[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 เมษายน 2567 16:15:14 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ชัมบาลา หนทางอันศักดิ์สิทธิ์ของนักรบ  (อ่าน 11287 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออนไลน์ ออนไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5075


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 29 มิถุนายน 2553 08:25:42 »


 
 
คำนำสำนักพิมพ์
 
เมื่อกองทัพของจีนคอมมิวนิสต์บุกเข้ายึดคริงธิเบตนั้น ในด้านหนึ่งนับเป็นความสูญเสีย
อย่างใหญ่หลวงของธิเบต แต่อีกด้านหนึ่งกลับเป็นโอกาสให้ธิเบตนำศาสนาและวัตนธรรม
อันลึกซึ้งของตนเอง ออกไปเผยแพร่แก่โลกภายนอกอย่างไม่เคยมีมาก่อน พุทธศาสนา
อย่างธิเบตไม่เพียงแต่ย้ายที่มั่นไปอยู่ ณ อินเดีย หากยังเผยแพร่ไปสู่โลกตะวันตกโดยเฉพาะ
อย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกา และได้รับความนิยมเป็นอันมาก เช่นเดียวกับเซนจากญี่ปุ่น ซึ่งแพร่
หลายอยู่ก่อนหน้าแล้ว ทั้งนี้ด้วยความสามารถของผู้นำศาสนาของธิเบตนั่นเอง
ในบรรดาผู้ศาสนาของธิเบตที่ได้รับความนิยม ที่มีอิทธิพลถึงคนรุ่นใหม่เป็นอย่างมากมีสอง
ท่าน คือ ทารถัง ตุลกุ และ เชอเกรียม ตรุงปะ สำหรับท่านแรกนั้นมีลีลาการแสดงธรรมอย่าง
เรียบๆ ง่ายๆ ดังที่มูลนิธิ ได้เคยเสนอผลงานบางชิ้นของท่านออกสู่พากษ์ไทยด้วยแล้ว ในชื่อ
ดุลยภาพแห่งชีวิต (วัชรา ทรัพย์สุวรรณ แปลจาก Gesture of Balance)
ส่วนท่านหลังนั้นตรงกันข้าม คือมีลีลาการเทศนาและเขียนที่มีชั้นเชิงน่าสนใจไปอีกแนวหนึ่ง
ทั้งยังมีปฏิปทาบางอย่างที่ท้าทายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างมากด้วย และมูลนิธิ ก็ได้เคยจัด
พิมพ์ผลงานชิ้นนั้นของท่านเผยแพร่มาแล้วเช่นกัน ในชื่อ ลิงหลอกเจ้า : ลอกคราบวัตถุนิยม
ทางศาสนา(วีระ สมบูรณ์ และ พจนาถ จันทรสันติ แปลจาก Cutting Through
Spiritual Materialism)
 
 
หนังสือ ซัมบาลา : หนทางอันศักดิ์สิทธิ์ของนักรบนี้ แปลจากเรื่อง Shambhala : The
Sacred Path of the Warrior ซึ่งนอกจากจะเป็นเรื่องล่าสุดของเชอเกียม
ตรุงปะแล้ว ยังเป็นเล่มสุดท้ายก่อนสิ้นชีพอีกด้วย จึงนับเป็นหนังสือที่น่าสนใจมากเล่มหนึ่ง เนื้อหา
ในเล่มนอกจากจะกล่าวถึงความจริงแท้และความดีงามในตัวของปัจเจกบุคคลที่สามารถฝึกฝนตน
ให้สมบูรณ์พร้อมด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน มีชีวิตชีวา อาจหาญและลุ่มลึก จนเข้าถึงการดำรงอยู่
อย่างแท้จริงและกว้างใหญ่ไพศาล พร้อมกับให้หลักการปฏิบัติอย่างเป็นขั้นตอนจนถึงจุดหมาย และ
ให้คุณลักษณะของนักรบอาจารณ์ผู้นำทางเป็นแบบอย่างอันสมบูรณ์ไว้แล้ว ยังให้ความรู้เกี่ยวกับ
ธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรมความเชื่อแต่โบราณของธิเบต สอดแทรกอยู่ด้วยอย่างน่าติดตาม
อีกทั้งยังได้ผู้แปลซึ่งนอกจากมีความสามารถทางอักษรศาสตร์แล้ว ก็ยังมีศรัทธาปสาทะในชีวิตการ
แสวงหา บรรจงแปลไห้อย่างดี หนังสือเล่มนี้จึงควรแก่การลิ้มลองอย่างยิ่ง
 
สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออนไลน์ ออนไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5075


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 29 มิถุนายน 2553 08:26:00 »



ประวัติผู้เขียน
 
เชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช ได้ก่อตั้งชมรมชาวพุทธผู้ภาวนาขึ้น หลายแห่งในอเมริกาเหนือ
ชุมชนที่ใหญ่ที่สุดคือกรรม ซอง ในบุลเดอร์ โคโรลาโด และ กาเม โนหลิง ในบาร์เนต เวอร์
มอน ท่านยังเป็นผู้ก่อตั้งสถาบันนโรปะ อันเป็นสถานศึกษา ซึ่งนักศึกษาอาจค้นคว้าภูมิ
ปัญญาแบบพุทธควบคู่ไปกับภูมิปัญญาของตะวันตก ในฐานะผู้อำนวยการและครูใหญ่ใน
สถานศึกษาแห่งนี้ ท่านยังเป็นทั้งกัลยาณมิตรและเป็นครูวิปัสสนาของนักศึกษาจำนวนมาก
ในฐานะที่ท่านถูกนับเนื่องเป็นอวตารชาติที่สิบเอ็ดของตรุงปะ ตุลกุ ในวัยเด็ก ท่านจึงได้รับ
การอบรมบ่มเพาะอย่างเข้มงวด เพื่อให้สืบทอดเป็นเจ้าอาวาสอารามเชอร์มังในธิเบตตะวัน
ออก หลังจากผ่านการฝึกฝนอบรมอย่างหนัก ท่านก็ได้รับการอภิเษกให้สืบทอดเป็นธรรม
ทายาทของมิลาเรปะและปัทมสัมภาวะ ท่านได้ศึกษาวิปัสสนากรรมฐานและปรัชญาตาม
แนวทางสายกาคิวและยิงมาจนเจนจัด
 
ตรุงปะ จำต้องอพยพลี้ภัยออกจากแผ่นดินถิ่นเกิดเมื่อครั้งที่จีนคอมมิวนิสต์ ได้เข้ายึดครอง
ธิเบตเมื่อปี ๑๙๕๙ หลังจากได้พำนักอยู่ในอินเดียเป็นเวลา ๓ ปี ท่านได้เดินทางไปประเทศ
อังกฤษเพื่อศึกษาศาสนาเปรียบเทียบและจิตวิทยา ณ มหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ด สี่ปีหลังจากนั้น
ท่านได้ก่อตั้งศูนย์ศึกษาพุทธศาสนาแบบธิเบตและภาวนาขึ้นในโลกตะวันตกเป็นแห่งแรก นั่น
คือสัมเย หลิงในสกอตแลนด์ ตรุงปะได้ไปเยือนอเมริกาเหนือในปี ๑๙๗0 และด้วยเหตุที่มี
ผู้สนใจในคำสอนของท่านเป็นจำนวนมาก ท่านจึงได้ตัดสินใจพำนักอยู่ในประเทศนั้น
 
ท่านได้ตระเวณไปทั่วสหรัฐอเมริกา และ แคนาดา เข้าร่วมสัมมนาและแสดงปฐกถาธรรม
ท่านยังได้เขียนหนังสือขึ้นหลายเล่ม เป็นอัตชีวประวัติเล่มหนึ่งชื่อว่า Born in Tibet
นอกจาก นั้นยังมีงานทางด้านพุทธธรรมหลายเล่ม อาทิเช่น มุทรา :Cutting Through
Spiritual Materialism ( ลิงหลอกเจ้า : ลอกคราบวัตถุนิยมทางศาสนา ) ;
Meditation in Action ; The Myth of Freedom ; Journey
Without Goals ; The Tibetan Book of theDead และ Shambhala :
The Sacred Path of the Warior.
 
ตรุงปะถึงแก่กรรมเมื่อ ๔ เมษายน ๑๙๘๗ มีอายุเพียง ๔๗ ปี
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออนไลน์ ออนไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5075


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 29 มิถุนายน 2553 08:26:17 »


 
 
 
คำนำ
 
ข้าพเจ้ารู้สึกยินดีที่ได้นำเสนอ ญาณทัศนะซัมบาลาไว้ในหนังสือเล่มนี้ สารัตถธรรมนี้เองคือสิ่ง
ที่โลกกระหายและต้องการ อย่างไรก็ตามข้าพเจ้าจะต้องกล่าวไว้อย่างชัดเจนในที่นี้ว่า เนื้อหา
สาระในหนังสือเล่มนี้ มิได้เผยถึงความลี้ลับประการใด ๆ แห่งพุทธศาสนาสายตันตระ ซึ่งสืบ
เนื่องอยู่ในหลักธรรมคำสอนของซัมบาลา ทั้งมิได้นำเสนอถึงหลักปรัชญาของกาลจักร หากทว่า
หนังสือเล่มนี้คือคู่มือของบรรดาผู้คน ซึ่งได้หลงลืมหลักการแห่งความศักดิ์สิทธิ์ เกียรติภูมิและ
ความเป็นนักรบในชีวิตของตน เนื้อหาของหนังสือจึงยืนพื้นอยู่บนหลักการของนักรบ ซึ่งแฝงเร้น
อยู่ในอารยธรรมโบราณของอินเดีย ธิเบต จีน ญี่ปุ่น เกาหลี หนังสือเล่มนี้ชี้ให้เห็นว่า จะขัดเกลา
วิถีชีวิตของตนได้อย่างไร และจะก่อเกิดความหมายที่แท้จริงของนักรบขึ้นมาได้อย่างไร มันได้รับ
แรงบันดาลใจมาจากแบบฉบับและปรีชาญาณของมหาราชธิเบตองค์หนึ่งคือ เกซาร์ แห่งหลิง
จากความลุ่มลึกสุดหยั่งถึงและ ความไม่หวาดหวั่นของพระองค์ รวมถึงการที่ทรงมีชัยต่อความ
ป่าเถื่อน โดยใช้หลักการแห่ง พยัคฆ์ ราชสีห์ ครุฑ มังกร ซึ่งได้กล่าวถึงแล้วในหนังสือเล่มนี้
ในฐานะของเกียรติภูมิสี่ประการ
 
ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นเกียรติและภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ในอดีตได้มีโอกาส นำเสนอถึงปรีชาญาณและ
เกียรติภูมิแห่งชีวิตมนุษย์ ภายใต้แนวคิดของหลักธรรมคำสอนแห่งพระพุทธศาสนา ทว่าบัดนี้
ก็ยังรู้สึกยินดีที่จะได้นำเสนอหลักการนักรบซัมบาลาเป็นที่สุด ทั้งชี้ให้เห็นว่า เราอาจประพฤติ
ตนเยี่ยงอย่างนักรบ โดยปราศจากความหวาดหวั่น และ เต็มไปด้วยความเบิกบานได้อย่างไร
โดยไม่จำเป็นต้องทำร้ายกันและกัน โดยนัยนี้เองที่ญาณทัศนะแห่งอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่จะได้
รับการฟูมฟักขึ้นมา และดวงใจทุก ๆ ดวงก็จะประจักษ์แจ้งถึงความดีงามอย่างไม่ต้องสงสัย
 
ดอราจ ดราดุล แห่งมุกโป
บุลเดอร์ โคโลราโด
สิงหาคม ๑๙๘๓
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออนไลน์ ออนไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5075


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: 29 มิถุนายน 2553 08:27:15 »


 
โอม ! ท่านผู้ปราศจากจุดเริ่มต้นและไร้จุดจบ
ผู้ครอบครองความรุ่งรุ่งโรจน์ของพยัคฆ์ ราชสีห์ ครุฑ และ มังกร
ผู้ครองครองความเชื่อมั่นอันเปี่ยมล้นเกินถ้อยคำ
ข้าขอกราบประณต ณ เบื้องบาทแห่งองค์จักรพรรดิริกเดน

 
 
จากกระจกเงาอันยิ่งใหญ่แห่งจักรวาล
ซึ่งปราศจากจุดเริ่มต้นและไร้จุดจบ
สังคมมนุษย์ก็อุบัติขึ้นมา
ในครั้งนั้น การหลุดพ้นและความสับสนก็อุบัติขึ้นด้วย
เมื่อมีความกลัวและความสับสนสงสัย
เกิดขึ้นกับความเชื่อมั่นซึ่งเป็นอิสระแต่ปฐมกาล
ผู้คนอันขาดเขลาจำนวนมากก็อุบัติขึ้น
เมื่อความเชื่อมั่นซึ่งเป็นอิสระแต่ปฐมกาล
ได้รับการยอมรับและดำเนินตาม
นักรบจำนวนมากก็อุบัติขึ้น
ผู้คนอันขลาดเขลามากมายเหล่านั้น
พากันซ่อนตัวอยู่ตามถ้ำเถื่อนพงไพร
ฆ่าพี่น้องและกัดกินเนื้อกันเอง
ต่างประพฤติเยี่ยงอย่างสัตว์
ต่างกระตุ้นเร้าความป่าเถื่อนในกันและกัน
ต่างมีชีวิตอยู่เยี่ยงนี้
เขาหล่อเลี้ยงและสุมไฟแห่งความเกลียดชังไว้
เขากวนสายน้ำแห่งราคะให้ขุ่นข้นตลอดเวลา
เขาเกลือกกลิ้งอยู่ในโคลนตมแห่งความเกลียดคร้าน
ยุคสมัยแห่งความอดอยากและโรคระบาดก็อุบัติขึ้น
สำหรับผู้ที่อุทิศตนแด่ความเชื่อมั่นแห่งปฐมกาล
เหล่านักรบมากมายเหล่านั้น
บ้างก็ขึ้นสู่ที่สูงบนภูเขา
และสร้างปราสาทแก้วผลึกอันงดงามขึ้นที่นั่น
บ้างก็ไปสู่ดินแดนแห่งทะเลสาบและเกาะแก่งอันงดงาม
และสถาปนาเวียงวังอันน่ารื่นรมย์ขึ้น
บ้างก็ลงสู่ที่ราบลุ่ม
การเกษตรเพาะปลูกข้าวเจ้า ข้าวบารืเลย์และข้าวสาลี
ต่างอยู่ร่วมกันโดยไม่ทะเลาะเบาะแว้ง
มีแต่ความรักใคร่และเอื้อเฟื้อแบ่งปัน
โดยไม่ต้องมีใครมากระตุ้นเตือน
ผ่านความลี้ลับสุดหยั่งถึงซึ่งการดำรงอยู่ด้วยตนเอง
เขาต่างอุทิศตนต่อจักรพรรดิริกเดน .
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออนไลน์ ออนไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5075


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: 29 มิถุนายน 2553 08:28:49 »


 
 
 
 
สารบาญ
 
ภาค ๑ จะเป็นนักรบได้อย่างไร
 
บทที่ ๑ สร้างสังคมอริยะ
บทที่ ๒ ค้นหารากฐานแห่งความดีงาม
บทที่ ๓ ใจเศร้าที่แท้จริง
บทที่ ๔ ความกลัวกับความไม่หวาดหวั่น
บทที่ ๕ ประสานจิตกับกาย
บทที่ ๖ รุ่งอรุณแห่งอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่
บทที่ ๗ รังดักแด้
บทที่ ๘ การตัดทอนและความกล้า
บทที่ ๙ เฉลิมฉลองการเดินทาง
บทที่ ๑o ปล่อยให้เป็นไป
 
ภาค ๒ ความศักดิ์สิทธิ์ : โลกของนักรบ
 
บทที่ ๑๑ ปัจจุบันขณะ
บทที่ ๑๒ ค้นหาอำนาจวิเศษ
บทที่ ๑๓ จะปลุกอำนาจวิเศษขึ้นมาได้อย่างไร
บทที่ ๑๔ เอาชนะความหยิ่งยโส
บทที่ ๑๕ เอาชนะนิสัยและความเคยชิน
บทที่ ๑๖ โลกศักดิ์สิทธิ์
บทที่ ๑๗ ระบบธรรมชาติ
บทที่ ๑๘ จะปกครองอย่างไร
 
ภาค ๓ ปัจจุบันขณะอันแท้จริง
 
บทที่ ๑๙ กษัตราธิราช
บทที่ ๒o การดำรงอยู่อย่างแท้จริง
บทที่ ๒๑ สืบสายสกุลซัมบาลา
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออนไลน์ ออนไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5075


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #5 เมื่อ: 29 มิถุนายน 2553 08:29:43 »


 
บทที่ 1 สร้างสังคมอริยะ

 
 
" คำสอนของซัมบาลาตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่า มีปรีชาญาณ
อันเป็นรากฐานของมนุษย์อยู่ ซึ่งอาจช่วยคลี่คลายปัญหา
ของโลกได้ ปรีชาญาณประการนี้มิได้ เป็นสมบัติเฉพาะ
ของวัฒนธรรมใด หรือลัทธิศาสนาใด ทั้งมิได้มาจาก
ตะวันตกหรือตะวันออก ทว่ามันสืบสายวัฒนธรรมของ
นักรบอันเก่าแก่ ซึ่งดำรงอยู่ในกระแสวัฒนธรรมต่าง ๆ
ตลอดช่วงกาลเวลาที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์ "


 
 
......เช่นเดียวกับประเทศทางเอเชียหลายประเทศ ในธิเบตก็เช่นกัน มีตำนานเล่าขาน เกี่ยวกับอาณาจักรในฝัน ซึ่งเป็นต้นตอแห่งศิลปศาสตร์และอารยธรรมของสังคมเอเชียปัจจุบัน ตามตำนานเล่าว่า อาณาจักรแห่งนี้เป็นสถานที่แห่งสันติสุขและความรุ่งเรือง ซึ่งปกครองโดยผู้ปกครองผู้ทรงสติปัญญาและการุณย์ ดังนั้นอาณาประชาราษฎร์ก็ล้วนแล้วรอบรู้และเมตตาปราณี ดังนั้นเองอาณาจักรนี้จึงเป็นสังคมในอุดมคติ สถานที่แห่งนี้ถูกขนานนามว่า"ชัมบาลา"
 
 
..... เล่ากันว่าพุทธศาสนาได้มีบทบาทอย่างสำคัญในการสร้างสรรค์สังคมชัมบาลา ตามตำนานกล่าวว่า ศากยมุนีพุทธได้แสดงธรรมว่าด้วยตันตระขั้นสูงแก่ดาวะ สังโปปฐมกษัตริย์แห่งชัมบาลา บรรดาพระธรรมเหล่านี้ได้สืบทอดกันมาเป็น "กาลจักรตันตระ" ซึ่งถือว่าเป็นปรีชาญาณที่ลึกซึ้งที่สุด ของพุทธศาสนาแบบธิเบต หลังจากที่องค์กษัตริย์ได้สดับพระธรรมเทศนานี้แล้ว เล่ากันว่าบรรดาอาณาประชาราษฎร์ แห่งชัมบาลาต่างพากันปฏิบัติสมาธิภาวนาและดำเนินชีวิตตามพุทธมรรคา ด้วยการมีเมตตาจิตและเอาใจ ใส่ทุกข์สุขของสัตว์ทั้งหลาย โดยนัยนี้เอง ไม่เพียงผู้ปกครองเท่านั้น แต่บรรดาทวยราษฎร์ในอาณาจักร ล้วนแล้วเป็นอริยบุคคลผู้มีใจสูงทั้งสิ้น
 
 
...... ในหมู่ชาวธิเบต มีความเชื่อว่าอาณาจักรชัมบาลานี้ยังดำรงอยู่ ซ่อนเร้นอยู่ในหุบเขาอันลี้ลับในเทือกเขาหิมาลัย ทั้งยังมีบันทึกอยู่ในคัมภีร์พุทธศาสนา ซึ่งบรรยายถึงสถานที่ตั้งและทิศทางที่จะไปสู่ชัมบาลา ทว่าข้อมูลเหล่านั้นเลอะเลือนมาก จนกระทั้งมีผู้สงสัยว่านี่จะเป็นจริงหรือ เป็นเพียงข้อเปรียบเปรยเท่านั้น ทั้งยังมีคัมภีร์หลายฉบับซึ่งบรรยายอย่างละเอียดลออ ถึงอาณาจักรแห่งนี้ ยกตัวอย่างเช่นตามที่อ้างอิงอยู่ใน "มหาอรรถกถาแห่งกาลจักร" ซึ่งเขียนโดย มิฟัม คุรุ ผู้มีชื่อเสียงในสมัยศตวรรษที่สิบเก้า ดินแดนชัมบาลานี้ตั้งอยู่ทางเหนือของแม่น้ำสิตะ ดินแดนแห่งนี้ถูกแบ่งออกโดยแนวเทือกเขาทั้งแปด พระราชวังของริกเดนหรือราชันผู้ปกครองชัมบาลานั้น สร้างอยู่บนยอดเขาทรงกลมซึ่งตั้งอยู่กึ่งกลางดินแดน มิฟัม บอกต่อไปว่า ขุนเขาลูกนี้ชื่อว่า ไกรลาส พระราชวังซึ่งมีชื่อว่า กัลปะ กว้างยาวหลายร้อยเส้น เบื้องหน้าพระราชวังทางทิศใต้มีสวนรุกขชาติอันงดงามที่ชื่อว่า มาลัย ตรงกึ่งกลางสวนรุกขชาตินี้มีวิหารซึ่งสร้างอุทิศถวายแด่กาลจักรโดยดาวะ สังโป
 
 
...... ตามตำนานอื่นๆ กลับกล่าวว่า อาณาจักรชัมบาลานี้ได้สาบสูญไปจากโลกหลายร้อยปีแล้ว มาถึงจุดหนึ่งเมื่อทั้งราชอาณาจักรได้บรรลุถึงการตรัสรู้ จึงได้สูญสลายไปดำรงอยู่ในมิติอื่น ตามตำนานกล่าวว่ากษัตริย์ริกเดนแห่งชัมบาลายังคงเฝ้าดูกิจกรรมทั้งมวลของมนุษย์โลกอยู่ แล้วสักวันหนึ่ง จะลงมาช่วยมนุษยชาติให้รอดหายนะ ยังมีชาวธิเบตอีกไม่น้อยที่เชื่อว่าราชันนักรบผู้ยิ่งใหญ่ กษัตริย์เกซาร์แห่งหลิง ทรงได้รับแรงบันดาลใจและได้รับการชี้นำจากกษัตริย์ริกเดน และปรีชาญาณชัมบาลานี้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อ ที่ว่าอาณาจักรชัมบาลาดำรงอยู่ในมิติอื่น เพราะเชื่อกันว่าเกซาร์ก็ไม่เคยเดินทางไปยังชัมบาลา ดังนั้นสายสัมพันธ์กับชัมบาลา จึงเป็นเรื่องของการเชื่อมโยงทางภาวะธรรม ราชันเกซาร์มีชีวิตอยู่ประมาณศตวรรษที่สิบเอ็ด และได้ปกครองแว่นเคว้นหลิง ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวิดคัมธิเบตตะวันออก จากรัชสมัยนี้เอง จึงอุบัติเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับปรีชาสามารถทั้ง ในแง่ของการศึกและการปกครอง เล่าขานกันไปทั้งธิเบตกลายเป็นมหากาพย์อันยิ่งใหญ่ ของวรรณกรรมธิเบต บางตำนานก็กล่าวว่าเกซาร์จะปรากฎขึ้นมาอีกครั้งจากชัมบาลา นำทัพมาบำราบมารและพลังอันมืดดำในโลก
 
 
...... เมื่อไม่นานมานี้ มีนักวิชาการชาวตะวันตกบางคนได้สันนิษฐานว่า อาณาจักรชัมบาลาอาจจะเป็นอาณาจักรโบราณแห่งใดแห่งหนึ่งซึ่งมีบันทึกอยู่ในเอกสารทางประวัติศาสตร์ ดังเช่นอาณาจักรชางซุงในเอเชียกลาง อย่างไรก็ตาม มีนักวิชาการหลายคนที่เชื่อว่าเรื่องราวเกี่ยวกับชัมบาลา เป็นเพียงเรื่องเล่าขานที่ไม่เป็นจริง แต่ในขณะที่อาจสรุปกันง่ายๆว่าอาณาจักรแห่งนี้เป็นเรื่องโกหกทั้งเพนั้น เราก็อาจเห็นได้ขัดถึงร่องรอยของความปรารถนาของมนุษย์ อันฝังรากแน่นอยู่ในสิ่งสูงและชีวิตอันดี มีประเพณีซึ่งถือว่าอาณาจักรชัมบาลามิใช่สถานที่ซึ่งดำรงอยู่ภายนอกหากเป็นรากฐานของสภาวะการหยั่งรู้และการประจักษ์แจ้ง อันเป็นศักยภาพที่ดำรงอยู่ภายในตัวมนุษย์ทุกคน จากทัศนะนี้เอง จึงไม่สำคัญว่า อาณาจักรชัมบาลาเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ หากควรที่เราจะเห็นคุณค่าและดำเนินตามอุดมคติของสังคมอริยะซึ่งแสดงนัยอยู่
 
 
..... ในช่วงเจ็ดปีที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้นำเสนอข้อเขียนว่าด้วย "คำสอนของชัมบาลา" ซึ่งใช้ภาพของอาณาจักรชัมบาลาเพื่อแสดงถึงอุดมคติของการตรัสรู้ซึ่งปราศจากลัทธินิกาย นั่นก็คือ เสนอให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของการยกระดับจิตวิญญาณของตนและของผู้อื่น โดยไม่ต้องอาศัยแนวทางหรือ ญานทัศนะของศาสนาใด เพราะแม้ว่าสายความคิดของชัมบาลาจะยืนพื้นอยู่บนหลักคิดและความนุ่มนวลของ วัฒนธรรมแบบพุทธ แต่ในขณะเดียวกันมันก็มีรากฐานที่เป็นอิสระของตนเอง ซึ่งมุ่งตรงสู่การขัดเกลาให้เป็นมนุษย์ที่แท้ สังคมมนุษย์ปัจจุบันต้องเผชิญกับปัญหาอันหนักหน่วงนานับประการ จึงดูยิ่งจำเป็นจะต้องแสวงหาแนวทางอันเรียบง่าย และไร้ลัทธิเพื่อนำมาปฎิบัติและแบ่งปันประสบการณ์นั้นร่วมกับผู้อื่น ดังนั้นเองคำสอนชัมบาลาหรือ "ญานทัศนะชัมบาลา" ซึ่งเรียกกันอย่างกว้าง ๆ ตามนัยนี้ จึงเป็นเสมือนความพยายามอันหนึ่ง ที่จะผลักดันเกื้อหนุนให้ไปสู่ภาวะการดำรงอยู่อันสมบูรณ์สำหรับตัวเราและผู้อื่นด้วย
 
 
...... สภาวการณ์ของโลกปัจจุบันคือต้นตอแห่งความกังวลห่วงใยของเราทุกคน เป็นต้นว่า ความน่าหวาดเสียวของสงครามปรมาณู ความยากจนที่แผ่ลุกลามออกไป ความไม่มั่นคงทางภาวะเศรษฐกิจ ความปั่นป่วนวุ่นวายของสภาพสังคมและการเมือง และความวิกลวิการทางจิตใจแบบต่างๆ โลกนี้ล้วนตกอยู่ในความปั่นป่วนยุ่งเหยิง คำสอนของชัมบาลาตั้งอยู่บนพื้นปัญหาทั้งหลายของโลกได้ ปรีชาญาณประการนี้มิได้เป็นสมบัติเฉพาะของวัฒนธรรมใด หรือลัทธิศาสนาใด ทั้งมิได้มาจากตะวันตกหรือตะวันออก ทว่ามันสืบสายวัฒนธรรมของนักรบอันเก่าแก่ ซึ่งดำรงอยู่ในกระแสวัฒนธรรมต่างๆ ตอลดช่วงกาลที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์
 
 
..... ความเป็นนักรบในที่นี้มิได้หมายถึงการไปรบรากับผู้อื่น ความก้าวร้าวนั้นเป็นบ่อเกิดแห่งปัญหาทั้งหลายแหล่ มิใช่การแก้ไข คำว่านักรบนี้มาจากภาษาธิเบตว่า ปาโว ซึ่งมีความหมายว่า "ผู้กล้า" ความเป็นนักรบตามนัยนี้ จึงเป็นวัฒนธรรมแห่งความกล้าหาญของมนุษย์ หรือเป็นวัฒนธรรมแห่งความไม่หวาดกลัว ชาวอเมริกันอินเดียนฝ่ายเหนือก็มีวัฒนธรรมดังกล่าว ทั้งในสังคมของอเมริกันอินเดียนฝ่ายใต้ก็มีอยู่เช่นกัน ซามูไรในอุดมคติของญี่ปุ่นก็แสดงออกถึงปรีชาญาณของนักรบด้วยเช่นกัน ทั้งในสังคมคริสเตียนของชาวตะวันตก ก็มีแนวความคิดเรื่องนักรบผู้เห็นธรรมอยู่ด้วย กษัตริย์อาเธอร์นั้นเป็นตำนานซึ่งเป็นแบบฉบับของนักรบที่แท้จริงในวัฒนธรรมตะวันตก และผู้ปกครองผู้ยิ่งใหญ่ในคัมภีร์ไบเบิ้ล ดังเช่นกษัตริย์เดวิด ก็เป็นแบบฉบับของนักรบซึ่งรู้จักกันดีทั้งในวัฒนธรรมของยิว และคริสเตียน บนโลกของเรานี้มีตัวอย่างของความเป็นนักรบอันเลอเลิศอยู่มากมาย
 
