[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
08 กรกฎาคม 2568 03:45:18 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : มนุษย์โลกได้ก้าวมาถึงขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการ..  (อ่าน 1943 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5162


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 17 มิถุนายน 2553 19:46:37 »

http://i304.photobucket.com/albums/nn182/H2OLily_2008/Spiritual/catlet2.jpg
ความทรงจำนอกมิติ : มนุษย์โลกได้ก้าวมาถึงขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการ..

 
 มนุษย์โลกได้ก้าวมาถึงขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการวิวัฒนาการของธรรมชาติแล้ว  นั่นคือกระบวนการวิวัฒนาการของจิตวิญญาณ  ซึ่งเป็นกระบวนการสุดท้ายก่อนที่สภาพโลกทางภูมิดาราศาสตร์จะเปลี่ยนแปลงไปมากกว่านี้  ซึ่งจะทำให้ชีวิตต่างๆ  มีชีวิตอยู่ต่อไปไมได้  เรารู้ดีว่าชีวิตทุกๆ  ชีวิตรวมทั้งมนุษย์  มีข้อจำกัดหลากหลายที่จะอยู่ได้รอดและปลอดภัยที่โลกธรรมชาติจัดหาไว้ให้อย่างเหมาะสม   ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาหาร  น้ำ  อากาศ  อุณหภูมิ  ฤดูกาล  ฯลฯ  ทั้งหมดโลกได้จัดสร้างไว้อย่างพอเพียงพอดีและยั่งยืน  แต่เป็นมนุษย์เองทั้งที่วิวัฒนาการธรรมชาติยังไม่แล้วเสร็จ  คือแล้วเสร็จเพียงบางส่วน-เช่น  วิวัฒนาการของรูปกายภาพทั้งหมด  และวิวัฒนาการของจิตรู้ตัวตนหรือจิตสำนึก  แต่จิตวิญญาณ  (spirituality)  อันจะทำให้เรารู้ว่าโลกธรรมชาติและชีวิต  โดยเฉพาะมนุษย์เชื่อมโยงติดต่อเป็นเนื้อเดียวกันอย่างที่จะแยกออกจากกันไม่ได้-เพราะความกำแหงอหังการแท้ๆ  ของมนุษย์ที่กลับไปหลงกายของตัวเอง  ดังที่  นีตซ์เชพูดไว้  (narcissus)  ทั้งที่วิวัฒนาการอันสมบูรณ์ยังไม่แล้วเสร็จแต่คิดว่าเสร็จแล้ว  จึงเป็นเช่นเด็กวัยรุ่นที่ไม่รู้ว่าโลกธรรมชาติคือเรา  และเป็นตัวของเราเองในแง่ของจิต  เราจึงดูถูกดูแคลนเหยียบย่ำโลกธรรมชาติในรูปแบบต่างๆ  มาตลอดเวลา  ตั้งแต่มนุษย์เราเกิดมีขึ้นมาในโลก  เรารู้จักแต่เฉพาะการเอาเปรียบและกดขี่ข่มเหงธรรมชาติ  ประดุจว่าจะเป็นเพียงอย่างเดียว  ด้วยการคิดและผลิตสร้างระบบต่างๆ  ขึ้นมาบริหาร  และจัดการกับโลกธรรมชาติอย่างไม่ปรานีปราศรัย

     แต่มีน้อยคนเหลือเกินที่รู้ว่ามนุษย์ยังวิวัฒนาการไม่แล้วเสร็จ  คนเหล่านี้คือศาสดา  อรหันต์  เซนต์  นะบี  ไล่ลงมาถึงนักบุญในศาสนาต่างๆ  รวมทั้งกูรู  นักปราชญ์  และนักคิดที่ค่อยๆ  มีจำนวนมากขึ้นๆ  โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่โลกธรรมชาติกำลังใกล้กับความพินาศหายนะด้วยน้ำมือของมนุษย์อยู่ในขณะนี้  นักปราชญ์และนักคิดบางคนเหล่านี้ต่างรู้ดีว่า  เวลาของมวลมนุษย์ทั่วทั้งโลกเหลือน้อยเต็มที  มนุษย์กำลังเสี่ยงต่อการสูญสิ้นเผ่าพันธุ์อย่างที่สุด  ทั้งที่กระบวนการวิวัฒนาการทั้งหมดทั้งสิ้นยังไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์  เพราะฉะนั้นเราอาจจะสูญพันธุ์ไปจริงๆ  ก็ได้  หากเรายังไม่รู้สึกตัว  และรีบเปลี่ยนแปลงโลกทัศน์กระบวนทัศน์เสียใหม่ตั้งแต่วันนี้และเดี๋ยวนี้

