[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 มีนาคม 2567 22:09:40 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: วันอาสาฬหบูชา - วันเข้าพรรษา  (อ่าน 5081 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Nepal Nepal

กระทู้: 1921


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 20.0.1132.57 Chrome 20.0.1132.57


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 29 กรกฎาคม 2555 23:21:25 »






เมื่อ ๒,๖๐๐ ปีก่อน ในวันเพ็ญ เดือน ๘ ณ ธัมเมกสถูป สารนาถ เมืองพาราณสี

ประเทศอินเดีย เป็นสถานที่แสดงปฐมเทศนา{ธัมมจักกัปวตนสูตร} มีพระอริยสงฆ์เป็น

ครั้งแรก และในวันนั้นมีพระรัตนตรัย คือ พระพุทธรัตนะ พระธัมมรัตนะ และพระสังฆ

รัตนะ เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก และสืบต่อยืนยาวมาจนถึงปัจจุบัน

หลังจากที่ทรงตรัสรู้ในวันเพ็ญ เดือน ๖ ที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ในบริเวณพระมหา

เจดีย์พุทธคยา เมืองคยา รัฐพิหารแล้ว ทรงเสวยวิมุติสุข ๗ สัปดาห์

สัปดาห์ที่ 1 คงประทับอยู่ที่โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ ทรงใช้เวลาพิจารณาปฏิ

จจสมุปปาทธรรม ทบทวนอยู่ตลอด 7 วัน พร้อมกับทรงเปล่งอุทานยามละครั้ง

ทรงอุทานในยามต้นว่า เมื่อใดธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียรเพ่ง

อยู่ เมื่อนั้นความสงสัยทั้งปวงของพราหมณ์นั้นย่อมสิ้นไป เพราะมารู้แจ้งธรรมว่าเกิดแต่

เหตุ

ทรงอุทานในยามกลางว่า เมื่อใดธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียร

เพ่งอยู่ เมื่อนั้นความสงสัยทั้งปวงของพราหมณ์นั้นย่อมสิ้นไป เพราะได้รู้ความสิ้นแห่ง

ปัจจัยทั้งหลาย (ว่าเป็นเหตุสิ้นแก่ผลทั้งหลายด้วย)

ทรงอุทานในยามสุดท้ายว่า เมื่อใดธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียร

เพ่งอยู่ เมื่อนั้นพราหมณ์นั้นย่อมกำจัดมารและเสนาเสียได้ ดุจพระอาทิตย์อุทัยกำจัดมืด

ทำอากาศให้สว่างฉะนั้น

สัปดาห์ที่ 2 เสด็จไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของต้นโพธิ์ ห่างไป ๖๙ เมตร ประทับ

ยืนกลางแจ้ง เพ่งดูต้นพระศรีมหาโพธิ์ โดยไม่กระพริบพระเนตร อยู่ในที่แห่งเดียวจน

ตลอด 7 วัน ที่ที่ประทับยืนนั้น ปรากฏเรียกในภายหลังว่า "อนิมิสสเจดีย์"

สัปดาห์ที่ 3 เสด็จไปประทับอยู่ในที่กึ่งกลางระหว่างอนิมิสสเจดีย์ กับต้นมหาโพธิ์ แล้ว

ทรงจงกรมอยู่ ณ ที่ตรงนั้นตลอด 7 วัน ซึ่งต่อมาเรียกที่ตรงนั้นว่า จงกรมเจดีย์

สัปดาห์ที่ 4 เสด็จไปทางทิศเหนือของต้นมหาโพธิ์ ห่างไป ๕๐ เมตร ประทับนั่งขัด

บัลลังก์ พิจารณาพระอภิธรรม อยู่ตลอด 7 วัน ที่ประทับขัดสมาธิเพชร ต่อมาเรียกว่า

รัตนฆรเจดีย์

สัปดาห์ที่ 5 เสด็จไปทางทิศตะวันออกของต้นมหาโพธิ์ ห่างไป ๑.๖ กิโลเมตร ประทับที่

ควงไม้ไทร ชื่ออชปาลนิโครธ อยู่ตลอด 7 วัน ในระหว่างนั้น ทรงแก้ปัญหาของพราหมณ์

ผู้หนึ่ง ซึ่งทูลถามในเรื่องความเป็นพราหมณ์

สัปดาห์ที่ 6 เสด็จไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของต้นมหาโพธิ์ ห่างไป ๑.๗ กิโลเมตร