 
...... กุญแจที่ไขสู่ความเป็นนักรบและหลักการเบื้องต้นของญาณทัศนะชัมบาลาก็คือ การไม่กลัวความจริงในตนเอง ไม่ว่าเราจะเป็นใครก็ตามถึงที่สุดแล้ว คำจำกัดความของความกล้าคือ "ไม่กลัวตัวเอง" ญาณทัศนะชัมบาลาสอนดังนั้น เบื้องหน้าปัญหาอันยิ่งใหญ่ของโลกซึ่งเรากำลังเผชิญหน้าอยู่ เราก็อาจหาญกล้าและเมตตาได้ในขณะเดียวกัน ญาณทัศนะชัมบาลาคือสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับความเห็นแก่ตัว เมื่อเราเริ่มกลัวตัวเองและกลัวภัยคุกคามจากโลกปัจจุบัน เมื่อนั้นเราก็กลับเห็นแก่ตัวเองและกลัวภัยคุกคามจากโลกปัจจุบัน เมื่อนั้นเราก็กลับเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ เราปรารถนาจะสร้างรังเล็กๆ ของต้นขึ้น สร้างเปลือกขึ้นห่อหุ้มตัวเอง เพื่อว่าเราจะได้อยู่เพียงลำพังอย่างปลอดภัยในนั้น
 
 
...... ทว่าแท้จริงเราอาจกล้าได้มากกว่านั้น เราต้องพยายามคิดให้กว้างไกลออกไปกว่าบ้านของเรา คิดให้ไกลออกไปกว่าไฟที่ลุกอยู่ในเตา ไกลกว่าการส่งลูกหลานไปเข้าโรงเรียน หรือการตื่นขึ้นมาทำงานในตอนเช้า เราจะต้องพยายามขบคิดว่าเราจะสามารถช่วยโลกนี้ได้อย่างไร เพราะถ้าเราไม่ช่วยแล้วก็จะไม่มีใครอื่นช่วยเลย เป็นภารกิจของเราที่จะต้องช่วย ในขณะเดียวกัน การช่วยผู้อื่นมิได้หมายถึงการสละชีวิตส่วนตัวไป คุณไม่จะเป็นต้องลนลานรีบไปเป็นนายกเทศมนตรีหรือเป็นประธานาธิบดี เพื่อที่จะช่วยผู้อื่น แต่คุณสามารถเริ่มต้นจากญาติมิตรและผู้คนรอบ ๆ ตัว ที่จริงแล้วคุณอาจเริ่มต้นที่ต้นเองด้วยซ้ำ ข้อสำคัญก็คือต้องตระหนักอยู่เสมอว่าคุณจะต้องไม่ทอดทิ้งภารกิจของตนเอง คุณไม่อาจทำเป็นเพิกเฉยอยู่ได้ เพราะเหตุว่าโลกนี้ต้องการความช่วยเหลืออย่างยิ่ง
 
 
...... ในขณะที่ทุก ๆ คนต่างมีภาระรับผิดชอบที่จะต้องช่วยเหลือโลกแต่การณ์กลับจะเป็นว่า เราไปก่อกวนให้ยุ่งเหยิงมากยิ่งขึ้น หากเราพยายามจะไปยัดเยียดความคิดของเราหรือยัดเยียดความช่วยเหลือให้แก่ผู้อื่น มีคนไม่น้อยที่รู้ทฤษฎีว่าโลกต้องการสิ่งใดบ้าง คนบางคนคิดว่าโลกต้องการคอมมิวนิสต์ บางคนคิดว่าโลกต้องการประชาธิปไตย บ้างก็คิดว่าเทคโนโลยีจะข่วยโลกให้รอด บ้างก็คิดว่าเทคโนโลยีจะทำลายล้างโลก คำสอนซัมบาลานั้นมิได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่จะปรับเปลี่ยนโลกให้เข้าไปอยู่ในทฤษฎีใด ๆ รากแก้วของญาณทัศนะชัมบาลามีว่า ในการที่จะสถาปนาสังคมอริยะสำหรับมนุษย์ เราจำเป็นที่จะต้องคนให้พบว่าเรามีของจริงสิ่งแท้อะไรอยู่ในตัวบ้าง ซึ่งอาจสามารถมอบไว้แก่โลก นั่นก็คือแรกสุด เราจะต้องพยายามพิจารณาดูประสบการณ์ของเราทั้งหมด เพื่อที่จะหยั่งเห็นให้ได้ว่าเรามีสิ่งมีค่าอะไรอยู่ในตัว ซึ่งจะสามารถช่วยยกระดับสภาวะความเป็นอยู่ทั้งหมดของตนเองและผู้อื่น
 
 
......ถ้าเราตั้งใจมองอย่างปราศจากอคติ เราจะพบว่านอกเหนือจากปัญหาและความสับสนทั้งมวลที่เรามีอยู่ นอกเหนือจากภาวะจิตและอารมณ์ที่ขึ้น ๆ ลง ๆ แล้ว ยังมีบางสิ่งบางอย่างอันเป็นความดีงามรากฐานของการเกิดมาเป็นมนุษย์ นอกเสียจากเราจะสามารถค้นพบถึงรากฐานแห่งความดีงามในชีวิตของเราอันนั้น หาไม่เราก็มิอาจหวังที่จะช่วยเกื้อหนุนขีวิตของผู้อื่นไปในทางสูงได้เลย ถ้าหากเราเป็นเพียงสัตว์โลกผู้โชคร้ายและน่าสงสาร เรายังจะสามารถฝันถึงสังคมอริยะได้อยู่อีกหรือ
 
 
.... การค้นพบถึงความดีงามที่แท้จริง ย่อมเกิดจากการแลเห็นถึงคุณค่าความหมายของประสบการณ์แม้ที่ธรรมดาสามัญที่สุด เรามิได้กำลังพูดถึงความหมายของประสบการณ์แม้ที่ธรรมดาสามัญที่สุด เรามิได้กำลังพูดถึงความรู้สึกดีๆ ซึ่งเกิดจากการที่เราหาเงินได้เป็นล้าน หรือการเรียนจบมหาวิทยาลัย หรือการซื่อบ้านใหม่ได้ แต่เรากำลังพูดถึงความดีงามรากฐานของการมีชีวิตอยู่ ซึ่งมิได้ขึ้นอยู่กับความสำเร็จหรือการบรรลุถึงสิ่งที่มุ่งหวัง เราได้สัมผัสถึงความดีงามชั่วแวบหนึ่งอยู่เสมอ แต่เราพลาดที่จะประจักษ์เราได้สัมผัสถึงความดีงามชั่วแวบหนึ่งอยู่เสมอ แต่เราพลาดที่จะประจักษ์แจ้งอย่างถ่องแท้ เมื่อเราแลเห็นสีสันอันสดใสนั้น แต่เราพลาดที่จะประจักษ์พยานถึงแก่นสารอันดีงามซึ่งมีอยู่ในตัวเรา เมื่อเราได้ยินเสียงอันไพเราะก็เท่ากับเรากำลังสดับฟังแก่นแท้อันดีงามของเราเอง เมื่อเราก้าวออกไปสู่สายฝนเราย่อมรู้สึกสะอาดสดชื่น และเมื่อเราเดินออกจากห้องที่อึดอัดปิดล้อม เราย่อมดื่มด่ำในอากาศสดชื่นที่พรั่งพรูเข้ามา เหตุการณ์เหล่านี้อาจจะเกิดขึ้นเพียงชั่วเศษเสี้ยววินาที แต่มันล้วนเป็นประสบการณ์ที่แท้จริงของความดีงาม มันอุบัติขึ้นกับเราอยู่ตลอดเวลา แต่โดยปรกติแล้วเรากลับไม่ใส่ใจ ถึอว่าเป็นเพียงสิ่งดาษ ๆ เป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้น ทว่าตามหลัการชัมบาลาแลัว กลับถึอว่าจำเป็นยิ่งที่จะต้องตระหนักถึงและหยิบฉวยชั่วขณะเหล่านั้นไว้ ด้วยว่ามันแสดงออกถึงรากฐานแห่งอหิงสาและความสดใสใหม่ในชีวิตของเรา ซึ่งก็คือรากฐานแห่งความดีงามนั่นเอง
 
 
..... มนุษย์ทุกคนมีรากฐานแห่งธรรมชาติอันดีงามนี้อยู่ มันเป็นสิ่งที่เข้มข้นและชัดเจนยิ่ง ความดีงามนั้นบรรจุไว้ด้วยความอ่อนโยนและความละเอียดอย่างล้นเหลือ ในฐานะที่เราเป็นมนุษย์ เราอาจร่วมเพศทั้งอาจสัมผัสใครอย่างอ่อนโยน เราอาจจุมพิตใครบางคนด้วยความรู้สึกเข้าอกเข้าใจอันละเอียดอ่อน เราอาจดื่มด่ำซาบซึ้งในความงาม อาจเห็นคุณค่าของสิ่งที่ดีที่สุดในโลกนี้ เราอาจชื่นชมในความสดใสกระจ่างของสีสันต่างๆ ในความเหลืองใสของสีเหลือง ในความแดงจ้าของสีแดง ในความเขียวสดของสีเขียวและในความม่วงเข้มของสีม่วง ประสบการณ์ของเราล้วนจริงจังยิ่ง ในเมื่อสีเหลืองเป็นสีเหลือง เราจะสามารถบอกได้หรือว่ามันเป็นสีแดง เพียงเพราะว่าไม่ชอบความเหลืองของมัน ถ้าทำดังนั้นก็เท่ากับบิดเบือนความจริง เมื่อเรามีแดดสว่างสดใสเราจะปฎิเสธมันโดยการกล่าวว่าแดดนั้นเป็นสิ่งเลวได้ละหรือ คิดหรือว่าเราจะสามารถพูดดังนี้ได้ เมื่อใดก็ตามที่มีแดดส่องสว่างหรือมีหิมะตก เราทำได้ก็แต่เพียงตระหนักซึ้งถึงคุณค่าของมัน เมื่อเราตระหนักและยอมรับได้ถึงความจริง สิ่งนั้นย่อมส่งผลถึงตัวเราด้วย เราอาจต้องลุกขึ้นมาในยามเช้าหลังจากได้นอนเพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่ถ้าหากเรามองออกไปนอกหน้าต่างและได้เห็นดวงอาทิตย์ฉายแสงสิ่งที่เห็นอาจช่วยให้เรากระปรี้กระเปร่าขึ้น เราอาจเยียวยาตนเองให้หายจากความรู้สึกกดดันต่างๆ ได้ ถ้าเราตระหนักว่าโลกของเรานี้ดีงาม
 
 
 
..... การที่ว่าโลกนี้ดีงาม มิใช่เป็นเพียงความคิดอย่างผิวเผิน ทว่ามันดีเพราะเหตุที่เราสามารถสัมผัสถึงความดีงามของมัน เราอาจสัมผัสได้ว่าโลกของเรานี้สมบูรณ์และเที่ยงตรง ตรงไปตรงมาและจริงยิ่ง ด้วยเหตุว่าธรรมชาติพื้นฐานของเราดำเนินร่วมไปกับความดีงามของสถานการณ์ศักยภาพของมนุษย์ในเชิงภูมิปัญญา และความสง่างาม ย่อมมุ่งสู่การสัมผัสถึงความแจ่มกระจ่างของฟากฟ้าสีครามสดใส สู่ความสดฉ่ำของท้องทุ่งเขียวขจี และความงามของแมกไม้และป่าเขาอยู่กับความจริงซึ่งอาจปลุกเราให้ตื่นขึ้นและทำให้เรารู้สึกดี ๆ อย่างแท้จริงญาณทัศนะชัมบาลาจึงมุ่งผสานเข้ากับศักยภาพของเราเพื่อปลุกเราให้ตื่นขึ้น และตระหนักถึงสิ่งดีๆ ซึ่งอาจเกิดขึ้นกับเรา ซึ่งที่จริงมันได้เกิดขึ้นแล้วด้วยซ้ำ
 
 
.... กระนั้นก็ตาม ยังมีสิ่งน่ากังขาอยู่อีก คุณอาจจะสร้างสายใยเชื่อมโยงอย่างวิเศษกับโลกของคุณได้ คุณอาจแลเห็นแสงแดดส่องสว่าง เห็นสีสันอันสดใส ได้ยินดนตรีอันไพเราะ ได้กินอาหารรสดีหรืออะไรก็ตามแต่ทว่าการและเห็นชั่วแวบถึงความดีงามเหล่านั้น จะสัมพันธ์กับประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องอยู่อย่างไรเล่า โดยนัยหนึ่ง คุณอาจรู้สึกว่า "ฉันต้องการจะได้ความดีงามซึ่งมีอยู่ในตัวฉันและในโลกแห่งปรากฎการณ์นั้นมา" ดังนั้น คุณจึงวิ่งพล่านเที่ยวเสาะหาหนทางทีจะครอบครองมันไว้ หรือหยาบยิ่งไปกว่านั้น คุณอาจจะพูดว่า "ถ้าอยากได้ จะขายเท่าไร ประสบการณ์นั้นงดงามมาก ฉันอยากจะได้มันไว้" ปัญหาของวิธีการชนิดนี้ก็คือ คุณจะไม่มีวันพึงพอใจแม้ว่าคุณจะได้สิ่งที่ต้องการมา เพราะว่าคุณก็ยังคงมีความอยากอย่างรุนแรงอยู่นั่นเอง ถ้าคุณลองเดินไปตามถนนสายที่ห้า คุณจะเห็นเรื่องน่าเศร้าใจทำนองนี้ คุณอาจจะกล่าวว่าผู้คนที่เดินซื้อของอยู่ตามถนนสายที่ห้า ล้วนเป็นผู้มีรสนิยม ดังนั้น เขาจึงมีโอกาสที่จะตระหนักได้ถึงศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ แต่อีกนัยหนึ่ง ก็ประหนึ่งว่าคนเหล่านั้นห่มคลุมอยู่ด้วยหนาม เขาต้องการจะหยิบฉวยมาครอบครองไว้ให้ได้มากขึ้นๆ
 
...... และแล้ว ก็ยังมีวิธีการอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือการยอมหมอบราบคาบแก้ว หรือการน้อมตนลงเพื่อเข้าถึงความดีงามชนิดนั้น มีใครบางคนบอกว่า เขาอาจทำให้คุณมีความสุขได้ ถ้าคุณจะเพียงแต่มอบชีวิตให้เขาจัดการ ถ้าหากคุณเชื่อเขาก็จะมอบความดีงามที่คุณต้องการให้ คุณอาจจะเต็มใจยอมโกนหัวหรือนุ่งห่มจีวรหรือกระทั่งยอมคลานบนพื้นหรือกินอาหารด้วยมือด้วยหวังจะเข้าถึงความดีงาม คุณพร้อมที่จะแลกด้วยศักดิ์ศรีของตนเองและยอมตนเป็นทาส
 
 
..... สภาพการณ์ทั้งสองอย่างล้วนเป็นความพยายามเพื่อจะเข้าถึงบางสิ่งบางอย่างที่ดีงามและจริงแท้ ถ้าคุณร่ำรวย คุณคงพร้อมที่จะเสียเงินมากมายเพื่อให้ได้มา หรือถ้าหากคุณจน คุณก็คงพร้อมที่จะอุทิศชีวิตเพื่อมันแต่ทว่าวิธีการทั้งสองนั้นล้วนผิดพลาด
 
 
...... สิ่งที่เป็นปัญหาก็คือ เมื่อเราเริ่มประจักษ์แจ้งถึงศักยภาพแห่งความดีงามในตนเอง เรามักจะถือเอาการค้นพบนี้เป็นจริงเป็นจังเกินไป เราอาจจะฆ่ากันเพื่อความดีงาม แม้กระทั่งยอมตายเพื่อความดีงาม เราปรารถนามันอย่างสุดจิตสุดใจ แต่สิ่งที่เราขาดก็คือ อารมณ์ขันในที่นี้มิได้หมายถึงการเล่าเรื่องขำขัน หรือเป็นคนตลก หรือเที่ยววิพากษ์วิจารณ์คนอื่นและหัวเราะเยาะ อารมณ์ขันที่แท้จริงนั้นคือ การสัมผัสอย่างแผ่วเบา มิใช่การปฎิเสธความจริงโดยสิ้นเชิง หากแต่หมายถึงการชื่นชมในความจริง ด้วยอาการอันนุ่มนวลแผ่วเบา รากฐานของญาณทัศนะชัมบาลาก็คือการค้นให้พบถึงอารมณ์ขันอันสมบูรณ์และจริงแท้ ค้นให้พบถึงสัมผัสแผ่วเบาของความชื่นชมนั้น
 
..... ถ้าคุณลองมองดูตัวเอง ลองมองดูจิตใจมองดูกิจกรรมของตนเองคุณอาจจะได้อารมณ์ขัน ซึ่งสูญหายไปในอดีตกลับคืนมา จุดเริ่มต้นก็คือ คุณจะต้องเฝ้าดูความจริงอันธรรมดาสามัญในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นมีด เป็นส้อมจาน โทรศัพท์ เครื่องล้างจานหรือผ้าเข็ดตัว เฝ้าดูเจ้าสิ่งสามัญเหล่านี้แหละ มันไม่มีอะไรที่ดูลึกลับซับซ้อนหรือ แปลกประหลาดหรอก แต่ถ้าหากไม่มีจุดเชื่อมโยงระหว่างตัวคุณกับเหตุการณ์ธรรมดาสามัญในชีวิตเหล่านั้น ถ้าคุณไม่ได้เฝ้าดูวิถีชีวิตอันต่ำต้อยสามัญนี้แล้ว คุณจะไม่มีวันได้ค้นพบอารมณ์ขัน หรือศักดิ์ศรี หรือแม้แต่ความจริงใด ๆ เลย
 
..... ไม่ว่าจะเป็นการหวีผม การแต่งตัว การล้างจาน กิจกรรมเหล่านี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งแห่งสติสัมปชัญญะ มันล้วนเป็นหนทางที่สามารถเชื่อมโยงเข้ากับความจริง แน่นอน ส้อมก็คือส้อม คือเครื่องมือพื้น ๆ สำหรับใช้ในการกิน แต่ในขณะเดียวกัน ในการขยายปริมณฑลของสติสัมปชัญญะให้กว้างไกลออกไป อาจจะขึ้นอยู่กับว่าคุณใช้ส้อมอย่างไรด้วย พูดง่ายๆ ก็คือญาณทัศนะชัมบาลานั้นก็คือความพยายามที่จะกระตุ้นคุณให้ประจักษ์ว่าคุณมีชีวิตอยู่อย่างไร มีความสัมพันธ์กับชีวิตสามัญอย่างไร
 
..... ในฐานะที่เราเป็นมนุษย์ เราจึงมีสถาวะที่ตื่นอยู่เป็นพื้นฐาน ทั้งยังมีความสามารถที่จะเข้าใจความจริงได้ด้วย เรามิใช่ทาสของชีวิต หากเป็นอิสระ การเป็นอิสระในที่นี้มีความหมายง่าย ๆ ว่าเรามีร่างกายและจิตใจ ดังนั้นเราจึงสามารถยกระดับตนเองขึ้นมา เพื่อที่จะสามารถกระทำการร่วมกับความจริงอย่างสง่างามและเต็มไปด้วยอารมณ์ขัน แต่มันก็มิได้เยาะเย้ยเรา เราจะพบว่าในที่สุดเราจะสามารถจัดการกับโลกของเรา จัดการกับจักรวาลของเราอย่างเหมาะสม และเต็มเปี่ยมด้วยอาการอันแยบยล
 
...... การค้นพบถึงความดีงามรากฐานนี้มิใช่ประสบการณ์ทางศาสนาโดยเฉพาะเจาะจง หากแต่เป็นการประจักษ์ว่าเราสามารถสัมผัสและกระทำการร่วมกับความจริงได้โดยตรง คือโลกที่เป็นจริงซึ่งเรามีชีวิตอยู่นั้นเอง การสัมผัสได้ถึงความดีงามรากฐานในชีวิตของเรา ย่อมทำให้เรารู้สึกว่าเราเป็นผู้มีสติปัญญาและใช้การได้ ทั้งโลกนี้ก็มิใช่ศัตรูของเรา เมื่อเรารู้สึกว่า ชีวิตของเรานั้นดีงามและถูกทำนองคลองธรรม เราก็ไม่จำเป็นจะต้องหลอกตัวเอง หรือลวงคนอื่นอีกต่อไป เราอาจและดูชีวิตอันแสนสั้นนี้โดยไม่รู้สึกผิดหรือไร้ค่า และขณะเดียวกันก็อาจแลเห็นถึงศักยภาพที่จะแผ่ขยายความดีงามออกไปยังผู้อื่น ในขณะเดียวกันก็มั่นคงยิ่ง
 
..... แก่นแท้ของความเป็นนักรบหรือแก่นแท้แห่งความกล้าหาญของมนุษย์นั้น ย่อมไม่ยอมสยบพ่ายแพ้ต่อสิ่งใดทั้งสิ้น เราไม่มีวันพูดว่าเรากำลังจะแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ เราไม่อาจพูดว่าคนอื่นก็จะต้องเป็นเช่นนั้น และโลกด้วยเช่นกัน ชั่วชีวิตของเราอาจจะมีปัญหาอันหนักหน่วงมากมายในโลก แต่ขอให้เรามั่นใจว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่มีความหายนะใด ๆ อุบัติขึ้น เราอาจป้องกันได้ ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับเรา อย่างน้อยที่สุดเราอาจช่วยโลกให้รอดจากหายนะ ญาณทัศนะชัมบาลามีอยู่เพื่อสิ่งนี้ มันเป็นอุดมคติเก่าแก่ที่มีมานานนับศตวรรษ นั่นคือ โดยการรับใช้โลกนี้ เราก็อาจช่วยมันให้รอด แต่การช่วยให้รอดก็ยังไม่เพียงพอ เรายังจะต้องกระทำการเพื่อสร้างสังคมมนุษย์ที่เป็นอริยะขึ้นมาด้วย
 
..... ในหนังสือเล่มนี้ เรากำลังจะพูดถึงรากฐานแห่งสังคมอริยะและหนทางที่นำไปสู่ แทนที่จะมามัวพูดถึงสังคมอุดมคติว่าควรจะเป็นเช่นไร ถ้าเราปรารถนาจะช่วยโลกให้รอด เราจะต้องก้าวเดินไปด้วยตัวเอง แทนที่จะมาขบคิดถึงแต่ทฤษฎีหรือคาดเดาถึง จุดหมายปลายทาง ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับเราแต่ละคนว่าจะสร้าง ค้นหาความหมายของสังคมอริยะได้อย่างไรและจะบรรลุถึงได้อย่างไร ข้าพเจ้าเพียงมุ่งหวังว่าการนำเสนอซึ่งวิถีแห่งนักรับของชัมบาลานี้ อาจมีส่วนช่วยเกื้อหนุนให้เกิดการค้นพบได้อีกโสดหนึ่ง


http://board.agalico.com/showthread.php?t=28465
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออนไลน์ ออนไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5075


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #6 เมื่อ: 29 มิถุนายน 2553 08:30:25 »


 
บทที่ 2 ค้นหารากฐานแห่งความดีงาม

 
 
 
 
" อาศัยเพียงการหยุดตั้งมั่นลงตรงนั้น ชีวิตของคุณก็
อาจกลายเป็นหนทาง และแม้กระทั่งเป็นสิ่งมหัศจรรย์
ทีเดียว คุณย่อมตระหนักได้ว่าคุณสามารถนั่งอยู่บน
บัลลังก์ดุจราชันหรือราชินี ความสูงส่งของสภาวะนี้
ขานไขให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ซึ่งก่อเกิดการหยุด
นิ่งและเรียบง่าย "

 
 
 
 
......ความปั่นปวนสับสนมากมายในโลกอุบัติขึ้น เพราะเหตุที่ผู้คนมิได้แลเห็นคุณค่าของตัวเอง เพราะการที่ไม่รู้จักเห็นอกเห็นใจและอ่อนโยนต่อตัวเอง เขาจึงไม่อาจเข้าถึงความกลมกลืนหรือสันติสุขภายในได้ ดังนั้นเองสิ่งที่เขากระทำต่อผู้อื่นจึงขาดความกลมกลืนและสับสนด้วยเช่นกัน แทนที่จะแลเห็นคุณค่าความหมายของชีวิต เรามักจะไม่ใส่ใจต่อภาวะการดำรงอยู่ของเรา หรือไม่ก็รู้สึกว่ามันกดดันหน่วงหนัก ผู้คนถูกบีบคั้นให้ฆ่าตัวตาย เพราะเขาไม่ได้รับสิ่งที่เขาคิดว่าควรจะได้จากชีวิต เขาข่มขู่ผู้อื่นด้วยการฆ่าตัวตาย ขู่ว่าเขาจะฆ่าตัวตายถ้าสิ่งนั้นไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงแก้ไขแน่นอนว่า เราควรจะจริงจังกับชีวิต แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องผลักดันตัวเองไปจนถึงขอบเขตแห่งหายนะ โดยการบ่นพร่ำถึงปัญหาของตัวเอง หรือตำหนิติเตียนโลก เราจะต้องรับผิดชอบตัวเองเพื่อที่จะสามารถยกชีวิตของตนให้สูงขึ้น
 
..... เมื่อใดที่คุณเลิกประณามหรือลงโทษตัวเอง เมื่อคุณผ่อนคลายมากขึ้น และให้ความสำคัญแก่ร่างกายและจิตใจ เมื่อนั้นคุณก็เริ่มรู้สึกได้ถึงรากฐานแห่งความดีงามในตัวเอง ด้วยเหตุนี้เอง จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่คุณจะต้องมีความตั้งใจ ที่จะเปิดเผยตัวเองให้ตนเองได้รับรู้ การสร้างเสริมความรู้สึกอ่อนโยนต่อตนเองจะช่วยเอื้อให้คุณเห็นทั้งปัญหาและ ศักยภาพของตนได้อย่างชัดแจ้ง คุณไม่จำเป็นต้องเพิกเฉยต่อปัญหาหรือโอ่อวดศักยภาพของตน ความรู้สึกอ่อนโยนต่อตนเองและการเห็นคุณค่าของตนเองนั้นเป็นสิ่งจำเป็นมาก มันคือพื้นฐานที่จะก่อให้เกิดการช่วยเหลือตัวเองและผู้อื่น
 
......ในฐานะมนุษย์ เรามีวิถีทางอยู่ภายในตัวเองแล้ว ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถยกระดับภาวะภายในและนำความผ่องแผ้วเบิกบานมาสู่ตัวเรา วิถีทางสายนั้นรอคอยให้เราก้าวเดินไปอยู่ตลอดเวลา เรามีจิตใจและมีร่างกาย ทั้งสองสิ่งนี้เป็นสมบัติล้ำค่าของเรา เพราะเหตุที่เรามีจิตและร่าง เราจึงสามารถเรียนรู้และเข้าใจโลกนี้ได้ ภาวะการดำรงอยู่นั้นเป็นสิ่งมหัศจรรย์และทรงคุณค่า เราไม่มีทางรู้หรอกว่าเราจะอยู่ได้นานแค่ไหน ดังนั้นในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ เหตุใดจึงไม่ใช้มันอย่างเต็มเปี่ยม และก่อนที่จะใช้มัน เหตุใดเราจึงไม่ตระหนักถึงคุณค่าของมันอย่างเต็มที่
 
......เราจะค้นพบการตระหนักถึงคุณค่านี้อย่างไร การคิดใฝ่ฝันหรือ เพียงแค่การพูดถึงก็คงช่วยอะไรไม่ได้มาก ในวัฒนธรรมชัมบาลา วิธีในการสร้างเสริมความอ่อนโยนต่อตัวเอง และการตระหนักถึงความหมายของโลกนี้ ก็คือการนั่งสมาธิ การปฏิบัติสมาธินี้ พระพุทธเจ้าเป็นผู้สอนสั่งเมื่อกว่า 2,500 ปีล่วงมาแล้ว และได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในวัฒนธรรมชัมบาลา สืบมาตั้งแต่บัดนั้น มันยืนพื้นอยู่บนวัฒนธรรมของการบอกเล่า ตั้งแต่ครั้งพระพุทธองค์ การปฎิบัติแนวนี้ได้ถูกถ่ายทอดจากคนคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งโดยนัยนี้ มันจึงยังเป็นวัฒนธรรมที่มีชีวิต ดังนั้น แม้ว่ามันจะเป็นแบบแผนการปฎิบัติอันเก่าแก่ แต่มันก็ยังคงใหม่สดอยู่เสมอ ในบทต่อไปนี้ เรากำลังจะถกด้วยเรื่องวิธีการปฎิบัติสมาธิ และรายละเอียดต่างๆ แต่จำเป็นที่จะต้องตระหนักไว้ด้วยว่า ถ้าคุณต้องการจะเข้าใจถึงการปฎิบัตินี้อย่างแจ่มชัด คุณจำต้องได้รับคำแนะนำอบรมเป็นส่วนตัว
 
