[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
19 เมษายน 2567 17:18:31 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: "อานันทเศรษฐี" ผู้มีความตระหนี่ในการให้ทาน  (อ่าน 2765 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 20.0.1132.57 Chrome 20.0.1132.57


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 20 กรกฎาคม 2555 16:05:18 »

"อานันทเศรษฐี" ผู้มีความตระหนี่ในการให้ทาน



.......การที่บุคคลจะได้สมบัติทุกภพทุกชาตินั้นเป็นเพราะเหตุว่า เขาได้รักษาสมบัติเอาไว้ได้ ดังที่
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อาทิตตสูตร ว่า

" เมื่อเรือนถูกไฟไหม้ เจ้าของเรือนขนเอา
ภาชนะใดออกไปได้ ภาชนะนั้นย่อมเป็น
ประโยชน์แก่เขา ส่วนสิ่งของที่ขนออกไปไม่ได้
ย่อมถูกไฟไหม้ ฉันใด

โลก ( คือหมู่สัตว์ ) อันชราและมรณะเผา
แล้วก็ฉันนั้น ควรนำออก ( ซึ่งโภคทรัพย์สมบัติ )
ด้วยการให้ทาน เพราะทานวัตถุที่บุคคลให้แล้ว
ได้ชื่อว่านำออกดีแล้ว ทานวัตถุที่บุคคลให้แล้ว
นั้น ย่อมมีสุขเป็นผล ที่ยังมิได้ให้ย่อมไม่เป็น
เหมือนเช่นนั้น โจรยังปล้นได้ พระราชายังริบ
เอาไปได้ ไฟยังไหม้ได้ หรือสูญหายไปได้

อนึ่ง บุคคลจำต้องละร่างกายพร้อมด้วย
สิ่งเครื่องอาศัย ด้วยตายจากไป ผู้มีปัญญา รู้
ชัดดังนี้แล้ว ควรใช้สอยและให้ทาน เมื่อได้ให้
ทานและใช้สอยตามควรแล้ว จะไม่ถูกติฉิน
เข้าถึงสถานที่อันเป็นสวรรค์ "

.......จากพุทธพจน์ที่กล่าวในเบื้องต้น ทำให้เห็นอานิสงส์ของการทำ และไม่ทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตร
ทั้งกับตนเองและผู้อื่น ซึ่งพอจะขยายความตามพุทธพจน์ได้ว่า " บุคคลที่ทำบุญเอง แต่ไม่ได้บอก
บุญผู้อื่น จะไปเกิดเป็นผู้ที่ร่ำรวยด้วยทรัพย์สมบัติ แต่ไม่มีพวกพ้องบริวาร "

เพราะว่า " เมื่อบุคคลทำบุญด้วยตนเอง " ชื่อว่าเขาได้รักษาทรัพย์สมบัติของตนไว้ แต่ " เขาไม่ได้
บอกบุญผู้อื่น " ชื่อว่าเขาไม่ได้ติดตามรักษาทรัพย์สมบัติให้ผู้อื่น เสมือนปล่อยให้ทรัพย์นั้นถูกไฟไหม้
จนหมดสิ้น ฉะนั้นเวลาไปเกิดในภพชาติใด จึงมีโภคทรัพย์สมบัติมากมาย แต่ไม่มีบริวาร เมื่อทำกิจ
การใดๆ ก็ต้องเหน็ดเหนื่อยยากลำบากมาก ไม่มีคนช่วยเหลือ เพราะขาดพวกพ้อง

" บุคคลที่ไม่ได้ทำบุญเอง ได้แต่บอกบุญคนอื่น จะไปเกิดเป็นคนยากจน แต่มีพวกพ้องบริวาร "

เพราะว่าไม่รักษาทรัพย์สมบัติของตนเองไว้ ได้แต่ตามรักษาทรัพย์สมบัติให้คนอื่น ฉะนั้นไปเกิดใน
ภพชาติใด ตนจึงต้องลำบากและยากจนค่นแค้น แต่เวลาจะทำอะไรก็มีคนคอยช่วยเหลือสนับสนุนตลอดเวลา

" บุคคลที่ไม่ได้ทำบุญด้วยตนเอง และไม่บอกบุญ จะไปเกิดเป็นคนยากจน ทั้งไม่มีพวกพ้องบริวาร "

เพราะว่าไม่รักษาทั้งทรัพย์สมบัติของตนเอง และผู้อื่น บางทีถึงกับขัดขวางคนอื่นไม่ให้ทำอีก ฉะนั้น
ไปเกิดในภพชาติใด ก็พบแต่ความลำบากยากจน ต่ำต้อย ไม่มีพวกพ้องเลย จะทำอะไรก็ลำบากมาก
และไปเกิดกับกลุ่มชนที่มีความลำบากด้วยกัน มีแต่คนรังเกียจ เหมือนดังเรื่องต่อไปนี้

