในสมัยปัจจุบัน มีความสวยครบ ๕ ประการ อย่างนางวิสาขา จะเป็นการลดค่าครองชีพลงมาก และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ก็จะเป็นการลำบากสำหรับนักตั้งสำนักงานสร้างความเสริมสวย เพราะว่าหน่วยการสร้างความเสริมสวยนี้ จะตั้งขึ้นมาไม่ได้เลย เพราะว่าคนงามเสียแล้วทั้งหมด ก็ไม่มีใครเขาไปจ้างเสริมความงามกัน
ความงามของนางวิสาขา จะพูดให้ฟังตามคำกลอนของ ท่านเจ้าคุณราชเมธี วัดประยุรวงศ์ฯ ท่านแต่งมาจากเนื้อแท้ของบาลีว่า

๑.งามผมสมพักตร์ลักขณา ผมของนางวิสาขานี้สลวยอยู่ตลอดเวลา เรียบ ไม่ต้องตัด ไม่ต้องชำระสะสางก็ไม่เหม็นสาบ ผมจะไม่ยาวเกินไป ไม่สั้นเกินไป ไม่เหม็นสาบ ไม่เหม็นสาง ถ้าสมัยไหนเขาต้องการเรียบ ผมของนางก็เรียบ ต้องการหยิก ผมก็หยิก ต้องการเป็นผมลอน ผมก็เป็นลอน หมายถึงว่า ในสมัยใด ต้องการแบบใด ลักษณะผมของนางวิสาขา จะเป็นไปตามสมัย ไม่ต้องดัดแปลง ไม่ต้องแก้ไข ไม่ต้องตกแต่ง ไม่ต้องตัด ไม่ยาวเกินไป ไม่สั้นเกินไป เป็นอันว่า งามผม

๒.โอษฐาจิ้มลิ้มดูพริ้มเพรา ริมฝีปากของนางวิสาขาไม่มีริ้ว ไม่มีรอย เป็นริมฝีปากสวย มีความแดงระเรื่อ พอสมควร ไม่ต้องไปแตะไปต้องอะไรทั้งหมด ปรากฏว่า สวยอยู่ตลอดเวลา

๓.งามทนต์ยลปลั่งดั่งสังข์ขัด ฟันของนางวิสาขาเรียบ และเป็นเงางาม คล้ายมุก ไม่ต้องตกแต่งเหมือนกันอยู่ตลอดเวลา

๔.ผิวทัศน์กรรณิการ์งามราศรี คำว่า ผิว ในที่นี้ ถ้าเขานิยมดำ ก็ดำสวย ถ้าเขานิยมขาว ผิวก็ขาว เขานิยมเหลือง ผิวก็เหลือง เป็นไปตามความนิยม ไม่มีไฝ ไม่มีฝ้า ไม่มีขี้แมลงวัน ถึงแม้ว่าจะไม่อาบน้ำสักเดือนหนึ่ง ผิวของนางวิสาขาก็ไม่เลอะ ไม่สกปรก ไม่เหม็นสาบ ไม่เหม็นสาง

๕.จะคลอดบุตรสักเท่าไรวัยยังดี หมายความว่า หญิงประเภทนี้ ถ้าคลอดบุตรเมื่ออายุเท่าไร มีความงามของทรวดทรงอยู่ในระดังไหน ความงามของทรวดทรงจะอยู่ในระดับนั้น จนกว่าจะถึงวันตาย ไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นางวิสาขามีความงาม ๕ ประการ และคลอดบุตรเมื่ออายุ ๑๖ ปี เมื่อนางแก่ถึงอายุ ๑๒๐ ปี ก็ปรากฏว่า เป็นหญิงเหมือนอายุ ๑๖ ปี นั่นเอง
ตัวอย่างในที่นี้ ก็ปรากฏมาในพระธรรมบทว่า สมัยหนึ่ง เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังดำรงพระชนม์อยู่ สมัยนั้น องค์สมเด็จพระบรมครูกำลังแสดงพระธรรมเทศนาโปรดพุทธบริษัท นางวิสาขาเป็นพระโสดาบัน แต่งงานเมื่ออายุ ๑๖ ปี หรืออาจจะก่อนหน้าสักนิด และคลอดบุตรเมื่ออายุ ๑๖ ปี

