[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
19 เมษายน 2567 21:29:56 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ทำลายวัฏจักร - หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน  (อ่าน 2294 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪
ลั้ลลา
ผู้ดูแลบ้านสุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +8/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 2097


【ツ】ต้นไม้แห่งแสง

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Firefox 19.0 Firefox 19.0


หน้ากู
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 07 มีนาคม 2556 10:46:47 »

ทำลายวัฏจักร - หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘




เมื่อวานนี้ไปดูสถานที่ที่ตั้งศพท่านอาจารย์เทสก์ วางที่ชั้น ๒ ก็ดีอยู่ศาลาชั้น ๒ คนเยอะ ร้านค้าก็มีไม่ใช่ร้านเลี้ยงอาหารคน ร้านค้าอาหาร เมรุก็ทำทั้งวันทั้งคืนผลัดเปลี่ยนกัน คนงานผลัดกันกลางวันกลางคืน ทำทั้งวันทั้งคืน ไม่ปล่อยให้มีเวลาพัก แต่ผลัดกันเป็นผลัด ๆ ไป ทำความสะอาดโล่งไปหมด ถ้าไม่ทำอย่างนั้นก็ไม่ได้คนจะมากนี่ เลยทำให้โล่งไปหมด กอไผ่อะไรถางออกมองโล่ง คนก็อยู่ตามนั้น

ก็มีเท่านั้นแหละโลกเรา เกิดแล้วตาย ๆ เกิดก็คือเรื่องของทุกข์ เริ่มเกิดปั๊บเริ่มทุกข์ปั๊บ เกิดปั๊บทุกข์ปั๊บทุกข์ยาวเหยียดเรื่อย ถึงวาระตายก็ทุกข์ ทุกข์จนทนไม่ไหวแล้วตาย เกิดทุกข์ ต่อยืดยาวไปอีก ชีวิตมีอยู่นี้ก็ทุกข์ ๆ ไปเรื่อย ๆ ถึงวาระแล้วตาย...ทุกข์ มีเท่านั้นโลกอันนี้ไม่มีอะไร ถ้าใครไม่สร้างความหมายไว้ในใจด้วยความดีทั้งหลายแล้ว ยังไงก็เป็นอย่างนี้ไปตลอดไม่มีต้นมีปลายเหมือนมดไต่ขอบด้ง วนอยู่อย่างนี้ตลอด แต่มีสูงมีต่ำละซี ทุกข์มากทุกข์น้อย ใครสร้างความชั่วไว้มากก็ทุกข์จมลงในนรก

ไฟนรกไม่ได้เหมือนไฟเรานะ ไม่ได้เหมือนไฟในเตาเรา ไฟนั้นใครคาดไม่ถูก ยกเป็นข้อเปรียบเทียบเฉย ๆ หม้อนรกก็ไม่ได้เป็นหม้อเหมือนของเรา เพียงยกมาเป็นข้อเปรียบเทียบเท่านั้น อะไรที่จะให้เหมือนหลักธรรมชาติเหล่านั้นไม่เหมือน ๆ ไฟนรกเป็นไฟบาปไฟกรรมไม่ใช่ไฟในเตา ไฟในเตาไม่ใช่ไฟบาปไฟกรรม อันนั้นไฟบาปไฟกรรมเผาเจ้าของเอง

ใครก็อยากเกิดๆ คืออยากเกิดก็อยากทุกข์ ไม่เกิดไม่ทุกข์ ทุกฺขํ นตฺถิ อชาตสฺส ทุกข์ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่เกิด เพราะฉะนั้นเกิดจึงเป็นกองทุกข์ เกิดปั๊บทุกข์ปั๊บ ทุกข์ติดทุกข์ต่อเรื่อยจนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายก็ทุกข์บีบเข้าอีกจนตาย เชื้อมีอยู่ภายในพาให้เกิดอีก เชื้อพาให้เกิดมีแล้วสายกรรมตามติดกันไปอีก สายกรรมที่จะทำให้ดีให้ชั่วให้สูงให้ต่ำมีในนั้นอีก มีเท่านั้นแหละโลกอันนี้

พูดจริง ๆ นะเราสลดสังเวช ยิ่งจวนตายเท่าไรยิ่งสลดสังเวชกับโลกเรามากเทียว ใครจะว่าเราอวดเราไม่อวด ว่าเราเย่อหยิ่งจองหองเราไม่เย่อหยิ่งจองหอง เอาความจริงมาพูดเย่อหยิ่งจองหองไปไหน มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ หน้าไหน ๆ มีแต่หมุนเป็นบ้าวิ่งเข้าหากงจักรหมดโลกธาตุนี้ พูดให้เต็มยศ หมุนอยู่นี้ไขว่คว้าเข้าไปหากงจักร ๆ คือตัวกิเลสตัววัฏวนนั้นเป็นเครื่องล่อเป็นแม่เหล็กอันหนึ่ง ดึงดูดให้สัตว์ทั้งหลายบืนเข้าไปหา ๆ

