[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
08 กรกฎาคม 2568 15:23:46 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : ปรจิตวิทยา-อภิญญาคือวิทยาศาสตร์จริงๆ  (อ่าน 1746 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5162


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 17 มิถุนายน 2553 19:56:49 »




ปรจิตวิทยา (parapsychology) เป็นวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์จำนวนไม่น้อย-ที่เป็นกายวัตถุนิยม-ไม่ชอบเอามากๆ เพราะในด้านหนึ่งของปรจิตวิทยาไปทับซ้อนกับความเชื่อในทางจิตหรือศาสนาของพวกนิวเอเจอร์ (newage movement) แต่ความจริงการวิจัยในทางปรจิตวิทยา เท่าที่ผู้เขียนรู้จะเป็นไปในเรื่องของความรู้หรือประสบการณ์เหนือธรรมชาติ (paranormal) ไม่ว่าจะเป็นวิธีการ (methods) หรือบริบท (context) เป็นไปอย่างมีระบบและเป็นวิทยาศาสตร์ร้อยเปอร์เซ็นต์ เมื่อหลายสิบปีก่อน-หลังจากเอียน สตีเวนสัน ศาสตราจารย์ทางจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียมาเมืองไทยครั้งแรก (เพื่องานวิจัยเรื่องการระลึกชาติ)-และเรามีสมาคมวิจัยทางจิตแห่งประเทศไทย (Society of Psychical Research of Thailand) ที่หวือหวาขึ้นมาในตอนแรกๆ แล้วก็ค่อยๆ หดหายลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งห้าหกปีหลังๆ มานี้ ผู้เขียนที่ได้เคยไปพูดให้สมาคมนี้หลายหนอยู่ๆ ก็ไม่ได้ข่าวคราวอะไรอีกเลย
 