......สมาธิภาวนาในที่นี้เราหมายถึงสิ่งธรรมดาสามัญอันเป็นสิ่งพื้นฐานที่สุด และมิใช่สมบัติเฉพาะของวัฒนธรรมใด เรากำลังพูดถึงกิจกรรมพื้น ๆ ที่สุด เช่นการนั่งลงบนพื้น ขยับกายให้มั่นคงและสร้างความรู้สึกว่าตัวเราอยู่ตรงนี้ อยู่บนพื้นโลกขึ้นมา นี่คือวิธีการในการค้นหาตัวเองและความดีงามพื้นฐาน เป็นวิธีการสำหรับปรับตนเข้าสู่การรับถึง สัจจะอันแท้จริง โดยปราศจากความคาดหวังหรือความนึกคิดคาดเดาใด ๆ
 
......คำว่าสมาธิภาวนาบางครั้งก็ใช้หมายถึงการเพ่งพินิจพิจารณาดูบางสิ่งบางอย่าง ภาวนาในเรื่องนี้ โดยการภาวนาตริตรึกในปัญหาหรือข้อยุ่งยากบางประการ เราก็อาจพบทางออกได้ บางครั้งสมาธิภาวนายังถูกใช้เพื่อนำไปสู่สภาวะทางจิตบางอย่างโดยการเข้าฌานสมาบัติ แต่ในที่นี้เราจะพูดถึงสมาธิภาวนาโดยความหมายซึ่งแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง คือสมาธิที่ปราศจากเหตุและปัจจัย ปราศจากจุดหมายหรือความคิด ๆ ในจิต ในวัฒนธรรมชัมบาลาสมาธิภาวนาเป็นเพียงการฝึกฝนสภาวะแห่งการดำรงอยู่เพื่อให้กายและจิตบรรสานกัน โดยการปฏิบัติสมาธิภาวนา เราอายเรียนรู้ที่จะเลิกหลอกตนเอง เผชิญความจริงและดำรงชีวิตอยู่อย่างเต็มเปี่ยม
 
......ชีวิตของเราเป็นการเดินทางอันไร้จุดจบ เหมือนกับหนทางใหญ่ที่ทอดยาวออกไปสู่เบื้องหน้ามิรู้สิ้นสุด การปฎิบัติสมาธิภาวนาเอื้อให้เกิดยานที่จะใช้เดินทางไปบนเส้นทางสายนั้น ในการเดินทางของเราเต็มไปการขึ้น ๆ ลงตลอดเวลา ทั้งความมุ่งหวังและความกลัว แต่มันก็เป็นการเดินทางที่ไม่เลว
การปฎิบัติสมาธิเอื้อให้เราสามารถรับรู้ถึงพื้นผิวของถนนซึ่งเรากำลังเดินทางไป โดยการปฎิบัติสมาธิ เราจะเริ่มพบว่าภายในตัวเองนั้นไม่มีรากฐานของความไม่พึงพอใจต่อใครหรือต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดอยู่เลย
 
การทำสมาธิเริ่มด้วยการนั่งลงขัดสมาธิบนพื้น คุณจะเริ่มรู้สึกได้ว่าอาศัยเพียงการหยุดตั้งมั่นลงตรงนั้น ชีวิตของคุณก็อาจกลายเป็นหนทางและแม้กระทั่งเป็นสิ่งมหัศจรรย์ทีเดียว คุณย่อมตระหนักได้ว่าคุณสามารถนั่งอยู่บนบัลลังก์ดุจดังราชันหรือราชินี ความสูงส่งของสภาวะนี้ขานไขให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ ซึ่งเกิดจากการหยุดนิ่งและเรียบง่าย
 
......ในการปฎิบัติสมาธิ การตั้งกายตรงเป็นสิ่งสำคัญมาก การเหยียดหลังตรงมิใช่ท่าทางที่ขัดธรรมชาติ หากเป็นธรรมชาติพื้นฐานที่สุดของร่างกายมนุษย์ เมื่อร่างกายของคุณโอนเอียงง่อนแง่น นั่นแหละจึงผิดธรรมชาติ คุณไม่อาจหายใจได้สม่ำเสมอเมื่อร่างกายโอนเอียง ความโอนเอียงนี้ยังเป็นสัญลักษณ์บ่งชี้ถึงการยอมจำนนแก่โรคจิตประสาท ดังนั้นเมื่อคุณนั่งตัวตรง คุณจึงอาจประกาศก้องต่อตนเองและต่อโลกทั้งมวลว่าคุณกำลังจะเป็นนักรบ เป็นมนุษย์ที่แท้จริงแล้ว
 
......การยึดการตั้งตรงไม่จำเป็นที่จะต้องไปฝืนตัวเองโดยการเกร็งตัวยกไหล่ ความตั้งตรงนี้เกิดขึ้นตามธรรมชาติโดยการานั่งอย่างง่าย ๆ ทว่ามั่นอกมั่นใจ ไม่ว่าจะนั่งอยู่อยู่บนพื้นหรือบนเบาะ ต่อจากนั้น เพราะเหตุที่หลังของคุณตั้งตรง คุณจึงไม่รู้สึกขวยเขินกระดากกระเดื่องแต่อย่างใด ดังนั้นคุณจึงมิได้ก้มหัวลง คุณจะไม่ยอมโอนอ่อนให้แก่สิ่งใด ดังนั้นเอง หัวไหล่ของคุณจึงเหยียดตรงโดยอัตโนมัติ นี่เองคุณจึงรู้สึกได้ถึงท่าทางอันเหมาะสมของศีรษะและไหล่ จากนั้นคุณจึงอาจพักขาไว้อย่างเป็นธรรมชาติ ในท่วงท่าขัดสมาธิ เข่าของคุณจึงไม่จำเป็นต้องราบชิดกับพื้น คุณทำให้ท่วงท่านี้สมบูรณ์ขึ้นโดยการวางมือลงแผ่วๆ หันฝ่ามือลงบนขาอ่อน นี่ก่อให้เกิดความรู้สึกว่า เราได้ดำรงอยู่ในที่ของตนอย่างถูกต้องเหมาะสมแล้ว
 
......ในท่วงท่าดังกล่าว คุณไม่จำเป็นต้องเพ่งมองไปรอบๆ อย่างไร้จุดหมาย เพราะเหตุที่คุณมีความรู้สึกว่าคุณดำรงอยู่ตรงนั้นอย่างเหมาะสมแล้ว ดังนั้นดวงตาของคุณจึงเปิดอยู่ แต่สายตาเพ่งตรงออกไปบนพื้นเบื้องหน้า ห่างสัก 6 ฟุต โดยนัยนี้ สายตาของคุณก็จะไม่วอกแวก ทว่ามีความรู้สึกถึงความรอบคอบรัดกุมและหนักแน่นมั่นคงยิ่ง คุณอาจพบท่วงท่านี้ได้จากงานปฎิมากรรมบางชิ้นของอิยิปต์และอเมริกาใต้ เช่นเดียวกับรูปปฎิมากรรมของทางตะวันออก มันเป็นท่วงท่าสากลมิได้จำกัดอยู่กับวัฒนธรรมหรือยุคสมัยใด
 
......ในชีวิตประจำวันก็เช่นกัน คุณจำต้องตระหนักถึงท่วงท่าของตนเองทั้งศีรษะและไหล่ ต้องรู้ว่าเดินอย่างไร มองดูคนอื่นอย่างไร แม้ในขณะที่คุณมิได้ทำสมาธิ คุณก็อาจดำรงไว้ซึ่งสภาวะอันลุ่มลึกนี้ได้ คุณอาจขึ้นอยู่เหนือความกระดากอายของตนเอง และมีความภาคภูมิใจในฐานะที่เป็นมนุษย์ ความภาคภูมิใจดังกล่าวเป็นสิ่งดีงามและสามารถยอมรับได้
 
......ขั้นต่อมาในการปฎิบัติสมาธิ หลังจากที่คุณนั่งได้ถนัดดีแลัว คุณก็ต้องหันมาพิจารณาดูลมหายใจ เมื่อคุณหายใจ คุณก็ต้องตระหนักรู้ว่าตัวเองดำรงอยู่ที่นั่นและดำรงอยู่อย่างเหมาะสม เมื่อผ่อนลมหายใจออก ลมก็หายใจออกอีก ดังนั้นจึงมีการออกไปกับลมหายใจออกอยู่ตลอดเวลา เมื่อคุณหายใจออก ตัวคุณก็จางไป กระจายหายไป ครั้นแลัวลมหายใจเข้าก็เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ คุณไม่จำเป็นต้องติดตามกลับเข้ามา คุณเพียงแต่กลับมาอยู่กับท่วงท่า และพร้อมที่จะหายใจออกอีก ออกไปและละลายตัวเองไป พรู กลับมาอยู่ที่ท่วงท่าอีก แล้วก็พรู และกลับมาอยู่กับท่วงท่าอีกครั้ง
 
......ครั้นต่อมาก็มีสิ่งหนึ่งซึ่งไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เกิดขึ้น ปิ๊ง! ความคิดนั่นเอง พอถึงจุดนี้คุณก็เพียงแต่พูดว่า "ความคิด" ไม่จำเป็นต้องพูดออกมาดังๆ เพียงแต่กล่าวในใจว่า "ความคิด" การเอ่ยเรียกความคิดจะช่วยปรับให้กลับมาจดจ่ออยู่กับลมหายใจใหม่ เมื่อมีความคิดหนึ่งใดชักนำคุณหันเหออกนอกทางที่คุณเดินอยู่ เมื่อคุณไม่รู้ตัวว่ากำลังนั่งอยู่บนเบาะ จิตของคุณไพล่ไปอยู่เสียที่ซานฟรานซิสโกพรือที่นิวยอร์ค คุณก็เพียงแต่พูดว่า "เจ้าความคิด" และกลับมาสู่ลมหายใจใหม่อีกครั้ง
 
......ไม่สำคัญหรอกว่าจะมีความคิดแบบใดเกิดขึ้น เพราะในการนั่งสมาธิ ไม่ว่าคุณจะมีความคิดอันเลวทรามหรือสูงส่ง ทั้งหมดถูกถือเป็นความคิดเช่นเดียวกัน ไม่มีทั้งบุญหรือบาป คุณอาจมีความคิดอยากฆ่าพ่อของตัวเอง หรืออาจอยากชงน้ำมะนาวกินกับคุ๊กกี้ โปรดอย่าได้ตกอกตกใจกับความคิดของตนเอง ความคิดทุกประการล้วนเป็นเพียงความคิดเท่านั้น ไม่มีความคิดใดที่จะได้รับรางวัลหรือถูกประฌาม เพียงแต่ปิดป้ายยี่ห้อว่า "ความคิด" แล้วก็กลับไปสู่ลมหายใจอย่างเก่า "ความคิด" กลับไปสู่ลมหายใจ "ความคิด" กลับไปสู่ลมหายใจ
 
......การปฎิบัติสมาธินั้นเป็นสิ่งแน่นอนตายตัวยิ่ง มันจะต้องดำรงอยู่ ณ ที่นั้น หยังลงตรงจุดนั้น มันเป็นงานที่หนักหน่วงไม่น้อย แต่ถ้าคุณจดจำความสำคัญของท่วงท่าการนั่งได้ นั่นจะช่วยปรับสัมพันธภาพระหว่างกายกับจิต ถ้าคุณนั่งไม่ถูกต้อง การปฎิบัตินั้นก็จะต้องเป็นเหมือนกับม้าขาเสีย ที่จะพยายามลากเกวียน มันคงไม่สำเร็จผลเป็นแน่ ดังนั้นขั้นแรกคุณจึงต้องนั่งลงและจัดท่วงท่าให้เหมาะสม ถัดมาก็เฝ้าติดตามลมหายใจพรู ออก กลับมาสู่ท่วงท่า พรู กลับมาสู่ท่วงท่า พรู เมื่อเกิดมีความคิดขึ้นก็ปิดป้ายฉลากเรียกมันว่า "ความคิด" และกลับมาสู่ท่าเดิม กลับมาสู่ลมหายใจ คุณจะมีจิตกระทำการร่วมไปกับลมหายใจ และมีร่างกายเป็นจุดกำหนด คุณมิได้กระทำการร่วมกับจิตใจเพียงลำพังเท่านั้น หากร่วมไปกับจิตและกายพร้อมกันเลยทีเดียว และเมื่อทั้งสองส่วนร่วมกันเป็นอันดีแล้ว คุณก็จะไม่ห่างเหินไปจากความเป็นจริง
 
สภาวะอุดมคติแห่งความสงบนั้นก่อเกิดจากระสบการณ์แห่งการประสานสอดคล้องระหว่างกายและใจ ถ้ากายและใจไม่ประสานกันเมื่อนั้นร่างกายก็จะโอนเอนไม่มั่นคง จิตก็จะฟุ้งซ่านไป มันเหมือนกับกลองชั้นเลวที่ทำขึ้นมาอย่างลวกๆ หนังกลองนั้นขึงไม่พอดีกับขอบกลองดังนั้น ไม่ขอบกลองแตกก็หนังฉีกขาด ขาดความคงทนถาวร ดังนั้นเมื่อกายและจิตประสานกัน และด้วยเหตุที่ดำรงอยู่ในท่วงท่าอันเหมาะสม ลมหายใจของคุณก็จะดำเนินไปตามธรรมชาติ และด้วยเหตุที่ท่วงท่าและลมหายใจประสานกัน จิตของคุณก็จะมีหลักยึดสำหรับเหนี่ยวรั้งตนเอง ดังนั้นจิตของคุณจึงออกไปกับลมหายใจอย่างเป็นธรรมชาติ
 
......วิธีในการประสานจิตกับกายเข้าด้วยกันนี้ คือการฝึกตนเองให้เรียบง่ายที่สุดและให้รู้สึกได้ว่าตนเองไม่ได้มีความพิเศษแต่อย่างใด เพียงแต่เป็นคนธรรมดาสามัญ สามัญอย่างยิ่ง คุณเพียงแต่นั่งง่าย ๆ ประดุจดั่งนักรบ และจากจุดนี้เองที่ความรู้สึกภาคภูมิของปัจเจกชนได้ผุดขึ้นมา คุณนั่งอยู่บนพื้นโลกและคุณก็ตระหนักได้ว่าโลกยอมรับคุณและคุณก็ยอมรับโลกนี้ คุณดำรงอยู่ที่นั่นอย่างเต็มเปี่ยมเพียงลำพังและแท้จริง ดังนั้นการปฎิบัติสมาธิในแนวชัมบาลาจึงมุ่งเพื่อขัดเกลาคนให้เป็นคนจริงและสัตย์ซื่อ ซื่อสัตย์ต่อตนเอง
 
......ในบางแง่มุม เราจะต้องถือว่าเรามีภาระหน้าที่อยู่ คือภาระหน้าที่ที่จะต้องช่วยกันแก้ไขแบ่งเบาปัญหาของโลกนี้ เราไม่อาจละเลยความรับผิดชอบต่อผู้อื่นได้ แต่ถ้าหากเราปฎิบัติภาระหน้าที่นี้อย่างเบิกบาน เราก็อาจช่วยไถ่กู้โลกได้จริง ๆ ทีเดียว หนทางคือเริ่มต้นที่ตนเอง จากความเปิดกว้างและสัตย์ซื่อต่อตนเอง เราก็อาจเรียนรู้ที่จะเปิดเผยต่อผู้อื่น ดังนั้นเราก็อาจกระทำการร่วมกับโลกทั้งหมด จากพื้นฐานของความดีงามซึ่งเราค้นพบในตนเอง ดังนั้น การปฎิบัติสมาธิจึงถือเป็นวิถีทางที่ยอดเยี่ยมในการยุติสงครามที่มีอยู่ในโลก ไม่ว่าจะเป็นสงครามภายในตนเองหรือสงครามภายนอก


http://board.agalico.com/showthread.php?t=28466
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออนไลน์ ออนไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5075


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #7 เมื่อ: 29 มิถุนายน 2553 08:30:54 »


 
บทที่ ๓ ใจเศร้าที่แท้จริง

 
 
 
" ผ่านการปฏิบัติโดยการนั่งนิ่ง ๆ และเฝ้าติดตาม
ลมหายใจขณะผ่อนออกและจางคลายไป คุณก็ได้
เชื่อมโยงเข้ากับหัวใจของตน โดยเพียงแต่ปล่อยให้
เป็นไปดังที่ตนเองเป็นอยู่ คุณก็สามารถสร้างความ
รู้สึกเกื้อการุณอย่างแท้จริงขึ้นต่อตัวเอง "

 
 
 
 
......ลองนึกดูว่าหากคุณได้นั่งเปลือยเปล่าอยู่บนพื้นดินโดยมีก้นเปลือยสัมผัสโลก ทั้งมิได้มี ผ้าโผกหัวหรือสวมหมวก คุณจึงเปิดเผยตนเองต่อฟ้าเบื้องบนด้วยเช่นกัน คุณถูกประกบอยู่ระหว่างแผ่นฟ้าแผ่นดิน เป็นมนุษย์ชายหรือหญิงผู้เปลือยเปล่า นั่งอยู่ระหว่างฟากฟ้ากับแผ่นดินโลก
 
......แผ่นดินยังคงเป็นแผ่นดินอยู่เสมอ แผ่นดินยอมให้ใครก็ได้นั่งลงไป มันไม่เคยผลักไสไล่ส่ง มันไม่เคยปฏิเสธที่จะแบกรับ คุณจะไม่มีวันหลุดร่วงออกจากแผ่นดินออกไปลอยเคว้งคว้างอยู่ในอวกาศ ในทำนองเดียวกัน ฟ้าก็ยังคงเป็นฟ้า ฟากฟ้าก็ยังคงเป็นฟากฟ้าเบื้องบนอยู่เสมอ ไม่ว่าฝนจะตก แดดจะออกหรือมีหิมะ ไม่ว่าจะเป็นยามกลางวันหรือกลางคืน ฟ้าก็ยังคงอยู่ที่นั่น ในแง่มุมนี้เราอาจรู้สึกได้ว่าทั้งฟากฟ้าและแผ่นดินเป็นสิ่งที่เชื่อมั่นได้
 
......ตรรกะแห่งความดีงามพื้นฐานก็คล้ายคลึงกัน เมื่อเราพูดถึงความดีงามพื้นฐานเรามิได้พูดถึงการภักดีต่อสิ่งดีและปฏิบัติสิ่งเลว ความดีงามพื้นฐานนั้นดีโดยปราศจากเงื่อนไข โดยปราศจากที่ตั้ง มันดำรงอยู่ที่นั่นแล้ว ดังเช่นที่ฟ้าและดินดำรงอยู่ที่นั่นแล้ว เรามิได้ปฏิเสธบรรยากาศของเรา ไม่ได้ปฏิเสธดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ เมฆหมอกและฟากฟ้าเรายอมรับมัน เรายอมรับว่าฟ้านั้นเป็นสีฟ้า ยอมรับภูมิประเทศและท้องทะเล เรายอมรับถนนหนทางตึกรามบ้านช่องและมหานคร ความดีงามพื้นฐานประการนี้ คือสิ่งที่ปราศจากเงื่อนไข มันมิใช่ทัศนะ "มีคุณ" หรือ "ให้โทษ" ในทำนองเดียวกับที่แสงแดดมิใช่มีขึ้นเพื่อ "มีคุณ" หรือ "ให้โทษ"
 
......กฎเกณฑ์ธรรมชาติของโลกนี้มิใช่ "มีคุณ" หรือ "ให้โทษ" โดยพื้นฐานแล้ว ไม่มีสิ่งใดซึ่งช่วยส่งเสริมหรือปิดกั้นทัศนะของเรา ฤดูกาลทั้งสี่อุบัติขึ้นอย่างอิสระ โดยไม่ขึ้นกับความเรียกร้องต้องการของใคร ความคาดหวังและความหวาดกลัวไม่อาจแปรเปลี่ยนฤดูกาลได้ มีกลางวัน มีกลางคืน มีความมืดในยามค่ำคืนและมีแสงสว่างในยามกลางวัน โดยไม่มีใครมาคอยบังคับปิดเปิดให้เป็นไป มีหลักเกณฑ์ธรรมชาติและความเป็นไปซึ่งเอื้อให้เรามีชีวิตอยู่ นั่นเองคือความดีงามพื้นฐาน ดีงามตรงที่ว่ามันอยู่ตรงนั้น มันกระทำการอย่างสัมฤทธิ์ผล
 
......เรามักจะพากันละเลยต่อกฎเกณฑ์พื้นฐานในจักรวาล แต่เราควรจะคิดทบทวนดูอีกครั้ง เราควรจะตระหนักถึงคุณค่าในสิ่งที่เรามีอยู่ ถ้าปราศจากสิ่งเหล่านี้แล้ว เราก็จะตกอยู่ในภาวะยากลำบากมาก ถ้าปราศจากแสงแดด ก็จะไม่มีพืชพรรณใด ๆ ขึ้นงอกเงย ปราศจากพืชพรรณธัญญาหาร ก็จะไม่มีอาหารการกินด้วย ดังนั้นความดีงามพื้นฐานจึงเป็นสิ่งดี เพราะว่ามันเป็นสิ่งพื้นฐานยิ่ง มันเป็นธรรมชาติและมันก็ใช้การได้ ดังนั้นมันจึงเป็นสิ่งดี มิใช่สิ่งดีที่อยู่ตรงข้ามกับความชั่ว
 
......หลักการเดียวกันนี้อาจประยุกต์มาใช้กับสิ่งที่ประกอบขึ้นมาเป็นมนุษย์ เรามีตัณหา มีความก้าวร้าวและอวิชชา นั่นคือเราคบหาปลูกฝังไมตรีกับมิตรและกีดกันศัตรูออกไป ปางครั้งก็วางตัวเฉย ๆ ท่าที่เหล่านี้มิได้ถือว่าเป็นข้อบกพร่อง หากเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติอันสูงส่งและเป็นเครื่องมือของมนุษย์ เรามีเล็บและฟันเป็นเครื่องมือสำหรับป้องกันตัว เรามีปากและอวัยวะเพศเป็นเครื่องมือสำหรับสัมพันธ์กับผู้อื่น เรายังโชคดีที่มีระบบย่อยอาหารและระบบเผาผลาญอย่างสมบูรณ์ ซึ่งทำให้การบวนหารในการกินและขับถ่ายเป็นไปอย่างราบรื่น ภาวะการดำรงอยู่ของมนุษย์เป็นสถานะตามธรรมชาติและก็เป็นเหมือนกฎเกณฑ์และหลักการของโลก มันใช้การได้ดี ที่จริงอาจถือว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ เป็นอุดมคติทีเดียว
 
......มีบางคนกล่าวว่าโลกนี้เป็นผลงานของหลักการมูลฐานอันศักดิ์สิทธิ์ แต่คำสอนชัมบาลามิได้เกี่ยวข้องกับต้นกำเนิดอันศักดิ์สิทธ์นั้นเลย จุดหลักของความเป็นนักรบก็คือการกระทำการร่วมกับสถานการณ์ดังที่มันเป็นอยู่ในปัจจุบัน ทัศนะแบบชัมบาลาถือว่าเมื่อเรากล่าวว่ามนุษย์มีความดีงามอยู่เป็นพื้นฐานนั้น เราหมายความว่ามนุษย์ล้วนมีสิ่งต่าง ๆ ที่จำเป็นอยู่ครบ ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องต่อสู้กับโลกของเขาเอง ตัวตนของเราเป็นสิ่งดี เพราะเหตุที่มันมิใช่ต้นกำเนิดของความก้าวร้าวและความไม่พึงพอใจ เราไม่อาจพร่ำบ่นที่เรามีตา มีหู มีจมูกและปาก เราไม่สามารถสับเปลี่ยนจัดแจงระบบทางสรีระใหม่ได้ และด้วยเหตุนี้เอง เราจึงไม่อาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขภาวะจิตของเราได้ ความดีงามพื้นฐานก็คือสิ่งที่เรามีอยู่ สิ่งที่ติดตัวเรามา มันคือสถานะตามธรรมชาติซึ่งเราได้รับเป็นมรดกตกทอดมาตั้งแต่เกิด
 
......เราควรจะตระหนักไว้ด้วยว่าการที่ได้อยู่ในโลกนี้เป็นสิ่งวิเศษสุดยิ่ง ช่างมหัศจรรย์ยิ่งที่ได้แลเห็นสีแดงและเหลืองสีฟ้าและเขียว ม่วงและดำ บรรดาสีสันเหล่านี้มีขึ้นเพื่อเรา เรารู้สึกร้อนและหนาว รู้รสหวานและเปรี้ยวเรารู้สึกได้ถึงสิ่งเหล่านี้และรู้ถึงคุณค่าของมัน ด้วยมันเป็นสิ่งดีงาม
 
......ก้าวแรกแห่งการประจักษ์ในความดีงามพื้นฐานก็คือการแลเห็นคุณค่าในสิ่งที่เรามีอยู่ ต่อจากนั้นเราก็จะต้องแลให้ชัดเจนกว้างไกลออกไปว่าเรากำลังเป็นอะไรอยู่ อยู่ตรงไหน เราเป็นใคร เมื่อไหร่และทำอะไร ในฐานะมนุษย์ เพื่อว่าเราจะได้เป็นเจ้าของความดีงามรากฐานอย่างแท้จริง ที่จริงมิใช่หมายถึงการครอบครอง หากแต่เป็นการหยั่งเห็นถึงคุณค่าของมัน
 
......ความดีงามพื้นฐานเกี่ยวพันอย่างแนบชิดกับแนวคิดเรื่องโพธิจิตในพุทธศาสนา โพธิหมายถึง "ตื่นขึ้น" หรือ "การตื่น" จิตหมายถึง "ใจ" ดังนั้นโพธิจิต จึงแปลว่า "ใจที่ตื่นขึ้น" ใจที่ตื่นขึ้นเช่นนี้อุบัติขึ้นจากความพร้อมที่จะเผชิญกับภาวะจิตของตนเอง
 
......นี่ดูคล้ายกับการเรียกร้องมากจนเกินไป แต่ที่จริงแล้วกลับจำเป็นมาก คุณจำต้องตรววจสอบดูตัวเองและถามตัวเองว่าตนได้พยายามเชื่อมโยงกับหัวใจของตนมากน้อยเพียงใดอย่างจริงใจ และเต็มที่เพียงใด บ่อยครั้งที่คุณหันหลังให้แก่มัน ด้วยคุณกลัวว่าคุณอาจพบบางสิ่งบางอย่างที่น่าหวาดหวั่นภายในตนเอง กี่ครั้งกันที่คุณเต็มใจที่จะแลดูหน้าตัวเองในกระจก โดยที่ไม่รู้สึกกระดากอาย กี่ครั้งกี่คราที่คุณพยายามจะปกปิดตัวเองไว้โดยการเข้าไปอ่านหนังสือพิมพ์บ้าง ดูโทรทัศน์บ้าง หรือใช้เวลาว่างให้หมดไปวัน ๆ จึงมีคำถามซึ่งทรงคุณค่ามหาศาลอยู่คำถามหนึ่งว่า คุณได้สัมพันธ์กับตัวเองมากน้อยเพียงใดกับชีวิตทั้งหมด
 
......การนั่งลงปฏิบัติสมาธิดังที่เราได้แจกแจงกันในบทที่แล้ว คือหนทางเพื่อกลับไปค้นหาความดีงามรากฐาน และยิ่งไปกว่านั้น มันคือหนทางที่จะปลุกดวงใจที่แท้จริงภายในตนเองให้ตื่นขึ้น เมื่อคุณนั่งอยู่ในท่วงท่าของสมาธิ คุณย่อมเป็นชายหรือเป็นหญิงผู้เปลือยเปล่า ซึ่งนั่งอยู่ระหว่างฟากฟ้าและแผ่นดินดังที่เราได้พูดถึงมาแล้ว เมื่อคุณนั่งโงนเงนก็เท่ากับพยายามปกปิดดวงใจของตนเอาไว้ พยายามซ่อนเร้นเอาไว้โดยอาการง่อนแง่น แต่เมื่อใดที่คุณนั่งตัวตรงทว่าผ่อนคลายอยู่ในอิริยาบถของสมาธิ เมื่อนั้นใจของคุณก็จะเปลือยเปล่า ตัวตนของคุณทั้งหมดจะเปิดเผยออกสู่ตัวเองเป็นอันดับแรก จะเปิดออกสู่ผู้อื่นด้วย ผ่านการปฎิบัติด้วยการนั่งนิ่ง ๆ และเฝ้าติดตามลมหายใจขณะที่ผ่อนออกและจางคลายไป คุณก็ได้เชื่อมโยงเข้ากับหัวใจของตน โดยเพียงแต่ปล่อยให้เป็นไปดังที่ตนเองเป็นอยู่ คุณก็สามารถสร้างความรู้สึกเกื้อการณ์อย่างแท้จริงขึ้นต่อตัวเองได้
 