ธรรมชาตินี้เป็นแม่เหล็ก เพราะฉะนั้นโลกถึงออกได้ยาก แม่เหล็กดึงดูดเอาไว้ไม่ให้ไปไหน ดูดไว้ ๆ แล้วเครื่องล่อก็ดูด เครื่องพาอยู่ก็ดูด ดูดอยู่ตลอดเวลา หันหน้าเข้าสู่กงจักรนั่นแหละ วัฏจักร หันหลังให้ศีลให้ธรรม ที่หันหน้าเข้าศีลเข้าธรรมนี้มีนิด ๆ ๆ ยิบแย็บ ๆ ๆ ส่วนคลื่นมหาสมุทรทะเลหลวงของวัฏจักรนั้นใหญ่ขนาดไหน คลื่นมหาสมุทรทะเลหลวง นั่นละคลื่นของวัฏวนที่หมุนสัตว์ทั้งหลายให้เกิดตาย ๆ เป็นแม่เหล็กไปในตัวด้วย วัฏจักรเป็นแม่เหล็กหมุนสัตว์ให้พาเกิดพาตายอยู่อย่างนี้ กี่กัปกี่กัลป์ก็อยู่อย่างนี้ไม่มีทางออก มีเท่านี้ทางเดินของสัตว์โลก

ค้นลงดูในอริยสัจถ้าอยากเห็นชัดเจนอ่านโลกธาตุแตกกระจายนี้คืออริยสัจ พออ่านเข้าไปตรงนั้นแล้วแตกกระจายหมดโลกธาตุเห็นหมด เพราะฉะนั้นจึงว่าวัฏจักรกับธรรมจักรเป็นคู่กันอยู่อย่างนี้ นี่ละคู่โลกคู่ธรรม วัฏจักรเครื่องหมุนพาสัตว์เกิดแก่เจ็บตาย ๆ หมุนสูงหมุนต่ำทุกข์มากทุกข์น้อย เกิดแก่เจ็บตาย ๆ หมุนสูงหมุนต่ำทุกข์มากทุกข์น้อยอยู่อย่างนี้ตลอด นี่เรียกว่าวัฏจักร

ทีนี้ธรรมจักรหมุนกลับ คือ ผู้สร้างความดีผู้นี้ผู้หมุนกลับ สร้างมากสร้างน้อยหมุนกลับออกมา หมุนออกมา ผู้ไม่สร้างความดีเลยมีแต่หมุนเข้าเรื่อย ๆ ให้วัฏวนนี้ยืดยาวความทุกข์ก็ยืดยาวหนักไปตาม ๆ กันเรื่อย ๆ นี่วัฏจักรเป็นคู่กันมาอย่างนี้ ส่วนธรรมจักรหมุนออก ๆ คือฝ่ายธรรมหมุนกลับให้ย้อนกลับฉุดกลับฉุดลากกลับ ไม่ให้กิเลสดูดเอาทีเดียว นี่เป็นหลักธรรมชาติ พิจารณาผ่านเข้าไปในวงอริยสัจพระอรหันต์รู้ทุกองค์เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะท่านอ่านอริยสัจแตก ท่านตีอริยสัจแตกกระจายหมดเห็นหมดเลย นอกจากจะนำมาพูดหรือไม่พูดมากน้อยเท่านั้น และการพูดก็รู้จักฐานะสูงต่ำ รู้จักกาลสถานที่บุคคล ไม่ได้พูดสุ่มสี่สุ่มห้าพล่ามไปพล่ามมาอย่างนั้น ถึงจะเป็นความจริงก็ตามแต่สิ่งที่ขัดความจริงมีอยู่ จึงต้องได้หลบได้หลีกปลีกไป นำมาใช้เฉพาะที่โลกจะรับได้ ๆ อันไหนที่โลกรับไม่ได้จริงเท่าฟ้าเท่าแผ่นดินก็ไม่เกิดประโยชน์ เพราะรับไม่ได้ อย่างนั้นจะเอามาพูดทำไม ต้องงดและผ่านไป ประหนึ่งเหมือนไม่รู้ไม่เห็นอย่างนั้นแล

