[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 มีนาคม 2567 08:52:47 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: คำสอน ของ พระราชบิดา  (อ่าน 8217 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 3.0.195.33 Chrome 3.0.195.33


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 10 มกราคม 2553 04:13:06 »

ไม่มีใครที่ไม่รู้จัก พระราชบิดาแห่งวงการแพทย์ไทย สมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดชฯ  
แต่อีกหลายๆคนก็อาจจะไม่คุ้นเคยนัก  แต่พอเรากล่าวว่าพระองค์คือพระบรมราชนกของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราชาวสยาม
หลายท่านจึงถึงบางอ้อ


ข้าพเจ้าได้รู้จักพระนามของพระองค์ เมื่อตอนเข้าเรียนแพทย์ปีหนึ่ง การรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับพระองค์ไม่ได้ลึกซึ้งอะไร  หมอรุ่นพี่เพียงแต่บอกว่าพระองค์เป็นบิดาแห่งวงการแพทย์ไทย   แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าจดจำได้มากที่สุดก็คือ คำสอนหนึ่งของพระองค์  คำสอนที่ว่า " ฉันไม่ได้ต้องการให้เธอเป็นหมอเพียงประการเดียว แต่ต้องการให้เธอเป็นมนุษย์ด้วย "  ข้าพเจ้าว่าเพียงคำสอนนี้คำสอนเดียวก็มีความหมายกินใจข้าพเจ้า  ในเบื้องต้นข้าพเจ้าตีความไปว่า   การเป็นหมอก็ควรจะเป็นมนุษย์ธรรมดาๆ คนหนึ่งด้วย  การเป็นหมอไม่ใช่อะไรที่แตกต่างจากคนอื่น  หมอควรทำตัวเป็นคนธรรมดาๆ อะไรแบบนั้น  

ในความรู้สึกตอนนั้น ข้าพเจ้าว่า บรรดาหมอๆ หรือคนที่จะเป็นหมอนั้นเป็นพวกแปลกๆ  และดูจะทำตัวไม่เหมือนมนุษย์ทั่วๆไป จะว่าทำตัวสูงกว่าคนอื่นก็ไม่เชิง แต่จะเป็นพวกทำตัวไม่เหมือนคนอื่น ออกไปในลักษณะของการมีตัวตน มีความหยิ่งในตัวเอง เชื่อมั่นในตัวเอง ทำให้รู้สึกไม่ชอบใจสักเท่าไหร่  อาจเป็นเพราะ คนมาเรียนหมอมักเป็นกลุ่มคนที่หัวดี มีความฉลาดกว่าคนอื่นๆ  จึงมักหลงคิดไปว่าตัวเองแน่กว่าคนอื่นด้วยก็ไม่ทราบ จึงมีอาการดังว่า   ส่วนตัวข้าพเจ้าเองอยู่ในกลุ่มหัวปานกลางแถมไม่ได้ฉลาดสักเท่าไหร่ จึงออกอาการไม่เข้าพวกเป็นบางครั้ง  และไม่ได้อินกับอาชีพนี้แม้แต่น้อย แถมไม่ได้มุ่งมั่นที่จะมาเป็น จะมาเรียนในอาชีพนี้  ข้าพเจ้าจึงมีอาการเบื่อๆ กับการเรียนหมอ  แต่หลักคำสอนของพระราชบิดา ข้าพเจ้าชอบใจมาก  มันเป็นคำสอนที่เตือนสติให้หมอทั้งหลาย รู้จักมีความเป็นมนุษย์ หรือ ทำตัวให้เป็นคนธรรมดาๆ ติดดินเสียบ้างอะไรประมาณนี้

เป็นเวลานานหลายปีทีเดียวกว่าข้าพเจ้าจะเข้าใจคำสอนนี้อย่างลึกซึ้ง แล้วพบว่า  คำสอนนี้มีความหมายและมีคุณค่าแค่ไหน  แต่ข้าพเจ้าก็ไม่แน่ใจว่า   ความเข้าใจอันลึกซึ้งนั้นจะเหมือนกับหมอท่านอื่นๆหรือไม่   ข้าพเจ้าเป็นหมอที่จำต้องมาเป็นหมอ  บังเอิญว่าสอบติดเข้ามาโดยไม่ได้ตั้งใจ  บางคนอาจจะคิดในใจว่าดัดจริต  เพราะคนทั้งบ้านทั้งเมืองเขาก็อยากเรียนกันทั้งนั้นอาชีพนี้  แต่ข้าพเจ้ามาด้วยความบังเอิญจริงๆ   สมัยที่เรียนอยู่ชั้นมัธยมปีสุดท้าย เวลาเราจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย เราจะเลือกอันดับสูงๆ ไว้เป็นอันดับแรก แล้วก็รองลงมา  ตอนเลือกคณะนั้นเพื่อนๆบอกว่า อันดับหนึ่งต้องสูงไว้ก่อน แต่เราจะเอาคณะที่เราอยากติดจริงๆ ไว้รองลงมา  อันดับหนึ่งไม่หวัง แต่หวังอันดับสามโน่น ตอนเลือกคณะแพทย์เป็นอันดับหนึ่งข้าพเจ้ายังไปโกหกทางบ้านว่า ไม่ได้เลือกคณะนี้   ทำเอาพ่อและแม่ผิดหวัง เพราะเป็นธรรมดาของผู้ใหญ่ที่อยากจะให้เราเรียนอะไรๆ ที่ดีในสายตาของท่าน และข้าพเจ้าต้องทนแรงกดดันมาตลอด เพราะถูกบอกทั้งทางตรงและทางอ้อมให้เลือกเรียนหมอ ซึ่งเป็นวิชาชีพที่ข้าพเจ้าไม่คิดใฝ่ฝันที่จะเป็น  โรงพยาบาลเป็นสถานที่ที่ข้าพเจ้าไม่อยากเข้าที่สุด เพราะที่นั่นมีแต่ความทุกข์ มีแต่กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรค และข้าพเจ้าไม่ชอบหมอ