     คนน้อยคนที่ว่านั้นเหล่านี้ได้บอกแก่เราเหมือนๆ  กันทุกประการ  ด้วยความรู้เร้นลับที่ได้จากภายใน  (mysticism)  แต่เราไม่รู้และขี้เกียจคิด  กลับไปเชื่อแต่ความรู้ที่ได้จากภายนอก  เพราะมันตรงกับที่เราเห็นเรารับรู้อยู่ทุกวัน  โดยไม่ต้องคิดเพราะง่ายดี  ที่แน่นอนจากการอุบัติขึ้นในสถานที่และเวลาที่ห่างกันลักษณะภายนอกจึงไม่เหมือนกัน  และเราไปยึดมั่นถือมั่นตามกิเลสตัณหา  ทำให้ความไม่เหมือนกันนั้นแตกดอกออกผลเป็นความสุดโต่ง  และทะเลาะกันต่อสู้กันเพราะความ  "ดีกว่า"  ตามประสาของคนที่ชอบเอาชนะกัน

     จนกลายเป็นความรุนแรงหรือสงคราม   การที่ศาสดาอรหันต์และเซนต์นะบีบอกกับเราตลอดเวลาว่า  ทุกๆ  สรรพสิ่ง  ทุกๆ  อย่างในโลกในจักรวาล  ล้วนมีการเชื่อมโยงต่อเนื่องกันและกันเป็นบูรณาการ   ชีวิตและมนุษย์ต่างเป็นผลพวงของวิวัฒนาการของจักรวาลอันมีจิตวิญญาณ  (Spirit)  เป็นทั้งผู้แสดงและควบคุมการแสดง  ทุกสิ่งจึงประกอบด้วยไล่ตามกันมาเป็นลำดับของ  ดิน  มนุษย์  ฟ้า  อันเป็นปรัชญาสากลนิรันดร  (perennial  philosophy)  ที่มีในทุกๆ  สังคม  วัฒนธรรมมาตั้งแต่โบราณ  ซึ่งต่อมาได้เพิ่มเป็นสสาร  มนุษย์  (กาย)  จิต  วิญญาณ  และจิตวิญญาณ  (matter  body  mind  soul  Spirit)  เคน  วิลเบอร์  นักคิดนักเขียนจิตวิทยาเชิงลึกที่มีชื่อเสียงยิ่งได้บอกว่า  เราเสียเงินและเสียเวลาอย่างหวือหวาและวิลิสมาหราไปมากมายเพื่อการค้นหาและทำแผนที่ยีนส์ของมนุษย์  (human  genomes  project)  ที่แม้ว่าจะสำคัญ  แต่เรื่องของจิตและจิตวิญญาณของมนุษย์  (human  consciousness  project)  มีความสำคัญมากกว่าและแทบจะไม่มีใครรู้เรื่องเท่าไรนัก  บทความบทนี้ผู้เขียนจะเขียนเล่าถึงงานวิจัยที่เชื่อว่าจะเป็นงานวิจัยที่ใหญ่ที่สุดในโลก  ซึ่งอาจจะชี้บ่งธรรมชาติของจิตและความสัมพันธ์เชื่อมโยงของจิตกับสมอง  ผ่านประสบการณ์ใกล้ตายที่ให้การระลึกความจำของผู้ป่วยได้เหมือนๆ  กัน  โดยหลักการซึ่งถึงปัจจุบันได้มีรายงานทั่วทั้งโลกไว้นับเป็นหมื่นๆ  ราย