อะไรๆ ในโลกในจักรวาลนี้ ผู้เขียนแน่ใจว่าสิ่งที่เป็นการจัดหาให้ หรือสรรค์สร้างให้ที่เรียกว่าธรรมชาตินั้น หรือจะพูดกันให้จำเพาะเจาะจงลงไปว่าเป็นนิยามของคำว่า "ธรรมชาติ" ได้เลยทีเดียว สิ่งนั้นก็คือ "มัชฌิมาปฏิปทา" ในความหมายหนึ่งที่พระพุทธองค์ได้ทรงสอนเรามาตั้งแต่เมื่อ 2,500 ปีมาแล้ว หรือว่าคือความสมดุลพอดีหรือซิมเมตรีของสรรพสิ่งสรรพปรากฏการณ์ทั้งหลายทั้งปวงของจักรวาล ซึ่งในระยะหลังๆ มานี้เท่านั้นที่ทางวิทยาศาสตร์เพิ่งมาพบเช่นนั้น ดังที่ผู้เขียนยกมาอ้างไว้ในบทความของผู้เขียนที่ว่าด้วยจักรวาลวิทยาใหม่และวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่ ขอพูดด้วยความสัตย์จริงว่าจนถึงอายุมากถึงวัยในตอนนี้เท่านั้น ที่ผู้เขียนพบว่าสิ่งที่ผู้เขียนต้องการมากที่สุดในชีวิต-ซึ่งอาจเป็นสิ่งเดียวกันกับที่มนุษย์ทุกคนต้องการเมื่อสถานการณ์พร้อม เมื่อมีความสงสัยลังเลใจต่อความจริงทางโลกที่ประสบกับความรู้สึกรับรู้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่ว่าในวัยใดก็วัยหนึ่งโดยไม่มีใครยกเว้น ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นอัจฉริยะ หรือเป็นอีเดียตมอรอลที่เกิดในวัฏสงสาร หรือจักรวาลแห่งกายและปรากฏการณ์ที่มีสามมิติ (บวกหนึ่ง) แห่งนี้ แสวงหาหรือเดินทางเพื่อแสวงหาที่หลายๆ คนอาจจะ ไม่รู้ว่าตนแสวงหาอะไร? เหมือนปลาที่ว่ายอยู่ในน้ำ แต่ไม่รู้ว่าน้ำคืออะไรและอยู่ที่ไหน? หรือยิ่งกว่านั้น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนที่มีชีวิตอยู่ในโลกเขาอยู่เพื่ออะไรกัน?? คนเหล่านี้หลายคนจึงมีชีวิตด้วยการแสวงหาแต่สิ่งโดยเฉพาะวัตถุที่อยู่ภายนอก จากการกระตุ้นเร่งเร้าด้วยเวทนา สัญญาและอารมณ์ที่ภายใน ด้วยการซื้อหาด้วย "เงิน" (ซึ่งได้ยินมาว่าชาวยิวเป็นผู้คิดขึ้นมา) วัตถุที่เราส่วนใหญ่มากๆ เหล่านั้นคิดว่า มันจะให้ความสุขสนุก สะดวกสบายและความปลอดภัยแก่ตัว แต่บางคนมีชีวิตเหมือนกับไม่มีชีวิต คิดว่าคนที่ฆ่าตัวตายคงจะคิดว่าตัวเองไม่มีความหมายอะไรต่อไปอีกแล้ว ตายหรือไม่ตายก็เหมือนกันคงคิดแบบนั้น ซึ่งไม่จริงเลย คนทั้งหมดนี้ได้เอาตัวไปผูกติดอยู่กับอุปาทานอันเป็นประหนึ่งเป็นโซ่ตรวนที่มัดตัวเอง หรือมัดให้ตาตัวเองมองเห็นแต่ตัวเองอยู่ในถ้ำเหมือนที่พลาโตบอก-สิ่งที่ผู้เขียนต้องการได้มากที่สุดสำหรับตนเองก็คือ มหาปัญญาเพื่อหวังจะหาความจริงแท้นั้นได้พบ และเพิ่งมารู้ก็ค่อนข้างแก่ชรามากไปแล้ว สายเกินไปเสียแล้ว เพราะไปใช้เวลาหาอยู่ข้างนอกเสียนาน ด้วยการเรียนรู้ด้วยวิธีฝึกฝนต่างๆ เช่นสาธารณชนคนทั่วไปทั้งหลายเขาทำกัน เช่น จากโรงเรียน จากครู จากการอ่านมากๆ หรือฟังมากๆ หรือแม้คนในสมัยนี้ที่ดูโทรทัศน์ดูหนังมากๆ ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดโดยไม่มียกเว้น ที่ได้มาก็คือสติปัญญา (คนละอย่างและคนละระดับกับมหาปัญญา) ความฉลาดเฉลียวเพื่อเอาตัวรอด (intelligence) หรืองานกับเงินที่ยังไกลแสนไกลจากมหาปัญญาและความจริงแท้ (wisdom) ที่กล่าวไว้แล้วว่าเป็นสิ่งที่ผู้เขียนต้องการอย่างที่สุดอีกมากนัก
 
