[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
24 เมษายน 2567 23:34:20 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: รวมความรู้เรื่องการทำผิวขาวใส ฉบับคนอยากจะรู้  (อ่าน 51806 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
wondermay
บุคคลทั่วไป
« เมื่อ: 23 พฤษภาคม 2555 22:59:59 »

วิธีการใช้กลูต้าไธโอน



มีการกินและฉีด วันนี้มาเจาะวิธีที่เห็นผลที่สุดกันก่อนจ้า


การฉีดกลูต้าไธโอน

การฉีดกลูต้าไธโอนให้ได้ผลดี และไวที่สุดนั้น มีหลักการง่ายๆ แต่ทำค่อนข้างยาก ดังนี้

1. ปริมาณกลูต้าที่ใช้
ปริมาณที่ใช้ คือ 20-40mg/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/ครั้ง ปกติจะอยู่ที่ 2,000 - 2,500mg
ซึ่งการใช้ปริมาณดังกล่าวจะทำให้เกิดเอฟเฟกโอเวอร์โดสเกิดขึ้น จึงจำเป็นต้องมีการพักผ่อนที่เพียงพอ
มีร่างกายแข็งแรง ไม่เป็นโคความดันโลหิตสูง ไม่เช่นนั้นจะทำให้ช็อคหมดสติได้
การได้รับกลูต้ามากเกินไป ร่างกายจะขับออกมาทางเหงื่อ ทำให้สูญเสียพลังงานของร่างกาย และเปลืองโดยใช่เหตุ

2. ส่วนผสมอื่นที่ใช้ เช่น วิตามินซี เป็นต้น
ส่วนผสมที่เร่งให้กลูต้าทำงานได้ดีขึ้น กลูต้าเป็นแม่ทัพ หรือหัวหน้าในการทำลายอนุมูลอิสระ
ตัวที่เร่งให้กลูต้าทำงานไวขึ้น คือ วิตามินซี วิตามินบี สาร OPC รวมทั้ง วิตามินบี3 วิตามิบี5
การผสมกลูต้า จะใช้อัตราส่วน วิตามินซีเป็น 2 เท่าของกลูต้าเสมอ เช่นกลูต้า 600mg ต่อ วิตามินซี 1,200mg
และเมื่อรวมกันแล้วต้องไม่เกิน 20ml ต่อการฉีด 1 ครั้ง (ไซลิงค์หรือกระบอกฉีดยาขนาด 20ml
กรณีให้ผ่านสายน้ำเกลือก็ไม่ควรผสมเกิน20ml) และการฉีดจะต้องค่อยๆ เดินยาช้าๆ เป็นเวลา 15-20 นาที
ไม่เช่นนั้นร่างกายจะเกิด อาการต่อต้าน ทำให้ปวดแขนข้างที่ฉีด หรือเส้นเลือดแตกได้ อันตรายอย่างมาก

3. ระยะเวลาแรกเริ่มที่ใช้
การฉีดครั้งแรกนั้นใน 4 - 6 สัปดาห์แรกให้ฉีดสัปดาห์ละ 2 ครั้ง โดยแบ่งเป็นทุกๆ 4 วัน หรือ 3 วัน
นับโดยรวมให้ได้สัปดาห์ละ 2 ครั้ง

4. ระยะเวลารักษาสภาพ
หลังจากนั้นให้รักษาสภาพ โดยฉีดสัปดาห์ละ 1 ครั้งติดต่อกันเป็นระยะเวลาอีก 3 - 6 เดือน

5. คุณภาพ
คุณภาพของกลูต้านั้นบอกก่อนว่า เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเป็นกลูต้าแท้ หรือปลอม แต่เราตรวจสอบ
ด้วยตนเองจาก การนำกลูต้าเทลงไปในเบตาดีน หรือการชิมว่ามีรสขมหรือเปรี้ยว แต่ทั้งหมดนี้
วิตามินซีทั่วไปก็ทำได้ ดังนั้น การซื้อมาใช้จึงต้องระมัดระวัง อย่าเสี่ยงโดยไม่ใช่เหตุ กลูต้าที่ขายถูกเกินไป
ก็น่าสงสัย แพงเกินไปก็ไม่มั่นใจ และโปรดจงจำไว้ว่าทุกร้านไม่มีร้านไหนบอกว่าของตนเองเป็นของปลอม
แต่สิ่งที่จำเป็นต้องรู้ คือ แม่ค้าก็คือคนกลางที่นำสินค้าเข้ามาขาย ไม่ใช่ผู้ผลิต ส่วนแหล่งที่มาก็ไม่เปิดเผยกัน
รับกันมาต่ออีกหลายทอด ดังนั้น ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ ควรดูที่ผลิตภัณฑ์ก่อน มาตฐานการผลิต และคุณภาพ

6. การดูแลผิวพรรณร่างกายทางอื่น
ผิวพรรณจะได้ผลจากการฉีดกลูต้าไหม ขึ้นอยู่กับการดูแลทางอื่นเสริมด้วย การอยู่ท่ามกลางแสง
UVA/UVB บ่อยๆ แม้ฉีดไปเยอะขนาดไหนก็ไม่ทำให้ขาวขึ้นมาได้