นี่ละใครอยากหมุนกลับให้พากันรักใคร่ใฝ่ใจในความดีงามทั้งหลายนะ มีเท่านี้ไม่มีอย่างอื่น ฟังแต่ว่ามีเท่านี้ไม่มีอย่างอื่น คือวัฏจักรหมุนกลับเข้าเรื่อย ๆ เหมือนงูเหลือมรัดสัตว์ หมุนเข้าไปเรื่อย ๆ ความทุกข์ความยากลำบากก็หมุนไปตาม ๆ กันยืดยาวตาม ๆ กัน วัฏจักรวัฏวนยืดยาวไปเรื่อย ๆ สร้างคุณงามความดีแล้วหมุนกลับ สร้างมากสร้างน้อยหมุนกลับมากน้อยหมุนกลับตลอด ขึ้นชื่อว่าความดีไม่ว่าความดีประเภทใดหมุนออกทั้งนั้นมากน้อย ๆ หมุนหลายครั้งหลายหน มากต่อมากก็หมุนออกได้ ถ้ามีแต่ความชั่วแล้วหมุนเข้าตลอดเลยไม่มีหมุนกลับคืน

พออ่านเข้าในอริยสัจนั้นสลดสังเวช สัตว์หมุนกันอยู่อย่างนั้น อ่านเข้าในวงอริยสัจย่อมเห็นสัตว์ทั้งหลายหมุนเข้า ๆ หันหน้าเข้ากงจักรวัฏจักร หันหลังให้ธรรม ๆ นี้มีมากต่อมาก ร้อยเอาหนึ่งก็ไม่ได้ จะว่าล้านเอาหนึ่งก็พอคิดบ้างนิดหน่อย ถ้าล้านคนเอาหนึ่งคน แต่ถ้าล้านสัตว์เอาหนึ่งสัตว์จะพอมีได้ เพียงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ของล้านแห่งสัตว์ทั่วไตรภพ นอกนั้นหมุนออกสู่วัฏวนทั้งนั้นหันหลังให้ธรรม หมุนออก ๆ ๆ จึงน่าสลดสังเวชนะ

จะตำหนิใครก็ตำหนิไม่ได้ ตำหนิไม่ลงนะ เพราะเป็นหลักธรรมชาติที่อยู่ในจิตของแต่ละดวง ๆ มีอย่างนั้นเหมือนกัน หลักธรรมชาติอันนี้มีอยู่อย่างนี้ เพราะฉะนั้นอ่านเข้าไปตรงนั้นถึงเจอเอา ๆ อริยสัจอยู่ในนั้น บ่อเกิดแก่เจ็บตายอยู่ตรงนั้น บ่อวิวัฏจักรคือบ่อที่จะให้บริสุทธิ์ผุดขึ้นถึงพระนิพพานก็ตรงนั้น อยู่จุดเดียวกัน อ่านนี้แตกแล้วอ่านออกหมดทั้งนิพพานทั้งวัฏจักรทั้งธรรมจักร

นี่พูดถึงหลักธรรมชาติทั่ว ๆ ไปทั่วแดนโลกธาตุนี้เป็นอย่างนี้ สัตว์ทั้งหลายหมุนเข้าแทบทั้งนั้นไม่มีจืดจาง การหมุนเข้าวัฏจักรวัฏวนนี้ไม่มีจืดจาง เพราะมีธรรมชาติอันหนึ่ง คือกิเลสประเภทนี้เป็นกิเลสเครื่องดึงดูดให้สัตว์ทั้งหลายพอใจ ๆ โลภก็พอใจ โกรธพอใจ ราคะตัณหาพอใจ สิ่งใดที่เป็นเรื่องของกิเลสพอใจทั้งนั้น ๆ มันมีเครื่องล่ออยู่ในนั้น ๆ ธรรมจึงฝืนยากเพราะกระแสของกิเลสนี้รุนแรงมาก ฝืนเพื่อธรรมนี่ฝืนยากเพราะอำนาจกิเลสนี้มีกำลังมาก อำนาจทางวัฏจักรวัฏวนมีกำลังมาก ฉุดทีเดียวขาดสะบั้นไปเลย

ท่านจึงบอกให้ใช้ความพยายาม ให้ใช้ความอุตส่าห์พยายาม ความอดความทน คือทนฝืนกระแสของกิเลสที่รุนแรงให้เป็นกระแสของธรรมออกมาสู่ตัวเอง ให้พยายาม ถ้าทำความดีแล้วต้องพยายาม ต้องได้ใช้ความฝืนจริง ๆ ฝืนกิเลสนั่นแหละไม่ใช่ฝืนอะไรนะ ฝืนก็ฝืนกิเลสตัวเป็นกระแสใหญ่โต ฝืนไปฝืนมาฝืนหลายครั้งหลายหน ทางนี้ก็สร้างกำลังขึ้นในตัวจากการฝืนนั้นแหละ สร้างขึ้นเรื่อย ๆ แล้วค่อยคล่องตัวเข้าไป ๆ ต่อไปรสชาติแห่งความดีก็ปรากฏขึ้นมาเรื่อย ๆ ความดูดดื่มทางด้านอรรถด้านธรรมก็มี ทีนี้ธรรมเริ่มหมุนแรงละที่นี่นะ ทางด้านธรรมะจะหมุนแรง ทางด้านกิเลสจะหมุนช้าลงไป

