กรรมจุดป่าดักนก (หลวงปู่หล้า เขมปัตโต) ในสมัยนั้นบันดาลวันหนึ่ง ตกกลางฤดูเดือน ๔ ลมพัดตึง ๆ ใกล้จะหมดฤดูหนาว
ข้าพเจ้าไปบิณฑบาต กุฏิเป็นกุฏิฟาง มุงหญ้ากั้นฟาก ปูฟาก จุดตะเกียงเล็ก ๆ ไว้
เป็นตะเกียงโป๊ะเล็ก ๆ ลมมันก็พัดเข้ามาที่ตรงตะเกียงนั่นเอง
ข้าพเจ้าไปบิณฑบาตกับหมู่เพื่อนกลับคืนมา เอาผ้าไปตากไว้ข้างกุฏิ
แล้วก็ห่มผ้ามาฉันจังหัน ลมมันจัด ชะรอยตะเกียงมันจะล้ม เราลืมดับมัน
แล้วมันไหม้กุฏิลุกขึ้นพรึบเดียวอย่างรวดเร็ว ผ้าที่ตากอยู่นั้นไหม้หมด
มุ้งก็ไหม้หมดกลดก็ไหม้หมด ใบสุทธิก็ไหม้หมด มีดโกน มีดพับไหม้เสร็จเรียบ
ไปเอาก็ไม่ทันไม่มีเวลาที่จะทันลุกขึ้นรวดเร็วทีเดียวหลวงปู่มหาหัวเราะแล้วท่านพูดว่า
“บุพกรรมของคนเรานี้ผิดกันแท้ ๆ เหลือแต่ผ้าติดตัว นอกนั้นไหม้หมด”เจ้าของนึกขึ้นได้เลย เลยไม่พูดให้ท่านฟัง นึกเห็นตัวเองไปจุดป่าดักตังบาน (เครื่องมือจับนกชนิดหนึ่ง)
ในสมัยนั้นอายุ ๑๕ ปี ไปจุดป่ากลางโคกกลางโรง ไปดักตังบาน(ใน)วันไหน(ที่)ไม่ได้เข้าโรงเรียน
เมื่อก่อนเขาหยุดเรียนตามวันพระ เพราะไปเข้าโรงเรียนในโรงธรรมที่เรียกว่าหัวแจก โรงธรรมนั้นน่ะ
เรียกตามภาษาบ้านนอก โรงเรียนจึงหยุดวันพระ ไม่ได้หยุดตามวันเสาร์อาทิตย์ แล้วก็ไปจุดป่า
ถ้าวันไหนไม่ไปวิดน้ำเอาปลา ก็ไปจุดป่าดักนกตามโคกตามโรง พอจุดป่าแล้วนกขาบมันร้องแจ๊ว ๆ
แล้วก็บินมา จุดเวียนที่ดักตังบานไว้ (คาดเอาว่า)มันคงจะมาจับไม้ต้นนี้กระมัง ก็ต้องไปดักไว้ตรงนั้น
บางศีล (บางวันพระ) ก็ได้ ๔ ตัว ๕ ตัว บางศีลก็มามือเปล่า บางศีลก็ไฟไหม้ถูกตังบาน
ไฟมันไหม้ไปตามโคกตามนาทั่วที่ทั่วแดน ใหม่ตามโคกตามโรง เพราะเมื่อก่อนมันห่าง ๆ ทาง
วันสองวันถึงจะมีโรงนาสักหลังหนึ่ง ดีไม่ดี ไม่มีด้วยซ้ำ เพราะโคกมันกว้าง
ทุกวันนี้ไปจุดอย่างนั้นไม่ได้แล้ว ถ้าหากไปจุดอย่างนั้น ก็คงมีหวังได้เข้าตะราง
เพราะทุกวันนี้ที่ไหน ๆ ก็มีแต่บ้านแต่เรือน มีแต่ไร่นาเขาหมด
ข้าพเจ้ามาคิดเห็นบุพกรรม วันที่จุดป่านั้นมันตามมากับชาติ