7. พื้นฐานผิวพรรณ
ปกติกลูต้าจะช่วยแก้ปัญหาผิวพรรณพื้นฐานชัดเจนทุกยี่ห้ออยู่แล้ว คือ แก้ริ้วรอยก่อนวัย จุดด่างดำ
รูขุมขน สิว ฝ้า ควาหมองคล้ำ หยาบกร้าน ผิวแห้ง และภูมิแพ้ ส่วนสีผิวนั้น จะแก้ไขให้มาเหมือนคนสีผิวขาว
แบบเกาหลี คงเป็นไปไม่ได้ทุกคน แต่หลักสังเกตง่ายๆ คือ

- คนที่มีเส้นเลือดที่แขนออกสีฟ้า ลักษณะสีผิวขาวอยู่แล้ว สามารถทำให้สีผิวขาวอมชมพูได้จากการฉีดกลูต้า
  และสามารถสร้างออร่าหลังการฉีดได้เพียง 1-2 ครั้งเท่านั้น
- คนที่มีเส้นเลือดเขียวที่แขน ลักษณะผิวขาว สามารถทำให้ขาวซีด หรือขาวเหลืองได้
- คนผิวสีแทน ไม่สามารถสร้างผิวขาวขึ้นมาได้ อย่างดีก็ทำได้เพียงขาวเหลือง หรือขาวแดงๆ แต่ดูนวลเนียนมากกว่า
- คนผิวแดง จะทำให้ดูผิวเนียนละมุนขึ้นมา แต่ไม่สามารถเปลี่ยนสีผิวเป็นขาวได้อย่างแน่นอน

ถ้าเช่นนั้นมีคำถามว่า เราฉีดกลูต้าไปทำไม คำตอบคือ เพื่อผิวพรรณที่ขาวเนียนเรียบ ดูสดใส มีออร่า
ลดความหมองคล้ำ ริ้วรอยต่างๆ และที่สำคัญยังทำให้สุขภาพภายในร่างกายดีขึ้นอย่างชัดเจน เริ่มตั้งแต่ท้องผูก
ภูมิแพ้ ร่างกายอ่อนเพลีย พบว่าหลังฉีดกลับแก้ปัญหาเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน และเราขอถามกลับไปว่า
คุณยังไม่ได้ลอง คุณจะทราบได้อย่างไรว่า มันไม่ดี มันเป็นพิษภัย เป็นสารอันตราย

นพ.โกสินทร์ แจ่มเพ็ชรรัตน์ ได้อธิบายถึงสารกลูต้าในหนังสือแพรวสุดสัปดาห์ไว้ ดังนี้ "กลูตาไธโอน (Glutathione)
มีคุณประโยชน์มากมายออกฤทธิ์ในระดับเซลล์ ทำให้เกิดพลังงาน เกิดความกระชุ่มกระชวย อ่อนเยาว์
ทั้งยังเป็นตัวต้านอนุมูลอิสระ (Anti-oxidant) ในร่างกาย คอยกำจัดอนุมูลอิสระ (Free radicals) ตัวร้าย
ที่ทำให้เซลล์ร่างกายเสื่อมสภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่เรามักไม่ได้รับจากการรับประทานอาหารตามธรรมชาติ
หรือจากอาหารเสริมสักเท่าไหร่ เพราะว่าถูกทำลายได้ง่ายบริเวณลำไส้ สารกลูตาไธโอนนี้มีประโยชน์มากมาย
โดยใช้ป้องกันความเสื่อมของร่างกาย เพิ่มระบบภูมิต้านทาน และการนำของระบบภายในร่างกาย
ในด้านผิวพรรณยังออกฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเม็ดสีที่มากเกินไปทั่วร่างกาย จึงทำให้คนที่ได้รับสารอาหารชนิดนี้
มีผิวพรรณที่ผุดผ่อง ขาวใส หรือดูมีสุขภาพผิวที่ดีกว่าคนทั่วไป"


