ทำลายวัฏจักร - หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโนเทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘ เมื่อวานนี้ไปดูสถานที่ที่ตั้งศพท่านอาจารย์เทสก์ วางที่ชั้น ๒ ก็ดีอยู่ศาลาชั้น ๒ คนเยอะ ร้านค้าก็มีไม่ใช่ร้านเลี้ยงอาหารคน ร้านค้าอาหาร เมรุก็ทำทั้งวันทั้งคืนผลัดเปลี่ยนกัน คนงานผลัดกันกลางวันกลางคืน ทำทั้งวันทั้งคืน ไม่ปล่อยให้มีเวลาพัก แต่ผลัดกันเป็นผลัด ๆ ไป ทำความสะอาดโล่งไปหมด ถ้าไม่ทำอย่างนั้นก็ไม่ได้คนจะมากนี่ เลยทำให้โล่งไปหมด กอไผ่อะไรถางออกมองโล่ง คนก็อยู่ตามนั้น
ก็มีเท่านั้นแหละโลกเรา เกิดแล้วตาย ๆ เกิดก็คือเรื่องของทุกข์ เริ่มเกิดปั๊บเริ่มทุกข์ปั๊บ เกิดปั๊บทุกข์ปั๊บทุกข์ยาวเหยียดเรื่อย ถึงวาระตายก็ทุกข์ ทุกข์จนทนไม่ไหวแล้วตาย เกิดทุกข์ ต่อยืดยาวไปอีก ชีวิตมีอยู่นี้ก็ทุกข์ ๆ ไปเรื่อย ๆ ถึงวาระแล้วตาย...ทุกข์ มีเท่านั้นโลกอันนี้ไม่มีอะไร ถ้าใครไม่สร้างความหมายไว้ในใจด้วยความดีทั้งหลายแล้ว ยังไงก็เป็นอย่างนี้ไปตลอดไม่มีต้นมีปลายเหมือนมดไต่ขอบด้ง วนอยู่อย่างนี้ตลอด แต่มีสูงมีต่ำละซี ทุกข์มากทุกข์น้อย ใครสร้างความชั่วไว้มากก็ทุกข์จมลงในนรก
ไฟนรกไม่ได้เหมือนไฟเรานะ ไม่ได้เหมือนไฟในเตาเรา ไฟนั้นใครคาดไม่ถูก ยกเป็นข้อเปรียบเทียบเฉย ๆ หม้อนรกก็ไม่ได้เป็นหม้อเหมือนของเรา เพียงยกมาเป็นข้อเปรียบเทียบเท่านั้น อะไรที่จะให้เหมือนหลักธรรมชาติเหล่านั้นไม่เหมือน ๆ ไฟนรกเป็นไฟบาปไฟกรรมไม่ใช่ไฟในเตา ไฟในเตาไม่ใช่ไฟบาปไฟกรรม อันนั้นไฟบาปไฟกรรมเผาเจ้าของเอง
ใครก็อยากเกิดๆ คืออยากเกิดก็อยากทุกข์ ไม่เกิดไม่ทุกข์ ทุกฺขํ นตฺถิ อชาตสฺส ทุกข์ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่เกิด เพราะฉะนั้นเกิดจึงเป็นกองทุกข์ เกิดปั๊บทุกข์ปั๊บ ทุกข์ติดทุกข์ต่อเรื่อยจนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายก็ทุกข์บีบเข้าอีกจนตาย เชื้อมีอยู่ภายในพาให้เกิดอีก เชื้อพาให้เกิดมีแล้วสายกรรมตามติดกันไปอีก สายกรรมที่จะทำให้ดีให้ชั่วให้สูงให้ต่ำมีในนั้นอีก มีเท่านั้นแหละโลกอันนี้