     งานวิจัยที่ใหญ่มากๆ  ซึ่งอาจจะใหญ่ที่สุดในโลกที่กำลังเริ่มในปี  2009  นี้  ไม่มีใครรู้ว่าจะเสร็จเมื่อไร  เป็นงานวิจัยของโครงการจิตของมนุษย์ที่มีนักวิทยาศาสตร์และแพทย์จำนวนมากจากโรงพยาบาลใหญ่ๆ  ของประเทศอังกฤษและสหรัฐอเมริกาถึง  25  โรงพยาบาล  เป็นงานวิจัยเพื่อศึกษาการระลึกความจำของผู้ที่ทางคลินิกถือว่าตายแล้วด้วยโรคหัวใจวายเฉียบพลัน  แต่กลับฟื้นขึ้นมาด้วยการปั๊มหัวใจและการใช้อุปกรณ์ช่วยหัวใจต่างๆ  (near  death  experiences  or  NDEs)  ซึ่งโดยทั่วๆ  ไปผู้ป่วยจะมีประสบการณ์ที่จิตของผู้ป่วยคนนั้นออกจากร่างกาย  และลอยออกไปถึงเพดานห้องโดยที่ผู้ป่วยนั้นๆ-ภายหลังที่ฟื้นตื่นขึ้นมาแล้ว-สามารถที่จะอธิบายขั้นตอนของการทำงานของแพทย์  และเจ้าหน้าที่ที่ช่วยชีวิตเขาได้อย่างละเอียด  ประสบการณ์การเห็นร่างของตัวเองลอยออกจากร่าง  (out  of  body  experience  or  OBE)  นี้  ไม่เกี่ยวกับประสบการณ์ใกล้ตาย  คือเกิดต่างหากก็ได้-เรียกว่า  ร่างดารา  (astral  body)  หรือร่างวิญญาณ  (soul)  บางครั้งคล้ายๆ  กับมีไหมเงิน  (silver  cord)  โยงใยติดต่อกับร่างจริงๆ-แต่มักเกิดร่วมในผู้ที่มีประสบการณ์ใกล้ตายแทบทุกราย  มีสิ่งหนึ่งที่แปลกมากๆ  คือว่าประสบการณ์  (OBEs)  นี้พบบ่อยเอามากๆ  (Robert  Cookall:  Out  of  body  Experiences,  1982)  โดยเฉพาะในนักเรียนนักศึกษาในเมืองนอกอาจถึงเกือบครึ่งหนึ่งของชั้นเรียน  แต่ที่บ้านเรา-เท่าที่รู้-ไม่มีใครรายงานการศึกษาเรื่องนี้อย่างเป็นกิจจะลักษณะเลย  อาจจะเป็นเพราะศาสนาก็ได้  ผู้เขียนมีเพื่อนที่สามารถมีประสบการณ์นี้อย่างน่าทึ่งถึงสองครั้ง  ทั้งที่นับถือพุทธที่ไม่มีคำว่าวิญญาณ  (soul)  ที่มีเฉพาะในมนุษย์เท่านั้นในคริสต์ศาสนา