การฉีดกลูต้าไธโอนสามารถฉีดได้สอง วิธี คือฉีดเข้ากล้ามเนื้อ และเข้าทางเส้นเลือด ขนาดที่ได้ผลดีคือ
600 มิลลิกรัมต่อสัปดาห์ แต่การฉีดทางกล้ามเนื้อค่อนข้างปวดและเห็นผลได้ช้ากว่า เพราะสารอาหารจะค่อยๆ
ออกฤทธิ์ทั่วร่างกาย ในขณะที่การฉีดเข้าทางหลอดเลือด จะเห็นผลได้ชัดเจนกว่า เพราะสามารถออกฤทธ์ได้ทันที
ทั่วร่างกาย มักฉีดร่วมกับวิตามินซีเข้าทางเส้นเลือดช้าๆประมาณ 10-15 นาที จะทำให้ระดับวิตามินซีออกฤทธิ์
ในร่างกายได้ดีขึ้น โดยสารอาหารทั้งสองชนิด (กลูตาไธโอน+วิตามินซี) จะทำงานเสริมฤทธิ์กันในด้านผิวพรรณ
จึงทำให้ผิวสดใส ป้องกันความเสื่อม และทนต่อแสงแดดได้ดีขึ้น ปัจจุบันยังไม่พบว่ามีข้อแทรกซ้อนที่เป็นอันตราย
เพราะล้วนเป็นสารอาหารที่ร่างกายต้องการ ไม่ใช่ยาหรือสารแปลกปลอม แต่ต้องฉีดโดยแพทย์หรือพยาบาล
ที่มีประสบการณ์เพื่อป้องกันการติดเชื้อ โดยไม่ควรฉีดในรายที่มีปัญหาโรคลมชัก เบาหวาน โรคเลือด
สตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตร สามารถฉีดได้สัปดาห์ละครั้ง ติดต่อกันประมาณ 3-5 สัปดาห์ แล้วเว้นระยะห่างออกไป
ตามความเหมาะสม โดยทั่วไปจะเริ่มเห็นผลการเปลี่ยนแปลงทางที่ดีขึ้นตั้งแต่ครั้งแรก เช่นผิวดูสดใส
ร่างกายกระชุ่มกระชวย แผลหายได้เร็วขึ้น แต่อาจไม่ชัดเจน โดยทั่วไปจะเริ่มเห็นผลการเปลี่ยนแปลงในครั้งที่ 3-4
ทั้งนี้ขึ้นกับการตอบสนองของแต่ละคนแบะตัวอนุมูลอิสระที่มีอยู่เดิมในร่างกายที่แตกต่างกัน คล้ายๆกับการล้างพิษ
หากพิษมากหรือมีความเสื่อมมากก็ต้องใช้สารอาหารหรือตัวต้านอนุมูลอิสระมากขึ้น เมื่อสภาพร่างกายได้รับการฟื้นฟู
ผิวสดใสจนเป็นที่พอใจแล้วก็ไม่จำเป็นต้องฉีดเป็นกระจำ สามารถฉีดได้เป็นครั้งคราว เสมือนนักกีฬาที่อ่อนล้า
ก็ฉีดวิตามินบำรุงร่างกายสักหน่อย พบว่าหลังฉีดกลูตาไธโอนและวิตามินซีเข้าไปในร่างกายจะอยู่ได้นาน 2 เดือน
โดยประมาณ แล้วค่อยๆลดระดับลงเรื่อยๆจนหมดไป"

สภาพสีผิวคนเรา แบ่งออกมาเป็น 5 สีผิว (Skin Type) โดยมีชนิดของ Melanin และจำนวนของเมลานิน
และตัวสร้างเมลานินเอง (Melanocytes) ที่บ่งบอกความแตกต่าง แต่ถึงกระนั้นก็ตาม มนุษย์เรา
ก็ได้พยายามคิดค้นหาวิธีการในการพยายามเปลี่ยนแปลงสีผิวให้ได้อย่างที่ตนเองพอใจ โดยเฉพาะ
สีผิวของคนแถบเอเซีย ที่ต้องการผิวขาวอย่างคนทางตะวันตก Glutathione เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant)
ตัวหนึ่งที่ร่างกายสังเคราะห์ได้เองเรียกว่า Universal Antioxidant เกิดจากการจับตัวกันในรูปแบบ Tri-peptides
ของกรดอะมิโน3 ชนิด ได้แก่ Cysteine,Glycine และ Glutamic โดยมีหน้าที่หลักๆ สำคัญดังต่อไปนี้

1.การขจัดสารพิษ (Detoxification) กลูต้าไธโอน ช่วยสร้างเอ็นไซม์ ชนิดต่างๆ ในร่างกายโดยเปลี่ยนสารพิษ
ชนิดไม่ละลายในน้ำ (ละลายในน้ำมัน) เช่นพวกโลหะหนัก สารระเหย ยาฆ่าแมลง แม้แต่ยาบางชนิด
ให้เป็นสารที่ละลายน้ำได้ดีขึ้นและง่ายต่อการกำจัดออกจากร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันตับ
จากการถูกทำลายโดยแอลกอฮอล์ (สุรา) สารพิษจากบุหรี่
2. ต้านปฏิกริยาอ๊อกซิเดชั่น (Antioxidant) และยังส่งเสริมให้วิตามินซี และวิตามินอี ดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย
และทำงานได้เต็มที่มากขึ้น จึงช่วยลดเลือนริ้วรอยตามวัยได้
3. กระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย (Immune Enhancer) กระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย โดยกระตุ้นการทำงาน
ของเอ็นไซม์หลายชนิดเพื่อให้ร่างกายต่อต้านสิ่งแปลกปลอมรวมทั้งเชื้อแบคทีเรียและไวรัส นอกจากนี้
กลูต้าไธโอน ยังช่วยสร้างและซ่อมแซม DNA สร้างโปรตีน
4. ทำให้สีผิวขาวขึ้นได้ โดยอาศัยกลไกการทำงานที่มีคุณสมบัติในการไปยับยั้งการทำงานของ Tyrosinase
ทำให้ Tyrosine ไม่สามารถเปลี่ยนไปเป็น DOPAquinone เป็นสารต้นแบบของ Dopachrome,
DHI....Pheomelanin,Eumelanin (ซึ่งกลุ่มนี้เป็นสารที่ทำสีผิวคล้ำ) ผลลัพท์คือทำให้ ผิวหน้าสวย ขาวใส
ไร้รอยด่างดำ รวมถึง ผิวทั่วเรือนร่าง เช่น ผิวใต้วงแขน ผิวบริเวณ สีผิวริมฝีปาก จะขาวอมชมพูขึ้น
จากคุณสมบัติของการเป็น Whitening ของสาร Gluthathione นี้เอง ทำให้ได้มีการทำการสังเคราะห์
สารตัวนี้ขึ้นมาทางกรรมวิธีทางเคมี เรียกว่าสาร L-Glutathione ซึ่งก็คือ Glutathione นั่นเอง
แต่ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หรือไม่ได้จากการสกัดจากพืชพรรณธรรมชาติ โดยอาจจะอยู่ในรูปของ
อาหารเสริม ยาฉีด หรือตัวยาที่นำผสมกับไวเทนนิ่งตัวอื่นๆ เป็นคอกเทล แล้วนำมาฉีดด้วย เทคนิค Mesotherapy

ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้สีผิวขาวขึ้นได้และเป็นที่ยอมรับกันก็ มีมากมายหลายตัว
เราเรียกสารกลุ่มนี้ว่า Whitening Agents


ส่วนที่ผลิตออกมาในรูปของอาหารเสริม หรือกลุ่มยาฉีด ที่ช่วยปรับสีผิวให้ขาวทั้งตัว ที่มีรายงานรับรองผล
และเห็นผลชัดสุด และปลอดภัย และมีการนำออกมาจำหน่ายในท้องตลาด ก็น่าจะเป็น Glutathione , Vit C
และสารสกัดจากเปลือกสนฝรั่งเศส โดยมีรายละเอียดดังนี้
1.ในรูปของอาหารเสริม Glutathione มักจะไม่มีวางจำหน่ายเดี่ยวๆ มักจะผสมในรูปของอาหารเสริม
ที่ประกอบด้วยวิตามินซี และสารสกัดจากเปลือกสน เพื่อสะดวกในการรับประทาน โดยพบว่าขนาดยา
ที่แนะนำให้รับประทานที่เหมาะสม และทำให้สีผิวขาวทั้งตัวได้ คือ ปริมาณ Glutathione 500 มก. ต่อวัน
+ Vit C 3,000 มก.ต่อวัน โดยมีรายงานวิจัย พบว่า glutathione ควรแบ่งกินขนาด 250 mg เช้า–เย็น
หลังอาหาร โดยจะให้ผลในเรื่องการดูดซึมที่ดี และถ้าจะให้ได้ผลดีในการกระตุ้นระดับ Glutathione
ในร่างกายให้สูงขึ้น ควรจะทานควบคู่กับวิตามินซี โดยการแบ่งเวลารับประทานให้สะดวกและใกล้เคียงกัน
ส่วนถ้าจะกิน vit E ร่วมด้วยก็ได้ครับ เพราะจะไปช่วยให้vit c ทำงานดีขึ้น แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับงบประมานด้วย
พบว่าหลังรับประทานจะเริ่มเห็นผลการเปลี่ยนแปลงภายใน 3-4 เดือน แต่ควรจะรับประทานต่อเนื่อง
เพราะผลที่ได้ไม่ถาวร เนื่องจากปัจจัยการเปลี่ยนสีผิว ยังเกี่ยวข้องกับปัจจัยอื่นๆ ทั้งภายในร่างกายเอง
หรือภายนอกร่างกาย เช่น แสงแดด เป็นต้น
2 ในรูปของยาฉีด ซึ่งปัจจุบันมีการนำ Glutathione 600 มก. (4 ซีซี) มาผสมกับวิตามินซี 2 ซีซี
นำมาฉีดเข้าเส้นเลือดและเข้ากล้าม พบว่าจะทำให้ได้ผลในเรื่องสีผิวได้เร็วขึ้น ภายใน 1-2 เดือน
โดยนำมาฉีดทุกอาทิตย์ การฉีดทั้งสองวิธี จะได้ผลพอๆ กัน แต่นิยมฉีดเข้าเส้นเลือดมากกว่า
เพราะไม่ค่อยเจ็บมากนัก แต่ในรายที่เส้นเลือดเปราะบาง หรือหาเส้นเลือดยาก อาจจะใช้วิธีแบ่งฉีด
เข้ากล้ามเนื้อ (สะโพก) แทน ซึ่งจะเจ็บมากกว่า ก็แล้วแต่จะเลือกวิธีใด

ที่มา โดย นพ.จรัสพล รินทระ



วิธีการฉีด

สำหรับวิธีการฉีดกลูต้าไธโอน มี 2 วิธีด้วยกัน คือ เข้าทางหลอดเลือดดำ และ เข้าทางกล้ามเนื้อสะโพก
โดยทั้ง 2 วิธี จัดเป็นวิธีที่ได้ผลเช่นกัน แต่ค่อนข้างอันตราย การฉีดควรให้แพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญ
เป็นผู้ฉีดให้ อย่างไรก็ตาม การฉีดโดยแพทย์นั้น อาจพบว่าแพทย์ปฎิเสธที่จะรับฉีด รวมทั้งบางแห่ง
จะต้องเป็นยาของคลีนิกเองซึ่งจะมีราคาแพงกว่าถึง 2 เท่า
ทำให้ผู้ที่ต้องการฉีดผิวมีปัญหาในการฉีด และสถานที่ฉีดอย่างมาก ประกอบกับการฉีดต่อครั้งมีราคาแพง
เราจึงได้ไปขอให้ผู้เชี่ยวชาญสอนวิธีการฉีดด้วยตนเอง ซึ่งหลังจากได้เรียนรู้แล้ว พบว่าไม่ได้ยากเย็นแต่อย่างไร
(การฉีดต้องระมัดระวังเรื่องความสะอาด, ปริมาณยาที่รับ และอาการแพ้) ก่อนฉีดผิวควรทดสอบยา
ที่นำมาฉีดก่อนว่ามีอาการแพ้หรือไม่