หลังจากนั้น นางวิสาขาก็มีบุตร ๒๐ คน วิสาขา แปลว่า งอกงามเหมือนกับกิ่งก้านของไม้ที่มีสาขา คือ กิ่งยาวสล้าง เป็นพุ่มสวย ไม่ใช่ไม้ชะลูด ฉะนั้น คำว่า วิสาขา แปลว่า กิ่งงามมาก แค่กิ่งนั้นล่อเข้าไปตั้ง ๒๐ กิ่ง คือ ลูก และนางวิสาขาก็ยังมีหลานอีก โดยลูกทั้งหมด
ปรากฏว่ามีบุตรมาคนละ ๒๐ คน  ท่านทั้งหลายก็เอา ๒๐ ตั้งเข้าไป แล้วก็เอา ๒๐ คูณเข้าไป เข้าไปเท่าไรแล้ว
แล้วก็เอาอีก ๒๐ ของ ๒๐ มาตั้งคูณ ๆ กันลงไปก็หมดเรื่องกันไป เท่าไรก็ช่าง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17 มิถุนายน 2553 10:47:56 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #2 เมื่อ: 17 มิถุนายน 2553 10:07:00 »




จะเห็นว่าวิสาขานี้ สมชื่อของนาง มีกิ่งก้านสาขางอกงาม ทั้งลูก ทั้งหลาน หลายร้อยคน ถ้าจะเดินขบวนกัน ก็เห็นจะไม่ต้องเกณฑ์ชาวบ้านชาวเมืองที่ไหน
เป็นอันว่า ในสมัยนั้น เมื่อองค์สมเด็จพระทศพลกำลังเทศน์อยู่ นางวิสาขานั่งอยู่ระหว่างท่ามกลางหลาน ๆ ซึ่งมีความเป็นเด็กรุ่นสาว พระ เจ้าปเสนทิโกศล บรมกษัตริย์ พระบาทท้าวเธอได้ยินข่าว เขาเล่าลือกันว่า นาง วิสาขามีลูก ๒๐ คน และลูกมีลูกอีกคนละ ๒๐ คน แต่ว่านางวิสาขายังสาวเท่าหลาน จึงต้องการอยากทราบ จึงย่อง ๆ ไปมองดู เห็นองค์สมเด็จพระบรมครูกำลังแสดงพระธรรมเทศนา บรรดาสาว ๆ ทั้งหลาย นับเป็นจำนวนร้อย นั่งอยู่หน้าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยพุทธบริษัท
แต่ความจริง นางวิสาขานั่งอยู่ท่ามกลางบรรดาหลานสาว ๆ รุ่น ๆ พระองค์ทรงทอดพระเนตรดู ก็ไม่รู้ว่า คนไหนคือ นางวิสาขา จึงถาม ท่าน หมอชีวกโกมารภัจ ว่า นางวิสาขาคนไหน ท่านหมอชีวกโกมารภัจก็ชี้ให้ดู บอกว่า นางวิสาขาอยู่ท่ามกลางหลาน พระพุทธเจ้าข้า พระเจ้าปเสนทิโกศล พระบาทท้าวเธอทอดพระเนตร ก็หาทราบไม่ว่า ใครคือนางวิสาขาแน่ เพราะหาคนแก่ไม่ได้ มีแต่เด็กสาวรุ่น ๆ
ท่านหมอชีวกโกมารภัจ จึงได้กราบทูลว่า ถ้าพระองค์ไม่ทรงทราบ คอยดูเวลาลุกขึ้นเมื่อเทศน์จบ ตามธรรมดาเด็กหนุ่ม ๆ สาว ๆ ก็มีกำลังมาก เวลาจะลุก เขาก็ลุกขึ้นมาปกติ ถ้าคนแก่ เวลาจะลุกขึ้น จะต้องเอาสองมือยันพื้นก่อน จึงจะลุกขึ้น