ประทับที่ควงไม้จิกเสวยวิมุตติสุข อยู่ตลอด 7 วัน ฝนตกพรำตลอดเวลา พญานาคมาวง

ขดล้อมพระองค์ และแผ่พังพานบังฝนให้ พระองค์ทรงเปล่งอุทานว่า

ความสงัดเป็นสุขของบุคคลผู้มีธรรมได้สดับแล้ว ยินดีอยู่ในที่สงัด รู้เห็นตามความเป็น

จริงอย่างไร ความไม่เบียดเบียน คือ ความสำรวมในสัตว์ทั้งหลาย และความปราศจาก

กำหนัด คือ ความล่วงกามทั้งหลายเสียได้ด้วยประการทั้งปวง เป็นสุขในโลก การนำ

อัสมิมานะ คือ ถือว่าตัวตนให้หมดได้ เป็นสุขอย่างยิ่ง

สัปดาห์ที่ 7 เสด็จย้ายสถานที่ไปทางทิศใต้ของต้นมหาโพธิ์ ห่างไป ๒.๕ กิโลเมตร

ประทับที่ควงไม้เกด ซึ่งได้นามว่า ราชายตนะ เสวยวิมุตติสุขตลอด 7 วัน มีพ่อค้า 2

คน ชื่อ ตปุสสะ กับ ภัลลิกะเดินทางจากอุกกลชนบทมาถึงที่นั้น ได้เห็นพระพุทธองค์

ประทับอยู่ จึงนำข้าวสัตตุผงข้าวสัตตุก้อน ซึ่งเป็นเสบียงกรังของตนเข้าไปถวาย

พระองค์ทรงรับเสวยเสร็จแล้ว พ่อค้าทั้งสองประกาศตนเป็นอุบาสก นับเป็นอุบาสกคู่

แรกในพระพุทธศาสนาที่ถึงพระพุทธเจ้าและพระธรรมเป็นที่พึ่ง เพราะในเวลานั้นยังไม่มี

พระสงฆ์ ต่อมาตปุสสะตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลแล้วได้เป็นอุบาสกอย่างเดียว     ส่วนภัลลิ

กะบวชแล้วได้เป็นพระอรหันต์ผู้มีอภิญญา ๖

ข้อความจากพุทธประวัติ เล่ม ๑  พระนิพนธ์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิร

ญาณวโรรส กล่าวว่า........................

ต่อมาเสด็จออกจากร่มไม้ราชายตนะกลับไปประทับ ณ ร่มไม้อชปาลนิโครธอีก ทรง

พิจารณาถึงธรรมที่พระองค์ได้ตรัสรู้แล้วว่า เป็นคุณอันลึก ยากที่บุคคลผู้ยินดีในกามคุณ

จะตรัสรู้ตามได้ ท้อพระหฤทัยเพื่อจะตรัสสั่งสอน แต่อาศัยพระกรุณาในหมู่สัตว์ จึงทรง

พิจารณาอีกว่า จะมีผู้รู้ถึงธรรมนั้นบ้างหรือไม่ ? ก็ทรงทราบด้วยพระปัญญาว่า บุคคลผู้มี

กิเลสน้อยเบาบางก็มี ผู้มีกิเลสหนาก็มี ผู้มีอินทรีย์ คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา

กล้าก็มี ผู้มีอินทรีย์อ่อนก็มี ผู้มีอาการอันดีก็มี ผู้มีอาการอันชั่วก็มี เป็นผู้จะพึงสอนได้โดย

ง่ายก็มี เป็นผู้จะพึงสอนให้รู้ได้โดยยากก็มี เป็นผู้สามารถจะรู้ได้ก็มี เป็นผู้ไม่สามารถจะรู้