......เมื่อคุณปลุกดวงใจของคุณขึ้นด้วยอาการอย่างนี้ คุณจะค้นพบด้วยความตื่นตะลึงว่าดวงใจของคุณนั้นว่างเปล่า คุณได้ค้นพบว่าคุณกำลังมองออกไปสู่ความโล่งกว้างภายนอก คุณคือใคร เป็นอะไร ดวงใจของคุณอยู่ที่ไหน ถ้าคุณมองให้ดี คุณจะไม่พบเห็นสิ่งใดที่เป็นแก่นสารแน่นอนตายตัวเลย แต่คุณจะพบสิ่งที่แข็งตัวอย่างนั้น ถ้าหากคุณรู้สึกขุ่นเคืองใครหรือถูกครอบงำอยู่ด้วยความรัก แต่นั่นหาใช่จิตใจที่ตื่นขึ้นไม่ ถ้าหากคุณแสวงหาดวงใจที่ตื่นขึ้น ถ้าคุณเอามือแทงผ่านกระดูกซี่โครงเข้าไปและสัมผัสดูดวงใจ ไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้นนอกจากความอ่อนโยน คุณรู้สึกเจ็บปวดทว่านุ่มนวล และถ้าคุณเปิดตาขึ้นแลดูโลก คุณย่อมรู้สึกเศร้าอย่างลึกซึ้ง ความเศร้าชนิดนี้มิได้เกิดขึ้นเพราะเป็นผู้ถูกกระทำ คุณมิได้รู้สึกเศร้าเพราะว่ามีใครมาดูแคลนหรือรู้สึกด้อยค่า ทว่าประสบการณ์นี้เป็นความเศร้าที่ปราศจากเงื่อนไข มันเกิดขึ้นเพราะว่าดวงใจของคุณได้เปิดเผยออกอย่างหมดจด ไม่มีหนังหรือเนื้อเยื่อปกปิดมันไว้อีกต่อไป มันคือก้อนเนิ้อดิบ ๆ แท้ ๆ แม้แต่มียุงสักตัวหนึ่งมาเกาะ คุณก็อาจรู้สึกได้อย่างลึก ๆ ประสบการณ์ของคุณเป็นประสบการณ์เฉพาะตัวที่ดิบ จริงและอ่อนโยน
 
......ดวงใจเศร้าที่แท้จริงกำเนิดขึ้นมาจากความรู้สึกที่ว่า หัวใจที่ว่างเปล่าของคุณนั้นเต็ม คุณอยากจะหลั่งเลือดจากใจ อยากจะให้หัวใจของคุณแก่คนอื่น สำหรับนักรบแล้ว ประสบการณ์แห่งดวงใจอันเศร้าอันแสนอ่อนโยนนี้ คือจุดกำเนิดแห่งความไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใด ตามความหมายสามัญแลัว ความไม่หวาดหวั่นหมายความว่าคุณไม่กลัว หรือหมายถึงว่าถ้ามีใครมาทำร้ายคุณ คุณจะตอบโต้กลับอย่างไรก็ดี เรามิได้กำลังพูดถึงความไม่หวาดหวั่นในระดับของนักสู้ข้างถนน ความไม่หวดหวั่นที่แท้จริงคือผลอันเกิดจากความอ่อนโยน มันเกิดจากการปล่อยให้โลกหยอกล้อจิตใจของคุณเล่น จิตใจที่ดิบและงดงาม คุณเต็มใจที่จะเปิดมันออกโดยไม่ขัดขืนหรือเขินอาย และเผชิญกับโลก คุณพร้อมที่จะแบ่งปันหัวใจของคุณกับผู้อื่น


http://board.agalico.com/showthread.php?t=28467
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออนไลน์ ออนไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5075


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #8 เมื่อ: 29 มิถุนายน 2553 08:31:23 »


 
บทที่ ๔ ความกลัวกับความไม่หวาดหวั่น

 
 
 
" การยอมรับถึงความกลัวใช่ว่าจะทำให้รู้สึกหดหู่
หรือท้อแท้ เพราะด้วยเหตุที่เรามีความกลัวเช่นนี้อยู่
เราจึงยังมีศักยภาพที่จะเข้าถึงความไม่หวาดหวั่น
อยู่ในตัวด้วย ความไม่หวาดหวั่นที่แท้จริงนั้นมิใช่การ
ลดทอนความกลัวลง แต่เป็นการขึ้นอยู่เหนือความกลัวนั้น "

 
 
 
......ในการที่จะเข้าถึงความไม่หวาดหวั่นได้ จำเป็นที่จะต้องประสบกับความกลัวเสียก่อน แก่นของความขลาดอยู่ตรงที่การไม่ยอมรับการมีอยู่จริงของความกลัว ความกลัวนั้นอาจปรากฎขึ้นในหลายรูปแบบ โดยมีเหตุผลแล้ว เรารู้ว่าเราไม่อาจมีชีวิตอยู่ชั่วกาลนาน เรารู้ว่าเราจะต้องตายสักวันหนึ่ง ดังนั้นเราจึงรู้สึกกลัว เราหวาดหวั่นต่อความตาย ในอีกระดับหนึ่งเรากลัวว่าเราจะไม่สามารถจัดการกับปัญหาของโลกนี้ได้ ความกลัวชนิดนี้แสดงออกมาในความรู้สึกด้อย รู้สึกว่าตนเองไม่เก่ง เรารู้สึกว่าชีวิตของเรานี้ไร้หวัง และการต้องเผชิญกับโลกทั้งโลกยิ่งเป็นสิ่งพรึงเพริด ซึ่งอุบัติขึ้น เมื่อมีสถานการณ์ใหม่ ๆ เกิดขึ้นกับชีวิตอย่างกะทันหัน เมื่อเรารู้สึกว่าเราไม่สามารถจัดการกับมัน เราก็เต้นแร้งเต้นกาหรือไม่ก็สั่นสะท้าน บางครั้งความกลัวก็สำแดงออกมาในรูปของความกระวนกระวาย ขีดเขียนอะไรเล่นในแผ่นกระดาษ ประสานมือไขว้นิ้วเล่นหรือนั่งอยู่ไม่เป็นสุขบนเก้าอี้ เรารู้ว่าเราต้องเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา เหมือนดังเครื่องรถยนต์ ลูกสูบเครื่องที่ขึ้น-ลง ขึ้น-ลง ตราบใดที่ลูกสูบเคลื่อนที่ เราก็รู้สึกมั่นคงปลอดภัย มิเช่นนั้นเราก็คงกลัวลนลาน และอาจหัวใจวายตายไปตรงนั้น
 
......มีกลวิธีอยู่มากมายที่เราใช้เพื่อดึงใจออกจากความกลัว บางคนก็ใช้ยาระงับประสาท บางคนก็ทำโยคะ บางคนก็ดูโทรทัศน์หรืออ่านนิตยสารหรือไปดื่มเบียร์ที่ร้านเหล้า จากทัศนะของคนขลาด ความเบื่อหน่ายเป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง เพราะเมื่อเรารู้สึกเบื่อเราจะเริ่มรู้สึกวิตกกังวล เราเริ่มเขยิบเข้าใกล้ความกลัวเข้าไปทุกที สิ่งบันเทิงใจต่าง ๆ ล้วนได้รับการต้อนรับ และความคิดใดๆ เกี่ยวกับความตายล้วนเป็นสิ่งพึงหลีกเลี่ยง ดังนั้นคนขลาดจึงพยายามใช้ชีวิตอยู่ดังประหนึ่งว่าความตายนั้นเป็นสิ่งไม่มีอยู่ มีบางยุคสมัยในประวัติศาสตร์ซึ่งมีคนอยู่ไม่น้อยผู้แสวงหายาอายุวัฒนะ เนิ่นนานก่อนที่เขาจะมีอายุครบพันปี เขาอาจจะพากันฆ่าตัวตายไปเสียก่อน และถึงแม้ว่าคุณอาจมีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์คุณก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงสัจจะแห่งมรณะ และความทุกข์ของผู้คนที่แวดล้อมคุณอยู่
 
......ความกลัวเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับ เราจำเป็นต้องประจักษ์ถึงความกลัวของเราและเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับมัน เราจะต้องสำรวจดูตัวเองว่าเราเคลื่อนไหวอย่างไร พูดคุยอย่างไร ประพฤติปฎิบัติเช่นไร กัดเล็บอย่างไรและบางครั้งก็เอามือล้วงกระเป๋าโดยไม่จำเป็น เมื่อนั้นเราจะค้นพบว่าความกลัวสำแดงตนออกมาอย่างไรในรูปของความกระวนกระวาย เราจะต้องเผชิญกับความจริงที่ว่าความกลัวนั้นห้อมล้อมชีวิตของเราอยู่ตลอดเวลาและในทุกสิ่งที่เรากระทำ
 
......อีกนัยหนึ่ง การยอมรับถึงความกลัวใช่ว่าจะทำให้รู้สึกหดหู่หรือท้อแท้ เพราะด้วยเหตุที่เรามีความกลัวเช่นนี้อยู่ เราจึงยังมีศักยภาพที่จะเข้าถึงความไม่หวาดหวั่นอยู่ด้วยในตัว ความไม่หวาดหวั่นที่แท้จริงนั้น มิใช่การลดทอนความกลัวลง แต่เป็นการขึ้นอยู่เหนือความกลัวนั้น ทว่าโชคร้ายที่ในภาษาอังกฤษนั้นเราไม่มีคำเฉพาะซึ่งหมายถึงสิ่งนี้ คำว่า "fearlessness" นับว่ามีความหมายใกล้เคียงที่สุด แต่โดยคำว่า "fearless" เรามิได้หมายถึงว่า "กลัวน้อย" (less fear) หากหมายถึง "อยู่เหนือความกลัว" (beyond fear)
 
......การขึ้นอยู่เหนือความกลัวเริ่มขึ้นเมื่อเราพิจารณาดูความกลัวของเรา เฝ้าดูความวิตกกังวล ความทุรนทุราย และความกระวนกระวายของตน ถ้าเราจ้องมองเข้าไปในความกลัว ถ้าเรามองทะลุลงไปใต้พื้นผิวของมัน สิ่งแรกที่เราพบก็คือความเศร้า ซึ่งซ่อนเร้นอยู่ใต้ความทุรนทุรายนั้น ความทุรนทุรายนั้นเป็นอาการผิดปกติ มันดำเนินไปและสั่นไหวอยู่ตลอดเวลา เมื่อเราทำตัวให้เนิบช้าลง เมื่อเราผ่อนคลายจากความกลัว เราจะพบความเศร้าซึ่งสงบและอ่อนโยนยิ่ง ความเศร้านี้สะเทือนใจคุณ และร่างกายก็ขับน้ำตาออกมา ก่อนที่คุณจะร้องไห้มีความรู้สึกวูบอยู่ในทรวงอก ครั้นแล้วคุณก็หลั่งน้ำตาออกมา คุณแทบจะหลั่งมันออกมามากมายดังสายฝนหรือธารน้ำตกทีเดียว คุณรู้สึกเศร้าและเหงาหงอยยิ่งขณะเดียวกันก็รู้สึกโรแมนติคด้วย นั่นคือเงื่อนปมรกของความไม่หวาดหวั่นและเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นนักรบที่แท้ คุณอาจคิดเอาเองว่า เมื่อคุณเข้าถึงความไม่หวาดหวั่น คุณคงจะได้ยินเสียงซิมโฟนีหมายเลข 5 ของปีโทเวน หรือ ได้เห็นระเบิดก้องในท้องฟ้า แต่อัศจรรย์เหล่านั้นจะไม่มีอุบัติขึ้น ตามแนวทางของซัมบาลา การค้นพบถึงความไม่หวาดหวั่นย่อมอุบัติขึ้นจากการกระทำการร่วมกับความอ่อนโยนในหัวใจของมนุษย์
 
......กำเนิดของนักรบนั้นคล้ายดั่งเขากวางเรนเดียร์ที่เพิ่งงอก หะแรกเขาของมันที่นุ่มนิ่มดั่งยาง มีขนอ่อนขึ้นอยู่บนนั้นด้วย นั่นยังมิใช่เขาแต่เป็นเพียงปุ่มปมที่มีเลือดหล่อเลี้ยงอยู่ในนั้น ครั้นพอกวางเรนเดียร์มีอายุมากขึ้น เขาก็แข่งแกร่งขึ้นตามวัย แตกกิ่งออกสี่กิ่งบ้างจนถึงสี่สิบก็มี ความไม่หวาดหวั่นนั้นเริ่มแรกคล้ายดังเขาอ่อนนุ่ม ๆ เหล่านั้น มันดูคล้ายเขาก็จริงแต่ไม่สามารถใช้มันเป็นอาวุธต่อสู้ได้ เมื่อกวางเริ่มงอกเขาอ่อน มันก็ไม่รู้ว่าจะใช้เขานั้นทำอะไร คุณคงต้องรู้สึกเคอะเขินมากที่เดียวที่ต้องมีปุ่มปมนุ่ม ๆ งอกอยู่บนหัว แต่ในไม่ช้ากวางจะเริ่มตระหนักได้ว่ามันจะต้องมีเขาและเขานั้นเป็นธรรมชาติส่วนหนึ่งของการเป็นกวาง ในทำนองเดียวกันเมื่อมนุษย์เริ่มให้กำเนิดแก่ดวงใจอันอ่อนโยนของนักรบเป็นคราแรก เขา(ไม่ว่าชายหรือหญิง) ย่อมรู้สึกเคอะเขินอย่างบอกไม่ถูก เต็มไปด้วยความไม่แน่ใจว่าจะสัมพันธฺกับความไม่หวาดหวั่นชนิดนี้อย่างไร แต่แล้วเมื่อคุณได้สัมผัสรับรู้ถึงความเศร้าชนิดนี้มากขึ้นเป็นลำดับ คุณจะประจักษ์แจ้งแก่ใจว่ามนุษย์นั้นควรจะต้องมีความอ่อนโยนและเปิดกว้าง ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่คุณจะต้องรู้สึกอายหรือเคอะเขินต่อความเป็นคนอ่อนโยนเลย แท้ที่จริงความอ่อนโยนของคุณเริ่มจะกลายเป็นความกรุณาไปเสียแล้ว คุณเริ่มอยากที่จะเข้าหาผู้อื่นและสื่อสารกับเขา
 
......เมื่อความอ่อนโยนพัฒนาไปตามแนวทางนั้น เมื่อนั้นแหละที่คุณอายแลเห็นคุณค่าของโลกรอบ ๆ ตัวอย่างแท้จริง สัมผัสและการรับรู้กลายเป็นสิ่งที่น่าสนใจยิ่ง คุณได้กลายเป็นความอ่อนโยนและความเปิดกว้างไปเสียแล้ว จนคุณต้องเปิดออกสู้สิ่งต่าง ๆ รอบ ๆ ตัวไปโดยปริยาย เมื่อคุณเห็นสีแดงหรือเขียว เหลืองหรือดำ คุณก็ตอบสนองออกไปจากก้นบึ้งของหัวใจ เมื่อคุณเห็นใครบางคนร้องไห้หรือหัวเราะหรือหวาดกลัว คุณก็ตอบสนองไปอย่างเหมาะสม จากจุดนี้เอง ความไม่หวาดหวั่นในระดับรากฐานก็ได้คลี่คลายไปสู่ความเป็นนักรบ เมื่อคุณเริ่มรู้สึกที่จะเป็นคนอ่อนโยนและสุภาพอย่างปล่อยวางตามสบาย เขากวางเรนเดียร์ของคุณก็จะมิใช่เขาอ่อนที่มีขนอยู่อีกต่อไป หากมันได้กลายเป็นเขาที่แท้จริง สภาพการณ์ต่าง ๆ กลับกลายเป็นของจริงและจริงยิ่ง อีกแง่มุมหนึ่งก็กลับเป็นสิ่งธรรมดาสามัญยิ่งเช่นกัน ความกลัวคลี่คลายมาเป็นความไม่หวาดหวั่นโดยธรรมชาติ เป็นไปอย่างง่าย ๆ และตรงไปตรงมายิ่ง
 
......อุดมคติของความเป็นนักรบก็คือจะต้องมีใจเศร้าและอ่อนโยนและด้วยเหตุนั้นเอง นักรบจึงองอาจกล้าหาญยิ่ง หากปราศจากใจเศร้าเช่นนั้นแล้ว ความกล้าหาญก็จะกลับกลายเป็นสิ่งเปราะบางยิ่ง เหมือนดังถ้วยกระเบื้อง ถ้าคุณทำตก มัานก็จะแตกกระจายหรือบิ่นร้าว แต่ความกล้าของนักรบนั้นเปรียบประดุจดังถ้วยเขิน ซึ่งมีไม้เป็นแกนเคลือบด้วยยางรัก ถ้าทำถ้วยเขินตก มันก็จะกระดอนแทนที่จะแตก มันมีทั้งความอ่อนนุ่มยืดหยุ่นและแข็งแกร่งในขณะเดียวกัน


http://board.agalico.com/showthread.php?t=28468
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออนไลน์ ออนไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5075


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #9 เมื่อ: 29 มิถุนายน 2553 08:31:45 »


 
 
บทที่ 5 ประสานจิตกับกาย

 
 
 
" การประสานจิตกับกายเข้าด้วยกันมิใช่เป็นเพียง
ความคิดหรือเป็นวิธีการอันไร้แบบแผน ที่ผู้ใดผู้หนึ่ง
คิดขึ้นมาเพื่อใช้ปรับปรุงตนเอง ทว่ามันคือหลักการณ์พื้น
ฐานของความเป็นมนุษย์และการใช้ผัสสะ ใช้จิตและ
กายอย่างสอดคล้องกัน"



......การสำแดงออกแห่งความดีงามพื้นฐานนั้น ย่อมมีส่วนสัมพันธ์กับความอ่อนโยนอยู่เสมอ ความอ่อนโยนนั้นมิใช่อ่อนปวกเปียก นุ่ม ๆ นิ่มๆหรือมากจนเลื่ยน ทว่าเป็นความอ่อนโยนที่เต็มเปี่ยมและสง่าผ่าเผย ความอ่อนโยนในที่นี้เกิดขึ้นจากการที่ได้เข้าถึงภาวะที่ปราศจากความลังเลสงสัย ซึ่งก็คือความชัดเจนนั่นเอง การปราศจากความลังเลสงสัยนี้ไม่เกี่ยวกับ การยอมรับถึงแนวความคิดหรือหลักปรัชญา มันไม่ใช่การที่คุณจะถูกชักจูงเกลี้ยกล่อมให้เข้าร่วมสงครามศาสนา จนกระทั่งคุณเริ่มปราศจากความสงสัยในความเชื่อของตนเอง เรามิได้กำลังพูดถึงผู้คนที่ปราศจากความสงสัยซึ่งได้กลายเป็นพวกบ้าศาสนา ซึ่งพร้อมที่จะเสียสละตนเองเพื่อความเชื่อ การไร้ความสงสัยนี้ก็คือความเชื่อมั่นในหัวใจของตนเอง เชื่อมั่นตนเอง การปราศจากความสงสัยนี้หมายความว่า คุณได้เชื่อมโยงเข้ากับตนเอง คือการที่คุณได้เข้าถึงการประสานกายกับจิตเข้าด้วยกัน เมื่อจิตกับกายเชื่อมโยงเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เมื่อนั้นเองที่ความสงสัยได้สิ้นสุดลง
 
.....การประสานจิตกับกายเข้าด้วยกันมิใช่เป็นเพียงความคิดหรือเป็นวิธีการอันไร้แบบแผน ที่ผู้ใดผู้หนึ่งคิดขึ้นมาเพื่อใช้ปรับปรุงตนเอง ทว่ามันคือหลักการพื้นฐานของความเป็นมนุษย์และการใช้ผัสสะ ใช้จิตและกายอย่างสอดคล้องกัน ร่างกายนั้นเปรียบเสมือนกล้องถ่ายรูป และจิตนั้นเหมือนฟิล์มที่อยู่ในกล้อง ปัญหาอยู่ที่ว่า คุณจะใช้มันร่วมกันอย่างไร เมื่อขนาดความกว้างของรูกล้องและความเร็วชัตเตอร์ได้ถูกกำหนดอย่างเหมาะสมอย่างสอดคล้องกับ ความไวแสงของฟิล์มที่อยู่ภายใน เมื่อนั้นคุณก็อาจถ่ายได้ภาพที่ดีและคมชัด เพราะเหตุที่คุณได้ประสานกันอย่างเหมาะเจาะสอดคล้อง เมื่อนั้นคุณก็จะมีการรับรู้ที่แจ่มชัดจะเกิดความรู้สึกแน่แก่ใจขึ้นมา ปราศจากความหวาดหวั่นแกว่งไกวและการมองอย่างแคบ ๆ อันมีความวิตกกังวลเป็นสาเหตุ ซึ่งทำให้พฤติกรรมของคุณสับสนเลอะเลือนยิ่ง .
 
.....เมื่อกายและจิตไม่บรรสานกัน บางครั้งจิตของคุณสั้นแต่ร่างกายกลับยาว หรือบางครั้งจิตของคุณยาว ทว่าร่างกายกลับสั้น เมื่อนั้นคุณก็จะเต็มไปด้วยความลังเล แม้แต่จะหยิบจับแก้วน้ำสักใบหนึ่ง บางครั้งคุณอาจจะเอื้อมยาวเกินไป และบางครั้งคุณก็เอื้อมไปไม่ไกลพอ คุณก็ไม่สามารถหยิบถือแก้วน้ำไว้ได้ เมื่อจิตและกายไม่บรรสานกัน เมื่อนั้นแม้ว่าคุณยิงธนูก็ยิงไม่ถูกเป้า แม้ว่ากำลังเขียนอักษรจีน แม้แต่จุมพู่กันลงในหินฝนหมึกก็ไม่ตรงเสียแล้ว อย่าพูดถึงการตวัดพู่กันอย่างมีพลังเลย .
 
.....การประสานกายกับจิตยังเกี่ยวพันไปถึงว่าเราได้สัมพันธ์กับโลกอย่างไรด้วย เกี่ยวพันไปถึงว่าเรากระทำการร่วมกับโลกอย่างไร กระบวนการนี้อยู่สองขั้นตอน ซึ่งเราอาจเรียกว่าการมองและการเห็น เราอาจจะพูดถึงการฟังและการได้ยินหรือการสัมผัสและการรู้สึกด้วยก็ได้ แต่ดูจะง่ายดายกว่าที่จะอธิบายกระบวนการอันสอดคล้องนี้ด้วยจักษุประสาท "การมองดู" เป็นอาการในขั้นแรก และถ้าหากคุณมีความลังเลสงสัยอยู่ ก็จะมีความหวาดหวั่นไม่มั่นคงเข้ามาแทรก คุณเริ่มมองดู ครั้นแล้วก็รู้สึกหวั่นไหว หรือกระวนกระวายเพราะเหตุที่คุณไม่เชื่อมั่นในสายตาของตนเอง ดังนั้น บางครั้งคุณจึงอยากที่จะหลับตาเสีย คุณไม่ปรารถนาจะมองต่อไปอีก แต่ประเด็นกลับอยู่ตรงที่ว่าคุณจะต้องแลดูต่อไปให้ถี่ถ้วน มองดูสีสันของมัน ขาว ดำ ฟ้า เหลือง แดง เขียว หรือม่วง แลดูต่อไป นี่คือโลกของคุณ คุณไม่อาจเพิกเฉยได้ ไม่มีโลกอื่นนอกไปจากนี้ นี่คือโลกของคุณ คือของประทานสำหรับคุณ คุณเป็นทายาทของสิ่งเหล่านี้ คุณรับมรดกลูกนัยน์ตานี้มา คุณสืบทอดโลกแห่งสีสันนี้มา จงมองดูความยิ่งใหญ่ของสรรพสิ่ง มองดูซิ อย่าได้ลังเล มองดู เปิดตาอกอย่ากระพริบ และแลดู ดู ดูให้ชัด
 
.....เมื่อนั้นคุณอาจ "เห็น" บางสิ่งบางอย่าง ซึ่งนั่นเป็นขั้นตอนทีสองยิ่งมองดูมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเริ่มรู้สึกอยากเห็นมากขึ้นเท่านั้น ก็ยิ่งอยากจะมองให้มากขึ้น กระบวนการในการมองของคุณไม่จำเป็นจะต้องจำกัดเอาไว้ เพราะเหตุที่คุณเป็นสิ่งแท้ คุณอ่อนโยน ไม่มีอะไรจะต้องสูญเสีย และไม่จำเป็นที่จะต้องต่อสู้เพื่อครอบครองสิ่งใดไว้ คุณอาจมองดูได้มาก ๆ อาจมองได้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป และอาจเห็นได้อย่างงดงาม ที่จริง คุณอาจรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นของสีแดงและความเย็นฉ่ำของสีฟ้า รู้สึกได้ถึงความจัดจ้าของสีเหลือง ความแหลมคมของสีเขียว รู้สึกได้พร้อม ๆ กันในทันทีนั้น คุณอาจรู้สึกถึงคุณค่าของโลกรอบๆตัว มัานคือการค้นพบอย่างใหม่อันมหัศจรรย์เกี่ยวกับโลก คุณอาจจะอยากสำรวจตรวจค้นไปในจักรวาลอันกว้างใหญ่
 
.....บางครั้ง เมื่อเรารับรู้โลก เรารับรู้โดยปราศจากภาษา เรารับรู้จากเนื้อตัวโดยตรง โดยระบบการสื่อสารที่ปราศจากภาษา แต่ในบางครั้งเมื่อยามเรายลโลก แวบแรกเราก็คิดถึงถ้อยคำ ครั้นแล้วจึงสัมผัสรับรู้ พูดอีกนัยหนึ่งอย่างแรกคือการสัมผัสรับรู้ถึงจักรวาลโดยตรง ส่วนอย่างหลังคือการบอกตัวเองให้มองดูจักรวาลของเราเอง ดังนั้นไม่ว่าคุณจะมองดูและสามารถแลเห็นเหนือภาษาขึ้นไป ในชั่วขณะแห่งสัมผัสแรก หรือคุณจะแลเห็นโลกผ่านม่านความคิดของตนโดยการพูดกับตนเอง ทุกผู้คนย่อมรู้ดีว่าการสัมผัสโดยตรงนั้นเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์อันแรงกล้า ตัญหาหรือความก้าวร้าวและความอิจฉาริษยา ล้วนเป็นสิ่งที่ปราศจากภาษาทั้งสิ้น มันอุบัติขึ้นมาอย่างแรงกล้าในชั่วแวบแรก ครั้นแล้ว คุณก็เริ่มคิดถึงมันโดยใจ "ฉันเกลียดคุณ" หรือ "ฉันรักคุณ" หรือ พูดว่า "ฉันรักคุณได้มากเพียงนั้นเทียวหรือ" มีการพูดคุณโต้ตอบเกิดขึ้นในจิตใจของคุณ
 
.....การประสานกายและจิตคือการมองดูและแลเห็นโดยตรง อันอยู่พ้นภาษาขึ้นไป ทั้งนี้มิใช่เพราะเราดูแคลนภาษา แต่ด้วยเหตุที่การโต้ตอบภายในของคุณนั้นกลับกลายเป็นการพูดจานินทาของจิตใต้สำนึก คุณสร้างบทกวีและความเพ้อฝันขึ้นมา คุณสร้างคำสบถสาบานของตนเองขึ้น คุณเริ่มการสนทนาระหว่างตนกับตัวเอง กับคนรัก และกับครู ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นในใจ แต่อักนัยหนึ่ง เมื่อไหร่ที่คุณรู้สึกว่าคุณสามารถผ่อนคลายลงและรับรู้โลกได้โดยตรง เมื่อนั้นญาณทัศนะของคุณก็จะแผ่ขยายออกไป กว้างขึ้น กว้างขึ้น และคุณจะแลเห็นว่าโลกนี้เต็มไปด้วยสีสันและความสดใหม่ทั้งยังเที่ยงตรงยิ่ง แง่มุมอันคมชัดของมันช่างเป็นสิ่งมหัศจรรย์
 
.....ในทำนองนั้นเอง การประสานกายกับจิตเข้าด้วยกันจึงเป็นสิ่งที่สัมพันธ์กับการเติบใหญ่ไปสู่ภาวะของความไม่หวาดหวั่นด้วย พูดถึงความไม่หวาดหวั่นนี้ เรามิได้หมายถึงการกระทำดังเช่นการกระโดดลงมาจากหน้าผา หรือเอานิ้วแหย่เข้าไปในเตาไฟ หากแต่ความไม่หวาดหวั่นในที่นี้ หมายถึงความสามารถที่จะตอบสนองอย่างเที่ยงตรงต่อโลกแห่งปรากฎการณ์ทั้งมวล มันหมายเพียงการสัมพันธ์อย่างชัดเจนและตรงไปตรงมากับโลกแห่งปรากฎการณ์ โดยอาศัยสัมผัสรับรู้ของคุณ โดยอาศัยจิตและญาณทัศนะ ญาณทัศนะอันปราศจากความกลัวนั้นย่อมสะท้อนให้เห็นอยู่ในตัวคุณด้วย มันส่งผลให้คุณมองตัวเองอย่างไร ถ้าคุณมองดูตัวเองในกระจกเงา มองดูผมเผ้า ดูฟัน ดูหนวด ดูเสื้อคลุม เสื้อเชิร์ต ดูเนคไท ดูชุดเสื้อผ้า ดูสร้อยมุกและตุ้มหู คุณย่อมและเห็นว่ามันล้วนดำรงอยู่ที่นั่น ทั้งตัวคุณเองก็ดำรงอยู่ที่นั่น ดังที่ตัวเองเป็น คุณจะเริ่มตระหนักได้ว่าคุณมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะดำรงอยู่ในจักรวาลนี้ ที่จะเป็นอย่างนี้ ทั้งคุณจะเห็นด้วยว่ามีความเอื้ออารีพื้นฐานซึ่งโลกนี้มอบให้แก่คุณ คุณได้แลดูและได้เห็น คุณไม่จำเป็นต้องรู้สึกต่ำต้อยหรือเสียอกเสียใจที่ได้เกิดมาบนโลกนี้เลย
 