พูดจริง ๆ นะเราสลดสังเวช ยิ่งจวนตายเท่าไรยิ่งสลดสังเวชกับโลกเรามากเทียว ใครจะว่าเราอวดเราไม่อวด ว่าเราเย่อหยิ่งจองหองเราไม่เย่อหยิ่งจองหอง เอาความจริงมาพูดเย่อหยิ่งจองหองไปไหน มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ หน้าไหน ๆ มีแต่หมุนเป็นบ้าวิ่งเข้าหากงจักรหมดโลกธาตุนี้ พูดให้เต็มยศ หมุนอยู่นี้ไขว่คว้าเข้าไปหากงจักร ๆ คือตัวกิเลสตัววัฏวนนั้นเป็นเครื่องล่อเป็นแม่เหล็กอันหนึ่ง ดึงดูดให้สัตว์ทั้งหลายบืนเข้าไปหา ๆ
ธรรมชาตินี้เป็นแม่เหล็ก เพราะฉะนั้นโลกถึงออกได้ยาก แม่เหล็กดึงดูดเอาไว้ไม่ให้ไปไหน ดูดไว้ ๆ แล้วเครื่องล่อก็ดูด เครื่องพาอยู่ก็ดูด ดูดอยู่ตลอดเวลา หันหน้าเข้าสู่กงจักรนั่นแหละ วัฏจักร หันหลังให้ศีลให้ธรรม ที่หันหน้าเข้าศีลเข้าธรรมนี้มีนิด ๆ ๆ ยิบแย็บ ๆ ๆ ส่วนคลื่นมหาสมุทรทะเลหลวงของวัฏจักรนั้นใหญ่ขนาดไหน คลื่นมหาสมุทรทะเลหลวง นั่นละคลื่นของวัฏวนที่หมุนสัตว์ทั้งหลายให้เกิดตาย ๆ เป็นแม่เหล็กไปในตัวด้วย วัฏจักรเป็นแม่เหล็กหมุนสัตว์ให้พาเกิดพาตายอยู่อย่างนี้ กี่กัปกี่กัลป์ก็อยู่อย่างนี้ไม่มีทางออก มีเท่านี้ทางเดินของสัตว์โลก
ค้นลงดูในอริยสัจถ้าอยากเห็นชัดเจนอ่านโลกธาตุแตกกระจายนี้คืออริยสัจ พออ่านเข้าไปตรงนั้นแล้วแตกกระจายหมดโลกธาตุเห็นหมด เพราะฉะนั้นจึงว่าวัฏจักรกับธรรมจักรเป็นคู่กันอยู่อย่างนี้ นี่ละคู่โลกคู่ธรรม วัฏจักรเครื่องหมุนพาสัตว์เกิดแก่เจ็บตาย ๆ หมุนสูงหมุนต่ำทุกข์มากทุกข์น้อย เกิดแก่เจ็บตาย ๆ หมุนสูงหมุนต่ำทุกข์มากทุกข์น้อยอยู่อย่างนี้ตลอด นี่เรียกว่าวัฏจักร
ทีนี้ธรรมจักรหมุนกลับ คือ ผู้สร้างความดีผู้นี้ผู้หมุนกลับ สร้างมากสร้างน้อยหมุนกลับออกมา หมุนออกมา ผู้ไม่สร้างความดีเลยมีแต่หมุนเข้าเรื่อย ๆ ให้วัฏวนนี้ยืดยาวความทุกข์ก็ยืดยาวหนักไปตาม ๆ กันเรื่อย ๆ นี่วัฏจักรเป็นคู่กันมาอย่างนี้ ส่วนธรรมจักรหมุนออก ๆ คือฝ่ายธรรมหมุนกลับให้ย้อนกลับฉุดกลับฉุดลากกลับ ไม่ให้กิเลสดูดเอาทีเดียว นี่เป็นหลักธรรมชาติ พิจารณาผ่านเข้าไปในวงอริยสัจพระอรหันต์รู้ทุกองค์เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะท่านอ่านอริยสัจแตก ท่านตีอริยสัจแตกกระจายหมดเห็นหมดเลย นอกจากจะนำมาพูดหรือไม่พูดมากน้อยเท่านั้น และการพูดก็รู้จักฐานะสูงต่ำ รู้จักกาลสถานที่บุคคล ไม่ได้พูดสุ่มสี่สุ่มห้าพล่ามไปพล่ามมาอย่างนั้น ถึงจะเป็นความจริงก็ตามแต่สิ่งที่ขัดความจริงมีอยู่ จึงต้องได้หลบได้หลีกปลีกไป นำมาใช้เฉพาะที่โลกจะรับได้ ๆ อันไหนที่โลกรับไม่ได้จริงเท่าฟ้าเท่าแผ่นดินก็ไม่เกิดประโยชน์ เพราะรับไม่ได้ อย่างนั้นจะเอามาพูดทำไม ต้องงดและผ่านไป ประหนึ่งเหมือนไม่รู้ไม่เห็นอย่างนั้นแล
