นาฬิกาชีวิต (Bilogical Clock) ช่วยดำรงชีวิตอย่างมีความสุข

นาฬิกาชีวิต

นาฬิกาชีวิต (Bilogical Clock)

การแพทย์ตะวันออกถือว่า กลางวันและกลางคืนมีความสัมพันธ์กับสุขภาพของมนุษย์อย่างแยกไม่ออก โดยมองลึกลงไปอีกว่า ช่วงเวลา ๒๔ ชั่วโมง ในหนึ่งวันนั้น ภายในร่างกายของมนุษย์ มีการไหลเวียนของพลังชีวิตที่ผ่านอวัยวะภายในของร่างกาย ซึ่งประกอบด้วยอวัยวะตันและอวัยวะกลวง

   • อวัยวะตัน หมายถึง หัวใจ เยื่อหุ้มหัวใจ ปอด ม้าม
   • อวัยวะกลวง หมายถึง กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก กระเพาะปัสสาวะ ระบบความร้อนของร่างกาย (ซานเจียว)

การไหลเวียนของพลังชีวิต (ลมปราณ) ที่ผ่านแต่ละอวัยวะนั้นจะใช้เวลา ๒ ชั่วโมง ทั้งหมดมี ๑๒ อวัยวะ รวม ๒๔ ชั่วโมง คือหนึ่งวัน เรียกว่า นาฬิกาชีวิต

ตัวอย่างเช่น การไหลเวียนของเส้นลมปราณปอด จะมีพลังไหลเวียนเริ่มต้นที่เวลา ๐๓.๐๐ น. และสูงสุดในในช่วงเวลาประมาณ ๐๔.๐๐ น. จากนั้นจะค่อย ๆ ลดลง และออกจากเส้นลมปราณปอด ไปยังเส้นลมปราณลำไส้ใหญ่ เวลา ๐๕.๐๐ น. การรักษาโรคของเส้นลมปราณปอดที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุดจึงควรอยู่ระหว่างเวลา ๐๓.๐๐ – ๐๕.๐๐ น.

ได้มีการศึกษาวิจัยพบว่า ผลของการใช้ยาตะวันตกคือ ยาดิติตาลิสในการรักษาโรคหัวใจล้มเหลว (มีการคั่งของน้ำในปอด) การให้ยาในช่วงเวลา ๐๔.๐๐ น. จะให้ผลออกฤทธิ์ประมาณ ๔๐ เท่า ของการให้ในเวลาอื่น เป็นต้น การเคลื่อนไหวของพลังชีวิตของอวัยวะภายใน มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอนและสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับเวลา (นาฬิกาชีวิต) ร่างกายเราจึงมีกลไกการปรับตัว มีการสร้างสารคัดหลั่งฮอร์โมน การทำงานของระบบต่าง ๆ ฯลฯ ให้เป็นไปตามสภาพธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไป

การดำรงชีวิตและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ จึงเป็นหลักการของการมีสุขภาพที่ดีและมีอายุยืน ปราศจากโรค โดยแบ่งเป็นช่วงเวลาดังนี้

• ๐๑.๐๐ – ๐๓.๐๐ น. เป็นช่วงเวลาของตับ ควรนอนหลับพักผ่อน ถ้าใครนอนหลับได้ดีเป็นประจำในช่วงเวลานี้ ตับจะหลั่งสารเอนเดอร์ฟิน (endorphin) ออกมาด้วย จึงไม่ควรกินอาหาร เพราะจะทำให้ตับทำงานหนักและเสื่อมเร็ว

หน้าที่หลักของตับ คือขจัดสารพิษในร่างกาย ส่วนหน้าที่รองคือ
   ๑. ช่วยไตในการดูแลผม ขน เล็บ ถ้าตับมีปัญหา ผม ขน เล็บ จะไม่สวย
   ๒. ช่วยกระเพาะย่อยอาหาร ถ้ากินอาหารบ่อย ๆ จะทำให้ตับทำงานหนัก ตับจะหลังน้ำย่อยออกมามาก จึงไม่ได้ทำหน้าที่หลัก เป็นเหตุให้สารพิษตกค้างในตับ

• ๐๓.๐๐ – ๐๕.๐๐ น. เป็นช่วงเวลาของปอด จึงควรตื่นนอน เพื่อสูดอากาศที่บริสุทธิ์ และรับแสงแดดในยามเช้า ผู้ที่ตื่นนอนเวลานี้เป็นประจำ ปอดจะแข็งแรงดี ผิวดีขึ้น และจะเป็นคนที่มีอำนาจในตัว คนที่มีปัญหาเรื่องปอดมักจะไม่ค่อยตื่นเวลานี้