.....การค้นพบประการนี้เป็นแวบแรกของการหยั่งเห็นที่เรียกว่าอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่ เมื่อเรากล่าวถึงคำว่าดวงอาทิตย์ ในที่นี้เราหมายถึงดวงอาทิตย์แห่งความภาคภูมิสง่างามของมนุษย์ ดวงอาทิตย์แห่งพลังของมนุษย์ ดังนั้นมันจึงหมายถึงรุ่งอรุณหรือการตื่นแห่งคุณค่าศักดิ์ศรีของมนุษย์ คือการอุบัติขึ้นของคุณค่าความเป็นนักรบแห่งมนุษย์ การประสานกายและจิตย่อมนำไปสู่รุ่งอรุณของอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่


http://board.agalico.com/showthread.php?t=28469
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออนไลน์ ออนไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5075


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #10 เมื่อ: 29 มิถุนายน 2553 08:32:18 »


 
 
บทที่ 6 รุ่งอรุณแห่งอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่

 
 
"วิถีทางแห่งอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่มีพื้นฐานอยู่บน
การแลเห็นว่า มีแหล่งกำเนิดแห่งแสงสว่างและประภา
รัศมีตามธรรมชาติอยู่ในโลกนี้ ซึ่งก็คือภาวะแห่งการ
ตื่นขึ้น อันมีอยู่โดยกำเนิดของมนุษย์"




......รุ่งอรุณแห่งอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่มีพื้นฐานอยู่บนประสบการณ์ที่เป็นจริง มันมิใช่เป็นเพียงความคิด คุณย่อมตระหนักว่าคุณอาจยกระดับตัวเองขึ้น คุณอาจเล็งเห็นคุณค่าของการดำรงอยู่ในฐานะที่เป็นมนุษย์ ไม่ว่าคุณจะเป็นเด็กปั๊มหรือประธานาธิบดีของประเทศก็ไม่ต่างอะไรกันเลย เมื่อใดที่คุณสัมผัสได้ถึงความดีงามของการมีชีวิตอยู่ คุณก็ย่อมเคารพในสิ่งที่ตัวเองเป็น คุณไม่จำต้องรู้สึกห่อเหี่ยวเพราะมีภาระหนี้สิน มีผ้าอ้อมลูกต้องคอยเปลี่ยน มีอาหารที่จะต้องปรุงหุงหา มีเอกสารที่จะต้องทำให้เสร็จ เพราะโดยพื้นฐานแล้ว นอกเหนือจากงานรับผิดชอบเหล่านี้ คุณอาจเริ่มรู้สึกได้ว่ามีภาวการณ์อย่างหนึ่งอันทรงคุณค่าอย่างยิ่ง นั่นคือการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ การได้มีชีวิตอยู่ โดยไม่หวั่นเกรงต่อความตาย
 
......ความตายจะมาถึงอย่างแน่นอน คุณไม่มีทางหลีกเลี่ยงมันได้ ไม่ว่าคุณจะทำสิ่งใดก็ตาม ความตายจะปรากฎขึ้น แต่ถ้าหากคุณดำรงชีวิตอยู่ด้วยอาการอันสำนึกรู้ถึงความจริง พร้อมด้วยการตระหนักรู้ถึงคุณค่าของชีวิต เมื่อนั้นคุณก็ได้ละทิ้งความทรงจำแห่งชีวิตอันทรงคุณค่าไว้เบื้องหลัง เพื่อว่าญาติมิตรและลูกหลานจะได้แลเห็นถึงคุณค่าของการเป็นตัวคุณ ญาณทัศนะของอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่มีพื้นฐานอยู่บนชีวิตอันรุ่งโรจน์ มันเป็นสิ่งตรงข้ามกับอาทิตย์อัสดง อาทิตย์ที่ตกลงตรงขอบฟ้าและจางหายไปในความมืด ญาณทัศนะของอาทิตย์อัสดงมีพื้นฐานอยู่บนการพยายามขับไล่ความคิดเกี่ยวกับความตายออกไป พยายามที่จะปกป้องตัวเองไว้จากมรณภัย ทัศนะของอาทิตย์อัสดงมีพื้นฐานอยู่บนความกลัว เรามักกลัวตัวเองตลอดเวลา เรารู้สึกว่าเราไม่สามารถยืดตัวเองได้เลย เราเต็มไปด้วยความละอายใจในตัวเอง ในสิ่งที่เราเป็น ในความเป็นเรา เราอายในหน้าที่การงาน อายในฐานะการเงิน อายในชาติกำเนิด อายในการศึกษา และอายในปัญหาทางจิตใจของตน
 
......ญาณทัศนะแห่งอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่ ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการแลเห็นคุณค่าของตัวเองและโลกนี้ ดังนั้นมันจึงเป็นวิถีทางที่อ่อนโยนมากด้วยเหตุที่เราแลเห็นคุณค่าความหมายของโลก เราจึงไม่สร้างความปั่นป่วนสับสนให้แก่มัน เราเอาใจใส่ดูแลรักษาสภาพจิตใจและใส่ใจดูแลโลก โลกที่เราอาศัยอยู่นี้ถือได้ว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องบำรุงรักษาและทำความสะอาดมัน ทัศนะแห่งอาทิตย์อัสดงถือว่าการทำความสะอาดและการซักล้างเช็ดถูเป็นเรื่องของการจ้างคนให้มาทำ หรือถ้าหากว่าคุณไม่สามารถหาแม่บ้านได้ คุณก็อาจทำเอง ทว่าถือว่ามันเป็นงานสกปรก การได้กินอาหารอร่อยๆนั้นเป็นเรื่องวิเศษ แต่ทว่าใครจะเป็นคนล้างจานเล่า เรามักจะผลักภาระนี้ไปให้กับคนอื่นอย่างเต็มอกเต็มใจ
 
......มีเศษอาหารจำนวนนับพัน ๆ ตันถูกเททิ้งไปทุก ๆ ปี เมื่อผู้คนไปกินอาหารกันที่ภัตตาคารก็มักจะได้รับอาหารจานใหญ่ ซึ่งมีปริมาณมากเกินกว่าที่จะกินหมด อาหารจานใหญ่ ๆ เหล่านั้นมีขึ้นเพื่อสนองความต้องการอย่างใหญ่ในจิตใจของเขา ใจของเขาอิ่มเอมเพียงเมื่อได้เห็นสเต็คชิ้นมหึมาได้เห็นอาหารเต็มจาน ครั้นแล้วอาหารที่เหลือก็ถูกเทลงถังขยะไปอาหารเหล่านั้นสิ้นเปลืองไปอย่างน่าเสียดาย เปล่าเปลืองอย่างยิ่ง
 
......นั่นแหละคือวิถีทางของอาทิตย์อัสดง คุณได้สนองตาสนองความอยากของตนเอง แต่ทว่าไม่สามารถบริโภคได้หมด และจบลงด้วยการเทของที่เหลือทิ้ง ไม่มีแม้แต่ความคิดที่จะนำของที่เหลือมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ทุกสิ่งทุกอย่างไปก่ายกองทับถมกันอยู่ในกองขยะ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เราต้องเผชิญกับปัญหาเรื่องราวกำจัดาขยะปริมาณมหาศาลเหล่านั้น มีบางคนยังคิดถึงขั้นที่จะส่งขยะออกไปทิ้งนอกโลก เราปล่อยให้จักรวาลเป็นผู้จัดการกับขยะของเรา แทนที่จะดูแลรักษาความสะอาดโลกของเรา แนวทางแห่งอาทิตย์อัสดงก็คือการหลีกหนีจากความสกปรกให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อว่าเราจะได้ไม่ต้องแลดูมัน เราเพียงแต่ขจัดสิ่งที่ไม่น่าอภิรมย์ออกไปเสีย ตราบใดที่เรายังอยู่ในภาวะที่น่าพึงพอใจ ตราบนั้นเราก็ลืมนึกถึงเศษอาหารและถ้วยชามที่แปดเปื้อน เราปล่อยภาระการทำความสะอาดให้เป็นหน้าที่ของคนอื่น
 
......ทัศนะเช่นนั้นก่อให้เกิดระบบลดหลั่นแบ่งแยกอันมีลักษณะกดขี่ให้เกิดขึ้นในโลกของอาทิตย์อัสดง ในโลกนั้นประกอบด้วยผู้คนซึ่งคอยติดตามชำระล้างความสกปรกซึ่งผู้อื่นก่อขึ้น และมีผู้คนซึ่งเพลิดเพลินในการทำสกปรกทิ้งไว้ พวกคนมีเงินยังสามารถหาความสุขจากการกินทิ้งกินขว้างสืบไป คนเหล่านี้สามารถจับจ่ายใช้สอยอย่างฟุ่มเฟือยและเพิกเฉยต่อความเป็นจริง ในการกระทำอย่างนั้น คุณไม่มีวันที่จะแลเห็นความสกปรกได้อย่างแท้จริง ไม่มีวันมองเห็นอาหารได้อย่างแท้จริงด้วย ทุกสิ่งทุกอย่างถูกแบ่งแยกออกเป็นส่วน ๆ แยกขาดออกจากกัน จนคุณไม่อาจรับรู้ถึงสิ่งต่างๆ ได้อย่างสมบูรณ์ เรามิได้กำลังพูดถึงอาหารแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่เรากำลังพูดถึงทุกสิ่งทุกอย่างในโลกอาทิตย์อัสดงนั้น อาหารสำเร็จ การพักผ่อนสำเร็จรูป สิ่งสำเร็จรูปสารพัดชนิด แทบจะไม่มีที่ว่างพอให้เกิดความมั่นอกมั่นใจขึ้นในโลกนั้นเลย ไม่มีที่ว่างพอสำหรับความอ่อนโยน ไม่มีที่ว่างให้สัมผัสรับรู้ถึงความจริงได้อย่างเต็มเปี่ยมและเที่ยงตรง
 
......โดยนัยตรงกันข้าม ญาณทัศนะอาทิตย์อุทัยยิ่งใหญ่เป็นการมองที่คำนึงถึงระบบนิเวศน์และสภาพแวดล้อม วิถีทางของอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่มีพื้นฐานอยู่บนการหยั่งเห็นว่าควรจะวางตนอย่างไรและเข้าใจถึงสัมพันธภาพในสิ่งต่าง ๆ ดังนั้นความคิดเรื่องการแบ่งแยกหน้าที่หรือการจัดระเบียบในโลกแห่งอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่ จึงไม่มีการขีดเส้นแบ่งแยกอย่างตายตัว การจัดระเบียบในโลกอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่นั้นเกิดขึ้นจากการมองเห็นชีวิตว่าเป็นกระบวนการตามธรรมชาติ ซึ่งจะต้องปรับเข้ากับกฎเกณฑ์ซึ่งดำรงอยู่เองในโลก การจัดระเบียบของอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่มีพื้นฐานอยู่บนการแลเห็นว่า มีแหล่งกำเนิดแห่งแสงสว่างและประภารัศมีตามธรรมชาติอยู่ในโลกนี้ ซึ่งก็คือภาวะแห่งการตื่นขึ้น อันมีอยู่โดยกำเนิดของมนุษยดวงอาทิตย์แห่งความภาคภูมิสง่างามของความเป็นมนุษย์ย่อมคล้ายดั่งดวงอาทิตย์ซึ่งส่องสว่างทำลายห้องอันมืดดำ เมื่อคุณมีดวงอาทิตย์อันเจิดจรัส ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดแห่งญาณทัศนะอยู่ในตัว แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ย่อมส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่างทุกบานและความกระจ่างแจ้งของมัน ย่อมเป็นแรงดลใจให้คุณเปิดม่านทุกม่าน ระเบียบแบบแผนในโลกแห่งอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่นั้น คือต้นไม้ดอกซึ่งงอกงามชูยอดเติบโตขึ้น ในขณะที่แบบแผนและการแบ่งแยกต่าง ๆ ในโลกแห่งอาทิตย์อัสดงคือสิ่งปิดบังที่ทำให้คุณตื้นเขินและหยุดอยู่กับที่ ในญาณทัศนะของอาทิตย์อุทัยยิ่งใหญ่ แม้แต่อาชญากรก็อาจกล่อมเกลาอุดหนุนจุนเจือให้เติบโตได้ แต่ในทัศนะของอาทิตย์อัสดง อาชญากรคือผู้ไร้หวังที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ดังนั้นจึงถูกตัดขาดแบ่งแยกออกไปต่างหาก ไร้โอกาสโดยสิ้นเชิง เขากลายเป็นส่วนหนึ่งของความสกปรกซึ่งเราไม่ปรารถนาจะเห็น แต่ในญาณทัศนะของอาทิตย์อุทัยยิ่งใหญ่ ไม่มีมนุษย์คนใดเป็นผู้หลงผิดโดยสิ้นเชิง เราไม่รู้สึกว่าเราจะต้องหาสิ่งปกปิดมาครอบคลุมใครหรือสิ่งใดไว้ เรามีความปรารถนาอยู่ตลอดเวลาที่จะให้สิ่งต่าง ๆ ได้มีโอกาสงอกงามออกดอกผล
 
......รากฐานของญาณทัศนะแห่งอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่ ก็คือการประจักษ์แจ้งว่าโลกนี้สะอาดบริสุทธิ์มาตั้งแต่แรกเริ่ม จึงไม่มีปัญหาในเรื่องการทำความสะอาด ถ้าเราตระหนักได้ว่าเราเพียงแต่ทำให้มันกลับคืนสู่สภาพดั้งเดิมตามธรรมชาติ มันเหมือนกับการไปขัดฟัน เมื่อคุณออกจากทันตคลีนิค คุณก็รู้สึกว่าฟันสะอาดมาก ดังประหนึ่งว่าคุณได้ฟันชุดใหม่มา แต่แท้จริงแล้วเป็นเพียงแต่ว่าฟันของคุณได้รับการทำความสะอาดจนหมดจดเท่านั้น และคุณก็ประจักษ์ได้ว่ามันเป็นฟันที่ดีอยู่แล้วโดยพื้นฐาน
 
......ในการกระทำการร่วมกับตนเอง กระบวนการในการชำระล้างตนเริ่มด้วยการเผชิญความจริง เราจำต้องสลัดความลังเลที่จะซื่อสัตย์ต่อตนเองทิ้งไป เพราะเรากลัวว่าจะเป็นสิ่งที่ไม่น่าพึงพอใจนักหากเราต้องเผชิญความจริง ถ้าหากว่าคุณรู้สึกแย่ ๆ เมื่อกลับมาถึงบ้าน เพราะว่าวันนี้ทำงานหนักมาก คุณก็อาจพูดจริง ๆ ถึงสิ่งนั้นว่าคุณรู้สึกแย่ ถ้าทำดังนี้ได้ คุณก็ไม่จำเป็นต้องระบายอารมณ์ใส่ใครต่อใครในห้องนั่งเล่น ทว่าคุณสามารถผ่อนคลาย อาจพบความสุขสบายในบ้านของตนเอง คุณอาจไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่และพักผ่อน คุณอาจเปลี่ยนรองเท้า ออกไปข้างนอกเดินเล่นในสวน และแล้วคุณก็รู้สึกดีขึ้น แท้จริงแล้ว เมื่อคุณเข้าใกล้ความจริงคุณก็อาจบอกความจริงออกมาและสามารถรู้สึกดี ๆ ได้ด้วย
 
......ในโลกนี้มีโอกาสเปิดให้กลับคืนสู่ความสะอาดบริสุทธิ์แต่แรกเริ่มอยู่ตลอดเวลา ด้วยเหตุว่าโลกนี้เป็นสิ่งสะอาดให้เราสามารถเริ่มต้นได้ ราคีมิใช่สิ่งที่มีมาแต่แรกเริ่ม ยกตัวอย่างเช่น เมื่อคุณซื้อผ้าเช็ดตัวผืนใหม่ มันไม่มีรอยสกปรกแปดเปื้อนอยู่เลย ครั้นเมื่อคุณใช้มันไปนานเข้ามันก็กลับสกปรก แต่คุณสามารถซักและทำให้มันกลับสู่สภาพเดิมได้ ในทำนองเดียวกันนี้ ทั้งร่างกายจิตใจและโลกซึ่งเรารู้จัก ทั้งท้องฟ้า ผืนแผ่นดิน บ้านเรือนและทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีอยู่ ล้วนไร้คารีมาแต่แรกเริ่ม แต่ครั้นแล้วเรากลับเริ่มทำให้สิ่งต่าง ๆ แปดเปื้อนด้วยอารมณ์อันขัดแย้งสับสน กระนั้นก็ดีหากกล่าวโดยพื้นฐานแล้ว ภาวะการดำรงอยู่ของเราล้วนเป็นสิ่งดีงามและเป็นสิ่งซึ่งสามารถชำระล้างได้ นั่นคือความหมายของความดีงามพื้นฐาน ซึ่งเป็นรากฐานอันบริสุทธิ์ ซึ่งดำรงอยู่ที่นั่น รอเวลาให้เราไปชำระล้าง เราอาจกลับไปสู่รากฐานดั้งเดิมนี้ได้เสมอ นี่คือหลักการและเหตุผลแห่งอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่





http://board.agalico.com/showthread.php?t=28558
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออนไลน์ ออนไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5075


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #11 เมื่อ: 29 มิถุนายน 2553 08:32:50 »


 
 
บทที่ 7 รังดักแด้

 
 
" หนทางของคนขลาดคือการสานทอรังขึ้นมาห่อหุ้ม
ตัวเองไว้ ภายในรังนั้นเองที่เราพยายามสืบต่อนิสัย
ใจคอเฉพาะตัวไว้ เมื่อเราสร้างรูปแบบพื้นฐานของ
นิสัยและความคิดขึ้นมาใหม่อยู่ตลอดเวลา เมื่อนั้นเราก็
ไม่มีทางผ่านพ้นออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ ออกมาสู่
โลกภายนอกอันสดชื่นได้เลย "

 

 
......ในบทก่อน เราพูดกันถึงรุ่งอรุณแห่งอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่ ถึงแม้ว่าโดยปกติแล้วเราคุ้นเคยกับความมืดของโลกแห่งอาทิตย์อัสดงมากกว่าแสงสว่างของอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่ ดังนั้น หัวข้อที่จะพูดถัดมาก็คือการเข้าเผชิญกับความมืดมน เมื่อพูดถึความมืดนี้เราหมายถึงการปิดตัวเองอยู่ในโลกที่คุ้นเคย ซึ่งเราสามารถหลบซ่อนหรือนอนหลับได้อย่างปลอดภัย ดังประหนึ่งว่าเราอยากจะกลับเข้าไปอยู่ในครรภ์มารดา และซ่อนตัวอยู่ในนั้นตลอดกาล เพื่อว่าจะได้หลีกเลี่ยงการจุติออกมาสู่โลก เมื่อยามที่เราหวาดกลัวการตื่นขึ้นมาและกลัวที่จะสัมผัสได้ถึงความกลัวของตนเอง เมื่อนั้นเราก็จะสร้างรังดักแด้ขึ้น เพื่อเป็นเกราะป้องกันเราไว้จากญาณทัศนะแห่งอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่ เราสมัครใจที่จะซ่อนตนอยู่ในป่าและในถ้ำของตนเอง เมื่อเราซ่อนตัวจากโลกด้วยอาการดังนี้ เราก็ย่อมรู้สึกปลอดภัย เราอาจคิดว่าเราได้ทำให้ความกลัวสงบราบคาบลง แต่โดยแท้จริงแล้ว เรากลับทำให้ตัวเองตกตะลึงจังงังด้วยความกลัว เราหุ้มห่อตัวเองด้วยความคิดที่คุ้นเคย เพื่อว่าจะได้ไม่มีสิ่งที่เจ็บปวดหรือแหลมคมมาทิ่มแทงเราได้ เราหวาดกลัวความกลัวของตนอย่าเหลือเกิน จนกระทั่งทำให้หัวใจของตนชาด้าน
 
.....หนทางของคนขลาดคือการสานทอรังขึ้นมาห่อหุ้มตัวเองไว้ ภายในรังนั้นเองที่เราพยายามสืบต่อนิสัยใจคอเฉพาะตัวไว้ เมื่อเราสร้างรูปแบบพื้นฐานของนิสัยและความคิดขึ้นมาใหม่อยู่ตลอดเวลา เมื่อนั้นเราก็ไม่มีทางผ่านพ้นออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ ออกมาสู่โลกภายนอกอันสดชื่นได้เลย ตรงข้ามกลับห่อหุ้มตัวเองไว้ในสิ่งแวดล้อมอันดำมืดของตน มีเพื่อนอยู่เพียงหนึ่งเดียวคือกลิ่นเหงื่อไคลของตนเท่านั้น เรากลับถือเอาเจ้ารังดักแด้อันอับชื้นนี้ว่าเป็นมรดกตกทอดประจำตระกูล และเราก็ไม่ปรารถนาที่จะสละละเจ้าความทรงจำดี ๆ เลว ๆ เลว ๆ ดี ๆ นี้ไปเสีย ในรังดักแด้นั้นไม่มีการเริงรำ ไม่มีการเดินเหินหรือหายใจ ไม่มีแม้แต่การกระพริบตา มันสุขสบายและง่วงงุน เป็นบ้านและที่พำนักอันคุ้นเคยอย่างยิ่ง ในโลกของรังดักแด้นั้นเป็นสิ่งเช่นการทำความสะอาดในฤดูใบไม้ผลิไม่เป็นที่รู้จัก เรารู้สึกว่าการทำความสะอาดไม่เป็นเรื่องยุ่งยากเกินไป เป็นงานหนักเกินไป เราอยากจะเพียงแต่กลับไปหลับไหลเท่านั้น
 
.....ในรังดักแด้ไม่รู้จักแสงสว่างเลย จนกว่าเมื่อไรก็ตามที่เรารู้สึกต้องการความเปิดโล่ง เกิดมีความปรารถนาในบางสิ่งบางอย่างที่นอกเหนือไปจากกลิ่นเหงื่อไคลของตนเอง เมื่อใดที่เราพิจารณาดูความมืดอันแสนสบายนั้น มองดูมัน ดมและสัมผัสถึงมัน และพบว่าห้วงมืดนั้นน่าหวาดหวั่นแรงกระตุ้นแรกสุดที่ชักนำเราออกจากความมืดดำของรังดักแด้ ไปสู่แสงสว่างของอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่นั้นคือ ความปรารถนาในอากาศสดชื่น ในทันทีทันใดที่เราเริ่มรู้สึกถึงความเป็นไปได้ของอากาศสดชื่น เราก็จะตระหนักว่า แขนขาของเราถูกบังคับให้งองุ้มอยู่ เราอยากที่จะเหยียดมันออกและก้าวเดินไป เริงรำหรือแม้แต่กระโดดโลดเต้น เราประจักษ์ได้ว่ามีทางเลือกอื่นอีกนอกจากรังดักแด้ เราค้นพบว่าเราอาจหลุดพ้นจากกับดักนี้ได้ อาศัยแรงปรารถนาในอากาศสดชื่น ในสายลมเย็นฉ่ำแห่งความเบิกบานใจ เราก็ได้ลืมตาขึ้น เริ่มมองดูค้นหาสภาพแวดล้อมอื่นที่น่าพึงใจกว่ารังดักแด้ของเราและเราจะต้องประหลาดใจเมื่อเริ่มแลเห็นแสงสว่าง แม้ว่าหะแรกจะแลดูมืดมัวก็ตามที การเจาะผ่านรังดักแด้เริ่มจากจุดนี้เอง
 
.....ครั้นเมื่อเราเริ่มตระหนักได้ว่าเจ้ารังดักแด้อันตนเคยใช้เร้นกายนั้นเริ่มเป็นสถานที่อันไม่น่าอภิรมย์ เราก็ต้องการที่จะเปิดแสงสว่างให้ส่องเข้าไปลึกที่สุดเท่าที่จะลึกได้ แต่โดยแท้จริงแล้ว เราไม่ได้กำลังเปิดแสงสว่างเลยเราเพียงแต่เปิดตาให้กว้างขึ้น แลหาแสงที่เจิดจ้าที่สุด ด้วยเหตุนี้เราจึงจับไข้ เป็นไข้ของอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่ แต่เราจำเป็นต้องมาทบทวนถึงความมืดในรังดักแด้ครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อที่จะเกิดกำลังใจก้าวไปเบื้องหน้า เราต้องมองย้อนกลับไปดูความแตกต่างของสถานที่ที่เราผละจากมา
 
.....ถ้าเราไม่มองย้อนกลับไป เราก็จะพบอุปสรรคในการเปรียบเทียบให้เห็นถึงความจริงของฟากฝ่ายอัสดง เราคงไม่สามารถเพียงแค่ปฎิเสธโลกแห่งรังดักแด้อย่างลอย ๆ เท่านั้นกระมัง แม้ว่าโลกนั้นจะแลดูน่าสะพรึงกลัวและไร้สาระก็ตาม หากเราจะต้องปลูกฝังความเห็นอกเห็นใจ ที่แท้จริงต่อประสบการณ์ในด้านที่มืดมิดของเราเช่นเดียวกับของผู้อื่น มิเช่นนั้นแล้วการเดินทางออกจากรังดักแด้ของเรา จะกลายเป็นเพียงการหยุดพักผ่อนของโลกอัสดงเท่านั้น หากปราศจากการมองย้อนกลับเพื่อเปรียบเทียบเราก็มีแนวโน้มที่จะสร้างรังดักแด้ขึ้นมาใหม่ในโลกอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่ เช่นกัน มาบัดนี้ เมื่อเราได้ละทิ้งความมืดดำไว้เบื้องหลังแล้ว เราย่อมรู้สึกได้ว่าเราอาจนอนอาบแดดอย่างนิ่งนอนใจบนพื้นทรายได้
 
.....แต่เมื่อไรที่เรามองย้อนกลับไปดูรังดักแด้และได้แลเห็นถึงความทุกข์ทรมานซึ่งดำรงอยู่ในโลกของคนขลาด การแลเห็นนั้นจะช่วยอุดหนุนเป็นแรงใจให้เราก้าวต่อไปในหนทางของการเป็นนักรบ มิใช่การเดินทางแบบการเดินทางในทะเลทราย ซึ่งได้แต่จับตามองเส้นขอบฟ้าเบื้องหน้า ทว่ามันคือการเดินทางไปภายในตัวเอง ดังนั้นเราจึงเริ่มตระหนักถึงคุณค่าของอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่ มิใช่อยู่ในฐานะของสิ่งที่อยู่นอก เหมือนดังเช่นอาทิตย์ในฟากฟ้า หากแต่เป็นอาทิตย์ที่ยิ่งใหญ่ที่อยู่ในหัวของเรา อยู่ในหลังและในไหล่ อยู่ในหน้าและในผม ในริมฝีปากและในทรวงอก ถ้าเราพิจารณาท่าทาง นิสัยใจคอ การดำรงอยู่ของเราให้ดี เราจะพบคุณลักษณะของอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่ สะท้อนอยู่ในทุก ๆ แง่มุมของการดำรงอยู่
 
.....จากสิ่งนี้เองก่อให้เกิดความรู้สึกถึงการเป็นมนุษย์ที่แท้จริง ไม่ว่าจะเป็นด้วยกาย หรือ ด้วยจิต ด้วยโลกหรือ ด้วยธรรม เราอาจรู้สึกได้ว่าเราดำเนินชีวิตอย่างเต็มเปี่ยม จะมีความรู้สึกสมบูรณ์เต็มเปี่ยมอุบัติขึ้นกับชีวิต ดังว่าเรากำลังถือทองคำแท่งอยู่ในมือ มันทั้งหนัก ทั้งเต็ม ส่องประกายทองระยิบ มีบางสิ่งบางอย่างในภาวะการดำรงอยู่ของมนุษย์ซึ่งจริงอย่างยิ่งและลุ่มลึกอย่างยิ่ง จากความรู้สึกอันนี้เอง ความรู้สึกสมบูรณ์อย่างใหญ่หลวงจะหลั่งล้นออกไปสู่ผู้อื่น ความจริงก็คือการสรรสร้างความสุขสมบูรณ์ขึ้นมาในโลกของเรา ได้กลายเป็นวินัยรากฐานของความเป็นนักรบ วินัยนี้มิได้หมายถึงสิ่งที่ไม่น่ายินดีหรือฉาบฉวยซึ่งถูกกำหนดออกมาจากภายนอก หากแต่วินัยนี้คือกระบวนการซึ่งเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันซึ่งแผ่ขยายออกอย่างเป็นธรรมชาติ จากประสบการณ์ของตนเอง เมื่อเรารู้สึกสุขสมบูรณ์และเปี่ยมล้น เราก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการแบ่งปันความสุขสมบูรณ์ให้แก่ผู้อื่นได้
 
.....ญาณทัศนะอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่ย่อมก่อให้เกิดความสนใจโดยธรรมชาติต่อโลกภายนอก โดยปกติแล้ว "ความสนใจ" ย่อมมีขึ้นเมื่อมีสิ่งพิเศษบางอย่างเกิดขึ้น และเร้าให้คุณรู้สึก "สนใจ" ในสิ่งนั้น หรือความสนใจนั้นอาจเกิดขึ้นเพราะความเบื่อหน่ายได้ด้วยเช่นกัน คุณแสวงหาสิ่งที่น่าสนใจก็เพื่อฆ่าเวลาให้ผ่านพ้น ความสนในนั้นยังอาจเกิดขึ้นเมื่อคุณรู้สึกบีบคั้นด้วย คุณกลายเป็นคนช่างซักช่างถามขี้สงสัยและแหลมคมเพื่อปกป้องตัวเอง เพื่อว่าจะได้ไม่มีภัยใด ๆ เกิดขึ้น แต่สำหรับนักรบความสนใจเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เพราะเหตุว่ามีความสุขสมบูรณ์และความเป็นเอกภาพอยู่ในชีวิตของเขาหรือของหล่อนอย่างล้นปรี่ นักรบย่อมรู้สึกได้ว่าโลกนี้เต็มไปด้วยสิ่งน่าสนใจอยู่โดยธรรมชาติ ไม่ว่าจะในโลกของภาพที่ดวงตามองเห็น โลกของอารมณ์ความรู้สึกหรือโลกใด ๆ ที่เขามีอยู่ ดังนั้นความสนอกสนใจหรือความใคร่รู้ใคร่เห็นจึงสำแดงออกด้วยความร่าเริงอย่างไม่เสแสร้ง เต็มไปด้วยความร่าเริงเบิกบานพร้อม ๆ กันกับความไม่เสแสร้ง และความอ่อนโยน
 