นี่ละใครอยากหมุนกลับให้พากันรักใคร่ใฝ่ใจในความดีงามทั้งหลายนะ มีเท่านี้ไม่มีอย่างอื่น ฟังแต่ว่ามีเท่านี้ไม่มีอย่างอื่น คือวัฏจักรหมุนกลับเข้าเรื่อย ๆ เหมือนงูเหลือมรัดสัตว์ หมุนเข้าไปเรื่อย ๆ ความทุกข์ความยากลำบากก็หมุนไปตาม ๆ กันยืดยาวตาม ๆ กัน วัฏจักรวัฏวนยืดยาวไปเรื่อย ๆ สร้างคุณงามความดีแล้วหมุนกลับ สร้างมากสร้างน้อยหมุนกลับมากน้อยหมุนกลับตลอด ขึ้นชื่อว่าความดีไม่ว่าความดีประเภทใดหมุนออกทั้งนั้นมากน้อย ๆ หมุนหลายครั้งหลายหน มากต่อมากก็หมุนออกได้ ถ้ามีแต่ความชั่วแล้วหมุนเข้าตลอดเลยไม่มีหมุนกลับคืน
พออ่านเข้าในอริยสัจนั้นสลดสังเวช สัตว์หมุนกันอยู่อย่างนั้น อ่านเข้าในวงอริยสัจย่อมเห็นสัตว์ทั้งหลายหมุนเข้า ๆ หันหน้าเข้ากงจักรวัฏจักร หันหลังให้ธรรม ๆ นี้มีมากต่อมาก ร้อยเอาหนึ่งก็ไม่ได้ จะว่าล้านเอาหนึ่งก็พอคิดบ้างนิดหน่อย ถ้าล้านคนเอาหนึ่งคน แต่ถ้าล้านสัตว์เอาหนึ่งสัตว์จะพอมีได้ เพียงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ของล้านแห่งสัตว์ทั่วไตรภพ นอกนั้นหมุนออกสู่วัฏวนทั้งนั้นหันหลังให้ธรรม หมุนออก ๆ ๆ จึงน่าสลดสังเวชนะ
จะตำหนิใครก็ตำหนิไม่ได้ ตำหนิไม่ลงนะ เพราะเป็นหลักธรรมชาติที่อยู่ในจิตของแต่ละดวง ๆ มีอย่างนั้นเหมือนกัน หลักธรรมชาติอันนี้มีอยู่อย่างนี้ เพราะฉะนั้นอ่านเข้าไปตรงนั้นถึงเจอเอา ๆ อริยสัจอยู่ในนั้น บ่อเกิดแก่เจ็บตายอยู่ตรงนั้น บ่อวิวัฏจักรคือบ่อที่จะให้บริสุทธิ์ผุดขึ้นถึงพระนิพพานก็ตรงนั้น อยู่จุดเดียวกัน อ่านนี้แตกแล้วอ่านออกหมดทั้งนิพพานทั้งวัฏจักรทั้งธรรมจักร
นี่พูดถึงหลักธรรมชาติทั่ว ๆ ไปทั่วแดนโลกธาตุนี้เป็นอย่างนี้ สัตว์ทั้งหลายหมุนเข้าแทบทั้งนั้นไม่มีจืดจาง การหมุนเข้าวัฏจักรวัฏวนนี้ไม่มีจืดจาง เพราะมีธรรมชาติอันหนึ่ง คือกิเลสประเภทนี้เป็นกิเลสเครื่องดึงดูดให้สัตว์ทั้งหลายพอใจ ๆ โลภก็พอใจ โกรธพอใจ ราคะตัณหาพอใจ สิ่งใดที่เป็นเรื่องของกิเลสพอใจทั้งนั้น ๆ มันมีเครื่องล่ออยู่ในนั้น ๆ ธรรมจึงฝืนยากเพราะกระแสของกิเลสนี้รุนแรงมาก ฝืนเพื่อธรรมนี่ฝืนยากเพราะอำนาจกิเลสนี้มีกำลังมาก อำนาจทางวัฏจักรวัฏวนมีกำลังมาก ฉุดทีเดียวขาดสะบั้นไปเลย