กลับมาที่บทความของวันนี้ ผู้เขียนคิดว่าคนในโลกส่วนมากส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะนักวิชาการปัญญาชน หรือชนในชาติที่ด้อยพัฒนาอุตสาหกรรม หรือเรียนมาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเก่าเดิม คนพวกนี้มักจะคิดว่าเรื่องราวอะไรที่เกี่ยวกับจิตกับวิญญาณหรือกับศาสนา นอกจากไม่เป็นวิทยาศาสตร์แล้ว ยังเชื่อว่าวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องเดียวกับเทคโนโลยี เพราะว่ามนุษย์สามารถนำวิทยาศาสตร์มาประยุกต์เพื่อผลิตประดิษฐ์เทคโนโลยี ทำให้คุณภาพชีวิตของมนุษย์สามารถมีคุณภาพเหนือธรรมชาติทั้งหลายทั้งปวงโดยเฉพาะสัตว์ทั้งหลาย และยังคิดว่ามนุษย์ทั้งๆ ที่รูปกายเหมือนสัตว์หากว่าลอกหนังที่หุ้มร่างกายออก แต่มนุษย์ก็ไม่ใช่สัตว์ เนื่องจากมนุษย์สามารถคิดค้นและสามารถใช้เทคโนโลยีเป็น เรื่องของจิต ของวิญญาณ ของศาสนานั้น ล้วนเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นและตรวจจับวัดชั่งไม่ได้ ไม่ว่าจะใช้อุปกรณ์วิทยาศาสตร์ชนิดไหนหรืออย่างไร? หลายๆ คนที่เรียนมาทางวิทยาศาสตร์ ถามผู้เขียนว่าที่ผู้เขียนพูดเสมอๆ ว่าทุกวันนี้มีวิชาวิทยาศาสตร์ทางจิตนั้น "จิตเป็นวิทยาศาสตร์ได้อย่างไร? เพราะครูสอนวิทยาศาสตร์ทุกคนบอกเหมือนๆ กันว่า มันไม่มีวิทยาศาสตร์ทางจิตจริงๆ หรอก มีก็แต่วิทยาศาสตร์จอมปลอม (pseudoscience หรือ scientism) เพราะว่าไม่มีใครทำซ้ำๆ ในเรื่องของจิตได้ อันเป็นข้อพิสูจน์ความเป็นวิทยาศาสตร์ที่สำคัญที่สุด เมื่อไม่มีข้อพิสูจน์ จิตก็ไม่ใช่วิทยาศาสตร์-จบ" ก็ใคร่ตอบครูสอนวิทยาศาสตร์ที่พูดด้วยความมั่นใจเช่นนั้นว่า หนึ่ง-ผู้ที่คิดหลักการว่าความเป็นวิทยาศาสตร์จะต้องมีคุณสมบัติเช่นนั้น คือนักวิทยาศาสตร์ที่คิดและเชื่อมั่นเช่นนั้นนั่นเองที่ห่วงว่า "วิทยาศาสตร์ที่เป็นของพวกข้า ใครอย่าแตะ" จึงพยายามทำให้ศักดิ์สิทธิ์และอนุรักษ์ความศักดิ์สิทธิ์นั้นไว้อย่างหวงแหนจนเกินไป ทั้งที่การค้นพบสูตรใหม่ๆ สมการใหม่ๆ ทางวิทยาศาสตร์นั้น เป็นการค้นพบของนักวิจัยที่ใจกว้าง กล้าทำกล้าแตะนั่นแหละ-โดยคิดเอาเองจินตนาการเอาเองหลายครั้งอย่างไม่มีเหตุผลในตอนแรกเสียกว่าครึ่งค่อน-สอง อีกอย่างหนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าปัญญาชนคนอีลิตในยุโรปสมัยก่อน ต้องการแยกวิทยาศาสตร์ออกจากคริสต์ศาสนากับพระเจ้า ดังที่นีตเชได้กล่าวว่า พระเจ้าได้ตายไปแล้ว (God is Dead) ซึ่งหากชมรมนักวิทยาศาสตร์ในเวลานั้นต่างคิดว่า จิตหรือวิญญาณกับพระเจ้าอันเป็นเรื่องของ "ความเชื่อความศรัทธา" ไม่ใช่องค์ความรู้หรือความจริง ในขณะที่วิทยาศาสตร์เป็นความรู้ที่เป็นข้อเท็จจริง หรือไม่ก็ถือว่าพระเจ้ามีหน้าที่ในการสร้างโลกและสรรพสิ่งรวมทั้งมนุษย์เท่านั้น เมื่อสร้างแล้วก็หมดหน้าที่ ส่วนในตอนหลังก็เป็นเรื่องของโลกกับมนุษย์ที่จะพัฒนาต่อไปด้วยตัวเอง ศาสนาจึงเป็นเพียงความเชื่อที่ไม่มีเหตุผล ถ้ามีเหตุผลหรือคิดเป็นเช่นนักวิชาการ (intellectual) ถึงจะเป็นผู้ที่มีความรู้เพราะได้รู้ความจริงแล้ว สาม-ตั้งแต่ปี 1969 เป็นต้นมา สมาคมนักวิทยาศาสตร์ชมรมที่ใหญ่ที่สุดของโลก (AAAS) ในโลกนะครับไม่จำเพาะที่อเมริกา ได้ประกาศรับรองฐานะของปรจิตวิทยา (parapsychology) ให้เป็นสาขาหนึ่งของวิทยาศาสตร์ว่าด้วยเรื่องของจิตเหนือธรรมชาติ (paranormal ability) ที่ตรงกับ "อภิญญา" ในพุทธศาสนา (paranormal knowledge) เช่น การเห็นภาพล่วงหน้าหรือในอดีต หรือการมีตาทิพย์หูทิพย์ หรือการติดต่อกันรวมทั้งการเคลื่อนย้ายวัตถุในระยะไกลมากๆ ด้วยพลังจิต (PK) ในขณะที่สถาบันหรือองค์กรที่ต่อต้านหรือคัดค้านปรจิตวิทยา ต่อต้านหรือคัดค้านความสามารถเหนือธรรมชาติ (skeptics) รวมทั้งสถาบันที่อ้างว่าเป็นสถาบันวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่แท้จริง รวมทั้งองค์กรที่ชื่อว่า "ไซคอป" (CSICOP) และวารสารที่ออกปีละสี่ครั้ง (Skeptic Inquiry) กลับไม่มีแม้แต่แห่งเดียวที่ได้รับการรับรองโดยสมาคมหรือชมรมวิทยาศาสตร์ใดๆ ในโลก
 