......ตามธรรมดาแล้วเมื่อคุณรู้สึกร่าเริงเบิกบานในบางสิ่งบางอย่าง คุณก็ได้สร้างหนังหนา ๆ ขึ้นมาห่อหุ้มตัวเอง และก็รู้สึกพึงพอใจ คุณกล่าวกับตนเองว่า "ผมรู้สึกเบิกบานที่ได้อยู่ที่นี่" นั่นเป็นเพียงการยืนยันถึงการมีอยู่ของตัวตนเท่านั้น แต่ในกรณีนี้ ความเบิกบานย่อมมีความรู้สึกเจ็บปวดผสานอยู่ด้วย ด้วยเหตุที่คุณรู้สึกเจ็บหรือรู้สึกระคายเคืองในความสัมพันธ์ที่คุณมีต่อโลก แท้ที่จริงแล้ว ความอ่อนโยนหรือความเศร้าและความนุ่มนวลนี้ย่อมก่อให้เกิดความรู้สึกสนใจขึ้นโดยธรรมชาติ คุณเต็มไปด้วยความเปิดโล่ง จนช่วยไม่ได้ที่จะต้องถูกโลกเข้ามากระทบ มีพลังแห่งการปกปักรักษาบางอย่างหรือความสุขุมรอบคอบ ที่ช่วยนักรบไว้มิให้ประสบหายนะ หรือต้องสร้างหนังหนา ๆ ขึ้น ที่ใดก็ตามที่มีความสนใจอยู่ นักรบย่อมสะท้อนย้อนกลับไปสู่ความเศร้า ไปสู่ความอ่อนโยน ซึ่งจะเกื้อหนุนให้เกิดของจริงสิ่งแท้ขึ้น และเป็นตัวจุดประกายความสนอกสนใจขึ้นอีกทีหนึ่ง
 
.....ดวงอาทิตย์อุทัยยิ่งใหญ่ย่อมส่องสว่างหนทางแห่งการฝึกฝนตนเองของนักรบ เปรียบประดุจลำแสงที่คุณแลเห็นยามเมื่อดวงอาทิตย์อุทัยไขแสง รัศมีที่ส่องต้องตัวคุณนั้นคล้ายดังหนทางซึ่งคุณอาจเดินไปบนนั้นได้ ในทำนองเดียวกัน ดวงอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่ย่อมสร้างบรรยากาศชนิดหนึ่งขึ้น ซึ่งคุณอาจก้าวล่วงไปเบื้องหน้า เติมพลังให้แก่ตนเองอยู่ตลอดเวลา ชีวิตทั้งหมดของคุณย่อมก้าวไปเบื้องหน้า ถึงแม้ว่าคุณอาจจะต้องทำบางสิ่งบางอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดังเช่นการทำงานในโรงงานหรือขายแฮมเบอร์เกอร์ ไม่ว่าคุณจะทำสิ่งใดก็ตาม แต่ละนาทีต่างก็ล้วนเป็นสิ่งสดใหม่ นักรบไม่จำเป็นต้องมีทีวีสี หรือวีดีโอเกมส์ นักรบไม่จำเป็นต้องอ่านเรื่องขำขันเพื่อช่วยให้ตัวเองเพลิดเพลินหรืออารมณ์ดี โลกซึ่งดำเนินไปรอบ ๆ ตัวนักรบก็ล้วนเป็นอย่างที่เป็น และในโลกนั้นไม่มีปัญหาเรื่องการแสวงหาความเพลิดเพลินอยู่เลย ดังนั้นอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่จึงเอื้อให้เกิดหนทางที่คุณจะหยิบฉวยเอาจากชีวิตอย่างเต็มเปี่ยม เมื่อนั้นคุณจะพบว่าคุณไม่จำเป็นต้องไปขอให้สถาปนิกหรือช่างตัดเสื้อให้มาช่วยออกแบบ ตกแต่งโลกของคุณเสียใหม่ ตรงจุดของการประจักษ์แจ้งนี้เอง ความหมายอันลึกล้ำยิ่งขึ้นของความเป็นนักรบย่อมอุบัติขึ้น นั่นคือการเป็นนักรบที่แท้จริงของความเป็นนักรบย่อมอุบัติขึ้น นั่นคือการเป็นนักรบที่แท้จริง
 
......สำหรับนักรบที่แท้จริงนั้นไม่มีสงครามใด ๆ อยู่เลย นี่คือหลักการของผู้กำชัยชนะตลอดกาล เมื่อคุณกลายเป็นผู้กำชัยชนะตลอดกาล ก็ไม่มีสิ่งใดที่คุณจะต้องพิชิตอีก ไม่มีปัญหารากฐานหรืออุปสรรคใด ๆ ให้คุณฝ่าข้ามไป ทัศนะอย่างนี้มิได้มีรากฐานอยู่บนการเก็บกดหรือการมองอย่างประมาท เพราะถ้าคุณมองย้อนกลับไปตลอดสายชีวิตของตนเอง ถามว่าตัวคุณเองคือใคร กำลังทำอะไรอยู่ และทำไมจึงมาอยู่ในโลกนี้ ถ้าคุณมองดูแต่ละขั้นตอนให้ดี คุณจะไม่พบปัญหาพื้นฐานอยู่เลย
 
......นี่มิใช่การหว่านล้อมตัวเองให้เชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นไม่มีปัญหา ถ้าคุณมองดูจริง ๆ ถ้าคุณเปิดตัวตนออกและพิจารณาดู คุณจะพบว่าคุณเป็นสิ่งจริงแท้และดีงามดังที่เป็นอยู่ แท้จริงแล้วภาวะการดำรงอยู่ทั่งหมดล้วนสร้างขึ้นมาอย่างดีเยี่ยม จึงมีโอกาสของความผิดพลาดอยู่เพียงน้อยนิดแน่นอนยังมีสิ่งท้าทายอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน แต่ความรู้สึกท้าทายนี้แตกแต่งกับความรู้สึกในโลกอาทิตย์อัสดง ซึ่งคุณรู้สึกถูกสาปแช่งให้ต้องอยู่ในโลกและในปัญหาของตัวเอง บางครั้งผู้คนก็พากันตื่นกลัวต่อญาณทัศนะอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่นี้ แต่ถ้าคุณไม่ได้เรียนรู้ถึงธรรมชาติของความกลัวแน่นอน คุณย่อมไม่มีทางขึ้นอยู่เหนือมันได้ หากมีสักครั้งทีคุณได้รู้จักความขลาดของตนเอง ครั้งหนึ่งที่คุณได้รู้ว่าอุปสรรคของคุณอยู่ตรงไหน เมื่อนั้นคุณก็อาจข้ามพ้นไป บางที แค่อาศัยสามก้าวครึ่งของการป่ายปีนเท่านั้น


http://board.agalico.com/showthread.php?t=28559
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออนไลน์ ออนไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5075


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #12 เมื่อ: 29 มิถุนายน 2553 08:33:12 »


 
บทที่ 8 การตัดทอนและความกล้า

 
 
" สิ่งที่นักรบต้องตัดทอนลงก็คือ สิ่งใดก็ตามใน
ประสบการณ์ของเขาซึ่งเป็นเครื่องกั้นขวางระหว่าง
ตัวเขากับผู้อื่น กล่าวอีกนัยหนึ่ง การตัดทอนนี้กลับ
ช่วย ให้ตนสามารถขึ้น อ่อนโยนและเปิดกว้างต่อผู้อื่น
มากยิ่งขึ้น "



......สภาพการณ์แห่งความกลัวซึ่งดำรงอยู่ในชีวิตของเราย่อมคล้ายดังขั้นบันไดให้เราก้าวขึ้นอยู่เหนือความกลัว อีกด้านหนึ่งของความขลาดก็คือความกล้า ถ้าเราก้าวไปได้อย่างเหมาะสม เราก็อาจข้ามพ้นจากขอบเขตของความขลาดไปสู่ความกล้า เราคงไม่อาจค้นพบความกล้าได้ในทันทีแต่ทว่าเราอาจพบความอ่อนโยนอันหวั่นไหว ซึ่งอยู่พ้นจากความกลัวขึ้นไป เราก็ยังคงตัวสั่นระรัวอยู่ แต่ยังมีความอ่อนโยนอยู่ แทนที่จะเป็นความตระหนกตกใจ
 
......ในความอ่อนโยนนั้นมีส่วนผสมของความเศร้ารวมอยู่ด้วย ดังที่เราได้เคยอภิปรายกันมาแล้ว มันมิใช่ความเศร้าอันเกิดจากการสงสารตัวเองหรือ ความรู้สึกสูญเสีย แต่มันเป็นภาวการณ์ตามธรรมชาติอันเต็มเปี่ยม คุณรู้สึกเต็มเปี่ยมและรุมรวยยิ่ง ดังว่าคุณแทบจะหลั่งน้ำตาออกมาทีเดียว ดวงตาของคุณจะเอ่อล้นด้วยอัสสุชล และเมื่อคุณกระพริบ หยาดน้ำตาก็จะหยดไหลลงมาตามแก้ม ในการที่จะเป็นนักรบที่ดีได้นั้น เราจำเป็นต้องรู้สึกได้ถึงดวงใจอันแสนอ่อนโยนนี้ ถ้าหากว่าคนมิได้รู้สึกเดียวดายและเศร้าสร้อย เขาก็มิอาจเป็นนักรบได้เลย นักรบนั้นย่อมอ่อนไหวต่อทุกภาวะของปรากฏการณ์ ไม่ว่าจะเป็นภาพ กลิ่น เสียง หรือความรู้สึก เขาเป็นผู้ที่เห็นคุณค่าของทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งดำเนินอยู่ในโลกของเราดังประหนึ่งที่ศิลปินเป็น ประสบการณ์ของเขาเต็มเปี่ยมและชัดเจนยิ่ง เสียงใบไม้ไหวและเสียงฝนตกต้องเสื้อคลุมของเขาล้วนได้ยินชัดเจนยิ่ง ทั้งผีเสื้อที่เผอิญมาบินเวียนว่อนอยู่รอบ ๆ ตัวเขา ก็แทบจะเป็นสิ่งที่ทนทานไม่ได้ เพราะเหตุที่เขาเป็นคนอ่อนไหวยิ่ง และในการที่เขาเป็นคนอ่อนไหวนี้เอง นักรบย่อมอาจก้าวล่วงไปในหนทางแห่งการขัดเกลาตนเอง เขาเริ่มที่จะเรียนรู้ถึงความหมายของการตัดทอน
 
.....ตามความเข้าใจโดยทั่ว ๆ ไปแล้ว การตัดทอนนี้ถูกถือเป็นเรื่องของการบำเพ็ญพรต คุณย่อมสละละความสนุกสนานฝ่ายโลกและหันไปถือพรตบำเพ็ญธรรม เพื่อที่จะเข้าถึงความหมายในด้านสูงของการดำรงอยู่ สิ่งที่นักรบต้องตัดทอนลงก็คือ สิ่งใดก็ตามในประสบการณ์ของเขาซึ่งเป็นเครื่องกั้นขวางระหว่างตัวเขากับผู้อื่น กล่าวอีกนัยหนึ่ง การตัดทอนนี้กลับช่วยให้ตนสามารถขึ้น อ่อนโยนและเปิดกว้างต่อผู้อื่นมากยิ่งขึ้น ความลังเลใด ๆ ในอันที่จะเปิดตัวเองต่อผู้อื่นได้ถูกขจัดออกไป คุณย่อมตัดทอนความเป็นส่วนตัวของคุณเพื่อผู้อื่น
 
.....ความจำเป็นที่จะต้องตัดทอนจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ คุณเริ่มรู้สึกว่าความดีงามพื้นฐานนี้เป็นสมบัติส่วนตัว แน่นอน คุณไม่อาจถือเอาความดีงามพื้นฐานมาเป็นสมบัติส่วนตัวได้ ด้วยมันเป็นกฎเกณฑ์ความเป็นไปของโลก ซึ่งไม่มีทางครอบครองเป็นส่วนบุคคล มันเป็นญาณทัศนะอันยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่กว่าอาณาเขตหรือแผนการณ์ส่วนตน ยิ่งไปกว่านั้น บางครั้งคุณยังพยายามที่จะแลหาความดีงามพื้นฐานภายในตน คุณคิดว่าคุณอาจฉวยเอาความดีงามพื้นฐานมาได้สักหยิบมือหนึ่งและเก็บมันไว้ในกระเป๋า ดังนี้เอง ความคิดเรื่องความเป็นส่วนตัวจึงเริ่มคืบคลานเข้ามา ตรงจุดนี้เองที่คุณจำต้องมีการตัดทอน-ตัดทอนสิ่งเร้าให้เข้าครอบครองความดีงามพื้นฐาน จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องละเสียซึ่งความรู้สึกเป็นหมู่เหล่า หากจะต้องยอมรับถึงความเป็นสากลแทนที่
 
.....การตัดทอนนี้ยังจำเป็นในกรณีที่คุณรู้สึกตกใจจากญาณทัศนะของอาทิตย์อันยิ่งใหญ่ เมื่อคุณประจักษ์ว่าอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่นั้นแผ่กว้างไพศาลและงดงามเพียงใด ในบางครั้งคุณอาจรู้สึกท่วมท้นเกินไป คุณรู้สึกว่าต้องการที่หลบซ่อนเล็ก ๆ จากความตื่นกลัวนั้น คุณต้องการหลังคาคุ้มหัว ต้องการอาหารสามเวลา คุณพยายามที่จะสร้างรังเล็กๆบ้านเล็กๆขึ้นมา เพื่อบรรจุหรือกำบังคุณไว้จากสิ่งที่ได้เห็น เพราะสิ่งนั้นดูกว้างใหญ่ไพศาลเกินไป ดังนั้นคุณจึงอยากจะถ่ายรูปอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่ เพื่อเก็บไว้เตือนความจำ แทนที่จะออกเดินทางเข้าหาแสงสว่างโดยตรง หลักการของการตัดทอนก็คือการปฏิเสธความใจแคบชนิดนั้น
 
......การนั่งสมาธิย่อมเอื้อให้เกิดสภาพแวดล้อมอันวิเศษสุดสำหรับพัฒนาการตัดทอนขึ้นมา ในการทำสมาธิภาวนานั้น ในขณะที่คุณเฝ้าดูลมหายใจ คุณย่อมถือเอาความคิดใด ๆ ที่ผุดขึ้นมาว่าเป็นเพียงกระบวนการทางความคิดของตนเท่านั้น คุณไม่ได้ติดยึดกับความคิดใด และคุณก็ไม่ได้ประณามหรือชื่นชมมัน ความคิดซึ่งอุบัติขึ้นในขณะนั่งสมาธิถือเป็นเพียงอุบัติการณ์ตามธรรมชาติเท่านั้น และในขณะเดียวกันมันก็มิได้มีคุณค่าพิเศษอย่างใด คำจำกัดความพื้นฐานของสมาธิก็คือ "การมีจิตใจที่สงบมั่น" ในการปฏิบัติสมาธินั้น เมื่อความคิดพุ่งขึ้น คุณก็มิได้พุ่งขึ้นด้วย และก็มิได้ลดต่ำลง เมื่อความคิดลดต่ำ คุณเพียงแต่เฝ้ามองยามเมื่อความคิดขึ้นและลง ไม่ว่าความคิดของคุณจะดีหรือชั่ว ตื่นเต้นหรือน่าเบื่อหน่าย งดงามหรือร้ายกาจ คุณเพียงแต่ปล่อยให้มันเป็นไป คุณไม่จำเป็นต้องยอมรับความคิดบางอย่างและปฏิเสธบางอย่าง คุณมีความรู้สึกถึงพื้นที่ว่างอันกว้างใหญ่ซึ่งอาจห่อหุ้มความคิดใด ๆ ที่อุบัติขึ้นมาไว้ภายในนั้น
 
......กล่าวอีกนัยหนึ่ง ในการปฏิบัติสมาธินั้นคุณอาจสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของการดำรงอยู่ หรือความเป็น ซึ่งรวมความคิดเข้าไว้ด้วย ทว่าไม่ได้ถูกกำหนดหรือกำจัดไว้ด้วยกระบวนการทางความคิด คุณสัมผัสได้ถึงความคิดของคุณ คุณเรียกมันว่า "ความคิด" และคุณก็กลับมาสู่ลมหายใจอีก หายใจออก กระจายออกไป และเลือนหายไปในความว่าง มันธรรมดาสามัญมากแต่ก็ลึกซึ้งมากเช่นกัน คุณได้สัมผัสรับรู้ถึงโลกของตนเองโดยตรง และคุณก็ไม่จำเป็นต้องไปกำจัดการรับรู้นั้นเอาไว้ คุณอาจเปิดออกโดยสิ้นเชิง โดยไม่มีอะไรต้องขัดขืนหรือต้องกลัว ในทำนองนี้คุณก็ได้พัฒนาการตัดทอนพรมแดนของความเป็นส่วนตัวและความใจแคบลง
 
.....ในขณะเดียวกัน การตัดทอนนี้ได้รวมการแบ่งแยกเอาไว้ด้วยภายใต้ความหมายพื้นฐานของความเปิดกว้าง ก็ยังมีหลักเกณฑ์แห่งการขจัดออกไปหรือปฏิเสธ และการปลูกฝังขึ้นมาหรือการยอมรับ หากกล่าวถึงผู้อื่น แต่ในอันที่จะห่วงใยผู้อื่นได้ จำเป็นที่จะต้องปฏิเสธความห่วงใยแต่เพียงตัวเอง หรือนิสัยเห็นแก่ตัวลงเสียก่อน คนเห็นแก่ตัวนั้นเหมือนเต่าที่แบกบ้านของมันไว้บนหลังไม่ว่าจะไปไหน มาถึงบางจุดที่คุณจำเป็นจะต้องละทั้งบ้านนี้ไปและโอบกอดโลกกว้างเอาไว้ นี่คือเงื่อนไขประการแรกอันจำเป็นยิ่งในการที่จะสามารถห่วงใยผู้อื่นได้
 
......การที่จะมีชัยเหนือความเห็นแก่ตัวได้ จำเป็นที่จะต้องกล้า กล้าคล้ายดั่งการที่คุณแต่งชุดว่ายน้ำยืนอยู่บนกระดานโดด เบื้องหน้าคือสระน้ำและคุณก็ถามตัวเองขึ้นว่า "แล้วไงต่อ" คำตอบก็คือ "โดดลงไป" นั่นแหละคือความกล้า คุณอาจสงสัยว่าคุณจะจมน้ำหรือไม่ เจ็บหรือไม่ถ้ากระโดดลงไป แน่นอน มีทางเป็นไปได้ ไม่มีใครอาจรับประกันได้ ทว่าก็มีคุณค่าน่าเสี่ยงพอที่จะกระโดดลงไป เพื่อให้รู้แน่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผู้ศึกษาการเป็นนักรบจะต้องกระโดดลงไป เราคุ้นเคยกับการยอมรับแต่สิ่งที่เลว และปฏิเสธสิ่งดีสำหรับตัวเอง เราติดพันกับรังดักแด้แรงเกินไป ยึดมั่นอยู่กับความเห็นแก่ตัว แถมยังกลัวความไม่เห็นแก่ตัว กลัวการก้าวหลุดพ้นออกจากตัวเองอีกด้วย ดังนั้นในการที่จะบำราบความลังแลใจในการยอมสละละความเป็นส่วนตัวลง และในการจะเอื้อเฟื้อห่วงใยผู้อื่นได้ จำเป็นจะต้องมีการก้าวกระโดดข้ามไป
 
......ในการปฏิบัติสมาธิซึ่งเป็นหนทางของความกล้า เป็นหนทางของการกระโดด ก็คือการปลดปล่อยความคิดนานาของคุณ คือการก้าวขึ้นพ้นความคาดหวังและความกลัว พ้นการขึ้นและลงของกระบวนการทางความคิด คุณเพียงแต่เป็น เพียงแต่ปล่อยให้ตัวเองเป็น โดยไม่จับยึดอยู่กับข้อเปรียบเทียบซึ่งเป็นผลผลิตของจิตใจ คุณไม่จำเป็นต้องขจัดความคิดออกไป มันเป็นกระบวนการตามธรรมชาติ มันเป็นสิ่งที่ดี จงปล่อยให้มันเป็นไปเช่นนั้นด้วย แต่จงปลดปล่อยตัวเองออกมาพร้อมกับลมหายใจ ปล่อยให้มันกระจายจางไป เฝ้าดูว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นบ้าง เมื่อคุณปล่อยให้ตัวเองเป็นไปอย่างนั้น คุณก็ได้สร้างความเชื่อมั่นในศักยภาพที่จะเปิดออกและขยายขอบเขตของตนออกไปสู่ผู้อื่น คุณจะตระหนักได้ว่าตัวเองนั้นรุ่มรวยและเป็นบ่อเกิดที่สามารถแบ่งปันความไม่เห็นแก่ตัวให้แก่ผู้อื่น คุณจะพบว่าคุณเต็มไปด้วยเจตจำนงอันแรงกล้าที่จะทำดังนั้น
 
......แต่ครั้นแล้ว ครั้งหนึ่งซึ่งคุณกล้ากระโดดไป คุณก็อาจหลงตัวเอง คุณอาจบอกกับตัวเองว่า "ดูซิ ฉันกระโดดแล้ว ฉันช่างยิ่งใหญ่ ช่างกล้าเสียจริง" ทว่า นักรบซึ่งหลงตัวเองนั้นใช้การไม่ได้ ไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นด้วย ดังนั้นการฝึกฝนเพื่อการตัดทอนจึงต้องประกอบด้วยการปลูกฝังความอ่อนโยนให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพื่อว่าคุณจะได้นุ่มนวลและเปิดกว้างอันจะช่วยชักนำความอ่อนโยนมาสู่ใจ นักรบซึ่งฝึกการตัดทอนสำเร็จ ย่อมปราศจากความเสแสร้ง เปลือยเปล่าโดยสิ้นเชิง ปราศจากแม้เนื้อเยื่อหรือผิวหนัง เขา กระดูกและไขข้อเปิดออกสู่โลก เขาไม่มีความปรารถนา ทั้งไม่จำเป็นที่จะต้อเข้าไปควบคุมบงการสภาวการณ์ และความเป็นไปต่าง ๆ เขาเพียงสามารถที่จะเป็นอย่างที่เขาเป็นโดยปราศจากความกลัว
 
......มาถึงจุดนี้เอง ในการที่เขาสามารถตัดทอนความสะดวกสบาย ตัดทอนความเป็นส่วนตัวลงได้อย่างสิ้นเชิง โดยนัยกลับกันนักรบจึงรู้สึกโดดเดี่ยวยิ่งขึ้น เขาเป็นเหมือนเกาะแก่งที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวในทะเลสาบ บางครั้งก็มีเรือข้ามฟากและนักเดินทางข้ามไปมาระหว่างเกาะกับฟากฝั่ง แต่ความเป็นไปดังนั้นยิ่งเน้นให้เห็นความโดดเดี่ยวของเกาะชัดขึ้นเป็นทวีคูณ ถึงแม้ว่าชีวิตของนักรบจะอุทิศเพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น เขากลับตระหนักได้ว่าเขาไม่มีทางที่จะแบ่งปันประสบการณ์ส่วนตนกับผู้อื่นได้ ความเต็มเปี่ยมแห่งประสบการณ์ของเขานั้นเป็นเพียงสมบัติเฉพาะตน และเขาจำเป็นต้องอยู่กับสัจจะของตนเอง กระนั้นก็ดีเขาก็ยิ่งรักโลกนี้มากขึ้น ความรักและความโดดเดี่ยวซึ่งบรรสานอยู่ด้วยกันนี้ คือสิ่งที่ทำให้นักรบยื่นมือเข้าช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เป็นนิจ โดยการตัดทอนโลกส่วนตัวลง นักรบได้พบจักรวาลอันยิ่งใหญ่และยิ่งมีดวงใจเจ็บช้ำขึ้นทุกที นี่มิใช่สิ่งที่จะต้องรู้สึกแย่กับมัน ทว่ามันเป็นเหตุให้รื่นเริงยินดี เพราะมันคือปากทางเข้าสู่โลกของนักรบ


http://board.agalico.com/showthread.php?t=28560
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออนไลน์ ออนไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5075


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #13 เมื่อ: 29 มิถุนายน 2553 08:34:15 »


 
 
บทที่ 9 เฉลิมฉลองการเดินทาง

 
 
" ความเป็นนักรบคือการเดินทางอย่างต่อเนื่อง
การเป็นนักรบคือการเรียนรู้ที่จะเป็นจริงในทุก ๆ
ขณะของชีวิต "



......จุดมุ่งหมายของการเป็นนักรบ ก็คือการสำแดงออกซึ่งความดีงามพื้นฐานอย่างเต็มขีดขั้น อย่างสดฉ่ำและสง่างาม การณ์ทั้งนี้จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อคุณตระหนักได้ว่าคุณมิได้ครอบครองความดีงามพื้นฐานอยู่ แต่ทว่าตัวคุณได้กลายเป็นคนดีงามพื้นฐานเองทีเดียว ดังนั้น การฝึกฝนเพื่อเป็นนักรบก็คือ การเรียนรู้ที่จะพำนักอยู่ในความดีงามพื้นฐาน พำนักอยู่ในสภาวะแห่งความเรียบง่ายอย่างสมบูรณ์ตามแนวทางพุทธ สภาวะนั้นเรียกว่าความไร้ตัวตน(อนัตตา) ความไร้ตัวตนนี้เป็นสิ่งสำคัญมากในหลักคำสอนชัมบาลา คุณไม่มีทางจะเป็นนักรบได้เลย เว้นเสียแต่คุณได้ผ่านประสบการณ์ความไร้ตัวตนมาแล้วเท่านั้น หากปราศจากความไร้ตัวตนแล้ว จิตของคุณจะเป็นไปด้วยอัตตา เต็มไปด้วยแผนการณ์และเรื่องราวส่วนตน แทนที่จะห่วงใยกังวลผู้อื่น คุณกลับอัดแน่นไปด้วยความมีอัตตาของตนเอง สำนวนที่ว่า "อัดแน่นไปด้วยตัวเอง" นี้หมายถึงความยโส และความหลงตัวเองอย่างผิดๆ
 
......ดังที่ได้สาธยายมาแล้วในบทก่อนว่า การตัดทอนคืออุบายในการทำลายความเห็นแก่ตัว ผลของการตัดทอนจะนำคุณเข้าสู่โลกของนักรบอันเป็นโลกซึ่งคุณสามารถมากขึ้น เปิดกว้างต่อผู้อื่น ทว่าก็ยังมีดวงใจเศร้าและโดดเดี่ยวมากยิ่งขึ้นเช่นกัน คุณเริ่มเข้าใจความเป็นนักรบคือหนทางหรือคือเส้นที่ร้อยผ่านตลอดชีวิตของคุณ มันไม่ได้เป็นเพียงแค่วิธีการหรืออุบายบางอย่าง ซึ่งคุณนำมาประยุกต์ใช้เมื่อต้องเผชิญกับอุปสรรคหรือเมื่อยามทุกข์ทนกลัดกลุ้ม ความเป็นนักรบคือการเดินทางอย่างต่อเนื่อง การเป็นนักรบก็คือการเรียนรู้ที่จะเป็นจริงในทุก ๆ ขณะของชีวิต นี่คือวินัยของนักรบ
 
......ทว่าโชคร้ายที่คำว่า "วินัย" ล้วนถูกตีความไปในทางลบ วินัยมักจะประกอบด้วยการลงโทษ รวมถึงการใช้อำนาจ การบีบคั้นและบังคับเอาด้วยกฎเกณฑ์เทียมๆ แต่ในสายวัฒนธรรมชัมบาลาแล้ว วินัยสัมพันธ์กับคำถามที่ว่าเราจะอ่อนโยนและเป็นจริงได้อย่างไร มันเป็นเรื่องของการเอาชนะความเห็นแก่ตัวและเกื้อหนุนความไร้ตัวตนหรือความดีงามพื้นฐานให้เกิดขึ้น ทั้งกับตัวเองและกับผู้อื่น วินัยช่วยชี้ให้คุณแลเห็นว่าจะเดินไปบนเส้นทางของความเป็นนักรบได้อย่างไร มันช่วยนำคุณไปในหนทางนั้น และช่วยบอกว่าคุณจะใช้ชีวิตอย่างไรในโลกของนักรบ
 