ฉะนั้น เวลาที่พระพุทธเจ้าทรงเทศน์จบ เขาก็ลุกกันตามปกติ หลาน ๆ ลุกไม่ต้องใช้มือยัน สำหรับนางวิสาขานั้น ใช้มือทั้งสองข้างยันพื้น จึงลุกขึ้นได้ เป็นอันว่า พระเจ้าปเสนทิโกศลทราบแล้วว่า ใครคือ นางวิสาขา ดูรูปร่างหน้าตาเป็นสาวรุ่น ๆ อายุราว ๑๖ ปี เท่านั้นเอง
บรรดาท่านพุทธบริษัท สำหรับตอนนี้ เรื่องพุทธบูชากล่าวถึงอานิสงส์ก่อน มาหยุดกันไว้แค่ตอนนี้ เรื่องของนางวิสาขาไม่ใช่หมดเพียงเท่านี้ นี่เป็นตอนหนึ่งเฉพาะ เป็นตอนสั้น ๆ ที่ตัดมาเฉพาะเรื่อง พุทธบูชา ทำให้คนสวย คือ มีอานุภาพ สามารถทำร่างกายให้คนสวย
จะเห็นว่าวิสาขานี้ สมชื่อของนาง มีกิ่งก้านสาขางอกงาม ทั้งลูก ทั้งหลาน หลายร้อยคน ถ้าจะเดินขบวนกัน ก็เห็นจะไม่ต้องเกณฑ์ชาวบ้านชาวเมืองที่ไหน
เป็นอันว่า ในสมัยนั้น เมื่อองค์สมเด็จพระทศพลกำลังเทศน์อยู่ นางวิสาขานั่งอยู่ระหว่างท่ามกลางหลาน ๆ ซึ่งมีความเป็นเด็กรุ่นสาว พระ เจ้าปเสนทิโกศล บรมกษัตริย์ พระบาทท้าวเธอได้ยินข่าว เขาเล่าลือกันว่า นาง วิสาขามีลูก ๒๐ คน และลูกมีลูกอีกคนละ ๒๐ คน แต่ว่านางวิสาขายังสาวเท่าหลาน จึงต้องการอยากทราบ จึงย่อง ๆ ไปมองดู เห็นองค์สมเด็จพระบรมครูกำลังแสดงพระธรรมเทศนา บรรดาสาว ๆ ทั้งหลาย นับเป็นจำนวนร้อย นั่งอยู่หน้าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยพุทธบริษัท
แต่ความจริง นางวิสาขานั่งอยู่ท่ามกลางบรรดาหลานสาว ๆ รุ่น ๆ พระองค์ทรงทอดพระเนตรดู ก็ไม่รู้ว่า คนไหนคือ นางวิสาขา จึงถาม ท่าน หมอชีวกโกมารภัจ ว่า นางวิสาขาคนไหน ท่านหมอชีวกโกมารภัจก็ชี้ให้ดู บอกว่า นางวิสาขาอยู่ท่ามกลางหลาน พระพุทธเจ้าข้า พระเจ้าปเสนทิโกศล พระบาทท้าวเธอทอดพระเนตร ก็หาทราบไม่ว่า ใครคือนางวิสาขาแน่ เพราะหาคนแก่ไม่ได้ มีแต่เด็กสาวรุ่น ๆ
ท่านหมอชีวกโกมารภัจ จึงได้กราบทูลว่า ถ้าพระองค์ไม่ทรงทราบ คอยดูเวลาลุกขึ้นเมื่อเทศน์จบ ตามธรรมดาเด็กหนุ่ม ๆ สาว ๆ ก็มีกำลังมาก เวลาจะลุก เขาก็ลุกขึ้นมาปกติ ถ้าคนแก่ เวลาจะลุกขึ้น จะต้องเอาสองมือยันพื้นก่อน จึงจะลุกขึ้น