ขั้นตอนที่ 1 :

การทำ Skin Test ปกติทางการแพทย์ มีวิธีทำ 3 แบบ คือ
1. Scratch test ทำกับผิวหนังชั้นตื้นๆ ที่ทำให้เกิดรอยถลอก ไม่ถึงชั้น dermis เป็นวิธีที่มี
nonspecific reaction มาก เนื่องจากมี trauma ต่อผิวหนังมาก ทำให้เกิด false positive สูง
ตัวยาที่ใช้ทดสอบที่เข้าสู่ผิวหนังมีปริมาณไม่แน่นอน
2. Prick test ทำกับผิวหนังชั้น epidermis ควรทดสอบด้วยวิธี prick test ก่อนที่จะทดสอบด้วยวิธีอื่น
เป็นวิธีที่ได้รับการยอมรับมีความปลอดภัยโอกาสเกิด systemic reaction น้อยกว่าการทำ
intradermal test ทำได้ง่ายและสะดวก ใช้เวลาน้อย มีความสัมพันธ์กับอาการทางคลินิกมากกว่า
วิธีแบบ intradermal
3. Intradermal skin test เป็นการทำกับผิวหนังชั้น dermis ขนาดของปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น
ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสารที่ใช้ทดสอบ มากกว่าปริมาณที่ฉีดเข้าไป เป็นวิธีที่ค่อนข้าง sensitive
ข้อเสียของวิธีนี้คือ อาจเกิด systemic reaction ได้ เช่น hypotension, angioedema,
airway obstruction ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าฉีดสารที่ใช้ทดสอบความเข้มข้นสูงเกินไป
หรือปริมาณมากเกินควร แต่ปฏิกิริยาดังกล่าวพบได้ไม่บ่อยนัก ส่วนใหญ่ปฏิกิริยาเหล่านี้
จะเกิดภายใน 30 นาทีหลังการฉีด วิธีนี้มี false positive สูง

*** การทำ skin test ให้เริ่มจากการทำ epidermal หรือ prick test ก่อน
ถ้าได้ผลลบจึงใช้วิธี Intradermal injection ฉีดที่ท้องแขนต่อ


Scratch test
ใช้เข็มเบอร์ 20 (20-gauge needle) ขีดข่วน (scratch) ผิวหนังบริเวณท้องแขนด้านใน
(inner volar surface of the forearm) โดยไม่ให้เกิดเลือดออก เป็นบริเวณประมาณ 3-5 มม.
**** ถ้ามีเลือดออกให้เปลี่ยนตำแหน่ง และควรใช้แรงกดให้น้อยลง
จากนั้น ให้หยดสารละลายที่ใช้ทดสอบลงไปเล็กน้อย และเกลี่ยเบาๆ

ผลบวก (Positive reaction)
- ถ้าให้ผลบวกจะเกิดผื่น (pale wheal; usually with pseudopods) ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 5-15 มม.
หรือใหญ่กว่า ภายใน 15 นาที [บางรายงานแนะนำให้สังเกตผลบวกจากการปรากฏผื่น (wheal)
อย่างน้อย 2x2 มม. ร่วมกับผิวหนังร้อนแดง]
- เมื่อเกิดผลบวกหรือผ่านไป 15 นาที ให้รีบเช็ดน้ำยาที่ทดสอบออกจากบริเวณที่ scratch

ผลลบ (Negative reaction)
- ไม่เกิดผื่น (wheal), ไม่มีอาการร้อนแดง, คันหรือเกิดผื่นขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางน้อยกว่า 5 มม.
ร่วมกับอาการร้อนแดง, คันเล็กน้อยหรือไม่ปรากฏอาการเลย
- ถ้าให้ผลลบ ให้ทำ intradermal test ต่อ
 
Prick test
1. หยดสารที่ต้องการทดสอบ 1 หยด บนท้องแขน
2. หยด negative control ปริมาตรเท่ากับสารที่ต้องการทดสอบให้ห่างกันอย่างน้อย 2 ซม.
3. ใช้เข็มสะกิดผิวหนังเบาๆ ผ่านทางหยดของสาร โดยให้เข็มทำมุม 45 องศา
การสะกิดผ่านผิวหนังให้อยู่ในชั้น epidermis เท่านั้น
4. เช็ดหยดน้ำยาของสารที่ต้องการทดสอบทันที มีการรายงานว่าการเช็ดออกทันทีให้ผลไม่แตกต่าง
จากการทิ้งไว้สักระยะหนึ่ง
**** การสะกิดผิวหนังต้องไม่มีเลือดออก ถ้ามีเลือดออกให้เปลี่ยนตำแหน่ง และควรใช้แรงสะกิดให้น้อยลง

ผลบวก (Positive reaction)
- เกิดผื่น (wheal) ขนาด 2x2 มม. และผิวหนังบริเวณนั้นแดง (erythema)

ผลลบ (Negative reaction)
- ไม่เกิดผื่น (wheal) หรือเกิดผื่นขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางน้อยกว่า 5 มม. ร่วมกับอาการร้อนแดง
หรือเกิดผื่นขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางน้อยกว่า 5 มม. ร่วมกับคัน
- ถ้าให้ผลลบ ให้ทำ intradermal test ต่อ
 