ได้ก็มี ครั้นทรงพิจารณาด้วยพระญาณหยั่งทราบเวไนยสัตว์ ผู้จะได้รับประโยชน์จาก

พระธรรมเทศนาดั่งนั้นแล้ว ได้ทรงอธิษฐานพระหฤทัยในการแสดงธรรมสั่งสอนมหาชน

และตั้งพุทธปณิธานใคร่จะดำรงพระชนม์อยู่ จนกว่าจะได้ประกาศพระศาสนาแพร่หลาย

ประดิษฐานให้ถาวร สำเร็จประโยชน์แก่ชนนิกรทุกเหล่า

ครั้นพระองค์ทรงอธิษฐานพระหฤทัย เพื่อจะทรงแสดงพระธรรมเทศนาอย่างนั้นแล้ว

ทรงพระดำริหาคนผู้สมควรรับเทศนา ครั้งแรกทรงปรารภถึงอาฬารดาบสและอุท

ทกดาบส ที่พระองค์ได้เคยอยู่อาศัยศึกษาลัทธิของเธอในกาลก่อนว่า เธอทั้งสองเป็นผู้

ฉลาด ทั้งมีกิเลสเบาบาง สามารถจะรู้ธรรมนี้ได้ฉับพลัน แต่เธอทั้งสองสิ้นชีพเสียแล้ว มี

ความพินาศเสียจากคุณอันใหญ่ ถ้าได้ฟังธรรมนี้แล้วคงรู้ได้โดยพลันทีเดียว

ภายหลังทรงระลึกถึงปัญจวัคคีย์ว่า มีอุปการะแก่พระองค์มาก ได้เป็นผู้อุปัฏฐาก

พระองค์เมื่อครั้งทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา ทรงกำหนดลงว่า จะแสดงธรรมแก่ปัญจวัคคีย์

ก่อน เบื้องหน้าแต่นี้ เสด็จออกจากอชปาลนิโครธ ตามอรรถกถากล่าวว่า ในเช้าวันขึ้น

๑๔ ค่ำ เดือน ๘ ทรงพระดำเนินไปเมืองพาราณสี อันเป็นนครหลวงแห่งกาสีชนบท ครั้น

ถึงตำบลเป็นระหว่างแห่งแม่น้ำคยากับแดนพระมหาโพธิต่อกัน พบอาชีวกผู้หนึ่งชื่อ “อุป

กะ” เดินสวนทางมา อุปกะเห็นพระฉวีของพระองค์ผ่องใส นึกประหลาดใจ อยากจะใคร่

ทราบว่า ใครเป็นศาสดาผู้สอนของพระองค์ จึงทูลถาม พระองค์ตรัสตอบแสดงความว่า

เป็นผู้ตรัสรู้เอง ไม่มีใครเป็นครูสั่งสอน อุปกะไม่เชื่อ สั่นศีรษะแล้วหลีกไป (ต่อมาอุปกาชี

วกได้ฟังธรรมบรรลุเป็นพระอนาคามี) พระองค์เสด็จไปโดยลำดับ ถึงป่าอิสิปตน

มฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี อันเป็นที่อยู่ของปัญจวัคคีย์นั้น ในเย็นวันนั้น (ปัจจุบัน

คือ เจาคันธีสถูป)

ฝ่ายปัญจวัคคีย์ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเสด็จมาแต่ไกล จึงนัดหมายกันว่า พระสมณโค

ดมนี้มีความมักมาก คลายเพียร เวียนมาเพื่อความมักมากเสียแล้ว มาอยู่ ณ บัดนี้ ในพวก

เราผู้ใดผู้หนึ่งไม่พึงไหว้ ไม่พึงลุกขึ้นต้อนรับเธอ ไม่พึงรับบาตรจีวรของเธอเลย ก็แต่ว่า

พึงตั้งอาสนะที่นั่งไว้เถิด ถ้าเธอปรารถนาก็จักนั่ง ครั้นพระองค์เสด็จเข้าไปถึงแล้ว เธอ

พูดกับพระองค์ด้วยโวหารอันไม่เคารพ คือ พูดออกพระนาม และใช้คำว่า{อาวุโส}

พระองค์ทรงห้ามเสียแล้ว ตรัสบอกว่า เราได้ตรัสรู้อมฤตธรรมโดยชอบเองแล้ว ท่านทั้ง

หลายคอยฟังเถิด เราจักสั่งสอน

ปัญจวัคคีย์กล่าวค้านลำเลิกเหตุในปางหลังว่า อาวุโส โคดม แม้แต่ด้วยความ

ประพฤติอย่างนั้น ท่านยังไม่บรรลุธรรมวิเศษได้ บัดนี้ ท่านมาปฏิบัติเพื่อความเป็นคนมัก

มากแล้ว เหตุไฉนท่านจะบรรลุธรรมพิเศษได้เล่า ?

