[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
28 เมษายน 2567 06:47:21 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า:  [1] 2 3   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: "เกษตรน่ารู้" สารพัดสารพันเรื่องพันธุ์ไม้  (อ่าน 85840 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5462


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 9.0 MS Internet Explorer 9.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 26 มิถุนายน 2556 10:47:43 »

.
เขิน เกษตรน่ารู้....
 สารพัด-สารพัน  เรื่องพันธุ์ไม้

http://www.nanagarden.com/Picture/Product/400/173619.jpg
"เกษตรน่ารู้" สารพัดสารพันเรื่องพันธุ์ไม้

     มะขามป้อมยักษ์
โดยธรรมชาติของมะขามป้อมทั่วไป  จะมีดอกและติดผลเพียงปีละครั้ง ในช่วงระหว่างเดือนมกราคม ต่อเนื่องไปจนถึงเก็บผลผลิตได้ในช่วงเดือนเมษายนเป็นประจำ ส่วน "มะขามป้อมยักษ์พันธุ์ใหม่" เป็นสายพันธุ์ที่มีดอกและติดผลได้ตลอดทั้งปี ทำให้สามารถเก็บผลผลิตไปใช้ประโยชน์หรือแปรรูปได้ไม่ขาดระยะ และที่สำคัญ "มะขามป้อมยักษ์พันธุ์ใหม่" จะมีผลขนาดใหญ่กว่าผลของมะขามป้อมพันธุ์ดั้งเดิมอีกด้วย เมื่อนำผลไปใช้ประโยชน์ จึงทำให้ได้ปริมาณเพิ่มมากขึ้นเป็น ๒ เท่าของจำนวนผลเท่ากันอย่างชัดเจน ปลูกแล้วจึงคุ้มค่ามาก

มะขามป้อมยักษ์พันธุ์ใหม่ หรือ EMBLIC MYROBALAN PHYLLANTHUS EMBLIC LINN. อยู่ในวงศ์ EUPHORBIACEAE เป็นหนึ่งในหลายๆสายพันธุ์ที่มีถิ่นกำเนิดจากประเทศอินเดีย ถูกนำเข้ามาปลูกและขยายพันธุ์ในประเทศไทยนานแล้ว ส่วนใหญ่มะ-ขามป้อมจากอินเดียจะมีผลขนาดใหญ่เป็นเอกลักษณ์ เป็นไม้ยืนต้น สูง ๘-๑๒ เมตร ใบเดี่ยว ออกสลับในระนาบเดียวกัน รูปขอบขนาน ดอกสีเหลืองนวล ออกเป็นกระจุกตามซอกใบ เป็นดอกแยกเพศบนต้นเดียวกัน

ผล กลมแป้นหรือค่อนข้างกลม ผลโตเต็มที่มีขนาดใหญ่เกือบเท่าเหรียญ ๑๐ บาทไทย ผลเป็นสีเขียวอ่อน เมล็ดเล็ก เนื้อเยอะ ฉ่ำน้ำ รสเปรี้ยวปนฝาดเหมือนรสชาติมะขามป้อมทั่วไป หนึ่งผลมี ๑ เมล็ด ติดผลดกตลอดทั้งปีตามที่กล่าวข้างต้น ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด และตอนกิ่ง
 ไทยรัฐ - พฤหัสบดีที่ ๒๐/๖/๕๖  


     มะขามป้อมยักษ์ต้นเตี้ย  ผลดกทั้งปี
มะขามป้อมชนิดนี้ เป็นพันธุ์ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาจากมะขามป้อมพันธุ์พื้นเมืองของไทย ซึ่งพันธุ์ดั้งเดิมต้นจะสูง ๘-๑๒ เมตร และจะติดผลเพียงปีละครั้งระหว่างเดือนมกราคม-เมษายนทุกปี หลังจากได้ต้นพันธุ์ใหม่แล้วได้นำไปปลูกเลี้ยงจนเติบโต ปรากฏว่าต้นเป็นพุ่มเตี้ย สูงเต็มที่เพียง ๑-๓ เมตรเท่านั้น สามารถติดผลดกเป็นพวงสวยงามน่าชมมาก ผลมีขนาดใหญ่กว่าพันธุ์เดิมอย่างชัดเจน เมื่อผลโตเต็มที่จะมีขนาดใหญ่เกือบเท่าลูกปิงปอง หรือลูกกอล์ฟ ที่สำคัญจะติดผลตลอดทั้งปีอีกด้วย เจ้าของผู้พัฒนาพันธุ์จึงทำการปลูกทดสอบพันธุ์อยู่หลายทอด ทั้งด้วยวิธีตอนกิ่งและปลูกด้วยเมล็ด ขนาดของต้นยังคงที่คือ สูง ๑-๓ เมตร เหมือนเดิม  จึงเชื่อว่าเป็นมะขามป้อมพันธุ์ใหม่แบบถาวรแล้ว จึงตั้งชื่อว่า “มะขามป้อมยักษ์ต้นเตี้ย” และขยายพันธุ์ด้วยวิธีทาบกิ่งออกวางขายได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายอยู่ในเวลานี้
 
มะขามป้อมยักษ์ต้นเตี้ย เป็นไม้พุ่มยืนต้น สูง ๑-๓  เมตร ใบเดี่ยว ออกเรียงสลับในระนาบเดียวกัน ใบรูปขอบขนาน ปลายแหลม โคนมน ดอกเป็นสีเหลือง ออกตามซอกใบ เป็นดอกแยกเพศบนต้นเดียวกัน “ผล” ค่อนข้าง กลม ผลมีขนาดใหญ่ตามที่กล่าวข้างต้น ๑ ผล มี ๑ เมล็ด ผลเป็นสีเขียว รสชาติเปรี้ยวปนฝาด ฉ่ำน้ำ ติดผลทั้งปี
 
ใครต้องการกิ่งพันธุ์ไปปลูก ติดต่อ “คุณสุวรรณ คำเขียว” หรือ “ณัฐพนธ์ฟาร์ม” ๔๘๔ หมู่ ๗ ต.โคกไม้ลาย อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี  ราคาสอบถามกันเอง เป็นกิ่งพันธุ์ที่ขยายพันธุ์ด้วยวิธีทาบกิ่ง ทำให้ติดผลเร็วขึ้น   ปลูกได้ในดินทั่วไป เจริญเติบโตดีในดินร่วนปนทราย เหมาะจะปลูกเพื่อเก็บผลรับประทานในครัวเรือน และปลูกเพื่อเก็บผลขายนำไปใช้ทางสมุนไพรรักษาได้หลากหลายชนิด โดยเฉพาะสามารถปลูกลงกระถางปูนขนาดใหญ่ตามภาพประกอบคอลัมน์ ใช้เวลาเพียง ๑-๒ ปี จะให้ผลผลิตเป็นชุดแรกและติดผลได้ต่อเนื่อง ไม่ขาดต้นครับ.
 ไทยรัฐ - อังคารที่ ๒๘/๑/๕๗  



     "มะขามป้อมยักษ์ต้นเตี้ย"  
ผมเคยแนะนำมะขามป้อมชนิดนี้ไปแล้ว แต่จะมีกิ่งขายเฉพาะแหล่ง ไม่มีวางขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับสวนจตุจักร ที่เปิดขายเฉพาะไม้ดอกไม้ผลทุกวันพุธ-พฤหัสฯ จึงทำให้ผู้อ่านไทยรัฐจำนวนมากที่ชอบปลูกมะขามป้อมเดินทางไปซื้อยังแหล่งจำหน่ายไม่ได้ และสอบถามกันเยอะ

มะขามป้อมยักษ์ต้นเตี้ย เป็นพันธุ์ที่พัฒนาขึ้นจากมะขามป้อมพันธุ์พื้นเมืองของไทยดั้งเดิมที่ต้นสูง ๘-๑๒ เมตร และจะติดผลปีละครั้งระหว่างเดือนมกราคม-เมษายน ทุกปี จากนั้นก็เอาต้นกล้าไปปลูกปรากฏว่าต้นสูง ๑-๓ เมตร สามารถติดผลดกเต็มต้นเป็นพวง ผลมีขนาดใหญ่เกือบเท่าลูกปิงปอง หรือลูกกอล์ฟและติดผลทั้งปีด้วย เจ้าของเชื่อว่าเป็นพันธุ์ใหม่จึงขยายพันธุ์หลายรูปแบบ นำไปปลูกทดสอบพันธุ์จนมั่นใจแล้วว่ากลายพันธุ์ถาวรแล้ว จากนั้นได้ขยายพันธุ์ตอนกิ่งออกวางขาย ได้รับความนิยมจากผู้ซื้อไปปลูกแพร่หลายในเวลานี้

มะขามป้อมยักษ์ต้นเตี้ย มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เช่นเดียวกับมะขามป้อมทั่วไป เพียงแต่ความสูงของต้นจะสูงเพียง ๑-๓ เมตร เท่านั้นก็สามารถติดผลได้ ใบออกเรียงสลับรูปขอบขนาน ปลายแหลม โคนมน ดอกสีเหลือง ออกตามซอกใบ “ผล” ค่อนข้างกลม ผลขนาดใหญ่ตามที่กล่าวข้างต้น มี ๑ เมล็ด ผลสีเขียว รสเปรี้ยวปนฝาด ฉํ่านํ้า ติดผลทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง และเสียบยอด.
  ไทยรัฐ - ศุกร์ที่ ๗/๓/๕๗


    มะขามป้อมแดงนาเตย
มะขามป้อมชนิดนี้ นำเข้าจากประเทศอินเดียนานกว่า ๓-๔ ปีแล้ว สามารถปลูกและขยายพันธุ์ให้เจริญเติบโตและติดผลดกได้ดีเหมือนกับปลูกและขยายพันธุ์ในถิ่นกำเนิดเดิมทุกอย่าง มีข้อแตกต่างจากมะขามป้อมสายพันธุ์จากประเทศอินเดียและมะขามป้อมพันธุ์ไทยทั่วไปคือ ผลจะมีขนาดใหญ่กว่า โดยผลโตเต็มที่ใหญ่กว่าเหรียญ ๑๐ บาทไทยอย่างชัดเจน ส่วนที่มาของชื่อนั้น เนื่องจากเวลาผลแก่จัดสีของผลจะเป็นสีแดงปนสีน้ำตาลเล็กน้อย ผู้นำพันธุ์เข้ามาปลูกและขยายพันธุ์เลยตั้งชื่อเป็นไทยว่า “มะขามป้อมแดงนาเตย” ดังกล่าว

มะขามป้อมแดงนาเตย หรือ EMBLIC MYROBALAN PHYLLATHUS EMBLICA LINN. อยู่ในวงศ์ EUPHORBIACEAE มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับมะขามป้อมทั่วไปทุกอย่าง ดอก ออกเป็นช่อกระจุกตามซอกใบ เป็นสีเหลืองนวลน่าชมมาก “ผล” รูปกลมรีหรือเกือบกลม ผลเมื่อโตเต็มที่จะมีขนาดใหญ่กว่าเหรียญ ๑๐ บาทไทยตามที่กล่าวข้างต้น ผิวผลเมื่อแก่จัดเป็นสีแดงปนสีน้ำตาลเล็กน้อย เนื้อในฉ่ำน้ำ เป็นสีเขียวอ่อน รสชาติเหมือนกับมะขามป้อมทั่วไปคือ เปรี้ยวปนฝาด ๑ ผล มี ๑ เมล็ด ติดผลดกเต็มต้นตามฤดูกาลระหว่างเดือน มกราคม-เมษายน หรือติดผลได้เรื่อยๆ เกือบทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง

ใครต้องการกิ่งตอนของ “มะขามป้อมแดงนาเตย” ไปปลูก ติดต่อ “คุณวิเชียร บุญเกิด หมู่ ๑ ต.อ่างทอง อ.เมือง จ.กำแพงเพชร และนอกจากจะมีกิ่งตอนของ “มะขามป้อมแดงนาเตย” ขายแล้ว ยังมีกิ่งตอนของมะขามป้อมพันธุ์ดังๆ นำเข้าจากประเทศอินเดียจำหน่ายให้ผู้ปลูกเลือกซื้อไปปลูกอีกด้วย ราคาสอบถามกันเองครับ
  นสพ.ไทยรัฐ – ศุกร์ที่๑๙/๙/๕๗


    มะขามป้อมยักษ์สายรุ้ง
มะขามป้อมชนิดนี้เป็นหนึ่งในหลายๆ สายพันธุ์ที่มีถิ่นกำเนิดจากประเทศอินเดีย ถูกนำเข้ามาปลูกในประเทศไทยนานหลายปีแล้ว มีลักษณะเด่นคือ ผลมีขนาดใหญ่มาก โดยผลโตเต็มที่จะเท่ากับเหรียญ ๑๐ บาทไทย เป็นเอกลักษณ์ประจำพันธุ์ของมะขามป้อมทุกๆ สายพันธุ์ที่นำเข้าจากประเทศอินเดีย ผลแก่เป็นสีเขียวสดใสจึงถูกตั้งชื่อเป็นภาษาไทยว่า “มะขามป้อมยักษ์สายรุ้ง” ดังกล่าว รสชาติเนื้อเปรี้ยวปนฝาดตามแบบฉบับของมะขามป้อมทั่วไป ๑ ผล มี ๑ เมล็ด ที่สำคัญ “มะขามป้อมยักษ์สายรุ้ง” สามารถติดผลดกไม่ขาดต้นตลอดทั้งปี ซึ่งปกติมะขามป้อมพันธุ์ไทยจะติดผลเพียงปีละครั้งตามฤดูกาลคือ ระหว่างเดือนมกราคมต่อเนื่องไปจนถึงผลแก่จัดในเดือนเมษายนของทุกปี จึงทำให้ “มะขามป้อมยักษ์สายรุ้ง” เป็นที่นิยมปลูกอย่างแพร่หลายเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน

มะขามป้อมยักษ์สายรุ้ง อยู่ในวงศ์ EUPHOBIACEAEเป็น ไม้ยืนต้น แต่จะสูงแค่ ๓-๕ เมตรเท่านั้น ปกติมะขามป้อมสายพันธุ์ไทยดั้งเดิมจะสูง ๑๐-๒๐เมตร ใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับ เป็นรูปขอบขนาน สีเขียวสด ดอก ออกเป็นกระจุกตามซอกใบ ลักษณะเป็นดอกแยกเพศอยู่บนต้นเดียวกัน ดอกย่อยเป็นสีเหลืองนวล “ผล” เป็นรูปกลมหรือแป้นเล็กน้อย ผิวผลเกลี้ยง มีเส้นพาดตามยาวจำนวน ๖เส้น ผลมีขนาดใหญ่เท่าเหรียญ ๑๐ บาทไทยตามที่กล่าวข้างต้น เมล็ดรูปกลม สีเขียวเข้ม เนื้อฉ่ำน้ำ รสชาติเปรี้ยวปนฝาด จัดเป็นสายพันธุ์ที่ติดผลดกไม่ขาดต้นตลอดทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง และทาบกิ่ง   ใครต้องการต้นพันธุ์รุ่นใหม่ ติดต่อ “คุณวิเชียร บุญเกิด” เกษตรกรดีเด่น หมู่ ๑ ต.อ่างทอง อ.เมือง จ.กำแพงเพชร าคาสอบถามกันเอง เหมาะจะปลูกเพื่อเก็บผลใช้ประโยชน์ในครัวเรือน เวลาติดผลดกจะคุ้มค่ามาก ราคาสอบถามกันเองครับ.
  นสพ.ไทยรัฐ – พุธที่ ๑/๔/๕๘



     มะขามป้อมยักษ์แป้นสยาม  กับที่มาพันธุ์เตี้ยดก  
มะขามป้อมชนิดนี้ได้รับการเปิดเผยจากผู้ขายกิ่งตอนว่าเป็นมะขามป้อมพันธุ์ใหม่ เกิดจากที่ ลุงจุ่น คงนัทธี ได้เก็บเอาเมล็ดของมะขามป้อมไทยที่เกิดในป่าพื้นที่ จ.กาญจนบุรี เอาเมล็ดจากต้นที่มีผลขนาดใหญ่เกือบ ๑๐๐ เมล็ด ไปเพาะเป็นต้นกล้าแล้วปลูกจนต้นโตมีดอกติดผล ปรากฏว่ามีอยู่ไม่กี่ต้นที่ต้นเตี้ย ๑-๒ เมตร สามารถติดผลดกมาก ผลใหญ่เกือบเท่าลูกปิงปอง รูปทรงผลสวยกลมแป้น น้ำหนัก ๒๐-๒๕ ผล ต่อ ๑ กิโลกรัม จึงคัดต้นที่ดีที่สุดปลูกทดสอบพันธุ์หลายวิธีทุกอย่างยังคงที่ เลยตั้งชื่อว่า “มะขามป้อมยักษ์แป้นสยาม” ดังกล่าว

มะขามป้อมยักษ์แป้นสยาม หรือ EM-BLIC MYROBALAN PHYLLAN–THUS EMBLICA LINN. อยู่ในวงศ์ EUPHORBIA-CEAE เป็นไม้ยืนต้น แต่ต้นสูงเต็มที่ไม่เกิน ๓ เมตร ใบเดี่ยว ออกสลับ รูปขอบขนาน ปลายและโคนใบเกือบมน ดอก ออกเป็นช่อกระจุกตามซอกใบ เป็นดอกแยกเพศอยู่บนต้นเดียวกัน ดอกสีเหลืองนวล “ผล” รูปกลมแป้น ผลโตเต็มที่เกือบเท่าลูกปิงปองตามที่กล่าวข้างต้น ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อผลแก่จัดเป็นสีเข้มขึ้น ฉ่ำน้ำ เนื้อผลกรอบ รสชาติเปรี้ยวปนฝาดเช่นรสชาติของมะขามป้อมทั่วไปทุกอย่าง ๑ ผล มี ๑ เมล็ด ติดผลดกมากตามฤดูกาล และจะติดผลดกตามธรรมชาติในช่วงเดือน มกราคม ต่อเนื่องไปจนถึงเดือน เมษายนทุกปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด และตอนกิ่ง



     มะขามป้อมยักษ์พันธุ์ไทย  กับที่มาพันธุ์ผลใหญ่ดก
มะขามป้อมชนิดนี้ เกิดจากการเอาเมล็ดของมะขามป้อมพื้นเมืองที่เกิดตามป่าธรรมชาติของประเทศไทย ซึ่งมีผลขนาดเล็ก มีผลวางขายทั่วไป เพาะจนแตกเป็นต้นกล้าปลูกเลี้ยงมีดอกติดผล จากนั้นก็เอาเมล็ด ที่ได้จากต้นใหม่ไปเพาะเป็นต้นกล้าปลูกเลี้ยงอีกหลายทอดหลายครั้ง ปรากฏว่า มีผลขนาดใหญ่ขึ้น ประมาณเหรียญ ๑๐ บาทไทย ใหญ่กว่าผลของมะขามป้อมพื้นเมืองอย่างชัดเจน ผู้พัฒนาพันธุ์เชื่อว่าเป็นมะขามป้อมใหม่จึงปลูกทดสอบพันธุ์อยู่หลายวิธี ทุกอย่างยังคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นมะขามป้อมกลายพันธุ์อย่างถาวรแน่นอน เลยตั้งชื่อว่า “มะขามป้อมยักษ์พันธุ์ไทย” พร้อมกับขยายพันธุ์วางขายดังกล่าว

มะขามป้อมยักษ์พันธุ์ไทย หรือ PHYL-LANTHUS EMBLICA LINN. อยู่ในวงศ์ EUPHORBIACEAE เป็นไม้ยืนต้น ซึ่งตามธรรมชาติต้นจะสูง ๘-๑๒ เมตร แต่ “มะขามป้อมยักษ์พันธุ์ไทย” สูงไม่เกิน ๕ เมตร ใบเดี่ยวออกเรียงสลับ รูปขอบขนาน ปลายแหลม โคนมน ดอกสีเหลืองนวล ออกเป็นช่อกระจุกตามซอกใบ แยกเพศอยู่บนต้นเดียวกัน มีกลีบรวม ๕-๖ กลีบ ดอกตัวผู้และเกสรตัวผู้มี ๓ อัน ดอกตัวเมียมีรังไข่ ๓ พู “ผล” ค่อนข้างกลม โตเต็มที่ประมาณเท่าเหรียญ ๑๐ บาทไทย

ผลอ่อนสีเขียว เมื่อแก่เป็นสีเขียวอมเหลือง เนื้อฉ่ำน้ำ กรอบ รสชาติฝาดปนเปรี้ยว ๑ ผล มี ๑ เมล็ด ติดผลดกมากตามฤดูกาลช่วงระหว่างเดือน
  นสพ.ไทยรัฐ


    มะกอกฝรั่งผลยักษ์
มะกอกฝรั่ง ที่เคยแนะนำในคอลัมน์ไปนั้น ส่วนใหญ่เป็นพันธุ์นำเข้ามาจากต่างประเทศทั้งสิ้น บางคนเรียกว่า มะกอกหวาน และ มะกอกดง ขนาดผลไม่ใหญ่โตนักประมาณผลมะปรางทั่วไป พ่อค้าผลไม้รถเข็นนำเอาผลไปปอกเปลือกสับเป็นชิ้นขายได้รับความนิยมจากผู้ซื้อไปจิ้มพริกเกลือป่นอย่างแพร่หลายและมีต้นขายทั่วไปที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับสวน จตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ ราคาอยู่ที่ขนาดของต้น

ส่วน “มะกอกฝรั่งผลยักษ์” เป็นสายพันธุ์ใหม่นำเข้าจากประเทศอินโดนีเซีย โดย “คุณบุญลือ สุขเกษม” และได้ปลูกทดสอบพันธุ์ในประเทศไทยนานกว่า ๓-๔ ปีแล้ว ปรากฏว่าเจริญเติบโตได้ดีไม่แพ้ถิ่นกำเนิดเดิม มีลักษณะพิเศษคือ ติดผลดก ให้ผลผลิตต่อต้นสูง ติดผลตลอดทั้งปี เวลาติดผลจะเป็นพวงอย่างต่ำ ๕-๗ ผล และที่โดดเด่นเป็นพิเศษได้แก่ ขนาดของผลจะใหญ่กว่าผลของมะกอกฝรั่งทั่วไปทุกสายพันธุ์ที่มีปลูกในประเทศไทย น้ำหนักผลเมื่อโตเต็มที่เฉลี่ยระหว่าง ๘ ขีด ถึง ๑ กิโลกรัม เปรียบเทียบกับผลมะกอกฝรั่งสายพันธุ์ทั่วไปได้อย่างชัดเจน เมล็ดลีบบางและเล็ก เนื้อเยอะ รสชาติเปรี้ยวปนมันกรอบอร่อยมาก จึงถูกตั้งชื่อว่า “มะกอกฝรั่งผลยักษ์” ดังกล่าว

มะกอกฝรั่งผลยักษ์ มีชื่อวิทยาศาสตร์เหมือนกับมะกอกฝรั่งทั่วไปคือ SPONDIASDULCIS อยู่ในวงศ์ ANACARDIACEAE ต้นสูงเต็มที่ไม่เกิน ๓-๕ เมตร ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ต้นใบเหมือนกับมะกอกฝรั่งทุกสายพันธุ์ เพียงแต่ขนาดของผลจะใหญ่กว่าเท่านั้นเอง ผลอ่อนสีเขียว เมื่อแก่สีเขียวอมเหลือง ติดผลทั้งปี  ใครต้องการกิ่งพันธุ์ ติดต่อ “คุณบุญลือ สุขเกษม” ผู้นำเข้าและขยายพันธุ์โดยตรงหรือที่ “สวนบุญบันดาล” ต.กลางดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ราคาสอบถามกันเอง เหมาะจะปลูกเก็บผลกินในครัวเรือนและเก็บผลขายคุ้มค่ามากครับ.
  นสพ.ไทยรัฐ – ๑๙/๑๑/๕๗



     มะขามป้อมสิริมงคล
มะขามป้อมชนิดนี้ เกิดจากการผสมเกสรโดยธรรมชาติระหว่างมะขามป้อมพื้นเมืองของไทยกับมะขามป้อมยักษ์จากประเทศอินเดีย แล้วเอาเมล็ดไปเพาะเป็นต้นกล้าจำนวนหลายเมล็ด แล้วนำต้นไปปลูกเลี้ยงจนต้นโตมีดอกและติดผล จากนั้นก็ขยายพันธุ์ด้วยการตอนกิ่งโดยตรง ทาบกิ่ง และเสียบยอด นำต้นไปปลูกเลี้ยงจนต้นโตมีดอกและติดผลอีกทอดหนึ่ง ปรากฏว่ามีอยู่หลายต้นมีขนาดของต้นแตกต่างไปจากต้นพ่อและแม่คือ ปลูกในกระถางขนาดใหญ่หรือปลูกในบ่อซีเมนต์ต้นจะสูง ๒-๓ เมตร สามารถมีดอกและติดผลดกเต็มต้น หลังปลูกเพียง ๒ ปีแค่นั้น

ที่สำคัญคือขนาดของผลจะมีขนาดใหญ่ นํ้าหนักเฉลี่ยระหว่าง ๑๘ ผล ต่อ ๑ กิโลกรัม ซึ่งถ้าหากเป็นผลของมะขามป้อมสายพันธุ์พื้นเมืองทั่วไป จะต้อง ๓๐ ผลขึ้นไปจึงจะมีนํ้าหนักได้ ๑ กิโลกรัม ผลอ่อนเป็นสีเขียวใสเมื่อแก่จะเป็นสีเหลืองทอง เมล็ดเล็ก ฉ่ำนํ้า ติดผลดกเต็มต้น รสชาติดี เหมือนกับผลมะขามป้อมทั่วไปทุกอย่าง เจ้าของผู้พัฒนาพันธุ์มั่นใจว่าเป็นมะขามป้อมพันธุ์ใหม่ จึงตั้งชื่อว่า “มะขามป้อมสิริมงคล” ดังกล่าว

มะขามป้อมสิริมงคล หรือ AMBLIC-MYROBALAN PHYL-LANTHUS AMBLIC LINN. อยู่ในวงศ์ EUPHORBIACEAE ต้นปลูกลงดินสูงเต็มที่ไม่เกิน ๓-๕ เมตร (ปกติต้นมะขามป้อมพันธุ์พื้นเมืองจะสูง ๑๐-๑๕ เมตร) ติดผลดกเต็มต้นตลอดทั้งปี ผลมีขนาดใหญ่ตามที่กล่าวข้างต้น ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด
   นสพ.ไทยรัฐ 

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01 มิถุนายน 2559 09:59:08 โดย กิมเล้ง » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5462


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 9.0 MS Internet Explorer 9.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 26 มิถุนายน 2556 10:54:26 »

.