• ๐๕.๐๐ – ๐๗.๐๐ น. เป็นช่วงเวลาของลำไส้ใหญ่ ซึ่งมีหน้าที่ถ่ายอุจจาระออกไป จึงควรขับถ่ายอุจจาระให้เป็นนิสัยในทุกเช้า หากไม่ถ่ายตอนเช้า ลำไส้ใหญ่จะรวน ซึ่งสังเกตได้จากอาการปวดไหล่ กล้ามเนื้อเพดานจะหย่อนยาน ทำให้นอนกรนในที่สุด ผู้ที่มีปัญหาลำไส้ใหญ่ จึงควรตื่นนอนก่อน ๐๕.๐๐ น.
   ถ้าไม่ถ่าย ให้ใช้วิธีกดจุดที่ตำแหน่งสองข้างของจมูก
   ถ้ายังไม่ถ่าย ให้ดื่มน้ำอุ่น ๒ แก้ว
   ถ้ายังไม่ถ่าย ให้ดื่มน้ำผึ้งผสมมะนาว โดยใช้น้ำ ๑ แก้ว + น้ำผึ้ง ๑ ช้อนโต๊ะ + มะนาว ๔ – ๕ ลูก ชงดื่มจนกว่าจะถ่าย หรือบริหารร่างกาย โดยยืนตรง หายใจเข้า ก้มลงพร้อมทั้งหายใจออก เอามือเท้าเข่า แขม่วท้องจนเหมือนว่าหน้าท้องไปติดสันหลัง

คนที่ถ่ายยากต้องกินอาหารเช้า บางคนไม่กินอาหารเช้า ดื่มกาแฟเพียงแก้วเดียวก็อิ่ม ร่างกายจะดูดกากอาหารตกค้างซึ่งกำลังจะเป็นอุจจาระ กลับเข้าไปในกระเพาะใหม่ จึงเท่ากับว่า “ดื่มกาแฟแกล้มอุจจาระ”

• ๐๗.๐๐ – ๐๙.๐๐ น. เป็นช่วงเวลาของกระเพาะอาหาร ถ้ากินอาหารเช้าในช่วงเวลานี้ทุกวัน กระเพาะอาหารจะแข็งแรง ถ้าเราไม่กินอาหารเช้า อุจจาระจะถูกดูดกลับมาที่กระเพาะ กลิ่นตัวจะเหม็น ถ้าเราขับถ่ายออกหมดเกลี้ยง จะไม่มีกลิ่นตัวเท่าไร อย่างน้อยขอให้มีโยเกิร์ต + นมสด + มะนาว ก็จะได้สารอาหารเพียงพอในมื้อเช้า ซึ่งจะช่วยบำรุงกระเพาะและสมองได้ดี สูตรนี้ได้มาจากพระไตรปิฎก

ถ้าปล่อยให้กระเพาะอาหารอ่อนแอ จะทำให้เป็นคนตัดสินใจช้า ขี้กังวล ขาไม่ค่อยมีแรง ปวดเข่า หน้าแก่เร็วกว่าวัย

• ๐๙.๐๐ – ๑๑.๐๐ น. เป็นช่วงเวลาของม้าม ม้ามจะอยู่ชายโครงด้านซ้าย มีหน้าที่ควบคุมเม็ดเลือด สร้างน้ำเหลือง ควบคุมไขมัน คนที่ปวดศีรษะบ่อยมักมาจากความผิดปรกติของม้าม อาการเจ็บชายโครงมักมีสาเหตุมาจากม้ามกับตับ
   ม้ามโต ม้ามจะไปเบียดปอด จึงทำให้เหนื่อยง่าย ผอมเหลือง ร่างกายสร้างเม็ดเลือดขาวได้น้อย
   ม้ามชื้น อาหารและน้ำที่กินเข้าไป จะแปรสภาพเป็นไขมัน จึงทำให้อ้วนง่าย

ผู้ที่มักนอนหลับในช่วงเวลา ๐๙.๐๐ – ๑๑.๐๐ น. ม้ามจะอ่อนแอ นอกจากนี้ ม้ามยังโยงถึงริมฝีปาก ผู้ที่พูดบ่อย ๆ หรือพูดเก่ง ๆ ม้ามจะชื้น ทางที่ดีคือควรกินน้อย พูดน้อย ไม่นอนหลับในช่วงเวลานี้ เพราะเป็นช่วงเวลาที่ม้ามต้องทำงานหนัก