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17 มิถุนายน 2553 10:48:40 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #3 เมื่อ: 17 มิถุนายน 2553 10:16:43 »




ฉะนั้น เวลาที่พระพุทธเจ้าทรงเทศน์จบ เขาก็ลุกกันตามปกติ หลาน ๆ ลุกไม่ต้องใช้มือยัน สำหรับนางวิสาขานั้น ใช้มือทั้งสองข้างยันพื้น จึงลุกขึ้นได้ เป็นอันว่า พระเจ้าปเสนทิโกศลทราบแล้วว่า ใครคือ นางวิสาขา ดูรูปร่างหน้าตาเป็นสาวรุ่น ๆ อายุราว ๑๖ ปี เท่านั้นเอง
บรรดาท่านพุทธบริษัท สำหรับตอนนี้ เรื่องพุทธบูชากล่าวถึงอานิสงส์ก่อน มาหยุดกันไว้แค่ตอนนี้ เรื่องของนางวิสาขาไม่ใช่หมดเพียงเท่านี้ นี่เป็นตอนหนึ่งเฉพาะเป็นตอนสั้น ๆ ที่ตัดมาเฉพาะเรื่อง พุทธบูชา ทำให้คนสวย คือ มีอานุภาพ สามารถทำร่างกายให้คนสวย
ต่อไปนี้จะขอกล่าวถึง ต้นเหตุที่นางวิสาขา ทำไมจึงสวยเช่นนี้ ตามพระบาลีท่านกล่าวว่า ถอยหลังไปจากชาตินี้ ในสมัยพระพุทธกัสสปสัมมา สัมพุทธเจ้า ทรงอุบัติขึ้นในโลก เวลานั้น นางวิสาขา เป็นสาวชาวบ้านธรรมดา สาวหรือไม่สาว ก็ไม่ทราบ คงจะเป็นสาวก่อน และต่อมาก็คงจะมาเป็นแม่บ้านไปใช้ศัพท์ว่า สาว มันอาจจะผิดบาลี แต่ความจริงจะผิดเลยทีเดียวก็ไม่ได้ เพราะว่าคนเกิดมาเป็นเด็ก แล้วก็เป็นสาว แล้วต่อไปจึงแก่เฒ่าทีหลัง
เป็นอันว่า ในสมัยนั้นนางวิสาขาก็มีความเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่าพระพุทธกัสสป เคารพในพระพุทธเจ้าจริง ๆ เวลาที่เขาจะมีเทศน์ เขาจะทำบุญกันที่ไหน นางวิสาขาไปด้วยความเต็มใจ ไปฟังด้วยความเคารพ และบำเพ็ญกุศลด้วยความเคารพ แต่ว่านางวิสาขา เวลาที่บำเพ็ญกุศล ในจรรยาสัมมาปฏิบัติแล้วไม่เคยอธิษฐาน หลังจากทำบุญในศาสนาขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วว่า ขอให้ได้เบญจกัลยาณี คือ มีความงาม ๕ ประการ
ความจริง นางวิสาขาไม่ได้อธิษฐานอย่างนี้ มีความต้องการอย่างเดียวคือ การบำเพ็ญกุศลในศาสนาขององค์สมเด็จพระชินศรี นางมีความต้องการเฉพาะ คือพระ นิพพาน หรือความสุขในปัจจุบัน
การ ทำบุญ บรรดาท่านพุทธบริษัท เราได้รับผลกันในปัจจุบัน คือ รับความสุขในชาติปัจจุบันนี้ก่อน แล้วต่อไป บุญจึงสะท้อนให้เราเข้าสู่พระนิพพาน เมื่อบุญบารมีเต็ม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17 มิถุนายน 2553 10:49:08 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #4 เมื่อ: 17 มิถุนายน 2553 10:30:51 »




ปรากฏว่า ในกาลครั้งหนึ่ง ตามพระบาลีท่านว่าอย่างนั้น เมื่อนางวิสาขาไปฟังเทศน์ เขาบอกกล่าวกัน บอกว่ามีพระท่านเทศน์ จึงตั้งใจจะไปฟังเทศน์ แต่ในระหว่างทางปรากฏว่า นางวิสาขาไปพบพระพุทธรูป องค์หนึ่ง เขาสร้างไว้ในสถานที่โล่งแจ้งคือ ตากแดด และพระพุทธรูปนั้นมีรอยร้าว เปลือกกระเทาะ ทองก็ล่อนไปหมด ปูนก็กระเทาะจนแหว่ง แลดูไม่สวยสดงดงาม ไม่เจริญตา นางวิสาขาจึงเข้าไปกราบ นมัสการพระพุทธรูป ตั้งใจเจริญใจเป็นพุทธบูชา กล่าวปฏิญาณว่า
เมื่อข้าพเจ้ากลับมาจากฟังพระธรรมเทศนาแล้ว จะให้ช่างมาทำนุบำรุงพระพุทธปฏิมากร รูปแทนขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ให้มีความสวยสดงดงาม
เมื่อนางไหว้พระพุทธรูป นึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าแล้ว นางก็ไปฟังเทศน์ เมื่อเทศน์จบ คนเขากลับ นางวิสาขาก็กลับ เมื่อกลับมา ผ่านพระพุทธรูปนั้น ก็เข้าไปกราบอีก กล่าวคำปฏิญาณตามนั้น
หลังจากนั้นแล้ว นางวิสาขาเมื่อมาถึงบ้าน จึงได้สั่งให้นายช่างไปจัดการทำนุบำรุงรูปพระปฏิมากร คือ พระพุทธรูป ซ่อมแซมให้เรียบร้อย ให้ดีคงเดิม พอเสร็จแล้วก็ทาสี หรือว่าปิดทอง เสร็จตามความนิยมในสมัยนั้น ตามพระบาลีไม่ได้บอกว่า เขาทาสีหรือปิดทอง ทำตามความนิยมที่เห็นว่าสวยสดงดงาม เป็นที่เจริญตาเจริญใจ
หลังจากนั้น นางวิสาขาจึงได้ให้นายช่างปลูกโรง ทำหลังคาคลุมพระพุทธรูป ไม่ยอมให้ตากแดดตากฝนเหมือนเดิม
นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัท เป็นหัจจัยให้นางวิสาขาได้ เบญจกัลยาณี คือ มีความงาม ๕ ประการ ทั้งนี้ก็เพราะว่า องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรม ศาสดาทรงรับรองเรื่องนี้ว่า การที่นางวิสาขาได้ เบญจกัลยาณี คือ มีความดี ๕ ประการของรูปโฉม ก็เพราะว่านางวิสาขาทำนุบำรุง ซ่อมแซมพระพุทธรูป ที่เก่าคร่ำคร่า มีสภาพไม่ดี ให้กลับมีสภาพสวยสดงดงาม เพราะอานิสงส์ทำความงามให้แก่พระพุทธรูป อานิสงส์นี้จึงสร้างสรรค์ให้ นางวิสาขาได้ เบญจกัลยาณี
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17 มิถุนายน 2553 10:49:40 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #5 เมื่อ: 17 มิถุนายน 2553 10:34:49 »




นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัท ที่กล่าวว่า พุทธ บูชา มหาเตชวัณโต การบูชาพระพุทธเจ้าย่อมมีเดชมีอำนาจ ความจริง คำว่า เดช คำว่า อำนาจ ในที่นี้หมายความว่า เราจะได้รับความดี ซึ่งเป็นเครื่องตอบสนอง
เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย มีความปรารถนาความสวย ซึ่งเป็นเหตุสร้างความสุขใจให้เกิดขึ้นแก่ท่าน ก็ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ปฏิบัติตนเยี่ยงนางวิสาขา จะได้เบญจกัลยาณี ๕ ประการ ตามที่กล่าวมาแล้ว
แต่ว่าก่อนที่ท่านทั้งหลายจะได้เบญจกัลยาณี ความดีย่อมจะปรากฏแก่บรรดาท่านพุทธบริษัทในชาติปัจจุบัน คือ สำหรับนาง วิสาขานั้น ปรากฏว่า เป็นผู้หนักไปด้วยการให้ทาน การให้ทาน เป็นการสร้างมิตร บรรดาท่านพุทธบริษัท เป็นการทำลายจิตของบุคคลผู้ เป็นศัตรู บุคคลผู้ให้ ย่อมเป็นที่รักของบุคคลผู้รับทานในเมื่อเรามีคนรักมาก ๆ บรรดาท่านพุทธบริษัท ความสุขมันก็มาก ทั้งนี้เพราะว่า เราไปทางไหน ไม่มีศัตรู มีแต่คนเป็นที่รัก ไปทางไหนก็ตาม จะพบกับความยิ้มแย้มแจ่มใส จะมีความสุขใจอยู่ตลอดเวลาทีนี้ถ้าเราเป็นคนมีศีลอีกคนที่มีศีล ได้ ก็เพราะอาศัยจิตเมตตาเป็นสำคัญเราไม่ประทุษร้ายท่าน เราไม่ทำอะไรเขาให้รับความลำบาก เราไม่ฆ่าเขา เราไม่ลักทรัพย์สิน ของบุคคลใดเราไม่ยื้อแย่งความรัก ของบุคคลอื่นเราพูดแต่ความจริงทำสติสัมปชัญญะของเราให้สมบูรณ์ เป็นคนมีความมั่นคงในสติสัมปชัญญะ
เมื่อเราไม่ละเมิดสิ่งเหล่านี้ เราก็เป็นที่รักของบุคคลอื่น ความสดชื่นในชีวิตมันก็ปรากฏฉะนั้น องค์สมเด็จพระบรมสุคต จึงได้กล่าวว่า.................

สีเลนะ สุคะติง ยันติ    บุคคลใดปฏิบัติศีล ย่อมมีความสุขเป็นธรรมดา

สีเลนะ โภคะสัมปะทา    บุคคลใดรักษาศีลบริสุทธิ์แล้ว บุคคลนั้นจะมีทรัพย์สินเยือกเย็น บริบูรณ์ไปด้วยทรัพย์สมบัติ

สีเลนะ นิพพุติง ยันติ    ศีลย่อมเป็น ปัจจัยให้เข้าถึงพระนิพพาน



......................................THE END OF CHAPTER ONE..................................



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17 มิถุนายน 2553 10:50:28 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
คำค้น: sample บุคคล ดี พุทธกาล สุชาดา วิสาขา ประชาบดี โคตมี พระศาสดา บางครั้ง 
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.256 วินาที กับ 30 คำสั่ง

Google visited last this page 28 มีนาคม 2567 21:29:23