     กระท้อนทองกำมะหยี่
ในยุคสมัยก่อน เกษตรกรนิยมปลูกกระท้อนด้วยการเพาะเมล็ด จึงทำให้เกิดการกลายพันธุ์มากมาย ซึ่งในประเทศไทยมีกระท้อนเกินกว่า ๕๐ สายพันธุ์ และ “กระท้อนทองกำมะหยี่” เป็นหนึ่งในกระท้อนกลายพันธุ์ดังกล่าวด้วย นิยมปลูกรับประทานและเก็บผลขายมาแต่โบราณ มีถิ่นกำเนิดเดิมย่านตลิ่งชัน บางขุนนนท์ เขตบางกอกน้อย กทม. รวมทั้งในพื้นที่ ต.บางกร่าง จ.นนทบุรี และเขตใกล้เคียง มีการกระจายพันธุ์ไปปลูกถิ่นอื่นประปรายใน จ.ปราจีนบุรี

ต่อมา ได้มีกระท้อนกลายพันธุ์สายพันธุ์ใหม่ๆ เช่น กระท้อนอีล่า และ กระท้อนปุยฝ้าย  ออกมา วางขายได้รับความนิยมจากผู้รับประทานอย่างแพร่หลาย เนื่องจากมีผลขนาดใหญ่ ทรงผลสวยงาม รสชาติหวานหอมอร่อยมาก จึงทำให้  “กระท้อนทองกำมะหยี่” ถูกลืมและหายหน้าหายตาไป

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเพิ่งพบว่ามีผู้ขยายพันธุ์ตอนกิ่ง “กระท้อนทองกำมะหยี่” ออกวางขาย จึงแนะนำในคอลัมน์ทันที ซึ่ง “กระท้อนทอง กำมะหยี่” เป็นไม้ยืนต้น อยู่ในวงศ์ MELIACEAE มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับกระท้อนทั่วไป ต้นสูง ๑๕-๒๐ เมตร ดอกออกเป็นช่อที่ซอกใบ สีเขียวอมเหลือง มีกลิ่นหอม “ผล” ทรงกลม สุกสีเหลืองทอง ผิวผลมีขนละเอียดคล้ายกำมะหยี่ นุ่มมือ จึงถูกตั้งชื่อตามลักษณะผลว่า “กระท้อนทองกำมะหยี่” ดังกล่าว

เปลือกผลบาง เนื้อหรือปุยสีขาวหลุดจากเมล็ดง่าย รสชาติหวานไม่แพ้กระท้อนปุยฝ้าย สามารถใช้ช้อนตักเนื้อกินได้จนถึงเปลือกจะมีรสหวานมากขึ้น เมล็ดเล็ก เป็นกระท้อนพันธุ์เบา ปลูกง่ายติดผลเร็วและดกมาก ติดผลปีละครั้ง เก็บผลผลิตได้ในช่วงฤดูร้อนของทุกปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง เสียบยอด และติดตา
 คอลัมน์ "เกษตรกรบนแผ่นกระดาษ" หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ




     กระท้อนผอบทอง ปุยหนาหวานนุ่ม
กระท้อนชนิดนี้ มีถิ่นกำเนิดเดิมอยู่ที่ จ.นนทบุรี เป็นสายพันธุ์โบราณที่นิยมปลูกและนิยมรับประทานมาช้านาน ต่อมาได้มีการนำเอาสายพันธุ์ไปปลูกต่างถิ่นครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๕ ที่ ต.บางเสร่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี สามารถเจริญเติบโตได้ดีและให้ผลผลิตสูง ให้ผลดกไม่แพ้การปลูกในถิ่นเดิม จึงขยายพันธุ์ปลูกในเชิงธุรกิจเก็บผลขายได้รับความนิยมจากผู้รับประทานอย่างแพร่หลาย เนื่องจากรสชาติหวานนุ่มอร่อยดีนั่นเอง

ส่วนที่มาชื่อ เป็นเพราะผลแก่จัดจะเป็นสีเหลืองคล้ายสีของผอบทองคำ จึงถูกตั้งชื่อตามลักษณะดังกล่าวว่า“กระท้อนผอบทอง” เรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน

กระท้อนผอบทอง เป็นไม้ต้น สูง ๘-๑๐ เมตร ใบขนาดใหญ่ ใบแก่เป็นสีแดง ดอกขนาดเล็กสีเหลืองอ่อน “ผล” รูปทรงกลม เปลือกหนา ผลขณะยังอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อผลแก่หรือสุกเป็นสีเหลือง ภายในมีเมล็ด ซึ่งเนื้อหุ้มเมล็ดของ “กระท้อนผอบทอง” จะมีความเป็นพิเศษคือ ปุยเป็นสีขาวฟูและหนามาก รสชาติหวานสนิทไม่มีเปรี้ยวปนเลย ใช้ช้อนตักรับประทานได้ถึงเปลือกผลอร่อยมาก ผลโตเต็มที่นํ้าหนักระหว่าง ๔-๖ ขีด เมล็ดเล็กและลีบ จึงมีเนื้อเยอะกว่ากระท้อนชนิดอื่น ผลสุกเต็มที่ติดต้นเนื้อไม่เป็นนํ้าหมาก เป็นกระท้อนพันธุ์เบาติดผลง่ายและดกมาก หลังปลูก ๒ ปี จะเริ่มให้ผลผลิต เมื่ออายุได้ ๔ ปี ผลจะดกมากยิ่งขึ้น และขั้วผลจะยาวตามไปด้วย ทำให้ง่ายต่อการห่อผลป้องกันแมลง ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง
 คอลัมน์ "เกษตรกรบนแผ่นกระดาษ" หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ



กระท้อนผอบทอง ปุยหนาหวานถึงเปลือก
กระท้อนชนิดนี้ เป็นพันธุ์โบราณ มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่ที่ จ.นนทบุรี ในช่วงปี พ.ศ.๒๕๐๕ ได้มีผู้นำเอาต้นที่ขยายพันธุ์ด้วยการตอนกิ่งไปปลูกที่ ต.บางเสร่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ปรากฏว่าสามารถเติบโตได้ดีจนมีดอกและติดผลเก็บขายได้รับความนิยมจากผู้ซื้อไปรับประทานอย่างแพร่หลาย เนื่องจาก “กระท้อนผอบทอง” มีเนื้อหุ้มเมล็ดเป็นปุยหนา รสชาติหวานสนิทสามารถใช้ช้อนตักกินได้ถึงเนื้อเปลือก ไม่มีรสเปรี้ยวหรือรสฝาดจากเปลือกเจือปนเลย อร่อยมาก ส่วนต้นแม่ที่ จ.นนทบุรี ทราบว่าถูกน้ำท่วมตายหมดจึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง

กระท้อนผอบทอง เป็นกระท้อนพันธุ์เบา หมายถึงติดผลง่ายและให้ผลผลิตดกทั้งต้น หลัง ปลูกเพียง ๒-๓ ปี จะเริ่มมีผลชุดแรกให้เห็น และที่สำคัญผลจะแก่เร็วกว่าผลกระท้อนสายพันธุ์อื่นประมาณ ๑๕ วัน จึงทำให้ผู้ปลูกเพื่อเก็บผลขายมีข้อได้เปรียบ เนื่องจากสามารถเก็บผลขายได้เร็วก่อนกระท้อนสายพันธุ์ทั่วไป เกษตรกรจึงนิยมปลูก “กระท้อนผอบทอง” อย่างกว้างขวางในปัจจุบัน

กระท้อนผอบทอง หรือ SANDORICUM INDICUMCAR, KOET-JAPEMERR. อยู่ในวงศ์ MELIACEAE เป็นไม้ยืนต้นสูง ๑๐-๒๐ เมตร ดอกสีเหลืองอ่อน “ผล” รูปกลมแป้น โตเต็มที่น้ำหนัก ๔-๖ ขีดต่อผล ผลดิบเป็นสีเขียว พอผลเริ่มเป็นสีเหลืองเนื้อในจะมีรสหวานแล้ว เมื่อผลแก่จัดจะเป็นสีเหลืองเข้มดูคล้ายผอบสีทอง จึงถูกตั้งชื่อว่า “กระท้อนผอบทอง” ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง
  คอลัมน์ "เกษตรกรบนแผ่นกระดาษ" หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ


     กระท้อนผอบทอง  อร่อยเก็บผลขายได้ก่อน
กระท้อนชนิดนี้ มีลักษณะเด่นประจำพันธุ์คือ เนื้อเป็นปุย ฟูหนานุ่ม สามารถใช้ช้อนตักกินได้จนถึงเปลือก รสชาติหวานสนิทไม่มีรสเปรี้ยวหรือฝาดเจือปนเลย เป็นกระท้อนสายพันธุ์เบาติดผลง่ายให้ผลผลิตสูงหลังปลูกเพียงแค่ ๒ ปีเท่านั้น จะติดผลชุดแรกและจะติดผลดกขึ้นเรื่อยๆ เมื่อต้นมีอายุได้ ๔ ปีขึ้นไป ตามภาพประกอบคอลัมน์ ข้อดีอีกอย่างหนึ่งของ “กระท้อนผอบทอง” ได้แก่ เวลาติดผลจะแก่เร็วกว่ากระท้อนสายพันธุ์อื่นประมาณ ๑๕ วัน จึงทำให้ผู้ปลูกเก็บผลขายเชิงพาณิชย์สามารถเก็บผลออกวางจำหน่ายได้ก่อนกระท้อนพันธุ์อื่น และไม่ต้องห่อผลป้องกันแมลงด้วย

น้ำหนักผล เมื่อโตเต็มที่เฉลี่ยระหว่าง ๔-๖ ขีดต่อผล ผลอ่อนเป็นสีเขียว พอผลเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองยังไม่ถึงกับแก่หรือสุกเนื้อในจะหวานกินได้เลย ผลสุกหรือแก่เป็นสีเหลืองจัด รูปทรงของผลจะกลมแป้นเล็กน้อยทำให้ดูเหมือนกับผอบทองคำโบราณ จึงถูกตั้งชื่อว่า “กระท้อนผอบทอง” และเรียกกันเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน ผลสุกเต็มที่สามารถติดอยู่บนต้นได้นาน โดยที่เนื้อในไม่เป็นโรค “น้ำหมาก” รับประทานอร่อยเหมือนเดิมทุกอย่าง

กระท้อนผอบทอง หรือ SANDO-RICUM INDICUMCAR, KOET-JAPEMERR อยู่ในวงศ์ MELIA-CEAE เป็นกระท้อนสายพันธุ์โบราณ มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมที่ จ.นนทบุรี ถูกนำไปปลูกต่างถิ่นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๕ ที่ ต.บางเสร่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ส่วนต้นแม่เดิมที่ จ.นนทบุรี ถูกน้ำท่วมตายในเวลาต่อมา ขยายพันธุ์ทั่วไปด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง
   นสพ.ไทยรัฐ


     กระท้อนอีล่ายักษ์  ราคาดีหวานกับที่มาชื่อ
กระท้อนชนิดนี้ เป็นพันธุ์พื้นเมืองของจังหวัดหนึ่งในแถบภาคกลาง โดยแรกทีเดียว ชาวบ้าน ได้รับแจกกิ่งพันธุ์ จากกระทรวงเกษตรฯ แล้วนำไปปลูกจนมีดอกและติดผล ปรากฏว่าผลดกเต็มต้น และผลมีขนาดใหญ่มาก ผลโตเต็มที่จะมีน้ำหนักประมาณ ๐.๙ กิโลกรัม หรือเกือบ ๑ กิโลกรัมนั่นเอง เนื้อหุ้มเมล็ดเป็นปุยขาวฟูและเนื้อเยอะ รสชาติหวานจัดปนเปรี้ยวนิดๆ รับประทานอร่อยมาก ชาวบ้านซึ่งเป็นผู้ปลูกจึงขยายพันธุ์ตอนกิ่งออกขายภายใต้ชื่อ “กระท้อนอีล่ายักษ์” ได้รับความนิยมปลูกเพื่อเก็บผลกินในครัวเรือน และเก็บผลขายเชิงพาณิชย์ได้ราคาดี กิโลกรัมละไม่ต่ำกว่า ๑๕๐-๑๘๐ บาท เรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน

ส่วนที่มาของชื่อ “กระท้อนอีล่ายักษ์” นั้น เป็นเพราะผลของกระท้อนดังกล่าวจะแก่จัดหรือสุกได้ล่าช้ากว่ากระท้อนทุกๆ สายพันธุ์ที่ปลูก มีดอกและติดผลตามฤดูกาลพร้อมๆ กันในทุกๆปี และผลมีขนาดใหญ่กว่าผลกระท้อนพันธุ์ใดๆ จึงถูกตั้งชื่อว่า “กระท้อนอีล่ายักษ์” เพราะสุกหรือแก่ล่าช้ากว่าเพื่อนนั่นเอง

กระท้อนอีล่ายักษ์ หรือ SANDORICUM INDICUMCAR, KOETJAPEMERR อยู่ในวงศ์ MELIACEAE ต้นสูง ๑๐-๑๕ เมตร ใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ ปลายใบแหลม โคนเกือบมน ใบแก่เป็นสีแดงทั้งใบน่าชมยิ่ง ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบ ดอก เป็นสีเหลืองอ่อน “ผล” กลมแป้นสีเหลืองทอง เปลือกผลหนา ๑ ผล มี ๕ เมล็ด เนื้อหุ้มเมล็ดสีขาวเป็นปุยฟูฉ่ำน้ำหวานปนเปรี้ยวนิดๆ รับประทานอร่อยมาก เวลาติดผลจะเป็นพวง ๕-๖ ผล ติดผลดกมากตามฤดูกาล ขยายพันธุ์ทั่วไปด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง
   นสพ.ไทยรัฐ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23 พฤศจิกายน 2558 19:12:38 โดย กิมเล้ง » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5462


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 9.0 MS Internet Explorer 9.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 26 มิถุนายน 2556 10:58:53 »

.

    ชมพู่
ช่วยบำรุงสายตาและผิวพรรณ วิตามินซีช่วยปกป้องร่างกายด้วยการ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ เป็นไม้ผลเขตร้อนซึ่งมีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย ตระกูลเดียวกับฝรั่ง หว้า ยูคาลิปตัส

ชมพู่เป็นผลไม้ที่ให้เส้นใยอาหารทั้งชนิดที่ละลายน้ำและไม่ละลายน้ำ ดีต่อระบบขับถ่ายช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะ ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ และมะเร็งลำไส้ใหญ่ มีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตาและผิวพรรณ วิตามินซีช่วยปกป้องร่างกายด้วยการ   เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ เป็นไม้ผลเขตร้อนซึ่งมีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย ตระกูลเดียวกับฝรั่ง หว้า ยูคาลิปตัส ดอกมีกลิ่นหอมคล้ายกุหลาบ ผลมีรสชาติหวานกรอบ คนไทยจึงนิยมปลูกเป็นไม้มงคลประจำบ้าน
...นสพ.เดลินิวส์


     ชมพู่น้ำตาลทราย
ชมพู่ชนิดนี้ มีถิ่นกำเนิดจาก ประเทศอินโดนีเซีย ถูกนำเข้าปลูกและขยายพันธุ์ในประเทศไทยนานหลายปีแล้ว แต่ไม่แพร่หลายสู่ตลาดไม้ผล เนื่องจากส่วนใหญ่จะปลูกเฉพาะตามสวนผู้ที่ชอบสะสมชมพู่พันธุ์ต่างๆเท่านั้น เพิ่งจะถูกปล่อยกิ่งตอนออกจำหน่ายเมื่อไม่นานมานี้ โดย “ชมพู่น้ำตาลทราย” มีที่มาชื่อคือ ชาวพื้นเมืองของอินโดนีเซียเรียกว่า “กุลาร์ ปาซีร์” แปลว่า“น้ำตาลทราย” เพราะผลมีรสหวานเป็นพิเศษ จึงถูกตั้งชื่อเป็นภาษาไทยว่า “ชมพู่น้ำตาลทราย” ดังกล่าว

ชมพู่น้ำตาลทราย หรือชมพู่กุลาร์ ปาซีร์ มีลักษณะเด่นคือ ขนาดผลโตเต็มที่น้ำหนักเฉลี่ย ๒๕๐-๔๐๐ กรัมต่อผล ซึ่งขนาดชมพู่ทับทิมจันทร์ที่ว่าใหญ่แล้วยังโตเต็มที่เพียง ๑๕๐ กรัมต่อผลเท่านั้น เวลาติดช่อดอกจะเป็นช่อขนาดใหญ่ ดอกเป็นสีเหลืองสวยงามมาก ที่สำคัญเมื่อติดผลจะเป็นพวง ๑๐-๑๕ ผลต่อพวง ถือว่าดกมาก สีเปลือกผลส่วนหัวเป็นสีขาว ผิวผลส่วนอื่นเป็นสีแดงหรือชมพูขึ้นอยู่กับฤดูกาล เมื่อผลแก่ส่วนสันของผลจะปรากฏริ้วสีแดงพาดตามยาวของผลอย่างชัดเจน ผลจะเริ่มแก่ในช่วงฤดูหนาวถึงฤดูแล้ง ซึ่งเป็นช่วงที่ “ชมพู่น้ำตาลทราย” มีคุณภาพดีที่สุด รสชาติหวานจัดประมาณ ๑๔-๑๕ องศาพริกซ์ ไม่มีรสเปรี้ยวเจือปนเลย ทุกผลจะไม่มีเมล็ด เนื้อมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวคล้ายกลิ่นน้ำตาลโตนดแบบสดๆ จึงรับประทานอร่อยมาก สามารถติดผลได้เรื่อยๆ ขยายพันธุ์ด้วยการตอนกิ่ง ปักชำกิ่ง ใบดกให้ร่มเงาดี ใบไม่ร่วงง่าย ปลูกได้ทุกสภาพดินและทนต่อการถูกน้ำท่วมขังได้เก่งด้วย


http://www.matichon.co.th/online/2012/06/13401917551340191834l.jpg
"เกษตรน่ารู้" สารพัดสารพันเรื่องพันธุ์ไม้

     ชมพู่ไต้หวัน ผลยักษ์ไม่มีเมล็ด อร่อย
ชมพู่ชนิดนี้ เป็นต้นเดียวกันกับ ชมพู่ยักษ์ไต้หวัน ที่เคยแนะนำในคอลัมน์ไปแล้ว ปัจจุบัน มีผู้ตอนกิ่งออกวางขายในชื่อ “ชมพู่ไต้หวัน” ทำให้ผู้ซื้อไปปลูกเกิดความสงสัยและสับสนคิดว่าเป็นชมพู่พันธุ์ใหม่ ซึ่งก็ขอยืนยันว่า “ชมพู่ไต้หวัน” เป็นต้นเดียวกันกับ ชมพู่ยักษ์ไต้หวัน ตามที่กล่าวข้างต้นอย่างแน่นอน เพียงแต่ ผู้ขายกิ่งตอนตัดคำว่า “ยักษ์” ออกไปให้เหลือเพียงชื่อ “ชมพู่ไต้หวัน” เท่านั้น

ชมพู่ไต้หวัน หรือ ชมพู่ยักษ์ไต้หวัน มีความเป็นพิเศษคือ ผลมีขนาดใหญ่ เมื่อโตเต็มที่หนักได้ถึง ๘๐๐ กรัมต่อผล แต่โดยเฉลี่ยอยู่ระหว่าง ๓๕๐-๕๐๐ กรัมต่อผล ใหญ่กว่าผลของ ชมพู่ทับทิมจันทร์ ที่มีน้ำหนักเพียง ๑๕๐ กรัมต่อผลเท่านั้น และที่สำคัญ “ชมพู่ไต้หวัน” ยังเป็นชมพู่สายพันธุ์ที่ไม่มีเมล็ดอีกด้วย ซึ่งในประเทศไต้หวันมีการรณรงค์ให้เกษตรกรของเขาปลูกเพื่อเก็บผลส่งขายทั้งในประเทศและส่งออกได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง เนื่องจาก “ชมพู่ไต้หวัน” มีรสชาติหวานกรอบอร่อยมาก ความหวานระหว่าง ๑๐-๑๔ องศาบริกซ์ มีความเป็นกรดต่ำ จึงทำให้ไม่มีรสเปรี้ยวเจือปนเลย

สีของผล เมื่อสุกจะดูสวยงามมาก โดยเฉพาะจะติดผลดกเป็นพวงอย่างน้อย ๓-๕ ผลต่อพวง ติดผลเกือบตลอดปี จึงทำให้คุ้มค่ามากที่จะปลูกเพื่อเก็บผลรับประทานในครัวเรือน หรือปลูกเพื่อเก็บผลขายสร้างรายได้ ซึ่ง “ชมพู่ไต้หวัน” หรือชมพู่ยักษ์ไต้หวัน มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับชมพู่ทั่วไป เพียงแต่ขนาดของใบจะใหญ่มากและไม่ร่วงง่ายให้ร่มเงาดียิ่ง เป็นสายพันธุ์ที่มีความทนทานต่อการถูกน้ำท่วมขังได้ดี ขยายพันธุ์ด้วยการตอนกิ่ง ปักชำกิ่ง และติดตา  ปัจจุบันมีกิ่งตอนขาย ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ
ไทยรัฐ - พุธที่ ๑๙/๖/๕๖



     ชมพู่
ชมพู่พื้นบ้านของไทยคือ น้ำดอกไม้ มีกลิ่นหอมเนื้อนิ่ม ฉ่ำน้ำ รสออกเปรี้ยวอมหวาน ผลชมพู่สดให้เส้นใยอาหารทั้งชนิดที่ละลายน้ำและไม่ละลายน้ำ ดีต่อระบบขับถ่ายช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ และมะเร็งลำไส้ใหญ่ มีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตาและผิวพรรณ วิตามินซีช่วยปกป้องร่างกายด้วยการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ ร่างกายต้องการวิตามินซีเพื่อสร้างคอลลาเจน ที่จำเป็นต่อการสร้างผิวหนังและรักษาบาดแผล เสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและฟันด้วยแคลเซียมและแมกนีเซียม

ชมพู่ เป็นผลไม้ในไม่กี่ชนิดที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด และมะเร็งกระเพาะอาหาร สำหรับผู้ป่วยโรคไตที่ต้องจำกัดปริมาณน้ำควรระวังการกิน เพราะเนื้อชมพู่มีปริมาณน้ำค่อนข้างมากในเนื้อชมพู่ ๑๐๐ กรัม ประกอบด้วยคุณค่าทางอาหาร ได้แก่ พลังงาน ๒๔ กิโลแคลอรี โปรตีน ๐.๕ กรัม คาร์โบไฮเดรต ๕.๕ กรัม แคลเซียม ๒ มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส ๑๘ มิลลิกรัม เหล็ก ๐.๓ มิลลิกรัม วิตามิน ๓๒ มิลลิกรัม
เดลินิวส์ - พฤหัสบดีที่ ๗/๒/๕๖  



     มะเหมี่ยวราชินีสีทอง
มะเหมี่ยวชนิดนี้ เกิดจากการกลายพันธุ์แบบถาวรตามธรรมชาติ โดยเมื่อประมาณ ๑๑ ปี ที่ผ่านมา “คุณกิติ ชุมสกุล” เจ้าของ ไร่ขิงพันธุ์ไม้ บ้านเลขที่ ๓๗/๑ หมู่ จ ต.ท่าตลาด อ.สามพราน จ.นครปฐม ได้ปลูกชมพู่มะเหมี่ยวพันธุ์ทั่วไปลายต้นจนมีดอกแล้วแมลงบินไปกินน้ำหวานจากดอก ผสมเกสรจากต้นนั้นสู่ต้นนี้ เมื่อติดผลนำเอาเมล็ดที่ได้ไปเพาะขยายพันธุ์หลายต้น ปรากฏว่ามีอยู่ต้นหนึ่งมีลักษณะทางพฤกษศาสตร์แปลกคือใบอ่อนจะเป็นสีชมพูอมแดงหรือแดงเข้ม เป็นใบด่างกว่า ๕๐-๗๐ เปอร์เซ็นต์ของผิวใบ ใบเริ่มแก่สีจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้ม ส่วนที่เป็นสีชมพูจะกลายเป็นสีเหลืองอ่อนถึงสีเหลืองทองน่าชมมาก ลักษณะใบไม่คงที่คล้ายใบโกสนแปลกตายิ่ง จึงถูกตั้งชื่อว่า“มะเหมี่ยวราชินีสีทอง” ดอก เป็นสีชมพูเหมือนดอกมะเหมี่ยวทั่วไป ออกตามกิ่งก้าน

ผลรูปค่อนข้างยาว หรือรูปสามเหลี่ยมมน ฉ่ำน้ำ ผลเป็นสีชมพูหรือแดงอมม่วง ผล เมื่อแก่หรือสุกจะมีรสชาติหวานหอมเหมือนกลิ่นแอปเปิ้ล มีเมล็ด ติดผลปีละครั้งช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ทุกปี ขยายพันธุ์ด้วย เมล็ดและต่อยอด ซึ่ง “มะเหมี่ยวราชินีสีทอง” นอกจากจะปลูกเพื่อเก็บผลรับประทานในครัวเรือนได้อร่อยแล้ว ยังสามารถปลูกเป็นไม้ประดับในบริเวณบ้านได้สวยงามแปลกตาอีกด้วย

ประโยชน์ทางยา ราก ของมะเหมี่ยวทั่วไปต้มน้ำดื่มเป็นยาแก้คัน แก้ไข้ แก้บิด ขับปัสสาวะ เปลือกของราก ต้มน้ำดื่มเป็นยาขับประจำเดือน ใบสด เคี้ยวกินแก้บิด  ยอดอ่อน รับประทานเป็นผักสดกับน้ำพริกทั่วไปรสชาติอร่อยมากครับ.