• ๑๑.๐๐ – ๑๓.๐๐ น. เป็นช่วงเวลาของหัวใจ หัวใจทำงานหนักในช่วงเวลานี้ จึงควรหลีกเลี่ยง ความเครียด หรือสิ่งที่ทำให้ต้องใช้ความคิดหนัก และหาทางระงับอารมณ์ตื่นเต้น หรืออาการตกใจให้ได้ คนที่มีปัญหาเรื่องหัวใจ ไม่ได้แสดงอาการที่หน้าอกอย่างที่เข้าใจกัน แต่มักมีอาการปวดไหล่

ผัก ผลไม้ ที่ช่วยบำรุงหัวใจ คือ กล้วย ส้ม มะเขือเทศ รากบัว ส่วนเม็ดบัวบำรุงตับ ไต

• ๑๓.๐๐ – ๑๕.๐๐ น. เป็นช่วงเวลาของลำไส้เล็ก จึงควรงดการกินอาหารทุกประเภท เพื่อเปิดโอกาสให้ลำไส้ทำงาน ลำไส้เล็กมีหน้าที่ดูดซึมสารอาหารที่เป็นน้ำทุกชนิด เช่น วิตามินบี วิตามินซี และโปรตีน เพื่อสร้างกรดอะมิโน ซึ่งมีหน้าที่ในการสร้างเซลล์สมอง ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และสร้างไข่สำหรับผู้หญิง ถ้ามีกรดอะมิโนน้อย ไข่จะมาไม่ครบทุกเดือน การที่ผู้หญิงมีลำไส้ยาวกว่าผู้ชาย ๑๑ ฟุต ก็เพื่อให้การดูดซึมได้นานกว่า เนื่องจากผู้หญิงต้องใช้กรดอะมิโนมากกว่าผู้ชาย เมื่อมีลำไส้ยาวกว่า ผู้หญิงจึงมีกระดูกซี่โครงมากกว่าผู้ชายข้างละ ๑ ซี่

• ๑๕.๐๐ – ๑๗.๐๐ น. เป็นช่วงเวลาของกระเพาะปัสสาวะ แนวพลังของกระเพาะปัสสาวะ เริ่มจากหัวตา – ผ่านหน้าผาก – ศีรษะ – ท้ายทอย – แผ่นหลังทั้งแผ่น – สะโพก – ด้านหลังขา – หัวเข่า – น่อง – ส้นเท้า – นิ้วก้อย กระเพาะปัสสาวะจะเกี่ยวข้องกับระบบความจำ ไทรอยด์ และระบบเพศทั้งหมด

ช่วงเวลานี้จึงควรทำให้เหงื่อออก อาจจะออกกำลังกายหรืออบตัว กระเพาะปัสสาวะจะได้แข็งแรง ข้อควรระวัง คือถ้าเหงื่อมีโซเดียมปนออกมามาก ไตจะวาย แต่ถ้ามีโปตัสเซียมปนออกมามาก หัวใจจะวาย เราสามารถป้องกันเรื่องหัวใจวายได้ โดยการดื่มน้ำส้มหรือน้ำมะนาว เพื่อเติมโปตัสเซียม (ผู้ที่มีโปตัสเซียมน้อยต้องระวังเรื่องการฉีดยาชา เพราะยาชาจะทำให้โปตัสเซียมลดลงอย่างรวดเร็ว หัวใจอาจวายได้ง่าย)

การอั้นปัสสาวะบ่อย ๆ ปัสสาวะจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้เหงื่อที่ออกมามีกลิ่นเหม็นเหมือนปัสสาวะ

