[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
28 มีนาคม 2567 16:58:20 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: พบสิ่งที่คนรุ่นก่อนไม่เคยพบ หนังสือท่องแดนสุขาวดี  (อ่าน 10571 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 5.0.375.99 Chrome 5.0.375.99


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 21 กรกฎาคม 2553 00:46:15 »

[ โดย อ.มดเอ็กซ์ จากบอร์ดเก่า ]


หน้า 15

อารัมบท

 
สาระสำคัญของหนังสือเล่มนี้คือ แนะนำเรื่องราวของ พุทธควนจิ้ง พระมหาธรรมาจารย์ซึ่งขณะนั่งเข้าฌาน ณ ถ้ำหมีเล่อ ภูเขาจิ่วเซียนกองการผลิตใหญ่กุ้ยเก๋อ คอมมูนซั่งหย่ง อำเภอเต๋อฮั่ว มณฑลฝูเจี้ยนในวันที่ 25 ตุลาคม 2510 อยู่นั้น พลันถูกพาตัวโดยพระโพธิสัตว์ กวนอิมจน “สาบสูญร่องรอย” ไปจากโลก ยามนั้น พระมหาธรรมาจารย์ถูกพาตัวไปยังแดนสุขาวดีทิศประจิม ได้ทัศนาจรอาณาจักรชั้นต่างๆ ของบัว 9 ชั้น กาลเวลาในความรู้สึกเพียงชั่วหนึ่งวันหนึ่งคืนเท่านั้น ครั้นกลับมายังโลกมนุษย์อีกครั้งจึงได้พบว่าเป็นวันที่ 8 เดือนเมษายนของปี 2517 ซึ่งหมายความว่าเวลาได้ผ่านพ้นไป 6 ปีกับ 5 เดือนเศษแล้ว


ปรากฎการณ์ดังกล่าวฟังเผินๆแล้วออกจะเหลือเชื่อ ถ้าเข้าใจจากความรู้สึกทั่วไป แต่ว่าก็มีสิ่งที่กล่าวกันว่า “หนึ่งวันในแดนสุขาวดีหลายปีในโลกมนุษย์” เนื่องด้วยความแตกต่างของเทศะเอกภพจินตภาพเกี่ยวกับกาละก็ย่อมแตกต่างตามไปด้วย ขอเพียงคนที่มีความรู้เรื่องพุทธศาสตร์อยู่บ้าง ล้วนสามารถ
เข้าใจได้


ขณะนั้นที่โลกมนุษย์เรา ดูเหมือนว่า ท่านธรรมาจารย์ได้ “หายสาบสูญจนไร้ร่องรอย” พระเณรและฆารวาสทั้งวัดได้ออกติดตามค้นหาทั่วทั้งลูกเขา (เขาหยุนจวี) ซึ่งมีถ้ำใหญ่น้อยบรรดามี 100 กว่าถ้ำ ก็ไม่พบร่องรอยของพระธรรมาจารย์ กระทั่งระดมหน่วยประดาน้ำไปงมหาในอ่างน้ำและวังลึกซึ่งมีอยู่ในระแวกใกล้เคียงก็ไม่ได้ผลคืบหน้า สาวกผู้มีจิตเลื่อมใสศรัทธาในตัวท่านยังเดินทางไปค้นหาที่ตัวอำเภอ จนถึงนครเฉวียนโจว นครเซี่ยเหมิน นครฝูโจว และนครหนานผิงเป็นต้น อีกทั้งส่งจดหมายเวียนว่ายวานผู้คนช่วยสืบหาในอำเภอใกล้เคียงเช่น อำเภอหย่งไท่ หย่งชุน เต๋อฮั่ว ฝูชิง
 

 
หน้า 16-17

 
 
เป็นต้น ใช้เวลาค้นหาติดต่ออยู่หลายปี ก็ไม่ได้ข่าวคราว ผู้คนทั้งหลายเข้าใจว่าพระธรรมาจารย์ได้ไปเกิดยังสุคติภพแล้ว ต่างก็โศกเศร้าเสียใจอาลัยรักเป็นกำลัง
แต่จริงๆแล้วท่านอาจารย์จะได้ออกจากถ้ำหมีเล่อแม้แต่ก้าวเดียวก็หาไม่ เนื่องด้วยมีพุทธรักษา พระธรรมกายของท่านตั้งอยู่ในถ้ำ 6-7 ปี ก็หาได้ถูกผู้คนค้นพบไม่ ไม่ทราบว่า “เร้น” อยู่ ณ แห่งใด (อาจ “เร้น” อยู่ในเทศะของอีกกาละหนึ่งก็เป็นได้) เกี่ยวกับเรื่องนี้ ประสกเจิ้งซิ่วเจียนเป็นต้นซึ่งเป็นคนในท้องที่สามารถให้การยืนยันพิสูจน์ได้

 
กระบวนการทั้งหมดที่ท่านธรรมมาจารย์ท่องเที่ยวไปในแดนสุขาวดีภพประจิมด้วยตัวท่านเองนั้น ไม่อาจเปรียบได้กับความฝันโดยทั่วไป ท่านเป็นพระเถระชั้นสูงผู้ทรงศีล ย่อมไม่กล่าวมุสามวาท อย่างเด็ดขาด และก็ไม่มีเหตุผลกลใดที่ต้องกล่าวมุสาวาท นอกจากนี้อาณาจักรที่ท่านธรรมาจารย์พบเห็น
ก็ต่างกับสภาพที่พบเห็นในระหว่างเข้าฌาน ถ้าเป็นสภาพที่พบเห็นในระหว่างเข้า จะนำมาแพร่งพรายไม่ได้เลย เพราะถ้าขืนทำอย่างนั้น เทวดานาคา 8 ภาค และเทวมารก็จะมาตอแยกับท่านได้
 
 

ความจริงก็คือท่านธรรมาจารย์ได้รับโองการจากพระอมิตายัสพุทธะ และพระโพธิสัตว์กวนอิม จึงกล้าเปิดเผยเรื่องราวที่ได้พบได้เห็นในอาณาจักรชั้นต่างๆของแดนสุขาวดี ผู้เคยศึกษาพุทธมาล้วนรู้ดีว่า ผุ้กล่าวมุสาวาทจะตกนรกหมกไหม้ ไม่มีวันได้ผุดได้เกิด ฉะนั้นคำบอกเล่าจากประสบการณ์ในการท่องเที่ยวไปในแดนสุขาวดีประจิมของท่านธรรมาจารย์จึงเป็นเรื่อง “จริงแท้แน่นอน” มีเทพารักษ์ 3 ทิศและเทวนาคา 8 ภาคเป็นพยานยืนยันได้

 
 
 
 
 

นอกจากโลกมนุษย์แล้ว ยังมีโลกสุขาวดีอยู่อีกโลกหนึ่ง พุทธองค์ที่กล่าวถึงในอมิตาสูตรหรือ สักวาเวติเวยูฮาสูตร นั้น ล้วนมีอยู่จริง พระธรรมาควนจิ้งก็คือพยานบุคคล ผู้เรียบเรียงอาศัยคำบอกเล่าของท่านนำมาเรียบเรียงเปิดเผยสู่สายตาชาวโลก จุดมุ่งหมายประการหนึ่งก็เผื่อเผยแพร่พุทธธรรม

อีกประการหนึ่งก็วาดหวังว่าท่านผู้อ่านจะได้ยึดมั่นในพุทธรรม สวดพุทธมนต์ไหว้พระด้วยใจศรัทธาประสาทะ ประกอบแต่กุศลกรรม เพื่อมุ่งสู่แดนสุขาวดีพร้อมกัน

 
 
 
 
 
สวด “ นโม ออนีทอฮุด ”
นำพาสู่แดนสุขาวดี



Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 5.0.375.99 Chrome 5.0.375.99


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 21 กรกฎาคม 2553 00:47:05 »

หน้า 18-19
ปาฐกถาธรรม ณ วัดโปตละคีรีทะเลใต้
สิงคโปร์ เดือนเมษายน 2530

เจริญพร ธรรมาจารย์ท่าน เจ้าประคุณท่าน ประสกท่านทั้งหลาย

วันนี้ เรามีวาสนาผูกพันได้มาชุมนุมอยู่ด้วยกัน เป็นเพราะชาติก่อนหรือชาติก่อน ๆ ได้ทำบุญร่วมกัน ฉะนั้น วันนี้จึงได้พบหน้ากันที่นี่ สิ่งที่อาตมาจะกล่าวถึงในวันนี้ คือประสบการณ์ในการท่องเที่ยวแดนสุขาวดีประจิม อาตมาจะขอนำสภาพที่ได้พบได้เห็นในแดนสุขาวดีมารายงานต่อที่ประชุม

ที่อาตมาจะกล่าวถึงนั้นมี 5 ประการด้วยกันคือ

1. อาตมาไปแดนสุขวดีได้อย่างไร ด้วยบุญวาสนาอันใดจึงได้ไปถึงที่นั่น สภาพที่เป็นจริงของที่นั่นเป็นอย่างไร อาตมาท่องเที่ยวไปในแดนสุขาวดีรวมเวลาประมาณ 20 กว่าชั่วโมง (ในความรู้สึก) แต่ครั้นกลับถึงโลกมนุษย์ เวลาได้ล่วงเลยไป 6 ปี กับอีก 5 เดือนเศษแล้ว

2. ระหว่างทางไปยังแดนสุขาวดีประจิม สถานที่ซึ่งอาตมาได้ไปมานั้น มีอาทิ ถ้ำหมีเล่อ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ สวรรค์ชั้นดุสิต ต่อจากนั้นยังไปสถานที่อีก 3 แห่งของแดนสุขาวดีคือ บัวชั้นล่าง บัวชั้นกลาง และบัวชั้นสูง (บัวแต่ละชั้นยังแบ่งเป็นระดับล่าง ระดับกลางและระดับบนอีก จึงเรียกรวมกันว่าบัว 9 ชั้น) อาตมาจะบอกต่อท่านทั้งหลายว่าอาณาจักรของสถานที่ 3 แห่งนี้เป็นฉันใดกันแน่

3. จะกล่าวถึงสภาพความเป็นจริงของการไปเกิดในบัว 9 ชั้น นัยหนึ่ง กล่าวถึงผลพวงจากการบำเพ็ญศีลภาวนาของเวไนยสัตว์ในสัพพะโลก1 เป็นสิ่งกำหนดว่าเขาจะได้ไปเกิดที่บัวชั้นไหนและสภาพชีวิตที่เป็นจริงของผู้คนในบัวแต่ละชั้น เป็นต้นว่ารูปร่างลักษณะ การแต่งกาย การกินการอยู่ ความสูงต่ำใหญ่เล็กของดอกบัวแต่ละดอกว่าเป็นอย่างไร

4. กล่าวถึงวิธีบำเพ็ญศีลภาวนาของเวไนยสัตว์ในแดนสุขาวดี นัยหนึ่ง ผู้ไปเกิดที่นั่น ใช้วิธีบำเพ็ญตนอย่างไรในการก้าวจากบัวแต่ละชั้นจากชั้นล่างขึ้นไปจนบรรลุพุทธธรรม

5. ผู้ไปเกิดที่นั่นบางคนซึ่งเคยรู้จักกับอาตมามาก่อน ได้ฝากอาตมาถามไถ่ทุกข์สุขของญาติโยมในโลกมนุษย์ภายหลังที่อาตมากลับมาแล้ว



1(สัพพะ Saba ภาษาบาลีหมายถึง "ยอมทน" สัพพะโลก คือโลกที่จะต้องยอมทนกับสรรพทุกข์ เป็นชื่อรวมของโลกที่มีขอบเขตกว้างใหญ่ไพศาลอันประกอบด้วยโลกต่าง ๆ 3,000 โลกตามตำนานของอินเดียโบราณ พุทธศาสนายึดถือตำนานดังกล่าว กำหนดสัพพะโลกเป็นขอบเขตในการสั่งสอนธรรมะของพระพุทธเจ้า - ผู้แปล)
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 5.0.375.99 Chrome 5.0.375.99


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 21 กรกฎาคม 2553 00:47:55 »

หน้า 20


 
สารบัญ



1. พบเหตุการณ์ประหลาดระหว่างทาง (กวนอิมนำพาสู่แดนศักดิ์สิทธิ์)....... 21
2.พบพระภิกษุเฒ่าซวีหยุนที่สวรรค์ชั้นดุสิต.................................... 31
3. พบพระโพธิสัตว์กัจจานะไขปริศนาธรรม.................................... 35
4. เยือนแดนสุขาวดี เข้าเฝ้านมัสการอมิตาพุทธเจ้า........................... 39
5. บัวชั้นล่าง สถานที่เกิดโดยพบกรรมติดตัวของเวไนยสัตว์.................. 44
6. ภาพสะท้อนกิเลสมารของพวกไปเกิดในบัวชั้นล่าง......................... 48
“วิสุทธิทัศน์เจดีย์” กับ “ธรณีภาษา”............................................ 59
7. บัวชั้นกลาง (สถานที่อยู่ร่วมของสามัญบุคคลกับอริยบุคคล)............... 61
8. บัวชั้นสูง ดอกบานเห็นพุทธยะ...............................................72
9. การไขปริศนาธรรมของอมิตาพุทธเจ้า...................................... 79
10. กลับถึงถ้ำหมีเล่อในแดนมนุษย์............................................ 81




 
หน้า 21



 
พบเหตุการณ์ประหลาดระหว่างทาง
(กวนอิมนำพาสู่แดนศักสิทธิ์)


เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2510


วันนั้น อาตมานั่งเข้าฌานที่วัดม่ายเสียเอี๋ยน (ท่านธรรมาจารย์เป็นเจ้าอาวาสวัดดังกล่าว-ผู้เรียบเรียง) ทันใดนั้น ฟังคลับคล้ายคลับคลาว่ามีคนเรียกหาอาตมา พร้อมกับดันตัวอาตมาให้เดินไปข้างหน้า ตอนนั้น อาตมาเหมือนคนกินเหล้าเมา สะลึมสะลือ โดยไม่ถามสาเหตุก็เดินออกจากวัด แต่ในใจของอาตมารู้แต่ว่า ขณะนี้ตนเองกำลังจะไปจาริกที่อำเภอเต๋อฮั่ว มณฑลฝูเจี้ยน (จากวัดม่ายเสียเอี๋ยนไปภูเขาจิ่วเซียน อำเภอเต๋อฮั่ว ระยะทางประมาณ 200 ลี้จีน-ผู้เรียบเรียง) เดินไปๆ ตลอดทางไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยและไม่รู้สึกหิวเลยเวลากระหายน้ำก็วักน้ำในลำห้วยขึ้นดื่ม ก็ไม่รู้ว่าเดินไปกี่วันกี่คืนอย่างไรก็ดี ตลอดทางไม่ต้องพักผ่อนหลับนอนเลย เพียงจำได้ว่าตอนนั้นเป็นเวลากลางวันและท้องฟ้าแจ่มใส


ช่วงนั้นประจวบกับช่วงปฏิวัติใหญ่ทางวัฒนธรรมของจีน


ขณะที่อาตมาเดินถึงท้องที่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเขาจิ่วเซียนคอมมูนซั่งหย่ง อำเภอเต๋อฮั่วนั้น รู้สึกสติพลันแจ่มใสขึ้น ยามนั้นอาตมาได้ยินคนเดินทางพูดกันว่า วันนี้เป็นวันที่ 25 ตุลาคม ช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม ท้องที่ต่างๆสับสนวุ่นวายมาก ฉะนั้น คนเดินทางจึงมักเลือกเดินทางเป็นเวลากลางคืน อาตมาก็ไม่ยกเว้น

จำได้ว่าเป็นเวลาตี 3 ย่ำรุ่งของวันใหม่ ระหว่างทางอาตมาได้พบภิกษุเฒ่ารูปหนึ่ง(ทราบภายหลังว่าเป็นพระโพธิสัตว์กวนอิมแปลงกายมา) การแต่งกายของท่านคล้ายคลึงกับอาตมา เราไม่เคยรู้จัก




หน้า 22-23


กันมาก่อน การได้พบปะกับสมณเพศเดียวกันในระหว่างทาง ย่อมเป็นธรรมดาอยู่เองที่เราต่างก็พนมมือนมัสการซึ่งกันและกัน พร้อมกันโดยมิได้นัดแนะกันไว้

เราต่างก็แนะนำตัวเอง ภิกษุเฒ่าผู้นั้นแนะนำตัวเองว่า “อาตมานามหยวนกวน วันนี้มีวาสนาได้พบพาน มิสู้ไปเที่ยวภูเขาจิ่วเซียนด้วยกันดีมั๊ยครับ”


เนื่องจากเป็นเส้นทางที่อาตมาจะไปอยู่แล้ว อาตมาจึงผงกศรีษะเห็นพ้องด้วย
ดังนั้นเราจึงเดินไปพลางสนทนาไปพลาง ตลอดทาง ดูเหมือนท่านจะล่วงรู้ภูมิหลังของอาตมาอย่างทะลุปรุโปร่ง พูดเรื่องกฎแห่งกรรมเป็นอันมาก อีกทั้งกล่าวถึงชาติก่อนและชาติของอาตมาเหมือนอย่างเล่าเทพนิยายว่า ชาตินั้นๆของอาตมาเกิดอยู่ที่ไหน อยู่แห่งหนตำบลใดวันเวลาใด ท่านจะชี้ออกมาอย่างหมดเปลือก แปลกจริงแฮะ วาจาแต่ละประโยคของท่าน อาตมาล้วนจดจำได้แม่นยำ

(7 ปีให้หลัง ท่านธรรมาจารย์ควนจิ้งได้ไปสืบค้นยังสถานที่ต่างๆ ตามคำบอกเล่าของภิกษุเฒ่า ปรากฏว่าในแต่ละชาติที่กล่าวถึง มีบุคคลเหล่านั้นอยู่จริง อีกทั้งเวลาสถานที่ก็ถูกต้องแม่นยำ ไม่คลาดเคลื่อน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบรรพชิต มีอยู่ชาติเดียวที่เป็นฆารวาสอยู่ในช่วงรัชสมัยคังซีแห่งราชวงศ์ชิง สถานที่คือหมู่บ้านฟังกุ้ยเก๋อ อำเภอซั่งหย่ง ชื่อเจิ้งหย่วนซือ มีบตรชาย 6 หญิง 2 มีคนหนึ่งได้เป็นบัณฑิต ครั้นไปสืบค้นที่อยู่ ช่วงเวลาและหลุมศพ ปรากฏว่ามีจริงทุกประการ ปัจจุบันตระกูลนี้มีบุตรหลานทั้งสิ้น 121 ครอบครัว รวม 450 คน-ผู้เรียบเรียง)


เราเดินสนทนาไปตลอดทาง เผลอประเดี๋ยวเดียวก็มาถึงเขาจิ่วเซียน(เขาสูงที่สุดของมณฑลฝูเจี้ยน) บนเขาลูกนี้ มีถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่งเรียกว่าถ้ำหมีเล่อ นั่นคือจุดหมายปลายทางที่เราตั้งใจไว้แต่แรกว่าจะไปให้ถึง ถ้ำนี้มีความกว้างแค่ห้องๆหนึ่งเท่านั้น ภายในถ้ำมีพระพุทธรูปหมีเล่อ (พระกัจจานะหรือพระสังขจาย) ประดิษฐานอยู่ จึงได้ชื่อว่าถ้ำหมีเล่อ



แต่ว่า ครั้นเราไปถึงเขาจิ่วเซียน ขณะเดินขึ้นมาได้ครึ่งทางเท่านั้น ภาพอันแปลกประหลาดพิสดารก็ได้ปรากฏอยู่เบื้องหน้าเรา ภาพที่เห็นก็คือ ทางเดินขึ้นเขาเบื้องหน้าพลันเปลี่ยนไป ไม่ใช่ทางขึ้นเขาสายเดิมอีกแล้ว ทางที่เรากำลังจะเดินไปกลับเป็นทางที่ตั้งซ้อนด้วยก้อนหิน ดูเหมือนจะเรืองแสงได้ด้วย พิสดารมาก ครั้นขึ้นไปหลังเขาพบว่าไม่ใช่ถ้ำลูกเก่าคือถ้ำหมีเล่ออีกต่อไปแล้ว แต่กลับเป็นโลกอีกโลกหนึ่ง


ที่ปรากฏให้เห็นเบื้องหน้านั้นคือพระอารามหลังใหญ่อย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลย โอ่อ่าโอฬารยิ่ง เปรียบกับวังโบราณของปักกิ่งแล้ว ยังมโหราฬพันลึกยิ่งกว่าหลายเท่า สองข้างพระอารามมีรัตนเจดีย์ 2 องค์ เดินอีกไม่นานเราก็ไปถึงประตูเขา


เห็นประตูเขาซึ่งก่อด้วยหินสีขาว สร้างอย่างใหญ่โตสง่างาม บนซุ้มประตูมีแผ่นป้ายมหึมา ส่งประกายสีทองระยิบระยับ บนแผ่นป้ายมีตัวอักษรสีทองติดอยู่ ซึ่งอาตมาอ่านไม่ออก ที่หน้าประตูมีพระภิกษุ 4 รูปยืนอยู่ ห่มกายด้วยจีวรสีแดง สายคาดเอวสีทองธรรมลักษณ์ดูเคร่งขรึม ครั้นเห็นเรา 2 คนมาถึง ต่างก็ย่อตัวลงกราบนมัสการต้อนรับพวกเราพร้อมกัน เรารีบคารวะตอบ อาตมาชักสงสัยตะหงิดๆ การแต่งกายของพระภิกษุที่นี่ อาตมาไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ดูไปเหมือนพระลามะมากกว่า พวกเขาต่างเผยอยิ้มและเอื้อนเอ่ยวาจากล่าวว่า มาแล้วๆยินดีๆ พร้อมกับเชิญเราเข้าข้างใน


เราก้าวเข้าประตู ผ่านพระวิหารหอพระอีกหลายแห่ง ประหลาดแท้ สิ่งปลูกสร้างของที่นี่ล้วนมีแสงในตัว แต่ละหลังล้วนแล้วแต่โอ่อ่าน่าชม ครั้นเราเดินต่อไปอีกก็เห็นระเบียงทอดยาวออกไปข้างหน้า



หน้า 24-25


สองข้างระเบียงปลูกเต็มไปด้วยไม้ต้นไม้ดอกพิเศษพิสดารหลากสีหลากชนิด ไม่รู้ว่าเป็นต้นอะไร มองออกไปทางหน้าต่างระเบียง จะเห็นแต่สิ่งปลูกสร้างจำพวกโบสถ์วิหารและรัตนเจดีย์เป็นต้น ครู่เดียวเราก็มาถึงมหาวิหารเอก บนมหาวิหารมีอักษรตัวโตติด อยู่ 4 ตัว ส่งประกายวาววับ ไม่ใช่ตัวอักษรภาษาจีน และก็ไม่ใช่ตัวอักษรภาษาอังกฤษ อาตมาอ่านไม่ออก จึงถามภิกษุเฒ่าหยวนกวนว่าตัวอักษร 4 ตัวนั้นเขาหมายความว่าอย่างไร ท่านตอบว่า นั่นคือ “ อรหันต์ภพกลาง ” เมื่อเป็น “อรหันต์ ” อาตมารำพึงในใจ นั่นคงเป็นสำนักบำเพ็ญศีลภาวนาของอรหันต์เป็นแน่แท้ ถึงตอนนี้อาตมาเริ่มรู้สึกเป็นรางๆแล้วว่า ที่นี่มิใช่โลกมนุษย์เราแล้ว จนถึงบัดนี้อาตมายังจำรูปตัวอักษรหนึ่งใน 4 ตัวนั้นได้ดีคือ อีก 3 ตัวจำไม่ได้แล้ว



ตอนที่อาตมาพบกับภิกษุเฒ่าหยวนกวนนั้นเป็นเวลาเช้าตรู่ตี 3 เข้าใจว่าตอนนี้จวนสว่างแล้ว เห็นคนมากมายเดินเข้าๆออกๆทั้งในและนอกพระวิหาร มีคนทุกผิวสี เช่นผิวเหลือง ผิวขาว ผิวแดง ผิวดำเป็นต้น แต่ที่มากที่สุดคือผิวเหลือง มีทั้งเพศหญิงเพศชาย ทั้งคนเฒ่าและเด็ก การแต่งกายของพวกเขาล้วนแต่พิสดาร มีแสงในตัวทุกคน อยู่เป็นกลุ่มๆกลุ่มละ 3 คนบ้าง 5 คนบ้าง บ้างกำลังฝึกวิทยายุทธ บ้างร่ายรำ บ้างเล่นหมากรุก บ้างพักผ่อนทำสมาธิ แต่ละคนล้วนมีสีหน้าสุขเกษมเปรมปรีดา เห็นพวกเรามาถึง ต่างก็ผงกศรีษะยิ้มระรื่นอย่างสนิทสนมเป็นกันเอง แสดงการต้อนรับ แต่ไม่ได้เข้ามาพูดจาด้วย
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 5.0.375.99 Chrome 5.0.375.99


