ผลของกรรมเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาทั้งผลของกรรมดี กรรมชั่ว ล้วนมี
ลักษณะสามคือ
ไม่เที่ยง ทนทุกข์อยู่ไม่ได้ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลง
ไม่เป็นไปตามความต้องการของผู้ใดกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ ทั้งผลของกรรมดีและผลของกรรมชั่วนั้น
เมื่อเกิดแล้วก็ต้องดับ ไม่มีที่จะยั่งยืนอยู่ได้ตลอดไป
พึงละความยึดมั่นในผลของกรรมทั้งปวงสิ่งทั้งปวงเกิดแล้วต้องดับ คือมีลักษณะสาม มีลักษณะเป็นไตรลักษณ์
โลกธรรมฝ่ายดีคือผลของกรรมดีก็เช่นกัน เกิดแล้วต้องดับ
โลกธรรมฝ่ายไม่ดีคือผลของกรรมไม่ดีก็เช่นกัน เกิดแล้วต้องดับเมื่อเป็นเช่นนั้น เมื่อรู้เช่นนี้ตามเป็นจริงแล้ว
ก็พึงละความยึดมั่นในผลของกรรมที่ได้ประสบอยู่
ไม่ว่าจะเมื่อประสบผลดีหรือเมื่อได้ประสบผลชั่วก็ตามพึงทุ่มเทจิตใจให้
กระทำแต่กรรมดี
ความยึดมั่นถือมั่น เป็นความไม่ถูกต้อง พระพุทธเจ้าทรงสอน
ให้ละ
แต่เมื่อยัง
ละทุกอย่างไม่ได้
ก็พึงทุ่มเทจิตใจให้ยึดมั่น
การทำความดี
มีความยึดมั่น
ความเชื่อในผลของการทำความดี
ว่าทำดีจักได้ดีจริง
มีความยึดมั่นความเชื่อในผลของการทำความชั่ว ว่าทำชั่วจักได้ชั่วจริงความยึดมั่น
เช่นนี้จักเป็นทางนำไปดี ให้ได้ทำดี ไม่ทำไม่ดี
ซึ่งก็
ย่อมจักนำให้พ้นทุกข์โทษภัยของกรรมไม่ดี
ได้รับแต่คุณประโยชน์สารพัดของกรรมดี
:
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก _________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
www. dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=11718