แต่คนที่ต่อต้านวิทยาศาสตร์เก่าๆ เดิมๆ คนที่ต่อต้านประสบการณ์เหนือธรรมชาติเหล่านี้ ก็ยังไม่ท้อถอยยังคงขับเคี่ยวต่อไป วารสารสเกปติกอินไควรี (Skeptic inquiry) ผู้ที่ต่อต้านเขียนได้ก็เขียนไป เพราะเป็นสิทธิ์ที่จะเขียน แต่ผลลัพธ์กลับเป็นตรงกันข้าม ประชาชนคนทั่วไป ทั้งที่สหรัฐและยุโรปกลับหันไปเชื่อปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ (paranormal ability or anomalous cognition) เชื่อในความรู้เร้นลับและเรื่องทางจิตทางศาสนาและพระเจ้ามากขึ้นและมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ผลของการสำรวจประชาชนที่เป็นผู้ใหญ่ที่สหรัฐอเมริกาแสดงผลที่เป็นตรงกันข้าม เช่นการสำรวจ (AP-ISOS) เมื่อตุลาคม 2007 พบว่าคนอเมริกันเชื่อว่ายูเอฟโอมีจริงๆ ถึง 56% เชื่อในความสามารถเหนือธรรมชาติหรืออภิญญา 48% เชื่อว่ามีผีจริงๆ 34% ซึ่งเพิ่มขึ้นเท่าตัวจากเมื่อราวสามสิบปีก่อน ประชาชนส่วนมากหันไปเชื่อในเรื่องของศาสนา การสวดมนต์และการเปลี่ยนแปลงจิตสู่จิตวิญญาณ (spirituality) มากกว่าเดิมมาก
 