     ชมพู่น้ำตาลแดง หวานหอมกรอบอร่อย
ทีแรกที่เห็น กิ่งตอนวางขาย มีภาพถ่ายผลจริงโชว์ให้ชมและมีป้ายชื่อว่า “ชมพู่น้ำตาลแดง” นึกว่าเป็นชมพู่พันธุ์ใหม่ แต่ผู้ขายบอกว่าเป็นต้นเดียวกับ ชมพู่น้ำตาลทราย ที่ “นายเกษตร” เคยแนะนำในคอลัมน์ไปกว่าครึ่งปีแล้ว ที่เปลี่ยนชื่อเป็น “ชมพู่น้ำตาลแดง” ก็เพราะต้องการเรียกความสนใจจากผู้ซื้อกิ่งตอนไปปลูกเท่านั้น

ชมพู่น้ำตาลแดง หรือ ชมพู่น้ำตาลทราย มีถิ่นกำเนิดจากประเทศอินโดนีเซีย ถูกนำเข้ามาปลูกและขยายพันธุ์ในประเทศไทยนานแล้ว  มีชื่อเรียกเฉพาะในประเทศอินโดนีเซียว่า “กุลาร์ปาซีร์” ซึ่งแปลเป็นไทยว่า “น้ำตาลทราย” มีลักษณะเด่นประจำพันธุ์คือ ขนาดผลจะใหญ่มาก ผลโตเต็มที่มีน้ำหนักเฉลี่ยระหว่าง ๓๐๐-๔๐๐ กรัมต่อผล ใหญ่กว่าผลของชมพู่ทับทิมจันทร์ ที่ว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดแล้วอย่างชัดเจน

ต้นสูง ๗-๑๐ เมตร ใบไม่ร่วงง่าย ใบดกให้ร่มเงาดีมาก ดอกเป็นช่อสีเหลือง เวลามีดอกจะดูสวยงามมาก หลังดอกร่วง จะติดผลเป็นพวงอย่างน้อย ๑๐-๑๕ ผลต่อพวง ติดผลดกทั้งต้น สีของผลแก่ส่วนหัวเป็นสีขาว ส่วนอื่นเป็นสีแดงเข้ม ทำให้เวลาติดผลดกเป็นพวงทั้งต้นจะสวยงามน่าชมยิ่งนัก รสชาติหวานกรอบไม่มีรสเปรี้ยวเจือปนเลย วัดความหวานได้ประมาณ ๑๔-๑๕ องศาบริกซ์ มีกลิ่นหอมเฉพาะตัวคล้ายกลิ่นน้ำตาลโตนดแบบสดๆ ทำให้เวลารับประทานอร่อยชื่นใจมาก ทุกผลไม่มีเมล็ด ผลแก่ในช่วงฤดูหนาวต่อเนื่องไปจนถึงฤดูแล้ง สามารถติดผลได้เรื่อยเกือบทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยการตอนกิ่ง ปักชำกิ่ง เสียบยอด และทาบกิ่ง  แต่ละกิ่งขยายพันธุ์ด้วยวิธีทาบกิ่งมีรากแก้วแข็งแรงดีแล้ว ปลูกได้ในทุกสภาพดินและทนต่อการถูกน้ำท่วมขังได้ดี หลังปลูก ๒-๓ ปี จะมีผลผลิตชุดแรกและจะติดผลดกขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุของต้นที่ปลูก  
ไทยรัฐ - พฤหัสบดีที่ ๑๒/๑๒/๕๖



     ชมพู่ดีมี ๒ พันธุ์ หวานหอมดกใหญ่ทั้งปี

ชมพู่ เป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยมปลูกมาช้านาน ทั้งปลูกเพื่อเก็บผลรับประทานในครัวเรือนและเก็บผลขาย ซึ่งชมพู่ที่นิยมปลูกอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน มี ๒ ชนิดพันธุ์ คือ “ชมพู่นํ้าตาลทราย” มีถิ่นกำเนิดจาก ประเทศอินโดนีเซีย มีจุดดีคือ ผลแก่หรือสุกจะ มีความหวานสูงถึง ๑๔-๑๕ องศาบริกซ์ มี กลิ่นหอมเหมือนนํ้าตาลโตนดแบบสดๆ ซึ่งอินโดนีเซียเรียกว่า “กุลาร์ ปาชีร์” แปลว่า นํ้าตาลทราย จึงถูกตั้งชื่อไทยว่า “ชมพู่นํ้าตาลทราย” ผลโตเต็มที่หนักประมาณ ๒๕๐-๔๐๐ กรัม ผลสุกเป็นสีแดงอมชมพูเข้มสวยงามมาก ผลแก่ช่วงฤดูหนาว หวานกรอบหอมอร่อยไม่มีเปรี้ยวเจือปนเลย ทุกผลไม่มีเมล็ด ติดผลทั้งปี ติดผลดกตรงกับเทศกาลตรุษจีน ทำให้เก็บผลขายได้ราคาดีในช่วงดังกล่าว

อีกชนิดคือ “ชมพู่ยักษ์ไต้หวัน” มีถิ่นกำเนิดจาก ประเทศไต้หวัน มีลักษณะประจำพันธุ์คือ ผลใหญ่มาก นํ้าหนักเฉลี่ยได้ถึง ๘๐๐ กรัม (ต้องห่อผลช่อละ ๑ ผล) หากปลูกเพื่อเก็บผลขายเป็นการค้านํ้าหนักผล ควรอยู่ระหว่าง ๔๐๐-๖๐๐ กรัม (ห่อผล ๒-๓ ผลต่อช่อ) สีผลขณะยังอ่อนเป็นสีชมพู เมื่อผลแก่จัดขั้วผลจะเป็นสีขาวและผลเป็นสีชมพูอมแดง รสชาติหวานกว่าชมพู่ทับทิมจันทร์อย่างชัดเจน จึงทำให้ “ชมพู่ยักษ์ไต้หวัน” ได้รับความนิยมปลูกอย่างแพร่หลายอยู่ในเวลานี้ ทุกผลไม่มีเมล็ด ติดผลทั้งปี ให้ผลผลิตสูงช่วงฤดูหนาว

ใคร ต้องการกิ่งพันธุ์ “ชมพู่ดี ๒ พันธุ์” ติดต่อที่ตลาด นัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ โครงการ ๒๑ ราคาสอบถามกันเอง ปลูกได้ในทุกสภาพดิน ชอบนํ้ามาก หากขยันรดนํ้าบำรุงปุ๋ยมูลค้างคาวสม่ำเสมอสองเดือนครั้ง จะทำให้ติดผลเร็วหลังปลูกเพียง ๑ ปี และ ทยอยให้ผลผลิตไม่ขาดต้นตลอดทั้งปีครับ.
ไทยรัฐ - ศุกร์ที่ ๑๔/๓/๕๗


    ชมพู่เพชรนางฟ้า
ชมพู่ชนิดนี้ เกิดจากการเอาเมล็ดจำนวนมากของ ชมพู่เพชรเขียว และ ชมพู่น้ำตาลทรายขาว ไปเพาะเป็นต้นกล้า แล้วนำไปปลูกจนต้นโตมีดอกและติดผล ปรากฏว่า ขนาดของต้นเป็นพุ่มสูงปานกลางไม่สูงใหญ่นัก ติดผลดกเป็นพวงสีขาว สวยงามน่าชมยิ่งนัก รสชาติหวานกรอบหอมอร่อยเหมือนกับชมพู่เพชรเขียว และชมพู่น้ำตาลทรายขาว ทุกอย่าง จะแตกต่างตรงจุดที่ว่า “ชมพู่เพชรนางฟ้า” จะมีเนื้อหนาแน่นกว่า ที่สำคัญ “ชมพู่เพชรนางฟ้า” จะไม่มีเมล็ดด้วย จึงคัดพันธุ์ปลูกทดสอบพันธุ์อยู่หลายครั้งหลายวิธี ทุกอย่างยังคงที่และมั่นใจว่าเป็นชมพู่กลายพันธุ์แบบถาวรแน่นอนแล้ว จึงตั้งชื่อว่า “ชมพู่เพชรนางฟ้า” พร้อมขยายพันธุ์ด้วยระบบตอนกิ่งออกวางขายกำลังได้รับ ความนิยมจากผู้ปลูกอย่างแพร่หลายอยู่ในเวลานี้

ชมพู่เพชรนางฟ้า อยู่ในวงศ์ MYRTACEAE เป็นไม้ยืนต้น สูง ๕-๗ เมตร ใบเดี่ยวเรียงสลับ รูปรีแกมรูปขอบขนาน ปลายและโคนใบแหลม ดอก ออกเป็นช่อกระจุกตามกิ่งก้านและซอกใบ ดอกเป็นสีขาว ดอกรสเปรี้ยวนำไปปรุงเป็นยำรับประทานได้ “ผล” กลมรี ผลอ่อนสีขาวใส เมื่อแก่เนื้อจะเป็นสีขาวขุ่นเหมือนสีงาช้าง รสชาติหวานกรอบหอมอร่อย ไม่มีเมล็ดตามที่กล่าวข้างต้น มีดอกและติดผลดกทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยการตอนกิ่ง   ใครต้องการต้นไปปลูก ติดต่อสวนผู้พัน “คุณวิวัฒน์ มาบุญ” หมู่ ๗ ต.โพธิ์งาม อ.ประจันตคาม จ.ปราจีนบุรี หรือที่ตลาดนัดสนามหลวง ๒ บางแค กทม., ราคาสอบถามกันเอง ทุกต้นมีรากแก้วดีและมีสติ๊กเกอร์รับรองพันธุ์ด้วย ปลูกง่ายโตเร็ว หลังปลูก ๑.๕-๒ ปี จะติดผลชุดแรกและจะติดผลดกตลอดทั้งปีอย่างต่อเนื่อง ทำให้คุ้มค่ามากครับ.  
  นสพ. ไทยรัฐ – ศุกร์ที่ ๙/๑/๕๘


    ชมพู่สาแหรก
ปัจจุบัน “ชมพู่สาแหรก” หาซื้อผลรับประทานได้ยากเนื่องจากผู้ปลูกปลูกเพื่อเก็บผลขายมีน้อยลง ซึ่ง ในยุคสมัยก่อนนิยมปลูกกันอย่างกว้างขวางเกือบทุกครัวเรือน โดยเฉพาะในแถบจังหวัดนนทบุรี และย่านตลิ่งชัน เขตบางกอกน้อย กทม. เพื่อเก็บผลกินในครัวเรือนและขายสร้างรายได้ส่วนหนึ่งด้วย เวลามีแขก ไปเยี่ยมเยียนถึงบ้านในช่วงที่ “ชมพู่สาแหรก” ติดผลแก่จัด เจ้าของบ้านจะเก็บผลผ่าซีกจัดใส่ถาดให้ผู้ไปเยือนรับประทานเป็นของว่าง รสชาติหวานหอมคล้ายกลิ่นดอกไม้เป็นที่ชื่นชอบของผู้รับประทานและเป็นเอกลักษณ์แบบไทยๆ ดีมาก

ชมพู่สาแหรก หรือ  ENGENIA MALAC- GENSIS LINN. อยู่ในวงศ์ MYRTACEAE เป็นไม้ยืนต้น สูง ๘-๑๐ เมตร ใบออกสลับ ยอดอ่อนหรือใบอ่อนเป็นสีชมพูหรือสีน้ำตาล ใบมีขนาดใหญ่ ดอก ออกเป็นช่อกระจุกตามกิ่งก้านและซอกใบ มีเกสรตัวผู้สีขาวจำนวนมาก “ผล” กลมรี ปลายผลจะใหญ่กว่าหัวผล ผลสุกสีขาวหรือชมพู มีลายทางตามยาวของผลดูคล้ายสาแหรกใส่ของโบราณ จึงถูกตั้งชื่อตามลักษณะดังกล่าวว่า “ชมพู่สาแหรก” ใน ๑ ต้นจะมีผล ๒ แบบคือ ผลใหญ่ภายในมีเมล็ดตามภาพประกอบคอลัมน์ กับผลขนาดเล็กโตเต็มที่ประมาณนิ้วหัวแม่มือผู้ใหญ่ ชนิดนี้ไม่มีเมล็ด ชาวสวนนิยมเรียกกันว่า “ชมพู่สาแหรกกะเทย” ซึ่งใน ๑ ต้นจะมีผลเป็นกะเทยไม่ถึง ๕ กิโลกรัม ทำให้ “ชมพู่สาแหรกกะเทย” มีราคาแพงกว่า “ชมพู่สาแหรก” ชนิดผลใหญ่เพราะติดผลน้อยนั่นเอง ติดผลตามฤดูกาลช่วงฤดูร้อนต่อเชื่อมฤดูฝน ขยายพันธุ์ไปด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง.
  นสพ.ไทยรัฐ – ศุกร์ที่ ๒๓๑/๕๘


    ชมพู่มะเหมี่ยวขาว  
ชมพู่ชนิดนี้ เป็นไม้ผลโบราณที่นิยมปลูกเฉพาะถิ่นแถบ จ.นนทบุรี และย่านตลิ่งชัน เขตบางกอกน้อย กทม. ส่วนใหญ่ปลูกเพื่อเก็บผลรับประทานในครัวเรือนและมีปลูกเก็บผลขายบ้างประปราย จากนั้น “ชมพู่มะเหมี่ยวขาว” ได้กระจายพันธุ์ปลูกไปทั่วทุกภาคของประเทศไทย มีลักษณะประจำพันธุ์คือ “ผล” ทรงกลมสั้นและอ้วนใหญ่ เป็นสีขาวน่าชมยิ่ง ผลโตเต็มที่น้ำหนักเฉลี่ยระหว่าง ๕-๘ ขีด เนื้อผลหนา เวลาต้องการเก็บผลจากต้น ไปรับประทานหรือขายมีเคล็ดลับจากผู้เฒ่าผู้แก่ว่า จะต้องปล่อยให้ผลที่ต้องการเก็บบนต้นมีกลิ่นหอมมากๆ ตามธรรมชาติเสียก่อน โดยเข้าไปยืนใต้ต้นจะได้กลิ่นโชยเข้าจมูกรู้สึกได้ทันที สามารถเก็บได้เลย รสชาติจะหวานหอม ชื่นใจมาก ไม่มีรสเปรี้ยวหรือฝาดเจือปนเลย

ชมพู่มะเหมี่ยวขาว มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์ เป็นไม้ยืนต้น สูง ๘-๑๐ เมตร ใบออกตรงกันข้ามรูปขอบขนาน ใบมีขนาดใหญ่ให้ร่มเงาดีมาก ยอดอ่อนเป็นสีเขียวอ่อน แตกต่างจากยอดอ่อนของชมพู่มะเหมี่ยวทั่วไปที่จะเป็นสีน้ำตาลแดงชัดเจน ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบ เป็นสีชมพูอ่อน “ผล” รูปกลมสั้นและอวบอ้วนตามที่กล่าวข้างต้น รสชาติหวานหอมอร่อยมาก ติดผลดกเกือบทั้งปี สีสันของผลสวยงามมีเมล็ด ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง แต่ถ้า ปลูกด้วยต้นกล้าที่เพาะด้วยเมล็ดจะโตและติดผลช้ามาก ที่สำคัญมีโอกาสกลายพันธุ์ได้สูงด้วย ดังนั้นจึงนิยมขยายพันธุ์ด้วยระบบเสียบยอดมากกว่า เนื่องจากจะทำให้ไม่กลายพันธุ์แล้วต้นยังโตเร็วติดผลได้ง่ายหลังปลูกเพียงแค่ ๒-๓ ปีเท่านั้น ยังติดผลดกไม่ขาดต้นเกือบทั้งปี  
  นสพ.นสพ.ไทยรัฐ – ศุกร์ที่ ๒๑/๑๑/๕๗  


    ชมพู่เพชรสายรุ้ง
ชมพู่เพชรสายรุ้ง มีแหล่งปลูกเดิมที่ จ.เพชรบุรี โดยในตอนแรกมีชื่อเรียกตามพื้นที่ปลูกว่า “ชมพู่เพชรบุรี” และด้วยความอร่อยมีรสชาติหวานกรอบหอมกว่าชมพู่พันธุ์ใดๆที่มีปลูกในประเทศไทยและต่างประเทศ จึงมีชื่อเรียก ตามมาอีกหลายชื่อ เช่น “ชมพู่เพชรสายรุ้ง” และ “ชมพู่สายน้ำผึ้ง” เป็นต้น ซึ่งก็คือ “ชมพู่เพชรบุรี” นั่นเอง ส่วนลักษณะเด่นประจำพันธุ์คือ จะมีดอกและติดผลให้เก็บรับประทานหรือเก็บผลขายได้ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งก็ตรงกับเทศกาลตรุษจีนพอดี เลยทำให้ผู้ปลูกในเชิงพาณิชย์ เก็บผลออกขายได้ราคาดีถึงกิโลกรัมละ ๑๕๐-๓๐๐ บาท เลยทีเดียว ส่วนใหญ่จะมีวางขายเฉพาะตลาดผลไม้ใหญ่ๆ และตามห้างสรรพสินค้าดังๆ เท่านั้น ที่มีขายทั่วไปและผู้ขายบอกว่าชมพู่เพชรนั้นเป็นคนละพันธุ์กัน

สำหรับ วิธีดูว่าผลไหนเป็น “ชมพู่เพชรสายรุ้ง” ให้สังเกตที่ผลของ “ชมพู่เพชรสายรุ้ง” จะเป็นทรงระฆังคว่ำทุกผล ผลมีขนาดใหญ่ สีของผลเป็นสีเขียวปนชมพูและมีแถบหรือลายเส้นสีชมพูเป็นแนวตามยาวของผล บริเวณก้นผลจะตัดตรง ซึ่งชมพู่สายพันธุ์อื่นจะแตกต่างอย่างชัดเจน ที่สำคัญครีบบริเวณก้นผลจะม้วนเข้าไม่กางออกเหมือนชมพู่ทั่วไปที่จะกางออก เนื้อผลของ “ชมพู่เพชรสายรุ้ง” จะหนากว่าเทียบกันได้ชัดเจน เนื้อเป็นสีขาว แน่นกรอบ รสชาติหวานสูงกว่าเนื้อชมพู่พันธุ์ใดๆ มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว รับประทานอร่อยมาก

ชมพู่เพชรสายรุ้ง หรือ EUQENIA JAVANICA LARNK ชื่อสามัญ ROSE APPLE อยู่ในวงศ์ MYRTACEAE ปัจจุบันสามารถตัดแต่งต้นให้เตี้ย สูงแค่ ๒-๓ เมตรได้ เพื่อสะดวกในการเก็บผลนั่นเอง .
  นสพ.ไทยรัฐ – ๓๐/๑๐/๕๗


     ชมพู่เพชรดำ  กับที่มาสายพันธุ์อร่อย
ชมพู่ชนิดนี้ มีกิ่งตอนขายมีป้ายชื่อเขียนติดไว้ว่า “ชมพู่เพชรดำ” พร้อมมีภาพถ่ายผลจริงโชว์ให้ชมด้วย สีสันของผลสวยงามน่าชมมาก ผู้ขายบอกว่า เกษตรกรชาวไต้หวันเรียกชื่อชมพู่ดังกล่าวว่า “เฮชวนสื่อ” ส่วนชื่อ “ชมพู่เพชรดำ” เรียกในประเทศไทย โดยผู้ขายเล่าถึงที่มาของสายพันธุ์ต่อว่า แรกทีเดียวหน่วยงานวิจัยด้านการเกษตรของเขตเกาสงในพื้นที่ปิงตุง เป็นพื้นที่ทางตอนใต้ติดชายฝั่งทะเลของประเทศไต้หวันได้นำเอาชมพู่จากประเทศอินโดนีเซียหลายสายพันธุ์ไปปลูกทดสอบความเป็นไปได้ ช่วงปี พ.ศ.๒๕๒๐ ปรากฏว่าสามารถเติบโตได้ดีทุกพันธุ์ มีดอกและติดผลดกเหมือนปลูกในประเทศอินโดนีเซียถิ่นกำเนิดทุกอย่าง เกษตรกรชาวไต้หวัน จึงคัดเอาต้นดีที่สุดไปขยายพันธุ์ปลูกเก็บผลขายเชิงพาณิชย์ในชื่อว่า “เฮชวนสื่อ” หรือ “ชมพู่เพชรดำ” ได้รับความนิยมจากผู้ซื้อไปรับประทานอย่างแพร่หลายถึง กิโลกรัมไม่ต่ำกว่า ๘๐๐ บาท และส่งขายไปทั่วโลกในปัจจุบัน

ชมพู่เพชรดำ หรือ “เฮชวนสื่อ” ผู้ขายกิ่งตอนบอกว่า มีชื่อวิทยาศาสตร์เฉพาะว่า SYZYGIUM SAMARANGENSE มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับชมพู่ทั่วไปทุกอย่าง ซึ่งผู้ขายกิ่งตอนบอกว่า ผู้ปลูกสามารถตัดแต่งกิ่งให้ต้นสูง ๒.๕-๓ เมตรได้ ระยะปลูกต่อต้น ๔x๔ เมตร รดน้ำบำรุงปุ๋ยสม่ำเสมอ จะมีดอกและติดผลชุดแรกหลังปลูกเพียงแค่ ๘ เดือน หรือ ๑ ปีเท่านั้น และจะติดผลดกเป็นพวงอย่างต่อเนื่องตามฤดูกาล ความหวานของผลวัดได้ ๑๒-๑๘ องศาบริกซ์ ขยายพันธุ์ทั่วไปด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง

ปัจจุบัน “ชมพู่เพชรดำ” หรือ “เฮชวนสื่อ” มีต้นขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ
  นสพ.ไทยรัฐ – ๓๐/๑๐/๕๗


     ชมพู่กะหลาป๋า  กับที่มาพันธุ์หวานกรอบ
ชมพู่ชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดจากประเทศชวา มีลักษณะประจำพันธุ์คือผลสุกสีสันน่าชมยิ่งนัก เนื้อผลรสชาติหวานกรอบอร่อยมาก ถูกนำเข้ามาปลูกและขยายพันธุ์ในประเทศไทยตั้งแต่สมัยคุณปู่คุณย่าหรือตั้งแต่โบราณแล้ว จนทำให้ใครๆ พากันคิดว่าเป็นชมพู่พันธุ์ไทยแท้ๆ ไปโดยปริยายและนิยมปลูกกันอย่างแพร่หลายในยุคสมัยก่อน ปัจจุบันเหลือน้อยมาก

ชมพู่กะหลาป๋า หรือ EUGENIA JAVA NICA LAMK. อยู่ในวงศ์ MYRTACEAE เป็นไม้ยืนต้น สูง ๑๐-๑๕ เมตร แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มกลม ใบมีขนาดใหญ่เป็นรูปรีกว้าง ปลายแหลม โคนมน เนื้อใบหนา ใบอ่อนเป็นสีชมพู ใบแก่สีเขียวเข้ม ใบดกให้ร่มเงาดีมาก

ดอก ออกเป็นช่อกระจุกตามกิ่งก้าน แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยจำนวนมาก ไม่มีกลีบดอก มีกลีบเลี้ยงเป็นรูปกรวย สีเขียวอ่อน ปลายแยกเป็น ๕ แฉก มีเกสรตัวผู้จำนวนมากยื่นยาวเป็นฝอยๆ คล้ายพู่สีแดงอมชมพูสวยงามมาก แต่เกสรดังกล่าวจะร่วงง่าย ซึ่งเกสรที่ว่านี้จะมีรสฝาดนิดๆ คนใต้นิยมเอาไปใช้เป็นผักรวมกับผักชนิดอื่นปรุงใน “ข้าวยำปักษ์ใต้” เพิ่มสีสันและรสชาติให้รับประทานอร่อยและได้คุณค่าทางโภชนาการยิ่งขึ้น “ผล” รูปกลมแป้น ผลดิบสีเขียวอ่อน สุกเป็นสีชมพูอ่อนปนขาวนวล มักมีแต้มสีน้ำตาลตามยาวเล็กน้อย เนื้อผลหนาฉ่ำน้ำ รสชาติหวานกรอบ ภายในมีเมล็ด ๒ เมล็ด ดอกออกช่วงระหว่างเดือนตุลาคม และติดผลเดือนพฤศจิกายนทุกปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง และเสียบยอด

ส่วนชื่อกะหลาป๋าเป็นชื่อที่นิยมเรียกเกาะชวามาแต่โบราณ จึงเรียกชื่อชมพู่ที่นำมาจากประเทศชวาว่า “ชมพู่กะหลาป๋า” ดังกล่าว ซึ่งต่อมาชื่อกะหลาป๋าที่เรียกเกาะชวาได้เปลี่ยนไปเรียกกันว่า ปัตตาเวีย แต่ปัจจุบันเรียก จาการ์ตา ไปตรงกับชื่อของ หมวกชนิดหนึ่งที่นิยมใช้สานด้วยไม้ไผ่อย่างละเอียดรูปทรงสูง ผู้หญิงชาวชวานิยมใช้ในเวลาแข่งเรือติดดอกไม้จีนเสียบ เรียกกันว่า “หมวกกะหลาป๋า” ครับ
  นสพ.ไทยรัฐ



     ชมพู่เพชรน้ำบุษย์  หวานหอม    
ชมพู่เพชรน้ำบุษย์ เป็นชมพู่น้ำดอกไม้ที่ได้รับการคัดพันธุ์โดยเกษตรกรมือดีจากชมพู่น้ำดอกไม้ เดิมที่มีสีของผลเป็นสีขาวและมีเมล็ด ๒-๓ เมล็ด ในหนึ่งผล เนื้อผลบาง รสชาติหวานเพียงเล็กน้อย ทำให้ไม่ได้รับความนิยมรับประทานและปลูกเท่าที่ควร แต่ “ชมพู่เพชรน้ำบุษย์” ที่ถูกคัดพันธุ์แล้วจะมีผลสุกแตกต่างคือเป็นสีเหลืองทอง เนื้อผลหนาขึ้นเยอะ และเมล็ดในผลจะมีเพียง ๑ เมล็ดเท่านั้น รสชาติหวานขึ้น กรอบหอมอร่อยมาก เจ้าของผู้คัดพันธุ์จึง ตั้งชื่อว่า “ชมพู่เพชรน้ำบุษย์” พร้อมปลูกเก็บผลขายเชิงพาณิชย์และขยายพันธุ์ตอนกิ่งจำหน่ายด้วย ได้รับความนิยมจากผู้ซื้อไปรับประทานและซื้อกิ่งไปปลูกอย่างแพร่หลาย เพราะสีของผลสวยงาม รสชาติดีขึ้นนั่นเอง
 
ชมพู่เพชรน้ำบุษย์ หรือ SYZYGIUM JAMBOS LINN ALSTON อยู่ในวงศ์ MYTACEAE เป็นไม้ยืนต้น สูง ๗-๘ เมตร ใบเดี่ยว ออกตรงกันข้าม ปลายใบแหลม ใบมีขนาดเล็กกว่าใบชมพู่ทั่วไป สีเขียวสด ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอด สีขาว หรือ สีเหลืองอ่อน มีเกสรตัวผู้จำนวนมาก “ผล” กลมแป้น ผลสุกเป็นสีเหลืองทอง โตเต็มที่เกือบเท่าผลส้มเขียวหวาน เนื้อผลหนากลวงน้อย มี ๑ เมล็ดใน ๑ ผล รสชาติหวานกรอบหอมอร่อยมาก ติดผลดกเต็มต้นทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยการตอนกิ่ง
 
ประโยชน์ทางยา ใบสดต้มน้ำล้างแผลสด ตำทารักษาโรคผิวหนัง เมล็ดแก้บิด เปลือกต้นต้มน้ำดื่มแก้โรคท้องร่วงได้ผลดีมาก
  นสพ.ไทยรัฐ


     ชมพู่สตรอเบอรี่
ชมพู่ชนิดนี้ เป็นสายพันธุ์นำเข้า จากประเทศไต้หวันเมื่อปี ๒๕๕๗ และได้ทดลองปลูกในหลายพื้นที่ของประเทศไทยทั้งที่สูงและพื้นที่ราบตํ่าอยู่เป็นเวลานาน ปรากฏว่าในทุกพื้นที่ ปลูกมีอายุได้ประมาณ ๑ ปีกว่าๆ ต้นยังไม่สูงนัก สามารถมีดอกและติดผลให้เห็นแล้ว ถือว่าเป็นชมพู่พันธุ์เบามีดอกและติดผลได้ง่ายและไวมากเมื่อเปรียบเทียบกับชมพู่สายพันธุ์อื่นๆที่มีปลูกในประเทศไทย ส่วนลักษณะผล เป็นรูปทรงระฆัง ผลมีขนาดใหญ่ติดผลดกเป็นพวง ๕-๗ ผล ผลแก่จัดเป็นสีแดงสดใสตลอดทั้งผลและทุกๆผลดูสวยงามยิ่ง นํ้าหนักผลโตเต็มที่เฉลี่ยระหว่าง ๒๐๐ กรัมต่อผล เนื้อผลหนา กรวงน้อยเกือบตัน เมล็ดขนาดเล็ก ๒-๓ เมล็ดต่อผล รสชาติเนื้อหวานละเอียดกรอบอร่อยมาก ที่สำคัญผลที่ติดอยู่บนต้นจะไม่เน่าหรือเสียร่วงได้ง่าย ติดผลดกเต็มต้นตามฤดูกาล ผู้นำเข้าจึงตั้งชื่อเป็นภาษาไทยว่า “ชมพู่สตรอเบอรี่” ดังกล่าว

ชมพู่สตรอเบอรี่ อยู่ในวงศ์ MYRTACEAE มีลักษณะทั่วไปเหมือนกับต้นชมพู่มะเหมี่ยวทุกอย่าง เพียงแต่ขนาดของต้นจะไม่สูงใหญ่นัก ๕-๗ เมตรเท่านั้น ใบออกเรียงสลับขนาดใหญ่คล้ายใบชมพู่มะเหมี่ยว ดอก ออกตามกิ่งก้าน เป็นสีแดง มีเกสรตัวผู้จำนวนมาก “ผล” เป็นรูประฆัง ติดผลดกเป็นพวง ผลแก่จัดเป็นสีแดงตามภาพประกอบคอลัมน์ มีดอกและติดผลตามฤดูกาลช่วงระหว่างเดือนตุลาคมต่อเนื่องไปจนถึงเดือนพฤศจิกายนของทุกปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง และเสียบยอด การป้องกันโรคแมลงให้ห่อผลขณะผลโตเท่าหัวแม่มือผู้ใหญ่ จากนั้น ๓๐-๔๕ วัน ผลจะแก่สามารถเก็บผลกินหรือขายได้
  นสพ.ไทยรัฐ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09 กันยายน 2559 16:48:33 โดย กิมเล้ง » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5462


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 9.0 MS Internet Explorer 9.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 26 มิถุนายน 2556 11:09:33 »

.