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 21 กรกฎาคม 2553 00:48:34 »

เดินเข้าไปภายในมหาวิหาร อาตมาเห็นตัวอักษรใหญ่ 4 ตัว ภิกษุเฒ่าหยวนกวนบอกอาตมาว่า นั่นคือ “ ต้าสงเป่าเตี้ยน ” (รัตนบัลลังก์มหาชาตรี) มีภิกษุเฒ่า 2 รูปเดินมาต้อนรับอาตมามองสำรวจพวกเขาเห็นภิกษุเฒ่ารูปหนึ่งมีหนวดขาวโพลง ยาวมาก อีกรูปหนึ่งไม่มีหนวด ครั้นพวกเขาเห็นพระธรรมาจารย์หยวนกวนมาถึงก็ย่อตัวกราบกรานอย่างพินอบพิเทา อาตมารำพึงในใจ พระธรรมาจารย์หยวนกวนผู้นี้ ขนาดอรหันต์ภพกลางยังกราบไหว้อย่างอ่อนน้อม แสดงว่าไม่ใช่ชนชั้นธรรมดาแน่ๆ ขณะที่พวกเขานำเราไปที่ห้องรับแขกนั้น อาตมากวาดสายตาดูรอบๆห้องโถง เห็นควันธูปลอยวนเวียน กลิ่นหอมเตะจมูก พื้นห้องล้วนปูด้วยหินขาวที่เปล่งประกายได้ ที่น่าประหลาดก็คือภายในพระวิหารไม่มีพระพุทธรูปแม้แต่องค์เดียว แต่มีเคื่องถวายมากมาย ดอกไม้แต่ละดอกใหญ่เท่าลูกฟุตบอล กลมดิก ยังมีโคมไฟประดับหลากรูปหลายแบบ เปล่งเบญจรังสีงามระยับ


เข้าถึงห้องรับแขก ภิกษุเฒ่าส่งน้ำดื่ม 2 แก้วซึ่งรับมาจากเด็กรับใช้ให้คนละแก้ว เด็กรับใช้คนนั้นไว้ผมแกละ 2 แกละ แต่งกายด้วยชุดสีเขียว เอวคาดสายสีทอง ดูสวยงามมาก น้ำในแก้ว สีขาวบริสุทธิ์ หวานเย็นชุ่มฉ่ำดั่งอมฤต อาตมาดื่มไปครึ่งแก้วกว่า ท่านธรรมาจารย์เฒ่าหยวนกวนก็ดื่มด้วย ดื่มน้ำนี้แล้วรู้สึกจิตใจแจ่มใสกระปรี้กระเปร่า ทั้งตัวโล่งสบาย ไม่รู้สึกเหนื่อยเพลียแม้แต่น้อย



ท่านธรรมาจารย์เฒ่าหยวนกวนได้พูดจากระซิบกระซาบกับภิกษุเฒ่าพักหนึ่ง ภิกษุเฒ่าก็สั่งเด็กรับใช้พาอาตมาไปอาบน้ำชำระกาย อาตมาเห็นกะละมังทองเหลืองสีขาวลูกหนึ่งใส่น้ำจนล้นปรี่ตั้งอยู่ที่นั่นก่อนแล้ว อาตมาจึงลงมือล้างหน้าเช็ดตัว จากนั้นจึงห่มจีวรสีเทาที่เตรียมไว้สำหรับอาตมา หลังอาบน้ำแล้วยิ่งรู้สึกสบายทั้งกายใจ อาตมารำพึงในใจ เห็นทีวันนี้อาตมาได้มาถึงแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นแน่แท้แล้ว ความชื่นชมโสมนัสในใจนั้น ยากจะบรรยายได้



ครั้นกลับถึงห้องรับแขก อาตมาก็คุกเข่าลงเบื้องหน้าภิกษุเฒ่าผู้น้น ก้มกราบ 3 ทีขอให้ช่วยชี้แนะทางสว่าง ถามท่านว่าอนาคตของพุทธศาสนาจะเป็นฉันใด ภิกษุเฒ่าไม่เอื้อนเอ่ยวาจา แต่จับพู่กันขึ้นเขียนตัวอักษร 8 ตัวลงบนแผ่นกระดาษเป็นปริศนาธรรมว่า ....





พุทธ โดย ใจ สร้าง
ศาสน์ จาก มาร ครอง



หน้า 26-27






ภิกษุเฒ่าเขียนเสร็จยื่นส่งให้อาตมา อาตมายื่น 2 มือน้อมรับ ขณะที่ขบคิดตีความตัวอักษร 8 ตัวนี้อยู่นั้น ภิกษุเฒ่าอีกรูปหนึ่งได้อธิบายต่ออาตมาว่า " หนังสือ 8 ตัวนี้ ท่านจะอ่านแบบขวางตั้ง ตั้งขวาง ซ้ายขวา ขวาซ้าย บนล่าง ล่างบน จนอ่านครบ 36 ประโยค ก็จะเข้าใจสภาพของพุทธศาสนาภายใน 100 ปี ต่อจากนี้ไป ถ้านำประโยค 36 ประโยคนี้ไปอนุมานจนได้ครบ 840 ประโยค ก็จะทราบสภาพการพัฒนาในอนาคตของพุทธศาสนาในขอบเขตทั่วโลก จนถึงสิ้นพุทธกาลโน่นแหละ " (ตามที่พระอฃธรรมจารย์ควนจิ้งแย้มพรายให้ทราบ ประโยค 840 ประโยคที่ว่านั้น รอให้โอกาสสุกงอมแล้วจะประกาศให้ทราบต่อไป ระหว่างนี้ขอประกาศแค่ 18 ประโยคก่อน - ผู้เรียบเรียง )

สนทนากันพักหนึ่ง ภิกษุเฒ่าก็ให้อาตมาไปพักผ่อนในห้องนอน เด็กรับใช้พาอาตมาเข้าไปในห้องนอน เห็นภายในห้องนอนไม่มีเตียงนอน มีแต่ม้ายาวรูปสวยงามหลายตัวตั้งเรียงรายอยู่ บนม้ายาวปูด้วยผ้าแพรต่วนนุ่มนิ่ม อาตมาจึงเลือกม้านั่งตัวใหญ่ ตัวหนึ่งจากบรรดาม้านั่งทั้งหลาย นั่งทำสมาธิเป็นการพักผ่อน พอนั่งลงเท่านั้น ก็รู้สึกทั้งตัวโล่งสบายอย่างบอกไม่ถูก ตัวเบาหวิว ไม่รู้ก้นตัวเองวางอยู่ที่ใด

ให้หลังไม่นาน ก็ได้ยินเสียงท่านธรรมาจารย์หยวนกวนร้องเรียกอาตมา อาตมารีบลงจากม้านั่ง เดินออกจากห้องนอน ท่านธรรมาจารย์หยวนกวนกล่าวกับอาตมาว่า " ตอนนี้อาตมาจะพาท่านไปที่สวรรค์ชั้นดุสิต เพื่อนมัสการพระโพธิสัตว์กัจจานะ รวมทั้งพระภิกษุซวีหยุนพระอาจารย์ของท่านด้วย " อาตมาตอบว่า " ประเสริฐมากครับ ขอบคุณที่กรุณา " ขณะจะออกจากมหาวิหาร ความจริงอาตมาคิดจะไปกราบอำลาภิกษุเฒ่า แต่ท่านธรรมาจารย์หยวนกวนกลับยืนกรานว่า " อย่าเลย เวลามีไม่มาก " จุดหมายปลายทางที่เราจะไปตอนนี้คือ สวรรค์ชั้นดุสิต .





หน้า 28-29



((( พุทธ โดย ใจ สร้าง ศาสน์ จาก มาร ครอง )))

18 ประโยคนี้ เป็นเรื่องอดีตแล้วตีความดังต่อไปนี้



พุทธ โดย ใจ สร้าง
พระพุทธเจ้าสอนว่า พุทธนั้นเกิดจากใจตัวเอง ทุกสิ่งทุกอย่างสร้างโดยใจ เมื่อมีวาสนาผูกพัน ศาสนาพุทธจึงแผ่กว่างไพศาลไปทั่วสากลโลก

ศาสน์ จาก มาร ครอง
ยุคใกล้สิ้นพระธรรม มารแข็งพระอ่อน คนเรายึดถือชื่อเสียง ลาภ ยศ เป็นที่ตั้ง พระค่อย ๆ เปลี่ยนสีและเข้าสู่ทางมาร ตามชื่อเสียง ลาภยศ

ศาสน์ โดย จาก ใจ
นโยบายให้เสรีภาพในการนับถือศาสนา จะนับถือหรือไม่นับถือตามใจท่าน จะไปบังคับผู้อื่นถือพุทธไม่ได้ และพระธรรมวินัยก็ปล่อยให้เสรีด้วย

ใจ มาร สร้าง ครอง
ที่ยืนหยัดวัตรปฏิบัติกันจริง ๆ มีน้อย ส่วนมากจะทำเพื่อชื่อเสียง เกียรติยศ แสวงผลประโยชน์ในด้านชีวิต นำความเสื่อมเสียมาสู่พุทธศาสนา

สร้าง ครอง พุทธ ศาสน์
หลังปลดปล่อย รัฐบาลประชาชนทำการปฏิรูปพุทธศาสนา เอาคุณภาพไม่เอาปริมาณ ให้ผู้มิได้บำเพ็ญศีลจริง ๆ สึกโดยสมัครใจ ใช้แรงงานทำงานพึ่งตนเองอยู่ในวัด


สร้าง โดย จาก มาร
ปี พ.ศ.2509 เกิดการปฏิวัติใหญ่ทางวัฒนธรรม ศาสนาพุทธถูกกระทบกระเทือนอย่างหนัก


มาร สร้าง พุทธ ศาสน์
กังฉินหลินเปียวปลุกระดมทหารรักษาการณ์แดง ทำลายการสร้างชาติของจีน ขณะเดียวกันก็ทำลายพุทธศาสนาด้วย ศาสนาพุทธถูกหาว่าเป็นเรื่องหลงเชื่องมงาย

พุทธ จาก มาร สร้าง
พระพุทธรูปส่วนใหญ่ ถูกทุบทำลาย วัดวาอารามนอกจากถูกรื้อทิ้งแล้ว ยังถูกนำไปใช้ทำประโยชน์อย่างอื่น เทวรูปและพระพุทธรุปล้วนถูกทำลายหมดสิ้น

พุทธ จาก มาร ศาสน์
พระเณรในวัด ถูกจัดรวมกลุ่มศึกษาคำสอนเกี่ยวกับลัทธิวัตถุนิยม

ใจ โดย สร้าง มาร
ศึกษาการปฏิวัติวัฒนธรรมตลอดจนการปฏิวัติวัฒนธรรมสังคม พอเกิดขึ้น ใจคนล้วนถูกมารครอบ การต่อสู้แบ่งพรรคแยกพวก พระสงฆ์ลุ่มหลงในชื่อเสียง

ศาสน์ โดย ใจ สร้าง
ศาสนาพุทธกลายเป็นศาสนาผี ตกเป็นเป้าหมายของ ภูต ผี ปีศาจ ศาสนาพุทธถูกทำลายหมดสิ้น

ศาสน์ สร้าง โดย ครอง


ช่วงนี้ไม่มีศาสนาพุทธ พระเณรได้รับการปฏิบัติดุจเดียวกับคนทั่วไป ส่งไปชนบทใช้แรงงานตามนโยบายของรัฐบาล

ครอง สร้าง พุทธ ศาสน์
พระเณรถูกส่งไปฟาร์มเกษตรหรือบ้านเดิม ไปทำไร่ ไถนา ไปใช้แรงงาน ภายใต้การควบคุมสั่งสอนของชาวนา



[/COLOR][/SIZE]



หน้า 30







สร้าง พุทธ โดย ครอง
ปีเจี๋ยจื่อฟื้นฟูพุทธศาสนาอย่างเป็นทางการ ประกาศให้เสรีภาพแก่พุทธศาสนา จัดตั้งพุทธสมาคมขึ้นในที่ต่างๆ


สร้าง ครอง พุทธ ศาสน์
ประธานเติ้งเสี่ยวผิงประกาศให้พุทธศาสนามีเสรีภาพกำหนดเงื่อนไขเสรีภาพของศาสนาพุทธไว้ในบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ

ครอง ศาสน์ พุทธ ใจ
ภิกษุเฒ่ากลับวัดเหมือนลูกกตัญญู ฟื้นฟูบูรณะวัดวาอาราม รัฐให้เงินอุดหนุนสร้างพระพุทธรูป คืนเสรีภาพแก่ศาสนาพุทธอย่างแท้จริง


ศาสน์ โดย จาก พุทธ
ช่วงเริ่มฟื้นฟู 3 ลัทธิคือ ขงจื๋อ เต๋า พุทธ ผู้คนบอกว่าเป็นพุทธทั้งหมด เพราะว่าขาดธรรมาจารย์เทศนาสั่งสอนธรรมะ ผู้คนไม่เข้าใจเหตุผลพุทธ


ใจ โดย จาก ศาสน์
หลังจากคืนเสรีภาพคืนแก่พุทธศาสนาแล้ว พุทธสถานกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว ผู้คนสนใจใคร่เรียนรู้และมีความสุขกับพุทธศาสนา พุทธศาสนาเริ่มรุ่งเรืองขึ้นอีกวาระหนึ่ง




------------------------------------------------

* (หมายเหตุ) อาตมาเรียนถามผู้เฒ่าในถ้ำอรหันต์ว่า “อนาคตของศาสนาพุทธในประเทศจีนต่อไปจะเป็นอย่างไร” ผู้เฒ่าใช้ผู่กันเขียนตัวหนังสือ 8 ตัว ผู้เฒ่าอีกคนบอกว่าให้กลับไปใช้สมองค่อยๆคิด ได้ 36 ประโยคจะทราบความนัยเอง ขณะนี้ได้ตีความแล้ว (ไม่แน่ใจว่าจะถูกต้อง ขอให้เป็นข้อมูลประกอบเพื่อทุกคนได้ค้นคว้าร่วมกัน ถือเป็นการเล่นตัวอักษรพาเพลินก็แล้วกัน)

บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 5.0.375.99 Chrome 5.0.375.99


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: 21 กรกฎาคม 2553 00:49:17 »

หน้า 31




ตลอดทาง อาตมาเห็นสุวรรณวิหารและรัตนเจดีย์อันใหญ่โตมโหฬารมากมาย ล้วนมีแสงในตัว แลดูลานตาไปหมด แต่ว่าท่านธรรมาจารย์หยวนกวนกลับเร่งรัดให้อาตารีบเดินทาง บอกเวลามีจำกัด (ภายหลังอาตมาจึงทราบว่า เวลาในแดนสวรรค์นั้นต่างกับเวลาในโลกมนุษย์ ไม่เหมาะอยู่นานเกินไป ขืนชักช้าโอ้เอ้วิหารลาย กลับไปยังโลกมนุษย์อีกที อาจเป็นเวลาหลายร้อยปี กระทั่งหลายพันปีแล้วก็ได้ )
เส้นทางที่เราเดินไปล้วนปูด้วยหินขาว ก้อนหินแต่ละก้อนเปล่งประกายวาววับ กลิ่นดอกไม้ใบหญ้าพิสดารบนภูเขาโชยมาตามลมหอมละมุนเตะจมูก ทำให้จิตใจชื่นบานเคลิบเคลิ้ม

เดินเลี้ยวโค้งหลายโค้ง ระยะทางประมาณกิโลเมตรเศษ เบื้องหน้าก็ปรากฏสะพานใหญ่แห่งหนึ่ง แต่ว่าประหลาดแท้ สะพานแห่งนี้มีแต่ช่วงกลาง ลอยอยู่กลางอากาศ หามีทางขึ้นและทางลงไม่ ดูไม่น่าจะเดินขึ้นไปบนสะพานนั้นได้เลย ครั้นมองดูใต้สะพาน ก็ปรากฏเป็นเหวลึก มองไม่เห็นก้น

" เอ๊ะ .. สะพานนี้จะเดินข้ามไปได้อย่างไร " อาตมาพึมพำ
ขณะที่อาตมารู้สึกลังเล ก้าวท้าวไม่ออกอยู่นั้น ท่านธรรมาจารย์หยวนกวนได้เอ่ยถามอาตมาว่า " ปกติท่านสวดมนต์อะไร ท่องคาถาบทไหน "
อาตมาตอบว่า " ปกติอาตมาสวดสัทธรรมปุณฑริกสูตรกับปรมัตถ์ธรรมคาถา "
ท่านกล่าวว่า " เออ .. ดีแล้ว ก็สวดซี "

อาตมาจึงเริ่มบทสวด ปรมัตถ์ธรรมคาถาทั้งบทมี 3,000 กว่าคำ ทว่าอาตมาสวดไปได้แค่ 20-30 คำเท่านั้น สภาพเบื้องหน้า พลันเกิดการเปลี่ยนแปลง เห็นสะพานาแห่งนั้นพลันยื่นหัว ยื่นท้ายออกไปต่อติด



หน้า 32-33


ทั้งสองข้าง ตัวสะพานเป็นสีทองเหลืองอร่าม ส่งประกายวาววาม เห็นได้ว่าประกอบขึ้นจากรัตนะ 7 ประหนึ่งสายรุ้ง 7 สีสายหนึ่งแขวนอยู่กลางอากาศ งามวิจิตรตระการตาหาที่เปรียบมิได้ ราวสะพานทั้งสองข้างประดับด้วยโคมไฟไข่มุข ส่องแสงสีต่างๆ ที่หัวสะพานติดตัวอักษรตัวโต 5 ตัว รูปอักษรคล้ายคลึงกับที่เห็นในมหาวิหาร อาตมาจึงเดาเอาว่า คงจะอ่านว่า “สะพานอรหันต์ภพกลาง” เป็นแน่แท้

ข้างสะพานไปแล้ว เรานั่งพักที่ศาลาเชิงสะพาน อาตมาจึงถือโอกาสเรียนถามท่านธรรมาจารย์หยวนกวนว่า “เหตุใดเมื่อกี้นี้เราไม่เห็นหัวท้ายสะพาน ครั้นท่องปรมัตถ์ธรรมคาถาแล้ว ถึงได้มองเห็น”

ท่านตอบว่า “ก่อนท่องคาถา ธาตุแท้ของท่าน (โฉมหน้าที่แท้จริง) ถูกกรรมกีดขวางของตัวเองกั้นไว้หลายชั้น บดบังทรรศนบถไว้ จึงไม่อาจมองเห็นแดงศักดิ์สิทธิ์ได้ ต่อเมื่อท่องคาถาแล้ว ด้วยการสะกดของคาถานุภาพ กรรมกีดขวางจึงอันตรธาน เมื่อสิ่งกีดขวางไม่มี ธาตุแท้จัวเองบริษุทธิ์ จึงได้ปรากฏอาณาจักรทั้งปวงที่มีอยู่แต่เดิมออกมา จากหลับเป็นตื่น จึงได้เห็นทุกสิ่งที่อย่างที่เรียกว่า ไร้เมฆาหมื่นโยชน์ เห็นท้องนภาหมื่นโยชน์ ก็คือเหตุผลนี้แหละ

พักหายเหนื่อยแล้ว เราก็เดินทางต่อ อาตมาเดินพลางท่องคาถาพลาง ทันใด ใต้ฝ่าเท่าพลันปรากฏดอกบัว เป็นกลีบๆ เปล่งประกายมรกตประหนึ่งแก้วผลึก ใบบัวก็เปล่งแสงสีสันพันลาย เหยียบบนดอกบัว ก็เหินลอยสู่ท้องนภาประหนึ่งเหาะเหินเดินอากาศยังไงยังงั้น มุ่งตรงไปเบื้องหน้า รู้สึกมีเสียงลมพัดผ่านข้างหูดังหวีดหวิว แต่ร่างกายกลับไม่รู้สึกว่ามีแรงลมปะทะ อัตราเร็วยิ่งกว่านั่งเครื่องบินเสียอีก เห็นสรรพสิ่งรอบๆกายเคลื่อนที่ถอยหลัง แว่บผ่านตัวเราไปไม่ขาดสาย

เวลาผ่านไปไม่นาน อาตมารู้สึกว่าตัวค่อยๆร้อนขึ้น ยามนั้น สิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าคือประตูเมืองที่ดูคล้ายๆ เทียนอานเหมินของปักกิ่ง แต่มันกว้างขวางใหญ่โต สง่าโอฬาริกยิ่งกว่าเทียนอานเหมินรูปแกะสลักหงส์มังกรบนเสาหินเปล่งประกายวาววับ หลังคามีรูปลักษณะคล้ายๆวังโบราณ แต่เป็นสีเงินยวงทั้งหมด ประหนึ่งเมืองรชตะมหึมาเมืองหนึ่ง เด่นสง่ายิ่ง

ครั้นเรามาถึงเมืองรชตะแห่งนี้แล้ว เราเห็นซุ้มประตูเมืองมีแผ่นป้ายติดตัวอักษร 5 ภาษาด้วยกัน ภาษาที่เป้นภาษาจีนเขียนว่า “หนานเทียนเหมิน” (ประตูเทวาลัยทิศใต้) หรือ จาตุมหาราชิก (จาตุมหาราชิกเป็นสวรรค์ชั้นที่ 1 อันเป็นสถานที่พำนักของจตุโลกบาล) ภายในประตูจาตุมหาราชิก มีคนยืนอยู่เป็นอันมาก ที่แต่งกายด้วยชุดพลเรือนนั้นมีลักษณะคล้ายคลึงกับชุดขุนนางสมัยราชวงศ์ชิง หรูหรามาก เสื้อผ้าอาภรณ์ล้วนมีแสงในตัว ส่วนพวกที่แต่งชุดทหารก็มีลักษณะคล้ายขุนพลที่แสดงบนโรงงิ้ว เสื้อเกราะที่สวมใส่เปล่งหระกายวาววับ ดูน่าเกรงขาม พวกเขายืนเข้าแถวเป็นระเบียบอยู่สองข้างประตูเมือง ประนมมือแสดงความเคารพต่อพวกเรา ต้อนรับพวกเราเข้าเมือง แต่ไม่มีผู้ใดเข้ามาพูดจาด้วย

เข้าประตูเมืองไปได้ประมาณ 10 ก้าว เห็นกระจกใหญ่บานหนึ่ง กระจกนี้สามารถส่องโฉมหน้าเดิมของตนออกมา จำแนกว่าเป็นคนดีหรือคนชั่ว

หลังจากเข้าประตูเมืองแล้ว ตลอดทางจะเห็นทัศนียภาพพิลึกพิสดารเหลือคณานับ ดูคล้ายรุ้ง คล้ายลูกฟุตบอล คล้ายดอกไม้และคล้ายแสงไฟเป็นต้น แว่บผ่านตัวเราไป ในกลุ่มเมฆหมอก จะเห็นเป็นวัดวาอาราม โบสถ์ วิหาร ปราสาทราชวังและยอดเจดีย์ อยู่ใกล้บ้าง ไกลบ้าง แว่บๆ วับๆ เดี๋ยวชัดเดี๋ยวเลือน ท่านธรรมาจารย์หยวนกวนแนะนำว่า ชั้นนี้เป็นชั้นที่สูงกว่าชั้นจาตุมหาราชิกชั้นหนึ่งเรียกว่าชั้น ดาวดึงส์ (สวรรค์ชั้นที่ 2 ในฉกามาพจรหรือ 6 ชั้นในกามภพ) อันเป็นที่พำนักของเง็กเซียนฮ่องเต้หรือพระอินทร์ ปกครอง 4 ทิศ 32 ชั้นฟ้า