พระองค์ทรงตรัสเตือนเธอให้ตามระลึกถึงความหลังว่า “ท่านทั้งหลายจำได้อยู่หรือ

วาจาเช่นนี้ เราได้เคยพูดแล้วในปางก่อนแต่กาลนี้?” ปัญจวัคคีย์นึกขึ้นได้ว่า พระวาจา

เช่นนี้ ไม่เคยมีเลย จึงมีความสำคัญในอันจะฟังพระองค์ทรงแสดงธรรม

ครั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเตือนปัญจวัคคีย์ให้ตั้งใจฟังได้แล้ว ตามอรรถกถาว่า

รุ่งขึ้นวันอาสาฬหบุรณมี พระองค์ตรัสปฐมเทศนา ประกาศความตรัสรู้ของพระองค์ มีข้อ

ความโดยย่อดังนี้

๑. พระผู้มีพระภาคทรงชี้ทางที่ผิด อันได้แก่ กามสุขัลลิกานุโยค (การประกอบตนให้

ชุ่มอยู่ด้วยกาม) และอัตตกิลมถานุโยค (การทรมานตนให้ลำบาก) ว่าเป็นส่วนสุดที่

บรรพชิตไม่ควรดำเนิน แล้วทรงแสดงมัชฌิมาปฏิปทา (ข้อปฏิบัติสายกลาง) ได้แก่

มรรคมีองค์ ๘ ว่าพระองค์ตรัสรู้แล้ว เป็นไปเพื่อพระนิพพาน

๒. ทรงแสดงอริยสัจจ์ ๔ คือ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ ข้อปฏิบัติให้ถึง

ความดับทุกข์ โดยละเอียด

๓. ทรงแสดงว่า ทรงรู้ตัวอริยสัจจ์ทั้ง ๔ ทรงรู้หน้าที่อันควรทำในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ และ

ทรงรู้ว่าได้ทรงทำหน้าที่เสร็จแล้ว จึงทรงแน่พระหฤทัยว่า ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิ

ญาณแล้ว (อันแสดงว่า ทรงปฏิบัติจนได้ผลด้วยพระองค์เองแล้ว)

เมื่อจบพระธรรมเทศนา ท่านโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรม และได้ขอบวชก่อน ต่อ

มาท่านวัปปะกับท่านภัททิยะสดับพระธรรมเทศนา ได้ดวงตาเห็นธรรมและได้ขอบวช

ต่อมาท่านมหานามะกับท่านอัสสชิสดับพระธรรมเทศนาได้ดวงตาเห็นธรรม และได้ขอ

บวช

(จากพระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน โดย สุชีพ ปุญญานุภาพ หน้า ๒๑๓ –๒๑๔)

ธัมเมกสถูปที่สารนาถ ที่พระเจ้าอโศกมหาราชทรงสร้างขึ้นหลังจากพุทธปรินิพพาน

แล้ว 200 กว่าปี จึงเป็นสักขีพยานถึงพระมหากรุณาคุณ พระปัญญาคุณ และพระบริสุทธิ

คุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงบำเพ็ญพระบารมียาวนานถึง ๔ อสงไขย

แสนกัปเพื่อเกื้อกูลแก่สัตว์โลกให้ได้เห็นแสงสว่างของพระธรรมในความมืดของอวิชชา

โดยแท้จริง เป็นพยานความเป็นรัตนะของพระธรรมคำสอนที่เปลี่ยนปุถุชนผู้หนาด้วย

กิเลสให้เป็นพระอริยบุคคล พระสัทธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้นั้น

แม้จะลึกซึ้ง ลุ่มลึกและรู้ตามได้ยาก เพราะทวนกระแสชีวิตประจำวันของปุถุชน อย่างไร

ก็ตามก็ยังมีผู้ที่สะสมปัญญามาในอดีตสามารถฟังเข้าใจจนประจักษ์แจ้งลักษณะของ

สภาพธรรมตามความเป็นจริง เมื่อได้ฟังพระสัทธรรมที่พระองค์ทรงแสดงดีแล้ว บรรลุ

เป็นพระอริยบุคคลเป็นครั้งแรก พระสังฆรัตนะจึงเกิดอุบัติขึ้นในโลก และเพราะพระสังฆ

รัตนะเหล่านั้นทรงจำพระธรรมต่อเนื่องจากลำดับการเกิดขึ้นของพระธรรมรัตนะ  แสดง

ธรรมที่ได้เข้าใจและทรงจำไว้สืบต่อมาไม่ขาดสาย เพราะความเป็นรัตนะของพระอริย

สงฆ์ซึ่งได้ศึกษา สาธยายคำสอนนั้นอย่างต่อเนื่อง พระรัตนตรัยจึงคงปรากฏมาจนถึง

ทุกวันนี้

นอกจากนั้นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ ยังมีความสำคัญที่ประจวบกันอีกหลายอย่างตาม