ท่านจึงบอกให้ใช้ความพยายาม ให้ใช้ความอุตส่าห์พยายาม ความอดความทน คือทนฝืนกระแสของกิเลสที่รุนแรงให้เป็นกระแสของธรรมออกมาสู่ตัวเอง ให้พยายาม ถ้าทำความดีแล้วต้องพยายาม ต้องได้ใช้ความฝืนจริง ๆ ฝืนกิเลสนั่นแหละไม่ใช่ฝืนอะไรนะ ฝืนก็ฝืนกิเลสตัวเป็นกระแสใหญ่โต ฝืนไปฝืนมาฝืนหลายครั้งหลายหน ทางนี้ก็สร้างกำลังขึ้นในตัวจากการฝืนนั้นแหละ สร้างขึ้นเรื่อย ๆ แล้วค่อยคล่องตัวเข้าไป ๆ ต่อไปรสชาติแห่งความดีก็ปรากฏขึ้นมาเรื่อย ๆ ความดูดดื่มทางด้านอรรถด้านธรรมก็มี ทีนี้ธรรมเริ่มหมุนแรงละที่นี่นะ ทางด้านธรรมะจะหมุนแรง ทางด้านกิเลสจะหมุนช้าลงไป
ทางธรรมะนี้มีกำลังก็หมุนเหมือนกัน เหมือนกับกิเลสหมุนนั่นแหละ แต่หมุนกลับ พอธรรมะมีกำลังแล้วธรรมะในหัวใจของแต่ละราย ๆ ที่บำเพ็ญมาจะหมุนแรงเข้าไป ๆ รวดเร็วเข้าไปเรื่อย ๆ หมุนกลับ หมุนไปจนกระทั่งกิเลสตัวไหนผ่านเข้ามาไม่ได้ ขาดสะบั้นเหมือนกันกับธรรมผ่านเข้าไปหากิเลสที่กระแสมันรุนแรงนั้นขาดสะบั้น เหมือนกันไม่มีอะไรผิดกัน ร้อยทั้งร้อยเหมือนกัน
คือเวลากิเลสมีกำลังมากเราจะทำคุณงามความดีนี้ ต้องฝืนเอาแทบเป็นแทบตายนะ ไม่ว่าอะไรก็ตามถ้าเป็นเรื่องของธรรมแล้วต้องได้มีสะดุดใจทั้งนั้นแหละ คือต้องฝืนกิเลส ที่จะทำอย่างคล่องตัว ๆ มีน้อย อันไหนที่คล่องตัวแล้วแสดงว่าอันนั้นได้ผ่านมาพอสมควร มีกำลังพอสมควรแล้วไม่ต้องฝืนมาก อันนี้ไม่ต้องฝืนมากมันเคยแล้วมีแต่ค่อยคล่องตัว ความดีอย่างอื่นก็ค่อยคล่องตัวไปตาม ความดีมีมากเข้า ๆ อย่างอื่น ๆ ก็ค่อยคล่องตัวเข้าไป ๆ แล้วหมุนเร็วเข้าไป หมุนกลับนะหมุนเร็วด้วย
กิเลสวัฏวนหมุนเข้า เวลากิเลสวัฏวนมีกำลังมากอยู่ในหัวใจของสัตว์โลกมันจะหมุนของมันตลอด เป็นอัตโนมัตินะ สัตว์ทั้งหลายที่มีความพอใจก็เป็นอัตโนมัติ ไม่ต้องมาบังคับให้พอใจในเครื่องล่อของกิเลส มันหากพอใจของมันเอง เวลามีธรรมเข้าไปห้ามล้อ เป็นเบรกห้ามล้อ ห้ามล้อกึ๊กนี้เจ้าของจะสะดุดรุนแรงเพราะกิเลสกับธรรมคือความดีต่อต้านกัน หลายครั้งหลายหนทางกิเลสวัฏฏ์ก็ค่อยอ่อนลง ทางธรรมนี้ก็ค่อยหมุนได้ คล่องตัวเข้าไปเรื่อย ๆ หลายครั้งหลายหนธรรมก็สั่งสมกำลังขึ้นพร้อมกัน ๆ กับการหมุนกลับของตัวเองนั่นแหละ ต่อไปก็หมุนติ้ว ๆ