หน้า 34-35


เราไม่มีเวลาหยุดดู คงตรงดิ่งขึ้นไป ท่านธรรมาจารย์กล่าวกับอาตมาว่า เวลานี้เรามาถึง “สวรรค์ชั้นดุสิต” แล้ว ซึ่งเป็นสวรรค์ชั้นที่ 4* ในฉกามาพจร พริบตาเดียวเราก็มาถึงหน้าประตูเขาพระวิหารหลังหนึ่ง เห็นคน 20 กว่าคนมาต้อนรับพวกเรา ในนั้นมีอยู่คนหนึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน คือพระอาจารย์ซวีหยุน ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาแก่อาตมานั่นเอง (พระเถระชั้นสูง 1 ใน 3 ของประเทศจีนในยุคปัจจุบัน) ยังมีอีก 2 ท่านที่อาตมารู้จัก ท่านหนึ่งคือ พระภิกษุเมี่ยวเหลียน อีกท่านหนึ่งคือพระภิกษุฝูหยง (ทั้งสองท่านล้วนไปสู่สุคติภพแล้ว) ทุกท่านล้วนห่มกายด้วยผ้ากาสาวพัสตร์แพรต่วนสีแดง งามสง่ายิ่ง

พอเห็นพระอาจารย์ซวีหยุน อาตมารีบเข้าไปคุกเข่ากราบคารวะ ยามนั้น อาตมาตื้นตันใจจนเกือบจะร้องไห้ออกมา
พระอาจารย์ถามอาตมาว่า “เป็นไง ใจสงบดีไหม ยังมีเรื่องดีใจ เสียใจอะไรอยู่อีกหรือเปล่า เจ้ารู้ไหม คนที่มากับเจ้าคนนั้นเป็นใคร”
อาตมาตอบว่า “ท่านมีนามว่าพระธรรมาจารย์หยวนกวนครับ”
ยามนั้น พระอาจารย์ได้เปิดเผยความจริงอันชวนตระหนกแก่อาตมาเรื่องหนึ่ง ท่านกล่าวว่า “ท่านนั้นก็คือพระมหาเมตตาการุณย์โพธิสัตว์กวนอิมผู้ดับทุกข์เข็ญแก่เวไนยสัตว์ที่พวกเจ้าสวดอยู่ทุกวันนั่นเอง”

อาตมาตะลึงงันด้วยคิดไม่ถึง ภายหลังที่พระอาจารย์กล่าวจบลงอาตมาจึงรีบคุกเข่าลงกราบแทบเท้าพระโพธิสัตว์กวนอิมในธรรมกายของพระธรรมาจารย์หยวนกวน โอ มีนับตาเสียเปล่า แต่หารู้จักขุนคีรีไท่ซันไม่ เบื้องหน้าพระโพธิสัตว์กวนอิมแปลง อาตมาไม่ทราบจะกล่าวกระไรดี

เทวดาใน “สวรรค์ชั้นดุสิต” ต่างกับมนุษย์ในสัพพะโลกของเราซึ่งสูงแค่ 5-6 ฟุตเท่านั้น แต่เทวดาที่นี่ สูงประมาณ 30 ฟุต แต่ว่า พระธรรมาจารย์เฒ่าหยวนกวน (กวนอิมแปลง) กล่าวว่า ในเมื่อพาอาตมามาถึงที่นี่แล้ว รูปร่างของอาตมาก็จะเปลี่ยนแปลงไปด้วย คือเปลี่ยนสูงใหญ่เป็น 30 ฟุตเท่าพวกเขานั่นแหละ

ขณะนั้น พระอาจารย์ยังสั่งกำชับอาตมาว่าจะต้องบำเพ็ญศีลภาวนาในสัพพะโลกอย่างมุมานะ กรรมกีดขวางต้องผ่านการทดสอบจึงจะค่อยๆปลดเปลื้องออกได้ ทั้งสั่งกำชับว่าพยายามสร้างและบูรณะปฏิสังขรณ์วัดวาอารามเป็นต้น

ณ ที่นั้น อาตมายังเห็นคนจำนวนมาก มีทั้งชายและหญิง ทั้งเด็กและคนชรา การแต่งกายของพวกเขา คล้ายกับชุดแต่งกายในสมัยราชวงศ์หมิง .

บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 5.0.375.99 Chrome 5.0.375.99


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: 21 กรกฎาคม 2553 00:50:34 »

พระโพธิสัตว์กัจจานะ ไขปริศนาธรรม



หลังจากนั้น เราก็พากันเข้าสู่ลานภายในของสวรรค์ชั้นดุสิต เพื่อเข้าเฝ้านมัสการพระโพธิสัตว์กัจจานะ ครั้งเข้าไปภายในมหาวิหารกัจจานะ ได้เห็นความใหญ่โตโอ่อ่าสง่างามของมหาวิหาร จนสุดจะหาคำมาเปรียบเทียบให้มองเห็นภาพได้ ทุกหนทุกแห่งวาววับไปด้วยประกายสีทอง หน้าประตูมหาวิหารมีอักษรตัวโต 3 ตัวเปล่งประกายแวววาว เขียนด้วยภาษา 5 ชนิดติดอยู่ ที่เขียนเป็นภาษาจีนอ่านได้ความว่า แดนดุสิต” ณ ที่นั้น อาตมาได้เห็นพระโพธิสัตว์กัจจานะด้วยตนเอง

รูปร่างหน้าตาของพระโพธิสัตว์กัจจานะหาได้มีส่วนเหมือนพระยิ้มพุงพลุ้ย” อย่างที่เราตั้งไว้สักการะบูชาในสัพพะโลก ซึ่งท้องโตโย้ยื่นออกมาข้างหน้า พระพักตร์ยิ้มเซ่อๆก็หาไม่ พระโพธิสัตว์กัจจานะที่แท้จริงนั้น กล่าวได้ว่ามีธรรมลักษณ์สง่าเคร่งขรึม เพียบพร้อมด้วย 32 ลักษณะ 80 มงคล รูปโฉมภายนอกเด่นเป็นพิเศษ




หน้า 36-37




สองข้างมหาวิหาร มีพระโพธิสัตว์มากมายนั่งบ้าง ยืนบ้าง ห่มกายด้วยธรรมาภรณ์หลากหลายชนิด แต่ที่มากที่สุดคือ ผ้ากาสาวพัสตร์สีแดงที่มีแสงในตัว แต่ละท่านล้วนมีแท่นดอกบัว 1 แท่น อาตมาเข้ากราบนมัสการท่านโพธิสัตว์กัจจานะ อาราธนาธรรมจากท่าน

ท่านได้ไขปริศนาธรรมต่ออาตมาดังนี้คือ “อนาคต ( 6 พันล้านปีให้หลัง )อาตมาจะจุติ ศรีนาคาไตรจักร จะลงสู่สัพพะโลก ถึงเวลานั้น พื้นพิภพจะปราศจากขุนคีรี จะราบเรียบดั่งฝ่ามือ สัพพะโลกจะกลายเป็นวิสุทธิภูมิของแดนมนุษย์ ระหว่างศาสนาด้ายกันจะต้องถนอมรักซึ่งกันและกัน ปลุกเร้าซึ่งกันและกัน เพื่อพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น อย่าได้ดูหมิ่นก้าวร้าวจาบจ้วงซึ่งกันและกัน ระหว่างนิกายต่าง ๆ ในศาสนาเดียวกัน ก็อย่าได้ดูหมิ่นซึ่งกันและกัน จะต้องช่วยกันขจัดภัยพาล ผดุงความเป็นธรรม ” ( ท่านยังประทานธรรมกถาอื่น ๆ อีก แต่อาตมาจำได้ไม่หมด )


หลังจากนั้น พระอาจารย์ของอาตมาคือภิกษุเฒ่าซวีหยุนก็พาอาตมาไปที่อารามใหญ่หลังหนึ่ง หน้าอารามมีขุนศึกแต่งกายคล้ายชุดราชวงศ์หมิงยืนอยู่ แต่ไม่ใช่เหว่ยตว้อ ขุนศึกนายนั้นพาเราเข้าสู่ภายในอารามแล้ว ก็ได้จัดแจงยกขนมหวานทำจากน้ำผึ้งบุปผาที่เสาะหาโดยเทพธิดามาเลี้ยงรับรองเรา อาตมากินไปชิ้นหนึ่ง รสหว่านอร่อยหาใดเปรียบมิได้ รู้สึกอิ่มมาก ขณะเดียวกัน จิตใจก็กระชุ่มกระชวยขึ้นอีกหลายเท่า


ท่านภิกษุฝูหยงกล่างกับอาตมาว่า “บนสรวงสวรรค์ล้วนแต่ใช้น้ำผึ้งบุปผาเป้นอาหารซึ่งเพทบุตร เทพธิดาหน้าพระลานจะเป็นผู้นำมาถวาย ใช้ดอกไม้หลายอย่างหลายชนิดมาทำเป็นน้ำผึ้ง รสชาติดีมาก คนในโลกมนุษย์มีวาสนาได้ดื่มกินน้ำผึ้งบุปผานี้ สามารถขจัดโรคา อายุวัฒนา ผู้เฒ่าจะกลับเป็นเยาว์ เจ้าทานมากหน่อย จะได้ประโยชน์เอนกอนันต์ ”


นับแต่นั้นมา ร่างกายของอาตมารุ้สึกจะหนุ่มแน่นขึ้นกว่าแต่ก่อนจริง ๆ จนถึงปัจจุบันยังไม่เคยต้องทานยาเลย


ต่อจากนั้น ท่านภิกษุฝูหยงกล่าวกับอาตมาอีกว่า “ บนสรวงสวรรค์อยู่สุขสบายเกินไป ไม่ค่อยจะบำเพ็ญศีลภาวนากัน ก็เหมือนพวกมั่งมีศรีสุขในแดนมนุษย์นั่นแหละที่ไม่ยอมบวชเรียน รู้จักแต่เสพสุขเฉพาะหน้า หารู้ไม่ว่าก้าวไม่พ้นไตรภพ เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารของ 6 ภูมิ ยากแก่การหลุดพ้น พวกเราอยู่ที่นี่ฟังธรรมะจากท่านโพธิสัตว์กัจจานะ วันข้างหน้ายังต้องไปจุติยังโลกมนุษย์เพื่อดับทุกข์เข็ญแก่เวไนยสัตว์อีก หลังจากนั้นจึงจะสามารถเข้าสู่วิถีแห่งโพธิสัตว์ หลุดพ้นอย่างแท้จริง ”


ยามนั้น พระอาจารย์ซวีหยุนก็ได้ให้คำชี้แนะแก่อาตมา ท่านกล่าวว่า “ ยุคปลายธรรมะจะต้องยืนหยัดช่วยนำเวไนยสัตว์ไปสู่ความหลุดพ้นในภาวะที่ยากลำบากที่สุด อย่าได้เห็นแก่ความสุขสบายในภาวะราบรื่น และอย่าได้หลบเลี่ยงในภาวะที่ยากลำบาก สามารถยืนหยัดในสัมโพธิญาณแห่งสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเป็นการเดินตามวิถีแห่งโพธิสัตว์อย่างแท้จริง จำได้ให้ดี ภายหลังกลับสู่โลกมนุษย์แล้ว เจ้าต้องบอกต่อผุ้ร่วมทางธรรม เฉพาะอย่างยิ่ง พี่น้องที่ร่วมบำเพ็ญศีลภาวนา ให้ถือศีลเป็นครู ยืนหยัดวัตรปฏิบัติดังเดิมอย่างเคร่งครัด อย่าได้เที่ยวปฏิรูป อย่าได้เที่ยวเปลี่ยนระบบสงฆ์ ปัจจุบันมีคนกล่าวว่า ปรมัตถ์สูตรเป็นของปลอม บางคนแก้ชุดแต่งกายสงฆ์ บ้างไม่เชื่อกฏแห่งกรรม บอกว่าไข่เป็นอาหารมังสวิรัติ ไม่ยืนหยัดวัตรปฏิบัติอย่างมุมานะแล้วใช้สิ่งนี้ไปส่งผลสะเทือนต่อเวไนยสัตว์ กลับใช้อวิชชาไปหลอกลวงผู้คนให้เกิดความหลงเชื่องมงาย ลุ่มหลงมัวเมา ตีความพุทธคัมภีย์เสียจนผิดเพี้ยนเลอะเทอะไปหลอกเอาของถวาย สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นมารทำลายมูลปัญญาแห่งพระตถาคตเจ้า ปล่อยให้มารออกมาอาละวาดทำลายผู้คนอย่างเสรี ฉะนั้น เจ้าต้องสืบทอดเจตนารมณ์ของข้า จึงเป็นศิษย์ที่ดีของ





หน้า 38-39



ข้า วันข้างหน้า เจ้าจะต้องไปเผยแพร่เทศนาสั่งสอนธรรมะยังนานาประเทศ แต่ว่าในภาวะแวดล้อมที่เลวร้าย จ้ะต้องประคับประคองฟื้นฟูบูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอารามที่ข้าสร้างมากาลก่อน ฉะนั้นชื่อเจ้า ที่ตั้งไว้ว่าฝูซิง ( ฟื้นฟู ) เมื่อครั้งที่ข้าถ่ายทอดวิชาให้นั้น ตอนนี้เจ้าเข้าใจความหมายของมันหรือยัง ”


หลังจากพักผ่อนอยู่ชั่วครู่ พระโพธิสัตว์กวนอิมก็มาพาอาตมาออกจากมหาวิหาร ไปชมทัศนียภาพแดนวิมานที่หน้าพระลาน เห็นแสงแพรวพราววาววับปรากฏอยู่ทั่วไป ปักษินเทวาสกุณาพิมานจับคู่ขับขานดนตรีไพเราะเสนาะหู มโหรีทิพย์พิมานใส่พิสุทธิ์ ดีดสีบรรเลงวังเวงแว่ว เลิศล้ำเป็นธรรมชาติ เทพบุตร เทพธิดา แต่งกายด้วยชุดแพรพรรณสีฉูดฉาด เพริดแพร้วงามวิไล เดินเป็นแถวเป็นแนวอย่างมีระเบียบ เดินเล่นตามสบาย บุปผชาติพิมานบานสะพรั่ง ชูช่อดอกสลอนแข่งความงาม วัดวาอาราม โบสถ์ วิหาร ศาลา รวมทั้งรัตนเจดีย์ต่าง ๆ ล้วนเปล่งประกายชัชวาล สมเป็นทัศนียภาพของพิมานแมนแดนสวรรค์จริง ๆ โลกมนุษย์ไม่มีทางเปรียบได้แม้เท่ากระผีก ริ้น


อาตมาชมพลางสดุดีไม่หยุดหย่อน ท่านโพธิสัตว์กวนอิมชี้ให้อาตมาดูรัตนเจดีย์ขนาดใหญ่กว่าขุนเขาคุนหลุน ซึ่งกำลังเปล่งสัพรังสีองค์หนึ่งพลางกล่าวว่า “เจดีย์นี้ก็คือสถานที่พำนักของไท่ซั่งเหล่าจวิน (ไทย-เสียงเล่ากุน .... เล่าจื้อ ) เรียกว่า เจดีย์กลั่นยาอายุวัฒนะ ” มองไปแต่ไกล เห็นมหาเจดีย์กลั่นยาอายุวัฒนะอันใหญ่โตมโหฬารองค์นั้น ถูกเมฆหมอกบดบังบางส่วนไว้ เห็นบ้างไม่เห็นบ้าง ไม่รู้ว่าสูงกี่ชั้นกันแน่ เหมือนมายืนอยู่เบื้องหน้าขุนเขา เราได้แต่มองดูอยู่ด้านนอกเท่านั้น ไม่ได้เข้าไปภายในเจดีย์ พระโพธิสัตว์กวนอิมกล่าวสืบไปว่า " เจดีย์นี้เป็นที่พำนักของเทวราช รอบ ๆ มีต้นหลิงหยวนซู่ (พวกเต๋าใช้สำหรับฝึกฝนบำเพ็ญตะบะให้คืนสู่โฉมเดิม) ตลอดจนไม้ดอก ไม้ผล 4 ฤดู กล่าวกันว่า พวกฝึกฝนบำเพ็ญตะบะ ถ้าบำเพ็ญได้ดี ต้นหลิงหยวนซู่ประจำตัวของเขาในแดนสวรรค์ จะออกดอกสวยงามน่าชม ตรงกันข้ามก็จะไร้ชีวิตชีวา กระทั่งเ**่ยวเฉาโรยรา "


ยามนั้น พระโพธิสัตว์กวนอิมเร่งรัดอาตมาว่า “เร็วเข้าเถอะ เวลาเหลือไม่มากนัก เดี๋ยวอาตมาจะพาท่านไปยังแดนสุขาวดีประจิม ที่นั่นสวยงามกว่านี้อีก เปรียบเทียบกับสัพพะโลกก็ยิ่งเปรียบกันไม่ติด ”
[/COLOR]

บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 5.0.375.99 Chrome 5.0.375.99


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #6 เมื่อ: 21 กรกฎาคม 2553 00:50:55 »

เยือนแดนสุขาวดี เข้าเฝ้านมัสการอมิตพุทธเจ้า





ออกจาก “ สวรรค์ชั้นดุสิต ” อาตมาท่องปรมัตถ์สูตรตามเคย แท่นดอกบัวพลันปรากฏที่ใต้เท้า พาตัวอาตมาเหินลอยสู่ท้องฟ้านภากาศ ตลอดทางได้ยินแต่เสียงลมพัดอื้อ แต่ไม่รุ้สึกว่ามีแรงลมปะทะ อัตราความเร็วนั้น บรรยายไม่ถูก ทัศนียภาพแดนวิมานอันงามวิจิตรเบื้องหน้าเรา จะแว๊บผ่านตัวเราไป พริบตาเดียวก็ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังลิบลับ ชั่วไม่กี่นาทีก็เห็นเบื้องล่างใต้แท่นดอกบัวลงไปเป็นพื้นราบเกลื่อนด้วยทรายทอง ต้นไม้ยักษ์เป็นแถวเป็นทิว แต่ละต้นสูงหลายร้อยฟุต กิ่งทองใบหยก ใบเป็นรูป 3 เหลี่ยมบ้าง 5 เหลี่ยมบ้าง 7 เหลี่ยมก็มี ล้วนออกดอกเป็นแสงได้ทุกต้น วิหกนกไพรนานาชนิด ล้วนมีแสงในตัว นกบางตัวมี 2 หัว กระทั่งหลายหัว 2 ปีก กระทั่งหลายปีก พวกมันโผบินว่อนล้อลมอย่างอิสระเสรี ขับลำนำเป็นนามศักดิ์สิทธิ์ของอมิตพุทธเจ้า รอบ ๆ รั้วลูกกรงตกแต่งด้วยสีสันต่าง ๆ 7 สี พระโพธิสัตว์กวนอิมกล่าวกับอาตมาว่า “ร่างแห 7 ชั้น กับแนวพฤกษ์ 7 แถว ที่กล่าวถึงในพุทธคัมภีร์นั้นก็คืออาณาจักรนี้นั่นเอง ”


ข้างหูแว่วเสียงผุ้คนสนทนากันเอ็ดอึง แต่ภาษาฟังไม่รู้เรื่อง



หน้า 40 - 41




พระโพธิสัตว์กวนอิมกล่าวว่า " ภาษาต่างๆ ท่านอมิตยัสพุทธะ ท่านฟังรู้เรื่องหมด " ตลอดทางยังเห็นเจดีย์สูงใหญ่มากมาย ล้วนประกอบขึ้นจากรัตนะ 7 เปล่งประกายวาววาม เราคงมุ่งหน้าต่อไป ชั่วครู่ก็มาถึงเบื้องหน้าภูเขาทองลูกหนึ่ง ภูเขาทองลูกนี้สูงใหญ่กว่าภูเขาเอ๋อเหมย (ง้อไบ๊) ของจีนหลายต่อหลายเท่านัก

มิพักต้องสงสัย ตอนนี้เราได้เดินมาถึงใจกลาง " แดนสุขาวดี " แล้ว

พระโพธิสัตว์กวนอิมยกพระหัตถ์ชี้ไปเบื้องหน้ากล่าวว่า "ถึงแล้ว อมิตพุทธเจ้าอยู่เบยื้องหน้าท่าน ท่านเห็นไหม"

อาตมาประหลาดใจถามว่า "อยู่ไหน อาตมาเห็นแต่ผาหินขวางอยู่ข้างหน้า"
ที่ใหนได้ คำตอบของพระโพธิสัตว์กวนอิมอยู่เหนือความคาดหมายของอาตมามาก ท่านตอบว่า " ขณะนี้ท่านกำลังยืนอยู่ปลายพระบาท ของอมิตพุทธเจ้าแแล้ว "
อาตมากล่าวว่า "พระธรรมกายของอมิตพุทธเจ้าสูงใหญ่ปานนั้น อาตมาจะเห็นได้อย่างไรล่ะครับ"

จะว่าไปแล้ว ภาวะเช่นนี้ก็เปรียบดังมดน้อยตัวหนึ่งยืนใต้ตึกระฟ้าสูง 100 กว่าชั้นของอเมริกา ไม่ว่าจะแหงนมองมองอย่างไรก็ไม่มีทางจะมองเห็นโฉมหน้าส่วนทั้งหมดของตัวตึก ฉันใดก็ฉันนั้น

พระโพธิสัตว์กวนอิมแนะให้อาตมาคุกเข่าลงอธิษฐานขอพรอมิตพุทธเจ้า ชักนำให้อาตมาไปยังสุขาวดีทิศประจิม อาตมารีบคุกเข่าลงแล้วตั้งจิตอธิษฐาน พริบตาเดียวรู้สึกว่าร่างกายตัวเองพลันสูง ใหญ่ขึ้นๆ จนเสมอพระนาภี(สะดือ) ของอมิตพุทธเจ้า ในระดับความสูงดังกล่าวอาตมาจึงได้มองเห็น อมิตพุทธเจ้า ยืนอยู่ข้างหน้าอาตมา จริงๆ ท่านยืนอยู่บนแท่นดอกบัวนับชั้นไม่ถ้วน กลีบดอกแต่ละชั้นล้วนมีรัตนเจดีย์เปล่งสัพรังสี ภายในรังสีมีพระพุทธรูปนั่งขัดสมาธิอยู่ท่ามกลางประกายสีทอง ขณะเดียวกันอาตมายังเห็นพระมหาวิหารวิจิตรงดงามอร่ามเรืองหลังหนึ่ง เพ่งสายตามองออกไปอีก อาตมาก็เห็นโฉมหน้าทั้งหมดของแดนสุขาวดีประจิม

ยามนั้น ท่านธรรมจารย์หยวนกวนได้แปลงกายกลับสู่พระธรรมกายตัวจริงของพระโพธิสัตว์กวนอิม ทั้งสรรพางค์กายเป็นผลึกแก้วสีทองโปร่งใส อาภรณ์ห่มกายเปล่งฉัพพรรณรังสี จำแนกไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชายกันแน่ พระธรรมกายท่านสูงใหญ่กว่าอาตมา สูงเสมอไหล่ของพระอมิตตาพุทธเจ้า

อาตมายืนอยู่ ณ ที่นั้นมองภาพอภินิหารนี้จนเคลิ้มไหลหลงเลยนึกไม่ออกว่าสมควรจะกล่าววาจาอย่างไร เวลานี้จะให้อาตมาบรรยายภาพอภินิหารในขณะนั้นอย่างละเอียด สงสัยจะต้องใช้เวลาสัก 7 วัน 7 คืน เอาเฉพาะพระธรรมกายที่สง่าเคร่งขรึมสุดประมาณของอมิตพุทธเจ้า พูดครึ่งวันก็พูดไม่จบ เป็นต้นว่าพระธรรมลักษณ์ของท่าน อย่างพระเนตรคู่นั้นของท่านก็ดูประหนึ่งห้วงมหรรณพอันเวิ้งว้างไพศาล พูดไปอาจไม่มีใครเชื่อก็ได้ แต่จริงๆ พระเนตรคู่นั้นของท่านกว้างใหญ่เหมือนทะเลในแดนมนุษย์ไม่ผิดเพี้ยน

อาณาจักรของแดนสุขาวดีประจิม ตามที่กล่าวไว้ในพุทธคัมภีร์บอกว่า อยู่ห่างไกลถึง 10 ล้านล้านพุทธภูมิ ถ้าคำนวณเป็นเวลา สมมิตในแต่ละนาทีของคนเรา เดินทางได้ 1 ปีแสง ก็ต้องใช้เวลาเดินทาง 15,000 ล้านปีแสง จึงจะไปถึงได้ อีกนัยหนึ่งคือ ดูจากชั่วอายุขัยของคนๆ หนึ่งแล้ว เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย แต่ว่า จะไปยังแดนสุขาวดีประจิม ต่อให้โลกทั้งโลกตั้งแต่เริ่มเกิดจนแตกดับ ใช้เวลาในการเดินทางยาวนานขนาดนั้น ก็ยังไปไม่ถึงอยู่ดี ดึงนั้น ต้องอาศัยพลังจิตอธิษฐาน บวกกับอมิตตาพุทธเจ้าประทานพร เพียงชั่วพริบตาเดียวก็สามารถไปถึงจุดหมายปลายทางได้