    ชมพู่มะเหมี่ยวแดงพิรุณ
ชมพู่มะเหมี่ยวแดงพิรุณ เป็นพันธุ์ใหม่ เกิดจากการเขี่ยเกสรผสมระหว่าง ชมพู่มะเหมี่ยวขาว กับชมพู่สาแหรก พันธุ์ดั้งเดิม เมื่อติดผลแล้วปรากฏว่าติดผลเป็นพวง โดยมีขั้วผลยาวคล้ายขั้วผลของชมพู่เพชรทั่วไป ซึ่งเป็นเรื่องแปลกเนื่องจากขั้วผลของชมพู่มะเหมี่ยวขาวและชมพู่สาแหรกขั้วจะสั้นติดกับลำต้น รูปทรงของผลก็แตกต่างจากรูปทรงของผลชมพู่มะเหมี่ยวขาวและชมพู่สาแหรกที่เป็นพันธุ์พ่อพันธุ์แม่อย่างชัดเจน

สี ของผลเมื่อแก่จัดหรือสุกเป็นสีม่วงอมแดง รสชาติหวานคล้ายเนื้อของชมพู่สาแหรก มีกลิ่นหอมอ่อนๆ รับประทานอร่อยมาก เจ้าของผู้เขี่ยเกสรเชื่อว่าเป็นพันธุ์ใหม่ จึงขยายพันธุ์ปลูกทดสอบพันธุ์อยู่หลายครั้งและหลายวิธี ปรากฏว่าทุกอย่างยังคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง เลยมั่นใจว่าเป็นพันธุ์ใหม่ถาวรแล้ว จึงตั้งชื่อว่า “ชมพู่มะเหมี่ยวแดงพิรุณ” พร้อมตอนกิ่งขยายพันธุ์ออกวางขายดังกล่าว

ชมพู่มะเหมี่ยวแดงพิรุณ เป็นไม้ยืนต้น สูง ๗-๑๐ เมตร ใบเดี่ยว ออกตรงกันข้าม รูปขอบขนาน ใบมีขนาดใหญ่ ยอดอ่อนเป็นสีเขียวอ่อน ใบดกหนาแน่นมาก ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบ มีเกสรสีชมพูอ่อนจำนวนมาก “ผล” รูปกลมรี ส่วนก้นผลใหญ่กว่าปลายผลเหมือนผลชมพู่ทั่วไป แต่ขั้วผลจะยาวตามที่กล่าวข้างต้น ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อผลแก่หรือสุกจะเป็นสีชมพูและสีม่วงอมแดงตามลำดับ ภายในมีเมล็ด ๑-๓ เมล็ด เนื้อผลหนา รสชาติหวานกรอบอร่อยมาก ติดผลดกเป็นพวงตลอดปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง และเสียบยอดปลูกโตเร็ว เวลาติดผลจะดกเต็มต้น จะคุ้มค่ามากครับ.
  นสพ.ไทยรัฐ – ๒๖/๑/๕๘


     ทับทิม
ที่บ้านปลูกต้นทับทิมสองต้น ต้นหนึ่งมีผลผลิตแล้ว แต่ไม่ได้นำมาบริโภคแต่อย่างใด เพราะปลูกไว้ด้วยเห็นว่า ต้นมันมีรูปทรงสวยดีเลยปลูกประดับ มีผู้รู้บอกว่าทับทิมใช้รับประทานเป็นผลไม้รสหวาน หรือเปรี้ยวหวาน มีวิตามินซีและแร่ธาตุหลายตัว ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน และบำรุงฟันให้แข็งแรง ทับทิมมีสรรพคุณทางยาด้วยดังนี้    ใบ-อมกลั้วคอ ทำยาล้างตา ดอก-ใช้ห้ามเลือด เปลือกและผลแห้ง-เป็นยาแก้ท้องร่วง ท้องเดิน แก้บิด แก้โรคลักปิดลักเปิด เปลือกต้นและเปลือกราก-ใช้เป็นยาขับพยาธิตัวตืด พยาธิตัวกลม เมล็ด-โรคลักปิดลักเปิด ...นสพ.เดลินิวส์



     ทับทิมแดงเจ้าพระยา  หวานกินได้ทั้งเมล็ด
ทับทิมชนิดนี้ เกิดจากการนำเอาเมล็ดของทับทิมอินเดียพันธุ์ดั้งเดิมไปเพาะเป็นต้นกล้าจำนวนหลายต้น แล้วปลูกเลี้ยงจนต้นโตมีดอกและติดผล ปรากฏว่า รูปทรงของต้นไม่สูงใหญ่นัก ปลูกและดูแลได้ง่าย ติดผลเร็วหลังปลูก ๒-๓ ปี เท่านั้น ติดผลดกเต็มต้น สีสันของดอกและสีสันของผลสวยเป็นสีแดงเข้ม เนื้อหุ้มเมล็ดเป็นสีแดงคล้ำ เปลือกผลบางผ่าแกะเมล็ดได้สะดวก เมล็ดนิ่มเคี้ยวกินได้ทั้งเมล็ด รสชาติหวานกรอบอร่อยมาก เชื่อว่าเป็นทับทิมกลายพันธุ์อย่างแน่นอน เลยขยายพันธุ์ตอนกิ่งไปปลูกทดสอบความนิ่งของพันธุ์อยู่หลายวิธีทุกอย่างยังคงที่ มั่นใจว่าได้กลายพันธุ์แบบถาวรแล้ว จึงตั้งชื่อว่า “ทับทิมแดงเจ้าพระยา” พร้อมขยายพันธุ์ออกวางขาย กำลังได้รับความนิยมจากผู้ซื้อไปปลูกอย่างแพร่หลายอยู่ในเวลานี้

ทับทิมแดงเจ้าพระยา มีชื่อวิทยาศาสตร์และลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับทับทิมทั่วไปทุกอย่างคือ POMEGRANATE PUNICA GRANATUM LINN. อยู่ในวงศ์ PUNICACEAE เป็นไม้พุ่ม สูง ๒-๕ เมตร กิ่งเล็กๆ มักเปลี่ยนเป็นหนามแหลม ใบเป็นใบเดี่ยวออกตรงกันข้ามรูปรีแกมรูปขอบขนาน ปลายและโคนใบแหลม ใบอ่อนเป็นสีแดงอมชมพูน่าชมมาก ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆตามซอกใบและปลายยอด กลีบดอกเป็นสีแดงเข้ม ร่วงง่าย กลีบเลี้ยงหนาและแข็ง เป็นสีส้มอมเหลือง “ผล” รูปกลม ผลโตเต็มที่มีน้ำหนักเฉลี่ยระหว่าง ๔-๖ ขีด เปลือกผลเป็นสีแดงเข้ม โดยเฉพาะหากไม่ห่อผลป้องกันแมลงให้ได้แสงแดดจัดๆ สีของเปลือกผลจะยิ่งเข้มขึ้น ขยายพันธุ์ตอนกิ่ง ไม่นิยมเพาะเมล็ด เหมาะจะปลูกเก็บผลกินในครัวเรือนหรือปลูกเก็บผลขายคุ้มค่ามากครับ
   นสพ.ไทยรัฐ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 พฤศจิกายน 2558 18:19:41 โดย กิมเล้ง » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5462


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 9.0 MS Internet Explorer 9.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: 26 มิถุนายน 2556 11:21:33 »

.


     ไผ่หวานหนองโดน กินสดไม่มีไซยาไนด์
ไผ่ชนิดนี้ มีแหล่งที่พบครั้งแรกที่ บ้านหนองโดน ต.กุดดู่ อ.โนนสัง จ.หนองบัวลำภู เมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๓ ซึ่งในตอนนั้นพบเพียง ๒ กอ ต่อมาได้ขยายพันธุ์ด้วยการแยกเหง้าไปปลูกในพื้นที่ ๗ ไร่ หลังปลูก ๕ ปี ต้นไผ่บางต้นมีดอก จึงคัดเลือกต้นที่งอกจากเมล็ด เอาเฉพาะต้นที่สมบูรณ์ไปปลูกจนต้นโต มีความโดดเด่นคือ

ต้นโตเร็ว ให้หน่อขนาดใหญ่ขึ้น ออกหน่อดก มีหน่อตลอดทั้งปี ทรงพุ่มของกอโปร่ง กิ่งแขนงบริเวณข้อมีน้อย ใบมีขนาดใหญ่ ข้อปล้องห่าง ต้นสูง ๑๐-๑๒ เมตร จึงถูกตั้งชื่อ ตามแหล่งที่พบว่า “ไผ่หวานหนองโดน” โดย กรมวิชาการเกษตร ออกหนังสือรับรองพันธุ์ ใน วันที่ ๕ ต.ค.๕๕ ที่ผ่านมา

ไผ่หวานหนองโดน มีชื่อวิทยาศาสตร์ คือ BABUSA BURMANICA อยู่ในวงศ์ POACEAE วงศ์ย่อย BAM-BUSOIDEAE เจริญเติบโตเต็มที่ในปีที่ ๕ หลังปลูก หน่อมีน้ำหนักเฉลี่ย ๐.๕–๒.๐๐ กิโลกรัมต่อหน่อ เปลือกหุ้มหน่อค่อนข้างหนาแข็ง มีขนน้อย เนื้อในหน่อสีขาวรสชาติหวานกรอบอร่อยมาก

คุณสมบัติพิเศษ ของหน่อ “ไผ่หวานหนองโดน” เป็นไผ่ชนิดเดียวที่สามารถรับประทานแบบสดๆได้โดยไม่ต้องนำไปต้มก่อน เนื่องจากเนื้อของหน่อไม่มีสาร “ไซยาไนด์” เช่นหน่อไม้ชนิดอื่น ซึ่งผู้ขายกิ่งพันธุ์บอกว่า มีใบรับรองจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ด้วย สามารถใช้มีดเฉาะเนื้อกินเป็นผักสดกับน้ำพริกชนิดต่างๆได้ สับปรุงเป็นส้มตำแทนเนื้อมะละกอ หรือนำไปทำแกงจืดกระดูกหมูรสชาติหวานกรอบอร่อยมาก ซึ่งหน่อของ “ไผ่หวานหนองโดน” กำลังเป็นที่นิยมของผู้รับประทานและนิยมปลูก อย่างกว้างขวางในปัจจุบัน

ใครต้องการต้นพันธุ์ “ไผ่หวานหนองโดน” ไปปลูก ติดต่อ “คุณวรรณา” โทร. ๐๘–๖๓๕๓–๓๗๙๔
  ไทยรัฐ

  
http://www.horoguide.com/wp-content/uploads/2012/03/dsc0028rk-300x200.jpg
"เกษตรน่ารู้" สารพัดสารพันเรื่องพันธุ์ไม้

     ไผ่ตัน เนื้อไม้เหนียวหน่อกินได้
ไผ่ตัน ไผ่ชนิดนี้ เป็นพันธุ์พื้นบ้าน นิยมปลูกเพื่อใช้ประโยชน์อย่างแพร่หลายมาแต่โบราณรุ่นคุณปู่คุณทวดแล้ว ส่วนใหญ่พบมากทางภาคอีสาน โดยจะนำเอาลำต้นซึ่งมีรูเล็กๆเกือบตันตลอดทั้งลำไปใช้ประโยชน์หลายรูปแบบ เนื่องจากเนื้อไม้มีความเหนียวกว่าเนื้อไม้ของไผ่ชนิดใดๆ ใช้ในการก่อสร้างบ้านเรือนที่สร้างด้วยไม้ไผ่ตามชนบทห่างไกลตัวเมือง ทำขื่อตงแบบง่ายๆ แต่จะมีความแข็งแรง ทนทานอยู่ได้นานหลายชั่วอายุคน เพราะมอดไรไม่เจาะเนื้อไม้นั่นเอง

ชาวบ้าน ทางภาคอีสานยังนิยมนำเอาลำไผ่ของ “ไผ่ตัน” คัดเฉพาะที่มีลำอ้วนพอดีกับมือหรือจับได้มั่นคงทำเป็นด้ามขวานใช้ได้ดีมากเนื่องจากมีความเหนียวและแน่น เวลาใช้ขวานตัดไม้ด้ามขวานไม่มีหักเหมือนกับด้ามขวานที่ทำขึ้นจากไม้ทั่วไป จึงถูกเรียกชื่ออีกว่า “ไผ่ด้ามขวาน” ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในยุคสมัยก่อน ปัจจุบัน “ไผ่ตัน” หรือ “ไผ่ด้ามขวาน” มีคนรู้จักน้อยมาก

นอกจาก ประโยชน์ที่กล่าวข้างต้นแล้ว หน่ออ่อนของ “ไผ่ตัน” หรือ “ไผ่ด้ามขวาน” ยังสามารถใช้ปรุงเป็นอาหารได้ แต่รสชาติจะไม่อร่อยเท่าไผ่สายพันธุ์ที่ปลูกกินหน่อทั่วไป จึงนิยมปลูกเพื่อใช้ประโยชน์ที่กล่าวข้างต้นเท่านั้น

ไผ่ตัน หรือ “ไผ่ด้ามขวาน” มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์ทั่วไปคล้ายกับ ไผ่เลี้ยง ที่มีวางขายมากมาย ลำต้นกลมเกลี้ยง โตเต็มที่ประมาณข้อมือผู้ใหญ่ ข้อปล้องไม่ยาวมากนัก รูภายในลำไผ่เล็กนิดเดียวหรือเกือบตันตลอดทั้งลำ ทำให้เนื้อไม้มีน้ำหนักดี และมีความเหนียวแข็งแรง ทนทานกว่าเนื้อไม้ไผ่ชนิดอื่นอย่างชัดเจน ขยายพันธุ์ด้วยหน่อ  ปัจจุบัน “ไผ่ตัน” หรือ “ไผ่ด้ามขวาน” มีต้นพันธุ์ขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ
  ไทยรัฐ
    


    ไผ่รวก หน่อยอร่อย มีสรรพคุณ
ไผ่ ชนิดนี้นิยมรับประทานกันอย่างแพร่ หลายทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ ส่วนใหญ่เอาหน่ออ่อนแกง  หรือจิ้มน้ำพริก อร่อยมาก พบขึ้นตามป่า เป็นที่ลาดเชิงเขาเกือบทุกภาคของประเทศไทย ขึ้นเป็นกอหรือเป็นกลุ่ม จำนวนมาก เมื่อถึงกลางฤดูฝน “ไผ่รวก” จะแทงหน่ออ่อนโผล่ขึ้นเหนือดินตามธรรมชาติทุกๆปี ชาวบ้านที่หาของป่าขายจะพากันขึ้นเขาเป็นกลุ่ม ๔-๕ คน เข้าไปขุดหรือตัดเอาหน่อ อ่อนของ “ไผ่รวก” ที่มีจำนวนมากออกมาต้มกับน้ำใส่ปีบข้างๆบริเวณกอ “ไผ่รวก” แล้วแกะเอาเปลือกหุ้มหน่ออ่อนออกเหลือเพียงเนื้อสุกด้านในเป็นสีเหลืองใส่กระชุหาบลงไปขายในตัวเมืองสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำปีละครั้ง ได้รับความนิยมจากผู้ซื้อไปรับประทานอย่างแพร่หลาย ซึ่งนอกจากใช้แกงและจิ้มน้ำพริกชนิดต่างๆแล้ว ที่พบเห็นเป็นประจำคือ เอาหน่ออ่อน หั่นฝอยต้มกับน้ำคั้นใบย่านาง ปรุงเป็นซุปหน่อไม้ สุดยอดของความอร่อย ได้รับความนิยมทั่วไป

สรรพคุณทางสมุนไพร รากสด ต้มน้ำดื่มเป็นยาขับปัสสาวะดีมาก การใช้สอยอย่างอื่นเนื้อไม้ทำเครื่องจักสาน เฟอร์นิเจอร์ และอื่นๆ อีกมากมาย

ไผ่รวก หรือ BAMBUSA ARUNDINACEA อยู่ในวงศ์ GRAMINEAE  มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับไผ่ทั่วไป ลำต้นตรง เส้นผ่าศูนย์กลางลำต้นประมาณ ๑.๕-๒ นิ้วฟุต ใบจะมีขนาดเล็กกว่าใบไผ่ทั่วไปอย่างชัดเจน ต้นสูง ๕-๑๐ เมตร มีชื่อเรียกอีกคือ ไผ่ป่า, ไม้ฮวก, ไผ่หนาม เป็นต้น นิยมปลูกเก็บหน่ออ่อนต้มแกะเปลือกขายอย่างกว้างขวางแถบ จ.นครนายก จ.ปราจีนบุรี มีรถตระเวนไปซื้อหน่อต้มสุกถึงที่ ทำให้ผู้ปลูกมีรายได้ประจำและแน่นอน ปัจจุบัน “ไผ่รวก” มีต้นพันธุ์ขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับสวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ  
  ไทยรัฐ
    


     ไผ่เหลือง ปลูกเพื่อสร้างภูมิทัศน์
ไผ่ทั่วโลก รวมแล้วมี ๘๐-๙๐ สกุล ประมาณ ๑,๕๐๐ ชนิด มีเขตการกระจายพันธุ์ในพื้นที่เขตร้อน เขตอบอุ่นทุกภาคบนโลก ยกเว้นขั้วโลกเหนือ ขั้วโลกใต้ และทวีปยุโรปบางส่วน ในประเทศไทยเชื่อว่ามีไผ่ทั้งสิ้น ๑๕-๒๐ สกุล ประมาณ ๘๐-๑๐๐ ชนิด พบขึ้นกระจายอยู่ในป่าทุกภาค ส่วนมากตามป่าเบญจพรรณ ป่าผสมผลัดใบและป่าดิบชื้น โดยไผ่แบ่งได้เป็นทั้งไผ่ชนิดที่กินหน่อกับไผ่ปลูกสร้างภูมิทัศน์ให้เป็นธรรมชาติร่มรื่นและสวยงาม จึงเรียกไผ่ชนิดหลังว่า “ไผ่ประดับ”

ปัจจุบัน ไผ่ประดับมีหลายชนิด เช่น ไผ่น้ำเต้า ไผ่ลาย ไผ่ทอง ไผ่ดำ และ“ไผ่เหลือง” เป็นต้น ซึ่งไผ่เหล่านี้จะมีการเจริญเติบโตช้า ทำให้สามารถควบคุมการแตกเหง้าแบบไร้ทิศทางที่เป็นปัญหาใหญ่ในการปลูกประดับได้ง่าย และดูเป็นระเบียบสวยงามด้วย

ไผ่เหลือง หรือ BAMBUSA VULGARIS SCHRADER EX WEND-LAND CY.VITTATA MCCLURE ชื่อสามัญว่า YELLOW BAMBOO ลำต้นไม่สูงใหญ่มากนัก ๕-๗ เมตร แตกต้นเป็นกอห่าง ไม่เป็นพูพอนสูง เป็นไผ่ที่มีระบบเหง้าลำเดียว ต้นตรง ข้อปล้องยาว เป็นสีเหลืองสด มีแถบสีเขียวตามยาวของข้อปล้องดูสวยงามมาก ขยายพันธุ์ด้วยหน่อ หรือปักชำต้น

นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ เนื่องจากลำต้นเป็นสีเหลืองแปลกตานั่นเอง ส่วนใหญ่จะปลูกประดับสวนหย่อม สวน สาธารณะ และปลูกเลาะแนวทางเดินสองด้านที่มีระยะทางยาวเข้าบ้านพักตากอากาศบนเขา รีสอร์ต สีสันของลำต้นจะตัดกับสีของใบที่เป็นสีเขียวสดดูสวยงามและให้ความร่มรื่นน่าชมมาก นอกจากนั้น ลำไผ่ของ “ไผ่เหลือง” ยังนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้อีก เช่น ทำเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ในครัวเรือนเล็กๆ น้อยๆ ด้วย

ไผ่เหลือง มีต้นขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ แผงตรงกันข้ามโครงการ ๑๕
  ไทยรัฐ



     "ไผ่สีสุก"  ความเชื่อ ดีกินได้ประโยชน์เยอะ
ไผ่ชนิดนี้ เชื่อกันว่ามีถิ่นกำเนิดในแถบ เกาะสุมาตรา ชวา และ บอร์เนียว แล้วกระจายปลูกทั่วไปในเขตร้อน ในประเทศไทยนิยมปลูก “ไผ่สีสุก” มาแต่โบราณแล้ว ส่วนใหญ่จะปลูกเป็นแนวรั้วบ้าน ทางด้านทิศตะวันออกหรือทิศบูรพา เพราะมีความเชื่อว่า เป็นไม้มงคลเมื่อปลูกแล้วจะทำให้เจ้าของและคนในครอบครัวมีความสุขความเจริญตามชื่อที่ถูกเรียกขาน

นอกจาก ความเชื่อดังกล่าวแล้ว หน่อของ “ไผ่สีสุก” ยังกินได้ทั้งสดและดองเปรี้ยวปรุงเป็นอาหารได้หลายอย่าง รสชาติกรอบอร่อยมาก ลำไผ่ใช้ก่อสร้าง จักสาน ทำเฟอร์นิเจอร์ ทำไม้คานหามมีความทนทานสูง โดยเฉพาะ ลำไผ่ ใช้ทำข้าวหลามเผาแล้วข้าวหลามจะสุกเสมอกันทั้งกระบอก ข้าวไม่แฉะนิ่มเหนียวรับประทานอร่อยมาก

ในส่วนของสรรพคุณทางสมุนไพร แพทย์ตามชนบทนิยมใช้ใบไผ่ปรุงเป็นยาขับฟอกล้างโลหิตระดูที่เสียในสตรี ตาของลำไผ่สุมไฟเป็นถ่านกินแก้ร้อนในกระหายน้ำ ราก มีรสกร่อยเฟื่อนเล็กน้อย ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ไตพิการ และใช้รวมกับยาขับโลหิตระดูสตรีและยาแก้หนองในได้

ไผ่สีสุก หรือ BAMBUSA BLUMEANA J.H.SCHULTES ชื่อสามัญ SPINY BAMBOO, THOMY BAMBOO, THORNY BRANCH BAMBOO. ลักษณะทั่วไปคล้ายไผ่ป่า ขึ้นเป็นกอแน่น เส้นผ่าศูนย์กลางของลำไผ่ ๕-๑๕ ซม. ปล้องยาว ๑๕-๕๐ ซม. เนื้อลำไผ่หนา ๑-๓.๕ ซม. ลำแก่เป็นสีเขียวอมเหลือง โคนกอมีกิ่งเรียวยาวอัดกันแน่น มีหนามแข็ง กาบหุ้มเป็นสีเหลือง หน่อสีน้ำตาล น้ำหนักของหน่อประมาณ ๒–๕ กิโลกรัมต่อหน่อ ซึ่งหน่อรับประทานเป็นอาหารได้ตามที่กล่าวข้างต้น ขยายพันธุ์ด้วยหน่อ มีหน่อขาย ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ  ตรงกันข้ามโครงการ ๑๕
  ไทยรัฐ
    


     "ไผ่บงหวาน"    หน่อกินสด หวานกรอบอร่อย
ไผ่เป็นไม้กินหน่อที่นิยมปลูกกันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนไม่แพ้การนิยมปลูกไม้ผลกินได้ชนิดต่างๆทั่วไป เนื่องจากหลังปลูกผู้ปลูกไม่ต้องเสียเวลาดูแลมากนัก จะมีเม็ดฝนโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่อง เรียกว่า ปล่อยให้เทวดาเลี้ยง ซึ่งพอสิ้นฤดูฝน ไผ่หรือไม้ผลชนิดต่างๆ ที่ปลูกเอาไว้ จะเติบใหญ่และติดรากได้อย่างมั่นคงพอดี

ไผ่บงหวาน เป็นไผ่กินหน่อชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมปลูกมาช้านาน เพราะเป็นสายพันธุ์ที่หน่อสด จะมีรสชาติหวานสามารถรับประทานสดได้เลยโดยไม่ต้องนำไปต้มหรือลวกให้สุกก่อนเหมือนหน่อจากไผ่ชนิดอื่น กรอบอร่อยมากไม่มีรสเฝื่อนติดลิ้นเหมือนหน่อไผ่ชนิดอื่นเลย ไผ่บงหวาน หรือ
BAMBUSA CF. BUR-MANICA GAMBLE เป็นไผ่พื้นเมืองในภูมิภาคอินโดจีน ในประเทศไทยพบขึ้นตามป่าผสมผลัดใบทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีปลูกเก็บหน่อขายมากที่สุดที่ จ.เลย เรียกว่า “ไผ่บงหวานเมืองเลย” เป็นไผ่ประเภทมีเหง้า กอแน่นขนาดกลาง สูง ๗-๑๕ เมตร ลำต้นรวมกันหลวมๆ และจะโค้งงอออกจากกลางกอ เส้นผ่าศูนย์ กลางลำต้น ๓.๕-๑๐ ซม. ปล้องยาว ๒๐-๓๐ ซม. เนื้อลำหนา ๑-๒ ซม. บางครั้งอาจตัน

หน่อ แทงขึ้นจากโคนกอ เมื่อหน่อโตจนสามารถเก็บผลผลิตได้ จะมีน้ำหนักเฉลี่ยระหว่าง ๔-๕ หน่อต่อ ๑ กิโลกรัม ซึ่งหน่อมีลักษณะพิเศษคือ สามารถปอกเปลือกหุ้มหน่อออกแล้วรับประทานสดได้เลย รสชาติหวานกรอบอร่อยตามที่กล่าวข้างต้น และปรุงเป็นอาหารได้หลากหลายรูปแบบตามใจชอบ ไม่มีรสขมหรือเฝื่อนเจือปนทำให้เสียรสชาติ กรอบอร่อยเหมือนกินยอดมะพร้าวอย่างไรอย่างนั้น เป็นไผ่ที่มีหน่อดกตามฤดูกาล ขยายพันธุ์ด้วยหน่อและต้น ปัจจุบันมีต้นขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ ตรงกันข้ามโครงการ ๑๕
  ไทยรัฐ
    


     "ไผ่หวาน"   ให้หน่อดกอร่อย
ไผ่ชนิดนี้ เพิ่งพบมีกิ่งตอนวางขาย โดยผู้ขายบอกชื่อว่า “ไผ่หวาน” หรือ “ไผ่เลี้ยงหวาน” พร้อมมีเอกสารรายละเอียดเกี่ยวกับที่มาของไผ่ดังกล่าวระบุว่า “ไผ่หวาน” หรือ “ไผ่เลี้ยง หวาน” มีชื่อวิทยาศาสตร์คือ BAMBUSA MULTIPLEX (LOUR) RACUSCH มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์คล้ายกับไผ่ลวก ลำต้นตรง ไม่มีหนาม ต้นสูงเต็มที่ประมาณ ๔-๕ เมตร เท่านั้น แตกต่างจากไผ่เลี้ยงที่นิยมปลูกทั่วไปจะสูง ๗-๑๒ เมตร ขึ้นเป็นกอแน่นแบบหลวมๆ เหมือนกัน ข้อปล้องยาวประมาณ ๑๕-๓๓ ซม. ลำต้นแก่สีเขียวถึงสีเขียวอมเหลือง แตกกิ่งก้านบริเวณกลางลำต้นขึ้นไปถึงปลายยอดตามข้อปล้อง ใบเป็นรูปใบหอกหรือรูปแถบ สีเขียวสด กาบหุ้มบริเวณข้อเป็นรูปสามเหลี่ยมสีเขียวอมเหลือง มีขนสีน้ำตาลปกคลุมหรือเกลี้ยง ขยายพันธุ์ด้วยการปักชำต้น