ทุกวันนี้ ที่สหรัฐอเมริกาและในสังคมที่มีการพัฒนาไปเป็นอย่างมากแล้วนั้น คนส่วนหนึ่งได้มีการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของตัวเองไปมากทีเดียวตั้งแต่ทศวรรษที่แล้วเป็นต้นมา-ที่เพิ่มทวีจำนวนอย่างรวดเร็วในทศวรรษต่อมา-ประชาชนในประเทศพัฒนาแล้วได้มีการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของตน จากการตกเป็นทาสของวัตถุนิยมและการ "บริโภคโยนทิ้ง" รวมทั้งการแสวงหาความสุขสนุกสะดวกสบาย และหันไปหาความสุขทางจิตกับชีวิตที่สมดุลพอเพียงพอดี ทำให้นึกถึงจอร์จ บุช, จอห์น แม็กเคน แห่งพรรครีพับลิกัน กับนายบารัก โอบามา แห่งพรรคเดโมแครต ว่าคนอเมริกันและอาจพูดได้ว่าคนในประเทศที่พัฒนามากๆ แล้ว เริ่มจะรู้ตัวและเปลี่ยนแปลงตัวเองจากภายนอกสู่ภายใน จากกายสู่จิต เริ่มมองเห็นว่าความสุขทางกายและกระแสวัตถุนิยม-ซึ่งแน่นอนเป็นผลของระบบทุกๆ ระบบและโครงสร้างของสังคมผิดๆ ที่ตั้งบนวิทยาศาสตร์กายภาพเก่าๆ กับเทคโนโลยี - ที่อเมริกาพังจึงไม่ใช่การส่งทหารไปทำสงครามที่อัฟกานิสถานกับอิรักง่ายๆ ตามที่คิดกัน แต่เป็นด้วยสาเหตุที่กล่าวมานั้น สะสมตกทอดมาตั้งแต่กว่า 400 ปีด้วย แล้วเราในประเทศไทยยังมะงุมมะงาหราทำตามตัวอย่างผิดๆ เช่นนั้นไปทำไม? ไม่เห็นหรือว่านักลงทุนฝรั่งที่ "ไม่เคยพอ" ได้หันไปหาประเทศด้อยพัฒนากำลังพัฒนาเพื่อหาทางลงทุนกันจ้าละหวั่น ยังกับว่าโลกมันสามารถพองตัวของมัน ขยายตัวได้ให้ลงทุนกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุดกระนั้น

 
เอียน สตีเวนสัน (เพิ่งตาย) ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย ผู้ค้นคว้าวิจัยเรื่องการระลึกชาติมาตลอดชีวิตที่กล่าวมาข้างต้น เชื่อว่าการระลึกชาติเป็นความจริงและได้รวบรวมไว้เป็นพันๆ ราย แต่ได้เลือกเฉพาะ 20 รายที่น่าเชื่อที่สุดมารายงานอย่างละเอียด (Ian Stevenson: Twenty Cases Suggestive of Reincarnation, 1974) กล่าวไว้ว่า นักวิชาการแทบทั้งหมดที่ต่อต้านงานวิจัยของตนนั้น แทบจะทุกคนไม่ได้อ่านรายงานของตนเลยก็ตัดสินกันแล้ว ทุกวันนี้เรื่องของประสบการณ์ใกล้ตาย (Near Death Experiences) มีรายงานในวารสารต่างๆ นับเป็นหมื่นๆ ราย ทำให้สาธารณชนส่วนหนึ่งเชื่อมั่นและไม่กลัวตาย ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงตัวเองไปสู่โลกทัศน์ใหม่และวิถีชีวิตใหม่ในทางบวก

 
แท้จริงแล้ว เรื่องของอภิญญาที่เป็นส่วนหนึ่งของปรจิตวิทยาซึ่งเป็นความรู้เหนือธรรมชาติหรือเกินจากธรรมชาติ (paranormal knowledge) นั้น ไม่ใช่เรื่องที่เหลวไหลหรืองมงายไสยศาสตร์แม้แต่น้อย หากแต่เป็นวิทยาศาสตร์ร้อยเปอร์เซ็นต์ดังที่ผู้เขียนเล่ามาในบทความก่อนๆ นี้ (entangled and nonlocal universe) และบทความนี้ ทางพุทธศาสนานั้นถือว่าเป็นองค์ความรู้ที่สูงกว่าความรู้ที่ได้มาจากเส้นทางปกติหรือสติปัญญา (intelligence) เพราะได้มาจากการปฏิบัติจิตปฏิบัติสมาธิ (ฌานสี่) ทำให้มองเห็นอดีต ปัจจุบัน และทำนายอนาคตได้ หากรวมทั้งที่เห็นและล่วงรู้จากเส้นทางอื่น ทั้งหมดคืออภิญญาหก (ฉลภิญญา) ซึ่งมีกล่าวไว้ในทีฆนิกายและนิเทส.


http://www.thaipost.net/sunday/140209/262

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.556 วินาที กับ 28 คำสั่ง

Google visited last this page 17 มีนาคม 2568 04:01:46