Intradermal skin test
1. ใช้ Insulin หรือ Tuberculin syringe กับเข็มขนาด 3/8 – 5/8 นิ้ว เบอร์ 26-30 gauge needle)
ควรเป็นเข็มที่ติดอยู่กับ syringe เพื่อป้องกันการ leak ของสารที่ใช้ทดสอบที่บริเวณรอยต่อระหว่างเข็มกับ
syringe ฉีดสารที่ต้องการทดสอบปริมาตร 0.01 - 0.02 ml เช่น Penicillin G ความเข้มข้น 10,000 u/ml
เข้าใต้ผิวหนังจนเกิดตุ่มขนาดเล็ก (small bleb)
2. ฉีด negative control ปริมาตรเท่ากับสารที่ต้องการทดสอบให้ห่างกันอย่างน้อย 1.5 นิ้ว (ห่างกัน 5 ซม.)
**** ก่อนฉีดควรไล่ฟองอากาศออกให้หมด เนื่องจากอาจทำให้การแปลผลผิดพลาดได้
**** ระวังอย่าฉีดลึกจนเกินไป ถ้าไม่เกิดเป็น bleb ขึ้น ให้ฉีดซ้ำที่ตำแหน่งใหม่ เพราะอาจทำให้เกิด false negative ได้

ผลบวก (Positive reaction)
- เกิดผื่น (wheal) ขนาด 6x6 มม. ร่วมกับผิวหนังร้อนแดง (erythema) และเกิดผื่นขนาดใหญ่กว่า negative control
อย่างน้อย 3-5 มม. (มักมีอาการคันและตุ่มบนผิวหนังมีขนาดใหญ่ขึ้นชัดเจน)

ผลลบ (Negative reaction)
- ตุ่มมีขนาดเท่าเดิมหรือมีผลเหมือน negative control
 
ความเข้าใจและสิ่งที่พึงระวังในการทำ skin test
1. การทำ skin test จะทำเฉพาะในผู้ป่วยที่สงสัยว่าแพ้ยาแบบ immediate คือ ระยะเวลาที่เกิดอาการอย่างรวดเร็ว
น้อยกว่า 1 ชั่วโมงภายหลังการได้รับยาและอาการแสดงทางคลินิก เช่น anaphylaxis, hypotension,
laryngeal edema, wheezing, urticaria หรือ angioedema
2. ไม่ทำ skin test กับการแพ้ยาแบบอื่นๆ ที่นอกเหนือจาก immediate เนื่องจากไม่สามารถทำนายการแพ้ได้
3. การทำ skin test ไม่สามารถทำนายผลการแพ้ยาแบบ hemolytic anemia, Stevens-Johnson syndrome (SJS),
Toxic epidermal necrolysis (TEN), Erythema multiforme (EM)
4. การทำ skin test ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เนื่องจากอาจเกิด anaphylaxis ได้
5. ในระหว่างที่ทำ skin test ควรมีอุปกรณ์ช่วยชีวิตเตรียมพร้อมก่อนทำเสมอ
6. intradermal test ควรทำเมื่อ scratch test หรือ prick test ได้ผลลบหรือผลบวกไม่ชัดเจน
7. ไม่ควรทำในขณะที่ผู้ป่วยมี allergic symptom เช่น หอบ มีผื่นเดิมที่ยังไม่หาย

อ่านมายืดยาว แต่เราจะใช้วิธีการทดสอบง่ายๆ นำยาที่จะใช้ ฉีดเข้าไปที่ใต้ผิวหนังท้องแขน ขนาดยา 0.2 - 0.5ml
แล้วทิ้งไว้ 1 วัน เพื่อรอดูอาการ ทำแบบนี้ไปซัก 1 สัปดาห์ ก็จะทราบผลว่าแพ้หรือไม่ หากมีผลทำให้เกิดผื่นแพ้
แดง คัน ปวดแสบปวดร้อน ก็หมายถึงว่า แพ้ และเช่นกันหากไม่เกิดผลอะไรก็สามารถนำมาใช้ได้ค่ะ
 

ขั้นตอนที่ 2 : การเตรียมยา
- นำไซริงค์ขนาด 10ml (20ml ระวังช็อคตาย) กับเข็มดูดยาเบอร์ 18 มาฆ่าเชื้อด้วยแอลกอฮอล์ จากนั้นให้ดูดยา
โดยให้ดูดยาจากตัวกลูต้าก่อน แล้วค่อยดูดยาจากวิตามินซีคอลลาเจนลงไป
- กรณีเป็นกลูต้าไธโอนแบบผง Tationil ให้ใช้เข็มดูดน้ำกลั่นขึ้นมาไว้ในไซริงค์ก่อน แล้วค่อยฉีดจากไซริงค์
ลงไปในขวดที่บรรจุผง Tationil รอจนมันละลาย ห้ามเขย่า เพราะกลูต้า หรือวิตามินซีจะสูญเสียเมื่อทำปฎิกริยากับออกซิเจน
จากนั้นให้ดูดยากลับขึ้นมาในไซริงค์
- กรณีมีการผสมวิตามินซีคอลลาเจนลงไป ให้ดูดยาจากวิตามินซีลงไปหากลูต้าไธโอนเพื่อให้มันผสมกันก่อนที่จะดูด
กลับมาไว้ที่ตัวไซริงค์ (จะเห็นว่ายากลูต้าจะมีพื้นที่เหลือไว้ให้ผสมอยู่แล้ว บางคนเข้าไจไปว่าของปลอมให้ไม่เต็มขวด)
- ควรเอาแอลกอฮอล์เช็ดหรือล้างฝาขวดกลูต้าก่อนที่จะเอาเข็มเข้าไปดูดยานะคะ
- จากนั้นเอาเข็มเบอร์ 18 ออก และให้เสียบเข็ม Scalp Vein (เข็มปีกผีเสื้อเบอร์ 27) ลงไป
(เบอร์นี้เจ็บน้อยสุด จะใช้เบอร์ 24 ก็ได้) กรณีนี้ใช้ฉีดเข้าเส้นเลือดที่แขน
- กรณีฉีดเข้าที่กล้ามเนื้อสะโพก ให้ใช้ไซริงค์แบบ 5ml และเข็มฉีดเบอร์ 27 หรือเบอร์ 24 (แนะนำเบอร์ 27)
 