อาตมากราบนมัสการอมิตพุทธเจ้าขอให้ท่านประทานพร




หน้า 42-43






ประทานสติปัญญาแก่อาตมาเพื่อการหลุดพ้นจากสังสารวัฏ อมิตพุทธเจ้าแย้มพระโอษฐ์ตรัสว่า " พระโพธิสัตว์กวนอิม นำพาเจ้ามาถึงที่นี่ เพื่อทัศนาจรยังสถานที่ต่างๆ เจ้าก็ไปเถอะ แต่หลังจากนี้เจ้าต้องกลับสู่โลกมนุษย์ "

ขณะนั้น อาตมารู้สึกติดตรึงกับความสวยงามน่าอภิรมย์ของแดนสุขาวดีประจิม รู้สึกว่าโลกมนุษย์มีแต่ความทุกขเวทนา ไม่คิดอยากกลับไปยังโลกมนุษย์อีกแล้ว ดังนั้นอาตมาจึงวิงวอนว่า "แดนสุขาวดีประเสริฐยิ่ง ข้าพุทธเจ้าไม่คิดหวนกลับไปอีกแล้ว ขออมิตพุทธเจ้าโปรดแผ่เมตตากรุณา รับข้าพระพุทธเจ้าไว้ด้วยเถิด "

อมิตพุทธเจ้าตรัสว่า "ไม่ได้หรอก ไม่ใช่ข้าจะไม่รับเจ้าหรือเจตนาขับไล่ไสส่งเจ้า หากเป็นด้วยว่า 2 กัลป์ก่อนเจ้าได้ไปเกิดยังสุคติภพแล้ว และ ด้วยเหตุที่เจ้าได้ตั้งปณิธานไว้เองว่า จะกลับไปจุติยังโลกมนุษย์เพื่อดับทุกข์เข็ญแก่เวไนยสัตว์ ฉะนั้นปัจจุบัน เจ้ายังจำเป็นต้องกลับไป เพื่อทำตามปณิธานที่ตั้งไว้ให้บรรลุเสียก่อน จงนำสภาพที่ได้พบเห็นในแดนสุขาวดีไปบอกกล่าวถ่ายทอดให้มนุษย์โลกได้รับรู้ สั่งสอนสอนพวกเขาให้รู้เรื่องบาปบุญคุณโทษ"

อมิตพุทธเจ้ายังประธานปริศนาธรรมอีกว่า "เจ้าได้ไปเกิดเมื่อสองกัลป์ก่อน เพราะเจ้าตั้งปณิธานโปรดเวไนยสัตว์ บิดามารดารวมทั้งญาติโกโหติกาในชาติต่างๆ ปฏิญาณ จะ ช่วยพวกเขาไปยังบัวเก้าชั้น"

ครั้นอมิตพุทธเจ้า ประทานปริศนาธรรมจบ อาตมารู้สึกว่าทั้งตัวสั่นสะท้านขึ้นคราหนึ่ง ระลึกถึงสภาพที่ไปเกิดยังสุคติภพเมื่อ 2 กัลป์ก่อนโน้น ภาพเหล่านั้นปรากฎออกมาภาพแล้วภาพเล่า แจ่มแจ๋วเหมือนติดอยู่กับตา

อมิตพุทธเจ้าตรัส กับ พระโพธิสัตว์กวนอิมว่า "ท่านนำเขาไปเที่ยวชมยังสถานที่ต่างๆ เถิด " อาตมา ก้มลงกราบแทบเท้า อมิตพุทธเจ้า 3 ที จากนั้นก็ออกจากประตูใหญ่ของเวทีแสดงธรรม

ยามนั้นอาตมา อาตมาเห็นประตูใหญ่ทุกบาน ระเบียง ขอบสระ รั้วลูกกรง ภูเขา พื้นดิน ล้วนประกอบด้วยรัตนะ 7 มีแสงในตัวทั้งสิ้น เหมือนกับไฟฟ้าหลอดไฟฟ้านีออนยังไงยังงั้น ที่แปลกประหลาดก็คือ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่ดูคล้ายมีรูปร่างเหล่านั้น ล้วนแล้วแต่โปร่งใสไร้กีดขวาง สามารถเดินผ่านทะลุได้ บนประตูใหญ่มีอักษรสีทอง 4 ตัว สองข้างประตูมีกลอนคู่ติดอยู่ อาตมาอ่านไม่ออก แต่จนบัดนี้ ยังจำได้ว่าตัวหนึ่งมีรูปร่างดังนี้คือ อีก 3 ตัวจำไม่ได้แล้ว พระโพธิสัตว์กวนอิมอธิบายว่า "อ่านออกเสียงเป็นภาษาจีนจะได้ความหมายว่า ต้าสงเป่าเตี้ยน (รัตนบัลลังก์มหาชาตรี) จะหมายถึงพุทธแห่งอายุวัฒนะก็ได้"


มหาวิหารวิจิตรงดงามอร่ามเรืองหลังนั้น ใหญ่โตมโหฬารสุดจะเปรียบปาน มีคนหลายหมื่นคนอยู่ในมหาวิหารหลังนั้น ขณะเดียวกันก็เห็น พระโพธิสัตว์จำนวนมาก นั่งบ้างยืนบ้าง บ้างอยู่ภายในวิหาร บ้างอยู่นอกวิหาร พระธรรมกายแต่ละรูปล้วนสีทองโปร่งใส ความสูงของพระโพธิสัตว์ต่ำกว่าอมิตพุทธเจ้าเล็กน้อย ในบรรดาพระโพธิสัตว์ อาตมายังเห็นพระโพธิสัตว์ต้าซ่อจื้อ กับ พระโพธิสัตว์ฉางจงจิ้น เป็นต้นรวมอยู่ด้วย

พระโพธิสัตว์กวนอิมกล่าวว่า "เอาล่ะ อาตมาจะพาท่านไปเที่ยวชมดอกบัว 9ชั้น เริ่มจาก ชั้นล่าง ชั้นกลาง ไปจนถึงชั้นสูงสุด "

เดินไปตามทาง ปรากฎว่าร่างกายเราค่อยๆ หดเล็กทีละน้อย เห็นปรากฎการณ์ อันแปลกประหลาดนี้แล้วอาตมาก็เรียนถามพระโพธิสัตว์กวนอิมว่า " เหตุใดจึงมีสภาพเช่นนี้ ร่างกายคนเราไฉนหดเล็กลงได้"
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 5.0.375.99 Chrome 5.0.375.99


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #7 เมื่อ: 21 กรกฎาคม 2553 00:51:17 »

หน้า 44-45


พระโพธิสัตว์กวนอิมตอบว่า "เวไนยสัตว์แต่ละชั้นในแดนสุขาวดี เนื่องจากอาณาจักรต่างกัน ความเล็กใหญ่ต่ำสูงของร่างกายก็แตกต่างไปด้วย ขณะนี้เรากำลังเริ่มจากชั้นสูงสุด (ที่พำนักของอมิตพุทธเจ้า) ไปหาชั้นต่ำสุดในบัว 9 ชั้น บัวชั้นสูงจะสูงใหญ่กว่าบัวชั้นกลาง บัวชั้นกลางก็สูงใหญ่กว่าบัวชั้นล่าง ตอนนี้เราจะไปยังบัวชั้นล่าง ดังนั้นร่างกายจึงค่อยๆหดเล็กลงจนได้***ส่วนสัมพันธ์โดยตรงกับร่างกายของเวไนยสัตว์ในบัวชั้นล่าง อย่างเช่นโลกมนุษย์ร่างกายคนเราไม่เกิน 8 ฟุต แต่เมวดาในแดนสวรรค์กลับสูงใหญ่ถึง 30 กว่าฟุต นี่เรียกว่าประสานสอดคล้องกับภูมิภาพ"


บัวชั้นล่าง สถานที่เกิดโดยมีกรรมติดตัวของเวไนยสัตว์

เราเดินพลางสนทนาพลาง ชั่วครู่ก็มาถึงสระบัวของบัวชั้นล่าง กวาดตามองดูรอบๆเห็นพื้นดินราบเรียบดังฝ่ามือ ปูด้วยแผ่นทองคำ เปล่งประกายเหลืองอร่ามอำไพ อีกทั้งโปร่งใสด้วย และแล้วเบื้องหน้าเราก็ปรากฎจัตุรัสอันกว้างขวางเเห่งหนึ่ง บนจัตุรัสมีดรุณีอายุประมาณ 13-14 ปีจำนวนมาก ดรุณีเหล่านี้ ล้วนไว้แกละ 2 แกละบนศรีษะ ทัดดอกไม้สีม่วงบนแกละงามหรู ทุกคนแต่งกายด้วยอาภรณ์ชุดเขียวอ่อนๆ ใส่เอี๊ยมสีดอกท้อ เอวคาดสายรัดสีทอง แต่งกายเหมือนกันหมด รูปร่างหน้าตาก็เหมือนกันอย่างกับแกะจากพิมพ์เดียวกัน

ในสุคติภพก็มีสีกาด้วยแฮะ อาตมาพกความสงสัยเต็มกลั้นเรียนถามท่านโพธิสัตว์กวนอิมว่า
"ตามพุทธคัมภีร์กล่าวว่า ในแดนสุขาวดีหามีแบ่งหญิงบ่งชายไม่ เหตุใดที่นี่จึงมีเด็กผู้หญิงอยู่ด้วยล่ะครับ"

พระโพธิสัตว์กวนอิมตอบว่า "ใช่แล้ว ณ ที่นี้ไม่มีรูปลักษณ์หญิง ชายหรอก ท่านดูตัวท่านเองซิว่าตอนนี้เป็นอย่างไร"

อาตมาฟังคำรู้สึกเอะใจจึงหันมาสำรวจตัวเอง ค่อยพบว่าแท้จริงตัวเองได้กลายเป็นเด็กสาวอายุ 13-14 ปี แต่งกายและรูปร่างหน้าตาเหมือนพวกเขาทั้งหมดไปเสียแล้วอาตมาตะลึงลานถามขึ้นว่า "เหตุใดจึงจึงเป็นเช่นนี้ได้"

พระโพธิสัตว์กวนอิมตอบว่า "ที่นี่มีพระโพธิสัตว์รูปหนึ่งคอยบงการความเป็นไป จะแปลงเป็นชายก็เป็นชายทั้งหมด จะให้แปลงเป็นหญิงก็เป็นหญิงทั้งหมด ความจริงไม่ว่าจะแปลงเป็นหญิงหรือชายก็ไม่มีอะไรแตกต่างกัน เพราะว่าการเปลี่ยนแปลงร่างเกิดในดอกบัวนั้น หามีเรือนกายที่เป็นเลือดเนื้อไม่ เรือนกายจะเป็นแก้วผลึกสีขาว โปร่งใสเหมือนแท่งแก้ว แต่มีรูปเป็นคนเท่านั้น ดังนั้นจริงๆแล้วหามีแบ่งหญิงแบ่งชายไม่"

อาตมาลองสำรวจดูร่างกายตัวเอง ก็พบว่าเป็นดังที่พระโพธิสัตว์กวนอิมกล่าวจริงๆ ไม่เห็นผิวหนัง เนื้อ เล็บ กระดูก เลือด เป็นเพียงเรื่อนร่างที่มีสีขาวโปร่งใสดังแก้วผลึกเท่านั้น

คนที่ไปเกิดในบัวชั้นล่าง ล้วนแล้วแต่พกกรรมเก่าติดตัวไปเกิดทั้งสิ้น มาถึงที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย หลังจากเปลี่ยนร่างเกิดในดอกบัวแล้ว ก็จะกลายเป็นเด็กอายุ 13-14 ปีทั้งหมด กลับเฒ่าเป็นทารกกลายเป็นคนหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา น่ารักน่าเอ็นดู ดูภายนอกเหมือนมีหญิงและชาย แต่โดยความเป็นจริงหามีแบ่งหญิงและชายไม่



หน้า 46-47


อาตมายังไม่หายสงสัย เรียนถามพระโพธิสัตว์กวนอิมต่อไปว่า "เหตุใดเวไนยสัตว์ที่มาเกิดที่นี่จึงเปลี่ยนรูเป็นพิมพ์เดียวกันหมดและอายุเท่ากันหมดล่ะครับ" ท่านตอบว่า "ทั้งนี้เพราะว่า พุทธภาพนั้นเสมอภาคกัน พุทธานุภาพของอมิตพุทธเจ้าชักนำพวกเขามาเลี่ยนร่างเกิดในดอกบัวทุกคนจะได้รับการปฏิบัติเหมือนกันหมด ไม่ว่าพวกเขาขณะอยู่สัพพะโลกจะเป็นพ่อเฒ่า แม่เฒ่า วัยกลางคน วัยฉกรรจ์ก็ตาม แต่หลังจากเปลี่ยนร่างเกิดในดอกบัวแล้ว จะออกมาเป็นคนอายุ 10 กว่าปีทั้งหมด ก็ทำนองเดียวกับทารกแรกเกิดในแดนมนุษย์นั่นเอง ขนาดใหญ่น้อยของร่างกายจะแตกต่างกันไม่มาก"

ที่บัวชั้นล่าง ภายหลังเปลี่ยนร่างเกิดในดอกบัวแล้ว ก็ใช้ชีวิดอยู่ในเหลียนหัว (ปุณฑริก) วันหนึ่งแบ่งออกเป็น 6 ชั่วโมง ชั่วโมงหนึ่งจะเป็นชั่วโมงประชุมศึกษาคัมภีร์ ครั้นถึงเวลาศึกษาคัมภีร์ ระฆังพอดัง คนที่อยู่ในสระบัวหรือพำนักอยู่ในห้องหอ ก็จะกลายเป็นเด็กผู้หญิงทั้งหมดหรือเด็กผู้ชายทั้งหมด พวกเขาจะมีรูปร่างหน้าตาและการแต่งกายเหมือนกันหมดโดยการควบคุมของพุทธานุภาพหรือพระโพธิสัตว์ พุทธานุภาพต้องการให้แปลงเป็นชายก็เป็นชาย ต้องการให้แปลงเป็นหญิงก็เป็นปญิง การแต่งการก็เช่นกัน จะให้แดงก็แดง จะให้เขียวก็เขียว จะให้เหลืองก็เหลือง

เวไนยสัตว์ในบัวชั้นล่าง กลางวันจะออกจากดอกบัว ออกมาวิ่งเล่น บ้างร้องเพลง บ้างร่ายรำ บ้างบำเพ็ญภาวนา บ้างสวดพุทธยะ บ้างสวดมนต์ บ้างทำการเล่น หรือกิจกรรมอื่น ๆ ถึงเวลาพัก ต่างคนก็ต่างกลับไปยังดอกบัวของตน สรุปแล้วก็คือ ตอนกลางวันบัวคลี่ กลางคืนบัวหุบ ขณะพักผ่อนอยู่ในดอกบัว บางคนจะนั่งสวดมนต์ภาวนา บางคนก็มีความฝันอันบรรเจิดต่าง ๆ นานา (เนื่องจากพกกรรมเก่าติดตัวไปเกิดในสุคติภพ จึงหนีไม่พ้นที่จะมีภาพสะท้อนของกิเลสมาร)

พระโพธิสัตว์กวนอิมกล่าวกับอาตมาว่า "เอาล่ะ ทีนี้อาตมาจะพาท่านไปเที่ยวชมจัตตุรัสดอกบัว" ไปถึงบริเวณจัตตุรัสดอกบัว ชั้นแรกเราเห็นดรุณี 10 ถึง 20 คน แต่ต่อจากนั้นก็เห็นเพิ่มขึ้นเป็นลำดับอย่างรวดเร็วเป็นร้อยเท่าพันทวีไม่ต่ำกว่าหลายหมื่นคน ชั่วพริบตาเดียว ทั้งจัตตุรัสก็เนืองแน่นไปด้วยเด็กผู้หญิงรูปร่างหน้าตาและการแต่งกายเป็นพิมพ์เดียวกันหมด พวกเธอมาชุมนุมกนเพื่อให้เราชมดู กล่าวสำหรับพวกเธอแล้ว เป็นเรื่องง่ายดายดังพลิกฝ่ามือ ชั่วประเดี๋ยวเดียวก็รวมคนนับหมื่นคน ไม่เหมือนโลกมนุษย์เรา จะรวบรวมคนหลายพันหลายหมื่นคนได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ จำต้องใช้เวลามากมายไปตระเตรียมจึงสำเร็จได้ ชั่วครู่ เราก็มาถึงสระบัว เห็นน้ำในสระพิเศษพิสดารมากเหมือนก๊าซ ต่างกับน้ำในสัพพะโลกของเราที่เป็นของเหลว

พระโพธิสัตว์กวนอิมกล่าวกับอาตมาว่า "ท่านลงไปอาบน้ำหน่อยซี" อาตมากล่าวว่า "เดี๋ยวเสื้อผ้าเปียกหมดจะทำอย่างไร" "ไม่เปียกหรอก ไม่ใช่สระน้ำในสัพพะโลกนี่นา ลงไถึงได้ทำให้เสื้อผ้าเปียก" ท่านตอบอาตมาปฏิบัติตามงก ๆ เงิ่น ๆ ลงไปอาบน้ำในสระจริงด้วยเสื้อผ้าไม่เปียก สักนิด ที่ประหลาดยิ่งกว่าก็คือ ความจริงอาตมาว่ายน้ำไม่เป็น กลัวจมลงใต้น้ำ แต่ที่ไหนได้ อาบน้ำในสระบัว กลับบังคับได้ตามอำเภอใจ จะลอยตัวก็ลอยตัว จะลดตัวก็ลดตัว นึกจะไปซ้ายก็ซ้าย นึกจะไปขวาก็ขวา คือสามารถควบคุมด้วยจิตของเราเองโดยสิ้นเชิง อาตมาว่ายเล่นอยู่ในสระรอบแล้วรอบเล่า รู้สึกสนุกอย่าบอกใครเชียว ด้วยความอยากรู้อยากเห็น อาตมาลองควักน้ำในสระดื่มลงคออีกหนึ่ง ปรากฏว่าหวานเย็นชุ่มฉ่ำ ดังนั้น อาตมาจึงดื่มไปหลายอึกอย่างกระหาย ยิ่งดื่มจิตใจก็ยิ่งกระชุ่มกระชวย ตัวเบาโหวง
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 5.0.375.99 Chrome 5.0.375.99


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #8 เมื่อ: 21 กรกฎาคม 2553 00:51:41 »

หน้า 48-49

เหวงเหมือจะเหาะขึ้นมาได้ อาตมาลองคลำดูเสื้อผ้าบนกาย ปรากฏว่าไม่เปียกน้ำแม้แต่หยดเดียว ครั้นอาตมาว่ายไปยังใจกลางสระบัว ก็เห็นดอกบัวสวยงามมากมายกำลังคลี่กลีบดอกบานสะพรั่งงามวิจิตรเพริดแพร้ว มีคนนั่งขัดสมาธิสวดมนต์ภาวนาอยู่บนดอกบัว ก็เห็นบางดอกกำลังเ**่ยวเฉาโรยรา บางดอกหักสะบั้น กระทั่งเฉาตายไปแล้วก็มี น้ำในสระบัวคือ น้ำในสระบัวก็คือน้ำ “อัฐกุศล” ที่กล่าวถึงใน สักวาเวติเวยูฮาสูตร นั่นเอง
ภาพสะท้อนกิเลสมารของผู้ไปเกิดในบัวชั้นล่าง



ผู้ไปเกิดยังระดับล่างของบัวชั้นล่าง ก็คือ เวไนยสัตว์ในสัพพะโลกของเรานี่เสาะแสวงใคร่ได้เกิดในวิสุทธิภูมิ โดยการสวดมนต์ภาวนาแล้วพกกรรมติดตัว ไปเกิดยังสุขคติภพนั่นเอง

“ พกกรรมติดตัวไปเกิด ” นั้นหมายความว่าอย่างไร

หมายความว่า
เวไนยสัตว์เหล่านี้ ขณะอยู่ในสัพพะโลก เคยประกอบกรรมชั่วต่างๆ นานา เป็นต้นว่า ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ลักทรัพย์ หลอกลวง หมิ่นประมาท
ปรักปรำใส่ร้ายผู้อื่น ลิ้นสองแฉก ประพฤติผิดในกาม ๙ล๙ แต่ว่าในขณะก่อนที่เขาจะถึงแก่กรรม บังเอิญมีวาสนาได้พบพานผู้มีบุญกุศลสอนสวดมนต์ภาวนา สวดนามอมิตพุทธเจ้า ตั้งจิตตั้งใจไม่หันเห (ผู้ที่ทำได้ถึงขั้นตั้งจิตตั้งใจไม่หันเหนั้น ล้วนได้ปลูกฝังกุศลมูลไว้) บวกกับพรของอมิตพุทธเจ้า ชักนำเข้าไปสู่สุคติภพ แปลงร่างเกิดในบัวชั้นล่าง


แต่ทว่า ในบัว 9 ชั้น ถ้าจะบำเพ็ญศีลภาวนาจากบัวชั้นล่างสุดถึงบัวชั้นสูงสุด จะต้องใช้เวลานานถึง 12 กัลป์ กัลป์หนึ่งเท่ากับ 16 ล้าน 7 แสน 9 หมื่น 8 พันปี ดังนั้นคนที่จะไปเกิดในบัวชั้นล่างกว่าจะบำเพ็ญศีลให้ตัวเองขึ้นถึงบัวชั้นสูงสุดนั้นต้องใช้เวลา 201 ล้าน 5 แสน 7หมื่น 6 พันปี จึงจะสำเร็จเป็นพุทธได้ แต่ถ้าเขามีการตัดสินใจแน่วแน่ในสัพพะโลก ยืนหยัดวัตรปฏิบัติ บำเพ็ญศีลภาวนาอย่างคร่ำเคร่งมานะบากบั่นแล้ว ก็อาจใช้เวลา 3 ปีหรือ 5 ปี ก็จะได้ไปเกิดยังบัวชั้นกลางหรือบัวชั้นสูงได้ หรือ อาจจะสำเร็จมรรคผลในชั่วอายุขัยนี้ก็เป็นได้ ฉะนั้นเราต้องถนอมรัก “สังขารมนุษย์ที่ได้มาโดยยาก” นี้ ยืนหยัดในวัตรปฏิบัติ บำเพ็ญศีลภาวนาอย่างมุมานะ อาจประสบความสำเร็จ ได้ไปเกิดยังบัวชั้นสูง พอดอกบานก็ได้เห็นพระพุทธเจ้า ดังเช่นตัวอย่างพระธรรมาจารย์ยิ่งกวงกับพระธรรมมาจารย์หงอี ก็เป็นตัวอย่างอันมีชีวิตชีวา ประเด็นนี้จะได้กล่าวถึงในโอกาสต่อไป

แต่จะว่าไปแล้ว เวไนยสัตว์ในสัพพะโลกของเรา ก็มีทุกขเวทนาสารพัดที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงอันได้แก่การ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ได้ในสิ่งที่หวัง โกรธทุกข์ หลงทุกข์ ขันธ์ 5 เปี่ยมทุกข์ แต่ในสุขคติภพแม้จะเกิดในระดับล่างของบัวชั้นล่าง ก็ไม่มีทุกข์ดังกล่าวข้างต้น แม้ว่าเวไนยในระดับล่างของบัวชั้นล่างจะต้องใช้เวลานานถึง 12 กัลป์ไปบำเพ็ญก็ตาม แต่มีหลักประกันจะเลื่อนขึ้นทีละชั้น จนกระทั่งดอกบานเห็นพระพุทธเจ้าได้ ระหว่างทางจะไม่หวนกลับคืนสู่ไตรวัฏ(กิเลสวัฏ กรรมวัฏ วิบากวัฏ) และจตุรภพ (กามภพ รูปภพ อรูปภพ) อย่างเด็ดขาด และ กระบวนการทั้งหมดในการบำเพ็ญนั้น ก็อยู่ในสภาวะ “สุขารมณ์” ตั้งแต่ต้นจนจบ

ดอกบัวในบัวชั้นล่าง ต่างกับดอกบัวในโลกมนุษย์เรา ดอกใหญ่ขนาด 1 ถึง 3 กิโลเมตร สูงขนาดตึก 3-4 ชั้น ดอกบัวทุกดอกล้วน