......วินัยของนักรบนั้นไม่หวั่นไหวคลอนแคลนและแผ่กว้างครอบคลุม ดังนั้นจึงคล้ายกับดวงอาทิตย์ แสงของดวงอาทิตย์ฉานฉายไปทั่ว ณ ที่ใดก็ตามที่อาทิตย์เบิกฟ้า ดวงอาทิตย์ไม่เคยเลือกที่จะส่องแสงบนผืนดินใดโดยเฉพาะและละเลยที่แห่งอื่น แสงอาทิตย์นั้นส่องสว่างฉายฉานไปทั่วทุกแห่งหน ในทำนองเดียวกันนี้ วินัยของนักรบก็ไม่เลือกที่รักมักที่ชังเช่นกัน นักรบไม่เคยทอดทิ้งหรือหลงลืมวินัยของตน ความสำนึกรู้และความอ่อนไหวของเขาแผ่ขยายออกไปอยู่ทุกขณะ แม้ว่าสถานการณ์จะยากลำบากและบีบคั้นยิ่ง แต่นักรบก็ไม่เคยยอมถดถอยเลย เขาดำรงตนไว้ได้อย่างดียิ่ง เต็มไปด้วยความอบอุ่นอ่อนโยน ทั้งเขายังคงสัตย์ ซึ่งยังติดกับอยู่ในโลกแห่งอาทิตย์อัสดง ภารกิจของนักรบก็คือการเป็นแหล่งกำเนิดแห่งความอบอุ่นและความกรุณาต่อผู้อื่น เขากระทำกิจเหล่านี้อย่างไม่เกียจคร้าน วินัยและการอุทิศตนของเขามาถึงจุดที่หนักแน่นไม่สั่นคลอน
 
......เมื่อนักรบได้มีวินัยอันไม่สั่นคลอนแล้ว เขาย่อมเบิกบานในการเดินทาง และมีสุขในการทำงานร่วมกับผู้อื่น ความเบิกบานนี้เกิดขึ้นตลอดชั่วชีวิตของนักรบ เหตุใดคุณจึงเบิกบานอยู่เสมอ เพราะเหตุว่าคุณได้รับรู้ถึงความดีงามพื้นฐานในตนเอง เพราะเหตุที่คุณไม่มีสิ่งใดจะต้องไปพึ่งพิงและเพราะเหตุที่คุณได้สัมผัสรับรู้ถึงความหมายของการตัดทอน ซึ่งเราได้อภิปรายกันมาแล้ว ด้วยเหตุนี้ทั้งกายและจิตของคุณจึงประสานกันอยู่ตลอดเวลาและเบิกบานอยู่เสมอเช่นกัน ความเบิกบานนี้คล้ายดังบทเพลงซึ่งขับขานท่วงทำนองของตนเอง การขับขานนี้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าชีวิตจะยังเต็มไปด้วยการขึ้นและลง นี่คือความหมายของการมีใจเบิกบานอยู่เสมอ
 
......อีกแง่มุมหนึ่งของวินัยนักรบก็คือ มันยังประกอบด้วยญาณกำหนดรู้หรืออุบายปัญญา
ดังนั้นมันจึงเป็นเหมือนกับธนูและศร ลูกศรนั้นแหลมคมและมีพลังทะลุทะลวง แต่การที่จะทำให้มันพุ่งออกไปได้ การที่จะใช้ความแหลมคมนั้น คุณจำเป็นต้องใช้คันธนูด้วย ในทำนองเดียวกันนี้ นักรบนั้นเป็นผู้ที่สงสัยในสิ่งต่าง ๆ และโลกรอบๆตัวอยู่ตลอดเวลา ทว่าเขาจำเป็นต้องมีการกระทำที่แยบยลด้วย เพื่อจะสามารถประยุกต์สติปัญญามาใช้งานได้ เมื่อลูกศรแห่งปัญญาถูกนำมาใช้ร่วมกับคันธนูแห่งอุบายวิธี เมื่อนั้นนักรบก็จะไม่ถูกยั่วยวนให้หลงโดยโลกอาทิตย์อัสดงเลย
 
......แรงยั่วยวนนี้หมายถึงสิ่งใดก็ตามซึ่งช่วยเกื้อหนุนอัตตาและขัดขวางต่อญาณทัศนะอนัตตา รวมถึงความดีงามรากฐาน มีแรงยั่วยวนน้อยใหญ่อยู่หลายประการด้วยกัน คุณอาจจะถูกยั่วยวนด้วยคุกกี้หรือเงินล้าน แต่ด้วยความแหลมคมของลูกศรคุณก็อาจแลเห็นถึงธรรมชาติของอาทิตย์อัสดง และเห็นถึงกิจกรรมอย่างเลวซึ่งเริ่มเกิดขึ้นในตัวคุณก่อน แล้วก็เกิดขึ้นกับโลกทั้งหมด นี่พูดกันอย่างตรงไปตรงมา ครั้นต่อมาในการจะหลีกเลี่ยงจากแรงยั่วยวนได้อย่างแท้จริง คุณจำเป็นต้องใช้คันธนู คุณจำต้องเสริมญาณทัศนะนั้นด้วยอุบายวิธีอันทรงประสิทธิภาพ หลักการของธนูและศรนี้ก็คือการเรียนรู้ที่จะ "ปฏิเสธ" ต่อสิ่งเท็จเทียมทั้งหลาย "ปฏิเสธ" ต่อความเลินเล่อบกพร่องทั้งหลาย ปฏิเสธต่อความหลับใหลในการที่จะกล่าวคำว่า "ไม่" อย่างเหมาะสม คุณจำต้องมีทั้งคันธนูและลูกศร จะต้องกระทำด้วยความอ่อนโยนซึ่งก็คือคันธนู และด้วยความแหลมคมซึ่งก็คือลูกศร การผสานสิ่งทั้งสองเข้าด้วยกัน คุณก็ประจักษ์ได้ว่าคุณอาจแยกแยะได้อย่างชัดเจนระหว่างความหลงกับการแลเห็นคุณค่า คุณอาจมองดูโลกและแลเห็นถึงวิถีทางการดำเนินไปของสรรพสิ่งต่าง ๆ เมื่อนั้นคุณก็อาจมีชัยเหนือความเชื่อผิด ๆ ของตนเอง ความเชื่อผิด ๆ ที่ว่าคุณไม่อาจกล่าวคำว่า "ไม่" ไม่อาจกล่าวปฏิเสธต่อโลกอาทิตย์อัสดงหรือกล่าวปฏิเสธต่อตัวเอง เมื่อคุณเริ่มรู้สึกจมลงสู่ความตึงเครียดหรอืดิ่งลงสู่ความหลัง ดังนั้น ธนูและศรจึงเป็นเครื่องมือที่ใช้กำหราบแรงยั่วยวนแห่งโลกอาทิตย์อัสดง
 
.....เมื่อคุณเรียรู้ที่จะมีชัยเหนือแรงยั่วยวน เมื่อนั้นลูกศรแห่งปัญญาและคันธนูแห่งการกระทำย่อมปรากฎขึ้นเป็นความเชื่อมั่นในโลกของคุณ สิ่งนี้จะทำให้เกิดความสงสัยใคร่รู้กว้างไกลออกไป คุณปรารถนาจะแลดูและสำรวจตรวจสอบดูในทุกสถานการณ์ เพื่อว่าคุณจะได้ไม่งมงายอยู่เพียงในความเชื่อเท่านั้น แทนที่จะเป็นดังนั้น คุณกลับต้องการที่จะค้นหาความจริงโดยอาศัยสติปัญญาและความสามารถของตนเอง ความรู้สึกเชื่อมั่นนั้นก็คือเมื่อคุณได้ประยุกต์ความสงสัยใคร่รู้มาใช้ เมื่อคุณได้มองลึกเข้าไปในภาวการณ์ คุณก็รู้ขึ้นว่าคุณจะได้พบคำตอบที่ชัดเจน ถ้าหากว่าคุณกำลังจะเริ่มก่อการอะไรสักอย่าง การกระทำนั้นจะมีผลตามมาอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลวก็ตาม เมื่อคุณยิงธนู ถ้าไม่ถูกเป้าก็ต้องพลาด ความเชื่อมั่นก็คือการระลึกรู้ว่าจะต้องมีข่าวสารเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
 
.....เมื่อคุณเชื่อมั่นในข่าวสารเหล่านั้น ซึ่งก็คือสะท้อนของโลกแห่งปรากฏการณ์ เมื่อนั้นโลกก็จะคล้ายกับธนาคาร หรือเป็นอ่างเก็บน้ำของความเต็มเปี่ยม คุณจะรู้สึกได้ว่าคุณมีชีวิตอยู่ในโลกซึ่งเต็มเปี่ยมยิ่ง เป็นโลกซึ่งไม่เคยขาดแคลนข่าวสารเลย ปัญหาเกิดมีขึ้นเพียงเมื่อคุณพยายามจะเข้าไปบังคับควบคุมสถานการณ์ หรือเพิกเฉยต่อมันด้วยผลได้ส่วนตน เมื่อนั้น คุณก็ได้ละเมิดต่อสายสัมพันธ์อันเชื่อมั่นที่ตนมีต่อโลกแห่งปรากฎการณ์ เมื่อนั้นแหล่งเก็บน้ำก็จะแห้งเหือดไป แต่โดยปกติแล้วคุณจะได้รับข่าวสารเป็นอันดับแรกทีเดียว ถ้าคุณหยิ่งผยองเกินไปก็จะพบว่าตัวเองถูกกดให้ต่ำลงด้วยฟ้าเบื้องบน และถ้าคุณขี้หวั่นวิตกเกินไปคุณก็จะพบว่าตนเองถูกยกให้สูงขึ้นโดยแผ่นดินโลก
 
.....โดยทั่ว ๆ ไปแล้วความเชื่อมั่นในโลกของตนนั้นหมายถึงว่า คุณคาดหวังว่าจะได้รับการคุ้มครองดูแล คุณคิดว่าโลกจะให้ในสิ่งที่คุณต้องการหรืออย่างน้อยที่สุดก็ให้ในสิ่งที่คุณคาดหวัง แต่ในฐานะของนักรบคุณต้องพร้อมที่จะเสี่ยง คุณต้องพร้อมที่จะเปลือยตัวเองออกสู่โลกแห่งปรากฎการณ์ และคุณก็เชื่อมันว่าคุณจะได้รับข่าวสารจากมัน ไม่ว่าจะเป็นข่าวสารแห่งความสำเร็จหรือล้มเหลวก็ตาม ข่าวสารเหล่านั่นไม่อาจถือเป็นการลงทัณฑ์หรือการฉลองชัย คุณเชื่อมั่น มิใช่ในความสำเร็จ แต่ในความจริงคุณเริ่มตระหนักได้ว่าคุณมักจะล้มเหลวเมื่อการกระทำ และสติปัญญาไม่ได้รับการขัดเกลาหรือขาดความบรรสานสอดคล้อง คุณจะพบอีกว่าคุณมักจะสำเร็จผลเมื่อสติปัญญาและการกระทำสอดคล้องต้องกัน แต่ไม่ว่าผลจากการกระทำจะเป็นเช่นไร ผลลัพธ์นั้นมิใช่บทสรุปในตัวของมั้นเอง คุณอาจขึ้นเหนือผลกรรมนั้นได้เสมอ มันเป็นเสมือนหนึ่งเมล็ดพันธุ์สำหรับการเดินทางสืบต่อไป ดังนี้เอง ความรู้สึกในเรื่องของการรุดไปเบื้องหน้าอย่างต่อเนื่อง และการเฉลิมฉลองการเดินทางจึงเกิดขึ้นจากการขัดเกลาตนเองด้วยวินัยนักรบตามแนวคันธนูและลูกศรนี้
 
......แง่มุมสุดท้ายของวินัยนักรบก็คือสมาธิกำหนดรู้ หลักการของวินัยข้อนี้เกี่ยวพันกับการที่จะดำรงตนอยู่ในโลกของนักรบได้อย่างไร ดวงตะวันอันหนักแน่นแห่งวินัยย่อมเอื้อให้เกิดมรรคาแห่งชีวิตชีวาและความเบิกบานเพื่อให้คุณก้าวเดินไป ในขณะที่หลักการธนูและศรกลายเป็นอาวุธสำหรับพิฆาตแรงยั่วยวน และเจาะผ่านเข้าสู่แหล่งกำเนิดอันเต็มเปี่ยมในโลกแห่งปรากฎการณ์ แต่หลักการเหล่านี้ไม่อาจบรรลุถึงความสมบูรณ์ในตัวเองได้ นอกจากว่านักรบจะมีจุดยืนอันมั่นคงหรือมีความรู้สึกถึงการดำรงอยู่ในโลกของเขาเอง สมาธิกำหนดรู้ย่อมช่วยให้นักรบตั้งมั่นอยู่ ณ จุดยืนอันนี้ มันแสดงให้เห็นว่าจะแสวงหาสมดุลได้อย่างไรในยามที่พลาดพลั้ง มันบอกเขาว่าจะใข้ข่าวสารในโลกแห่งปรากฏการณ์เพื่อผลักดันการขัดเกลาตนเองสืบไปเบื้องหน้าได้อย่างไร แทนที่จะเลอะเลือนแฉไฉออกนอกทางหรือถูกกลืนกลบอยู่ด้วยผลสะท้อนอันนั้น
 
......หลักการของสมาธิกำหนดรู้ย่อมคล้ายกับเสียงสะท้อนซึ่งดำรงอยู่ในโลกของนักรบ เสียงสะท้อนนี้รับรู้ได้เป็นครั้งแรกในการปฏิบัติสมาธิ ในขณะที่ความคิดของคุณร่อนเร่เข้ามาในภวังค์สมาธิหรือในขณะที่คุณ "จมอยู่ในความคิด" เสียงสะท้อนของการกำหนดรู้นี้ย่อมช่วยเตือนคุณให้หมายรู้ถึงความคิดนั้นและดึงกลับมาสู่ลมหายใจ หวนกลับมาสู่สำนึกรู้ถึงการดำรงอยู่ ในทำนองเดียวกันนี้ เมื่อนักรบหลงออกนอกทางแห่งการขัดเกลาตนเอง โดยการหยุดพักหรือมัวเมาอยู่ในภาวะจิตแห่งอาทิตย์อัสดง การกำหนดรู้ของเขาย่อมคล้ายดั่งเสียงสะท้อนซึ่งก้องกลับมาหา
 
......ในตอนแรก ๆ เสียงสะท้อนนี้แผ่วเบามาก แต่ครั้นแล้วมันก็ยิ่งดังขึ้นดังขึ้นทุกขณะ นักรบย่อมถูกเตือนให้ดำรงตนอยู่ ณ จุดนั้นเสมอ เพราะว่า เขาได้เลือกที่จะมาอยู่ในโลกซึ่งไม่มีแนวคิดตามแบบอาทิตย์อัสดงเรื่องการหยุดพักอยู่เลย บางครั้งบางคราวคุณอาจรู้สึกว่าในโลกอาทิตย์อัสดงนั้นจะช่วยผ่อนคลายได้อย่างใหญ่หลวง คุณไม่จำเป็นต้องทำงานหนักในโลกนั้น คุณเพียงแต่โลดเต้นโครมครามไปและลืมเสียงสะท้อนเสีย แต่ครั้นแล้ว คุณจะพบว่าตัวเองพร้อมที่จะกลับไปรับฟังเสียงสะท้อนนั้นอีกครั้ง ด้วยเหตุว่าโลกอาทิตย์อัสดงนั้นเป็นทางตันและจุดอับ ในโลกนั้นไม่มีแม้แต่เสียงสะท้อน
 
.....จากเสียงสะท้อนของสมาธิกำหนดรู้ คุณก็ได้พัฒนาความรู้สึกในเรื่องสมดุลขึ้น ซึ่งเป็นอีกขั้นตอนหนึ่งเพื่อขึ้นไปสู่การบัญชาโลกของคุณเอง คุณรู้สึกว่าคุณนั่งอยู่บนอานม้า ที่ม้าพยศแห่งจิต ไม่ว่าม้านั้นมันจะโลดเต้นไปอย่างไร คุณก็ยังคงทรงกายอยู่ได้ ตราบใดที่คุณยังหยัดกายได้อย่างมั่นคงบนอาน คุณก็สามารถทนต่อแรงโลดโผนโจนทะยานของมันได้เสมอ และเมื่อใดก็ตามที่คุณลื่นไถลเสียหลักเพราะนั่งไม่มั่นคงพอ คุณก็เพียงแต่จัดท่วงท่าเสียใหม่ คุณจะไม่ตกม้า ในกระบวนการสูญเสียการกำหนดรู้นั้น คุณได้มันกลับคืนมาด้วยเหตุที่คุณได้สูญเสียมันไป การลื่นไถลโดยตัวของมันเองก็คือ การปรับเปลี่ยนท่วงท่าอยู่ในตัว มันเกิดขึ้นโดยอันโนมัติ คุณจะเริ่มรู้สึกเชี่ยวชาญขึ้นชำนาญมากขึ้น
 
......การกำหนดรู้ของนักรับนั้นมิได้มีพื้นฐานอยู่บนการฝึกฝนโรคจิตหลอนขั้นสูง ทว่ามันมีพื้นฐานอยู่บนการฝึกความมั่นคงอย่างยิ่งยวด ซึ่งก็คือความเชื่อมั่นในความดีงามพื้นฐาน นี่มิได้หมายความว่าคุณจำต้องเป็นคนเคร่งเครียดหรือน่าเบื่อหน่าย หากเพียงแต่คุณรู้สึกหยั่งรากลึกและมั่นคง คุณมีความเชื่อมั่นและคุณก็มีความเบิกบานอยู่เป็นนิจ ด้วยเหตุนี้เองคุณจึงไม่ตื่นตกใจง่าย จะไม่มีอาการตื่นตูมหรือผลุนผลันเกิดขึ้นในระดับจิตแบบนี้ คุณได้ดำรงอยู่ในโลกของนักรบแล้ว เมื่อมีเหตุเล็กๆน้อย ๆ อุบัติขึ้นไม่ว่าจะเป็นดีหรือชั่ว ถูกหรือผิด คุณก็ไม่ได้ไปขยายมันให้กลายเป็นเรื่องใหญ่โต คุณก็กลับมาทรงตัวอยู่บนอานได้ในทันใด นักรบนั้นย่อมไม่ตกตะลึงพรึงเพริด เมื่อมีใครบางคนเดินเข้ามาหาและบอกว่า "ฉันจะฆ่าแกเสียเดี๋ยวนี้" หรือพูดว่า "ฉันมีเงินล้านเหรียญจะมอบให้เป็นของขวัญ" คุณก็จะไม่ตกตะลึงเลย คุณเพียงแต่ดำรงตนมั่นอยู่บนอานม้า
 
......หลักการของสมาธิกำหนดรู้ ย่อมเอื้ออำนวยที่ทางอันเหมาะสมให้แก่คุณในโลกนี้ เมื่อคุณดำรงอยู่ในโลกได้อย่างเหมาะสม ก็ไม่จำเป็นต้องอาศัยประจักษ์พยาน มาช่วยยืนยันความหนักแน่นมั่นคงของคุณเลย จากเรื่องราวในพุทธประวัติ เมื่อพุทธองค์ได้ตรัสรู้ มีคนหนึ่งกล่าวถามขึ้นว่า "เราจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านได้ตรัสรู้แล้ว" พุทธองค์ตอบว่า "ธรณีย่อมเป็นพยานยืนยัน" ท่านได้แตะสัมผัสผืนธรณีด้วยหัตถ์ ท่วงท่านี้ ภายหลังรู้จักกันในนามว่าปางสัมผัสพระธรณี นี่ก็เป็นเช่นเดียวกับการดำรงรักษาดุลยภาพบนอานม้า คุณได้ดำรงอยู่แนบชิดในความจริงอย่างเต็มเปี่ยม อาจมีบางคนกล่าวว่า "ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าคุณไม่ได้กระทำการอย่างเกินเลย" คุณก็เพียงแต่ตอบว่า "ท่านั่งบนอานม้าจะบ่งบอกด้วยตัวของมันเอง"
 
......ตรงจุดนี้เองที่คุณจะเริ่มสัมผัสได้ถึงรากฐานของความไม่หวาดหวั่น คุณพร้อมที่จะตื่นขึ้นเผชิญหน้ากับทุก ๆ สถานการณ์ที่เข้ามา และในขณะเดียวกันก็รู้สึกได้ว่าตนเองสามารถจัดการกับชีวิตของตนได้อย่างดี เพราะเหตุที่คุณไม่ได้กังวลถึงเรื่องสำเร็จหรือล้มเหลว ทั้งความสำเร็จและความล้มเหลวล้วนเป็นการเดินทางเช่นกัน แน่นอน คุณยังอาจรู้สึกได้ถึงความกลัวซึ่งซุกซ่อนอยู่ในความไม่หวาดหวั่นนั้น อาจมีบางขณะของการเดินทางซึ่งคุณอาจกลัวจนตัวแข็งหรือสั่นสะท้านตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่บนอานม้า จนแทบไม่อาจยืนหยัดทรงกายอยู่บนหลังม้าได้อีก ย่อมมีบางเวลาที่คุณท่วมท้นอยู่ด้วยความกลัว แต่ประสบการณ์นี้ก็เช่นเดียวกัน อาจถือเป็นปรากฏการณ์หนึ่งของความไม่หวาดหวั่นได้ด้วย ถ้าหากคุณยังมีสายใยเชื่อมโยงอยู่กับโลกแห่งความดีงามพื้นฐานของตน


http://board.agalico.com/showthread.php?t=28561
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออนไลน์ ออนไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5075


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #14 เมื่อ: 29 มิถุนายน 2553 08:36:26 »


 
 
บทที่ 10 ปล่อยให้เป็นไป

 
 
"เมื่อคุณใช้ชีวิตสอดคล้องกับความดีงามพื้นฐาน
เมื่อนั้นคุณก็ได้สั่งสมความผุดผ่องตามธรรมชาติขึ้น
ชีวิตของคุณก็อาจว่างและผ่อนคลายโดยไม่จำเป็น
ต้องกลายเป็นคนมักง่าย คุณอาจปล่อยวางความรู้สึก
กดดันหรือเคอะเขินในการที่ต้องเกิดมาเป็นมนุษย์และ
ก็อาจรู้สึกมีกำลังใจขึ้น"

 
 
 
....ผลของการขัดเกลาตนเองตามแนวทางของนักรบก็คือ คนย่อมเรียนรู้ที่จะขจัดความทะเยอทะยานและความเกร็ง และจากนี้เอง คุณย่อมพัฒนาสมดุลภายในขึ้น ดุลยภาพนี้เกิดขึ้นมิใช่จากการถือมั่นอยู่กับสถานการณ์ หากแต่เกิดจากการผูกมิตรกับฟ้าและดิน ดินก็คือธาตุมูล หรือความเป็นจริง ฟ้าก็คือญาณทัศนะหรือประสบการณ์ของความกว้างโล่งซึ่งคุณสามารถยึดกายขึ้น เหยียดหลังและตั้งคอตรง ดุลยภาพอุบัติขึ้นจากการเชื่อมโยงความเป็นจริงเข้ากับญาณทัศนะ หรืออาจกล่าวได้ว่าคือการประสานความชำนายเข้ากับความเป็นธรรมชาติ
 
......ก่อนอื่นคุณจะต้องเชื่อมั่นในตนเอง ต่อาจากนั้นคุณจึงอาจเชื่อมั่นในดินหรือในธาตุมูลของสถานการณ์ และด้วยเหตุนี้เองคุณจึงอาจยกระดับตนเองขึ้น จากจุดนั้นที่การขัดเขลาตนเองจะกลายเป็นสิ่งที่แช่มชื่น แทนที่จะเป็นสิ่งน่าเจ็บปวดหรือเป็นภาระหนัก เมื่อคุณขี่ม้า สมดุลย่อมเกิดขึ้นมิใช่จากอาการเกร็งตัวแช็งอยู่บนอาน แต่จากการเรียนรู้ที่จะดำเนินร่วมไปกับลีลาของม้าขณะที่มันวิ่ง ทุก ๆ ย่างก้าวคือการเริงรำ ผู้ขับขึ่ก็เริงรำไปเช่นเดียวกับอาการเริงรำของม้า
 
......เมื่อการขัดเกลาตนเองเริ่มเป็นธรรมชาติ กลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวคุณ ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเรียนรู้ที่จะปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติสำหรับนักรบแล้ว การปล่อยให้เป้นธรรมชาตินั้นสัมพันธ์อยู่กับการผ่อนคลายในวินัย เพราะนั่นจะนำไปสู่เสรีภาพ เสรีภาพในที่นี้มิได้หมายถึงการเป็นคนขาดการยับยั้ง หรือเป็นคนละเลยไม่ใส่ใจ หากแต่เป็นเพียงการปล่อยให้ตนเองเป็นไปตามธรรมชาติ เพื่อว่าคุณจะได้สัมผัสถึงการดำรงอยู่ในฐานมนุษย์อย่างเต็มที่ การแล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติย่อมช่วยบำราบความคิดที่ว่า วินัยและการขัดเกลาตนคือการลงโทษต่อความผิดพลาดหรือสิ่งเลวที่คุณได้กระทำหรืออยากที่จะกระทำ คุณจะต้องเอาชัยต่อความคิดที่ว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่ผิดพลาดอยู่ในธรรมชาติของมนุษย์ ซึ่งทำให้จำต้องมีวินัยมาช่วยขัดเกลาพฤติกรรม ตราบใดที่คุณรู้สึกว่วินัยเป็นสิ่งที่มาแต่ภายนอก ก็จะเกิดความรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าภายในของคุณขาดอะไรไปบางอย่าง ดังนั้น การปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติจึงสัมพันธ์กับการปล่อยไปซึ่งร่องรอยของความสงสัย ความลังเล หรือความเคอะเขินในฐานะที่คุณเป็นคุณ คุณจำเป็นต้องผ่อนคลายกับตนเอง เพื่อจะได้ตระหนักอย่างเต็มที่ว่าวินัยก็คือการสำแดงออกของความดีงามพื้นฐาน คุณจำเป็นต้องตระหนักเห็นคุณค่าของตัวเอง เคารพตนเองและปลดปล่อยความสงสัย ความกระดากกระเดื่องไป เพื่อว่าคุณจะได้ใช้ความดีงามและสติปัญญาพื้นฐานเพื่อผลประโยชน์ต่อผู้อื่น
.
.....ในการที่จะปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติได้ ก่อนอื่นคุณจำต้องฝึกฝนตนเองในวินัยแห่งการตัดทอน เช่นเดียวกับเง่มุมบางอย่างของการขัดเกลาตนเองดังที่เราได้พูดกันมาแล้วในบทก่อน นี่เป็นสิ่งจำเป็นมาก เพื่อว่าคุณจะได้ไม่ไขว้เขวระหว่างการปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติกับความก้าวร้าวหรือความหยิ่งยโส หากปราศจากการฝึกฝนอย่างถูกต้อง การปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติอาจจะกลายเป็นการผลักดันตนเองไปจนถึงจุดแตกหัก เพื่อพิสูจน์กับตัวคุณเองว่าคุณเป็นคนกล้าและไม่หวาดหวั่น นี่นับว่าก้าวร้าวเกินไป การปล่อยให้เป็นไปตามธรรมขาตินี้ไม่เกี่ยวกับการมีสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น เพื่อเพิ่มความอหังการให้แก่ตนเองและ "เหยียบหลังเหยียบไหล่" คนอื่น ไม่ว่าในกรณีใด ๆ ก็ตาม ความอหังการชนิดนั้นไมได้ตังอยู่บนการปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ มันมีพื้นฐานอยู่บนความรู้สึกไม่มั่นคงภายในตนเอง ซึ่งทำให้คุณกลายเป็นคนกระด้างเฉื่อยชาแทนที่จะนิ่มนวลและอ่อนโยน
 
......ยกตัวอย่างเช่น นักขับรถแข่งอาชีพอาจขับรถด้วยความเร็วถึงสองร้อยไมล์ต่อชั่วโมงในสนามแข่ง เพราะว่าเขาได้ฝึกฝนมาก่อน เขารู้ถึงข้อจำกัดของเครื่องยนต์ รู้ถึงพวงมาลัยและยาง เขารู้น้ำหนักยางรถ สภาพทางวิ่งและสภาพอากาศ ดังนั้น เขาจึงอาจขับได้เร็วโดยไม่กลายเป็นการฆ่าตัวตายทว่ากลับกลายเป็นประหนึ่งการเริงรำ แต่ถ้าหากว่าคุณไปเล่นกับการปล่อยให้เป็นไป ก่อนที่คุณจะสามารถสร้างจุดเชื่อมโยงกับวินัยได้อย่างเหมาะสม เมื่อนันก็จะกลับอันตรายมาก ถ้าหากคุณเรียนที่จะเล่นสกีและพยายามที่จะปล่อยให้เป็นธรรมขาติและผ่อนคลายในช่วงแรก ๆ ของการฝึกแล้วละก็อาจแข้งขาหักได้โดยง่าย ดังนั้น ถ้าหากคุณพยายามที่จะลอกเลียนการปล่อยไปตามธรรมชาติ คุณก็อาจต้องเดือดร้อนอย่างแน่นอน
 
......จากข้อถกเถียงอันนี้ คุณอาจคิดว่าคุณไม่มีทางที่จะขัดเกลาตนเอง จนถึงขั้นที่อาจปล่อยให้เป็นตามธรรมชาติและผ่อนคลายอยู่ในวินัยได้เลย คุณอาจรู้สึกว่าคุณไม่มีวันที่จะกลายเป็นคนกล้าได้ แต่เมื่อใดที่คุณได้ดำรงอยู่ในพื้นฐานของการขัดเกลาตนเอง ก็ถึงเวลาที่จะเลิกกังวลสงสัยได้ ถ้าคุณมัวแต่รอคอยให้การฝึกปรือนั้นดำเนินมาถึงขั้นหนักแน่นไมหวั่นไหว นั่นไม่มีวันจะมาถึง เว้นเสียแต่คุณจะปล่อยตามธรรมชาติ ถึงแม้ว่าจะยังรู้สึกไม่สมบูรณ์นัก นั่นแหละก็ถึงเวลาที่จะปล่อยตามธรรมชาติ
 