ประโยชน์ ลำต้นใช้ในงานก่อสร้าง ทำไม้ค้ำยัน เฟอร์นิเจอร์ ปลูกเป็นแนวรั้ว เนื่องจากมีกอสวยงาม ลำสม่ำเสมอไม่แน่น ซึ่งลำต้น สามารถใช้งานได้หลังปลูกเพียง ๑ ปี หน่อปรุงเป็นอาหารได้หลายอย่าง ผู้ขายบอกว่ารสชาติหวานกรอบอร่อยมาก ต้มน้ำเพียงครั้งเดียวนำไปรับประทานได้เลย ไม่มีรสขมหรือรสเฝื่อนเจือปนเด็ดขาด เป็นไผ่ที่ให้หน่อดกมากตามฤดูกาล ทำให้สามารถเก็บหน่อรับประทานและขายรายได้ดีไม่แพ้ไผ่กินหน่อชนิดใดๆ

การปลูกและดูแล “ไผ่หวาน” หรือ “ไผ่เลี้ยงหวาน” เติบโตได้ดีในดินร่วนปนทราย ไม่ชอบน้ำท่วมขัง แต่ชอบน้ำหล่อเลี้ยงสม่ำเสมอทั้งปี ยกเว้นฤดูฝนหลังปลูก ๑ ปี จะให้ร่มเงาดีมาก บำรุงต้นด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยชีวภาพไม่ต้องใช้ปุ๋ยเคมี ๑-๒ เดือนครั้ง จะทำให้แตกหน่อสมบูรณ์และมีรสชาติดีเก็บรับประทานหรือเก็บขายได้ราคาสูงตามฤดูกาล ปัจจุบันมีต้นพันธุ์ขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ แผงตรงกันข้ามโครงการ ๑๕
  ไทยรัฐ    



     "ไผ่ภูพาน"   พบเฉพาะถิ่นไทย
ไผ่หลายชนิด แม้จะพบขึ้นตามป่าธรรมชาติในประเทศไทย แต่ก็จะพบว่ามีเขตกระจายพันธุ์ในป่าอีกหลายประเทศเขตร้อนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ “ไผ่ภูพาน” เชื่อกันว่าเป็นสายพันธุ์ที่พบมีขึ้นเฉพาะถิ่นในป่าบนเขาภูพาน เขตจังหวัดสกลนคร หรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยเพียงแห่งเดียวเท่านั้น

ไผ่ภูพาน หรือ PHUPHANOCHLOA SPECIOSA SUNGKAEW TEERAWAT เป็นไผ่ประเภทเหง้ากอขนาดกลาง สูง ๕-๑๐ ม. ลำตรง เส้นผ่าศูนย์กลางลำประมาณ ๓-๕ ซม. ปล้องยาว ๒๕-๓๐ ซม. เนื้อลำหนา ๐.๕-๑ ซม. ข้อด้านล่างมักตัน ลำอ่อนมีนวลสีขาวปกคลุม ลำแก่เป็นสีเขียวเข้มหรือสีเขียวอมเทา บริเวณข้อจะออกบวมเล็กน้อย แตกกิ่งย่อยตามข้อตลอดลำ แต่ละข้อจะมีหลายกิ่งเป็นกระจุก มีกิ่งกลางเด่น ๑ กิ่ง กิ่งที่เหลือจะมีขนาดไล่เลี่ยกัน ใบเป็นรูปใบหอก กว้าง ๐.๕-๑ ซม. ยาว ๒-๓ ซม. กาบหุ้มลำค่อนข้างร่วงยาก โดยเฉพาะกาบที่บริเวณข้อล่างๆ ของลำ กาบเป็นสีเขียวอมเทาหรือเขียวอ่อน ขอบเป็นสีม่วงแดง มีขน กาบเป็นรอยย่น

ช่อดอกย่อยเทียมยาว ประมาณ ๑-๒ ซม. ดอกย่อย ๗-๙ ดอก ช่อดอกแลบออกจากซอกของกลีบเลี้ยงที่เป็นสีม่วงอมชมพู ห้อยลง มีเกสรตัวผู้ ๖ อัน ก้านเกสรตัวผู้แยกเป็นอิสระกัน ยอดเกสรตัวเมียมี ๓ อัน เวลามีดอกจะดูสวยงามแปลกตามาก

หน่อ แทงขึ้นจากเหง้าหรือโคนกอ เปลือกหุ้มหน่อเป็นสีเขียว มีขนละเอียดทั่ว ยังไม่มีรายงานชัดเจนว่าหน่อของ “ไผ่ภูพาน” มีรสชาติเป็นอย่างไรและสามารถรับประทานได้อร่อยแค่ไหน ส่วนใหญ่นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ ขยายพันธุ์ด้วย ต้น หน่อ และกระจุกแขนงที่แตกตามข้อของลำไผ่ ปัจจุบันมีต้นขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ  ตรงกันข้ามโครงการ ๑๕
  ไทยรัฐ  
    

“ไผ่หวานอ่างขาง” ก็คือต้นเดียวกันกับ ไผ่หมาจู๋ หรือมีชื่อเรียกอีกคือ ไผ่ซางคำ เป็นไผ่พื้นเมืองของ จีน ไต้หวัน ถูกนำเข้ามาปลูกในประเทศไทยนานแล้ว เพื่อเอาหน่อกินเป็นอาหารและเก็บหน่อขาย รสชาติหวานกรอบ ปรุงเป็นอาหารได้หลายอย่าง อร่อยมาก และยังปลูกเพื่อใช้ลำไผ่ทำเป็นไม้ค้ำยัน อุตสาหกรรมกระดาษ และไม้อัด ทำเฟอร์นิเจอร์หลากหลายรูปแบบ

ไผ่หวานอ่างขาง หรือ DENDRO CALAMUS LATIFLORUS MUNRO ชื่อสามัญ SWEET GIANT BAMBOO, TAIWAN GIANT BAMBOO จัดเป็นไผ่เหง้ากอหลวมๆ ต้นสูง ๑๕-๒๐ เมตร ปลายลำต้นมักโค้ง เส้นผ่าศูนย์กลางลำ ๘-๑๕ ซม. ปล้องยาว ๒๐-๔๕ ซม. เนื้อลำหนา ๑-๒ ซม. ลำอ่อนมีนวลสีขาว ลำแก่เป็นสีเขียวอมเหลืองดูสวยงามมาก มีรากอากาศที่ข้อส่วนล่างของลำต้น แตกกิ่งแขนงตั้งแต่ช่วงกลางลำต้นเรื่อยลงไปจนถึงโคนต้น แต่ละข้อมีหลายกิ่ง ใบรูปขอบขนานหรือรูปแถบกว้าง ๒.๕-๕.๕ ซม. ยาว ๑๕-๒๕ ซม. ใบสามารถใช้ห่อขนมบะจ่างได้

ดอก เป็นช่อยาว แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยเป็นกระจุกและเป็นช่วงๆตามแกนช่อดอก ดอกเป็นสีแดงอมม่วงหรือสีม่วงอมน้ำตาล มีดอกสมบูรณ์เพศ ๖-๘ ดอก เกสรตัวผู้ ๖ อัน ก้านเกสรตัวผู้แยกเป็นอิสระกัน อับเรณูเป็นสีเหลือง ยอดเกสรตัวเมีย ๑ อัน ดอกหอม

หน่อ โคนใหญ่น้ำหนักดี เนื้อแน่นสีขาวนวลหรืออมเหลืองนิดๆ รสชาติหวานเฝื่อนเล็กน้อย ปรุงเป็นอาหารได้หลากหลายอย่าง กรอบอร่อยมาก เปลือกหน่อเป็นสีม่วงคล้ำหรือสีดำมีขนละเอียด นิยมปลูกเพื่อเอาหน่อเป็นอาหารและเก็บหน่อขาย ได้รับความนิยมจากผู้ซื้อไปรับประทานอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน

มีกิ่งพันธุ์ขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ แผงตรงกันข้ามโครงการ ๑๕
  ไทยรัฐ
    

http://www.nanagarden.com/Picture/Product/400/114819.jpg
"เกษตรน่ารู้" สารพัดสารพันเรื่องพันธุ์ไม้

     ไผ่น้ำเต้า ปล้องสวย ให้ร่มเงาดี
ไผ่ชนิดนี้ เป็นหนึ่งในสองชนิดของไผ่ที่นิยมปลูกเป็นไม้ประดับมาช้านาน ซึ่ง “ไผ่น้ำเต้า” มีชื่อวิทยาศาสตร์เฉพาะคือ BAMBUSA VULGARIS SCHRADER EX WENDLAND CV.WAMIN MCCLURE ชื่อสามัญ BUDDHA’S BELLY BAMBOO มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เป็นไผ่ขนาดกลาง สูง ๕-๖ เมตร แตกต้นเบียดกันหนาแน่นเป็นกอขนาดใหญ่และกว้าง

ลำต้น เป็นข้อปล้องสั้น ยาวประมาณ ๕-๒๐ ซม. ปล้องด้านล่างจะป่องหรือพองเป็นรูปคล้ายน้ำเต้า ทำให้เวลาลำต้นสูงขึ้นข้อปล้องจะดูเหมือนกับเอาน้ำเต้าสีเขียววางซ้อนกันสวยงามมาก จึงถูกตั้งชื่อตามลักษณะของลำต้นว่า “ไผ่น้ำเต้า” ดังกล่าว การแตกกิ่งแขนงหรือกิ่งย่อยตามข้อเหมือนกับไผ่ทั่วไปทุกอย่าง แต่กิ่งแขนงหรือกิ่งย่อยจะมีเยอะ ใบหนาทึบให้ร่มเงาดีมาก จึงทำให้ “ไผ่น้ำเต้า” ได้รับความนิยมปลูกอย่างกว้างขวางมาช้านานจนกระทั่งปัจจุบัน หน่ออ่อนไม่นิยมรับประทาน แตกหน่อง่าย ขยายพันธุ์ด้วยการปักชำต้น หน่อ และปักชำกิ่งแขนงที่แตกจากบริเวณข้อปล้อง

ชาวจีน มีความเชื่อว่า “ไผ่น้ำเต้า” เป็นไผ่มงคล โดยส่วนใหญ่จะปลูกลงกระถางขนาดใหญ่ตั้งประดับไว้หน้าบ้าน ข้อปล้องของลำต้นสวยงามมาก เชื่อกันว่าจะทำให้ผู้อยู่อาศัยภายในบ้านมีโชคลาภในทุกๆ เรื่อง และมีความสุข ปัจจุบัน “ไผ่น้ำเต้า” มีต้นขาย ทั่วไปที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ ราคาแต่ละแห่งไม่เท่ากัน ผู้ซื้อต้องเดินสอบถามราคาเปรียบเทียบก่อนตัดสินใจซื้อไปปลูก ปลูกได้ในดินทั่วไป ถ้าปลูกลงดินจะแตกเป็นกอขนาดใหญ่ ใบดกหนาทึบให้ร่มเงาดีมาก สร้างบ้านพักใกล้ๆ จะร่มรื่นได้รับโอโซน หรือได้รับออกซิเจนแบบเต็มๆ ทำให้รู้สึกสดชื่นเป็นอย่างยิ่งครับ.
  ไทยรัฐ
    


     "ไผ่กิมซุง"  หน่อราคาดี ขายทั้งปี
ไผ่ชนิดนี้ เป็นชนิดเดียวกับ ไผ่ตงลืมแล้ง และ ไผ่บีเซย์ เป็นไผ่พื้นเมืองทางตอนใต้ของประเทศจีน มีเขตกระจายพันธุ์ในเขตร้อนทั่วไป มีชื่อวิทยาศาสตร์ คือ BAMBUSA BEECHEYANA MUNRO ชื่อสามัญ BEECHEY BAMBOO, SILKBALL BAMBOO เป็นไผ่ประเภทเหง้ากอขนาดกลาง ต้นสูง ๑๕  เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางลำต้น ๗-๑๒ ซม. ปล้องยาว ๒๕-๔๕ ซม. เนื้อหนา ๑.๕-๒ ซม. ลำอ่อนมีนวลสีขาวปกคลุม มีขนสีน้ำตาลใต้ข้อปล้อง ลำแก่เป็นสีเขียวเข้ม แตกเป็นกอใหญ่น่าชมยิ่ง ข้อล่างมักมีรากอากาศแตกกิ่งแขนงตั้งแต่กลางลำต้นเรื่อยขึ้นไปจนถึงปลายยอด แต่ละข้อจะมีกิ่ง ๓ กิ่ง หรือมากกว่านั้น ใบเป็นรูปใบหอกแกมรูปขอบขนาน ปลายใบแหลม โคนมน สีเขียวสด ให้ร่มเงาดีมาก
 
หน่อ แทงขึ้นจากดินบริเวณโคนกอ เปลือกหุ้มหน่อเป็นสีเขียวคล้ำ ผิวเปลือกเกลี้ยงไม่มีขนทำให้แกะเอาเนื้อหน่อใช้ประโยชน์ได้ง่าย หน่อโตเต็มที่น้ำหนัก ๕-๗ กิโลกรัม รสชาติหวานกรอบไม่มีรสขมเจือปน เวลานำไปประกอบอาหารไม่ต้องต้มน้ำก่อนเหมือนไผ่กินหน่อทั่วไป รับประทานอร่อยมาก เป็นไผ่ที่มีหน่อได้เร็วและหน่อดกตลอดทั้งปี แม้ในช่วงฤดูแล้ง (ปกติฤดูแล้งไผ่ตงพันธุ์อื่นไม่แทงหน่อ) จึงถูกเรียกชื่อว่า ไผ่ตงลืมแล้ง และ ไผ่บีเซย์ ดังกล่าว และยังเป็นไผ่ที่ทนต่อการถูกน้ำท่วมนานๆ และทนต่อความแห้งแล้งได้ไม่ตายมีหน่ออย่างสม่ำเสมอ จึงทำให้นิยมปลูกเพื่อเก็บหน่อรับประทานในครัวเรือนและเก็บหน่อขาย ได้รับความนิยมจากผู้ซื้อไปรับประทานอย่างแพร่หลาย
 
ปัจจุบัน มีกิ่งพันธุ์ขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ แผงตรงกันข้ามโครงการ ๑๕  และ แผงหน้าตึกกองอำนวยการเก่า ราคาสอบถามกันเอง ซึ่งนอกจากหน่อรับประทานอร่อยมีราคาดีแล้ว ลำไผ่ของ “ไผ่กิมซุง” หรือ ไผตงลืมแล้ง และ ไผ่บีเซย์ ยังใช้ก่อสร้างได้ทนเพราะมอดไม่เจาะครับ.
  ไทยรัฐ
  


     ไผ่บง
ลำของไผ่บงจึงแลดูคดงอเป็นส่วนใหญ่ ผิวของลำไม่เรียบมีลักษณะคล้ายขนสีนวลหรือเทา บางครั้งมีลักษณะคล้ายแป้งติดอยู่ที่ลำไผ่ เนื้อไม้นิยมนำมาใช้ทำตอกสำหรับทำเครื่องจักสานทั่วไป

ไผ่บงเป็นไผ่ขนาดกลาง ขึ้นเป็นกอแน่นและมีการแตกกิ่งปลายยอดของลำ กิ่งใหญ่แตกตั้งได้ฉากกับลำ บริเวณข้อของลำในส่วนที่ใกล้โคน มีรากฝอยแตกออกมาโดยรอบ เนื่องจากมีการแตกกิ่งจำนวนมาก ลำของไผ่บงจึงแลดูคดงอเป็นส่วนใหญ่ ผิวของลำไม่เรียบมีลักษณะคล้ายขนสีนวลหรือเทา บางครั้งมีลักษณะคล้ายแป้งติดอยู่ที่ลำไผ่ เนื้อไม้นิยมนำมาใช้ทำตอกสำหรับทำเครื่องจักสานทั่วไป หน่อใช้ปรุงอาหารได้ นอกจากนี้ไผ่บงยังมีคุณสมบัติพิเศษด้านความแข็งแรงและยืดหยุ่นที่เหนือกว่าวัสดุสังเคราะห์หลายชนิด จึงได้รับความนิยมในการนำมาทำเครื่องมือเครื่องใช้หลายประเภท เช่นลดแรงกระแทกของคลื่นบริเวณชายฝั่งทะเล ประเทศจีนนิยมนำมาใช้ทำนั่งร้านก่อสร้างและบันได เป็นต้น.
..นสพ.เดลินิวส์



     ไผ่เป๊าะ
เป็นไม้ไผ่ขนาดใหญ่ เป็นกอกิ่งเรียว ปล้องค่อนข้างสั้นบาง การขยายพันธุ์ เหง้า ใช้ลำไปปักชำ หรือใช้เมล็ดจากขุยไปเพาะเป็นกล้า ฤดูกาลเก็บส่วนขยายพันธุ์ ฤดูฝน

เป็นไม้ตระกูลหญ้า สูง ๒๕-๓๐ เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง ๒๐-๒๕ ซม. เป็นไม้ไผ่ขนาดใหญ่ เป็นกอกิ่งเรียว ปล้องค่อนข้างสั้นบาง  การขยายพันธุ์ เหง้า ใช้ลำไปปักชำ หรือใช้เมล็ดจากขุยไปเพาะเป็นกล้า ฤดูกาลเก็บส่วนขยายพันธุ์ ฤดูฝน สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการเจริญเติบโต ชอบขึ้นในพื้นที่มีความชื้นสูงและดินที่อุดมสมบูรณ์ การใช้ประโยชน์ ทางอาหาร ใช้หน่อสดมีรสหวาน มาต้มกับน้ำคั้นใบย่านาง รับประทานเป็นผักจิ้มร่วมกับน้ำพริกอีเก๋ น้ำพริกกะปิและน้ำปู๋ นำมาแกงเปรอะ แกงรวมกับเห็ดถอบใส่แคบหมู แกงกับไก่ ปลาหรือเนื้อ ทางยา ใบ ขับปัสสาวะ ขับและฟอกโลหิตระดูที่เสีย แก้มดลูกอักเสบ ตาไผ่ แก้ร้อนในกระหายน้ำ ราก ขับปัสสาวะ แก้ไตพิการ
...นสพ.เดลินิวส์



     ไผ่ข้าวหลาม   เผาข้าวสุกพอดีมีเยื่อหุ้ม
ไผ่ชนิดนี้ พบขึ้นทั่วไปในป่าผสมผลัดใบเกือบทุกภาคของประเทศไทย ยกเว้นทางภาคใต้ มีชื่อวิทยาศาสตร์คือ SCHIZOSTA CHYUM PERGRACILE (MUNRO) R.B.MAJUMDAR ชื่อสามัญ TINWA BAMBOO เป็นไผ่ประเภทเหง้ากอขนาดเล็กถึงขนาดกลาง สูง ๕-๑๕ เมตร ลำต้นตรงอัดกันเป็นกอค่อนข้างแน่น ปลายลำมักโค้งลง เส้นผ่าศูนย์กลางลำ ๒.๕-๘ ซม. ปล้องยาวประมาณ ๒๐-๕๐ ซม. เนื้อไม้หนาประมาณ ๐.๕-๑ ซม. ลำแก่เป็นสีเขียวอ่อนหรือสีเขียวอมเทา

แตกกิ่งตลอดลำ หรือตั้งแต่กิ่งกลางลำขึ้นไปเล็กน้อย แต่ละข้อจะมีกิ่งเล็กจำนวนมาก ใบรูปแถบแกมรูปใบหอก กาบหุ้มลำต้นร่วงค่อนข้างช้า โดยเฉพาะบริเวณโคนลำ กาบเป็นสีน้ำตาลอมเหลืองหรือสีน้ำตาลแดง หนาและเป็นมัน แข็งแต่เปราะ ปกคลุมด้วยขนสีดำร่วงง่าย ยอดกาบเป็นรูปไข่หรือรูปหัวใจ ปลายเป็นติ่งสั้น แหลม ด้านในมีขนหนาแน่น หูกาบเป็นพูเด่นชัด มีขนยาวที่บริเวณขอบ ช่อดอกย่อยยาว ๑-๑.๕ ซม. มีดอกย่อย ๑-๒ ดอก เป็นดอกที่ไม่สมบูรณ์ ๑ ดอก ปลายช่อดอกลดรูปเป็นแกนช่อดอกย่อย ยาวเป็นเส้น ๓ เส้น เกสรตัวผู้มี ๖ อัน แยกเป็นอิสระกัน ยอดเกสรตัวเมียมี ๒-๓ อัน

หน่อ แทงขึ้นจากโคนกอ หน่อมีขนาดใหญ่มาก ไม่นิยมรับประทาน เพราะมีรสขม ประโยชน์ทั่วไป ลำใช้ในการก่อสร้าง ทำเครื่องจักสาน ใบของ “ไผ่ข้าวหลาม” ใช้สานเป็นตาห่างๆ ทำเป็นโครงตะแกรงแทนเหล็กเส้นสำหรับยึดคอนกรีต ทางภาคอีสานนิยมใช้ลำไผ่ตัดเป็นปล้องทำข้าวหลาม เนื่องจากเผาง่ายกระบอกไม่แตก ปอกสบาย มีเยื่อหุ้มข้าวบางๆหลุดติดออกมาด้วย เผาแล้วข้าวจะสุกแบบพอดีโดยธรรมชาติ รับประทานอร่อยมาก ปัจจุบัน “ไผ่ข้าวหลาม” มีต้นขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ แผงตรงกันข้ามโครงการ ๑๕ ราคาสอบถามกันเองครับ.
  นสพ.ไทยรัฐ



    ไผ่จืด
ผู้ที่มีอาการ บวมน้ำและเป็นโรคเบาหวาน สามารถรักษาได้ระดับหนึ่งโดย ให้เอา “ไผ่จืด” หรืออีกชื่อ “ไผ่ร้อยกอ” แบบสดทั้งต้นและรากตากแห้งจำนวน ๑ ขยุ้มใหญ่ๆต้มกับน้ำมากหน่อยจนเดือด ๕-๑๐ นาที น้ำจะเป็นสีเหลือง มีกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นน้ำมะตูมต้ม ดื่มเป็นน้ำชาจะช่วยลดน้ำตาลในเลือดหรือเบาหวานกับลดอาการบวมน้ำลงได้ และยังเป็นยาแก้ร้อนใน ขับปัสสาวะ สตรีหลังคลอดแล้ว

อยู่ไฟไม่ได้ ที่ชาวบ้านเรียกว่า “แพ้กรรม” ดื่มประจำจะขับน้ำคาวปลาทำให้มดลูกเข้าอู่เร็วดี ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล แก้อาการแพ้ต่างๆ ขับสารพิษจากร่างกาย ทำให้รู้สึกกระชุ่มกระชวยดีมาก

ไผ่จืด หรือ POGONATHERUM PANI-CEUM (LAMK.) HACK. อยู่ในวงศ์ POACEAE ต้นสูง ๑.๕ เมตร แตกเป็นกอมากกว่า ๑๐๐ ต้น รสชาติทั้งต้นจืด จึงเรียกชื่อว่า “ไผ่จืด” และ“ไผ่ร้อยกอ” ดังกล่าว
  นสพ.ไทยรัฐ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23 พฤษภาคม 2559 14:21:51 โดย กิมเล้ง » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5462


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 9.0 MS Internet Explorer 9.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: 26 มิถุนายน 2556 11:28:08 »


     ขนุนคุณหญิง หวานหอม ผลทั้งปี

ขนุน สายพันธุ์ดังๆ ที่จัดว่าเป็นสุดยอดของขนุนที่มีรสชาติหวานกรอบอร่อย เคยแนะนำในคอลัมน์ไป แล้วหลายพันธุ์นั้น ปรากฏว่าได้รับความนิยมจากผู้ปลูกซื้อหาไปปลูกอย่างกว้างขวาง เนื่องจากแต่ละสายพันธุ์ ถือเป็นสุดยอดของขนุนในปัจจุบันจริงๆ

อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่นานมานี้พบว่ามี "ขนุนคุณหญิง" ออกมาวางขาย มีป้ายชื่อเขียนติดเอาไว้อย่างชัดเจน พร้อมมีรูปของผลโชว์ให้ชมด้วย เมื่อสอบถามผู้ขายได้รับการบอกเล่าว่า ขนุนชนิดนี้เป็นขนุนสายพันธุ์โบราณ โดยในยุคสมัยก่อนนิยมปลูกตามบ้านและปลูกเพื่อแกะ "ยวง" หรือเนื้อขายกันแพร่หลาย รสชาติหวานหอมกรอบอร่อยมาก ปัจจุบัน "ขนุนคุณหญิง" จะมีปลูกเฉพาะถิ่นไม่กี่แห่งเท่านั้น เช่น แถบ อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี กับย่านบางขุนนนท์ เขตบางกอกน้อย กทม. ไม่แพร่หลายทั่วไป

ขนุนคุณหญิง มีชื่อวิทยาศาสตร์เหมือนกับขนุนทั่วไป คือ ARTOCARPUS HETEROPHYLLUS CAMK อยู่ในวงศ์ MORACEAE เป็นไม้ยืนต้น สูง ๘-๑๕ เมตร มียางขาวทั้งต้น เนื้อไม้อ่อน แก่นเป็นสีเหลือง แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มทรงกลม ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเวียนสลับรอบกิ่งก้าน รูปกลมรี เนื้อใบเหนียวและหนา ปลายแหลม โคนเกือบมน ก้านใบยาว สีเขียวเข้มและเป็นมัน เวลาใบดกจะให้ร่มเงาดีมาก แต่ ใบแก่จะร่วงลงสู่พื้นจำนวนมาก จึงทำให้บางคนไม่นิยมปลูกขนุน เพราะต้องทำความสะอาดเก็บกวาดใบเป็นประจำทุกวันนั่นเอง

ดอก ออกเป็นกลุ่ม ช่อ ดอกตัวผู้และดอกตัวเมียจะอยู่บนต้นเดียวกัน โดยช่อดอกตัวผู้จะออกที่โคนกิ่ง ลำต้น ง่ามใบ ลักษณะดอกเป็นแท่งยาว ๒.๕ ซม. ช่อดอกตัวเมียเป็นแท่งกลมออกจากลำต้น ก้านดอกใหญ่ ดอกตัว ผู้จะมีกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นส่าเหล้า ดอกตัวเมียไม่มีกลิ่นหอม "ผล" เป็นผลรวม ทรงกลมยาว ผลเมื่อโตเต็มที่มีน้ำหนักเฉลี่ยอยู่ระหว่าง ๑๕-๒๐ กิโลกรัม นับว่าเป็นขนุนสายพันธุ์ที่มีผลไม่ ใหญ่โตนัก เนื้อหุ้มเมล็ดหรือที่เรียกว่า "ยวง" จะมีน้ำหนัก เกือบ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักผล เมล็ดเป็นรูปกลมรี เนื้อสุกสีเหลือง รสชาติหวานหอมกรอบอร่อยมาก ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง และเสียบยอด

ที่เป็นข้อเด่น ของ "ขนุนคุณหญิง" อีกอย่างได้แก่ เป็นพันธุ์ที่ติดผลทะวาย หรือ ติดผลทั้งปี อย่างน้อยปีละ ๒ หน ดังนั้น "ขนุนคุณหญิง" จึงเป็นสายพันธุ์ที่ปลูกแล้วคุ้มค่ามาก ปัจจุบันมีต้นขาย ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ ๑๙