หน้า 50-51


มีแสงในตัว คนที่เกิดในนี้ ถ้าว่าอยู่ในดอกบัวเกิดความคิดฝันเฟื่อง ต่างๆ สีสันของดอกบัวจะซีดจางไร้ประกาย ตรงกันข้ามถ้าไม่มีความคิดฝันเฟื่อง จิตบริสุทธิ์ว่างเปล่า ดอกบัวจะเปล่งประกายเจิดจ้าเสียดแทงนัยน์ตา

ต่อไปนี้คือตัวอย่างเป็นๆ สองตัวอย่าง ที่เห็นมา

พระโพธิสัตว์กวนอิมกล่าวว่า “ชาติต่างๆ ของเวไนยสัตว์ ได้ประกอบกรรมที่แตกต่างกันนานาประการ ดังนั้นคนที่พกกรรมติดตัวไปยังสุคติภพ นั้น ภาพสะท้อนกิเลสมารก็แตกต่างกัน ผู้ที่เกิดในระดับล่างของบัวชั้นล่าง กิเลสมารค่อนข้างหนา แน่ล่ะก็มีหนักเบาต่างกัน ดังนั้นในบัวชั้นล่างก็ยังแบ่งออกเป็นระดับล่าง ระดับกลาง ระดับสูง คนส่วนใหญ่จะยังไม่อาจลืมความรัก ความอาลัยในโลกมนุษย์ เป็นต้นว่าอาลัยรักในพ่อแม่ พี่น้อง ญาติมิตร ตลอดจนมีความใคร่ ความปรารถนา ในวัตถุโภคทรัพย์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะสะท้อนภาพออกมาเป็นฉากๆ เปรียบดังมนุษย์ในโลก นอนหลับฝันฉันใดก็ฉันนั้น เอาละอาตมาจะพาเจ้าไปดูของจริงจาก ภาพ สะท้อนของกิเลสมาร


เราเดินเลี้ยวโค้งหลายโค้ง ในที่สุดก็มาเห็นดอกบัวดอกหนึ่งซึ่งมี สีซีดจางไร้ประกาย ครั้นเราก้าวเท้าเข้าไปดู ก็พบคฤหาสน์หลังใหญ่โอ่อ่าโอฬารราวกับปราสาทราชวัง สวนบุปผชาติสวยงามยิ่ง ศิลปวัตถุเพชรนิลจินดาในคฤหาสน์ล้วนมีค่าควรเมืองทั้งสิ้น การประดับตกแต่งล้วนแล้วแต่สวยงาม มีรสนิยมสูง ไม่ต่างกับคฤหาสน์ของอัครเสนาบดีในแดนมนุษย์ ผู้คนในคฤหาสน์มีทั้งหญิงและชาย รวมหลายสิบคน การแต่งกายเหมือนคนในโลกมนุษย์ หรูหรางดงาม เห็นคน เข้าๆ ออกๆ คึกคักมาก ดูลักษณะคล้าย กำลัง มีงานศุภมงคลอะไรซักอย่าง อาตมาถามพระโพธิสัตว์กวนอิมว่า ” เหตุใดในสุคติภพยังมีวิถี ชีวิตแบบเดียวกับครอบครัวในโลกมนุษย์ด้วยล่ะครับ

ท่านตอบว่า “คนผู้นี้ถึงแม้ว่าก่อนตายจะเป็นคนพิสุทธิ์ผุดผ่อง พกกรรมติดตัวไปเกิดยังสุคติภพ แต่ว่า ยังมีกิเลสหนา ตัดขาดโลกีย์วิสัยไม่ได้ คนหลายสิบคนที่เราเห็นล้วนเป็นญาติสนิทสมัยที่เขายังมีชีวิตอยู่ เช่น พ่อแม่ ลูกเมีย คนรัก พี่ชายน้องชาย พี่สาวน้องสาว สะใภ้ ญาติโกโหติกาทั้งหลาย ยังมีความรักความอาลัย ยากจะแยกจากกันได้ ฉะนั้นทุกครั้งที่เขากลับมาพักผ่อนยังดอกบัว ก็มักจะคิดถึงคนึงหา ถึง บุคคลและสรรพสิ่งเหล่านี้ พอฝันเฟื่องว่าอยากจะอยู่ด้วย พวกเขาก็จะปรากฎออกมา เพราะว่าแดนสุขาวดี นั้น มีแต่สุข ไม่มี ทุกข์ พอคิดถึงพ่อแม่ พ่อแม่ก็ปรากฏ คิดถึงลูกเมีย ลูกเมียก็มาปรากฏ คิดถึงคฤหาสน์ คฤหาสน์ก็มาปรากฏ คิดถึงอาหารเลิศรสก็มาปรากฏ ภาพที่ปรากฏออกมา ก็ดุจเดียวกับภาพความฝันในสัพพะโลกนั่นเอง ในฝันจะรู้สึกเหมือนอยู่กับของจริง ครั้นตื่นขึ้นมาก็เหลือแต่ความว่างเปล่า นั่นคือ ภาพสะท้อนของกิเลสมารนั่นเอง มันเป็นเพียงภาพลวงตาอย่างหนึ่ง ญาติโยมที่อยู่ในแดนมนุษย์หาได้มีส่วนรู้เห็นไม่


ปิยวาจาของพระโพธิสัตว์กวนอิม เป็นอุทาหรณ์พึงสังวรความจริง ชีวิตในโลกมนุษย์มีเรื่องใดบ้างที่มิใช่ความฝัน เมื่อใดวิญญาณออกจากร่าง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านเคยเป็นเจ้าของอยู่ ก็ไม่มีปัญญาพกติดตัวไปได้ ไม่ได้เป็นของท่านอีกต่อไปแล้ว ก็เหมือนดังความฝันที่ผันเปลี่ยนไปมา ในที่สุดยังคงเป็นความว่างเปล่า

พระโพธิสัตว์กวนอิมยังอธิบายต่อไปอีกว่า “ ว่าที่จริงคนที่พกกรรมติดตัวมาเกิดในนี้ ความคิดฝันเฟื่องของพวกเขามีมากกว่าความใคร่ ความปรารถนาของมนุษย์ในโลกเสียอีก เพราะว่าสัพพะโลก

บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 5.0.375.99 Chrome 5.0.375.99


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #9 เมื่อ: 21 กรกฎาคม 2553 00:52:03 »

หน้า 52-53


นั้นเป็นวัตถุ มีสิ่งกีดขวางมากมาย (วัตถุเหมือนกั้นด้วยแผ่นกระดาษมองไม่เห็นตัววัตถุเองจะรุเก่ารับใหม่ เวียนว่ายตายเกิดตลอดเวลา) ฉะนั้นมีของมากมายที่มักต้องเจอกับ “ ทุกข์ที่อยากจะได้แต่ไม่ได้ ” แต่ในสุคติภพต่างกัน เพราะไม่ใช่วัตถุ เพียงแต่ท่านนึกถึงมัน (ฝันเฟื่อง) อยากได้สิ่งใด สิ่งนั้นก็จะมาปรากฏอยู่ต่อหน้า ให้ท่านได้ส้องเสพได้อย่างเต็มที่ สุคติภพมีลักษณะเป็นศูนยภาพ เป็นภพที่เปี่ยมด้วยธรรมะ ส่วนวิมานแมนมีลักษณะเทวภาพ ถึงแม้ว่าจะมีเบญจพลก็ตาม บางครั้งก็ยังมีปรากฏการณ์ที่ไม่ได้ในสิ่งที่อยากจะได้เช่นกันส่วนโลกมนุษย์นั้นมีลักษณะวัตถุ มีสิ่งกีดขวางชั้นแล้วชั้นเล่า สิ่งที่อยากจะได้จึงยากยิ่งจะเป็นจริง ”

อาตมาเรียนถามท่านโพธิสัตว์กวนอิมต่อไปว่า “ภาพฝันเฟื่อง” มีข้อแตกต่างกับภาพจริงของพิสุทธิภูมิยูไลหรือไม่

ท่านตอบว่า “ภาพจริง นั้นเป็นนิจนิรันดร์ เที่ยงแท้แน่นอน ไม่ดับไม่สูญ จะเปล่งสัพรังสีตลอดกาล แต่ ภาพฝันเฟื่อง นั้นเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงแท้แน่นอน ไม่สามารถเปล่งรังสีใดๆออกมาทั้งสิ้น ฉะนั้น ครั้นเมื่อตื่นจากภวังค์ความฝันเฟื่องแล้ว ก็จะเหลือแต่ความว่างเปล่า ก็เหมือนที่คนเรานอนหลับฝันไปฉันใดฉันนั้น ตัวบุคคล ภูเขาลำเนาไพร คฤหาสน์ตลอดจนตึกรามบ้านช่องที่เราเห็นในฝันนั้น ครั้นเมื่อตื่นขึ้นแล้ว ก็ไม่คงอยู่อีกต่อไป เวไนยสัตว์ในสัพพะโลก ไม่เสียดายที่จะทุ่มเททั้งชีวิตจิตใจไปชิงดีชิงเด่น ชิงผลประโยขน์ลาภยศ สู้กันจนตายไปข้างหนึ่ง แต่ว่าถึงที่สุดแล้ว ตายไปก็นำอะไรติดตัวไปไม่ได้แม้แต่ชิ้นเดียว วิญญาณตกสู่วัฏฏสงสารของ 6 ภูมิ เวียนว่ายตายเกิดตามกฎแห่งกรรม ถูกกรรมตามสนองทนทุกข์เวทนาสารพัด ฉะนั้นจะหลุดพ้นห้วงทุกข์ ก็จะต้องรีบละเลิกจากความลุ่มหลงมัวเมา หันหลังกลับก็คือปารคู ”

เจ้าของคฤหาสน์ที่เห็นเมื่อครู่ ได้พกกรรมติดตัวไปเกิดยังสุคติภพตามที่ท่านโพธิสัตว์เล่าให้ฟัง เขาเป็นคนบ้านเดียวกับอาตมา (อำเภอผูเถียน มณฑลฝูเจี้ยน) สามารถส่งภาษากันรู้เรื่อง ท่านแนะให้อาตมาลองเข้าไปดูในคฤหาสน์
เราก้าวเข้าไปในคฤหาสน์โอ่อ่าหลังนั้น เห็นภายในกำลังตั้งโต๊ะกินเลี้ยงกันอย่างขนานใหญ่ บนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยอาหารที่ทำจากของทะเลและของป่าที่หายาก มีคนอยู่ 60-70 คน กำลังดื่มกินกันอย่างไม่อั้น ดูยิ่งใหญ่ฟู่ฟ่ามาก มีชายชราคนหนึ่งอายุประมาณ 70 ปี ดูท่าทางภูมิฐานเหมือนคนร่ำรวยในโลกมนุษย์ คงจะเป็นเจ้าภาพจัดงาน

ครั้นเห็นพวกเราเข้ามา ก็เข้าทักทายต้อนรับด้วยมารยาทอันงาม
“พวกท่านมาแต่ไหนครับ” เขาถาม
อาตมาตอบด้วยภาษาจีนสำเนียงฝูเจี้ยนว่า “อาตมามาจากผูเถียนมณฑลฝูเจี้ยน เป็นคนบ้านเดียวกันกับท่านครับ”
เมื่อเขาได้ยินว่า “คนบ้านเดียวกัน” รู้สึกตื่นเต้นดีใจมากผงกศรีษะกล่าวว่า “โอ ประเสริฐ ประเสริฐ” พร้อมกับเชื้อเชิญพวกเราร่วมโต๊ะกินเลี้ยงด้วยกัน
อาตมาถือโอกาสถามไปว่า “ท่านจัดงานเลี้ยงใหญ่โต มีงานมงคลอะไรหรือครับ”
เขายิ้มกลับย้อนถามว่า “แล้วท่านล่ะมาถึงที่นี่ได้อย่างไร”
อาตมาชี้มือไปยังพระภิกษุหยวนกวนซึ่งยืนอยู่นอกประตูว่า “ท่านโพธิสัตว์กวนอิมท่านพาอาตมามาที่นี่ เพื่อทัศนาจรครับ”
วาจาพอกล่าวออกไป ภาพต่างๆที่เคยมีอยู่พลันเกิดการเปลี่ยนแปลง ชายชราผู้นั้นพอได้ยินชื่อพระโพธิสัตว์กวนอิมเท่านั้น ร่างกายพลันสั่นสะท้านคราหนึ่ง สีหน้าปรากฏแววละอายใจ ทันใด คฤหาสน์หลังงาม ผู้คน 6-70 คนรวมทั้งงานเลี้ยงทั้งหมดพลันอันตรธานในชั่วพริบตา คนชราก็คืนสู่วัย 13-14 ปี นั่งขัดสมาธิอยู่บนดอกบัว ทั่ว

หน้า 54-55


สารพางค์กายเป็นแก้วผลึกสีขาวโปร่งใส สวยงามมาก การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของสภาพเบื้องหน้าก็เป็นดังที่พระโพธิสัตว์กวนอิมกล่าวไว้เมื่อครู่ ภาพเหล่านั้นเกิดจากความฝันเฟื่องเมื่อความคิดฝันเฟื่องดับ ภาพก็ดับไปด้วย

ที่แท้คนผู้นี้ขณะมีชีวิตอยู่ในสัพพะโลกเป็นพ่อค้าร่ำรวยคนหนึ่ง ความฝันเฟื่องต่างๆนานาสมัยยังมีชีวิตอยู่ ความเคยชินที่ใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยหรูหรายังติดตัวยากจะตัดไปในทันใด จึงชอบจัดงานเชิญแขกกินเลี้ยง ความเคยชินนี้มักจะปรากฏออกมาเป็นครั้งคราว จึงกลายเป็นภาพที่เราเห็นอยู่เมื่อครู่นี้

หลังจากนั้นเขาก็แนะนำตัวเองว่า “ผมเป็นคนหมู่บ้านตอโถวตำบลหานเจียง อำเภอผูเถียน มณฑลฝูเจี้ยน ชื่อหลินเต้าอี ครอบครัวร่ำรวย เป็นตระกูลเชื้อสายผู้ดีในหมู่บ้านตอโถว ก่อนตายได้ผู้มีกุศลญาณชี้แนะ จึงได้ไปเกิดในสุคติภพ แต่เป็นที่หน้าละอายใจยิ่ง ความฝันเฟื่องจากกิเลสมารมีมากเหลือเกิน ขจัดไม่ได้เสียที ยังลุ่มหลงอาลัยอาวรณ์ต่อสิ่งเก่าๆจึงมักคิดฟุ้งซ่าน ทำให้เกิดภาพลวงต่างๆนานา ท่านโพธิสัตว์กวนอิมเคยขานชื่อชี้แนะทางสว่างแก่ผม 2 ครั้ง ให้ผมแก้ไขแต่โรคเก่าผมยังคงกำเริบอยู่เรื่อย แก้ไม่ตกซักที”


ก่อนจาก เขายังฝากอาตมาส่งข่าวคราวถึงลูกชายเขา เขามีลูกชายคนหนึ่งอยู่สิงคโปร์ชื่ออาว่าง บอกว่าถ้าอาตมากลับถึงโลกมนุษย์แล้ว มีโอกาสให้ช่วยบอกลูกเขาว่า คุณพ่อได้ไปบังเกิดยังวิสุทธิภูมิประจิมแล้ว

พระโพธิสัตว์กวนอิมแนะให้คนที่พกกรรมติตัวมาเกิดเหล่านั้น จงหมั่นลงไปอาบ “น้ำอัฐกุศล” ในสระบัว เพื่อชำระล้างกิเลสในใจทำให้จิตกลับสู่ภาวะบริสุทธิ์

อาตมากับพระโพธิสัตว์กวนอิมได้เดินทางมาถึงเขาผาชันแห่งหนึ่ง ยามนั้น อาตมาก็เห็นภาพพิสดารอีกภาพหนึ่ง เห็นหญิงสาวอายุประมาณ 20 ปีนางหนึ่ง เธอสวมใส่ชุดำแบบเดียวกับที่สวมใส่กันในโลกมนุษย์ กำลังนั่งร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจอยู่ใต้ผาสูง อาตมารู้สึกประหลาดใจมาก เพราะว่าที่สุคติภพนั้นไม่มีทุกข์ เหตุใดจึงยังมีคนโสกาอาดูรสาหัสสากรรจ์ถึงเพียงนั้น

ท่านโพธิสัตว์กวนอิมคล้ายจะมองทะลุใจอาตมาว่ามีข้อกังขาจึงให้อาตมาเข้าไปสอบถามเธอดู เดี๋ยวก็รู้ความนัย ดังนั้นอาตมาจึงเดินเข้าไปหาเธอ พนมมือคารวะพร้อมถามว่า “โพธิสัตว์สีกา เศร้าเสียใจด้วยเหตุอันใดหรือ ถึงได้มาร้องไห้อยู่ที่นี่”
เธอเงยหน้าขึ้นมอง ไม่เพียงแต่ไม่ร้องไห้แล้ว กลับเผยอยิ้มกล่าวกับอาตมาว่า “ฉันควบคุมใจตัวเองไม่ได้ ฝันเฟื่องตระหนกไป” กล่าวจบเธอก็กลับไปยังสระบัวนั่งขัดสมาธิบนดอกบัว กลายเป็นหญิงสาวอายุ 13-14 ปี ทั่วสรรพางค์กายเป็นแก้วผลึกโปร่งใส หน้าผาสูงชันก็อันตรธานหายไป


เธอเอื้อนเอ่ยวาจาแนะนำตัวเองว่า “ฉันเป็นคนอำเภอซุ่นชังมณฑลฝูเจี้ยน ชื่อ... ปีนี้อายุ 21 ปี เป็นสีกาถือพุทธ ปี 2503 ฉันตัดสินใจสละเพศฆราวาส เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ แต่ถูกคนขัดขวางนานัปการไม่ยอมให้ฉันบวชท่าเดียว จนในที่สุดบีบคั้นจนฉันต้องกระโดหน้าผาฆ่าตัวตาย ความจริงเป็นการตายที่จัดจำพวก 1 ใน 10 บาป ไม่สามารถผุดเกิดได้ แต่ว่าท่านโพธิสัตว์กวนอิมท่านเมตตามหาการุณย์ เห็นแก่ทมี่ฉันมีความจริงใจบริสุทธิ์ใจ จึงได้ชักนำฉันไปเกิดยังวิสุทธิภูมิ ด้วยเหตุที่ฉันเพิ่งมาเกิดได้ไม่นาน กิเลสมารยังตัดไม่ขาดดังนั้นจึงมักควบคุมตัวเองไม่ได้ ฝันเฟื่องตระหนกเป็นครั้งคราว สะท้อนภาพกิเลสมารออกมา ปรากฏการณ์ดังกล่าว ก็เหมือนคนนอนหลับฝันร้ายในโลกมนุษย์ มักมีภาวะตกใจกลัวเกิดขึ้นในดวงจิต แม้ว่าจะได้รับธรรมเทศนาจากพระโพธิสัตว์กวนอิม แต่ก็ยังไม่สามารถขจัดได้”
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 5.0.375.99 Chrome 5.0.375.99


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #10 เมื่อ: 21 กรกฎาคม 2553 00:52:22 »

หน้า 56 - 57



อาตมาฟังวาจาแล้วก็ได้บอกเธอด้วยความห่วงใยว่า "นั่นไง ที่ยืนอยู่ข้างกาย อาตมา มิใช่พระโพธิสัตว์กวนอิมดอกหรือ"
เธอได้ฟังวาจารีบคุกเข่ากราบแทบเท้าพระโพธิสัตว์กวนอิม พระโพธิสัตว์กวนอิมกล่าวแด่เธอว่า "เจ้าจงลงไปในสระบัวใช้ น้ำอัฐกุศล ชำระกายก็จะค่อยๆ ชะล้างกิเลสมารเหล่านั้นออกไปได้"
ภายในสระบัว ดอกบัวแต่ละดอกก็บ่งบอกอาการต่างๆ บ้างเจริญ บ้างเสื่อมโทรม บ้างงอกงาม บ้างเ**่ยวเฉาอาตมาถามพระโพธิสัตว์กวนอิมว่า " เหตุใดจังมีปรากฏการเช่นนั้น"

ท่านตอบว่า " ดอกบัวงามบางดอกที่เ**่ยวเฉาโรยรา " ท่านดูดอกที่หักและเฉาตายไปแล้วนั้นคือนาย..... แห่งมลฑลเจียงซี ก่อนนั้นเขานับถือพุทธ สวดมนต์ไหว้พระ ต่อมาได้เป็นขุนน้ำขุนนางก็เลิกสวดมนต์ มิหนำซ้ำยังประกอบกรรมทำชั่ว ถูกรัฐบาลตัดสินประหารชีวิต ฉะนั้นดอกบัวจึงหักสะบั้น ยังมีอีกดอกที่เฉาตายไปแล้ว เป็นคนอำเภอหย่งไท่ เขาถือพุทธสวดมนต์ไหว้พระมาสามปี ดอกบัวบานสวยงามมาก ต่อมาอยากรวยหันไปทำการค้า ไม่สวดมนต์ไหว้พระอีกแล้ว เอาแต่กอบโกยโกงกิน หาทรัพย์ในทางมิชอบ แต่ในที่สุดประสบกับความล่มจมล้มละลาย หนี้สินล้นพ้นตัว หาทางออกไม่ได้เลยฆ่าตัวตาย ผู้ประกอบกรรมชั่วจะไม่ได้ไปเกิดยังสุคติภพ ฉะนั้นดอกบัวของเขาจึงเฉาตายในที่สุด

อาตมาถามพระโพธิสัตว์กวนอิมต่อไปว่า " พระธรรมจารย์ฉางเลี่ยงสมัยยังมีชีวิตอยู่เคยกล่าวกับอาตมาว่า สวดมนต์ 1 คำ จะลดบาปได้เท่ากับเม็ดทรายในแม่น้ำ คนผู้นั้นสวดมนต์ตั้ง 3 ปี เหตุใดจึงหาความชอบไม่ได้เลย "

ท่านตอบว่า " นั่นเขาหมายถึงคนที่ไม่รู้เรื่องพุทธธรรมมาก่อนเลย เคยทำชั่วมามาก แต่เมื่อได้คนมีกุศลญาณชี้แนะ จึงกลับตัวกลับใจเป็นคนดี สำนึกบาปว่าจะไม่ก่อกรรมทำชั่วอีกต่อไป ตัดสินใจแก้ไขความผิดที่เคยทำมาแต่อดีต ละบาปทำบุญ เริ่มสวดมนต์ภาวนาอย่างมุ่งมั่น สวด 1 คำ ก็สามารถล้างบาปที่ก่อไว้ไปได้เป็นอันมาก และเมื่อเขายืนหยัดสวดมนต์ไหว้พระต่อไปเรื่อยๆ ไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อเขาตายไปแล้วยังจะได้ไปเกิดในสุคติภพ แม้ว่าจะพกกรรมติดตัวไปเกิด แต่ก็จะไม่กลับตกสู่วัฏฏสงสารอีก และจะสามรถกลายเป็นพุทธในที่สุดได้ "

ท่านโพธิสัตว์หหยุดนิดหนึ่งแล้วกล่าวต่อไปว่า " แต่ว่าบางคนปากสวดมนต์ แต่ใจบาปหยาบช้าดังอสรพิษ ลอบทำร้ายคนลับหลัง อย่างที่เรียกว่ามือถือสากปากถือศีลนั่นแหละ คนประเภทนี้จัดอยู่ 1 ใน 10 บาป ไม่สามารถไปเกิดยัง วิสุทธิภูมิได้ ชั่วแต่ว่าได้สร้างกุศลมูลไว้บ้างเท่านั้น แต่กุศลมูลของผู้นั้นยังคงอยู่ ขอเพียงว่าสักวันหนึ่งเขาเกิดความสำนึกต่อบาป สวดมนต์ทำบุญประกอบกุศลกรรมอีก ดอกบัวของเขากอนั้นจะมีพลังชีวิตขึ้น มาใหม่และออกดอกบานอีกครั้งหนึ่งได้"

ตามที่พระโพธิสัตว์เปิดเผยให้ทราบ ผู้คนในโลก มนุษย์ ไม่ว่าจะ จน รวย ตระกูลสูง ดี ชั่ว ฉลาด โง่ เขลา ผู้หญิง ผู้ชาย คนแก่เด็ก บุคคลในวงการต่างๆ ขอเพียงมีจิต ศรัทธา สวดมนต์ไหว้พระ งดชั่ว ทำดี ปากกับใจ ตรงกัน ปฏิบัติจนเป็นนิจศีล กอบัวใน