ขั้นตอนที่ 3 : การฉีดยา
การฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำ (Intraveneous Injection)
จุดประสงค์ : เป็นการให้ยาที่ต้องการให้ออกฤทธิ์เร็วหรือต้องการรักษาระดับของยาในกระแสเลือดให้สม่ำเสมอ
ยาที่ให้ต้องมีลักษณะเป็นน้ำใส และไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน

วิธีการฉีด
1. ใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์ (อย่าลืมสวมถุงมือยาง) จากนั้นเช็ดในบริเวณข้อพับตรงแขนที่จะฉีด เหนือข้อพับแขน
2. ใช้สายรัดต้นแขนรัดบริเวณเหนือข้อพับต้นแขนเล็กน้อยซัก 1 นิ้วจนเห็นเส้นเลือดโผล่ขึ้นมาบริเวณใกล้ข้อพับแขน
***การเลือกตำแหน่ง ขึ้นกับอายุและความเร่งด่วน ตำแหน่งที่ใช้ได้ คือ มือ แขน เท้า ขา
ข้อพับแขน external jugular ควรเลือกตำแหน่งที่อยู่ส่วนปลายก่อน และ external jugular vein
ควรเลือกเป็นอันดับสุดท้าย
3. ใช้ปลายเข็มปีกผีเสื้อเบอร์ 27 แทงลงไปที่เส้นเลือกที่นูนขึ้นมา เอียงเข็ม 55 - 65 องศา (อย่าเลือกเส้นเลือดใหญ่
ที่มีสีเขียว หรือฟ้าอมเขียว โดยสังเกตจากเส้นเลือดนี้แม้ไม่รัดก็จะปรากฎให้เห็นเป็นเส้นอยู่แล้ว
ซึ่งจะทำให้เกิดอาการแทงไม่เข้า และเป็นจ้ำเลือดได้) ข้อสังเกตุว่า กรณีแทงเข้าไปตรงหลอดเลือดจะมีเลือดไหล
เข้าไปในสายของเข็มปีกผีเสื้อ ถ้าไม่มีเลือดไหลเข้าไป แสดงว่าแทงโดนเนื้อ ต้องถอดออกมาแทงลงไปใหม่ให้ถูกจุด
เมื่อถูกจุดเลือดจะต้องไหลเข้าไปในสาย เมื่อเลือดไหลไปในสายให้หยุดอย่าแทงต่อไป จากนั้นให้ใช้
สำลีชุบแอลกอฮอล์ปิดบริเวณจุดที่ฉีด และใช้เทปกาวติดแผลปิดลงไปเบาๆ
4. ใช้มืออีกข้าง ค่อยๆ กดไซริงค์อย่างช้าๆ จนกว่าจะหมด และใช้เวลา 1-2 นาที ต่อ 1ml จนหมด
(ก่อนกดยาให้ถอดสายรัดแขนออกก่อน ห้ามฉีดตอนสายรัดแขนยังรัดอยู่)
5. เมื่อฉีดจนยาหมดหลอดให้ค่อยๆ ดึงเข็มออกมาตรงๆ จากนั้นใช้แอลกอฮอล์เช็ดทำความสะอาด
และปิดแผลด้วยพลาสเตอร์ยา เป็นอันเสร็จพิธี
 
การฉีดเข้าทางกล้ามเนื้อ (Intramuscular Injection)
จุดประสงค์ : ให้ยาดูดซึมได้เร็วกว่าการฉีดยาเข้าใต้ผิวหนัง,ให้ยาที่มีปริมาณมากกว่าการฉีดเข้าใต้ผิวหนัง
และลดการระคายเคืองเมื่อฉีดยาบางชนิด