ทางธรรมะนี้มีกำลังก็หมุนเหมือนกัน เหมือนกับกิเลสหมุนนั่นแหละ แต่หมุนกลับ พอธรรมะมีกำลังแล้วธรรมะในหัวใจของแต่ละราย ๆ ที่บำเพ็ญมาจะหมุนแรงเข้าไป ๆ รวดเร็วเข้าไปเรื่อย ๆ หมุนกลับ หมุนไปจนกระทั่งกิเลสตัวไหนผ่านเข้ามาไม่ได้ ขาดสะบั้นเหมือนกันกับธรรมผ่านเข้าไปหากิเลสที่กระแสมันรุนแรงนั้นขาดสะบั้น เหมือนกันไม่มีอะไรผิดกัน ร้อยทั้งร้อยเหมือนกัน

คือเวลากิเลสมีกำลังมากเราจะทำคุณงามความดีนี้ ต้องฝืนเอาแทบเป็นแทบตายนะ ไม่ว่าอะไรก็ตามถ้าเป็นเรื่องของธรรมแล้วต้องได้มีสะดุดใจทั้งนั้นแหละ คือต้องฝืนกิเลส ที่จะทำอย่างคล่องตัว ๆ มีน้อย อันไหนที่คล่องตัวแล้วแสดงว่าอันนั้นได้ผ่านมาพอสมควร มีกำลังพอสมควรแล้วไม่ต้องฝืนมาก อันนี้ไม่ต้องฝืนมากมันเคยแล้วมีแต่ค่อยคล่องตัว ความดีอย่างอื่นก็ค่อยคล่องตัวไปตาม ความดีมีมากเข้า ๆ อย่างอื่น ๆ ก็ค่อยคล่องตัวเข้าไป ๆ แล้วหมุนเร็วเข้าไป หมุนกลับนะหมุนเร็วด้วย

กิเลสวัฏวนหมุนเข้า เวลากิเลสวัฏวนมีกำลังมากอยู่ในหัวใจของสัตว์โลกมันจะหมุนของมันตลอด เป็นอัตโนมัตินะ สัตว์ทั้งหลายที่มีความพอใจก็เป็นอัตโนมัติ ไม่ต้องมาบังคับให้พอใจในเครื่องล่อของกิเลส มันหากพอใจของมันเอง เวลามีธรรมเข้าไปห้ามล้อ เป็นเบรกห้ามล้อ ห้ามล้อกึ๊กนี้เจ้าของจะสะดุดรุนแรงเพราะกิเลสกับธรรมคือความดีต่อต้านกัน หลายครั้งหลายหนทางกิเลสวัฏฏ์ก็ค่อยอ่อนลง ทางธรรมนี้ก็ค่อยหมุนได้ คล่องตัวเข้าไปเรื่อย ๆ หลายครั้งหลายหนธรรมก็สั่งสมกำลังขึ้นพร้อมกัน ๆ กับการหมุนกลับของตัวเองนั่นแหละ ต่อไปก็หมุนติ้ว ๆ

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

เราช่วยกันนำต้นรักที่เพาะได้
   ส่งไปตาม บ้านที่ต้องการ
       อยากจะได้...
   หรืออยากจะเติม
【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪
ลั้ลลา
ผู้ดูแลบ้านสุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +8/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 2097


【ツ】ต้นไม้แห่งแสง

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Firefox 19.0 Firefox 19.0


หน้ากู
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 07 มีนาคม 2556 10:48:03 »




ที่นี่ย่นเข้ามาหานักภาวนา นักภาวนานี่เท่านั้น ฟังแต่ว่าเท่านั้นที่จะทราบเรื่องเหล่านี้ได้ดีและได้ดีอย่างสุดขีดของความดี ความดีทั้งหลายจะไหลลงสู่ภาวนา ภาวนาเป็นเหมือนทำนบใหญ่ ความดีทั้งหลายเหมือนกับแม่น้ำหลายสายไหลผ่านเข้ามา ๆ เข้ามาสู่สระใหญ่หรือทำนบใหญ่นั้น ทำนบใหญ่เป็นที่รวมแห่งแม่น้ำทั้งหลายไหลลงนั้น จิตตภาวนานั้นเป็นทำนบใหญ่ คุณงามความดีทั้งหลายนั้นเหมือนกับแม่น้ำสายต่าง ๆ ที่ไหลเข้ามา ๆ แล้วก็มีกำลังสั่งสมตัวขึ้น ๆ เรื่อย ๆ ก็รุนแรงขึ้น ๆ สิ่งใดไม่เคยรู้ก็รู้ ๆ สิ่งไม่เคยเห็น-เห็น สิ่งไม่เคยละ-ละ ละได้ ๆ เรื่อย ๆ