อันที่จริงข้าพเจ้าชอบวาดรูป อยากเรียนถาปัด ฯ หรือไม่ก็เรียนคณะวนศาตร์  แถมความฝันตอนเด็กๆของข้าพเจ้าคือการเป็นครู  ข้าพเจ้าคิดว่าครูคืออาชีพที่มีคุณค่า ครูสอนเด็กๆให้มีความรู้ เป็นแม่พิมพ์ของชาติ ดูดีและน่ายกย่องจะตาย  จำได้ว่าวันหนึ่งคุณครูประจำชั้นถามว่าโตขึ้นจะเป็นอะไร  ข้าพเจ้ากลับบอกว่า อยากเป็นครู   ทำเอาคุณครูส่ายหน้า แล้วบอกว่า เรียนก็เก่ง ไปเรียนหมอสิ  ??  แล้วทุกๆคนก็บอกว่า  ข้าพเจ้าต้องเรียนหมอ  แต่ข้าพเจ้าไม่เคยคิดจะเรียนแม้แต่น้อย

บางทีอะไรมันก็ไม่เป็นไปตามที่เราต้องการ เหตุปัจจัยบางอย่างทำให้ข้าพเจ้าต้องมาทำหน้าที่นี้  ข้าพเจ้าไม่ชอบที่จะมาอยู่ในดงคนเก่งสักเท่าไหร่  อาจเป็นเพราะเบื่อหน่ายกับการแข่งขัน ชิงดีชิงเด่น ตอนอยู่มัธยมปลาย  ข้าพเจ้าเรียนในโรงเรียนที่เขาว่าสอบเข้าคณะแพทย์ได้มากที่สุด   ที่นี่เต็มไปด้วยคนเก่ง  มีการแข่งขันกันน่าดู  มีครั้งหนึ่งที่ข้าพเจ้าเกิดสอบวิชาชีววิทยาได้คะแนนสูงสุดของทั้งสี่ห้อง  มีใครหลายคนเกิดสนใจว่า ข้าพเจ้าเป็นใครมายังไง และรู้สึกถูกลองดีลองภูมิความรู้อยู่ระยะหนึ่ง   ชีวิตอันสงบๆ แบบเดิมๆที่ไม่ค่อยมีใครสนใจจะมารู้จักของข้าพเจ้าจึงเกิดวุ่นวายขึ้นมา  พอสักพักหลายคนก็รู้ว่า ที่จริงข้าพเจ้าก็ไม่ได้เก่งอะไรสักเท่าไหร่นี่หว่า พวกเขาก็เลยเลิกสนใจที่จะมาลองภูมิอีก ทำให้ข้าพเจ้าโล่งใจและกลับมามีความสุขอีกครั้ง

 พอมาอยู่ในคณะแพทย์ก็ไม่ต่างกัน  นักเรียนแพทย์ส่วนใหญ่เอาจริงเอาจังมาก เกรดคะแนนเป็นเรื่องใหญ่ และแข่งขันกัน  แต่ข้าพเจ้าเริ่มเบื่อหน่ายการวิ่งแข่งอันนี้ และจะเลิกเรียนเสียกลางคันด้วยซ้ำ  แถมข้าพเจ้ายังไปคบหากับเพื่อนต่างคณะ เช่น วิทยาศาสตร์  มนุษยศาตร์  ไม่ค่อยเข้ากลุ่มคณะเดียวกันสักเท่าไหร่  ออกจะไปในแนวไม่ฝักใฝ่ในคณะเดียวกัน  จนเพื่อนๆ ในคณะบางคนมองว่าข้าพเจ้าท่าจะเป็นพวกมีปัญหาเข้าสังคมของหมอๆไม่ได้   ตอนนั้นข้าพเจ้าอยู่ปีหนึ่งและคิดไปไกลว่า จะสอบเอนทรานใหม่ด้วยซ้ำ

สุดท้ายข้าพเจ้าก็เข็นตัวเอง เรียนจนจบ  บางทีเราก็ไม่สามารถเลือกอะไรหรือทำอะไรตามใจจริงๆได้ถ้าเราไม่มีความกล้าพอที่จะแหกกฎแหกค่านิยมของสังคมบางอย่าง  ไม่นับรวมถึงความเสียอกเสียใจของพ่อแม่ที่อาจเกิดขึ้น ถ้าเราแหกกฏ  แล้วเลิกทำอะไรบางอย่างที่ชาวประชาทั้งหลายเขาว่าดี   ส่วนใหญ่การเรียนหมอก็คงจะดีกว่าการเรียนเป็นอะไรอย่างอื่นอยู่แล้วในสายตาของท่าน

ข้าพเจ้าจึงไม่ได้อินกับอาชีพหมอสักเท่าไหร่      แต่ข้าพเจ้าชอบคำสอนของพระราชบิดาประโยคนั้น   และนึกแสวงหาหมอที่เป็นมนุษย์ธรรมดา แบบที่พระองค์กล่าวถึง แต่ข้าพเจ้าไม่ได้พบเจอสักคน  มาเจอก็ตอนจบไปใช้ทุนปีแรก  พอเรียนจบ ข้าพเจ้าก็เลือกไปใช้ทุนในจังหวัดที่อยู่ห่างไกล แถบชายแดนทางเหนือ  ตอนเลือกนั้นไม่ต้องแย่งกับใครเพราะที่จังหวัดนั้นรับสามคน แต่มีคนเลือกลงแค่สองคนด้วยซ้ำ ภายหลังจึงได้เพิ่มมาครบสาม

 มาอยู่จังหวัดนี้รู้สึกดี ที่พบแต่พี่หมอซึ่งมีความเป็นชาวบ้านและเป็นมนุษย์ธรรมดาๆหน่อย มีเพื่อนฝูงที่เป็นหมอบ้านนอกๆ   กินอยู่ง่ายๆ ใส่เสื้อผ้าธรรมดาๆ  ไม่มีหมอที่ทำท่าเป็นหมอตลอดเวลา และมักจะคิดว่ากูคือพระเจ้าอะไรแบบนั้น  

เมื่อมาอยู่ที่จังหวัดนี้ เราทั้งหลายจะเป็นสมาชิกของ พอสว.โดยปริยาย เพราะที่นี่ห่างไกล มีออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่อยู่แล้ว  ข้าพเจ้าก็สมัครเป็นด้วย  เมื่อสมัครเป็น พอสว.หรือ แพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี  เราจะได้รับผ้ามาตัดเสื้อ เป็นเสื้อกาวน์สีเทาๆ กับสมุดพกเล่มเล็กๆ สีแดงประจำตัว  เข็มกลัด และหนังสือเล่มบางๆอีกหนึ่งเล่มที่ชื่อว่า พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอะไร




การออกหน่วยแพทย์อาสา ตอนนั้นมีออกเป็นระยะๆ แต่ที่จำได้ก็คือข้าพเจ้าได้ขึ้นเฮลิคอปเตอร์เป็นครั้งแรกในชีวิต เพราะการออกหน่วยคราวนั้น รถไปไม่ถึงต้องนั่ง ฮ.ไปลง  แถมพื้นที่ที่ไปติดชายแดนมาก จึงมีทหารหน่วยหนึ่งเดินข้ามดอยมาเป็นลูกๆ เพื่อมาคุ้มครองอารักขาเรา  เป็นการออกหน่วยที่สนุกดี  การออกหน่วยของหมอที่นั่นในสมัยนั้นเป็นเรื่องสนุกสนาน และชอบที่จะออกไปกัน  เข้าป่าเข้าดอยเหมือนได้ไปเที่ยว  ไปทำงานด้วยสนุกด้วย แต่หมอหลายคนในปัจจุบันนี้อาจจะไม่ได้คิดเช่นนั้นแล้ว

ข้าพเจ้าทำงานในอาชีพตามสมควรตามหน้าที่ เมื่อถึงเวลาเรียนต่อข้าพเจ้าก็เลือกไปเรียนต่อ  ถามว่าตอนนั้นข้าพเจ้าอินในอาชีพหรือ ภูมิใจในอาชีพหรือ ก็ยังคงไม่  แต่ข้าพเจ้าพยายามทำตามหน้าที่ให้ดีก็คงเท่านั้น

การไปเรียนหมอเฉพาะทางในสถาบันที่เก่าแก่ที่สุดครั้งนั้น ทำให้ข้าพเจ้าพบหลายสิ่งหลายอย่าง  มีคนบอกว่าที่นี่โหดมาก หมอที่มาเรียนต่อเฉพาะทางที่นี่จะต้องผจญกับอาจารย์ดุๆ ระบบเก่าๆ  ตึกเก่าๆ และทำงานเหนื่อยมากยิ่งกว่าที่ใดๆ  ข้าพเจ้าเห็นจริงตามนั้น การอยู่ที่สถาบันแห่งนี้ทำให้ข้าพเจ้าอึดอัดขัดข้องใจมากๆ แต่ความยากลำบากนั้นก็คือการสอนเราให้อดทน   แม้บางครั้งจะทนเกือบไม่ได้  แต่ข้าพเจ้าก็พบสิ่งที่ดีและมีคุณค่าที่นั่นด้วย  ข้าพเจ้าได้พบอาจารย์ดีๆ ที่แม้จะดุบ้างแต่หลายท่านมีความเป็นครูที่สูงมาก  การที่เราถูกดุด่าก็เพราะว่าเราอาจจะดูคนไข้ไม่ดี  ทำงานยังไม่เรียบร้อย   อาจารย์ท่านหนึ่งไม่เคยเรียกคนไข้ว่า คนเตียงที่ 10  คนไข้เตียงที่ 11  แต่อาจารย์เรียกชื่อคนไข้เสมอ  การเรียกชื่อคนไข้เป็นการย้ำเตือนว่า คนไข้คนนั้นไม่ใช่วัตถุสิ่งของ ไม่ใช่เตียง   การปฎิบัติต่อเขาจึงเป็นการปฎิบัติต่อมนุษย์คนหนึ่ง  ไม่ใช่วัตถุ  ทำให้เราตระหนักรู้ว่าเขาก็คือคนเช่นเรา   จำได้วันหนึ่ง เมื่อข้าพเจ้าก้าวเดินขึ้นไปตามบันไดไม้ของตึกมหิดลบำเพ็ญ รุ่นพี่ที่นับถือกัน และกำลังก้าวเดินขึ้นตึกไปด้วยกันได้บอกว่า "ขอให้น้องจำไว้เวลาก้าวเดินขึ้นบันไดตึกนี้  จงระลึกถึงพระราชบิดา ที่ท่านบริจาคพระราชทรัพย์เพื่อสร้างตึกนี้ขึ้น "  รุ่นพี่ท่านนี้เป็นอีกผู้หนึ่งที่สั่งสอนข้าพเจ้าให้รู้จักว่า  แพทย์ที่มีหัวใจเป็นมนุษย์เป็นอย่างไร  และการสอนนั้นไม่ใช่การสอนด้วยวาจา แต่เป็นการทำให้ดู ปฎิบัติให้เห็น   เป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้เห็นจริงๆจังๆว่า หมอที่แท้ควรดูแลคนไข้อย่างไร ควรมีความอดทนแค่ไหน และต้องทุ่มเทอย่างไร  และการเป็นหมอคืองานที่มีคุณค่าแค่ไหน ความเอื้ออาทร และความทุ่มเทที่รุ่นพี่ท่านนี้ปฎิบัติตอนดูแลคนไข้  ทำให้ข้าพเจ้าได้แต่คิดในใจว่า ขอเป็นได้และทำได้แค่ครึ่งหนึ่งของรุ่นพี่ท่านนี้ก็พอแล้ว และชาตินี้คงจะไม่สามารถทำได้ดีเท่ารุ่นพี่ท่านนี้เป็นแน่