ลำดับกาลเวลาดังนี้ คือ

๑. เป็นวันที่พระโพธิสัตว์จุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตมาปฏิสนธิในครรภ์พระนางมหามายา

เทวี พระพุทธมารดา

๒. เป็นวันทรงออกมหาภิเนษกรมณ์

๓. เป็นวันทรงแสดงปฐมเทศนา เพื่อประกาศความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

ผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง พร้อมทั้งพระธรรมที่ทรงตรัสรู้ดีแล้ว มีผลทำให้มีพระอริย

สงฆ์เป็นครั้งแรก และทำให้พระรัตนตรัย คือ พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ และพระ

สังฆรัตนะ ครบทั้ง ๓ เป็นครั้งแรกในโลก

๔. เป็นวันทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ ปราบผู้มีความเห็นผิดอื่นๆ (อัญญเดียรถีย์) ก่อน

เสด็จไปแสดงพระอภิธรรมโปรดพุทธมารดาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

บัดนี้ก็ผ่านมาถึง ๒,๖๐๐ ปีแล้ว แม้{ธัมเมกสถูป}ที่ทรงแสดงปฐมเทศนาจะเหลือเพียง

ซากปรักหักพัง แต่พระธรรมวินัยที่ทรงแสดงไว้ดีแล้ว งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง

และงามในที่สุด ก็ยังอยู่ครบถ้วนบริบูรณ์ รอให้ผู้มีศรัทธาศึกษาจนเข้าใจ ทรงจำไว้ และ

แสดงให้ผู้สนใจได้เข้าใจ เพื่อสืบทอดอายุของพระพุทธศาสนาให้ยืนยาวต่อไป ตราบ

จนความเข้าใจพระธรรมหมดไปจากใจของทุกคน เมื่อนั้นพระพุทธศาสนาก็จะอันตรธาน

ไปจากโลกนี้


THE END

<table class="maeva" cellpadding="0" cellspacing="0" border="0" style="width: 800px" id="sae1"> <tr><td style="width: 800px; height: 576px" colspan="2" id="saeva1"><script type="text/javascript"><!-- // --><![CDATA[ var oldLoad = window.onload; window.onload = function() { if (typeof(oldLoad) == "function") oldLoad(); if (typeof(aevacopy) == "function") aevacopy(); } // ]]></script><embed type="application/x-mplayer2" src="http://www.fungdham.com/download/song/allhits/20.wma" width="800px" height="576px" wmode="transparent" quality="high" allowFullScreen="true" allowScriptAccess="never" ShowControls="True" autostart="false" autoplay="false" /></td></tr> <tr><td class="aeva_t"><a href="http://www.fungdham.com/download/song/allhits/20.wma" target="_blank" class="aeva_link bbc_link new_win">http://www.fungdham.com/download/song/allhits/20.wma</a></td><td class="aeva_q" id="aqc1"></td></tr></table>

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 กรกฎาคม 2555 23:42:33 โดย 時々Sometime » บันทึกการเข้า

โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?

เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 20.0.1132.57 Chrome 20.0.1132.57


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 30 กรกฎาคม 2555 08:42:36 »






 ยิ้ม  ยิ้ม  ยิ้ม



บันทึกการเข้า
คำค้น: เข้าพรรษา 
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
พระสังฆราช ประทานโอวาท วันอาสาฬหบูชา ปี 2553
ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
หมีงงในพงหญ้า 1 3040 กระทู้ล่าสุด 21 กรกฎาคม 2553 04:35:38
โดย เงาฝัน
สมเด็จพระสังฆราช ประทานโอวาท วันอาสาฬหบูชา
ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
sometime 1 3483 กระทู้ล่าสุด 27 กรกฎาคม 2553 07:21:03
โดย เงาฝัน
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.466 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 22 ชั่วโมงที่แล้ว