......แน่นอนทีเดียว การปล่อยตามธรรมชาตินั้นมีอะไรมากกว่าการผ่อนคลาย มันคือการผ่อนกลายที่มีพื้นฐานอยู่บนการปรับสมดุลกับสิ่งแวดล้อมทั้งหมดกับโลก หลักการที่สำคัยยิ่งอันหนึ่งของการปล่อยตามธรรมขาติก็คือการดำเนินชีวิตอย่างท้าทาย แต่นี้มิได้หมายถึงการดำเนินชีวิตอยู่ในวิกฤตการณ์ตลอดเวลา ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าธนาคารโทรมาและแจ้งให้ทราบว่าเงินฝากของคุณถอนเกินบัญชี และวันเดียวกันนั้นเจ้าของบ้านเช่าก็บอกว่าคุณจะต้องย้ายออกไป หากยังไม่ยอมขำระค่าเช่าบ้าน ในการตอบสนองต่อวิกฤตการณ์นี้ คุณก็โทรไปหาเพื่อนทุกคนลองดูว่าคุณจะยืมเงินได้พอเพื่อแก้ไขวิกฤตการณ์นี้ได้ไหม การดำเนินชีวิตอย่างท้าทายมิได้มีพื้นฐานอยู่บนการตอบสนองต่อปัญหาหนัก ๆซึ่งคุณได้สร้างมันขึ้นมาด้วยตนเองเพราะพลาดที่จะสัมพันธ์กับการายละเอียดของชีวิตอย่างเหมาะสมสำหรับนักรบแล้ว ทุก ๆ ขณะก็คือการท้าทายเพื่อเป็นสิ่งแท้ และการท้าทายทุก ๆ ประการล้วนน่าเบิกบาน เมื่อคุณได้ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติอย่างเหมาะสม คุณก็อาจผ่อนคลายและรื่นเริงอยู่ในการท้าทายได้
 
......การปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติในโลกอาทิตย์อัสดงนั้นก็คือ การลาหยุดพักหรือการไปดื่มให้เมามายกลายเป็นคนปล่อยตัว หลงระเริงและกระทำการหยาบช้าต่าง ๆ ซึ่งในภาวะจิตปกติแล้วคุณแทบจะไม่กล้าคิดถึงมันทีเดียว แต่ในความเข้าใจของซัมบาลาแล้วต่างจากนี้มาก สำหรับนักรบแล้ว การปล่อยตามธรรมชาติมิได้ตั้งอยู่บนการหลบหนีไปจากแรงบีบคั้นของชีวิตประจำวัน ...หากตรงกันข้ามทีเดียว มันคือการก้าวรุดล่วงเข้าไปในชีวิตของคุณเอง เพราะเหตุที่คุณเข้าใจได้ว่าชีวิตโดยตัวของมันเองนั้นได้บรรจุไว้แล้วซึ่งหนทางแห่งความเบิกบาน และการเยียวยาบำบัดความกดดันและความกังวลสงสัยทั้งมวล
 
...ความเบิกบานตามความเข้าใจของแนวทางอาทิตย์อัสดงก็คือการให้กำลังใจตนเองเพื่อช่วยให้รู้สึกดีขึ้น มากกว่าที่จะเป็นความเบิกบานจริง ๆ เมื่อคุณตื่นขึ้นมาในยามเช้าและลุกจากเตียง คุณเข้าห้องน้ำและดูตัวเองในกระจำ ผมเผ้ายุ่งเหยิง หน้าตายังง่วงงุน ขอบตายังบวมอยู่ ในโลกของอาทิตย์อัสดงนั้นคุณกล่าวกับตัวเองพร้อมกับถอนหายใจใหญ่ "นี่จะต้องผ่านอีกวันหนึ่ง" คุณรู้สึกว่าคุณจะต้องรวบรวมพลังเพื่อให้ผ่านไปอีกวันลองยกตัวอย่างหนึ่ง เมื่อกองกำลังปฏิวัติของอิหร่านไปเฝ้าคุมอยู่ที่หน้าสถานทูตอเมริกัน ยากนักที่คนข้างในจะตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเบิกบาน "ดีจริง เรามีหน่วยรักษาความปลอดภัยอยู่หน้าประตู" เพราะนั่นคือความเบิกบานในโลกอาทิตย์อัสดง
 
......ความเบิกบานนี้มิได้มีพื้นฐานอยู่บนความมุ่งมั่นอย่างฉาบฉวยหรือการสมมุติสร้างศัตรูขึ้นมา และก็พยายามเอาชนะเพื่อทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น มนุษย์มีความดีงามพื้นฐานอยู่ในตนเองมิใช่อยู่ข้างนอกแต่มีอยู่ในตนแล้ว เมื่อคุณมองดูตัวเองในกระจกคุณก็อาจชื่นชมในสื่งที่คุณเห็น โดยไม่จำเป็นต้องกังวลว่าสิ่งที่เห็นนั้นเป็นอย่างที่ควรจะเป็นหรือไม่ คุณอาจหยิบเอาความเป็นไปได้ของความดีงามพื้นฐานมาช่วยทำให้เบิกบานถ้าหากว่าคุณเพียงแต่ผ่อนคลายอยู่ในตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการลุกจากเตียง เดินเข้าห้องน้ำ อาบน้ำ กินอาหารเช้า คุณอาจชื่นชมในทุกสิ่งที่ทำ โดยไม่จำต้องหมกมุ่นกังวลว่ามันไปกันได้กับวินัยหรือแผนการในแต่ละวัน หรือไม่ คุณอาจมีความเชื่อมั่นในตนเองมากขึ้นและนั่นก็อาจช่วยให้คุณสามารถขัดเกลาตนเองได้อย่างถ่องแท้ขึ้น ยิ่งเสียกว่าความหมกมุ่นกังวล และพยายามที่จะตรวจสอบดูว่าตนได้ทำอะไรลงไปบ้าง
 
......คุณอาจชื่นชมเห็นคุณค่าในชีวิต แม้ว่าจะเต็มไปด้วยสิ่งบกพร่องก็ตาม บางทีห้องเช่าที่คุณอยู่จะทรุดโทรม ทั้งเครื่องเรือนก็เก่าแก่ไม่หรูหรา คุณไม่จำเป็นต้องอยู่ในรั้วในวัง คุณอาจผ่อนคลายและปล่อยให้เป็นไปอย่างที่เป็น ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ที่นั่นก็คือ เวียงวัง ถ้าคุณย้ายเข้าไปอยู่ในห้องเช่าที่แสนสกปรก คุณก็อาจใช้เวลาทำความสะอาด มิใช่เพราะคุณรู้สึกแย่หรือรู้สึกทนไม่ไหวกับความสกปรก แต่เพราะคุณรู้สึกดี ถ้าคุณให้เวลาในการทำความสะอาดและย้ายเข้ามาอยู่อย่างเหมาะสม คุณก็อาจเปลี่ยนห้องเช้าแสนโสโครกให้กลายเป็นบ้านอันแสนสบาย
 
......ศักดิ์ศรีของมนุษย์มิได้ดำรงอยู่บนพื้นฐานของความมั่งคั่งทางวัตถุ คนมั่งคั่งอาจใช้จ่ายเงินมหาศาลเพื่อนเนรมิตรบ้านให้โอ่อ่าหรูหรา แต่นั่นอาจเป็นเพียงความภูมิฐานอย่างฉาบฉวย ศักดิ์ศรีนั้นอุบัติขึ้นจาการใช้สอยสิ่งที่มีอยู่ในตัวมนุษย์แล้ว โดยการกระทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยน้ำมือของตนเอง ทำขึ้นอย่างงดงามและเหมาสมที่นั่น คุณอาจทำสิ่งนี้ได้ แม้ในท่ามกลางสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด คุณก็อาจทำชีวิตให้งามสง่าขึ้นมา
 
......ร่างกายของคุณคือภาคขยายของความดีงามพื้นฐาน มันเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ชิดที่สุดหรือเป็นเครื่องมือซึ่งคุณจะแสดงความดีงามพื้นฐานผ่านออกมา ดังนั้นการให้คุณค่าแก่ร่างกายของตัวเองจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่คุณกิน น้ำที่คุณดื่ม เสื้อผ้าที่คุณใส่และการออกกำลังกายอย่างเหมาะสมก็เป็นสิ่งสำคัญมาก คุณอาจไม่จำเป็นต้องวิ่งหรือวิดพื้นทุก ๆ วัน ทว่าจำเป็นที่จะต้องระวังรักษาสุขภาพ แม้ว่าคุณจะมีร่างกายพิการก็ไม่ต้องรู้สึกว่าตัวเองถูกพันธนาการอยู่ด้วยสิ่งนั้น คุณยังอาจเคารพร่างกายและชีวิตของตนเอง คุณค่าศักดิ์ศรีของชีวิตอยู่เหนือกว่าความพิการมากนัก ในนามของฟ้าและดิน คุณจำต้องรักตัวเองให้มากขึ้น
 
......ญาณทัศนะชัมบาลามิใช่เป็นเพียงปรัชญาล้วน ๆ หากเป็นปฏิบัติการฝึกฝนขัดเกลาตนเพื่อเป็นนักรบ มันเป็นการเรียนรู้ที่จะปฏิบัติต่อตนเองให้ดีขึ้น เพื่อว่าคุณจะสามารถชวยสร้างสรรค์สังคมอริยะขึ้น ในกระบวนการดังกล่าว ความเคารพตนเองเป็นสิ่งสำคัญมาก ทั้งยังมหัศจรรย์และเลอเลิศ คุณอาจไม่มีเงินซื้อเสื้อผ้าราคาแพง แต่คุณก็ไม่จำเป็นต้องไปรู้สึกว่าปัญหาทางเศรษฐกิจผลักดันคุณให้ตกเข้าไปอยู่ในโลกมืดอันบีบคั้น คุณยังคงเต็มไปด้วยศักดิ์ศรีและความดีงาม คุณอาจสวมใส่พียงกางเกงยีนส์และเสื้อเชิร์ต แต่คุณก็ยังคงเป็นผู้มีศักดิ์ศรีผู้สวมใส่เสื้อเชิร์ตและกางเกงยีนส์ จะมีปัญหาเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อคุณไม่ได้เคารพตัวเองอย่างเหมาะสม ทั้งไม่ได้เคารพเสื้อผ้าที่ตนเองสวมใส่ด้วย ถ้าหากคุณต้องเข้านอนอย่างกลัดกลุ้มและถอดเสื้อผ้ากองทิ้งไว้เรี่ยราดบนพื้น นี่เองคือปัญหา
 
......จุดหลักก็คือว่าเมื่อคุณใช้ชีวิตสอดคล้องกับความดีงามพื้นฐานเมื่อนั้นคุณก็ได้สั่งสมความผุดผ่องตามธรรมชาติขึ้น ชีวิตของคุณก็คืออาจว่างและผ่อนคลาย โดยไม่จำต้องกลายเป็นคนมักง่าย คุณอาจปล่อยวางความรู้สึกกดดันหรือเคาะเขินในการที่ต้องเกิดมาเป็นมนุษย์ และอาจรู้สึกมีกำลังใจขึ้น คุณไม่จำเป็นไปตำหนิติเตียนโลกที่สร้างปัญหาให้คุณ คุณอาจจะผ่อนคลายและเล็งเห็นคุณค่าของโลก
 
......ขั้นตอนต่อไปของการปล่อยตามธรรมชาติก็คือการพูดความจริง เมื่อคุณเกิดความลังเลสงสัยในตนเองหรือเกิดความสงสัยในความน่าเชื่อถือของโลก เมื่อนั้นคุณอาจรู้สึกว่าคุณจำเป็นต้องพลิกแพลงความจริงเพื่อเป็นการป้องกันตนเอง ยกตัวอย่างเช่น เมื่อคุณต้องสอบสัมภาษณ์เพื่อเข้าทำงาน คุณอาจไม่ได้พูดถึงความสามารถที่แท้จริงทั้งหมดต่อนายจ้าง คุณอาจรู้สึกจำต้องบิดเบือนความจริงเพื่อให้ได้งานทำ คุณคิดว่าคุณจำเป็นต้องทำตัวให้ดูดีกว่าที่เป็นจริง จากทัศนะของซัมบาแล้ว ความสัตย์ซื่อเป็นกุศโลบายที่ดีที่สุด แต่การพูดความจริงมิได้หมายความว่าคุณจำต้องเปิดเผยความลี้ลับจนถึงแก่นในเปลือยทุกสิ่งทุกอย่างที่น่าอับอายออกมา ที่จริงคุณไม่มีสิ่งใดจะต้องอับอายเลย นั่นคือรากฐานแห่งการกล่าวความจริง คุณอาจไม่ใช่นักวิชาการ ช่างเครื่อง ศิลปินหรือนักรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก แต่สิ่งที่คุณเป็นอยู่ก็เป็นสิ่งแท้จริง เป็นสิ่งดีงามโดยพื้นฐาน ถ้าคุณรู้สึกดังนั้นได้ คุณก็อาจปล่อยวางซึ่งความพะว้าพะวังและอัตตา และอาจกล่าวความจริงได้โดยไม่โอ้อาดหรือดูแคลนตนเองเกินไป
 
......เมื่อนั้นคุณก็จะเริ่มเข้าใจถึงความสำคัญของการสื่อสารอย่างเปิดเผยต่อผู้อื่น ถ้าคุณพูดความจริงกับผู้อื่น เมื่อนั้นเขาก็อาจเปิดเผยต่อคุณด้วยอาจจะไม่ใช้ในทันทีทันใด แต่คุณก็ได้เปิดโอกาสให้เขาแสดงตนออกอย่างสัตย์ซื่อเช่นเดียวกัน เมื่อคุณไม่ได้พูดอย่างที่คุณรู้สึก คุณก็ได้ก่อเกิดความสับสนขึ้นกับตัวเองและกับผู้อื่นด้วย การหลีกเลี่ยงความจริงได้ทำลายเป้าประสงค์ของการพูดในฐานะที่เป็นการสื่อสารลง
 
......การพูดความจริงยังเกี่ยวเนื่องอยู่กับความอ่อนโยน คนแห่งชัมบาลาย่อมพูดจาอ่อนโยน เขาย่อมไม่กระโชกโฮกฮาก การพูดจาอ่อนโยนนั้นแสดงออกถึงสง่าราศี ดังผู้ที่มีศีรษะและหลังไหล่ได้สัดส่วน คงเป็นเรื่องแปลกมากถ้าใครมีไหล่และศีรษะงดงาม ทว่าเมื่อพูดจากลับเห่าหอนนั่นดูดขัดตาเสียจริง ๆ บ่อยครั้งเมื่อคุณพูดกับคนที่ไม่รู้ภาษาอังกฤษ คุณก็พบว่าตัวเองกำลังตะคอก ดังประหนึ่งว่าต้องตะโกนเพื่อให้เขาเข้าใจ คุณไม่จำเป็นต้องตะโกนและตบโต๊ะเพื่อเรียกร้องให้เขาฟัง ถ้าคุณพูดความจริงเมื่อนั้นคุณก็อาจพูดจาอย่างอ่อนโยนและถ้อยคำของคุณก็จะเต็มไปด้วยพลัง
 
......ขั้นตอนสุดท้ายของการปล่อยตามธรรมชาติก็คือการไม่หลอกลวงการหลอกลวงในที่นี้มิได้หมายถึงการหลอกลวงผู้อื่นอย่างจริงใจ หากแต่เป็นการหลอกตัวเองเสียมากกว่า เป็นความลังเลไม่แน่ใจ เป็นความสงสัยในตนเอง สิ่งเหล่านี้อาจทำให้ผู้อื่นสับสนหรือกระทั่งเป็นการหลอกลวงเขาด้วย คุณอาจขอให้ใครบางคนมาช่วยคุณตัดสินใจ "ผมควรจะขอคนๆนี้แต่งงานด้วยดีไหม" "ผมควรจะบ่นว่าอย่างนี้อย่างนั้นกับคนที่หยาบคายต่อผมดีไหม" "จะทำงานนี้ดีไหม" "จะหยุดพักต่อไปดีไหม" คุณกำลังหลอกหลวงผู้อื่นถ้าคำถามของคุณมิได้เป็นการขอความช่วยเหลืออย่างที่ถูกที่ควร ทว่าเป็นเพียงการแสดงออกถึงการขาดความมั่นใจในตน การอยู่ในภาวะที่ปราศจากการหลอกลวงจึงเป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยขยายขอบเขตของการพูดความจริงให้กว้างไกลขึ้น เพราะมันมีพื้นฐานอยู่บนการซื่อสัตย์ต่อตนเอง เมื่อคุณมีความรู้สึกเชื่อมั่นในการดำรงอยู่เกิดขึ้น เมื่อนั้นสิ่งที่คุณสื่อสารกับคนอื่น ๆ ก็ย่อมเป็นของแท้และเชื่อถือได้
 
......การหลอกตัวเองนั้นเกิดขึ้นบ่อยๆเพราะเหตุที่คุณไม่แน่ใจในสติปัญญาของตนเอง และกลัวว่าตนไม่สามารถจะเผชิญชีวิตได้อย่างที่ควรจะเป็น คุณไม่สามารถที่จะประจักษ์ในปรีชาญาณแต่แรกเริ่มได้ ยิ่งไปกว่านั้นคุณยังมองปรีชาญาณว่าเป็นดังอนุสาวรีย์ที่อยู่ภายนอกตัวเอง ทัศนะเช่นนี้จะต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลงเสียใหม่ ในการที่จะปราศจากความหลอกลวงได้ จุดเชื่อมโยงอันเดียวที่คุณอาจยึดถือได้ก็คือความรู้ที่ว่าความดีงามพื้นฐานนั้นดำรงอยู่ในตัวคุณแล้ว ความมั่นใจยิ่งขึ้นในความรู้นี้อาจสัมผัสได้ในการปฏิบัติสมาธิ ในการภาวนา คุณอาจสัมผัสได้ถึงสภาวะจิตซึ่งปราศจากความคิดที่สอง ปราศจากความกลัวและความลังเลสงสัย สภาวะของจิตใจอันตั้งมั่นนั้นย่อมไม่หวั่นไหวไปกับการขึ้นและลงชั่วครั้งชั่วคราวของความคิดและอารมณ์ความรู้สึก ในตอนแรกคุณอาจจะเห็นได้เพียงชั่วแวบเท่านั้น ผ่านการปฏิบัติสมาธิ คุณก็อาจแลเห็นได้ชั่วแวบถึงประกายหรือจุดของความดีงามพื้นฐานอันปราศจากเงื่อนไข เมื่อคุณสัมผัสได้ถึงจุดนั้น คุณก็อาจไม่ได้รู้สึกดีหรืออิสระโดยสิ้นเชิง หากแต่คุณจะตระหนักได้ว่าสภาวะของการตื่นขึ้นนั้น ความดีงามพื้นฐานอันนั้นดำรงอยู่ที่นั่นแล้ว คุณอาจสละละเสียซึ่งความลังเลไม่แน่ใจ ดังนี้เอง คุณก็อาจถึงซึ่งการไม่หลอกลวงผลจากการปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติก็คือการเชื่อมโยงกับพลังทางจิตวิญญาณ ซึ่งอาจช่วยหนุนคุณให้สามารถเชื่อมโยงการขัดเกลาตนเองและความเบิกบานเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์ เพื่อว่าการขัดเกลาตนเองจะได้เป็นไปโดยปราศจากอาการฝืนทั้งยังเป็นสิ่งวิเศษสุดอีกด้วย
 
......ทุก ๆ คนล้วนเคยสัมผัสได้ถึงกระแสของพลังในชีวิตของตนเอง ตัวอย่างเช่น นักกรีฑารู้สึกได้ถึงกระแสพลังเช่นว่านี้เพื่อเข้าร่วมอยู่ในการแข่งขัน หรือบางคนอาจรู้สึกถึงกระแสแห่งความรักความปราถนาที่มีต่อมนุษย์อีกคนหนึ่ง ซึ่งเขาหรือหล่อนหลงใหล ในบางครั้ง เรารู้สึกถึงพลังดังประหนึ่งลมเฉื่อยฉ่ำแห่งความปิติแทนที่จะเป็นลมแรงกล้า เช่นว่า เมื่อคุณรู้สึกร้อนและเหงื่อไหลไคลย้อย ถ้าคุณไปอาบน้ำ คุณจะรู้สึกสดฉ่ำและมีพลังด้วยในขณะเดียวกัน
 
......ตามธรรมดาแล้ว เราคิดว่าพลังดังกล่าวนี้เกิดขึ้นจากแหล่งกำเนิดแห่งใดแห่งหนึ่งหรือมีสาเหตุที่แน่นอน เพราะเราได้ร่วมอยู่ในสถานการณ์บางอย่างซึ่งทำให้เรามีพลังดังนั้น นักกรีฑาอาจจะกลายเป็นคนติดกีฬาเพราะเหตุแห่ง "ความซาบซ่าน" ซึ่งเขาได้สัมผัสมา คนบางคนอาจจะเสพติดความรัก เขามักจะตกหลุมรักครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะเขารู้สึกดียิ่งและมีชีวิตชีวาเมื่อมีความรัก ผลของการปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติก็คือคุณจะค้นพบถึงแหล่งกำเนิดแห่งพลังงานซึ่งดำรงอยู่ด้วยตนเอง ซึ่งมีให้แก่ คุณเสมอ ไม่ว่าในกรณีใดๆ มันถือกำเนิดขึ้นจากที่ใดที่หนึ่ง ทว่ามันดำรงอยู่ที่นั่นเสมอ มันคือพลังของความดีงามพื้นฐาน
 
......พลังอันดำรงอยู่ด้วนตนเองนี้เรียกว่าอาชาวายุในคำสอนของชัมบาลาหลักการของลมก็คือ เป็นพลังของความดีงามพื้นฐานที่มีคุณสมบัติแรงกล้าเนื่องอนันต์และรุ่งโรจน์ มันอาจฉายฉานพลังมหาศาลในชีวิตของคุณ แต่ในขณะเดียวกันความดีงามพื้นฐานก็อาจขับขี่ได้ด้วย นั่นคือหลักการของม้าจากการดำเนินตามวินัยของนักรบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฝึกฝนตามแนวทางปล่อยให้เป็นไป คุณก็อาจควบคุมลมแห่งความดีงามได้ในบางแง่มุม แต่ม้านี้ไม่มีทางทำให้เชื่องได้ คุณเริ่มจะแลเห็นว่าคุณอาจสร้างความดีงามพื้นฐานสำหรับตนเองและผู้อื่นขึ้นมา ณ ที่นี้ได้อย่างไร สร้างขึ้นมาอย่างเต็มเปี่ยมและสมบูรณ์ มิใช่ในมิติของปรัชญา แต่ในมิติของความเป็นจริงที่เป็นรูปธรรม เมื่อคุณติดต่อสัมพันธ์กับพลังของอาชาวายุ คุณก็อาจปล่อยวางความกังวลเกี่ยวกับสภาวะจิตของตนเองได้โดยธรรมชาติ และเริ่มที่จะคิดถึงผู้อื่นมากขึ้น คุณเริ่มรู้สึกปรารถนาที่จะแบ่งปันการค้นพบซึ่งความดีงามนี้กับพี่น้อง พ่อแม่และมิตรสหายทุกผู้ ซึ่งอาจได้รับประโยชน์จากข่าวสารแห่งความดีงามพื้นฐานนี้ ดังนั้นเอง การค้นพบถึงอาชาวายุนี้แรกสุดจึงเป็นการประจักษ์ในพลังอำนาจของความดีงามพื้นฐานในตัวเอง และถัดมาจึงแผ่สภาวะจิตดังกล่าวออกไปสู่ผู้อื่นโดยปราศจากความกลัว
 
......การได้สัมผัสถึงภาวะความเป็นอยู่ที่สูงขึ้นของโลกนั้นเป็นสภาวะที่เบิกบานมาก แต่ในขณะเดียวกันมันก็นำความเศร้ามากด้วย นี่คล้ายกับความรัก เมื่อคุณรักใครสักคน การอยู่กับคนรักนั้นเป็นสิ่งที่พึงเบิกบานและเจ็บปวดในขณะเดียวกัน คุณจะรู้สึกทั้งสุขและทุกข์ แต่นี่มิใช่ปัญหา ทว่ากลับเป็นเรื่องวิเศษยิ่งเพราะนี่คืออารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ในอุดมคติทีเดียว นักรบซึ่งได้เข้าถึงอาชวายุแล้วย่อมรู้สึกได้ถึงความเบิกบานและความเศร้าโศกแห่งความรักในทุก ๆ สิ่งที่เขาได้กระทำลงไป เขาย่อมรู้ร้อนรู้หนาวหวานชื่นและขื่นขมในขณะเดียวกัน ไม่ว่าจะราบเรียบเป็นปกติหรือคับขันไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว เขาย่อมรู้สึกเศร้าและก็ร่าเริงในขณะเดียวกัน
 
......ในทำนองนี้เอง ที่นักรบจะเริ่มเข้าใจถึงความหมายของความมั่นใจที่ปราศจากเงื่อนไข ความมั่นใจในภาษาธิเบตก็คือ ซิจิ ซิหมายถึง "ส่องสว่าง" หรือ "เป็นประกาย" จิ หมายถึง "ยอดเยี่ยม" หรือ "สูงส่ง" และบางครั้งก็มีความหมายในทำนอง "แข็งแกร่ง" ดังนั้น ซิจิ หมายแสดงถึงการส่องสว่าง หมายถึงความเบิกบานในขณะเดียวกันก็สูงส่ง
 
......ในบางครั้งความมั่นใจหมายถึงการตกอยู่ในภาวการณ์ที่ปราศจากทางเลือก คุณก็เชื่อมั่นในตนเองและใช้พลังข้อมูลและความทรงจำที่กักตุนไว้ในการเข้าเผชิญกับปัญหา คุณเม้มปากปลุกเร้าความก้าวร้าวขึ้นและบอกกับตัวเองว่าคุณจะทำให้ได้ นั่นคือวิถีทางของนักรบที่ยังไม่เติบใหญ่ ในกรณีนี้ความมั่นใจมิได้หมายความว่าคุณมีความมั่นใจในบางสิ่งบางอย่าง หากแต่หมายถึงการดำรงอยู่ในภาวะของความมั่นใจนั้นเองทีเดียว เป็นอิสระจากการแก่งแย่งแข่งขันหรือความอยากเด่นอยากดัง ทว่านี่คือภาวะที่ไปพ้นจากเงื่อนไขใด ๆ คุณเพียงแต่ครอบครองสภาวะจิตที่ตั้งมั่นโดยไม่จำเป็นต้องหาสิ่งเกื้อหนุนรองรับ ไม่มีความกังวลสงสัยใด ๆ หลงเหลืออยู่ แม้แต่ข้อกังขาน้อยหนึ่งก็ไม่เคยอุบัติขึ้น ความมั่นใจชนิดนี้เปี่ยมล้นไปด้วยความอ่อนโยน ด้วยเหตุที่ไม่มีความกลัวอุบัติขึ้น แข็งแกร่ง ด้วยเหตุที่ในภาวะแห่งความมั่นใจนี้รุ่มรวยด้วยทรัพยากรภายในและเบิกบาน ด้วยเหตุที่ความเชื่อมั่นในหัวใจนั้นย่อมก่อให้เกิดอารมณ์ขัน ความมั่นใจนี้อาจเผยตัวออกอย่างสง่างามและเปี่ยมล้นในชีวิตคน ทำอย่างไรจึงจะประจักษ์ถึงคุณสมบัติดังกล่าวในชีวิตของคุณ จึงเป็นหัวข้อสำคัญในภาคที่สองของหนังสือเล่มนี้


http://board.agalico.com/showthread.php?t=29269
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
ชัมบาลา : บทที่ ๒ ค้นหารากฐานแห่งความดีงาม
จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
เงาฝัน 0 1633 กระทู้ล่าสุด 21 พฤศจิกายน 2554 11:44:11
โดย เงาฝัน
ชัมบาลา : บทที่ ๓ ใจเศร้าที่แท้จริง
จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
เงาฝัน 0 1757 กระทู้ล่าสุด 22 พฤศจิกายน 2554 11:24:44
โดย เงาฝัน
ชัมบาลา : บทที่ ๔ ความกลัวกับความไม่หวาดหวั่น
จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
เงาฝัน 0 1400 กระทู้ล่าสุด 22 พฤศจิกายน 2554 12:05:22
โดย เงาฝัน
ศัมภลา หรือ ชัมบาลา (Shambhala) อาณาจักรลี้ลับ ใน คัมภีร์กาลจักรตันตระ
จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
มดเอ๊ก 2 3259 กระทู้ล่าสุด 26 กรกฎาคม 2559 14:08:45
โดย มดเอ๊ก
ชัมบาลา: พุทธธรรมโลกวิสัย (โอม มณีปัทเมหุม เขียน )
จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
มดเอ๊ก 0 124 กระทู้ล่าสุด 21 ธันวาคม 2566 17:47:20
โดย มดเอ๊ก
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 4.014 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 28 มีนาคม 2567 06:44:26