วิธีการฉีด
1. ใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์ (อย่าลืมสวมถุงมือยาง) จากนั้นเช็ดในบริเวณตะโพกด้านข้าง (Ventrogluteal site)
หรือ ตะโพกด้านหลัง (Dorsogluteal site)
2. กระบอกฉีดยาใช้ขนาด 5ml (ตะโพกรับยาได้เพียง 5ml)
*** วิธีหาตำแหน่งที่ฉีดยา ตะโพกด้านข้าง วางฝ่ามือซ้ายลงบนบริเวณ Greater trochanter
ที่ตะโพกด้านขวาให้นิ้วหัวแม่มือหันไปทางด้านศีรษะ โดยนิ้วชี้ชี้ไปที่ anterior superior iliac spine
กางนิ้วออกไปให้กว้างที่สุด จะมีรูปลักษณะตัว V ขึ้น บริเวณที่ใช้ฉีดยาคือกึ่งกลางของตัว V
ตะโพกด้านหลัง โดยการแบ่งกล้ามเนื้อตะโพกออกเป็นสี่ส่วนบริเวณที่ฉีดยาได้ คือด้านบนสุดส่วนนอก
หรือลากเส้นจาก posrerior superior iliac spine ไปยัง Greater trochanter ของกระดูกต้นขา
ตรงจุดกึ่งกลางเหนือเส้นนี้คือบริเวณที่ฉีดยได้
3. การแทงเข็มฉีดยาเข้าชั้นกล้ามเนื้อ ให้เข็มทำมุม 60 องศาในคนผอม และ90 องศาในคนอ้วน
และขึ้นอยู่กับกล้ามเนื้อที่จะฉีดด้วย แทงเข็มลึกประมาณ 1.5-2 นิ้ว กล่าวคือ กล้ามเนื้อเล็กแทงเข็มตื้น
กล้ามเนื้อใหญ่แทงเข็มได้ลึกกว่า
4. ใช้มืออีกข้าง ค่อยๆ กดไซริงค์อย่างช้าๆ จนกว่าจะหมด (การฉีดโดยวิธีนี้จะปวดที่กล้ามเนื้อมาก)
5. เมื่อฉีดจนยาหมดหลอดให้ค่อยๆ ดึงเข็มออกมาตรงๆ จากนั้นใช้แอลกอฮอล์เช็ดทำความสะอาด
และปิดแผลด้วยพลาสเตอร์ยา เป็นอันเสร็จพิธี
 

อาการแพ้ยาอันตรายมาก จึงควรทำสกินเทสก่อนฉีดยา
Laennec Injectable Human Placenta Intravenous Administration using a Butterfy Syringe



สารต้านอนุมูลอิสระ

วิตามินซี (Vitamin C)

วิตามินซี คืออะไร
ประวัติการค้นพบ วิตามินซี เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่สมัย ศตวรรษที่ 18 มีการสังเกตว่าพวกทหารเรือที่มีการรอนแรม
ออกเดินเรือไปในทะเลเป็นเวลานานๆ ซึ่งมักจะขาดแคลนพวกผักสดผลไม้สด จะป่วยเป็นโรคลักปิดลักเปิด
และสุขภาพไม่ค่อยดี มีอาการอ่อนเพลีย อยู่บ่อยๆ แต่ก็มีคนสังเกตเห็นว่าจะไม่พบอาการดังกล่าวในทหารเรือ
ที่รับประทานมะนาว เป็นประจำ และเมื่อต่อมาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ก้าวหน้ามากขึ้น ในปี 1982
ก็สามารถหาสารอาหารสำคัญที่เป็นต้นเหตุของโรคดังกล่าวได้ว่าสารที่พวกทหารเรือขาดไปคือ
“กรดแอสคอร์บิค (Ascorbic acid)” ซึ่งมันมีฤทธิ์สามารถช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิดได้
ในปัจจุบันกรดแอสคอร์บิค ก็ถูกรู้จักกันโดยทั่วไปในชื่อของ “วิตามินซี” และมีนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่ง
ซึ่งเคยได้รับรางวัลโนเบลถึง 2ครั้ง และมีอายุยืนยาวมากกว่า 90 ปีแม้จะป่วยเป็นโรคมะเร็ง
มายาวนานถึง 20 ปีก็ตามคือ Dr.Linus Pauling ชาวเมืองพอรต์แลนด์ ได้เคยพูดไว้ว่า
เหตุที่เขาสามารถมีสุขภาพดีและสามารถชะลอการลุกลามของโรค มะเร็ง ในตัวได้นานกว่า 20 ปี
ก็เนื่องจาก วิตามิน และ เกลือแร่ ที่เขารับประทานเข้าไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิตามินซี
ซึ่งหลังจากที่เขารับประทานขนาดสูงทุกวัน เขาก็ไม่เคยเป็นหวัดอีกเลย Dr.Linus Pauling เริ่มรับประทาน
วิตามินซี ชนิดเม็ดตั้งแต่อายุ 40 ปี และเพิ่มขนาดสูงถึง 18,000 มิลลิกรัม เมื่อรู้ว่าตนเองเป็น มะเร็ง
ตั้งแต่อายุได้ 64 ปี เขายืนยันว่ามันช่วยให้ มะเร็ง ในร่างกายสงบลง

ประโยชน์ของ วิตามินซี
เราทราบ กันโดยทั่วไปแล้วว่า วิตามินซี มีประโยชน์มากมากหลายอย่าง ไม่ว่าจะช่วยปกป้องเซล
เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน สุขภาพและความแข็งแรงของเนื้อเยื่อในร่างกายที่เกี่ยวข้องกับ เส้นเอ็น และคอลลาเจน
ก็มีผลมาจากปริมาณ วิตามินซี ในร่างกาย และ วิตามินซี ยังมีฤทธิ์ในการเป็นสารแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ที่ดี
จึงสามารถป้องกันการทำลายเซลจากอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี และมันช่วยให้ร่างกายสามารถรีไซเคิล
สารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ ดังนั้นเพื่อประโยชน์สูงสุดจึงควรที่จะรับประทาน วิตามินซี ร่วมกับสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24 พฤษภาคม 2555 11:46:20 โดย Mckaforce » บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.708 วินาที กับ 29 คำสั่ง

Google visited last this page 13 เมษายน 2567 13:31:13