     ขนุนจำปากรอบ หวานปนเปรี้ยว อร่อย

ขนุนที่มีเนื้อหรือยวงเป็นสีจำปา มีไม่กี่สายพันธุ์ ซึ่ง “ขนุนจำปากรอบ” เป็นขนุนที่นิยมปลูกเฉพาะถิ่นแถบ จ.ปราจีนบุรี มาช้านานแล้ว เป็นพันธุ์ที่เกิดจากการเอาเมล็ดของขนุนชื่อฟ้าถล่มไปเพาะขยายพันธุ์จนแตกต้นขึ้นมาปลูกเลี้ยงจนติดผลสุก เมื่อผ่าแกะเนื้อปรากฏว่า เนื้อหรือยวงกลายเป็นสีจำปาน่าชมยิ่ง แตกต่างจากเนื้อหรือยวงของขนุนฟ้าถล่มสายพันธุ์แม่ที่เป็นสีเหลืองอย่างชัดเจน

เนื้อ มีความบางกว่าเนื้อของขนุนฟ้าถล่มเล็กน้อย รสชาติหวานปนเปรี้ยวนิดๆ กรอบ ไม่เละอร่อยมาก จึงถูกตั้งชื่อว่า “ขนุนจำปากรอบ” พร้อมขยายพันธุ์ปลูกเก็บผลแกะเนื้อขายได้รับความนิยมจากผู้รับประทานอย่างแพร่หลายมาช้านานแล้ว โดยเฉพาะชาวต่างประเทศที่เดินทางไปท่องเที่ยวที่ จ.ปราจีนบุรี จะชื่นชอบมาก เนื่องจากมีรสเปรี้ยวนิดๆ ด้วยนั่นเอง

ขนุนจำปากรอบ มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เป็นไม้ยืนต้น สูงระหว่าง ๕-๘ เมตร ไม่สูงใหญ่เหมือนขนุนฟ้าถล่มอย่างชัดเจน “ผล” เป็นรูปกลมยาว ดูไม่ค่อยจะสวยงามนัก เนื่องจากไม่เรียบ มีโหนกนูนหรือเป็นกระปุ่ม–กระปํ่าทั่วทั้งผลคล้ายผลไม่สมบูรณ์ ผลเมื่อโตเต็มที่มีน้ำหนักเฉลี่ยที่ ๑๕-๑๘ กิโลกรัม มีเนื้อหรือยวงประมาณ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักผล เนื้อหรือยวงเป็นสีจำปาไม่เป็นสีเหลืองตามที่กล่าวข้างต้น รสชาติหวานปนเปรี้ยวกรอบอร่อยมาก ติดผลปีละครั้งตามฤดูกาลและติดผลดก ผลสุกสามารถเก็บได้นานหลายวัน

กว่าขนุนสายพันธุ์อื่น เมื่อแกะเนื้อหรือยวงรับประทานจะยังคงความกรอบอร่อยเช่นเดิมและไม่เละ ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง และเสียบยอด   ปัจจุบัน “ขนุนจำปากรอบ” มีกิ่งพันธุ์ขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ ๑๙


http://munjeed.com/image_news/2014-02-18/image_218201452513AM.jpg
"เกษตรน่ารู้" สารพัดสารพันเรื่องพันธุ์ไม้

     ขนุนทองอินโดแคระ เนื้อกรอบอร่อย ผลดก

ขนุนชนิดนี้ มีถิ่นกำเนิดจาก ประเทศอินโดนีเซีย ถูกนำเข้ามาปลูกและขยายพันธุ์ในประเทศไทยนานกว่า ๓-๔ ปีแล้ว และได้รับความนิยมจากผู้ปลูกผู้รับประทานแพร่หลายเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน เนื่องจาก “ขนุนทองอินโดแคระ” มีความเป็นพิเศษคือ ขนาดของต้นไม้ไม่สูงมากนักระหว่าง ๓-๔ เมตรเท่านั้น ลำต้นอวบอ้วนและใหญ่ จัดเป็นขนุนสายพันธุ์เบา ให้ผลผลิตเร็ว ใช้เวลาปลูกเพียง ๑-๒ ปี จะออกดอกและติดผลได้เป็น ชุดแรก และติดผลดกได้เรื่อยๆ เกือบตลอดปี  ซึ่งจากการที่มีผลดกนี่เอง ทำให้ผู้ปลูกตัดเอาผลอ่อนที่มีมากเกินไปจากต้นไปจำหน่ายให้ผู้ซื้อไปปรุงอาหารจำพวก แกงขนุน ยำขนุน หรือซุปขนุน ได้อีกด้วย

ส่วนรูปทรงของผลจะมีลักษณะกลมรีเล็กน้อยดูสวยงามดี ที่สำคัญแต่ละผลเมื่อโตเต็มที่จะ มีน้ำหนักเฉลี่ยเพียง ๒-๕ กิโลกรัม ต่อผลเท่านั้น และเป็นน้ำหนักพอเหมาะที่ผู้ซื้อทั้งผลนำพากลับบ้านได้ง่ายไม่หนักเกินไป เมื่อถึงบ้านผ่าผลแกะเอาเนื้อสุกรับประทานได้สะดวกเพราะขนาดผลไม่ใหญ่เกินไปนั่นเอง เนื้อผลสามารถรับประทานได้หมดพอดีกับทุกคนในครอบครัวแบบไม่มีเหลือ  ปัจจุบันตลาดในประเทศจีนกำลังเป็นที่ต้องการสูงมาก

เนื้อ ผลของ “ขนุนทองอินโดแคระ” มีรสชาติหวานกรอบมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว เนื้อเป็นสีเหลืองทอง เมล็ดเล็ก ยางและซังเป็นเส้นๆน้อยมาก ปริมาณเนื้อ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักผล  เนื้อสุกงอมไม่เละ  รับประทานอร่อยมาก สามารถปลูกลงกระถางขนาดใหญ่ทำเป็นไม้ประดับได้ ขยายพันธุ์ด้วยวิธีติดตา ทำให้ต้นแข็งแรงทนโรคทนแล้งได้ดี มีรากแก้วเยอะ
  หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ


http://www.nanagarden.com/Picture/Product/400/106547.jpg
"เกษตรน่ารู้" สารพัดสารพันเรื่องพันธุ์ไม้

     ขนุนเพชรดำรง  ปลูกแกะเนื้อขายคุ้ม

ผู้อ่านจำนวนมากขอให้แนะนำขนุนพันธุ์ดีๆ เพราะต้องการกิ่งพันธุ์ไปปลูก  เพื่อแกะยวงหรือเนื้อสุกขายเพิ่มรายได้บ้าง  แต่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะปลูกขนุนพันธุ์อะไร เนื่องจากปัจจุบันมีขนุนพันธุ์ใหม่ๆที่เกษตรกรได้พัฒนาพันธุ์ขึ้นมาเยอะ  แต่ละสายพันธุ์จะมีข้อโดดเด่นต่างกันไป อย่างไรก็ตาม ที่เหมาะจะปลูกเพื่อแกะยวงขายตามความต้องการดังกล่าว “นายเกษตร” ขอแนะนำว่า “ขนุนเพชรดำรง” เป็นสายพันธุ์ดีที่สุดในยุคนี้

เนื่องจาก มีข้อดีคือ ยวง หรือเนื้อหุ้มเมล็ดมีความหนาและมีขนาดใหญ่ เมล็ดเล็ก เมื่อผ่าผลสุกแกะเอายวงหรือเนื้อเพียงอย่างเดียวขึ้นชั่งกิโลขายจะมีน้ำหนักโดยเฉลี่ย ประมาณ ๕–๖ ยวงต่อ ๑ กิโลกรัม ให้น้ำหนักดีกว่าและยวงใหญ่กว่าขนุนสายพันธุ์อื่นอย่างชัดเจน ที่สำคัญ ยวงหรือเนื้อของ “ขนุนเพชรดำรง” ไม่เละ รสชาติหวานกรอบและมีกลิ่นหอม เฉพาะตัวรับประทานอร่อยมาก “ผล” โตเต็มที่น้ำหนักประมาณ ๑๐-๒๐ กิโลกรัม ต่อผล ให้ยวงหรือเนื้อปริมาณ ๕๒ เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักผล เปลือกผลบางไม่เป็นสนิมง่าย

ขนุนเพชรดำรง ติดผลดกและผลมีขนาดใหญ่มาก เป็นสายพันธุ์ที่ติดผลได้ปีละ ๒ ครั้งหรือนิยมเรียกกันว่าทวายนั่นเอง จึงเป็นขนุนสายพันธุ์ดังและดีที่สุดในเวลานี้ เหมาะจะปลูกเพื่อแกะยวง หรือเนื้อขายได้คุ้มค่ากว่าขนุนสายพันธุ์ใดๆอย่างแน่นอน ซึ่ง “ขนุนเพชรดำรง” เกิดจากการผสมเกสรของขนุนคุณหญิง กับขนุนทองประเสริฐ โดยฝีมือของ ดร.ดำรงศักดิ์ วิรยศิริ  ปลูกได้ในดินทั่วไป เติบโตเร็วและติดผลหลังปลูก ๓-๔ ปี
  หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ



     ขนุนทองอินโดแคระ  ครองใจผู้ปลูกกิน

ขนุนชนิดนี้  เป็นสายพันธุ์หนึ่งที่ได้รับความนิยมจากผู้ปลูกและผู้รับประทานอย่างต่อเนื่อง จัดเป็นขนุนปลูกเก็บผลส่งขายประเทศจีนได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เพราะขนาดของผลและน้ำหนักผลไม่ใหญ่หรือหนักเกินไป หนึ่งผลเมื่อซื้อไปผ่าแกะเนื้อรับประทานในครอบครัวได้พอดีหมด ไม่เหลือให้เสียของ ที่สำคัญเนื้อสุกจะไม่เละ รสชาติหวานกรอบหอมเป็นเอกลักษณ์อร่อยมาก จึงครองใจผู้ปลูกและผู้รับประทานเรื่อยมาตามที่กล่าวข้างต้น

ขนุนทองอินโดแคระ มีถิ่นกำเนิดจาก ประเทศอินโดนีเซีย ถูกนำเข้ามาปลูกและขยายพันธุ์ในประเทศไทยบ้านเรานานหลายปีแล้ว มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับขนุนทั่วไปเกือบทุกอย่าง ต่างกันที่ต้นของ “ขนุนทองอินโดแคระ” จะสูงเพียง ๓-๔ เมตร เป็นขนุนพันธุ์เบาปลูก ๓ ปี จะติดผลชุดแรก ติดผลดกไม่ขาดต้นเกือบทั้งปี จึงทำให้ผู้ปลูกต้องเก็บผลอ่อนออกบ้าง โดยผลอ่อนสามารถนำไปขายเป็นอาหารทำแกงขนุน ยำขนุน หรือซุปขนุน เป็นต้น

ทรงผลกลมรี น้ำหนักผลโตเต็มที่เฉลี่ยประมาณ ๒-๕ กิโลกรัม ต่อผล เนื้อสุกเป็นสีเหลืองทอง รสชาติหวานกรอบหอมอร่อยมาก จึงถูกตั้งชื่อตามสีของเนื้อสุกกับขนาดความสูงของต้นและถิ่นกำเนิด ว่า “ขนุนทองอินโดแคระ” เมล็ดเล็ก ยางและซังหุ้มเนื้อมีน้อย ปริมาณของเนื้อ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักผล เนื้อสุกไม่เละ ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง เสียบยอด และติดตา ส่วนใหญ่เป็นกิ่งที่ขยายพันธุ์ด้วยระบบติดตาและมีรากแก้วดีแล้ว จึงทำให้ปลูกแล้วเจริญเติบโตเร็ว สามารถปลูกลงบ่อซีเมนต์ติดผลได้
 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ



     ขนุนเพชรเนื้อทอง  ยางน้อยผลทะวายอร่อย

ขนุนชนิดนี้ เกิดจากการนำเอาเมล็ดของขนุนพันธุ์ดีหลายเมล็ดไปเพาะขยายพันธุ์จนเกิดเป็นต้นกล้า และนำไปปลูกจนต้นติดผล และมีต้นหนึ่งมีลักษณะแตกต่างจากต้นอื่น คือ เมื่อนำเอาผลสุกผ่าดูเนื้อในมีความโดดเด่น คือ ทั้งผลแทบไม่มียางติดมือเลย หรือ มีก็น้อยมาก เนื้อสุกเป็นสีเหลืองเข้ม หรือสีเหลืองทอง วัดความหวานของเนื้อสุกได้ประมาณ ๒๔-๒๘ องศาบริกซ์ ความหนาของเนื้อประมาณ ๐.๕-๑.๒ ซม. เนื้อแห้งกรอบไม่นิ่มหรือเละ มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว เมล็ดและแกนไส้เล็ก รับประทานอร่อยมาก

น้ำหนักผล เมื่อโตเต็มที่เฉลี่ยระหว่าง ๑๓-๒๐ กิโลกรัม น้ำหนักของเนื้อประมาณ ๕๓ เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักผล ซึ่งถือว่าเป็นขนุนที่ให้เนื้อเยอะมาก เจ้าของผู้เพาะพันธุ์เชื่อว่าเป็นขนุนพันธุ์ใหม่ และได้ตอนกิ่งขยายพันธุ์จากขนุนต้นดังกล่าวไปปลูกทดสอบพันธุ์ จนมั่นใจว่าเป็นขนุนกลายพันธุ์แบบถาวรแล้ว จึงนำพันธุ์ไปขอจดทะเบียนพันธุ์พืช พร้อมตั้งชื่อว่า “ขนุนเพชรเนื้อทอง” และส่งเข้าประกวดได้รับรางวัลชนะเลิศในงานเกษตรปราจีนบุรีมาแล้ว

ที่สำคัญ “ขนุนเพชรเนื้อทอง” เป็นขนุนพันธุ์เบา สามารถติดผลได้ไม่ขาดต้น หรือออกผลทะวายตลอดปีอีกด้วย จึงเป็นขนุนที่ให้ผลผลิตแก่ผู้ปลูกได้อย่างคุ้มค่าทั้งปลูกเพื่อเก็บผลรับประทานในครัวเรือน และปลูกเพื่อเก็บผลผ่าแกะเนื้อในขายเพิ่มรายได้
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ



     ขนุนเหลืองระยอง ผลใหญ่สวยเนื้ออร่อย
ขนุน เป็นไม้ผลอย่างหนึ่งที่นิยมปลูกมาแต่โบราณ โดยในปัจจุบันมีการพัฒนาสายพันธุ์ขนุนใหม่ๆออกสู่ตลาดไม้ผลอย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง มีด้วยกันหลากหลายสายพันธุ์ มีทั้งชนิดผลขนาดเล็กและผลขนาดใหญ่ ขนาดของต้นมีทั้งขนาดใหญ่ตามธรรมชาติและต้นเตี้ยเก็บผลได้ง่าย ซึ่ง “ขนุนเหลืองระยอง” เป็นขนุนที่มีผลสวยงามกว่าผลของขนุนชนิดต่างๆทั่วไป คือ ผลมีลักษณะเป็นรูปไข่ยาว ผิวผลเมื่อแก่จัดจะเป็นสีเหลืองตลอดผลน่าชมยิ่ง เนื้อสุกหรือยวงหุ้มเมล็ดเป็นสีเหลืองเข้ม เมล็ดเล็ก ยางน้อย ยวงหรือเนื้อสุกงอมจะไม่เละ แข็งกรอบ หวานหอมเป็นเอกลักษณะ รับประทานอร่อยมาก
 
ปริมาณเนื้อ ๖๐ เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักผล เนื้อไม่เป็นสนิม น้ำหนักผลเมื่อโตเต็มที่เฉลี่ยระหว่าง ๑๐-๓๘ กิโลกรัมต่อผล ซึ่ง “ขนุนเหลืองระยอง” มีที่มาของชื่อ คือ ชนะเลิศการประกวดในงานวันเกษตรและของดีจังหวัดระยอง หลายหนหลายครั้ง จึงถูกตั้งชื่อให้เป็นเกียรติว่า “ขนุนเหลืองระยอง” ดังกล่าว
 
ที่เป็นพิเศษ ยิ่งกว่านั้น “ขนุนเหลืองระยอง” จะมีขนาดของต้นไม่สูงใหญ่มากนัก ต้นสูงเต็มที่ระหว่าง ๔-๖ เมตร เท่านั้น จึงทำให้เวลาติดผลดกสามารถเก็บผลแก่จากต้นได้ง่ายและติดผลทะวายตลอดปี หรืออย่างน้อยปีละ ๒ ครั้ง ติดผลดกอย่างสม่ำเสมอ นอกจากรางวัลชนะเลิศที่กล่าวข้างต้นแล้ว ยังได้รับรางวัลชนะเลิศงานประกวดในหลายจังหวัดอีกด้วย
 [ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ



     แก่นขนุน
ขนุนเป็นไม้ต้น ขนาดใหญ่ ลำต้นและกิ่งเมื่อมีบาดแผลจะมีน้ำยางสีขาวข้นคล้ายน้ำนมไหล ใบ เป็นใบเดี่ยว เรียงสลับ แผ่นใบรูปรี ขนาดกว้าง ๕-๘ เซนติเมตร ยาว ๑๐-๑๕ เซนติเมตร ปลายใบทู่ ถึงแหลม โคนใบมน ผิวในด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมัน เนื้อใบหนาผิวใบด้านล่างจะสากมือ ดอก เป็นช่อแบบช่อเชิงสดแยกเพศอยู่รวมกัน ดอกเพศผู้เรียกว่า “ส่า” มักออกตามปลายกิ่ง ดอกเพศเมียจะออกตามกิ่งใหญ่และตามลำต้นยอดเกสรเพศเมีย เป็นหนามแหลม การออกดอก จะออกปีละ ๒ ครั้ง คือ ช่วงเดือนธันวาคม- มกราคม และเมษายน-พฤษภาคม ส่วนของเนื้อที่รับประทานเจริญมาจากกลีบดอก ส่วนซังคือกลีบเลี้ยง ผล เป็นผลรวมมีขนาดใหญ่ คนไทยเมื่ออดีตจะใช้แก่นของขนุนมาต้มน้ำเพื่อย้อมผ้าซึ่งให้สีน้ำตาลแก่ และนำมาเป็นส่วนผสมในสมุนไพรไทยโดยนำแก่นขนุนหนังหรือขนุนละมุดซึ่งมีรสหวานชุ่มขม ใช้บำรุงกำลังและโลหิต ทำให้เลือดเย็น  นสพ.เดลินิวส์



    ขนุนเพชรจริยา
ขนุนเพชรจริยา เกิดจากการผสมพันธุ์ด้วยวิธีไหนเจ้าของไม่ได้ระบุระหว่าง ขนุนชื่อเพชรดำรง กับ ขนุนศรีบรรจง จากนั้นเมื่อได้ต้นกล้าก็นำไปปลูกเลี้ยงจนต้นโตมีดอกและติดผล ปรากฏว่าติดผลดกมากและติดผลเรื่อยๆ ไม่ขาดต้นหรือเกือบตลอดปี เมื่อตัดเอาผลแก่หรือสุกลงมาผ่าดูเนื้อใน มีลักษณะเด่นคือ มียางน้อย เนื้อสุกเป็นสีเหลืองเข้มหรือสีเหลืองทอง เนื้อมีความหนาประมาณ ๐.๘-๑.๕ ซม. รสชาติหวานกรอบไม่เละแม้จะสุกงอม เนื้อมีกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นของดอกลำดวน วัดความหวานได้ ๒๒-๒๘ องศาบริกซ์ เมล็ดกับไส้กลางเล็ก มีซางน้อย รับประทานอร่อยมาก ผลโตเต็มที่มีน้ำหนักระหว่าง ๑๐-๑๕ กิโลกรัมต่อผล ให้เนื้อสุกประมาณ ๕๔ เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักผล ติดผลเรื่อยๆ ตามที่กล่าวข้างต้นเหมือนขนุนทองประเสริฐ หรือที่ชาวสวนนิยมเรียกว่าขนุนทวายนั่นเอง ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่งและเสียบยอด

ขนุนเพชรจริยา อยู่ในวงศ์ MORACEAE มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับขนุนทั่วไปทุกอย่าง จะมีข้อแตกต่างคือติดผลดกมากแบบไม่ขาดต้น เนื้อสุกหนาหวาน หอมกรอบและให้เนื้อเยอะเกิน ๕๐ เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักผล จึงเป็นขนุนพันธุ์ดีอีกชนิดหนึ่งที่เหมาะจะปลูกเพื่อเก็บผลรับประทานในครัวเรือนหรือปลูกเพื่อเก็บผลแกะเนื้อขายได้คุ้มค่ามาก
  นสพ.ไทยรัฐ – พฤหัสบดีที่ ๒๑/๕/๕๘  


    ขนุนเพชรบัวชมพู
ขนุน เป็นไม้ผลชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมปลูกกันอย่างกว้างขวาง ในปัจจุบันมีการพัฒนาพันธุ์ใหม่ๆ และตอนกิ่งออกวางขายมากมาย ซึ่ง “ขนุนเพชรบัวชมพู” จัดเป็นพันธุ์ใหม่ที่ผู้ขายกิ่งตอนบอกว่าเป็นขนุนที่เกิดจากการเพาะเมล็ดจากต้นแม่ แต่ไม่รู้ว่าเป็นขนุนพันธุ์อะไร ค้นพบในสวนของเกษตรกรผู้หนึ่งในพื้นที่ภาคตะวันออก โดยต้นแม่มีอายุเกือบ ๒๐ ปีแล้ว ยังยืนต้นอยู่และติดผลดกมากเรื่อยๆ แบบมีผลไม่ขาดต้น   ส่วนต้นลูกที่เกิดจากการเพาะเมล็ด เป็นต้นกล้าปลูกเลี้ยงจนมีดอกและติดผล ปรากฏว่า ติดผลดกมากประมาณ ๔๐-๕๐ ผล น้ำหนักผล ๑๐-๑๕ กิโลกรัมต่อผล เมื่อผ่าผลสุกเนื้อหรือยวง เป็นสีชมพูอมส้มสวยงามมาก เนื้อหนา เมล็ดเล็ก รสชาติหวานกรอบมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว รับประ-ทานอร่อยยิ่งนัก เจ้าของผู้เพาะเมล็ดเชื่อว่าเป็นขนุนพันธุ์ใหม่ได้ปลูกทดสอบพันธุ์อยู่หลายครั้งและหลายวิธีทุกอย่างยังคงที่ไม่เปลี่ยนแปลงจึงตั้งชื่อว่า “ขนุนเพชรบัวชมพู” ดังกล่าว

ขนุนเพชรบัวชมพู มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า   ARTOCARPUS HETEROPHYLLUS LAMK อยู่ในวงศ์   MORACEAE มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับขนุนทั่วไปทุกอย่าง เพียงแต่ “ขนุนเพชรบัวชมพู” จะมีรูปทรงของผลสวยงาม ติดผลดกไม่ขาดต้นตลอดทั้งปี เนื้อสุกหรือยวงเป็นสีชมพูอมส้มน่าชมมาก รสชาติหวานกรอบหอมอร่อยถูกปากถูกคอผู้รับประทานยิ่งนัก ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง และเสียบยอด
  นสพ.ไทยรัฐ – พฤหัสบดีที่ ๒๒/๑/๕๘


    ขนุนทองส้ม   อร่อยปลูกคุ้ม
ขนุนชนิดนี้ มีต้นแม่พันธุ์ดั้งเดิมอยู่ที่ อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี มีความโดดเด่นคือต้นมีความแข็งแรงไม่เป็นโรคยางไหลที่เป็นต้นเหตุทำให้ขนุนยืนต้นตายเหมือนขนุนทั่วไป เวลาติดผลจะดกทั้งต้น ผู้ปลูกจะต้องเอาถุงปุ๋ยหรือถุงข้าวสารห่อผลเพื่อป้องกันหนอนเจาะทำให้ผลเสียหายและสีของผลสวยงามด้วย ขนาดผลของ “ขนุนทองส้ม” จะมีขนาดใหญ่ชั่งน้ำหนักผลโตเต็มที่ระหว่าง ๑๕-๓๖ กิโลกรัม ผลแก่จัดไม่แตกหรือปริเหมือนขนุนบางพันธุ์ เนื้อสุกไม่เป็นสนิม เมื่อแกะเอาเนื้อจะได้ จำนวนเนื้อเยอะ น้ำหนักเนื้อเกิน ๕๐ เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักผล เนื้อสุกเป็นสีเหลืองทอง แข็งและแห้งกรอบ ไม่เละแม้สุกเต็มที่ หวานหอมอร่อยมาก ที่สำคัญผลสุกผ่าเอาเนื้อจะมียางน้อยมากไม่ติดมีดติดมือ สามารถแกะเอาเนื้อได้รวดเร็วขึ้น จึงทำให้ “ขนุนทองส้ม” เป็นที่นิยมปลูกและนิยมรับประทานอย่างกว้างขวางในเวลานี้ โดยเฉพาะปลูกเก็บผลกินในครัวเรือนหรือปลูกเพื่อแกะเนื้อขายได้คุ้มค่ามาก เนื่องจากติดผลดกทั้งปี

การปลูก “ขนุนทองส้ม” เพื่อให้ได้ผลผลิตดี ต้องปลูกระหว่างแถวห่างกัน ๖×๖ เมตร ๑ ไร่ ปลูกได้ ๔๔ ตัน ขุดหลุมกว้างยาวและลึก ๕๐×๕๐ ซม. นำต้นลงปลูกให้ปากถุงต้นกล้าเสมอกับหน้าดิน ใช้ปุ๋ยมูลสัตว์ผสมกับดินที่ขุดขึ้นมากลบหลุมปลูกให้เต็ม อย่าปลูกลึกจะทำให้ต้นโตช้า หลังปลูกรดน้ำวันเว้นวัน บำรุงปุ๋ยคอก ๓ เดือนครั้ง สลับใส่ปุ๋ย ๑๖-๑๖-๑๖ สองเดือนครั้ง การตัดแต่งผลใน ๑ ขั้วให้เอาผลไว้ ๑ ผล จะทำให้ผลมีขนาดใหญ่ตามภาพประกอบคอลัมน์ เมื่อเก็บผลผลิตจากต้นแล้วให้ใส่ปุ๋ย ๘-๒๔-๒๔ จะทำให้ผลดกทั้งปีไม่ขาดต้น
  นสพ.ไทยรัฐ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27 พฤศจิกายน 2558 18:53:46 โดย กิมเล้ง » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5462


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 9.0 MS Internet Explorer 9.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #6 เมื่อ: 26 มิถุนายน 2556 11:55:21 »

.