หน้า 58 - 59


วิสุทธิภูมิก็จะเจริญงอกงาม ก่อนตายก็จะได้รับการชักนำจากอมิตพุทธเจ้า ไปสู่สุคติภพเปลี่ยนร่างเกิดในบัวชั้นต่างๆ ตามผลแห่งกรรม ถ้าหากเพียงแต่ถือพุทธสวดมนต์ เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็น เดี๋ยวตึงเดี๋ยวหย่อน ดอกบัวแม้จะออกดอก ก็ไม่อวบใหญ่สวยงาม ยิ่งทำความชั่วเข้าไปอีก ตายด้วยความตายจำพวก 1 ใน 10 บาปจนตกลงไปในวัฏฏสงสาร ของ 6 ภูมิอีก ก็จะไม่มีโอกาสไปเกิดยังแดนสุขาวดีแล้ว
กล่าวถึงตอนนี้ อาตมาพลันเห็นภิกษุรูปหนึ่งอายุประมาณ 30 เศษเดินตรงมาหาเรา อาตมาเห็นชัดอีกทีปรากฎว่าเป็นภิกษุณีฝาเปิ่น เจ้าสำน้กงานชี ชวีหวุน แห่งภูเขาหยุนจวี มณฆลเจียงชีนั่นเอง ท่านเห็นอาตมาก็ร้องเรียกเสียงดังอย่างตื่นเต้นดีใจว่า "อ้าว หลวงพี่ควนจิ้นเองยินดีด้วย"

อาตมาถามว่า "ท่านไปสู่สุคติภพตั้งแต่เมื่อไร เหตุใด อาตมาจึงไม่ทราบ" ท่านตอบว่า "ปี พ.ศ. 2514 เนื่องจากอาตมาไม่ยอมสละเพศบรรพชิต ต่อมาได้กระโดดน้ำฆ่าตัวตายยังที่แห่งหนึ่ง ความจริงเป้นความตายในประเภท 1 ใน 10 บาป ไม่อาจไปเกิดยังสุคติภพได้ แต่พระพุทธเจ้าผู้เปี่ยมเมตตากรุณา เห็นแก่อาตมาที่มีจิตศรัทธาแน่วแน่ บริสุทธิ์ผุดผ่องไร้มนทิล จึงชักนำมาเกิดในสุคติภพ อาตมาเพิ่งมาถึงไม่นานมานี้เอง "

อาตมาจึงถามท่านว่า " ผู้มาเกิดในบัวชั้นล่าง ทุกคนจะมีรูปกายเป็นเด็กอายุ 10 กว่าปี เหตุใดท่านแม่ชีจึงมีอายุ 30 ได้ล่ะ "
ท่านตอบว่า " ได้ข่าวหลวงพี่มา อาตมาจึงฝันเฟื่องกลับสู่โฉมหน้าเดิม เพื่อหลวงพี่จะได้จำออกได้ง่ายไงล่ะ เอ้อ หลวงพี่ควนจง สบายดีอยู่หรือ ท่านกลับไปแล้วถ้ามีโอกาสได้พบเขา ช่วยบอกเขาให้ตั้งใจบำเพ็ญศีลภาวนา อาตมาได้ไปเกิดยังสุคติภพแล้ว บอกเขาให้วางใจได้ "



" วิสุทธิทัศน์เจดีย์ " กับ " ธรณีภาษา "

ทันใดเสียงระฆังดังหง่างเหง่ง พระโพธิสัตว์กวนอิมกล่าวกับอาตมาว่า ถึงเวลาแสดงธรรมแล้ว ยามนั้นเด็กผู้ชายนับพันนับหมื่น(ที่เห็นคราวนี้ไม่ใช่ผู้หญิง) อายุ 13-14 ปี สวมชุดสีแดง สายคาดเอวสีทอง ไว้แกละบนศรีษะ 2 แกละ แต่งกายเหมือนกันหมด เข้าแถวเป็นระเบียบเรียบร้อย เรือนกาย ศรีษะ มือเท้าทุกคน ล้วนเป็นแก้วผลึกสีขาวโปร่งใส เห็นพวกเขากระโดดโลดเต้นอยู่ใต้เวทีดอกบัว หลังจากที่ทุกคนทำความเคารพซึ่งกันและกันแล้ว ก็ถึงเวลาบรรเลงมโหรีทิพย์พิมาน วิหคเทวาลัยสวยงามนานาชนิดเหินลมบนท้องฟ้า ประสานเสียงสดุดีพระพุทธองค์ตามเสียงดนตรี ต่อจากนั้น พระโพธิสัตว์ซึ่งมีพระธรรมกายเปล่งประกายสัพรังสีรูปหนึ่ง ได้ปรากฎอยู่เบื้องหน้า ภาพทั้งหมดงามหรูวิจิตรพิศดารสุดพรรณนา

พระโพธิสัตว์กวนอิมบอกอาตมาว่า " พระโพธิสัตว์ท่านนี้คือ พระโพธิสัตว์ ต้าเล่อชวอ วันนี้เป็นเวรเทศนาธรรมของท่าน จะไปเข้าเฝ้านมัสการ อริยพุทธ 10 ทิศ " ยามนั้นบนท้องฟ้านภาลัย มีข้าวตอกดอกไม้และของแปลกๆ นานาชนิด สีสันสวยสดงดงามโปรยปรายลงมาราวกับสายพิรุณ บรรดาเด็กผู้ชายเหล่านั้นพากันเก็บและห่อเข้าชายเสื้อ ต่อจากนั้น ทั่วท้องนภาลัยฉายฉานด้วย สัพรังสี นับพันนับหมื่นสายเหมือนสายฟ้าแลบ แปลบปลาบ สวยงามเหลือจะกล่าว

ที่บัวชั้นล่างนี้ มีโรงอยู่โรงหนึ่งเรียกว่า " โรงธรณีภาษา " ธรณีภาษาก็คือว่า พระโพธิสัตว์ ปาฐกถาธรรม ออกมาคำหนึ่ง เวไนยสัตว์ทั้งหลายล้วนฟังรู้เรื่อง ไม่ว่าเขาจะเป็นคนชาติใดภาษาใด เป็นต้น
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 5.0.375.99 Chrome 5.0.375.99


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #11 เมื่อ: 21 กรกฎาคม 2553 00:52:46 »

หน้า 60-61








ว่า เป็นคนจีนฝูเจี้ยน จีนกวางตุ้ง จีนไหหลำ จีนแต้จิ๋ว จีนเซี่ยงไฮ้ จีนเสฉวนหรือจะเป็นชาวอเมริกัน ชาวเยอรมนี ชาวฝรั่งเศส ชาวโซเวียต ชาวญี่ปุ่น ไม่ว่าเขาจะเป็นคนประเทศใด สัญชาติใดก็ตาม สิ่งที่เขาได้ยินได้ฟังจากพระโอษฐ์ของพระโพธิสัตว์จะเป็นภาษาของตนเองไม่จำเป็นต้องผ่านล่ามแปล ล้วนแต่ฟังเข้าใจได้โดยตรง นี่ก็คือความอัศจรรย์ของ “ ธรณีภาษา ”

ที่บัวชั้นล่างยังมีเจดีย์ที่สูงขึ้นเจดีย์หนึ่งเรียกว่า “ วิสุทธิทัศน์เจดีย์ ” เวไนยสัตว์ของที่นี่จะขึ้นไปบนยอดเจดีย์หรือลงจากยอดเจดีย์ ไม่จำต้องกระทำเหมือนสัพพะโลกของเราที่ขึ้นลงตามลิฟท์ จะขึ้น ก็เพียงแต่นึกเท่านั้นก็ขึ้น จะลงก็เพียงแต่นึกเท่านั้นก็ลง ร่างกายของพวกเขาก็ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นคือโปร่งใสไร้กีดขวาง ไม่ว่าอยู่ ณ ที่ใด จะข้ามฝาข้ามกำแพง เพียงนึกเท่านั้นก็ฝ่าข้ามไปได้ จะไม่ชนถูกสิ่งกีดขวางใดๆทั้งสิ้น ถึงแม้ว่ามีคนหลายร้อยหลายพันหรือหลายหมื่นคนชุมนุมอยู่ในเทศะหนึ่ง ก็ไม่มีปรากฏการณ์ชนกันหรือเบียดกัน เพราะว่าพวกเขาไม่มีเรือนกายที่เป็นเนื้อหนังมังสา (วัตถุ) เรือนกายนั้นโปร่งใสไร้กีดขวาง

วิสุทธิทัศน์เจดีย์ใหญ่โตมหึมาเหลือเกิน อยู่ภายในเจดีย์ จะเห็นได้ทั้งหมด สามารถสะท้อนอาณาจักรต่างๆของโลก 10 ทิศ เป็นต้น ว่าจะดูลูกโลกของสัพพะโลกของเรา เพียงแต่ทอดสายตามองออกไปก็จะเห็นลูกโลกของเรามีขนาดโตเท่าเม็ดทรายเท่านั้น ดวงอาทิตย์ก็เช่นกันก็เห็นขนาดโตเท่าเม็ดทรายเม็ดหนึ่งเท่านั้น แต่ว่าถ้าหากท่านต้องการดูสภาพภายในของมันให้แจ่มชัดขึ้น เช่นท่านอยากดูทวีปเอเชีย ทัศนะบถของท่านก็จะขยายกว้างขึ้น ทวีปเอเชียก็จะปรากฏอยู่ต่อหน้าท่านอย่างชัดเจน จะดูประเทศจีน ดูกำแพงยักษ์ จะดูมณฑลฝูเจี้ยน กระทั่งดูบ้านหลังหนึ่ง ดูสภาพภายในบ้าน ทัศนะบถของท่านก็จะขยายกว้างขึ้นตาม***ส่วนของสรรพสิ่ง สะท้อนภาพปรากฏอยู่ต่อหน้าท่านอย่างชัดเจนรวมความแล้วคือ ภายในวิสุทธิทัศน์เจดีย์ ไม่มีอะไรที่เรามองเห็นไม่ได้ เท่ากับเป็นหอดาราศาสตร์ของทั้งจักรวาลจริงๆ

ผู้ไปเกิดในบัวชั้นล่าง คือคนที่ปกติเคยประกอบกุศลกรรมในสัพพะโลก สะสมกุศลมูลไว้มาก หรือสวดมนต์ไหว้พระฝักใฝ่ในวิสุทธิภูมิเมื่อได้พรของพุทธานุภาพแห่งอมิตพุทธเจ้าก็สามารถไปเกิดยังอาณาจักรของบัวชั้นล่าง ส่วนพวกที่ไปเกิดยังระดับสูงของบัวชั้นล่างนั้นก็สูงขึ้นอีกขั้นหนึ่ง จะได้แก่คนที่ยามมีชีวิตอยู่เคยเกิดศีล 5 ศีล 8 ชอบทำบุญทำทาน ปฏิบัติธรรมเป็นนิจศีล บำเพ็ญศีลภาวนาค่อนข้างเคร่งครัดจึงจะได้เกิดยังอาณาจักรนี้ได้

หลังจากเที่ยวชมสถานที่ในบัวชั้นล่างจนทั่วแล้ว พระโพธิสัตว์กวนอิมบอกว่าเวลามีจำกัดจะพาอาตมาไปเที่ยวสระบัวของบัวชั้นกลางต่อไป




บัวชั้นกลาง
(สถานที่อยู่ร่วมของสามัญบุคคลกับอริยบุคคล)


เราออกจากสระบัวชั้นล่าง อาตมาท่องคาถาดังที่เคยปฏิบัติร่างกายก็เหมือนนั่งเครื่องบินเหินสู่ท้องฟ้านภากาศ เห็นวัดวาอารามวิหาร เจดีย์แว๊บผ่านข้างกายไป ยามนั้น อาตมารู้สึกว่าร่างกายของตัวเองค่อยๆขยายใหญ่โตขึ้น เพราะว่าสระบัวชั้นกลาง ดอกบัวแต่ละดอกจะมีขนาดใหญ่เท่าเนื้อที่มณฑลหนึ่งของประเทศจีน ประมาณ 7 – 800 กิโลเมตร ระยะทางจากสิงคโปร์ถึงกัวลาลัมเปอร์ก็ตกประมาณ




หน้า 62-63


180 กิโลเมตรเท่านั้น ฉะนั้น 7 – 800 กิโลเมตรคงต้องไปถึงภาคกลางของประเทศไทย ดอกบัวใหญ่ขนาดนั้น รูปร่างของผู้มาเกิดยังที่นี่ก็ต้องใหญ่ตามสั.ดส่วนด้วย จึงจะรับกับขนาดของเวไนยสัตว์ของที่นี่ได้

ท่านโพธิสัตว์กวนอิมกล่าวแก่อาตมาว่า “ ในระดับกลางของบัวชั้นกลาง ส่วนใหญ่จะอยู่ร่วมกันระหว่างสามัญบุคคลกับอริยะบุคคลมีครบบริษัทสี่ มีทั้งสงฆ์และชีที่เป็นบรรพชิต และก็มีทั้งอุบาสกอุบาสิกาที่เป็นฆราวาส ผู้เกิด ณ ที่นี่จะสูงกว่าเวไนยสัตว์ในบัวชั้นล่างขั้นหนึ่ง ขณะที่พวกเขาอยู่ในสัพพะโลกล้วนมีความตั้งใจจะหลุดพ้นจากไตรภพ จึงยืนหยัดวัตรปฏิบัติ บำเพ็ญศีลภาวนา นอกจากบำเพ็ญศีลแล้ว ยังเข้าร่วมประกอบพุทธศาสนกิจอย่างขะมักเขม้น เป็นต้นว่าสร้างโบสถ์วิหาร วัดวาอาราม หรือพิมพ์คัมภีร์เผยแพร่พุทธธรรมเป็นต้น ทั้งทำบุญทำทานถือศีลกินเจเคร่งครัด เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ก่อนตายก็จะได้รับการชักนำจากพระศรีอารยเมตไตรไปเกิดยังระดับกลางของบัวชั้นกลาง แต่ว่าการปฏิบัติของพวกเขาก็มีสูงต่ำไม่เท่ากัน ดังนั้นจึงแบ่งบัวชั้นกลางออกเป็นระดับล่าง ระดับกลาง และระดับสูงอีก ”

ชั่วครู่ เราก็มาถึงมหาวิหาร หลังจากนมัสการบรรดาพระโพธิสัตว์แล้ว พระโพธิสัตว์กวนอิมก็พาอาตมาไปเที่ยวชมยังสระบัวทันที โอ..สระบัวชั้นกลางเปรียบกับสระบัวชั้นล่างแล้วไม่ทราบว่าสวยงามเยี่ยมยอดกว่ากี่เท่าต่อกี่เท่า รอบๆล้วนก่อด้วยรัตนะ 7 ดอกบัวในสระมีสีสันและลวดลายสวยงามยิ่ง ทั้งเปล่งประกายสีรุ้งสะท้อนซึ่งกันและกันวาววับจับตา สวยงามสุดจะพรรณนา

ที่ประหลาดยิ่งกว่า ก็คือดอกบัวในสระ มีกลีบดอกพิสดารมาก แบ่งเป็นหลายชั้น ในแต่ละชั้นล้วนมีศาลา อารม ตำหนัก รัตนเจดีย์ เป็นต้นเปล่งแสงสีหลายสิบชนิด ทัศนียภาพงามงดจับจิต คนที่อยู่บนดอกบัว ร่างกายทอสีแดงโปร่งใส มีแสงในตัวเช่นกัน เสื้อผ้าและการแต่งกายเป็นอย่างเดียวกันหมด อายุประมาณ 20 เศษ ไม่เห็นเด็กหรือคนแก่แม้แต่คนเดีย

ยามนั้นอาตมาหันกลับมาสำรวจตัวเอง แปลกแฮะ ไม่ทราบเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไร เปลี่ยนเหมือนพวกเขาอย่างกับพิมพ์เดียวกัน มีแต่พระโพธิสัตว์กวนอิมเท่านั้นที่ยังคงรักษาพระธรรมกายเหมือนเดิม


อาตมาถามพระโพธิสัตว์กวนอิมว่า “เหตุใดสิ่งของบรรดามีของที่นี่จึงเปล่งแสงได้ สีอะไรก็เปล่งแสงสีนั้น และร่างกายของอาตมาก็เปลี่ยนไปจนเหมือนพวกเขาได้ล่ะ”


ท่านตอบว่า “ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นจากพุทธานุภาพของอมิตพุทธเจ้า ฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างจึงสามารถสะท้อนแสงได้ อมิตพุทธเจ้าได้เปล่งแสงสว่างมหาศาลออกไปรอบทิศ แสงสะท้อนมาถึงที่นี่ก็เกืดภาพดังที่เราเห็นนี่แหละ การเปลี่ยนแปลงร่างกายของท่านก็เช่นเดียวกัน เป็นการเปลี่ยนแปลงตามพุทธานุภาพของอมิตพุทธเจ้าอาณาจักรแต่ละอาณาจักรภายในสระบัวรวมถึงการแต่งกายทั้งหมดจึงเหมือนกัน เว้นแต่ว่าเรามีฤทธานุภาพของเราเอง แปลงเป็นรูปอื่นที่แตกต่างออกไป หาไม่แล้วก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหมด”

แต่ทว่าพระโพธิสัตว์กวนอิมก็เปิดเผยว่า ในสระบัวชั้นกลาง ก็มีอารามบางอารามที่มีสีสันซีดจางไม่สามารถเปล่งแสงได้ แต่นั้นไม่ใช่ภาพจริงของสุคติภพ แต่เป็นภูมิภาพลวงที่เป็นอนิจจังอันเกิดจากความฝันเฟื่องของผู้มาเกิด






หน้า 64-65


ขณะที่กล่าวอยู่นั้น ก็ปรากฏพระตำหนัก ที่ไม่สามารถเปล่งแสงได้ขึ้นที่เบื้องหน้าเราหลังหนึ่ง รอบๆตำหนัก มีสวนบุปผชาติอันใหญ่โตกว้างขวาง ร้อยบุปผาบานสะพรั่ง กำลังชูช่อสลอนแข่งความงามวิหคนกไพรขับขานดนตรีอยู่บนกิ่งไม้ ภาพนี้ไม่มีผิดเพี้ยนกับบ้านมหาเศรษฐีในแดนมนุษย์เลย คนบ้านนี้มีพระรัตนตรัยตั้งสักการะบูชาอยู่ในห้องโถง พ่อแม่ ลูกเมีย พี่น้องชายหญิง ญาติโกโหติกาทั้งหลายต่างชุมนุมอยุ่ด้วยกัน ทำกิจสวดมนต์ไหว้พระ ชายหญิงรวมกันแล้วมีประมาณ 20กว่าคน ล้วนแล้วแต่เป็นพุทธมามะกะที่ถือเคร่งทั้งสิ้น

พระโพธิสัตว์กวนอิมกล่าวกับอาตมาว่า "คนบ้านนี้ชอบประกอบกุศลกรรม เพียบพร้อมด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา บางคนได้ไปเกิดยังระดับกลางของบัวชั้นกลางแล้ว แต่ว่ายังตัดความรักความอาลัยไม่ขาด มักคิดคำนึงถึงเรื่องราวต่างๆในโลกมนุษย์ ดังนั้น สภาพชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัวนี้ จึงสะท้อนมายังที่นี่"

พระโพธิสัตว์กวนอิมกล่าวต่อไปว่า "บัว 9 ชั้น บำเพ็ญไปทีละชั้น จากล่างไปบน บำเพ็ญในชั้นล่างดีแล้ว กอบัวก็สามารถย้ายไปปลูกในสระบัวชั้นกลาง สภาพเช่นนี้ก็ทำนองเดียวกับการเข้าญาน ญานแรกแล้วญานสอง ญาน 2 แล้วไปญาน 3 ญาน 4 ฉันใดก็ฉันนั้น"

ทันใดได้ยินเสียงระฆังกลางอากาศ ตำหนักหลังนั้นก็อันตรธานจนไม่เหลือร่องรอย ทุกคนในบ้านกลายเป็นชายหนุ่มอายุ 20กว่าปี ล้วนมีเรือนกายเป็นสีแดงโปร่งใส การแต่งกายก็เหมือนกันหมด และแล้วจำนวนคนก็เพิ่มทวีขึ้น เพิ่มทวีขึ้นเป็นร้อยเท่าพันทวีจนนับไม่ถ้วน กลายเป็นสถานที่ชุมนุมใหญ่มหาศาลคลาคล่ำไปด้วยฝูงชน

ท่านโพธิสัตว์กวนอิมกล่าวว่า "วันนี้พระโพธิสัตว์ต้าซื่อจื้อกับพระโพธิสัตว์ฉางจิงจิ้นจะบรรยายสัทธรรมปุณฑริกสูตร ท่านจะไปฟังดูไหมล่ะ"

อาตมาตอบว่า "อาตมาชมชอบฟังสัทธรรมปุณฑริกสูตรที่สุด ไปฟังด้วยกันก็ดีซีครับ"

ว่าแล้วเราก็เดินไปที่เวทีแสดงธรรม บนเวทีแสดงธรรมทั้ง 4 ทิศล้วนคลุมด้วยร่างแห คล้ายๆสายรุ้งและสร้อยมุข เปล่งรัศมีแพรวพราว 2 ข้างเวทีมีต้นไม้ใหญ่ 7 แถว แต่ละต้นสูงเสียดฟ้า ภายในต้นไม้ก็มีศาล อาราม วิหาร มีพระโพธิสัตว์จำนวนมากชุมนุมฟังธรรมอยู่ข้างบน เวทีประกอบขึ้นจากรัตนะ 7 และ เงินทอง ไม่ทราบสูงเท่าไหร่ ดูสง่าเคร่งขรึมมาก

พระโพธิสัตว์กวนอิมนำอาตมาขึ้นไปบนเวที หลังจากนมัสการ 2 พระโพธิสัตว์แล้ว ท่านก็ให้อาตมานั่งอยู่ที่นั่งข้างๆ พระโพธิสัตว์ต้าซื่อจื้อนั่งอยู่ในที่นั่งประธานเป็นองค์ประธาน ยามนั้นปรากฏควันธูป ไม่ทราบมาแต่หนใหนลอยวนเวียน ส่งกลิ่นหอมฟุ้งจรุงใจ บนท้องฟ้านภาลัยแว่วเสียงบรรเลงมโหรีทิพย์พิมานฟังไพเราะเสนาะหู วิหคเทวาลัยสุดคณานับเหินลมร่ายรำตามจังหวะดนตรี เมื่อทุกคนกราบนมัสการกันแล้ว พระโพธิสัตว์ต้าซื่อจื้อก็ยืนขึ้นประกาศว่า การประชุมบรรยายพระสูตรเริ่มขึ้นแล้ว

ต่อจากนั้น พระโพธิสัตว์ฉางจิงจิ้นก้าวขึ้นแท่นพระธรรมาจารย์ นมัสการต่อทุกคนแล้วก็เริ่มการบรรยายว่า "สัทธรรมปุณฑริกสูตรเป็นต้นกำเนิดของนานาพุทธในโลกศรีปิฎก เป็นมูลฐานในการสำเร็จเป็นพุทธ ผู้ที่ปรารถนาจะสำเร็จเป็นพุทธล้วนต้องศึกษาคัมภีร์บทนี้ ครั้งก่อนเราพูดถึงตอนที่ 1 สัทธรรมปุณฑริกสูตรคืออะไร สัทธรรมปุณฑริกสูตรก็คือรัตนะอันหาค่าประมาณมิได้ วันนี้เรามาพูดตอนที่ 2 บทบาทของสัทธรรมปุณฑริกสูตร..." การบรรยายใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง

หลังจากฟังการบรรยายแล้ว อาตมาเกิดข้อกังขาขึ้นในใจ คือว่าข้อความของสัทธรรมปุณฑริกสูตรที่บรรยายที่นี่ต่างกับข้อความของสัทธรรมปุณฑริกสูตรในโลกมนุษย์ ดังนั้นอาตมาจึงขอคำชี้



หน้า 66-67


แนะจากพระโพธิสัตว์กวนอิม ให้ช่วยไขข้อข้องใจให้ที

พระโพธิสัตว์กวนอิมอธิบายว่า "สัทธรรมปุณฑริกสูตรในโลกมนุษย์ จะมีข้อความค่อนข้างตื้นเขิน ส่วนข้อความที่ใช้บรรยายที่นี่ค่อนข้างลึกซึ้ง ถึงแม้ว่าจะตื้นลึกต่างกัน แต่ความหมายเหมือนกัน อาจกล่าวอย่างนี้ได้ว่า พระอรหันต์ไม่เข้าใจอาณาจักรของพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ไม่เข้าใจอาณาจักรของพระพุทธเจ้า ท่านฟังพระโพธิสัตว์บรรยายคัมภีร์ เวลาพระโพธิสัตว์ออกเสียง จะออกเสียงเดียว แต่ผู้ฟังหลายร้อยหลายพันภาษา จะรับฟังได้ตามภาษาของตนเอง นี่คือ 3 มิติ ของธรณีภาษา"