     ทีมของนักวิทยาศาสตร์และแพทย์จำนวนมากเหล่านี้  ได้ความคิดมาจากการประชุมใหญ่ขององค์การสหประชาชาติที่มีขึ้นเมื่อเร็วๆ  นี้  ในเรื่องของความเกี่ยวข้องกันระหว่างจิตกับสมอง  นำโดยนายแพทย์แซม  พาร์เนีย  ผู้เชี่ยวชาญการดูแลรักษาผู้ป่วยฉุกเฉิน  และเป็นผู้ที่คุ้นเคยกับผู้ที่มีประสบการณ์ใกล้ตายมากที่สุดคนหนึ่ง  แซม  พาร์เนีย  ไม่ได้คิดว่าการวิจัยครั้งนี้จะอธิบายเรื่องของจิตได้ทั้งหมด  แต่คิดว่าสามารถจะอธิบายประสบการณ์ใกล้ตาย  และการระลึกความทรงจำของสมองที่ผู้ที่ตายแล้วฟื้น  ที่เห็นหรือรับรู้ได้ตามที่ทางศาสนาอธิบาย  เขาคิดว่าการวิจัยครั้งนี้  อย่างน้อยก็สามารถบอกกับนักวิจัยถึงธรรมชาติของจิตกับความสัมพันธ์ของจิตกับสมอง  นอกจากนั้น  ในผู้ร่วมวิจัยของโครงการจิตมนุษย์ยังมีมาริโอ  โบเรการ์ด  นักประสาทวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยมอนทรีออล  ผู้ที่มีชื่ออย่างรวดเร็วจากหนังสือของเขา  ที่ผู้เขียนได้อ้างอิงถึงบ่อยๆ  (Mario  Beuregard  et  al:  The  Spiritual  Brain,  2007)  ซึ่งเขาได้อ้างว่ามันมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ว่า  มีการดำรงอยู่ของวิญญาณในสมองจริงๆ  ดร.มาริโอ  โบเรการ์ด  นั้นจริงๆ  แล้วไม่ใช่เป็นผู้ที่เคร่งศาสนาไม่ว่าจะเป็นศาสนาอะไร  ที่เขาบอกว่ามีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่จะมีวิญญาณ  (soul)  อยู่ในสมองนั้น  ในความเห็นของผู้เขียนเข้าใจว่า  จากการอธิบายในหนังสือของเขา  น่าจะเป็นจิตไร้สำนึกร่วมของจักรวาลที่เข้ามาอยู่ในสมองของปัจเจกบุคคล  แล้วเพิ่งผ่านการบริหารโดยสมองใหม่ๆ  หรือที่ทางพุทธเราเรียกว่าสัมวัฏฏิกะ  วิญญาณ  หรือวิญญาณโลตะ  (stream  of  consciousness)  ที่มาของความรู้สึก  ความจำ  และความคิดของเรา

     ในเดือนมีนาคม  ปี  2009  ดร.โบเรการ์ดได้ศึกษา  "นำร่อง"  การทำงานของสมองในผู้ป่วยที่กำลังมีประสบการณ์ใกล้ตาย  ซึ่งการศึกษาของเขาได้รับการยกย่องจากนักประสาทวิทยาศาสตร์อย่างแทบเป็นเอกภาพ 

     นั่นคือเหตุผลที่เขามีความสำคัญต่องานวิจัยในครั้งนี้  ในการวิจัยที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่มีผู้ร่วมวิจัยเป็นประวัติการณ์  โบเรการ์ดยังมีโอกาสได้ศึกษาการทำงานของสมองของผู้ป่วย  ซึ่งมีการลดอุณหภูมิของร่างกายลง  (hypothermia)  มาจนกระทั่งหัวใจหยุดเต้นโดยสิ้นเชิง  ในผู้ป่วยที่เป็นโรคเส้นเลือดแดงโป่งพองในสมองและเอออร์ตาจนแล้วเสร็จ   ซึ่งกินเวลาเป็นชั่วโมงๆ  ด้วย

     การวิจัยของโครงการจิตมนุษย์ในผู้ป่วยหัวใจวายเฉียบพลัน  ที่แพทย์กำลังช่วยอยู่และกำลังมีประสบการณ์ใกล้ตายนี้  นอกจากนักประสาทวิทยาศาสตร์จะได้ศึกษาการระลึกความจำและความคิดแล้ว   ผู้วิจัยยังจะเอาภาพต่างๆ  ที่มองเห็นได้แต่เฉพาะคนที่ลอยตัวอยู่ที่เพดานห้องถึงจะเห็น  โดยผู้ที่อยู่ในที่อื่นจะมองไม่เห็นภาพเหล่านั้น  ในขณะที่ผู้ป่วยมีรายงานว่าจิตกำลังออกจากร่างไป  (OBEs)  หากว่าจิตออกจากร่างไปจริงๆ  ผู้ป่วยจะได้อธิบายภาพเหล่านั้นได้อย่างถูกต้อง