ที่นี่ข้าพเจ้าได้มีโอกาสชมนิทรรศการแสดงประวัติของพระราชบิดา และมีการตั้งแสดงข้าวของบางอย่างของพระองค์ ที่ประทับใจก็คือ แผ่นกระดาษที่เป็นเหมือนสมุดบันทึกของพระองค์  พระองค์เรียนจบมาจากเมืองนอก พระองค์บันทึกสิ่งต่างๆ ในวิชาทางการแพทย์ด้วยลายมือที่อ่านง่ายและเป็นภาษาอังกฤษ  การจดบันทึกนั้นเรียบร้อยสวยงาม และเป็นการบันทึกอย่างตั้งพระทัยในการศึกษาเล่าเรียนวิชาแพทย์อย่างมากทีเดียว    เมื่อข้าพเจ้านึกถึงสมุดบันทึกวิชาความรู้ของข้าพเจ้าตอนเรียนหมอ ก็สำนึกได้ว่าไม่ได้ตั้งใจเท่าที่ควร เป็นการเขียนแบบเขี่ยๆไป  เหมือนจะสะท้อนว่า  ที่ผ่านมาตอนเรียนหมอข้าพเจ้าไม่ได้ตั้งใจจะเรียนสักเท่าไหร่ ไม่ได้ตั้งใจจะเป็นหมอสักเท่าไหร่  แต่พระราชบิดานั้น  พระองค์เห็นคุณค่าในอาชีพนี้ และพระองค์มีพระประสงค์ที่จะอยู่ในอาชีพนี้  เมื่อไปศึกษาประวัติของพระองค์โดยละเอียดมากขึ้น  ข้าพเจ้าก็พบว่าพระองค์มีพระพลานามัยไม่ค่อยแข็งแรงนัก กว่าจะเรียนจบเป็นหมอจาก Harvard medical  school มา ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย

คำสอนของพระราชบิดานั้น  เป็นคำสอนที่ลึกซึ้งและมีความหมาย  เมื่อเริ่มต้นข้าพเจ้าอาจจะไม่เข้าใจอะไรนัก ไม่ซาบซึ้งอะไรนัก  หลายๆปีผ่านไป  จึงเข้าใจและรับรู้ว่า  สิ่งที่พระองค์สอนก็คือ

" ฉันไม่ได้ต้องการให้เธอเป็นหมอเพียงประการเดียว แต่ต้องการให้เธอเป็นหมอที่มีหัวใจของความเป็นมนุษย์ด้วย "

 นั่นคือความหมายที่แท้จริงในคำสอนนี้

ในวันที่พระพี่นางสวรรคต  มีการนำเสนอพระกรณียกิจของพระองค์ เรื่องการดูแลงานพระราชกรณียกิจต่อจากสมเด็จย่า งานนั้นคืองาน หน่วยแพทย์อาสา พอสว.  และเป็นอย่างไรไม่รู้ที่ข้าพเจ้าเพิ่งนึกได้  ไม่ว่าเวลาจะผ่านเนิ่นนานแค่ไหน แม้ข้าพเจ้าจะย้ายที่ทำงานบ่อยๆ แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าจะนำติดตัวไปด้วยเสมอก็คือ เสื้อหน่วยแพทย์อาสา  สมุดพกประจำตัวแพทย์อาสาเล่มสีแดงเล็กๆนั้น   พร้อมกับหนังสือที่ชื่อว่า พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอะไร  นี่คือหนังสือธรรมะเล่มแรกสุดของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็นำมันติดตัวไปด้วยเสมอไม่ว่าจะย้ายไปทำงานที่ไหน







วันนั้นข้าพเจ้าเดินขึ้นไปบนห้องนอน พอหยิบสมุดพกเล่มสีแดงขึ้นมาเปิดดู ก็เพิ่งสังเกตว่า  ทางด้านขวาของสมุดพกที่มีลายพระหัตถ์ของสมเด็จย่านั้น   พระองค์ลงลายพระหัตถ์ให้ด้วยพระองค์เองด้วยปากกาหมึกซึม   เป็นลายพระหัตถ์จริงๆ ที่แพทย์ พอสว. ต่างได้รับ   ข้าพเจ้านึกภาพไปว่า  สมเด็จย่าคงจะใช้พระหัตถ์จับสมุดพกเล่มนี้ และแว่บหนึ่งพระองค์คงจะทอดพระเนตรดูใบหน้าของเราจากรูปถ่ายด้านซ้ายเล็กน้อย  ก่อนที่พระองค์จะลงลายพระหัตถ์นั้น  น่าแปลกใจที่ข้าพเจ้าเพิ่งจะสังเกตเห็นความสำคัญในเรื่องนี้

  พระราชบิดาสวรรคต เมื่อวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2472 พระชนมายุ 37 พรรษา 8  เดือน  23 วัน   สมเด็จย่าต้องเลี้ยงดูพระราชโอรสและพระราชธิดาเพียงลำพัง  คงไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลยสำหรับพระองค์ในขณะนั้น  สมเด็จพระพี่นางต้องช่วยพระมารดาในเรื่องนี้          ความผูกพันธ์ของสมเด็จพระพี่นางฯกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวคงมากมายนัก  มากเกินว่าที่เราทั้งหลายจะรับรู้ได้อย่างลึกซึ้งเพียงพอ ..

คำสอนของพระราชบิดา  สมุดพกประจำตัวของแพทย์ พอสว.   กับ การที่ได้เกิดมาบนผืนแผ่นดินสยามและมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราเป็นพระประมุข  และการสวรรคตของสมเด็จพระพี่นาง ฯ      ทำให้ข้าพเจ้าต้องกลับมาทบทวน และมองเข้าไปอย่างลึกซึ้งว่า   ทุกวันนี้ข้าพเจ้ามีหัวใจที่เป็นมนุษย์หรือยัง   และข้าพเจ้าได้ทำหน้าที่ดีแล้วหรือไม่   ข้าพเจ้าต้องทบทวนตัวเอง..




ขอขอบคุณที่มา : http://gotoknow.org/blog/sunmoola/224209

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
 
Sweet Jasmine
นักโพสท์ระดับ 9
****

คะแนนความดี: +8/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 503


Knowledge is not wisdom.