ภายหลังที่พระโพธิสัตว์ฉางจิงจิ้นบรรยายคัมภีร์สิ้นสุดลง เบื้องหน้าก็ปรากฏภาพอันประหลาด พิศดาร มีบุปผาเทวาลัยและของวิเศษมากมายโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้าสุราลัย มีรูปร่างต่างๆ เป็นรูปกลมก็มี รูป 3 เหลี่ยมก็มี หลากรูปหลายแบบ สารพัดสีสันโปรยปรายลงมาดังสายฝน ผู้ฟังใต้เวทีต่างยื่นมือออกไปรับ บ้างก็เก็บใส่ชายเสื้อ ยามนั้นมโหรีทิพย์พิมานโหมประโคมพร้อมกัน เสียงกังวานสดใส ไม่ทราบเสียงออกมาแต่ใหน เคร่งขรึมมาก

ทันใด เด็กผู้ชายเรือนพันเรือนหมื่นใต้เวทีที่สวมชุดแดงเหล่านั้น ต่างก็เปล่งกายพรึบเดียวก็กลายเป็นเด็กผู้หญิงที่ใส่เสื้อสีเขียว กระโปรงสีดอกท้อ สายคาดเอวสีทอง ทุกคนเริงระบำรำฟ้อนด้วยลีลาแช่มช้อยสวยงาม แสดงถึงความสุขอันเปี่ยมล้นครู่เดียว พวกเธอก็แปลงเป็นดอกบัวกลมทอแสงสีสวยสด ประกายพวยพุ่งออกรอบทิศ ผู้คนหายไปหมด ไม่เหลือแม้แต่คนเดียว ทันใด ดอกบัวก็ปรากฏเป็นรูปพระโพธิสัตว์นั่งขัดสมาธิ ต่อจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นสุวรรณเจดีย์และรชตะเจดีย์นับไม่ถ้วน เปล่งประกายพวยพุ่ง ทิวทัศน์รอบๆก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เป็นภาพวิจิตรการตาสุดจะพรรณนาจริงๆ

ขณะที่อาตมาชมดูจนเคลิบเคลิ้มไหลหลงอยู่นั้น พลันเห็นสาวงามชุดเขียวหลายร้อยนาง ทิ้งตัวจากฟากฟ้าสุราลัยลงมาอย่างรวดเร็วพร้อมกัน โฉบผ่านมหาวิหาร ทะลุทะลวงรั้วขวางกำแพงกั้น เหมือนแหวกผ่านอากาศธาตุที่ปราศจากสิ่งกีดขวางยังไงยังงั้น อาตมาตะลึงงัน เอ่ยถามพระโพธิสัตว์กวนอิมว่า " เหตุใดจึงมีปรากฏการณ์เช่นนั้น "

ท่านตอบว่า " แดนสุขาวดีเกิดจากแรงบันดาลของอมิตพุทธเจ้า ลักษณะของมันไม่ใช่วัตถุ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็น ศาลา อาราม ตำหนัก วิหาร ปราสาท ราชวัง รัตนเจดีย์ ภูเขา ลำน้ำ ต้นไม้ใบหญ้า ล้วนแล้วแต่โปร่งใสไร้ตัวตน ไร้สิ่งกีดขวาง สามารถฝ่าข้ามไปได้ตามใจปรารถนา ท่านไม่เชื่อลองไปชนดูก็รู้เอง "

อาตมาทำตาม เดินไปที่กำแพงของมหาวิหาร เสา ราวลูกกรง แต่ละแห่งลองชนดู เข้าทีออกทีปรากฏว่าไม่มีอะไรขวางกั้นจริง ๆ ครั้นเอามือไปคลำดูก็มีความรุ้สึกคล้ายมีของอยู่ที่นั่น เพียงแต่ว่าไม่ขัดขวางเท่านั้น ปรากฏการณ์นี้ก็ทำนองเดียวกับที่เราคลำน้ำ คลำลงไปรู้สึกมีของอยู่จริง แต่ว่ายังคงแหวกทะลุข้ามไปได้นั่นเอง

ต่อจากนั้น พระโพธิสัตว์กวนอิมก็พาอาตมาไปเที่ยวชมทัศนียภาพพิศดารอีก 2 แห่ง นั่นก็คือ อัฐคีรีภาพกับพิพิธภัณฑ์โลกศรีปิฏก



" อัฐคีรีภาพ " ( ภูเขาภาพ 8 แห่ง )


ผู้ไปเกิดในระดับล่างของบัวชั้นกลาง โดยทั่วไปจะมีความคิดฝันเฟื่องค่อนข้างน้อย รูปโฉมภายนอกของพวกเขาอยู่ระหว่างอายุ 16-20 ปี แต่งกายเหมือนกัน ไม่แบ่งหญิงชาย กิจกรรมของพวกเขาก็มีลักษณะรวมหมู่ แต่ละวันก็สักการะบูชาพุทธ 10 ทิศ ดอกบัวของที่นั่นก็มีกลีบดอกมากชั้นกว่า มีสีต่าง ๆ และมีแสงในตัว เปรียบกับบัวชั้นล่างแล้ว ก็นับว่าดีเลิศกว่ามามายทีเดียว

ณ ที่นี้มีสถานที่แห่งหนึ่งเรียกว่า " อัฐคีรีภาพ " หรือ ภูเขาภาพ
[/COLOR][/SIZE]
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 5.0.375.99 Chrome 5.0.375.99


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #12 เมื่อ: 21 กรกฎาคม 2553 00:53:08 »

หน้า 68-69


8 แห่ง ซึ่งเป็นตัวแทนของอัฐวิชานนะ (ญาณ 8) อันได้แก่ ตา (จักษุ) หู (โสด) จมูก (ฆาน) ลิ้น (ชิวหา) กาย (กายยะ) จิต (มโน) มโนคติและ อาลัย เรียกรวมกันว่า อัฐวิชานนะ อมิตพุทธเจ้าตั้งภูเขาภาพเหล่านี้ขึ้น ก็เพื่อคนที่มาเกิดในที่นี้จะได้บำเพ็ญจนอัฐวิชานนะของตน “ว่างเปล่า” นั่นเอง



ภูเขาภาพแห่งที่ 1 เรียกว่า “ภูเขาภาพแสงสว่าง” เป็นตัวแทนของ “จักษุญาณ” ที่ภูเขาลูกนี้ สรรพสิ่งทั้งปวงของทศภูมิ เราล้วนสามารถเห็นได้ด้วยตาได้ เช่นจะดูเวไนยสัตว์ในสัพพะโลก ดูสภาพของชาติก่อนและชาติโน้นของเขาว่าเป็นฉันใด เป็นต้นว่าเวไนยสัตว์ ก.ชาติก่อนเป็นสุกร ชาติก่อนของชาติก่อนเป็นทาส ชาติก่อนของชาติก่อนขึ้นไปอีกเป็นเศรษฐี ชาติก่อนยิ่งๆขึ้นไปอีกเป็นมหาเสนาบดีเป็นจักรพรรดิ ล้วนสามารถเห็นได้ชัดเจนทั้งหมด แม้แต่สภาพของพุทธภูมิอื่นๆ ก็สามารถเห็นได้ชัดตาเช่นกัน



ภูเขาภาพแห่งที่ 2 เรียกว่า “ ภูเขาภาพยินเสียง” เป็นตัวแทนของ “โสตญาณ” เมื่อไปถึงภูเขาลูกนี้ หูจะได้ยินเสียงทั้งปวงของทศภูมิ ไม่ว่าเสียงอะไร แค่ผ่านรูหูก็สามารถจำแนกได้แม้แต่พุทธองค์กำลังแสดงธรรมบทใด ก็สามารถ ได้ยินและฟังรู้เรื่อง


ภูเขาภาพแห่งที่ 3 เรียกว่า “ภูเขาภาพหอมกลิ่น” เป็นตัวแทนของ “ฆานญาณ” ของเรา ในภูเขาลูกนี้ จะสามารถได้กลิ่นทั้งปวงของทศภูมิ กลิ่นเหล่านี้แค่ผ่านจมูกก็จำแนกได้ทันทีว่าทารกในครรภ์เป็นหญิงหรือชาย ถ้าเป็นกลิ่นของโลหะ ก็สามารถจำแนกได้ทันทีว่าเป็นทองคำ เป็นเงิน เป็นทองแดง หรือเป็นเหล็ก

ภูเขาภาพแห่งที่ 4 เรียกว่า “ภูเขาภาพทิพยรส” เป็นตัวแทนของ “ชิวหาญาณ” ของคนเรา ไม่ว่ารสชาติอะไรของทศภูมิ ไม่ว่ารสนั้นจะมาจากพุทธภูมิหรือนรกภูมิ ล้วนสามารถจำแนกได้ทั้งสิ้น



ภูเขาแห่งที่ 5 เรียกว่า “ภูเขาภาพสุวรรณกาย” เป็นตัวแทนของ “กายยะญาณ” ของคนเรา ที่ภูเขาลูกนี้ จะสามารถอาศัยประสาทสัมผัส ไปจำแนกสรรพสิ่งทั้งปวง สามารถเห็นสุวรรณกายทั้งปวงและ 32 ลักษณ์ของสัพพะโลก ไม่ว่ารูปลักษณ์แบบไหนล้วนเห็นได้ชัดเจน



ภูเขาภาพแห่งที่ 6 เรียกว่า “ภูเขาภาพมโน” เป็นตัวแทน “มโนญาณ” ของคนเราในภูเขาลูกนี้ จะเห็นพุทธบรรดามี การบำเพ็ญตนในแต่ละชาติแต่ละภพของท่านเหล่านั้นล้วนจะปรากฏในมโนนึกทั้งหมด สภาพในแต่ละชาติตัวเอง ร้อยชาติ พันชาติก็สามารถสะท้อนให้เห็นที่เบื้องหน้า


ภูเขาภาพแห่งที่ 7 เรียกว่า “ภูเขาภาพประจักษ์แจ้ง” เป็นตัวแทน “มโนคติญาณ’ ของคนเรา ซึ่งเป็นอาณาจักรที่เยี่ยมยอดมากตือจะรวมศูนย์ญาณทั้ง 6 ข้างต้น นัยหนึ่ง ในภาพนี้ ท่านคิดจะดู คิดจะฟัง คิดจะดม คิดจะลิ้มรส คิดจะสัมผัส คิดธรรมะ ล้วนสามารถปรากฏออกมาให้เห็นประจักษ์

[SIZE=+0][/SIZE]
ภูเขาภาพแห่งที่ 8 เรียกว่า “ภูเขาภาพไร้ขอบ” เป็นตัวแทนของญาณที่ 8 คือ “อาลัยญาณ” ของคนเรา ในภูมิภาพนี้คือว่างเปล่าอดีต ปัจจุบัน อนาคต 3 ชาติ ทุกสิ่งทุกอย่างของทศภูมิ ล้วนสามารถสะท้อนให้เห็นประจักษ์





“พิพิธภัณฑ์ของโลกศรีปิฏก”

ผู้ไปเกิดในระดับกลางของบัวชั้นกลาง พวกนี้จะมีการบำเพ็ญและเข้าถึงพุทธธรรมอย่างลึกซึ้งขณะมีชีวิตอยู่ในสัพพะโลก ในด้านการทำทานนั้น พวกเขาจะทุ่มเทอย่างเต็มที่ ได้ผลบุญมหาศาลจึงสำเร็จเป็นมหากุศลมูล ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าจะกล่าวในแง่การบำเพ็ญ




หน้า 70 -71


ตนหรือการสะสมกุศลผลบุญ ผู้เกิดในระดับกลางของบัวชั้นกลางล้วนสูงกว่าผู้เกิดในระดับล่างของบัวชั้นกลางชั้นหนึ่ง



อาณาจักรในระดับกลางของบัวชั้นกลาง มีอาราม ตำหนักและเจดีย์มากมาย ไม่ต้องพูดถึง รูปร่างลักษณะของผู้คนที่นี่ย่อมสูงใหญ่กว่าระดับล่างของบัวชั้นกลาง ดังนั้น อารามตำหนักและเจดีย์ก็ต้องสูงใหญ่ขึ้นตาม***ส่วน ที่ระดับกลางของบัวชั้นกลาง ในแต่ละวันจะมีดอกไม้ที่ร่วงหล่นจากฟากฟ้าสุราลัย เวไนยสัตว์ของที่นี่จะไปเก็บดอกไม้ที่ร่วงหล่นจากฟากฟ้าเหล่านี้มาสักการบูชาพุทธ 10 ทิศ ดอกไม้เหล่านี้สวยงามเป็นเลิศ ดอกไม้ในสัพพะโลก ไม่มีทางเทียบได้เลยแม้เท่ากระผีกริ้น ขณะเดียวกัน มโหรีทิพย์พิมานที่บรรเลงจากสรวงสวรรค์ ก็ไพเราะเสนาะหูเป็นพิเศษ ยากจะหาถ้อยคำมาบรรยายให้เห็นภาพได้

ตามพุทธคัมภีร์กล่าวว่า “ พระราชาในแดนมนุษย์มีดนตรีนับหมื่นชนิดก็ไม่ไพเราะเท่า 1 ทำนองในบรรดาดนตรีของพระราชาจักริน หลายหมื่นหลายพันเท่า ดนตรีหมื่นชนิดของพระราชาจักริน หลายหมื่นหลายพันเท่า ดนตรีหมื่นชนิดของพระราชาจักรินก็ไม่ไพเราะเท่า 1 ทำนองในบรรดาดนตรีของเทวราชชั้นดาวดึงส์ หลายหมื่นหลายพันเท่า ดนตรีหมื่นชนิดของอัมรินทร์อินทร์องค์แห่งดาวดึงส์ก้ไม่ไพเราะเท่า 1 ทำนองในบรรดาดนตรีของอธิราชเจ้าแห่งสวรรค์ชั้น 6 ก็ไม่ไพเราะเท่า 1 ทำนองในบรรดาต้นไม้รัตนะ 7 ภายในตำหนักของอมิตพุทธเจ้า”

[SIZE=+0][/SIZE]

เวไนยสัตว์ที่เกิดในระดับกลางของบัวชั้นกลาง ล้วนเปล่งแสงในตัวได้ ร่างกายเป็นสีแดงโปร่งใส ไร้กีดขวาง สามารถไปยังตำหนักต่างๆเพื่อสักการะพุทธ 10 ทิศในชั่วขณะเดียว และก็กลับมายังที่เดิมในชั่วขณะเดียว พวกที่ไม่มีกุศลผลบุญมากมายมหาศาลในยามมีชีวิตอยู่ จะไม่สามารถมาเป็นเวไนยสัตว์ของที่นี่ได้เลย

เวไนยสัตว์ที่มาเกิดในระดับในระดับกลางของบัวชั้นกลาง พวกเขามีความฝันเฟื่องน้อย กระทั่งไม่มีเลย สิ่งที่พวกเขาจะบริโภคก็น้อยลงไม่เหมือนพวกที่เกิดในชั้นล่างของบัวชั้นกลางที่ยังต้องบริโภคขนมที่ทำจากน้ำผึ้งบุปผา เพราะว่าในการบำเพ็ญตน ยิ่งบำเพ็ญยิ่งสูง ในที่สุดก็ไม่จำเป็นต้องบริโภคอะไรทั้งสิ้น


ที่ระดับกลางของบัวชั้นกลาง มีพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่งเรียกว่า “พิพิธภัณฑ์โลกปิฏก” ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ จะสามารถเห็นวิธีบำเพ็ญในรูปแบบต่างๆของพระโพธิสัตว์ เรียกว่ามีครบทุกสิ่งทุกอย่าง


ภายในพิพิธภัณฑ์โลกศรีปิฏก มีแบ่งเป็นชั้นๆ แต่ละชั้นล้วนได้จัดแสดงกระบวนทั้งกระบวนของผู้สำเร็จพุทธแต่ละองค์ไว้เป็นต้นว่าอมิตพุทธเจ้าชาติก่อนเป็นใคร (พระธรรมปิฏกภิกขุ) พระอาจารย์ของท่านเป็นใคร (พระยูไลหรือตถาคตเจ้าแห่งอิสรเสรี) ท่านเคยปฏิบัติธรรมชนิดไหน มีปณิธานใด ชาติก่อนขึ้นไปอีกท่านของท่านเป็นอะไร กระทั่งร้อยชาติ พันชาติ ก่อนจะมาเป็นพุทธนั้นมีสภาพเป็นอย่างไร ล้วนสามารถเห็นได้หมด

ถ้าหากท่านต้องการดูอาณาจักรอีกอย่างหนึ่ง ท่านก็สามารถไปดูที่ชั้นอื่นต่อไป เช่นดูกระบวนการบรรลุธรรมของพระโพธิสัตว์กวนอิม สภาพชีวิตในแต่ละชาติของท่านตลอดจนวิถีดำเนินในการเสาะแสวงธรรมของท่าน ท่านจะดูกระบวนการบำเพ็ญตนในแต่ละชาติแต่ละภพของพระศากยะมุนี พระมโหสถ พระโพธิสัตว์ผู่เสียน พระโพธิสัตว์เหวินสวีซือลี เป็นต้น ล้วนสามารถเห็นได้ในพิพิธภัณฑ์โลกศรีปิฏกทั้งสิ้น นานาพุทธ นานาโพธิสัตว์ในทศภูมิก็เช่นเดียวกัน




หน้า 72-73




บัวชั้นสูง ดอกบานเห็นพุทธยะ

อาตมาคงท่องคาถาเหมือนเดิม เหยียบบนดอกบัว เหินฟ้าสู่นภากาศ รู้สึกว่าร่างกายค่อย ๆ โตขึ้น ๆ จนได้ขนาดเท่ากับขนาดตอนพบอมิตพุทธเจ้า

พระโพธิสัตว์กวนอิมกล่าวกับอาตมาว่า "เวไนยสัตว์ที่ไปเกิดยังระดับสูงของบัวชั้นสูง คือพวกที่ขณะอยู่ในสัพพะโลกก็มุมานะในการบำเพ็ญตน ถือศีลเคร่งครัดดังมุกมณี ขยันหมั่นเพียรศึกษาพุทธตำราละ 10 บาป ทำ 10 บุญ อาศัยตามวิธีการบำเพ็ญของตนไปประพฤติปฏิบัติให้เป็นจริง พวกเพียรพยายาม มานะบากบั่น 10 ปี ประหนึ่งวันวันเดียว จวบจนสังขารที่เป็นเลือดเนื้อดับสูญ บวกกับกุศลภายนอก เช่นทำบุญทำทาน ประกอบมหากุศล ดังนั้นในชั่วขณะหนึ่งก่อนตายก็ได้ไปเกิดยังบัวชั้นสูง"

เวไนยสัตว์ที่ไปเกิดยังระดับสูงของบัวชั้นสูง ความฝันเฟื่องนั้นพูดได้ว่าไม่มีโดยสิ้นเชิง ทวารทั้ง 6 บริสุทธิ์ พวกเขาบางคนก็บรรลุถึงขั้นของพระโพธิสัตว์แล้ว แปลงกายได้ตามใจหรารถนา ท่องเที่ยวแสดงเทวฤทธิ์เป็นต้นว่า บรรดาโพธิสัตว์เมื่ออยู่ด้วยกันนึกจะแปลงเป็นดอกไม้ ร่างกายก็จะเปลี่ยนเป็นดอกไม้ นึกจะแปลงเป็นเจดีย์ ร่างกายก็จะเปลี่ยนเป็นเจดีย์ นึกจะแปลงเป็นก้อนหิน ร่างกายก็จะเปลี่ยนเป็นก้อนหิน นึกจะแปลงเป็นต้นไม้ ร่างกายก็จะเปลี่ยนเป็นต้นไม้

ในสระบัวชั้นสูง ดอกบัวที่เล็กที่สุดก็มีขนาดใหญ่เท่าเนื้อที่ของ 3 มณฑล หรืออีกนัยหนึ่ง มีขนาดใหญ่เป็น 3 เท่าของประเทศมาเลเซีย พระโพธิสัตว์กวนอิมกล่าวว่า จะพาอาตมาไปดูที่สระบัวเรามาถึงบริเวณสระบัว

สระบัวชั้นสูงต่างกับที่อื่น จริง ๆ รอบ ๆ สระมีลักษณะเด่นสง่า เคร่งขรึมกว่าบัวชั้นกลางและชั้นล่างมีรั้วล้อมเป็นชั้น ๆ เปล่งประกายแสงสีต่าง ๆ ทั้งส่งกลิ่นหอมรวยรินกลิ่นหอมเหล่านี้ขจรขจายออกมาจากดอกบัวในสระนั่นเอง กลางสระบัวมีรัตนเจดีย์ รูปลักษณะเหมือนเป็นภูเขาสูง ตัวเจดีย์เป็นรูปหลายเหลี่ยม เปล่งประกายสัพรังสีพวยพุ่ง กลางสระยังมีสะพานงานวิจิตร เนื้อที่ของสระกว้างใหญ่จนมองไม่เห็นขอบสระ ภายในสระไม่เท่าแต่มีดอกบัวบานสะพรั่งเท่านั้น ยังมีการประดับทัศนียภาพนานาสารพัน บนท้องฟ้านภาลัยมีฉัตรทิพย์ สร้อยระย้าไข่มุกเปล่งแสงแวววามงามระยับ ดอกบัวมีชั้นกลีบดอกมากขนนับไม่ถ้วน แต่ละชั้นล้วนมีรัตนเจดีย์ ศาลา อาราม ตำหนัก วิหาร วิจิตรงดงามยิ่ง ผู้อาศํยอยู่บนดอกบัวทั่วสารพางค์กายเป็นสีทองคำอร่ามโปร่งใส อาภรณ์สวยงามเปล่งแสงสีต่าง ๆ

พระโพธิสัตว์กวนอิมพลันถามอาตมาว่า "ณ ที่นี้มีคนผู้หนึ่งชื่อ ยิ่งกวง พระธรรมาจารย์ (พระเถระชั้นสูงคนหนึ่งใน 3 คนของจีนในยุคปัจจุบัน) ท่านรู้จักไหม"
อาตมารีบถามว่า "อยู่ไหน อาตมาได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของท่านมานานแล้ว มีความเลื่อมใสศรัทธายิ่ง แต่ว่ายังไม่มีวาสนาได้พบหน้าท่านเลย"

ขณะกล่าววาจา ก็เห็นชายคนหนึ่งอายุ 30 เศษ พลันแปลงกายเป็นโฉมหน้าเดิมของพระธรรมาจารย์ยิ่งกวง ได้พบหน้ากันรู้สึกดีใจมาก หลังจากคารวะต่อกันแล้ว ก็เริ่มสนทนากันอย่างออกรสออกชาติเราคุยถึงเรื่องต่าง ๆ ลืมไปแล้วเสียส่วนมาก แต่ที่ยังจำได้แม่นยำคือคำสั่งกำชับของท่าน ท่านกล่าวว่า " อาตมาหวังว่าหลังจากที่ท่านกลับถึงแดนมนุษย์แล้ว จะได้ถ่ายทอดให้ผู้ร่วมทางธรรมได้ตระหนัก
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 5.0.375.99 Chrome 5.0.375.99


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #13 เมื่อ: 21 กรกฎาคม 2553 00:54:09 »

หน้า 74-75


ทั่วกันว่า จะต้องถือศีลเป็นครู รักษาพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด สวดมนต์ไหว้พระ ศรัทธา ปณิธาน ปฏิปทา ก็จะต้องได้ไปเกิดยังสุคติภพแน่นอน จงเตือนพวกบำเพ็ญตนบางคน อย่าได้ทำเป็นอวดฉลาด เที่ยวแก้ไขเปลี่ยนแปลงพระธรรมวินัยและระบบระเบียบที่พระพุทธองค์บัญญัติไว้โดยพลการ ป่าวร้องการแผยแพร่ธรรมะอย่างปฎิรูป ทำลายภาพพจน์ ละเมิดพระธรรมวินัย ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าสลดจริง ๆ "