อำนาจของคุณธรรมนี้คาดไม่ถูก อำนาจบาปเหมือนกันอำนาจบุญเหมือนกัน ชื่อว่าเรื่องของธรรมแล้วคาดไม่ถูกทั้งนั้น ใครจะคาดคาดไม่ถูก เป็นขึ้นกับเจ้าของไม่ต้องคาด ให้เป็นขึ้นในหลักปัจจุบัน ๆ รู้เอง ๆ ขึ้นในนั้นเสร็จ ทีนี้เวลามีกำลังพอแล้วก้าวเข้าสู่องค์อริยสัจ ทำลายวัฏจักรนะ ก้าวเข้าสู่อริยสัจแหละ พอก้าวเข้านั้นนั่นละเป็นการที่จะทำลายแล้วนั่น เวทีใหญ่อยู่ตรงนั้น ตีเข้าไปตรงนั้น ๆ เกิดอยู่ตรงนั้น แก่อยู่ตรงนั้น ราคะตัณหาอยู่ที่นั่น มรรคปฏิปทาเครื่องสังหารราคะตัณหาก็อยู่ที่นั่น จับกันเข้าไปเป็นกลุ่มเดียวนั่น กลุ่มเดียวก้อนเดียว ตีออก ๆ แยกออก ๆ อันไหนปลอมสลัดออก ๆ อันไหนจริงเข้ามา คัดเลือกอยู่ในตัวเสร็จ

อริยสัจเป็นหลักธรรมชาติใครไปคาดไม่ถูก เป็นหลักธรรมชาติที่จะพึงรู้โดยตัวเอง คัดออก ๆ ทีนี้กิเลสมีอำนาจน้อยก็ค่อยหมุนช้าลง ๆ ทางธรรมะมีกำลังมากก็หมุนเร็วเข้า ๆ ในหัวใจของผู้นั้นแล ในหัวใจของแต่ละราย ๆ ที่บำเพ็ญตัวเองมีกำลังมากน้อยจะหมุนเร็วเข้าไปเรื่อย ๆ คล่องตัวเข้าไปเรื่อย ๆ ต่อไปก็เบิกกว้างออก ๆ ทีนี้ขึ้นชื่อว่ากิเลสตัวไหนว่างั้นเลย ฟังซิว่าตัวไหนมาขาดสะบั้นไปเหมือนกันกับธรรมะของเราที่ยังไม่มีกำลังผ่านกิเลส กิเลสเอาขาดสะบั้นเหมือนกัน เอาขาดสะบั้นเลย พอว่าพุทโธนี้แอ้เลย มันขาดสะบั้น เอ้า ภาวนาพุทโธ ธัมโม สังโฆ สาธุเหมือนเด็กค่อยยังชั่วซิ ตะกี้นี้เด็ก พุทโธ ธัมโม สังโฆ สาธุ(เด็ก) นี่เรายังไม่ถึงสาธุมันแอ้ก่อน นี่เวลากิเลสมีกำลังมากเป็นอย่างนั้นนะ ทำอะไรมันแอ้ ๆ ๆ ก่อน

เวลาธรรมะมีกำลังมากแล้วมหาสติมหาปัญญาหมุนติ้วเลย ถึงขั้นมหาสติมหาปัญญาแล้วหมุนติ้ว สติปัญญาอัตโนมัติหมุนติ้ว ทีนี้กิเลสตัวไหนเก่งมาว่างั้นเลย โบกมือให้มาเลย มาขาดสะบั้นทันทีเลย ไม่ต้องมีลวดมีลายจะต่อสู้กันแบบไหน ๆ เพราะความรวดเร็วของสติปัญญา สติธรรม ปัญญาธรรม รวดเร็วเกรียงไกรมาก พอกิเลสแพล็บมันขาดสะบั้นพร้อม ๆ ๆ นั่นละที่นี่กิเลสนับวันหัวซุกหัวซุนวิ่งหลบวิ่งซ่อน กิเลสมันฉลาดนี่วิ่งหลบวิ่งซ่อนไม่ให้เห็นตัวมันง่าย ๆ นะมันหมอบ ธรรมะก็คุ้ยเขี่ยขุดค้น มันหมอบขนาดไหนทางนี้ขุดค้นหา เจอขาดสะบั้น ๆ มีแต่กิเลสขาดสะบั้นอย่างเดียวที่นี่ ธรรมะเกรียงไกร ๆ นั่นละวัฏวนห่างละที่นี่จวนจะพังทลายแล้ว ธรรมจักรหมุนเข้าไป ๆ เดี๋ยววัฏวนก็ขาดสะบั้น ธรรมจักรก็หมุนติ้วขึ้นจนหลุดพ้น