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 14 มกราคม 2553 17:12:45 »

ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีดี
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 11 พฤศจิกายน 2553 08:18:02 »



ไม่มีใครที่ไม่รู้จัก พระราชบิดาแห่งวงการแพทย์ไทย
สมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดชฯ 
แต่อีกหลายๆคนก็อาจจะไม่คุ้นเคยนัก  แต่พอเรากล่าวว่าพระองค์คือพระบรมราชนก
ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราชาวสยาม
หลายท่านจึงถึงบางอ้อ


ข้าพเจ้าได้รู้จักพระนามของพระองค์ เมื่อตอนเข้าเรียนแพทย์ปีหนึ่ง การรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับพระองค์ไม่ได้ลึกซึ้งอะไร  หมอรุ่นพี่เพียงแต่บอกว่าพระองค์เป็นบิดาแห่งวงการแพทย์ไทย   แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าจดจำได้มากที่สุดก็คือ คำสอนหนึ่งของพระองค์  คำสอนที่ว่า " ฉันไม่ได้ต้องการให้เธอเป็นหมอเพียงประการเดียว แต่ต้องการให้เธอเป็นมนุษย์ด้วย "  ข้าพเจ้าว่าเพียงคำสอนนี้คำสอนเดียวก็มีความหมายกินใจข้าพเจ้า  ในเบื้องต้นข้าพเจ้าตีความไปว่า   การเป็นหมอก็ควรจะเป็นมนุษย์ธรรมดาๆ คนหนึ่งด้วย  การเป็นหมอไม่ใช่อะไรที่แตกต่างจากคนอื่น  หมอควรทำตัวเป็นคนธรรมดาๆ อะไรแบบนั้น 

ในความรู้สึกตอนนั้น ข้าพเจ้าว่า บรรดาหมอๆ หรือคนที่จะเป็นหมอนั้นเป็นพวกแปลกๆ  และดูจะทำตัวไม่เหมือนมนุษย์ทั่วๆไป จะว่าทำตัวสูงกว่าคนอื่นก็ไม่เชิง แต่จะเป็นพวกทำตัวไม่เหมือนคนอื่น ออกไปในลักษณะของการมีตัวตน มีความหยิ่งในตัวเอง เชื่อมั่นในตัวเอง ทำให้รู้สึกไม่ชอบใจสักเท่าไหร่  อาจเป็นเพราะ คนมาเรียนหมอมักเป็นกลุ่มคนที่หัวดี มีความฉลาดกว่าคนอื่นๆ  จึงมักหลงคิดไปว่าตัวเองแน่กว่าคนอื่นด้วยก็ไม่ทราบ จึงมีอาการดังว่า   ส่วนตัวข้าพเจ้าเองอยู่ในกลุ่มหัวปานกลางแถมไม่ได้ฉลาดสักเท่าไหร่ จึงออกอาการไม่เข้าพวกเป็นบางครั้ง  และไม่ได้อินกับอาชีพนี้แม้แต่น้อย แถมไม่ได้มุ่งมั่นที่จะมาเป็น จะมาเรียนในอาชีพนี้  ข้าพเจ้าจึงมีอาการเบื่อๆ กับการเรียนหมอ แต่หลักคำสอนของพระราชบิดา ข้าพเจ้าชอบใจมาก  มันเป็นคำสอนที่เตือนสติให้หมอทั้งหลาย รู้จักมีความเป็นมนุษย์ หรือ ทำตัวให้เป็นคนธรรมดาๆ ติดดินเสียบ้างอะไรประมาณนี้

เป็นเวลานานหลายปีทีเดียวกว่าข้าพเจ้าจะเข้าใจคำสอนนี้อย่างลึกซึ้ง แล้วพบว่า  คำสอนนี้มีความหมายและมีคุณค่าแค่ไหน  แต่ข้าพเจ้าก็ไม่แน่ใจว่า   ความเข้าใจอันลึกซึ้งนั้นจะเหมือนกับหมอท่านอื่นๆหรือไม่   ข้าพเจ้าเป็นหมอที่จำต้องมาเป็นหมอ  บังเอิญว่าสอบติดเข้ามาโดยไม่ได้ตั้งใจ  บางคนอาจจะคิดในใจว่าดัดจริต  เพราะคนทั้งบ้านทั้งเมืองเขาก็อยากเรียนกันทั้งนั้นอาชีพนี้  แต่ข้าพเจ้ามาด้วยความบังเอิญจริงๆ   สมัยที่เรียนอยู่ชั้นมัธยมปีสุดท้าย เวลาเราจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย เราจะเลือกอันดับสูงๆ ไว้เป็นอันดับแรก แล้วก็รองลงมา  ตอนเลือกคณะนั้นเพื่อนๆบอกว่า อันดับหนึ่งต้องสูงไว้ก่อน แต่เราจะเอาคณะที่เราอยากติดจริงๆ ไว้รองลงมา  อันดับหนึ่งไม่หวัง แต่หวังอันดับสามโน่น ตอนเลือกคณะแพทย์เป็นอันดับหนึ่งข้าพเจ้ายังไปโกหกทางบ้านว่า ไม่ได้เลือกคณะนี้   ทำเอาพ่อและแม่ผิดหวัง เพราะเป็นธรรมดาของผู้ใหญ่ที่อยากจะให้เราเรียนอะไรๆ ที่ดีในสายตาของท่าน และข้าพเจ้าต้องทนแรงกดดันมาตลอด เพราะถูกบอกทั้งทางตรงและทางอ้อมให้เลือกเรียนหมอ ซึ่งเป็นวิชาชีพที่ข้าพเจ้าไม่คิดใฝ่ฝันที่จะเป็น  โรงพยาบาลเป็นสถานที่ที่ข้าพเจ้าไม่อยากเข้าที่สุด เพราะที่นั่นมีแต่ความทุกข์ มีแต่กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรค และข้าพเจ้าไม่ชอบหมอ

อันที่จริงข้าพเจ้าชอบวาดรูป อยากเรียนถาปัด ฯ หรือไม่ก็เรียนคณะวนศาตร์  แถมความฝันตอนเด็กๆของข้าพเจ้าคือการเป็นครู  ข้าพเจ้าคิดว่าครูคืออาชีพที่มีคุณค่า ครูสอนเด็กๆให้มีความรู้ เป็นแม่พิมพ์ของชาติ ดูดีและน่ายกย่องจะตาย  จำได้ว่าวันหนึ่งคุณครูประจำชั้นถามว่าโตขึ้นจะเป็นอะไร  ข้าพเจ้ากลับบอกว่า อยากเป็นครู   ทำเอาคุณครูส่ายหน้า แล้วบอกว่า เรียนก็เก่ง ไปเรียนหมอสิ  ??  แล้วทุกๆคนก็บอกว่า  ข้าพเจ้าต้องเรียนหมอ  แต่ข้าพเจ้าไม่เคยคิดจะเรียนแม้แต่น้อย