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 20.0.1132.57 Chrome 20.0.1132.57


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 20 กรกฎาคม 2555 16:06:28 »

อานันทเศรษฐี

.......ในสมัยพุทธกาล ที่เมืองสาวัตถี มีเศรษฐีคนหนึ่ง ชื่ออานันทะ มีสมบัติมากถึง ๘๐ โกฏิ แต่ว่าเป็น
คนตระหนี่ไม่ทำบุญ ทั้งห้ามบุตรหลานทุกคนทำบุญ เขาสอนบุตรวันละ ๓ เวลาว่า

" อย่าคิดว่าทรัพย์ที่เรามีอยู่นี้มาก ควรทำทรัพย์ใหม่ให้เกิดขึ้นเป็นประจำทุกๆ วัน ไม่ควรให้ทานแก่
ใครๆ เพราะทรัพย์ที่มีมากย่อมสิ้นไปทีละน้อย พึงดูอย่างยาหยอดตา เมื่อหยอดทีละหยดยังหมดได้
พึงดูอย่างการพอกพูนขึ้นของจอมปลวก ที่เพิ่มขึ้นทีละน้อย ยังเป็นจอมปลวกใหญ่ได้ คนครองเรือนก็
ควรเป็นอย่างนี้ "

เขาได้ฝังขุมทรัพย์ใหญ่ไว้ ๕ แห่ง แต่ด้วยความที่ตระหนี่มาก จึงไม่ยอมบอกให้ใครทราบ แม้แต่บุตร
ของตนชื่อ มูลสิริ อานันทเศรษฐีมีชีวิตอยู่อย่างเศร้าหมอง เพราะความตระหนี่ เมื่อเขาตาย มูลสิริได้
ดำรงตำแหน่งเศรษฐีต่อมา

อานันทเศรษฐีเมื่อเขาละโลกไปแล้ว ไปเกิดในครรภ์ของหญิงยากจนคนจัณฑาล หาเลี้ยงชีพด้วยการ
ขอทาน ขณะที่อยู่ในครรภ์มารดา ไม่ว่าจะไปขอทานที่ไหนก็ตาม มารดาจะอดอยากยากจนไปด้วย ที่ว่า
จนแล้วก็ยิ่งกลายเป็นคนจนในหมู่ยาจกทีเดียว รวมทั้งทำให้กลุ่มที่หญิงยากจนคนนี้ไปอาศัยอยู่พลอยยาก
ลำบากไปด้วย ทำให้หมู่คณะสงสัยว่า ต้องมีคนกาลกิณีอยู่แน่นอน จึงได้แบ่งกลุ่มออกเป็น ๒ ฝ่าย และ
ถ้าหญิงมีครรภ์ผู้นี้ไปอยู่ฝ่ายไหน ฝ่ายนั้นก็จะตกยากลำบาก ขอทานไม่ได้ทุกครั้ง จนเป็นที่รังเกียจของผู้
อื่น จึงขับนางออกจากกลุ่ม


.......เมื่อนางคลอดบุตร ได้เห็นหน้าบุตรแล้วอยากจะร้องไห้สัก ๕๐ ปี เพราะบุตรของนางพิกลพิการสารพัด
อย่าง มือ เท้า หู จมูก ปาก นัยน์ตา พิการไปหมด เหมือนปีศาจคลุกฝุ่น น่าเกลียดเหลือเกิน แต่นางก็ไม่
ละทิ้งบุตร ทั้งนี้เพราะความมีเยื่อใย ความรักความผูกพันตามธรรมชาติของแม่ที่มีต่อลูกอย่างแรงกล้า นาง
เลี้ยงบุตรด้วยความฝืดเคือง วันใดที่พาบุตรไปขอทานด้วย วันนั้นจะไม่ได้อะไรเลย ส่วนวันใดทิ้งบุตร
ไว้ที่บ้าน วันนั้นจะได้อาหารพอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องพอดำรงชีวิตอยู่ได้เท่านั้น

พ่อแม่จึงปรึกษากันว่า ตั้งแต่ลูกคนนี้เกิดมา ไม่ว่าจะไปที่ไหน ก็พบแต่ความอัตคัดขัดสนตลอดเวลา
แม้กระนั้นก็ยังสู้ทนเลี้ยงดูลูกเรื่อยมา จนกระทั่งลูกสามารถดูแลตัวเองได้ จึงบอกกับลูกว่า " ลูกเอ๋ย เอา
กระเบื้องใบนี้ไป ต่างคนต่างไปเถอะ ถึงแม้ว่าพ่อกับแม่จะรักลูกแค่ไหน แต่ถ้าเอาลูกไปด้วยก็คงจะอด
อยากมาก ดังนั้นลูกจงไปหาเลี้ยงชีพด้วยตนเองเถิด "