มหาสติมหาปัญญานี้เราคาดไม่ถูก ก็เหมือนกับเลี้ยงเด็กโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่นั่นแหละ โตวันโตคืนไม่รู้ว่าเด็กโตเมื่อไร เลี้ยงอยู่ทุกวันเด็ก เลี้ยงทุกวัน ๆ ตั้งแต่วันตกคลอดออกมาเลี้ยงดูอยู่ แม้แต่อยู่ในครรภ์ยังต้องรักษา เลี้ยงดูอยู่ในครรภ์นั่นแหละ เลี้ยงดูประเภทหนึ่งในครรภ์ ตกคลอดออกมาเลี้ยงดูประเภทหนึ่ง เด็กเติบโตวันไหน ๆ ไม่รู้ แต่อาศัยการเลี้ยงดูเด็กก็โตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่เหมือนเรา การเจริญของมหาสติมหาปัญญาก็เหมือนกัน ตั้งแต่ขั้นล้มลุกคลุกคลานไปแหละ แล้วต่อไปค่อยตั้งไข่ได้ ตั้งตัวได้ นั่งได้ ยืนขึ้นได้ เดินได้ วิ่งได้ ต่อไปก็เป็นธรรมดา หมุนติ้ว ๆ ๆ ที่นี่กิเลสนับวันหมอบแหละ ยุบยอบขาดสะบั้นลงไป ๆ ธรรมนี้ก็หมุนติ้ว หมุนแรงขึ้นโดยลำดับ หมุนแรงด้วยเร็วด้วยจนมองไม่ทัน

ถ้าเราจะคาดนี้มองไม่ทัน ระหว่างสติปัญญาธรรมกับกิเลสฟัดกันนี้มองไม่ทันความรวดเร็ว เหมือนอย่างนักมวยเขาต่อยกัน นักมวยพวกแชมเปี้ยนเขาต่อยกันนี่มองไม่ทัน ความรวดเร็วของเขาฉันใด ความรวดเร็วของสติปัญญาศรัทธาความเพียรทุกด้านโหมตัวเข้ามาฟัดกับกิเลสก็มองไม่ทันเหมือนกัน เพราะกิเลสก็คล่องตัวของมัน ไม่คล่องตัวครอบโลกไม่ได้นะ ครอบหัวใจโลกไม่ได้ มันคล่องตัวพอ ทีนี้พอถึงธรรมขั้นคล่องตัวแล้วก็เหมือนกันอีก มองไม่ทัน เห็นแต่ขาดสะบั้น ๆ กิเลสหงายลง ๆ เวลาธรรมะออกลวดลาย แล้วก็ผ่านได้ผึงเลย หมดทุกข์

ที่นี่เห็นแล้วจิตไม่มีเงื่อนต่อ จะต่อกับเงื่อนไหนให้เป็นภพเป็นชาติขาดสะบั้นหมดแล้ว ไม่มีขึ้นชื่อว่ากิเลสเป็นเชื้อแห่งความเกิดหมดแล้ว ขาดสะบั้นออกไปจากใจหมดแล้ว ถ้าเป็นแม่น้ำก็เป็นเกาะแล้ว เกาะนี้คือเกาะแห่งความบริสุทธิ์ เหล่านี้เป็นมหาสมมุติมหานิยมรอบอยู่เป็นเหมือนกับมหาสมุทรทะเล เกาะนี้เป็นเกาะวิมุตติ น้ำที่ล้อมรอบอยู่นั้นเป็นมหาสมมุติมหานิยม เกาะนี้เป็นเกาะแห่งวิมุตติหลุดพ้น ขาดสะบั้นไม่สืบต่อกับอะไร อยู่ในกลางน้ำก็ไม่เป็นน้ำเป็นเกาะเป็นดิน

นี่ก็เหมือนกันอยู่ในท่ามกลางแห่งมหาสมุทรทะเล คือคลื่นสมมุตินี้ก็ตาม แต่จิตนี้เป็นจิตวิมุตติไม่คละเคล้ากับสิ่งใดเลยก็รู้ชัด หมดแล้วทีนี้ความเกิดหมดเท่านั้นไม่มีอีก ปัจจุบันพอตัวแล้ว จะหวังพึ่งอะไรที่เราพึ่งมาโดยลำดับลำดาตั้งแต่ต้นมา หวังพึ่งนั้นพึงนี้มาเรื่อย พอถึงขั้นพอตัวแล้วไม่พึ่งอะไรทั้งนั้น ว่าพึ่งตัวเองก็ไม่ว่า ได้แต่คำว่าพอเท่านั้น คำว่าพอนี้เป็นคำเหมาะที่สุด จะว่าพึ่งอะไรไม่พึ่งอะไรนี้พูดไม่ได้ไม่ถูก คำว่าพอเสียทีเดียวเท่านั้นกระเทือน มีคำว่าพอเท่านั้น