บางทีอะไรมันก็ไม่เป็นไปตามที่เราต้องการ เหตุปัจจัยบางอย่างทำให้ข้าพเจ้าต้องมาทำหน้าที่นี้  ข้าพเจ้าไม่ชอบที่จะมาอยู่ในดงคนเก่งสักเท่าไหร่  อาจเป็นเพราะเบื่อหน่ายกับการแข่งขัน ชิงดีชิงเด่น ตอนอยู่มัธยมปลาย  ข้าพเจ้าเรียนในโรงเรียนที่เขาว่าสอบเข้าคณะแพทย์ได้มากที่สุด   ที่นี่เต็มไปด้วยคนเก่ง  มีการแข่งขันกันน่าดู  มีครั้งหนึ่งที่ข้าพเจ้าเกิดสอบวิชาชีววิทยาได้คะแนนสูงสุดของทั้งสี่ห้อง  มีใครหลายคนเกิดสนใจว่า ข้าพเจ้าเป็นใครมายังไง และรู้สึกถูกลองดีลองภูมิความรู้อยู่ระยะหนึ่ง   ชีวิตอันสงบๆ แบบเดิมๆที่ไม่ค่อยมีใครสนใจจะมารู้จักของข้าพเจ้าจึงเกิดวุ่นวายขึ้นมา  พอสักพักหลายคนก็รู้ว่า ที่จริงข้าพเจ้าก็ไม่ได้เก่งอะไรสักเท่าไหร่นี่หว่า พวกเขาก็เลยเลิกสนใจที่จะมาลองภูมิอีก ทำให้ข้าพเจ้าโล่งใจและกลับมามีความสุขอีกครั้ง

 พอมาอยู่ในคณะแพทย์ก็ไม่ต่างกัน  นักเรียนแพทย์ส่วนใหญ่เอาจริงเอาจังมาก เกรดคะแนนเป็นเรื่องใหญ่ และแข่งขันกัน  แต่ข้าพเจ้าเริ่มเบื่อหน่ายการวิ่งแข่งอันนี้ และจะเลิกเรียนเสียกลางคันด้วยซ้ำ  แถมข้าพเจ้ายังไปคบหากับเพื่อนต่างคณะ เช่น วิทยาศาสตร์  มนุษยศาตร์  ไม่ค่อยเข้ากลุ่มคณะเดียวกันสักเท่าไหร่  ออกจะไปในแนวไม่ฝักใฝ่ในคณะเดียวกัน  จนเพื่อนๆ ในคณะบางคนมองว่าข้าพเจ้าท่าจะเป็นพวกมีปัญหาเข้าสังคมของหมอๆไม่ได้   ตอนนั้นข้าพเจ้าอยู่ปีหนึ่งและคิดไปไกลว่า จะสอบเอนทรานใหม่ด้วยซ้ำ

สุดท้ายข้าพเจ้าก็เข็นตัวเอง เรียนจนจบ  บางทีเราก็ไม่สามารถเลือกอะไรหรือทำอะไรตามใจจริงๆได้ถ้าเราไม่มีความกล้าพอที่จะแหกกฎแหกค่านิยมของสังคมบางอย่าง  ไม่นับรวมถึงความเสียอกเสียใจของพ่อแม่ที่อาจเกิดขึ้น ถ้าเราแหกกฏ  แล้วเลิกทำอะไรบางอย่างที่ชาวประชาทั้งหลายเขาว่าดี   ส่วนใหญ่การเรียนหมอก็คงจะดีกว่าการเรียนเป็นอะไรอย่างอื่นอยู่แล้วในสายตาของท่าน

ข้าพเจ้าจึงไม่ได้อินกับอาชีพหมอสักเท่าไหร่      แต่ข้าพเจ้าชอบคำสอนของพระราชบิดาประโยคนั้น   และนึกแสวงหาหมอที่เป็นมนุษย์ธรรมดา แบบที่พระองค์กล่าวถึง แต่ข้าพเจ้าไม่ได้พบเจอสักคน  มาเจอก็ตอนจบไปใช้ทุนปีแรก  พอเรียนจบ ข้าพเจ้าก็เลือกไปใช้ทุนในจังหวัดที่อยู่ห่างไกล แถบชายแดนทางเหนือ  ตอนเลือกนั้นไม่ต้องแย่งกับใครเพราะที่จังหวัดนั้นรับสามคน แต่มีคนเลือกลงแค่สองคนด้วยซ้ำ ภายหลังจึงได้เพิ่มมาครบสาม

 มาอยู่จังหวัดนี้รู้สึกดี ที่พบแต่พี่หมอซึ่งมีความเป็นชาวบ้านและเป็นมนุษย์ธรรมดาๆหน่อย มีเพื่อนฝูงที่เป็นหมอบ้านนอกๆ   กินอยู่ง่ายๆ ใส่เสื้อผ้าธรรมดาๆ  ไม่มีหมอที่ทำท่าเป็นหมอตลอดเวลา และมักจะคิดว่ากูคือพระเจ้าอะไรแบบนั้น 

เมื่อมาอยู่ที่จังหวัดนี้ เราทั้งหลายจะเป็นสมาชิกของ พอสว.โดยปริยาย เพราะที่นี่ห่างไกล มีออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่อยู่แล้ว  ข้าพเจ้าก็สมัครเป็นด้วย  เมื่อสมัครเป็น พอสว.หรือ แพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี  เราจะได้รับผ้ามาตัดเสื้อ เป็นเสื้อกาวน์สีเทาๆ กับสมุดพกเล่มเล็กๆ สีแดงประจำตัว  เข็มกลัด และหนังสือเล่มบางๆอีกหนึ่งเล่มที่ชื่อว่า พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอะไร




การออกหน่วยแพทย์อาสา ตอนนั้นมีออกเป็นระยะๆ แต่ที่จำได้ก็คือข้าพเจ้าได้ขึ้นเฮลิคอปเตอร์เป็นครั้งแรกในชีวิต เพราะการออกหน่วยคราวนั้น รถไปไม่ถึงต้องนั่ง ฮ.ไปลง  แถมพื้นที่ที่ไปติดชายแดนมาก จึงมีทหารหน่วยหนึ่งเดินข้ามดอยมาเป็นลูกๆ เพื่อมาคุ้มครองอารักขาเรา  เป็นการออกหน่วยที่สนุกดี  การออกหน่วยของหมอที่นั่นในสมัยนั้นเป็นเรื่องสนุกสนาน และชอบที่จะออกไปกัน  เข้าป่าเข้าดอยเหมือนได้ไปเที่ยว  ไปทำงานด้วยสนุกด้วย แต่หมอหลายคนในปัจจุบันนี้อาจจะไม่ได้คิดเช่นนั้นแล้ว