เราเดินลงจากบัลลังค์ดอกบัวพร้อมกัน ท่านพาอาตมาไปยังตำหนักใหญ่ตลอกทางมีปักษินเทวานานาชนิด ขับขานดนตรีอยู่บนกิ่งทองใบหยก ประสานกับเสียงมโหรีทิพย์พิมาน เสียงสวดมนต์ไพเราะเสนาะหูแว่วมาตามเลย ทุกถิ่นสถานบานสะพรั่งไปด้วยดอกไม้สวยงามนานาพรรณส่งกลิ่นหอมรวบริน ช่อดอกรูปทรงกลมส่งประกายวาววับยังมีโคมไข่มุก โคมโมรา โคมแก้ว ตั้งเรียงรายเป็นทิวแถว ล่องประกายรัศมีสีสียต่าง ๆ จับนัยน์ตาพร่าพราย วิจิตรงดงามยากจะบรรยาย เข้าสู่ตำหนัก ภาพยิ่งสวยงามพิสดาร ทำเอาอสตมาเหมือนต้องมนต์สะกด ภายในหอเล่งแสงสีทอง พื้นก็เปล่งประกายแสงสีต่าง ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่เบื้องหน้าล้วนเล่งแสงในตัวได้ทั้งสิ้น พระธรรมาจารย์ยิ่งกวงนำอาตมาขึ้นไปยังหอชั้นบน บนหอเก็บรวบรวมกระจกแก้วผลึกนานาชนิด ตรงกลางเป็นกระจกบานใหญ่ที่ส่องได้ทั้งตัว

พระโพธิสัตว์กวนอิมแนะว่า "กระจกบานนี้จะส่องโฉมหน้าแท้จริงของทุกคนออกมาได้ ธาตุแท้บริสุทธิ์หรือไม่ มีความคิดฝันเฟื่องหรือไม่ พอส่งกระจกดูก็จะเห็นได้ชัด" ภายในหอมีม้านั่งตั้งเรียงรายอยู่ 2 ข้างอย่างเป็นระเบียบ ม้านั่งเหล่านี้ประกอบด้วยรัตนะ 7 มีแสงในตัวบนโต๊ะตั้งของรูปร่างแปลก ๆ ไว้ อาตมาดูไม่ออกว่าเป็นอะไรกันแน่

พระโพธิสัตว์กวนอิมทราบว่าอาตมาคงหิวแล้ว จึงถามขึ้นว่า "หิวแล้วใช่ไหมล่ะ"
ว่ากันตามจริง อาตมารู้สึกหิวแล้วเหมือนกัน จึงตอบไปว่า "มีของอะไรพอกินแก้หิวได้บ้างไหมครับ"
ท่านตอบว่า "ของกินที่นี่ก็เหมือนกับที่บัวชั้นล่าง ท่านอยากกินของสิ่งใด สิ่งนั้นก็จะมาเอง"
อาตมากล่าวว่า "งั้นก็ดีซี อาตมาอยากกินข้าวสวย แกงจืดผักกาดขาว อย่างอื่นไม่เอา"กล่าวไม่ทันขาดคำ ข้าวสวย แกงจืดผักกาดขาวก็ตั้งอยู่บนโต๊ะเบื้องหน้า
อาตมาถามทุกคนว่า "พวกท่านไม่ทานด้วยเหรอ"
พวกเขากล่าวว่า "โดยทั่วไปพวกเราไม่ต้องกินอะไรอยู่แล้ว ท่านตามสบายเถิด"

ตามที่ทราบ เวไนยสัตว์ในระดับสูงของบัวชั้นสูง ส่วนใหญ่จะสำเร็จเป็นโพธิสัตว์ ความฝันเฟื่องกระหายอยากอาหารจึงมีน้อยมาก กระทั่งไม่มีเลย เปรียบกับอาตมาแล้วก็ให้รู้สึกละอายใจ กินไปกินไป จนกระทั่งอิ่ม วางชามตะเกียบลงบนโต๊ะ พริบตาเดียวชามตะเกียบบนโต๊ะก็อันตรธานไสิ้น อาตมาถามพระโพธิสัตว์กวนอิมว่า "ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น"

ท่านตอบว่า "นั่นเป็นเพราะท่านคิดว่าท่านหิว ก็นึกอยากจะกินข้าว ก็เหมือนผู้คนในโลกมนุษย์นอนหลับฝันไป ตอนฝันก็มีทุกสิ่งทุกอย่าง คร้นตื่นขึ้นทุกอย่างก็สูญสิ้น ท่านนึกอยากกินของกินก็มา กินแล้วอิ่ม ความคิดอยากกินหมดไป ของกินก็อันตรธานด้วย"อาตมาผงกศรีษะรับทราบ
ท่านกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า "ครั้นธาตุบริสุทธิ์ ไม่นึกอยากกิน ไม่นึกอยากของใด ๆ ก็เป็นศูนยภาพ หามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดอยู่ไม่ แต่ถ้าหากมีความคิดอยากผุดขึ้น ก็จะเป็นดังท้องฟ้าที่ว่างเปล่าพลันมีเมฆหมอกเกิดขึ้นชั้นหนึ่ง เหตุผลนี้ท่านค่อย ๆ ใคร่ครวญ ซึมซาบก็จะเข้าใจ 3 มิติของเหตุผลนี้ได้โดยถ่องแท้"



หน้า 76-77


ผู้ไปเกิดในบัวชั้นสูง มีความคิดฝันเฟื่องน้อยที่สุด ล้วนแล้วแต่จริงแท้ดังธาตุเดิม ในชั่วพริบตาจะสามารถอาศัยแรงบันดาลของอมิตพุทธเจ้าแปลงเป็นดอกไม้ ผลไม้และของถวายออกมาถวายสักการระพุทธ 10 ทิศ ครั้นถึงเวลาแสดงธรรม พระโพธิสัตว์นับหมื่นนับล้านรูปจะนั่งขัดสมาธิอยู่บนดอกบัว หรือในตำหนัก บนรัตนเจดีย์หรือต้นไม้ 7 แถว ฟังพระดำรัสตรัสแสดงธรรมโดยตรงจากอมิตพุทธเจ้า
อาตมาเรียนถามพระโพธิสัตว์กวนอิมว่า "ผู้คนในโลกมนุษย์คงมีการเกิดในสุคติภพมากมาย เหตุใดญาติโยมของพวกเขาจึงมองไม่เห็นล่ะครับ"

ท่านตอบว่า "ผู้คนในโลกมนุษย์ส่วนใหญ่จะถูกบดบังโดยกรรมกีดขวาง จึงมีของที่มองไม่เห็นอีกมากนัก ถ้าหากหมั่นสวดมนต์ไหว้พระ ไม่มีความคิดฝันเฟื่อง ใจว่างเปล่าเป็นศูนยภาพแล้ว ก็มีโอกาสได้เห็นแดนสุขาวดีเช่นกัน"
อาตมาถือโอกาสขอให้ท่านไขปริศนา โดยถามว่า " ถ้ากระนั้นต้องสวดมนต์อย่างไรจึงจะบรรลุผลได้เร็วที่สุด"
ท่านตอบว่า "ต้องบำเพ็ญฌานกับกับพิสุทธิ์ควบคู่กัน ใจหนึ่งสวดพุทธ สวดพุทธไปเข้าฌานไป เรียกว่า ฌานวิสุทธิภูมิ"
อาตมารุกถามต่อ " ขอเรียนถามว่า ฌานวิสุทธิภูมิควรปฏิบัติอย่างไร"
ท่านผงกศรีษะอธิบายว่า " ใช้วิธีสวดโดยแบ่งคนออกเป็น 2 ชุด (นี่เป็นวิธีปฏิบัติธรรมของเวไนยสัตว์ในวิสุทธิภูมิ) ชุด ก. สวดอมิตพุทธ 2 คำ ชุด ข. ฟังไปสวดในใจไปด้วย จากนั้น ชุด ข. สวดอมิตพุทธ 2 คำ ชุด ก. ฟังไปสวดในใจไปด้วย การปฏิบัติเช่นนี้ ทั้งไม่หนักแรง ทั้งสวดได้ไม่ขาดช่วง หูจะไว หูจะสวดเองซึ่งก็คือใจสวด ใจกับปากเป็นหนึ่งเดียว พุทธภาพก็จะปรากฏขึ้นเอง เมื่อใจสงบย่อมก่อเกิดสมาธิ สมาธิย่อมก่อเกิดปัญญา"

ต่อจากนั้น พระโพธิสัตว์กวนอิมกล่าวว่า เวลาเหลือไม่มากแล้ว อาตมาจะพาท่านไปดูมหาเจดีย์อมิตพุทธเจ้า คือ "เจดีย์ดอกบัว" เราผ่านตำหนักไปอีกหลายหลัง ยอดเจดีย์แว็บผ่านตัวเราไปไม่ช้าก็เห็นมหาเจดีย์สูงใหญ่มหึมาสุดเปรียบปรานปรากฏอยู่เบื้องหน้าเจดีย์สูงดังขุนเขาคุนหลุนของประเทศจีน ไม่ทราบมีกี่ชั้น (คงไม่ต่ำกว่าหลายหมื่นชั้น) "เจดีย์ดอกบัว" มีกี่เหลี่ยมก็แยกไม่ชัด ตัวเจดีย์มีลักษณะโปร่งใส สัพรังสีพวยพุ่ง ได้ยินเสียงสวดนโมอมิตพุทธแว่วจากภายในเจดีย์ 2 คำแรกชัดมาก คำเริ่มต้นฟังดูเศร้าสร้อยคล้ายกำลังวิงวอนขอความช่วยเหลือ ส่วนคำที่ 2 ให้ความรู้สึกอยากชิดใกล้

" เจดีย์ดอกบัว " องค์นี้ มีไว้สำหรับผู้คนที่ไปเกิดในระดับกลางของบัวชั้นสูงนับหมื่นนับแสนได้ใช้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ความสูงใหญ่ของเจดีย์ เปรียบเทียบไม่ถูก ไม่อาจจินตนาการโดยผู้คนโลกมนุษย์ได้ ใหญ่พอ ๆ กับพื้นที่รวมของโลกเราหลายพันหลายหมื่นโลก ดังนั้นความสูงของมันก็ไม่อาจจะจินตนาการได้เช่นกัน ภายในเจดีย์ มีปราสาทราชวังมากมาย มีสีต่าง ๆ ล้วนแต่โปร่งใสและมีแสงสว่างในตัว เวไนยสัตว์ที่เกิดในระดับกลางของบัวชั้นสูงมาถึงที่นี่แล้ว สามารถเดินฝ่าทะลุกำแพงเข้าออกได้โดยเสรีไม่มีสิ่งใดขวางกั้น จะขึ้นจะลงเพียงใจนึกเท่านั้น ในชั่วขณะหนึ่งก็จะไปถึงในที่ที่ต้องการจะไป ภายในเจดีย์มีพร้อมทุกสิ่งทุกอย่าง ณ ที่นี้สามารถมองเห็นสภาพทั้งปวงของเวไนยสัตว์ในโลกศรีปิฏกทั้งหมด สามารถเห็นพุทธภูมิบรรดามีหลายหมื่นล้านพุทธภูมิความเยี่ยมยอดของสภาพภายในเจดีย์ ไม่สามารถใช้ปากกาดินสอมาบรรยายให้เห็นภาพแม้เพียง 1 ในหมื่นเวไนยสัตว์ในระดับกลางของบัวชั้นสูง ถ้าปรารถนาจะไยังพุทธภูมิใด ก็เป็นเรื่องเพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น

เราก้าวเข้าสู่ "เจดีย์ดอกบัว" ปรากฏว่าตัวเราเหินลอยขึ้นเหมือนนั่งลิฟท์ ขึ้นไปทีละชั้น ๆ ชั้นแล้วชั้นเล่า ล้วนแต่โปร่งใส จะ



หน้า 78-79


เห็นแต่ละชั้นมีคนนั่งสวดพุทธอยู่เต็มเพรียบ ล้วนแต่เป็นผู้ชายอายุประมาณ 30 เศษ แต่ละชั้นจะมีลักษณะการแต่งกายเป็นของตัวเองรวมประมาณ 20 กว่าสี แต่ไม่มีผู้หญิงแม้แต่คนเดียว ผู้ชายทั้งหมดนั่งสวดพุทธอยู่บนดอกบัว

พระโพธิสัตว์กวนอิมกล่าวว่า " ที่นี่จัดเวลา 6 ชั่วโมงทำวัตร 2 ชั่วโมงสวดพุทธ 2 ชั่วโมง เก็บเสียง 2 ชั่วโมง พักผ่อน เวลานี้เป็นเวลาสวดพุทธ"

เราไปถึงชั้นที่อยู่กึ่งกลาง เห็นพวกเขานั่งเป็นแถวอยู่ 2 ข้างแถวซ้ายกับแถวขวาหันหน้าชนกัน ได้ยินแต่เสียงกระดิ่ง กลอง ปลาไม้ กรับ ดังไม่ขาดเสียง แต่ไม่เห็นของจริง พวกเขานั่งอยู่บนอาสนะสวยงามมาก กลางวงมีมหาโพธิสัตว์รูปหนึ่งนั่งอยู่คอยชี้แนะ คนที่สวด ได้ดีจะมีแสงพวยพุ่งเหนือศรีษะ ในแสงมีพระพุทธรูปมากมาย เช่นเดียวกับแสงเหนือเศียรของอมิตพุทธเจ้าที่มีพระพุทธรูปหลายหมื่นหลายแสนล้านรูป มหาโพธิสัตว์รูปนั้นก็มีแสง ในแสงก็มีพระพุทธรูเช่นกัน มีวิหคนานาพรรณบินถลาร่อนล้อลมอยู่เหนือยอดเจดีย์ บ้างบินอยู่ในห้องโถง พวกมันสวดพุทธตามได้ด้วย ไม่สับสนแม้แต่น้อยภายในเจดีย์มีโคมมุก โคมแก้วแสงสีต่าง ๆ โคมรูปกลมยังสามารถเปลี่ยนแปลงเป็นรูปต่าง ๆ เปล่งแสงนานาชนิด รวมความแล้วก็คือภูมิภาพของที่นี่บรรยายเท่าไหร่ก็บรรยายไม่หมด ทั้งยากจะบรรยายออกมาให้เห็นภาพได้ การสักการะพุทธ 10 ทิศ ล้วนรวมศูนย์อยู่ที่นี่ ณ ที่นี้สามารถเห็นโลกศรีปิฏกทั้งโลก เวไนยสัตว์ทั้งปวง อริยพุทธทั้งปวงจนถึงพุทธภูมิหลายหมื่นล้านพุทธภูมิ ล้วนปรากฏให้เห็นอยู่เบื้องหน้า



การไขปริศนาธรรมของอมิตพุทธเจ้า

ชมบัว 9 ชั้นเสร็จ เรากลับมาอยู่หน้าพระธรรมกายของอมิตพุทธเจ้า อาตมาคุกเข่าลงกราบแทบเท้า 3 ที ตั้งจิตอธิษฐานขอพร ชั่วครู่ อมิตพุทธเจ้าก็เผยอทิพยโอษฐ์ตรัสชัดถ้อยชัดคำและอย่างหนักแน่นว่า
" พุทธภาพของเวไนยสัตว์ทั้งหลาย ล้วนเสมอภาคเท่าเทียมกันใจตาลปัตร เห็นเท็จเป็นจริง ประกอบธรรมใด กรรมนั้นสนอง เวียนว่ายตายเกิดใน 6 ภูมิ วัฎสงสารไม่สิ้นสุด ทุกข์แสนสาหัส 48 ปณิธาน ปฏญาณดับทุกข์แก่เวไนยสัตว์ทั้งหลาย หญิงหรือชาย ผู้เฒ่าหรือเด็กมีศรัทธา ปณิธาน ปฏิปทา ใจเดียวไม่หันเห คือณานวิสุทธิภูมิ ก็คืออนุสติ 10 กำหนด ให้ไปเกิดยังวิสุทธิภูมิ..."
อาตมาคุกเข่าลงกราบนมัสการต่อ ขอพรอมิตพุทธเจ้าต่อไป
อมิตพุทธเจ้าตรัสสืบไปว่า

"1. เจ้ายังมีวาสนาผูกพันกับสัพพะโลก ต้องไปดับทุกข์แก่ พ่อ แม่ พี่น้อง ญาติโกโหติกาในชาติต่าง ๆ ให้ถือศีลเป็นครูสอนคนให้ศึกษาณานวิสุทธิภูมิ ฌานพิสุทธ์บำเพ็ญควบคู่กัน"

"2. สามัคคีวงการศาสนาทุกศาสนา ขงจื๊อ เต๋า พุทธ (รวมพุทธธรรมศักยะมุนี 10 นิกาย) คริสต์ อิสลาม... แต่ะศาสนาช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ปลุกเร้าซึ่งกันและกัน อย่าได้ดูหมิ่นถิ่นแคลนซึ่งกันและกัน การกล่าวหาซึ่งกันและกันว่าของตัวเป็นสัมมาทิฐิ ของผู้อื่นเป็นมิจฉาทิฐิ ของตัวเป็นพระ ของคนอื่นเป็นมาร ของตัวสูงส่ง ของผู้อื่นต่ำต้อย ของตัวมีค่า ของผู้อื่นไร้ค่า จับเอาจุดอ่อนข้อด้อยผิวเผินด้านเดียวของฝ่ายตรงข้ามโจมตีไม่หยุด บ่อนทำลายวิถีแห่งธรรมซึ่งกัน



หน้า 80



และกัน เป็นสิ่งที่ไม่ควรอย่างยิ่ง วิถีแห่งพุทธกว้างใหญ่ไพศาล มีธรรมวิถี 84,000 วิถี ทุกศาสนาล้วนเป็นอริยสัจ ผู้ถือปฏิบัติได้ มิจฉาทิฐิจะกลับกลายเป็นสัมมาทิฐิ มารกลับเป็นพระ เล็กสามารถไปสู่ใหญ่จะต้องช่วยเหลือกันด้วยภราดรภาพ กำจัดมิจฉาทิฐิ ผดุงสัมมาทิฐิจึงเป็นสัมโพธิญาณแห่งสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า"

หยุดนิดหนึ่ง อมิตพุทธเจ้าจึงตรัสต่อว่า
"เอาล่ะ เจ้ากลับไปได้แล้ว"
อาตมาลงกราบแทบเท้า 3 จบ


เราเดินทางต่อ ตลอดทาง ดอกบัวที่ใต้เท้ายังคงพาตัวเราเหาะเหินเดินอากาศเหมือนเดิม คราวนี้ไม่เห็น ประตู "จาตุมหาราชิก" พักเดียวก็มาถึง " ตำหนักอรหันต์ภพกลาง" อาตมาหยุดท่องคาถาดอกบัวใต้เท้าอันตรธาน เด็กรับใช้นำน้ำเย็นมาให้อาตมาดื่ม สงฆ์บริกรจัดแจงให้อาตมาไปพักผ่อนในห้องนอน อาตมารู้สึกว่างัวเงีย ๆ แล้วม่อยหลับไปในที่สุด



สวด "นโม ออนีทอฮุด"
นำพาสู่แดนสุขาวดี
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 5.0.375.99 Chrome 5.0.375.99


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #14 เมื่อ: 21 กรกฎาคม 2553 00:54:42 »

หน้า 86







หน้า 87



1. ไตรบุปผาชุมนุมกลางกระหม่อม

1. ละเว้นกามเมถุน จิตไม่หมกมุ่นในกาม จิตรวมเป็นลมปราณ ดอกตระกั่วปรากฎ
2. ฝึกลมปราณแปรเป็นสติ ศูนย์ลมปราณเปี่ยมล้น ไม่นึกอยากอาหาร ดอกเงินปรากฎ
3. ฝึกสติคืนศูนย์ สติเข้าสู่ศูนยภาพ เพ่งธรรมชาติ ดอกทองปรากฎ


-------------------------------------------------

2. เบญจธาตุห้อมล้อมศูนย์ลมปราณ

1. หัวใจเก็บสติ หลังกำเนิดเป็นญาณสติ ก่อนกำเนิดเป็นจริยา เวทนาศูนย์ สติสงบ ทิศใต้แดง ธาตุไฟห้อมล้อมศูนย์
2. ตับซ่อนวิญญาณ หลังกำเนิดเป็นวิญญาณไร้ร่าง ก่อนกำเนิดเป็นเมตตา มุฑิตาศูนย์ วิญญาณสงบ ทิศตะวันออกเขียว ธาตุไม้ห้อมล้อมศูนย์
3. ปอดพักสังขาร หลังกำเนิดเป็นสังขารภูติ ก่อนกำเนิดเป็นธรรมา โกรธาศูนย์ สังขารสงบ ทิศตะวันตกขาว ธาตุทองห้อมล้อมศูนย์
4. ไตกำหนดจิต หลังกำเนิดเป็นจิตขุ่น ก่อนกำเนิดเป็นพุทธา ปรีดาศูนย์ จิตสงบ ทิศเหนือดำ ธาตุน้ำห้อมล้อมศูนย์
5. ม้ามนำใจ หลังกำเนิดเป็นใจเพ้อ ก่อนกำเนิดเป็นสัจจา กามาศูนย์ ใจสงบ ทิศศูนย์กลางเหลือง ธาตุดินห้อมล้อมศูนย์

ผู้ด้อย ควนจิ้ง
บรรยาย ณ ลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา


หน้า 88



( หมายเหตุ )

ในต้นฉบับภาษาจีนบอกว่า ดุสิต เป็นสวรรค์ชั้นที่ 6 ( ต้นฉบับภาษาจีนหน้า 16 แถวที่ 7 ) ไม่ทราบว่าเป็นความผิดพลาดของผู้เรียบเรียงหรือเป็นความเข้าใจของผู้บรรยายเอง ได้ตรวจดูแล้วทั้งพจนานุกรมไทยและสารานุกรมจีน บอกเหมือนกันว่าเป็นสวรรค์ชั้นที่ 4 ในฉกามาพจรหรือสวรรค์ 6 ชั้นในกามภพ อันได้แก่

1. จาตุมหาราชิกา
2. ดาวดึงส์
3. ยามะ
4. ดุสิต
5. นิมานรดี
6. ปรนิมมิตวสวัสดี ภาษาจีนอ่านว่า โตวซ่วยเทียน เทียนแปลว่า สวรรค์ โตวซ่วย ตรวจดูในสารานุกรมจีนปรากฎว่าเป็นคำทับศัพท์จาภาษาบาลีคือ Tusita อ่านว่า ดุสิต ซึ่งเป็นสวรรค์ชั้นที่ 4 ในกามภพ ไม่ใช่ชั้นที่ 6 แน่นอน ฉบับแปลจึงแปลเป็นชั้นที่ 4 ( หน้า 34 บรรทัดที่ 2-3 )


จะเอาตามต้นฉบับภาษาจีนหรือฉบับแปล แล้วแต่พิจารณา ------- ผู้แปล


** จบบริบูรณ์ **

----------------------------
ขอขอบคุณและขออนุโมทนากับผู้ที่ร่วมพิมพ์หนังสือท่องแดนสุขาวดีเล่มนี้ เป็นธรรมทานในครั้งนี้ด้วยค่ะ

คุณ ann 55555
คุณ กาลเวลา
คุณ บักโจ๋ย
คุณ Kamen rider
คุณ Anmin
คุณ อนันตประทีป

หากผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

  
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 5.0.375.99 Chrome 5.0.375.99


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #15 เมื่อ: 21 กรกฎาคม 2553 00:57:11 »

รู้สึกจะมีหายไปราวสี่หน้า ซึ่งคาดว่า อ.มดเอ็กซ์คัดลอกจากต้นฉบับมาไม่ครบ

ส่วนรูปไม่ขึ้นเลยเนื่องจากเป็นรูปที่ถูกโพสท์ไว้ในอะกาลิโก

ซึ่งเวบอะกาลิโกปิดตัวไปแล้ว

ถูกผิดประการใด ขออภัยมา ณ. ที่นี้ด้วย

บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #16 เมื่อ: 21 กรกฎาคม 2553 04:43:37 »


อนุโมทนาสาธุธรรมค่ะ น้องแม๊ค...
บันทึกการเข้า
คำค้น: ebook E-Book sookjai สุขใจ หนังสือ ท่องแดนสุขาวดี 
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
อยากให้ลองอ่าน หนังสือท่องแดนสุขาวดี
สุขใจ หนังสือแนะนำ
หมีงงในพงหญ้า 0 2448 กระทู้ล่าสุด 21 กรกฎาคม 2553 01:02:59
โดย หมีงงในพงหญ้า
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.971 วินาที กับ 34 คำสั่ง

Google visited last this page 03 ธันวาคม 2566 14:14:57