การภาวนานี้เอาการอยู่นะไม่ใช่เล่นนะ เวลาจนตรอกนั่นแหละเกิดปัญญา คนเราถึงขั้นจนตรอกมันหากมี ถึงขั้นกินแล้วนอน กอนแล้วนินก็มี แต่นี้มีมากชั้นกอนแล้วนินชั้นกินแล้วนอนนี้มีมาก ขั้นนี้เกลื่อน เกลื่อนไปหมด ที่ไหนเป็นที่นอนหมอนมุ้งได้หมดนั่นแหละ ขั้นขยับเข้าไป ๆ หาสิ่งแวดล้อมช่วยด้วย ไปหาป่าหาเขาหาสัตว์หาเสือหาเนื้อหากวางหาเก้งหาหมีหางูเขียวงูเหลือมเข้ามาช่วย ใจก็หดตัวเข้ามา ๆ เรื่อย ไม่มีที่พึ่งใจก็ปั๊บเข้ามาหาเจ้าของ คือเข้ามาพึ่งธรรมในใจมี พุทโธ ๆ เป็นต้น

คือจิตเวลาจำเป็นจริง ๆ จะไปคิดออกนอกไม่ได้นะ เวลาจำเป็นจริง ๆ แล้วจิตจะย้อนเข้ามาสู่ภายในตัวหมดเทียว ถ้าอยู่กับพุทโธ สมมุติว่าเราบริกรรมขั้นภาวนาเพื่อความสงบใจนี้ก็อยู่กับพุทโธ ไม่ให้เคลื่อนคลาดจากพุทโธเลย เป็นกับตายอยู่กับพุทโธ เสือช้างไม่มี ถ้าจิตอยู่กับพุทโธไม่มีเสือช้าง พอจิตออกจากพุทโธแล้วมันจะปรุงว่าเสือว่าช้างว่าหมีว่าอะไรต่ออะไรไปนะ มันปรุงหลอกเรา

พออยู่กับพุทโธแล้วไม่ไปไหน สักเดี๋ยวก็สร้างกำลังขึ้นมาแน่นปึ๋ง พุทโธ ๆ ถี่ยิบ นั่นละสร้างกำลังขึ้นมาในนั้นเสร็จ ๆ เป็นธรรมทั้งแท่งภายในจิตใจแล้วหายกลัว เดินเข้าไปหาเสือก็ได้ ขณะก่อนกลัวเสือ ขณะหลังนี้เดินเข้าไปหาเสือก็ได้ไม่ได้กลัวนี่ นี่แหละจิตที่สั่งสมกำลังตัวเข้าไปมีกำลังแล้วไม่กลัว เพราะฉะนั้นเวลาภาวนาในที่คับขันเช่นนั้นจึงไม่ยอมให้จิตส่งออกนอก จะอยู่กับคำบริกรรมก็อยู่ จิตผู้อยู่ในสมาธิก็ให้อยู่แน่นปึ๋งกับสมาธิ

ถ้าจิตออกทางด้านปัญญามันแยกธาตุนะ ต่างกัน จิตออกขั้นปัญญาแล้วไม่ว่าสัตว์ว่าเสือตัวไหนมันจะแยกธาตุไปหมด อันไหนเป็นสัตว์อันไหนเป็นเสือ อะไรเป็นตัว อะไรเป็นแข้งเป็นขา แยกธาตุออกไปแล้วมีแต่ธาตุสี่ดินน้ำลมไฟ กลัวมันอะไร แน่ะ มันก็ไปอย่างนั้นเสีย มันเป็นขั้น ๆ จนกระทั่งถึงขั้นอากาศธาตุว่างเปล่าไปหมด ไม่มีสัตว์มีบุคคล กำหนดปั๊บก็ว่างไปหมดเลย สัตว์ที่ไหน ความว่างหรือเป็นสัตว์ แน่ะ เสือที่ไหน ความว่างหรือเป็นเสือ ความว่างก็ความว่างซิจะว่าไงไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่เสือ เป็นบ้าไปอะไร แน่ะ มันก็ไปอย่างนั้นเสีย มันเป็นขั้น ๆ นะการพิจารณาทางด้านปัญญา

แต่ยังไงก็ตามใจเด็ด ความตายต้องทิ้งหลัง ทิ้งไว้ทีหลังเลยเอาความจริงออกหน้า เราอยากจะรู้ความจริงเท่านั้น เอาเป็นก็เป็นตายก็ตายขอให้รู้ความจริง ความจริงนี้ไม่ตาย แต่เรื่องความเป็นความตายมันเปลี่ยนของมันไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องกลัวตาย เอาถึงความจริง มันจะทุกข์ยากลำบากขนาดไหนก็ตาม เราขอทราบความจริงอันนี้ให้เต็มที่ ใจไม่เคยตายทราบตามความจริง นั่นแหละจะรู้ของจริงขึ้นมาที่ตรงนั้นแหละ ถ้ากลัวตายแล้วไม่มีทาง ถ้าตายได้ขวางหน้าแล้วไปไม่รอดนะ ต้องเอาความจริงขวางหน้าซิ