ข้าพเจ้าทำงานในอาชีพตามสมควรตามหน้าที่ เมื่อถึงเวลาเรียนต่อข้าพเจ้าก็เลือกไปเรียนต่อ  ถามว่าตอนนั้นข้าพเจ้าอินในอาชีพหรือ ภูมิใจในอาชีพหรือ ก็ยังคงไม่  แต่ข้าพเจ้าพยายามทำตามหน้าที่ให้ดีก็คงเท่านั้น

การไปเรียนหมอเฉพาะทางในสถาบันที่เก่าแก่ที่สุดครั้งนั้น ทำให้ข้าพเจ้าพบหลายสิ่งหลายอย่าง  มีคนบอกว่าที่นี่โหดมาก หมอที่มาเรียนต่อเฉพาะทางที่นี่จะต้องผจญกับอาจารย์ดุๆ ระบบเก่าๆ  ตึกเก่าๆ และทำงานเหนื่อยมากยิ่งกว่าที่ใดๆ  ข้าพเจ้าเห็นจริงตามนั้น การอยู่ที่สถาบันแห่งนี้ทำให้ข้าพเจ้าอึดอัดขัดข้องใจมากๆ แต่ความยากลำบากนั้นก็คือการสอนเราให้อดทน   แม้บางครั้งจะทนเกือบไม่ได้  แต่ข้าพเจ้าก็พบสิ่งที่ดีและมีคุณค่าที่นั่นด้วย  ข้าพเจ้าได้พบอาจารย์ดีๆ ที่แม้จะดุบ้างแต่หลายท่านมีความเป็นครูที่สูงมาก  การที่เราถูกดุด่าก็เพราะว่าเราอาจจะดูคนไข้ไม่ดี  ทำงานยังไม่เรียบร้อย   อาจารย์ท่านหนึ่งไม่เคยเรียกคนไข้ว่า คนเตียงที่ 10  คนไข้เตียงที่ 11  แต่อาจารย์เรียกชื่อคนไข้เสมอ  การเรียกชื่อคนไข้เป็นการย้ำเตือนว่า คนไข้คนนั้นไม่ใช่วัตถุสิ่งของ ไม่ใช่เตียง   การปฎิบัติต่อเขาจึงเป็นการปฎิบัติต่อมนุษย์คนหนึ่ง  ไม่ใช่วัตถุ  ทำให้เราตระหนักรู้ว่าเขาก็คือคนเช่นเรา   จำได้วันหนึ่ง เมื่อข้าพเจ้าก้าวเดินขึ้นไปตามบันไดไม้ของตึกมหิดลบำเพ็ญ รุ่นพี่ที่นับถือกัน และกำลังก้าวเดินขึ้นตึกไปด้วยกันได้บอกว่า "ขอให้น้องจำไว้เวลาก้าวเดินขึ้นบันไดตึกนี้  จงระลึกถึงพระราชบิดา ที่ท่านบริจาคพระราชทรัพย์เพื่อสร้างตึกนี้ขึ้น "  รุ่นพี่ท่านนี้เป็นอีกผู้หนึ่งที่สั่งสอนข้าพเจ้าให้รู้จักว่า  แพทย์ที่มีหัวใจเป็นมนุษย์เป็นอย่างไร  และการสอนนั้นไม่ใช่การสอนด้วยวาจา แต่เป็นการทำให้ดู ปฎิบัติให้เห็น   เป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้เห็นจริงๆจังๆว่า หมอที่แท้ควรดูแลคนไข้อย่างไร ควรมีความอดทนแค่ไหน และต้องทุ่มเทอย่างไร  และการเป็นหมอคืองานที่มีคุณค่าแค่ไหน ความเอื้ออาทร และความทุ่มเทที่รุ่นพี่ท่านนี้ปฎิบัติตอนดูแลคนไข้  ทำให้ข้าพเจ้าได้แต่คิดในใจว่า ขอเป็นได้และทำได้แค่ครึ่งหนึ่งของรุ่นพี่ท่านนี้ก็พอแล้ว และชาตินี้คงจะไม่สามารถทำได้ดีเท่ารุ่นพี่ท่านนี้เป็นแน่




ที่นี่ข้าพเจ้าได้มีโอกาสชมนิทรรศการแสดงประวัติของพระราชบิดา และมีการตั้งแสดงข้าวของบางอย่างของพระองค์ ที่ประทับใจก็คือ แผ่นกระดาษที่เป็นเหมือนสมุดบันทึกของพระองค์  พระองค์เรียนจบมาจากเมืองนอก พระองค์บันทึกสิ่งต่างๆ ในวิชาทางการแพทย์ด้วยลายมือที่อ่านง่ายและเป็นภาษาอังกฤษ  การจดบันทึกนั้นเรียบร้อยสวยงาม และเป็นการบันทึกอย่างตั้งพระทัยในการศึกษาเล่าเรียนวิชาแพทย์อย่างมากทีเดียว    เมื่อข้าพเจ้านึกถึงสมุดบันทึกวิชาความรู้ของข้าพเจ้าตอนเรียนหมอ ก็สำนึกได้ว่าไม่ได้ตั้งใจเท่าที่ควร เป็นการเขียนแบบเขี่ยๆไป  เหมือนจะสะท้อนว่า  ที่ผ่านมาตอนเรียนหมอข้าพเจ้าไม่ได้ตั้งใจจะเรียนสักเท่าไหร่ ไม่ได้ตั้งใจจะเป็นหมอสักเท่าไหร่  แต่พระราชบิดานั้น  พระองค์เห็นคุณค่าในอาชีพนี้ และพระองค์มีพระประสงค์ที่จะอยู่ในอาชีพนี้  เมื่อไปศึกษาประวัติของพระองค์โดยละเอียดมากขึ้น  ข้าพเจ้าก็พบว่าพระองค์มีพระพลานามัยไม่ค่อยแข็งแรงนัก กว่าจะเรียนจบเป็นหมอจาก Harvard medical  school มา ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย

คำสอนของพระราชบิดานั้น  เป็นคำสอนที่ลึกซึ้งและมีความหมาย  เมื่อเริ่มต้นข้าพเจ้าอาจจะไม่เข้าใจอะไรนัก ไม่ซาบซึ้งอะไรนัก  หลายๆปีผ่านไป  จึงเข้าใจและรับรู้ว่า  สิ่งที่พระองค์สอนก็คือ

" ฉันไม่ได้ต้องการให้เธอเป็นหมอเพียงประการเดียว แต่ต้องการให้เธอเป็นหมอที่มีหัวใจของความเป็นมนุษย์ด้วย "

 นั่นคือความหมายที่แท้จริงในคำสอนนี้

ในวันที่พระพี่นางสวรรคต  มีการนำเสนอพระกรณียกิจของพระองค์ เรื่องการดูแลงานพระราชกรณียกิจต่อจากสมเด็จย่า งานนั้นคืองาน หน่วยแพทย์อาสา พอสว.  และเป็นอย่างไรไม่รู้ที่ข้าพเจ้าเพิ่งนึกได้  ไม่ว่าเวลาจะผ่านเนิ่นนานแค่ไหน แม้ข้าพเจ้าจะย้ายที่ทำงานบ่อยๆ แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าจะนำติดตัวไปด้วยเสมอก็คือ เสื้อหน่วยแพทย์อาสา  สมุดพกประจำตัวแพทย์อาสาเล่มสีแดงเล็กๆนั้น   พร้อมกับหนังสือที่ชื่อว่า พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอะไร  นี่คือหนังสือธรรมะเล่มแรกสุดของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็นำมันติดตัวไปด้วยเสมอไม่ว่าจะย้ายไปทำงานที่ไหน






วันนั้นข้าพเจ้าเดินขึ้นไปบนห้องนอน พอหยิบสมุดพกเล่มสีแดงขึ้นมาเปิดดู ก็เพิ่งสังเกตว่า  ทางด้านขวาของสมุดพกที่มีลายพระหัตถ์ของสมเด็จย่านั้น   พระองค์ลงลายพระหัตถ์ให้ด้วยพระองค์เองด้วยปากกาหมึกซึม   เป็นลายพระหัตถ์จริงๆ ที่แพทย์ พอสว. ต่างได้รับ   ข้าพเจ้านึกภาพไปว่า  สมเด็จย่าคงจะใช้พระหัตถ์จับสมุดพกเล่มนี้ และแว่บหนึ่งพระองค์คงจะทอดพระเนตรดูใบหน้าของเราจากรูปถ่ายด้านซ้ายเล็กน้อย  ก่อนที่พระองค์จะลงลายพระหัตถ์นั้น  น่าแปลกใจที่ข้าพเจ้าเพิ่งจะสังเกตเห็นความสำคัญในเรื่องนี้

  พระราชบิดาสวรรคต เมื่อวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2472 พระชนมายุ 37 พรรษา 8  เดือน  23 วัน   สมเด็จย่าต้องเลี้ยงดูพระราชโอรสและพระราชธิดาเพียงลำพัง  คงไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลยสำหรับพระองค์ในขณะนั้น  สมเด็จพระพี่นางต้องช่วยพระมารดาในเรื่องนี้          ความผูกพันธ์ของสมเด็จพระพี่นางฯกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวคงมากมายนัก  มากเกินว่าที่เราทั้งหลายจะรับรู้ได้อย่างลึกซึ้งเพียงพอ ..

คำสอนของพระราชบิดา  สมุดพกประจำตัวของแพทย์ พอสว.   กับ การที่ได้เกิดมาบนผืนแผ่นดินสยามและมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราเป็นพระประมุข  และการสวรรคตของสมเด็จพระพี่นาง ฯ      ทำให้ข้าพเจ้าต้องกลับมาทบทวน และมองเข้าไปอย่างลึกซึ้งว่า   ทุกวันนี้ข้าพเจ้ามีหัวใจที่เป็นมนุษย์หรือยัง   และข้าพเจ้าได้ทำหน้าที่ดีแล้วหรือไม่   ข้าพเจ้าต้องทบทวนตัวเอง..


ขอบพระคุณที่มา : http://gotoknow.org/blog/sunmoola/224209



อนุโมทนาสาธุค่ะ น้องแม๊ค ขออนุญาตนำไปแบ่งปัน
                                         ขอบคุณนะคะ
บันทึกการเข้า
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 2.0.157.2 Chrome 2.0.157.2


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 11 พฤศจิกายน 2553 08:35:16 »

เต็มที่เลยครับ สาระความรู้มีเอาไว้แบ่งปันอยู่แล้วครับ

 ขำ ขำ ขำ ขำ
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
อานิสงส์ การจัดสร้าง พระพุทธรูป หรือ สิ่งพิมพ์ อันเกี่ยวกับ พระธรรม คำสอน
กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ
【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪ 0 2459 กระทู้ล่าสุด 26 ธันวาคม 2552 17:12:45
โดย 【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪
คำสอน ของ ลามะหนุ่มแห่งเนปาล ( อ่านซับ ไทย )
จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
มดเอ๊ก 1 14552 กระทู้ล่าสุด 26 พฤศจิกายน 2553 11:31:07
โดย หมีงงในพงหญ้า
คำสอน หลวงพ่อชา จากหนังสืออภิมหามงคลธรรม
ธรรมะจากพระอาจารย์
เงาฝัน 1 2500 กระทู้ล่าสุด 22 มิถุนายน 2554 19:56:23
โดย หมีงงในพงหญ้า
คติธรรม คำสอน :ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ราชมานิต
ธรรมะจากพระอาจารย์
เงาฝัน 11 19774 กระทู้ล่าสุด 10 กุมภาพันธ์ 2556 11:59:57
โดย เงาฝัน
คำสอน 100 บท ของ ท่านปา ดัมพะ ซังเจ
จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
มดเอ๊ก 0 1258 กระทู้ล่าสุด 11 กรกฎาคม 2559 17:17:45
โดย มดเอ๊ก
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.865 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 19 มีนาคม 2567 06:32:57