• ๑๗.๐๐ – ๑๙.๐๐ น. เป็นช่วงเวลาของไต จึงควรทำใจให้สดชื่น ไม่ง่วงเหงาหาวนอนในช่วงเวลา
นี้ ผู้ใดมีอาการง่วงนอนในช่วงเวลานี้ แสดงว่ามีปัญหาในเรื่องไตเสื่อม ถ้านอนหลับแล้วเพ้อ แสดงว่าอาการหนักมาก
   ไตซ้าย จะคุมสมองด้านขวา ซึ่งควบคุมด้านความคิดสร้างสรรค์ อารมณ์สุนทรีย์ รักสวยรักงาม ชอบแต่งตัว ถ้าไตซ้ายมีปัญหา อารมณ์รักสวยรักงามจะหมดไป กลายเป็นคนปล่อยเนื้อปล่อยตัว และเป็นคนขี้ร้อน
   ไตขวา จะคุมสมองด้านซ้าย ซึ่งควบคุมด้านความจำ ถ้าไตขวามีปัญหา ความจำจะเสื่อมและเป็นคนขี้หนาว (ผู้ที่ไตแข็งแรงจะเป็นคนมีอายุยืน เป็นคนกล้า)
   ถ้าลำไส้เล็กมีไขมันเกาะมาก อาหารที่อยู่ในรูปของสารละลายจะผ่านลำไส้เล็กไม่ได้ จึงตกเป็นภาระของไต เป็นผลให้ไตทำงานหนัก จึงกลายเป็นโรคไต ผู้ที่เป็นโรคไต สมองจะเสื่อม ปวดหลัง เป็นหวัดง่าย มีเสลดในคอ

การดูแลคือ ตอนเช้าอาบน้ำเย็น ตอนเย็นให้อาบน้ำอุ่น กรณีที่อาบน้ำไม่ได้ ให้ใช้วิธีแช่เท้า แต่น้ำควรใส่สมุนไพรที่ถูกกับโฉลกของผู้ป่วย เช่น ขิง ข่า กระชาย อย่างใดอย่างหนึ่ง

• ๑๙.๐๐ – ๒๑.๐๐ เป็นช่วงเวลาของเยื่อหุ้มหัวใจ ช่วงเวลานี้ควรจะสวดมนต์ ทำสมาธิ ปัญหาเกี่ยวกับเยื่อหุ้มหัวใจ คือ หัวใจโต หัวใจรั่ว เส้นโลหิตหัวใจตีบ ดังนั้น ผู้ป่วยจะต้องระวังเรื่องตื่นเต้น ดีใจ การหัวเราะ กรณีเส้นเลือดขอด ต้องดูแลเยื่อหุ้มหัวใจให้แข็งแรง ควรใส่เสื้อผ้าชุดสีดำหรือเทา เอาเท้าแช่น้ำอุ่น

• ๒๑.๐๐ – ๒๓.๐๐ น. เป็นช่วงเวลาที่ต้องทำให้ร่างกายอบอุ่น จึงห้ามอาบน้ำเย็นในช่วงเวลานี้ เพราะจะทำให้เจ็บป่วยได้ง่าย อย่าไปตากลม เพราะเป็นช่วงที่ลมเป็นพิษ

• ๒๓.๐๐ – ๐๑.๐๐ น. เป็นช่วงเวลาของถุงน้ำดี (ถุงน้ำดีเป็นถุงสำรองเก็บน้ำย่อยที่ออกมาจากตับ)

เมื่ออวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งในร่างกายขาดน้ำ จะดึงน้ำจากถุงน้ำดี ทำให้ถุงน้ำดีข้น เป็นผลให้มีอารมณ์ฉุนเฉียว สายตาเสื่อม เหงือกจะบวม ปวดฟัน นอนไม่หลับ ตื่นกลางดึก หรือตื่นตอนเช้าจะจาม (ถุงน้ำดีจะโยงไปถึงปอด) จะปวดศีรษะข้างเดียว หรือสองข้างโดยไม่ทราบสาเหตุ (ผู้ที่ตัดถุงน้ำดีออก เมื่อตรวจด้วยลูกดิ่งจะพบว่า หากถุงน้ำดีข้นมักมีอาการปวดขา ปวดสะโพก)

ทางแก้คือ อย่าใส่ชุดนอนที่เป็นผ้าใยสังเคราะห์หรือไนล่อน เพราะชุดนอนจากใยสังเคราะห์จะไปดูดน้ำในร่างกาย ควรสวมชุดผ้าฝ้ายดีที่สุด ไม่ควรนอนบนที่นอนสูง เพราะจะทำให้เสียน้ำในร่างกาย ดังนั้น จึงควรดื่มน้ำก่อนเข้านอนหรือก่อนเวลา ๒๓.๐๐ น. ชิลๆ

คัดลอกจาก : หนังสือชีวิตกับสุขภาพ ตอนสอง “นาฬิกาชีวิต” หน้า ๗๔ – ๘๒ รวบรวม-เรียบเรียงโดย ธรรมปราโมทย์ จัดพิมพ์เผยแพร่โดย ธรรมสภา และสถาบันบันลือธรรม.