ความจริงจับความจริงปั๊บนี่ เอ้า เป็นกับตายเราอยากทราบแต่ความจริงเท่านั้น เอ้าทุกข์นี่จะทุกข์ถึงไหน จะตามความจริงของทุกข์นี้ อะไรเป็นทุกข์จะตามความจริงของทุกข์นี้ หนังหรือเป็นทุกข์ เนื้อหรือเป็นทุกข์ กระดูกหรือเป็นทุกข์ ตับไตไส้พุงหรือเป็นทุกข์ ดูอะไรเขาก็มีตั้งแต่วันเกิด ทุกข์เพิ่งเกิดมาเดี๋ยวนี้จะเป็นอันเดียวกันได้ยังไง มันแยกอย่างนั้นซิ แยกดูนั้นแยกดูนี้ ใจเป็นทุกข์ ถ้าว่าใจเป็นทุกข์ ทุกข์นี่เพิ่งเกิดใจมีมาตั้งแต่ดั้งเดิมจะเป็นอันเดียวกันได้ยังไง ถ้าหากว่าใจเป็นทุกข์ ทุกข์ดับไปใจต้องดับด้วยซิ ร่างกายทุกส่วนที่ว่าเป็นทุกข์ถ้าทุกข์ดับไปอันนี้ก็ต้องดับไปด้วยถ้าเป็นอันเดียวกัน แต่นี้ไม่ใช่เป็นอันเดียวกันมันหาเรื่องอะไร ยอกย้อนดูไม่ถอย

เวลาทุกข์มากเท่าไรสติปัญญาต้องหมุนติ้วอยู่เฉย ๆ ไม่ได้นะ หมุนหาทางออก สักเดี๋ยวก็โผล่ขึ้นมาผึง ๆ ๆ คนเราเวลาจนตรอกนั่นแหละเป็นเวลาที่มีความฉลาด ฉลาดตรงนั้นนะ ท่านว่า อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งของตน นอก ๆ นี้ก็มีเป็นธรรมดา คนเราส่วนมากหวังพึ่งผู้อื่นนั่นแหละ พึ่งตัวเองไม่ค่อยสนใจ เด็กก็พึ่งผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ก็พึ่งเด็ก จนกระทั่งวันตายก็หวังพึ่งกันอยู่ตลอดเวลา นี่เป็นอตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ประเภทหนึ่ง อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ประเภทที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ เป็นหลักธรรมชาติที่เกิดขึ้นในตัว สร้างขึ้นในตัว รู้ขึ้นในตัว เป็นที่พึ่งของตัวเองจริง ๆ เวลาจนตรอกจนมุมนั่นแหละฟัดกันตรงนั้น จะเห็น อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ขึ้นมาทันที อ๋อ คำว่าตนเป็นที่พึ่งของตนเป็นอย่างนี้เอง อย่างนั้นซิ

เอาละให้พร...
บันทึกการเข้า

เราช่วยกันนำต้นรักที่เพาะได้
   ส่งไปตาม บ้านที่ต้องการ
       อยากจะได้...
   หรืออยากจะเติม
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เพลงประวัติหลวงตา โดยเพลิน พรหมแดน
ธรรมะ มิวสิค (เพลงธรรมทั่วไป)
มดเอ๊ก 0 1347 กระทู้ล่าสุด 08 กรกฎาคม 2559 13:12:29
โดย มดเอ๊ก
เจาะใจ : มหาศรัทธา แห่งสาธุชน หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน (ร่วม รำลึก)
พุทธประวัติ - ประวัติพระสาวก
มดเอ๊ก 0 1422 กระทู้ล่าสุด 03 กันยายน 2559 04:43:07
โดย มดเอ๊ก
ยาแก้โรคขนานเอก - หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
สมถภาวนา - อภิญญาจิต
【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪ 0 816 กระทู้ล่าสุด 07 พฤษภาคม 2563 15:23:21
โดย 【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪
ร่างพระมหากัสสปะ ยังอยู่ในเขา 3 ลูก - หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
ธรรมะจากพระอาจารย์
แคทรีนจังกกไข่ 0 885 กระทู้ล่าสุด 19 มิถุนายน 2564 18:50:43
โดย แคทรีนจังกกไข่
คำแรกของหลวงปู่มั่น ยังประทับอยู่ในจิตใจ - หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เสียงธรรมเทศนา
แคทรีนจังกกไข่ 0 807 กระทู้ล่าสุด 19 มิถุนายน 2564 20:03:09
โดย แคทรีนจังกกไข่
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.395 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 26 มีนาคม 2567 10:12:52