ลูกจึงจำต้องจากไปเพื่อหาเลี้ยงชีพ แต่ไม่ว่าจะไปทางไหนก็หาทรัพย์ไม่ได้ เด็กน้อยตะเกียกตะกาย
ขอทานช่วยเหลือตัวเองไปจนถึงบ้านของมูลสิริเศรษฐี ก็ระลึกชาติได้ว่า บ้านนี้เคยเป็นบ้านของตนมาก่อน
และเศรษฐีนี้ คือ ลูกชายของตนเอง จึงเดินไปในบ้านนั้น ฝ่ายลูกของมูลสิริเศรษฐีเห็นเด็กขอทานที่หน้า
ตาน่าเกลียด น่ากลัวเข้าก็ตกใจ จึงให้คนใช้ขับไล่ออกไป


.......ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระอานนท์เป็นปัจฉาสมณะ ( พระผู้ติดตาม ) เสด็จผ่านไปถึงที่นั้น
พระองค์ทรงชี้ให้ดูเด็กขอทานคนนั้น แล้วตรัสว่า " อานนท์ เด็กขอทานที่มีหน้าตาอัปลักษณ์น่าเกลียด
นั้น คือ อานันทเศรษฐี "

ทั้งยังตรัสกับมูลสิริเศรษฐีให้ทราบอีกด้วยว่า นี่คือ อานันทเศรษฐี ซึ่งเป็นพ่อของเขาในอดีตชาติ

มูลสิริเศรษฐีจึงทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า เขาจะทราบได้อย่างไร พระองค์ตรัสตอบว่า เด็กคนนี้
จำที่ฝังสมบัติได้ มูลสิริเศรษฐีจึงให้เด็กขอทานนั้นไปชี้ที่ฝังสมบัติ เมื่อให้คนขุดดู ก็พบว่ามีสมบัติจริงตาม
ที่ชี้


.......จะเห็นได้ว่า การไม่รักษาสมบัติของตนและไม่ตามรักษาสมบัติของผู้อื่น จำทำให้เข้าถึงความวิบัติ
ของรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ และคุณสมบัติต่างๆ ทำให้มีรูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์ ยากจนค่นแค้นเป็นที่
รังเกียจของคนทั่วไป

ส่วน " บุคคลที่ทำบุญเองและบอกบุญผู้อื่นด้วย ย่อมร่ำรวยด้วยโภคทรัพย์สมบัติ และ บริวารสมบัติ "

เพราะว่า นอกจากตนเองได้รักษาทรัพย์สมบัติของตนไว้ดีแล้ว ยังติดตามไปรักษาทรัพย์สมบัติให้ผู้อื่น
ฉะนั้นไปเกิดในภพชาติใด ก็จะมั่งคั่งร่ำรวยและมีพวกพ้องบริวารมาก จะทำสิ่งใดก็สำเร็จได้โดยง่าย

เพราะผู้ที่ได้รับการชักชวนทั้งหลาย ได้เสวยผลบุญเกิดมา มีความสุขความเจริญด้วยโภคทรัพย์สมบัติ
เขาจะระลึกถึงบุคคลที่ตามไปรักษาทรัพย์ของเขาไว้ให้พ้นจากวิบัติ ฉะนั้นจะเกิดกระแสบุญชนิดหนึ่ง
แล่นมาถึงผู้ที่ตามไปรักษาทรัพย์สมบัตินั้นไว้ พร้อมทั้งส่งเสริมสนับสนุนให้รุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไป จะมีแต่
คนที่ซื่อสัตย์สุจริต บริสุทธิ์กาย วาจา ใจ มาเป็นบริวาร เป็นมิตรสหาย คนภัยคนพาลเข้าใกล้ไม่ได้
เพราะเดินสวนทางกัน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ที่ไม่ดีจะไม่เกิดขึ้นเลย จะได้แต่สิ่งที่ดีๆ
ทั้งโภคทรัพย์สมบัติ และบริวารสมบัติทุกอย่าง

ที่มา จากเว็บธรรมจักร
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
คำค้น: อานันทเศรษฐี ตะหนี่ งก ขี้งก ทาน ให้ทาน 
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
"Lemon Soup" อาสาส่ง"ทุกวัน"เพลงกระตุ้น"รัก"ที่เมื่อรู้สึกแล้วต้อง"บอก"
หน้าเวที (มุมฟังเพลง)
มดเอ๊ก 0 5136 กระทู้ล่าสุด 03 มิถุนายน 2554 10:29:07
โดย มดเอ๊ก
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.262 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 15 เมษายน 2567 22:12:58