     ในปัจจุบันนี้  บรรดานักประสาทวิทยาศาสตร์  จิตแพทย์  และนักประสาทสรีระวิทยาส่วนใหญ่มากๆ  จะอธิบายประสบการณ์ใกล้ตายในแบบเป็นความจริงทางโลกหรือทางสังคม  คือเป็นรูปธรรมกายวัตถุแทบจะทั้งนั้น  ซึ่งต่างจากแพทย์และนักจิตวิทยาบางคนที่ได้พบกับผู้ที่มีประสบการณ์ใกล้ตายโดยตรง  ที่แม้จะอธิบายไม่ได้ก็มักจะเชื่อว่า  การที่ผู้ป่วยใกล้ตายแทบทุกคน-บางคนอาจเดินข้ามสะพานก็ได้-จะเห็นแสงสว่างที่ปากอุโมงค์  นั้นๆ  เป็นเรื่องจริง  แต่แพทย์หรือใครก็ตามที่ไม่เคยมีประสบการณ์โดยตรง  จะไม่เชื่อและพยายามหาทฤษฎีมาอธิบายที่ผู้เขียนเห็นว่าน่าจะใช้ไม่ได้ทั้งคู่  สองทฤษฎีที่ใช้อธิบายคือ  หนึ่ง-เป็นเพราะการเดินสายไฟของเซลล์สมองอย่างซับซ้อน  ในยามที่สมองกำลังขาดออกซิเจนอย่างรุนแรง  ทำให้เกิดไฟฟ้า  "ชอร์ต"  ในสมองส่วนที่เกี่ยวกับความคิดและความจำ  ทำให้มนุษย์ทุกๆ  คนมองเห็นภาพเช่นนั้นเหมือนกัน  ส่วนประเด็นที่สอง  เป็นภาพหลอนที่เกิดจากยาที่แพทย์ให้ผู้ป่วยในขณะที่หัวใจวาย

     จากหนังสือสมองแห่งจิตวิญญาณ  (spiritual  Brain)  ที่กล่าวมาข้างบน  นักประสาทวิทยาศาสตร์  มาริโอ  โบเรการ์ด  ผู้นี้  รู้สึกว่าจะไม่เห็นด้วยกับนักวิทยาศาสตร์ประสาทวิทยาสายตรง  ที่เขาเรียกว่านักวัตถุนิยมจ๋า  (materialist)  ซึ่งผู้เขียนก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน  ดร.โบเรการ์ดนั้นก็ไม่ใช่คนที่เคร่งศาสนาใดๆ  เลย  ทั้งงานวิจัยเรื่องประสบการณ์ใกล้ตายก็ไม่ใช่ว่าเขาพยายามเข้าข้างศาสนา  แต่เขาคิดว่ามันเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากสำหรับนักประสาทวิทยาศาสตร์ที่เชื่อว่าจิตมีจริง  ซึ่งเขากับผู้เขียนเชื่อ  สำหรับประสบการณ์ใกล้ตายหรือตายแล้วฟื้นที่อธิบายด้วยทฤษฎีที่หนึ่งนั้น  เป็นคำถามที่นักประสาทวิทยาศาสตร์และคนที่ไม่เชื่อจะตอบไม่ได้เลย  เป็นต้นว่าทำไมผู้ป่วยแทบจะทุกๆ  คนเห็นการกระทำของแพทย์และเจ้าหน้าที่ซึ่งกำลังช่วยเหลือตนเองอยู่นั้น  ถึงได้เห็นการกระทำทั้งหมดอย่างสุดละเอียดลออปานนั้น?  และทำไมส่วนอื่นของสมอง-ที่ก็ขาดออกซิเจนเหมือนๆ  กัน-ถึงไม่แสดงลักษณะของส่วนนั้นๆ  ด้วย?  ยิ่งทฤษฎีที่สองยิ่งใช้ไม่ได้เลย  เพราะไม่ใช่ผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจวายเท่านั้น  หรือว่าผู้ป่วยไปกินยาที่ให้ภาพหลอนได้เท่านั้น  ผู้ป่วยใกล้ตายด้วยโรคอื่นทั้งไม่ได้กินยาอะไร?  สักเม็ดตามที่มีรายงานมากมาย   ซึ่งต่างก็มีประสบการณ์ใกล้ตายเหมือนกันเป๊ะๆ  จะอธิบายอย่างไร?



http://www.thaipost.net/sunday/041009/11696

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 1.045 วินาที กับ 28 คำสั่ง

Google visited last this page 28 กุมภาพันธ์ 2568 03:00:48