    ขนุนทองสิน
ขนุนพันธุ์นี้ เกิดจากการกลายพันธุ์ด้วยการเอาเมล็ดของขนุนชื่อดังที่เจ้าของจำไม่ได้ว่าเป็นขนุนพันธุ์ไหนบ้างจำนวนหลายเมล็ดไปเพาะ แล้วนำเอาต้นกล้าที่ได้ไปปลูกจนมีดอกและติดผล ปรากฏว่า เนื้อสุกหรือเรียกว่ายวง มีความหนามาก รสชาติหวานกรอบ หอมคล้ายกลิ่นดอกนมแมว รับประทานอร่อยยิ่งนัก เจ้าของได้คัดพันธุ์เอาเฉพาะต้นที่ดีที่สุดไปปลูกทดสอบอยู่หลายวิธีและหลายครั้งจนมั่นใจว่ากลายพันธุ์ถาวรแน่นอนแล้ว จึงตั้งชื่อว่า “ขนุนทองสิน” ดังกล่าว

ขนุนทองสิน มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับขนุนทั่วไปคือ อยู่ในวงศ์ MORACEAE เป็นไม้ยืนต้น สูง ๘-๑๐ เมตร ใบออกสลับรูปรี ปลายแหลม โคนเกือบมน ดอกแยกเพศ ดอกตัวเมียและดอกตัวผู้อยู่บนต้นเดียวกัน โดยช่อดอกตัวผู้จะออกที่โคนกิ่ง ลำต้น และง่ามใบ ดอกเป็นแท่งยาว ๒.๕ ซม. ส่วนดอกตัวเมียเป็นแท่งกลม ออกตามลำต้น ก้านช่อดอกใหญ่กว่าก้านช่อดอกตัวผู้ชัดเจน และที่สำคัญเป็นจุดต่างคือ ดอกตัวผู้จะมีกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นส่าเหล้า ดอกตัวเมียไม่มีกลิ่น “ผล” รูปกลมรี โตเต็มที่น้ำหนักเฉลี่ย ๘-๑๒ กิโลกรัมต่อผล ผลสุกไม่แตกอ้า เนื้อไม่เป็นสนิม ซังมีน้อย ขนาดของซังใหญ่และหนารับประทานได้ เนื้อสุกหนาสีเหลืองเข้ม รสชาติหวานกรอบหอมอร่อยมากตามที่กล่าวข้างต้น เมล็ดเล็ก ยางน้อย ปริมาณเนื้อ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักผล ติดผลดกเกือบทั้งปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนเป็นช่วงที่ขนุนทุกพันธุ์จะมีรสชาติไม่หวาน แต่ “ขนุนทองสิน” ยังหวานหอมอร่อยเหมือนเดิม ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง
  นสพ.ไทยรัฐ พุธที่ ๑๔/๑/๕๘


    จำปาดะสีทอง
ปัจจุบัน จำปาดะเป็นไม้ผลที่นิยมปลูกและนิยมรับประทานอย่างแพร่หลายในทุกๆ ภาคของประเทศไทย ไม่ได้เป็นไม้ผลเฉพาะถิ่นเฉพาะทางภาคใต้เพียงแห่งเดียวอีกแล้ว สามารถปลูกเก็บผลขายสร้างรายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำอีกด้วย โดยเฉพาะประเทศมาเลเซีย และ อินโดนีเซีย มีความต้องการสูงมาก ส่วนใหญ่จะเอาเนื้อที่มีรสหวานหอมชุบแป้งทอด เป็น “ขนมจำปาดะ” ส่งกลิ่นหอมเป็นขนมหวานที่คนไทยภาคใต้ และชาวมาเลเซีย อินโดนีเซีย ชื่นชอบรับประทานมาก เมล็ด ยังหมกขี้เถาใต้กองไฟทำเป็นเครื่องแกงมัสมั่น แกงไตปลา และแกงกระทะ เพิ่มรสชาติให้รับประทานอร่อยยิ่งขึ้น ชาวมุสลิมนิยมอย่างกว้างขวาง

สำหรับ “จำปาดะสีทอง” หรือ ARTOCAR- PUSINTEGER MERR อยู่ในวงศ์ MORA-CEAE เป็นสายพันธุ์ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาใหม่ ต้นสูง ๗-๑๐ เมตร ใบออกสลับ ปลายแหลมโคนมน ดอกและผลออกตามลำต้นเหมือนขนุน “ผล” รูปกลมยาว ก้านผลรวมกันเพียงก้านเดียว ตลอดผิวผลมีหนาม ขนาดผลเล็กกว่าผลขนุนอย่างชัดเจน ผลสุกจะมีกลิ่นหอมแรง เนื้อในเป็นสีเหลืองเข้ม จึงถูกตั้งชื่อว่า “จำปาดะสีทอง” เนื้อสุกค่อนข้างแฉะเป็นธรรมชาติ รสหวานหอมตามที่กล่าวข้างต้น ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด  ที่สำคัญ “จำปาดะสีทอง” เป็นพันธุ์เบา ติดผลง่าย หลังปลูกเพียง ๓ ปี จะติดผลชุดแรกและให้ผลผลิตตลอดปีหรืออย่างน้อยปีละ ๒ ครั้ง และจะติดผลสม่ำเสมออย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ “จำปาดะสีทอง” เป็นที่นิยมปลูกและนิยมรับประทานอย่างแพร่หลายอยู่ในเวลานี้  เป็นกิ่งตอนด้วยระบบติดตา ทนแล้งและทนการโค่นล้มได้ดี ราคาสอบถามกันเองครับ
  นสพ.ไทยรัฐ – อังคารที่ ๕/๘/๕๗


    ขนุนป้าจื๊อ
ขนุนชนิดนี้ มีถิ่นปลูกดั้งเดิมอยู่ที่ ต.บางพระ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี โดยเจ้าของพันธุ์ เป็นหญิงชาวจีนชื่อ “จื๊อ” จึงถูกตั้งชื่อว่า “ขนุนป้าจื๊อ” มีลักษณะเด่นคือ รูปทรงของผลจะกลมยาว ผลโตเต็มที่น้ำหนักเฉลี่ย ๘-๒๐ กิโลกรัม เนื้อสุกเป็นสีเหลืองเข้ม หนาหวานกรอบ ไม่เละ รับประทานอร่อยมาก แกนในเล็ก ยางน้อย จึงเป็นที่นิยมของผู้ปลูกและผู้รับประทานในท้องถิ่น และแถบจังหวัดใกล้เคียงอย่างแพร่หลายเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน

ขนุนป้าจื๊อ อยู่ในวงศ์ MORACEAE เป็นไม้ยืนต้น ๘-๑๐ เมตร มียางขาวทั้งต้น ใบออกสลับรูปกลมรี ปลายแหลม โคนมน เนื้อใบหนา สีเขียวเป็นมัน ดอก ออกเป็นกลุ่ม ช่อดอกตัวเมียและตัวผู้จะอยู่บนต้นเดียวกัน โดยช่อดอกตัวผู้ จะออกที่โคนกิ่ง ลำต้น และง่ามใบ เป็นแท่งยาว ส่วนดอกตัวเมียออกจากลำต้น มีก้านช่อใหญ่ ดอกตัวเมียจะมีกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นส่าเหล้าต่างกันอย่างชัดเจน “ผล” กลมยาว น้ำหนักผลโต เต็มที่ประมาณ ๘-๑๐ กิโลกรัม ตามที่กล่าวข้างต้น เนื้อผลสุกเกิน ๕๐ เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักผล สีเหลืองเข้ม เนื้อหนากรอบหวานรับประทานอร่อยมาก วัดความหวานได้ ๒๖ องศาบริกซ์ ติดผลดกอย่างน้อยปีละ ๒ ครั้ง หรือเรื่อยๆเกือบทั้งปี ขยายพันธุ์โดยทั่วไปคือเพาะเมล็ดและตอนกิ่ง ซึ่ง “ขนุนป้าจื๊อ” ต้นแม่ดั้งเดิมยังคงยืนต้นอยู่ในปัจจุบัน

ใครต้องการกิ่งพันธุ์ไปปลูกติดต่อ “คุณประภาส สุภาผล” ต.ห้วยใหญ่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เป็นกิ่งตอนด้วยระบบติดตา มีรากแก้วดีทุกต้น ทำให้ปลูกแล้วโตเร็ว และติดผลดกหลังปลูก ๓-๔ ปี เหมาะจะปลูกเพื่อเก็บผลรับประทานในครัวเรือน และ ปลูกเป็นเชิงพาณิชย์เก็บผลขายคุ้มค่ามาก ราคาสอบถามกันเองครับ.
  นสพ.ไทยรัฐ- อังคารที่ ๑๙-๘-๕๗



     ขนุนแดงสุริยา หวาน กรอบอร่อยปลูกคุ้ม
ขนุนชนิดนี้ เป็นสุดยอดของ ขนุนเนื้อสีจำปาสายพันธุ์แท้ ที่มีการปลูกทดสอบพันธุ์อยู่นานกว่า ๑๐ ปีแล้ว เป็นขนุนที่มีความทนทานต่อโรคพันธุ์ไม้ได้ดีและทนความแห้งแล้งด้วย เป็นขนุนพันธุ์เบา มีดอกติดผลได้ง่ายและติดผลดกอย่างสม่ำเสมอ ผลโตเต็มที่มีนํ้าหนัก ๘-๒๐ กิโลกรัมต่อผล สามารถติดผลอย่างน้อยปีละ ๒ ครั้ง เนื้อผลมีความหนาประมาณ ๐.๕-๑.๒ ซม. สีของเนื้อสวยเป็นสีแดงเข้มจึงถูกตั้งชื่อว่า “ขนุนแดงสุริยา” รสชาติหวานกรอบไม่เละมีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว รับประทานอร่อยมาก ให้เนื้อเยอะมากกว่า ๕๒ เปอร์เซ็นต์ของนํ้าหนักผล เมื่อผลแก่จัดจะไม่แตกอ้า มีรางวัลชนะเลิศงานประกวดขนุนจำปาวันเกษตรประจำปีของ จ.ปราจีนบุรี มาถึง ๔ ปีซ้อน กำลังเป็นที่นิยมปลูกเพื่อเก็บผลกินในครัวเรือนและปลูกเพื่อเก็บผลแกะเนื้อขายอย่างแพร่หลายในปัจจุบันคุ้มค่ามาก ราคากิโลกรัมละหลายบาท

ขนุนแดงสุริยา หรือ ARTOCARPUS HETEROPHYLLUS LAMK. อยู่ในวงศ์ MO-RACEAE มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับต้นขนุนทั่วไปทุกอย่าง ติดผลได้ปีละ ๒ ครั้ง ตามที่กล่าวข้างต้น ขยายพันธุ์ด้วยระบบเสียบยอดกับตอขนุนพื้นเมือง การปลูกระหว่างต้น และระหว่างแถวห่างกัน ๖×๖ เมตร ขุดหลุมลึกและกว้างประมาณ ๖๐×๖๐ ซม. ใส่ปุ๋ยคอกผสมกับดินที่ขุดขึ้นมาให้เต็มหลุม จากนั้นนำเอาต้น “ขนุนแดงสุริยา” ลงปลูกให้ดินปากถุงเสมอกับหน้าดิน อย่าปลูกลึกเพราะจะทำให้ต้นเจริญเติบโตได้ช้า รดนํ้า ๑-๒ วันครั้ง ใส่ปุ๋ยคอกทุกๆ ๓ เดือน สลับกับการใส่ปุ๋ยสูตร ๑๖-๑๖-๑๖ ทุกๆ ๒ เดือน จะทำให้ “ขนุนแดงสุริยา” ติดผลชุดแรกหลังปลูกเพียง ๓ ปีเท่านั้น
   นสพ.ไทยรัฐ 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01 มิถุนายน 2559 10:05:03 โดย กิมเล้ง » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5462


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 9.0 MS Internet Explorer 9.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #7 เมื่อ: 26 มิถุนายน 2556 14:06:24 »

.


     มะละกอ
มะละกอ เป็นพืชยืนต้น สูงประมาณ ๓-๔ เมตร ลำต้นตั้งตรง เนื้อลำต้นอ่อน ผลมีรูปร่างทั้งกลมและยาวรี มะละกอดิบเปลือกนอกมีสีเขียวผลสุกเปลี่ยนเป็นสีเหลืองออกส้ม เป็นพืชที่ไม่ชอบให้มีน้ำท่วมขังนิยมปลูกในบริเวณรั้วบ้าน สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้เกือบทุกส่วนของต้น โดยใบและยอดปรุงอาหารได้ ลำต้นภายในเป็นเนื้อสีขาวครีมอ่อนนุ่มคล้ายกับหัวผักกาดจีนปรุงเป็นอาหารได้ หรือดองเค็มหรือตากแห้งเก็บไว้กินก็ได้ มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีสารอาหารที่สำคัญหลายอย่างเช่น วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี ธาตุเหล็ก และแคลเซียม
 
ยางสีขาวข้นจากผลมะละกอ ใช้หมักเนื้อทำให้เนื้อนุ่มและเร่งให้เปื่อยเร็วเมื่อต้ม สกัดเป็นเอนไซม์ปาเปอีน ใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง  เป็นยาระบายอ่อนๆ ช่วยในการขับปัสสาวะ ทำเป็นเครื่องดื่มสมุนไพร “ชามะละกอ” ที่มีสรรพคุณในการล้างลำไส้จากคราบไขมันที่เกาะติดอยู่ที่เกิดจากการกินอาหารที่ผัดด้วยน้ำมัน ผลมะละกอสุกช่วยบำรุงธาตุ ช่วยย่อยอาหารเป็นยาระบายอ่อน ๆ ทำให้ระบบขับถ่ายดีไม่มีอาการท้องผูก ทำน้ำมะละกอได้อีกเอนไซม์ปาเปอีน ช่วยลดกรดในกระเพาะอาหารทำให้ลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น มีสารอาหารที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เบต้าแคโรทีนที่มีคุณสมบัติช่วยชะลอวัย บำรุงผิวพรรณ ลดริ้วรอย.

 


     มะละกอสีทองใหม่  ผลยาวสวยอร่อย
มะละกอสีทอง ที่เป็นสายพันธุ์ดั้งเดิม มีถิ่นกำเนิดจากรัฐฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา เคยแนะนำในคอลัมน์ไปนานแล้ว โดยสายพันธุ์ดังกล่าวรูปทรงของผลจะกลมรีป้อมและสั้น จัดเป็นสายพันธุ์ที่หวงเมล็ดคือ เวลาติดผลดกเต็มต้นแต่ละผลแทบจะไม่มีเมล็ดให้เก็บไว้ขยายพันธุ์ได้เลย บางต้นเมื่อติดผลแล้วจะมีเพียง ๑-๒ ผลเท่านั้นที่มีเมล็ดไม่มากนัก ทำให้เจ้าของหรือผู้ปลูกต้องหวงผลให้สุกคาต้นไม่เก็บผลขายเพื่อนำเอาผลสุกดังกล่าวลงมาผ่าทุกผลดูว่าผลไหนมีเมล็ดจะได้เก็บไปขยายพันธุ์รุ่นต่อไป จึงถูกเรียกว่ามะละกอหวงเมล็ด

ส่วน “มะละกอสีทองใหม่”  เกิดจากการเอาเมล็ดของมะละกอสีทองพันธุ์ดั้งเดิมไปเพาะขยายพันธุ์จนมีดอกและติดผล  ปรากฏว่ารูปทรงของผลแปลกไปจากเดิมคือ ผลกลมรีและยาวมากกว่าผลของมะละกอสีทองพันธุ์ดั้งเดิมอย่างชัดเจน ดูคล้ายผลของมะละกอแขกดำ ที่สำคัญแต่ละผลจะมีเมล็ดจำนวนมาก  ไม่หวงเมล็ดเหมือน กับผลมะละกอสีทองพันธุ์ดั้งเดิม ทำให้สามารถเก็บเมล็ดจากผลสุกไปขยายพันธุ์ปลูกได้อย่างต่อเนื่อง เก็บผลกินและขายได้ สีสันของผลยังคงที่เป็นสีเหลืองทองดั้งเดิม แต่ผลยังเล็กจนกระทั่งผลแก่และสุกดูสวยงามแปลกตายิ่งนัก

รสชาติ ขณะอ่อนหรือดิบกรอบฉ่ำน้ำเหมือนกับเนื้อมะละกอผลสีเขียวทั่วไป สามารถใช้ประโยชน์ ปรุงเป็นอาหารได้หลายรูปแบบ เช่น นึ่งหรือต้มกินเป็นผักจิ้มน้ำพริก ผัดไข่หรือหมู, สับฝานทำส้มตำ แกงส้ม ผลสุก  รับประทานเป็นผลไม้รสชาติหวานไม่เละอร่อยมาก สรรพคุณทางสมุนไพรของมะละกอทั่วไปคือ ต้น ขับประจำเดือน ลดไข้  ดอก ขับปัสสาวะ  ราก แก้กลากเกลื้อน  ยาง ช่วยกัดแผลรักษาตาปลาและหูด

ยาง ใช้หมักไก่หรือต้มเนื้อให้ยุ่ย  แปรรูปทำครีมทาแก้ส้นเท้าแตก  ต้นบริเวณส่วนโคนตัดหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ นวดกับเกลือป่นทำเป็น  “ฉ่ายโป๊ว” รับประทานอร่อยมาก

มีต้นและเมล็ดพันธุ์ขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ ๑๙
 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ


     มะละกอพันธุ์แขกดำหนองแหวน  ปลูกคุ้มผลผลิตสูง
มะละกอพันธุ์แขกดำหนองแหวน มะละกอ เป็นไม้กินผลชนิดหนึ่งที่นิยมปลูกเก็บผลกินในครัวเรือนและเก็บผลขายเพิ่มรายได้อย่างกว้างขวาง ปัจจุบัน "มะละกอพันธุ์แขกดำหนองแหวน"  จัดเป็นมะละกอสายพันธุ์ดีที่สุดที่ผู้บริโภคยกนิ้วให้ว่ามีรสชาติสุดยอดทั้งดิบและสุก  โดยเฉพาะบรรดาเกษตรกรที่ยึดอาชีพปลูกมะละกอเก็บผลขายจะนิยมปลูกมะละกอสายพันธุ์นี้อย่างแพร่หลาย  เนื่องจากให้ผลผลิตต่อไร่ สูงมาก  สามารถเก็บผลขายได้ราคาดี  มีตลาดไปรับซื้อถึงแหล่งปลูก  สร้างรายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำเลยทีเดียว   หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ



     มะละกอกับสูตรลดอ้วน  (ข่าว)
ผู้อ่านไทยรัฐ จำนวนมากมีปัญหาเรื่องความอ้วน แต่ไม่ใช่อ้วนถึงขนาดมีน้ำหนักเป็น ๑๐๐ หรือ ๒๐๐ กิโลกรัม เพียงแค่อ้วนเกินอัตราส่วนความสมดุลของร่างกายและอายุ ซึ่งก็พยายามลดเต็มที่แล้วแต่ไม่ได้ผล มีแต่จะอ้วนเพิ่มขึ้น

สำหรับ "มะละกอ" กับสูตรลดอ้วน ถือเป็นหลักโภชนาบำบัดแบบหนึ่งที่ได้รับความนิยมนำไปปฏิบัติกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ส่วนจะได้ผลมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับผู้ต้องการลดความอ้วนจะต้องควบคุมการกินอาหารและออกกำลังควบคู่กันไปด้วย "นายเกษตร" เห็นว่าเป็นสูตรง่ายๆ จึงเสนอเป็นวิทยาทานอีกเช่นเคย คือ

เอา "มะละกอ" ดิบหรือห่าม ๑ ผลใหญ่ หรือเล็กตามแต่จะหาได้ ไม่ต้องปอกเปลือก ผ่าเอาเมล็ดออกหั่นเป็นชิ้นเล็กๆต้มกับนํ้า ๑  ลิตร หรือท่วมเนื้อจนเดือดแล้วดื่มเฉพาะนํ้าแทนการดื่มนํ้า  ดื่มได้เรื่อยๆหมดแล้วเอาผลใหม่ต้มดื่มต่อจนกว่าน้ำหนักจะลดลงตามต้องการ ไม่มีอันตรายอะไร

มีข้อแม้ หากต้องการให้เห็นผลแน่นอนต้องกินข้าวให้ตรงเวลาทุกมื้อ และมื้อเย็น ห้ามกินข้าวหลังห้าโมงเย็นอย่างเด็ดขาด จะได้ผลดีแล้วยังทำให้ร่างกายไม่เกิดโรคด้วย

มะละกอ มีผลดิบและสุกวางขายทั่วไปตามตลาดสดและตลาดผลไม้ นิยมปลูกกินผลในครัวเรือนอย่างกว้างขวาง มีสรรพคุณเฉพาะ ยาง ใช้กัดหูด ตาปลา และเป็นยาระบาย ยายกเว้นผ้าห่ม
  ไทยรัฐ



     นักวิจัยญวนพบใบชามะละกอต้านมะเร็ง  (ข่าว)
นักวิจัยชาวญวน มหาวิทยาลัยรัฐฟลอริดา สุดเจ๋ง ค้นพบชาใบมะละกอ ช่วยต้านโรคเพียบ พร้อมส่งต่อให้มหาวิทยาลัยกรุงโตเกียวนำไปขยายผลต่อ...

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานเมื่อวันที่ ๑๐ มี.ค.ว่า นายนัม ดัง นักวิจัยค้นคว้าชาวเวียดนาม จากมหาวิทยาลัยรัฐฟลอริดา พร้อมเพื่อนร่วมทีมจากมหาวิทยาลัยญี่น เผยผลของการค้นพบสิ่งมหัศจรรย์ในใบมะละกอสกัด  ซึ่งตีพิมพ์ลงในวารสารเภสัชพื้นบ้าน (Journal of Ethnopharmacology) ประจำเดือนก.พ.ที่ผ่านมา แต่ได้รับการเปิดเผยจากมหาวิทยาลัยรัฐฟลอริดา เมื่อ ๙ มี.ค.ว่า ใบมะละกอที่นำมาอบแห้งสกัดเป็นชาใบมะละกอให้ผลในการรักษาต่อต้านโรคมะเร็งตับ, ตับอ่อน, ปอด, หน้าอก และปากมดลูก

รายงานข่าวระบุว่า จากการทดลองในเซลส์มะเร็งต่างกัน ๑๐ ชนิด กับชาสกัดใบมะละกอที่ให้ความเข้มข้น ๔ แบบ จากนั้นก็วัดค่าผลภายใน ๒๔ ชั่วโมง พบว่า เซลส์มะเร็งทุกชนิดมีการเติบโตช้าลง และยังพบผลข้างเคียง ด้วยชีวโมเลกุลตัวสำคัญที่ชื่อว่า “ไซโตไคน์ ชนิดทีเอช-1” ซึึ่งช่วยในกระบวนการต่อต้านอนุมูลอิสระ ทำให้เกิดการสร้างเซลส์ภูมิคุ้มกัน นับเป็นการเสริมความเชื่อภูมิปัญญาชาวบ้านทั่วโลก โดยเฉพาะในออสเตรเลียกับเวียดนาม

ทั้งนี้ นายดังและคณะ เข้าจดสิทธิบัตรเป็นที่เรียบร้อย โดยให้มหาวิทยาลัยกรุงโตเกียวนำไปขยายผลต่อไป
  ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์ วันพุธที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๖



     มะละกอในวงบ่อ
การเตรียมวงบ่อเพื่อปลูกมะละกอให้เทปูนปิดตอนล่างของวงบ่อพร้อมเจาะรูขนาดหัวแม่มือ ประมาณ ๕-๗ รู เพื่อให้น้ำรั่วซึมออกไปช่วงที่มีน้ำมากในวงบ่อ สำหรับดินควรเป็นดินที่ผสมด้วยดินร่วน ๓ บุ้งกี๋ ผสมกับ ปุ๋ยคอก, ขี้เถ้าแกลบ, ทรายหยาบ อัตราส่วน ๑:๑:๑ ผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วนำมาใส่ลงในวงบ่อ ให้เต็ม รดน้ำให้ชุ่ม นำต้นกล้ามะละกอที่มีอายุประมาณ ๓๐ วัน มาลงปลูก  คอยหมั่นรดน้ำให้ชุ่ม แต่ไม่ต้องมาก กลบโคนด้วยดินและปุ๋ยหมัก ปิดด้วยฟางหรือแกลบ แล้วรดน้ำให้ชุ่ม หลังปลูกเสร็จให้ทำหลักเพื่อยึดลำต้นไม่ให้โยกขณะลมพัด จากนั้นไม่นานมะละกอก็จะออกลูกให้ได้บริโภค. เดลินิวส์


    มะละกอครั่ง
มะละกอชนิดนี้ ไม่มีใครระบุที่มาของชื่อ ที่มาของสายพันธุ์และแหล่งกำเนิดได้ว่าเป็นมาอย่างไร ทราบแต่เพียงว่ามีปลูกทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อเก็บผลดิบไปปอกเปลือกแล้วสับฝานเป็นฝอยๆ หรือเป็นเส้นๆ ทำส้มตำมะละกอเพียงอย่างเดียวมาช้านานแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่ไม่นิยมกินผลสุก แต่ไม่ใช่ว่าเนื้อสุกของ “มะละกอครั่ง” จะไม่หวานอร่อย สาเหตุแท้จริงเป็นเพราะขนาดของผล “มะละกอครั่ง” จะใหญ่และยาวมาก ทำให้เวลานำไปปอกเปลือกสับฝานทำส้มตำมะละกอได้เนื้อเยอะกว่ามะละกอดิบสายพันธุ์อื่นๆ และที่สำคัญรสชาติเมื่อปรุงเป็นส้มตำมะละกอแล้วจะกรอบถูกปากผู้รับประทานเป็นอย่างยิ่งนั่นเอง

มะละกอครั่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์และลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับมะละกอทั่วไปคือ CARICA PAPAYA LINN. อยู่ในวงศ์ CARI CACEAE เป็นไม้ยืนต้นเนื้ออ่อนอวบน้ำ ลำต้นตั้งตรงไม่แตกกิ่งก้าน ความสูงอยู่แต่ละสายพันธุ์ไม่เท่ากัน ลำต้นกลวง เปลือกต้นขรุขระเป็นสีน้ำตาลเทาปนขาว มียาง ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับรอบลำต้นช่วงปลายยอด ใบมีขนาดใหญ่แผ่คล้ายร่ม ขอบใบหยักเว้าลึกเป็นแฉก ๗-๙แฉก
ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆ หรือเป็นช่อ ดอกเป็นสีขาวหรือสีเหลืองอ่อน มีกลีบดอก ๕ กลีบ ดอกมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ลักษณะดอกโคนเชื่อมติดกันเป็นหลอด ดอกตัวผู้กับดอกตัวเมียอยู่คนละต้น “ผล” เป็นผลเดี่ยว รูปกลม หรือทรงกระบอก ซึ่งผลของ “มะละกอครั่ง” สามารถยาวได้ถึง ๑ ฟุต ผลดิบสีเขียว เนื้อในฉ่ำน้ำ เมื่อปอกเปลือกสับฝานเป็นฝอยหรือเป็นเส้นเนื้อจะเป็นสีขาวใส ทำเป็นส้มตำมะละกอรับประทานกรอบอร่อยมาก ไม่นิยมกินผลสุกตามที่กล่าวข้างต้น มีเมล็ดเยอะ ติดผลดกมาก ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด  มีต้นขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ โครงการ ๑๗ ราคาสอบถามกันเองครับ.
  นสพ.ไทยรัฐ – พุธที่ ๒๒/๔/๕๘


    มะละกอก้านใบม่วง
มะละกอชนิดนี้ พบมีต้นขายมีภาพถ่ายจากต้นจริงโชว์ให้ชมด้วย สีสันของก้านใบเป็นสีม่วงอมแดงแปลกและแตกต่างจากสีของก้านใบมะละกอพันธุ์ทั่วไปอย่างชัดเจนที่จะเป็นสีเขียว ติดผลดกเต็มต้นมีทั้งชนิดผลดิบเป็นสีเขียวอ่อนและผลสุกสีเหลืองอมส้มตามลำดับดูสวยงามมาก ผู้ขายบอกได้เพียงว่า มะละกอพันธุ์ดังกล่าวนิยมปลูกมาช้านานทางภาคใต้หลายจังหวัด โดยเฉพาะพื้นที่ จ.กระบี่ แต่บอกที่มาที่ไปของสายพันธุ์ไม่ได้ว่าเป็นอย่างไร ต่อมา “คุณบุญลือ สุขเกษม” เกษตรกรฝีมือดีได้ซื้อผลสุกจำนวน ๒ ผล นำ กลับมาผ่าเอาเมล็ดเพาะเป็นต้นกล้าปลูกจนต้นโต มีดอกและติดผลในพื้นที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา

ปรากฏว่า มะละกอดังกล่าวสามารถเจริญเติบโตได้เร็วและทนต่อโรคแมลงทุกชนิดได้ดีกว่ามะละกอสายพันธุ์อื่นๆ และที่สำคัญสามารถติดผลดกเต็มต้นอย่างสม่ำเสมอไม่ขาดคอต้น ประมาณ ๗๐-๙๐ ผลต่อต้น รูปทรงของผลกลมยาวคล้าย รูปทรงของผลมะละกอแขกดำ ผลดิบสีเขียว หรือสีเขียวอ่อน ผลสุกเป็นสีเหลืองและสีส้มตามลำดับ ทำให้เวลาติดผลดกดูสวยงามทั้งสีผลและ สีของก้านใบน่าชมยิ่งนัก น้ำหนักผลโตเต็มที่เฉลี่ยระหว่าง ๑ กิโลกรัมขึ้นไป ผลดิบเนื้อกรอบฉ่ำน้ำ ปรุงเป็นอาหารทำส้มตำ แกงส้มดีมาก เนื้อสุกเป็นสีแดง รสหวาน ไม่เละง่าย เนื้อแน่นหนาประมาณ ๑-๑.๕ นิ้ว ๑ ผลมีเมล็ดประมาณ ๓๐-๕๐ เมล็ด ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด

มะละกอก้านใบม่วง มีชื่อวิทยาศาสตร์คือ CARICA PAPAYA LINN. อยู่ในวงศ์ CARICACEAE มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับมะละกอทั่วไปทุกอย่าง แต่ก้านใบจะเป็นสีม่วงอมแดง เติบโตเร็ว ทนต่อโรคแมลงได้สูงกว่ามะละกอสายพันธุ์ใดๆ ให้ผลผลิตดกเต็มต้นอย่างสม่ำเสมอ สีผลสวยตามที่กล่าวข้างต้น รสชาติรับประทานอร่อยทั้งผลดิบและผลสุก เหมาะจะปลูกเพื่อเก็บผลรับประทานในครัวเรือนและปลูกเก็บผลขายเป็นเชิงพาณิชย์  มีต้นขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวน จตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ ๑๗ ราคาสอบถามกันเองครับ.
  นสพ.ไทยรัฐ – พุธที่ ๑๑/๓/๕๘


    มะละกอศรีสุภา
มะละกอชนิดนี้ มะละกอชนิดนี้เป็นพันธุ์ใหม่ ผู้ขายบอกว่าเกิดจากการเขี่ยเกสรผสมระหว่างมะละกอฮอลแลนด์ กับมะละกอแขกนวล จากนั้นนำเอาเมล็ดจากผลสุกจำนวนหลายเมล็ดไปเพาะเป็นต้นกล้าแล้วปลูกจนต้นมีดอกและติดผลดกเต็มต้น ตามภาพประกอบคอลัมน์ รูปทรงของผลแตกต่างจากพันธุ์พ่อและพันธุ์แม่อย่างชัดเจน เจ้าของผู้เขี่ยเกสรผสมจึงคัดเอาผลสุกจากต้นที่ดีที่สุดผ่าเอาเมล็ดไปเพาะเป็นต้นกล้าปลูกทดสอบพันธุ์หลายครั้ง ปรากฏว่าทุกอย่างยังคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง เชื่อว่าเป็นมะละกอกลายพันธุ์ถาวรอย่างแน่นอนแล้ว จึงตั้งชื่อว่า “มะละกอศรีสุภา” พร้อมขยายพันธุ์นำต้นและเมล็ดออกขายได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในเวลานี้

มะละกอศรีสุภา มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับมะละกอทั่วไปทุกอย่าง อยู่ในวงศ์ CARICACEAE ดอก ออกเป็นช่อกระจุกตามซอกใบ สีของดอก เป็นสีขาวอมเหลือง มีกลิ่นหอม “ผล” รูปทรงกระบอกยาวกว่ามะละกอฮอลแลนด์ แต่จะสั้นกว่ามะละกอแขกนวล ติดผลดกเต็มต้นเกือบร้อยผลต่อต้น เนื้อผลหนา กลวงในเล็กน้อย ผลโตเต็มที่มีน้ำหนักเฉลี่ยระหว่าง ๒-๓ กิโลกรัมต่อผล ผลดิบสีเขียว เนื้อกรอบ ฉ่ำน้ำ ไม่แห้ง ปอกเปลือกสับทำส้มตำ รสชาติดีมาก ผลห่ามปอกเปลือกฝานเป็นชิ้นปรุงเป็นแกงส้มใส่กุ้งสดได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เนื้อสุกมีความหวานสูง เนื้อไม่เละแม้สุกงอม รับประทานอร่อยมาก เมล็ดมีไม่มากนัก ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด

ใครต้องการต้นพันธุ์หรือเมล็ดพันธุ์ติดต่อ “คุณประภาส สุภาผล” บ้านเลขที่ หมู่ ๗ ต.ห้วยใหญ่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ราคาสอบถามกันเอง ปลูกได้ในดินทั่วไป เหมาะจะปลูกเพื่อเก็บผลรับประทานในครัวเรือนหรือปลูกเก็บผลขายคุ้มค่ามากครับ.
  นสพ.ไทยรัฐ – ๑๓/๑-๕๘



    ใบมะละกอ  เพิ่มเกร็ดเลือด
ไข้เลือดออกเป็นแล้วจะทำให้ระดับของเกล็ดเลือดลดต่ำลงเรื่อยๆ หากปล่อยไว้มีอันตรายถึงชีวิตได้ ถ้ารู้ตัวว่าเริ่มเป็นใหม่ๆต้องรีบไปให้แพทย์รักษาอย่ารอช้า และในทางสมุนไพรระบุว่า เอา “ใบมะละกอ” สด ๓๐ กรัม ปั่นให้ละเอียด ใส่น้ำนิดหน่อยแล้วใช้ผ้าขาวบางกรอง คั้นเอาเฉพาะน้ำกินครั้งละครึ่งแก้ว วันละครั้งเวลาไหนก่อนหรือหลังอาหารก็ได้ ทำกินติดต่อกัน ๓ วัน จะช่วยเพิ่มเกล็ดเลือดที่ต่ำลงเนื่องจากไข้เลือดออกให้ดีขึ้นระดับหนึ่ง สามารถกินควบคู่ไปกับการรักษาของแพทย์ได้

มะละกอ หรือ CARICA PAPAYA LINN. อยู่ในวงศ์ CARICACEAE มีถิ่นกำเนิดจากอเมริกาเขตร้อน ผลดิบมีน้ำย่อยชื่อ PAPAIN, CHYMOPA-PAIN ช่วยย่อยโปรตีนทำให้เนื้อสัตว์ยุ่ย ผลิตเป็นยาลดอาการบวมอักเสบจากบาดแผลหรือการผ่าตัด เป็นส่วนผสมเตรียมทำยาล้างเลนส์สัมผัสชนิดอ่อน ผลสุกมีวิตามินเอสูง
  ไทยรัฐ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26 กุมภาพันธ์ 2559 12:00:14 โดย กิมเล้ง » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5462


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 9.0 MS Internet Explorer 9.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #8 เมื่อ: 26 มิถุนายน 2556 14:42:16 »

.


     "ทุเรียนเทศ" เนื้อน้อยหน่า เปลือกทุเรียน
ผู้อ่านจำนวนมากอยากทราบว่า “ทุเรียนเทศ” เป็นอย่างไร ซึ่งความจริงแล้วไม้ชนิดนี้ น่าจะจัดอยู่ในจำพวกน้อยหน่าชนิดหนึ่งที่ธรรมชาติสร้างให้รูปทรงของผลและเปลือกผลเหมือนกับเปลือกผลของทุเรียน ส่วนเนื้อในกลับเหมือนเนื้อของน้อยหน่าทั่วไป รับประทานอร่อยเหมือนน้อยหน่าด้วยคือรสหวานปนเปรี้ยวนิดๆ จึงถูกเรียกชื่อตามลักษณะเปลือกผลว่า “ทุเรียนเทศ” ทางภาคกลางเรียก ทุเรียนแขก ภาคเหนือเรียก มะทุเรียน และภาคใต้เรียก ทุเรียนน้ำ

ทุเรียนเทศ มีถิ่นกำเนิดจากต่างประเทศ ถูกนำเข้ามาปลูกกว้างขวางทุกภาคของประเทศไทยนานแล้ว มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า ANNONA MURICATAL. ชื่อสามัญ SOURSOP. DURIAN BELANDA เป็นไม้ยืนต้น สูง ๓-๕ เมตร เปลือกต้นมีกลิ่นฉุน ใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปรี ปลายแหลม โคนมน เนื้อใบหนา ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆหรือ ๒-๓ ดอกตามซอกใบ มีกลีบดอก ๖ กลีบ เรียงเป็น ๒ ชั้น กลีบชั้นนอกหนาแข็งรูปสามเหลี่ยม กลีบชั้นในขอบกลีบบรรจบกันเป็นรูปพีระมิด ดอกเป็นสีเหลืองอมส้ม มีกลิ่นหอมแบบเปรี้ยวๆ

ผล เป็นผลกลุ่ม มีผนังรังไข่เชื่อมติดกัน รูปกลมรีมีหนามที่เปลือกผลทำให้ดูคล้ายผลทุเรียน ส่วนเนื้อในเป็นสีขาวเหมือนเนื้อน้อยหน่า มีเมล็ดจำนวนมาก ผลสุกเนื้อรับประทานได้ รสชาติหวานปนเปรี้ยวตามที่กล่าวข้างตน ผลโตเต็มที่น้ำหนักเฉลี่ยประมาณ ๑-๒ กิโลกรัม ดอกออกทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด นิยมปลูกอย่างแพร่หลายทางภาคใต้ นอกจากเนื้อจะรับประทานอร่อยแล้ว ยังนิยมนำไปแปรรูปทำไอศกรีมได้ด้วย เป็นแหล่งรวมแคลเซียม วิตามินบี ๑ และวิตามินซี

ปัจจุบัน “ทุเรียนเทศ” มีต้นขาย ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ แผงตรงกันข้ามโครงการ ๙
ไทยรัฐ - พฤหัสบดีที่ ๑๕/๑๑/๕๕



     "ทุเรียนอีลวง" อร่อย กับที่มาชื่อ
ผู้อ่านจำนวนมากอยากทราบว่า “ทุเรียนอีลวง” มีที่มาเป็นอย่างไร และมีต้นพันธุ์กับผลขายที่ไหน ซึ่งความจริงแล้วทุเรียนพันธุ์ดังกล่าวเป็นสายพันธุ์เก่าแก่ของจังหวัดนนทบุรี นิยมปลูกและนิยมรับประทานเฉพาะถิ่นมาช้านานแล้ว เนื่องจากเนื้อในมีรสชาติหวานมันอร่อยมากนั่นเอง

ปัจจุบัน “ทุเรียนอีลวง” หารับประทานได้ยาก เนื่องจากผู้มีอาชีพปลูกทุเรียนเก็บผลขายได้หันไปปลูกทุเรียนสายพันธุ์อื่นกันหมด มีเหลือปลูกเพื่อเก็บผลรับประทานในครัวเรือนบ้างเล็กน้อย ไม่แพร่หลายและไม่มีผลวางขายที่ไหน

ส่วนที่มาของชื่อ “ทุเรียนอีลวง” นั้น เป็นเพราะตามธรรมชาติของสายพันธุ์ที่ติดผลชุดแรกดูสมบูรณ์ดี และติดผลดกเต็มต้น เจ้าของหรือผู้ปลูกดีใจ เมื่อผลแก่จัดเก็บผลลงจากต้นแกะดูเนื้อในปรากฏว่าไม่มีเนื้อทุกๆ ผล และเมื่อติดผลชุดที่ ๒ ก็จะมีลักษณะแบบเดียวกับชุดแรกอีก ทำให้ผู้ปลูกคิดจะฟันต้นทิ้งแต่ตัดใจให้ติดผลชุดที่ ๓ จนผลแก่จัด เก็บผลลงจากต้นแกะดูเนื้อในปรากฏว่าเนื้อสีสวยไม่เละ รับประทานหวานมันอร่อยดีมาก

เมื่อปล่อยให้ติดผลชุดที่ ๔ ผลจะดกเต็มต้นเหมือนเดิมและแกะเนื้อในยังคงมีรสชาติหวานมันเช่นเดิม เจ้าของหรือผู้ปลูกในยุคสมัยนั้นจึงตั้งชื่อทุเรียนดังกล่าวว่า “ทุเรียนอีลวง” ตามลักษณะสายพันธุ์ที่ติดผล ๒ ชุดแรกจะหลอกลวงให้เจ้าของหรือผู้ปลูกดีใจแต่ไม่มีเนื้อ จะมีเนื้อเมื่อติดผลชุดที่ ๓ นั่นเอง

ทุเรียนอีลวง หรือ DUIO ZEBETHINUS LINN. อยู่ในวงศ์ BOMBACACEAE มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับทุเรียนทั่วไป “ผล” กลมรี ผลมีขนาดไม่ใหญ่นัก เมล็ดโตคล้ายเมล็ดทุเรียนพันธุ์กระดุม เนื้อเหนียวไม่เละ หวานมันอร่อยมาก ปัจจุบันยังไม่พบมีกิ่งตอนและผลขายที่ไหน.
 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ - พฤหัสบดีที่ ๑๐/๑/๕๖


http://www.munjeed.com/image_news/2013-05-01/image_15201333310.jpg
"เกษตรน่ารู้" สารพัดสารพันเรื่องพันธุ์ไม้

     "ทุเรียนก้านยาว พันธุ์ผลกลมยาว" อร่อยราคาดีมีกิ่งพันธุ์ขาย
ทุเรียนก้านยาว ในประเทศไทยมีทั้งหมด ๖ สายพันธุ์ แต่ “ก้านยาวพันธุ์ผลกลมยาว” ที่ชาวสวนชอบเรียกว่า ทุเรียนก้านยาวทรงหวด เป็นพันธุ์ที่มีดีกรีชนะเลิศการประกวดงานวันเกษตรและของดีจังหวัดระยอง โดยชนะเลิศรางวัลที่ ๑, ๒ และ ๓ ติดต่อกันถึง ๔ ปีซ้อน มีลักษณะเด่นเฉพาะ คือรูปทรงผลจะกลมและยาวสวย เปลือกบาง พูใหญ่ เนื้อละเอียดแห้งไม่เละแม้ผลจะสุกงอม ให้เนื้อเยอะ เนื้อเป็นสีเหลืองเข้ม รสชาติหวานมันมีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว รับประทานอร่อยมาก เมล็ดเล็กและลีบบาง ซึ่งเมล็ดของทุเรียนก้านยาวสายพันธุ์อื่นเมล็ดจะมีขนาดใหญ่เป็นธรรมชาติทั้งหมด นํ้าหนักผลเฉลี่ยระหว่าง ๒-๔ กิโลกรัมต่อผล ปัจจุบันทุเรียน “ก้านยาวพันธุ์ผลกลมยาว” กำลังเป็นที่นิยมของผู้ปลูกและผู้รับประทานอย่างแพร่หลาย ส่วนใหญ่จะส่งขายที่ประเทศจีน ราคาจากสวนกิโลกรัมละ ๒๐๐ บาท

ทุเรียน “ก้านยาวพันธุ์ผลกลมยาว” หรือ DURIO ZIBETHINUS MERR. มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่ที่ จ. นนทบุรี ต่อมาชาวสวนได้นำเอาต้นไป ปลูกในพื้นที่ จ.ระยอง เป็นสวนขนาดใหญ่ โดยหลังปลูกได้ ๔-๕ ปี จะให้ผลผลิตชุดแรกและติดผลดกมาก สามารถติดผลอย่างสม่ำเสมอทุกๆปี รูปทรงของผลจะกลมยาวแตกต่างจากผลของทุเรียนก้านยาวสายพันธุ์อื่นที่จะเป็นผลกลมอย่างชัดเจน เมล็ดเล็กลีบ เนื้อรสชาติหวานหอมมันรับประทานอร่อยมากตามที่กล่าวข้างต้น ขยายพันธุ์ด้วยระบบเสียบยอด
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ - อังคารที่๓๐/๔/๕๖


http://www.nanagarden.com/Picture/Product/400/120277.jpg
"เกษตรน่ารู้" สารพัดสารพันเรื่องพันธุ์ไม้

     "ทุเรียนย่ำมะหวาด" เนื้อมันอร่อย
ตามบันทึกพรรณไม้ระบุว่าทุเรียนชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดที่ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี โดยมีมือเกษตรกรในท้องถิ่นนำเอาเมล็ดของทุเรียนลวง หรือทุเรียนอีลวง ไปเพาะขยายพันธุ์ปลูกเลี้ยงจนต้นโตและติดผล ปรากฏว่า มีลักษณะของเนื้อผลแตกต่างจากทุเรียนลวง หรือทุเรียนอีลวงอย่างชัดเจน คือ เนื้อสุกเป็นสีเหลืองนวล มีเนื้อเนียนละเอียดแน่นเต็มพู มีกลิ่นอ่อนๆ ไม่แรงเหมือนกลิ่นทุเรียนทั่วไป ติดผลดกคล้ายๆทุเรียนก้านยาว

เนื้อสุก รสชาติจะออกมันนำหน้าและปนรสหวานรับประทานอร่อยมาก เมล็ดไม่ใหญ่โตนัก เชื่อว่าเป็นทุเรียนกลายพันธุ์แบบถาวรที่เกิดจากการเพาะเมล็ดของทุเรียนลวง หรือทุเรียนอีลวงดังกล่าวอย่างแน่นอน ส่วนชื่อ “ทุเรียนย่ำมะหวาด” ไม่ทราบความเป็นมาอย่างไร ปัจจุบันพบว่ามีผู้ขยายพันธุ์ออกวางขาย จึงรีบแนะนำในคอลัมน์ตามระเบียบ

ทุเรียนย่ำมะหวาด หรือ ทุเรียนย่ามแม่หวาด (YAMMAEWAT) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า DURIO ZIBETHINUS MURRAY มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เป็นไม้ต้น สูง ๘-๑๐ เมตร ซึ่งโดยปกติของสายพันธุ์จะให้ผลผลิตหลังปลูกอายุได้ ๑๕ ปี แต่ผู้ขายกิ่งตอนบอกว่า เป็นกิ่งที่ขยายพันธุ์ด้วยวิธีทาบกิ่ง จึงจะให้ผลผลิตเร็วขึ้นกว่าปกติเพียง ๕ ปีเท่านั้น ติดผลดกปีละครั้งตามฤดูกาล รูปทรงของผลสวยงาม หนามรอบผลสั้นและถี่ เปลือกผลค่อนข้างบาง เนื้อสุกออกรสชาติมันนำหวานตามที่กล่าวข้างต้น และมีกลิ่นอ่อนๆ รับประทานอร่อยมาก ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง และทาบกิ่ง

ปัจจุบัน “ทุเรียนย่ำมะหวาด” หรือ ทุเรียนย่ามแม่หวาด มีกิ่งตอนขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ ๒๑  ราคาสอบถามกันเอง เหมาะจะปลูก เพื่อเก็บผลรับประทานในครัวเรือน หรือ ปลูกเพื่อเก็บผลขาย ซึ่งปัจจุบันความต้องการรับประทานกำลังมาแรงและได้ราคาดีมาก.
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ - พุธที่ ๒๗/๓/๕๖


http://www.nanagarden.com/Picture/Product/400/181139.jpg
"เกษตรน่ารู้" สารพัดสารพันเรื่องพันธุ์ไม้

     "ทุเรียนทองกมล" เนื้อหวานหอมอร่อย
ทุเรียนชนิดนี้ เป็นสายพันธุ์ใหม่ เกิดจากการเอาเมล็ดของทุเรียนก้านยาวจำนวนหลายเมล็ดไปเพาะขยายพันธุ์จนแตกต้นขึ้นมานำไปปลูกลงสวนจนมีอายุ ออกดอก และติดผล ปรากฏว่าจากจำนวนทั้งหมด มีอยู่หนึ่งต้น เมื่อผลสุกแล้วมีเนื้อดีมาก ทรงผลสวย หนามที่ผลห่างและขั้วสั้นกว่าทุเรียนก้านยาวพันธุ์แม่

ที่สำคัญ มีพูใหญ่ เปลือกบาง เนื้อหนาละเอียด เนื้อเป็นสีทอง มีรสชาติหวานมันหอมเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว รับประทานอร่อยมาก เมื่อเทียบเคียงกับเนื้อทุเรียนก้านยาวทั่วไป และเนื้อทุเรียนที่เพาะเมล็ดรุ่นเดียวกันมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน เจ้าของผู้เพาะขยายพันธุ์ เชื่อว่าเป็นทุเรียนกลายพันธุ์ หรือเป็นสายพันธุ์ใหม่อย่างแน่นอน จึงนำไปจดทะเบียนในชื่อว่า “ทุเรียนทองกมล” ตามสีของเนื้อสุกที่เป็นสีเหลืองทองตามภาพประกอบคอลัมน์ดังกล่าว

ปัจจุบัน “ทุเรียนทองกมล” ต้นแม่มีเพียงต้นเดียวเท่านั้น เจ้าของเก็บผลสุกส่งเข้าประกวดครั้งแรกเมื่อไม่นานมานี้ที่ งานวันเกษตร และของดี อ.แกลง จ.ระยอง ปรากฏว่าได้รับรางวัลชนะเลิศ เนื้อรับประทานอร่อยมาก เนื้อหนาละเอียด เนื้อแห้งแม้สุกงอมก็ไม่เละ น้ำหนักของผลประมาณ ๒-๔ กิโลกรัม เจ้าของได้ตอนกิ่งขยายพันธุ์ออกวางขายกำลังเป็นที่ต้องการของเกษตรกรอย่างแพร่หลายอยู่ในเวลานี้ เนื่องจาก เป็นสายพันธุ์ที่สามารถมีดอกและติดผลได้ในเวลา ๔-๕ ปี โตเร็วและทนต่อการโค่นล้มได้ดี ที่สำคัญคือติดผลดกมาก
 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ - ศุกร์ที่ ๒๙/๖/๕๖


http://board.postjung.com/data/674/674838-img-1367403055-2.jpg
"เกษตรน่ารู้" สารพัดสารพันเรื่องพันธุ์ไม้


http://board.postjung.com/data/674/674838-img-1367403055-3.jpg
"เกษตรน่ารู้" สารพัดสารพันเรื่องพันธุ์ไม้

     "ทุเรียนสีแดง" (red durian)  จากป่าบอร์เนียว
เป็นทุเรียนพันธุ์พื้นเมืองของรัฐ Sabah ประเทศมาเลเซีย  รัฐนี้อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะบอเนียว กลิ่นไม่รุนแรงเหมือนทุเรียนทั่วไป



     "ทุเรียนหมอนทอง"  ชนะเลิศงานประจำปี รสชาติดี
คนทั่วไป จะรู้จัก “ทุเรียนหมอนทอง” เป็นอย่างดี และนิยมรับประทานกันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากมีเนื้อแกะเป็นพูวางขายตามฤดูกาลมากมาย รสชาติหวานหอมอร่อยยิ่งนักเป็นทุเรียนพันธุ์เศรษฐกิจสร้างรายได้ให้เกษตรกรที่ปลูกเก็บผลขายได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่ง “ทุเรียนหมอนทอง” มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่ที่ จ.นนทบุรี ต่อมาได้มีการขยายพันธุ์ไปปลูกหลายจังหวัดของประเทศไทย โดยเฉพาะที่ จ.ระยอง มีการจัดงานประกวดทุเรียนเป็นประจำทุกปี เรียกว่า งานวันเกษตรและของดีจังหวัดระยอง ปรากฏว่า “ทุเรียนหมอนทอง” สายพันธุ์ที่ปลูกในพื้นที่ จ.ระยอง สามารถคว้ารางวัลที่ ๑ ได้ถึง ๓ ปีซ้อน

โดยมีลักษณะเฉพาะสายพันธุ์คือ รูปทรงของผลสวย พูเนื้อขนาดใหญ่ เปลือกผลค่อนข้างบาง เมล็ดลีบเหมือนกับ “ทุเรียนหมอนทอง” สายพันธุ์ทั่วไปและจะมีเมล็ดลีบทุกผลทุกพู ให้เนื้อเยอะตามธรรมชาติของสายพันธุ์ เนื้อหนาแน่นและละเอียดเนียน แม้สุกงอมเนื้อจะไม่เละ เป็นสีเหลืองเข้ม รสชาติหวานอร่อยมาก

ที่สำคัญ “ทุเรียนหมอนทอง” สายพันธุ์ที่ได้รับรางวัลที่ ๑ ในงานประกวดดังกล่าวยังเป็นสายพันธุ์ที่ให้ผลผลิตดกมากในแต่ละต้น มีผลเร็วหลังปลูกเพียง ๔ ปี เท่านั้น ซึ่งปกติ ๖-๗ ปี จึงจะมีผลชุดแรก ทั้งนี้เนื่องจากปลูกด้วยกิ่งพันธุ์ที่ขยายพันธุ์ด้วยระบบเสียบยอด จึงทำให้ต้นเติบโตเร็ว ลำต้นแข็งแรง ให้ผลผลิตเร็วขึ้นตามที่กล่าวข้างต้น น้ำหนักผล ๒-๕ กิโลกรัมต่อผล อายุเก็บเกี่ยวผลที่แก่จัดประมาณ ๑๒๕-๑๓๐ วัน ปัจจุบัน “ทุเรียนหมอนทอง” เป็นสินค้าส่งออกไปขายที่ประเทศจีนหลายมณฑล สามารถสร้างรายได้ให้ชาวสวนไทยเป็นกอบเป็นกำ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ - วันพุธที่ ๑๓/๑๑/๕๖


http://www.matichon.co.th/online/2011/06/13083197201308319793l.jpg
"เกษตรน่ารู้" สารพัดสารพันเรื่องพันธุ์ไม้

     "ทุเรียนทองกมล"  เนื้ออร่อยกับที่มาของพันธุ์
ทุเรียนชนิดนี้ เป็นพันธุ์ที่เกิดจากการนำเอาเมล็ดของ ทุเรียนพันธุ์ก้านยาว จำนวนหลายเมล็ดไปเพาะขยายพันธุ์จนแตกเป็นต้นกล้าขึ้นมาแล้วนำไปปลูกเลี้ยงจนต้นเติบโตมีดอกและติดผลตามฤดูกาล ปรากฏว่า มีอยู่ต้นหนึ่งมีผลรูปทรงสวยกว่าทุเรียนพันธุ์ก้านยาวอย่างชัดเจน ลักษณะหนามผลผ่างและขั้วผลสั้น เปลือกบาง เนื้อในผลหนาละเอียด เมื่อสุกเป็นสีเหลืองทองพูมีขนาดใหญ่ รสชาติหวานมันและมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว เนื้อแห้งไม่เละ รับประทาน อร่อยมาก

น้ำหนักผล เฉลี่ยระหว่าง ๒-๔ กิโลกรัมต่อผล เจ้าของผู้ขยายพันธุ์ได้ขยายพันธุ์ด้วยวิธีตอนกิ่งนำไปปลูกทดสอบพันธุ์อยู่เป็นเวลานานหลายปีจนมั่นใจว่าเป็นทุเรียนพันธุ์ใหม่อย่างถาวรแล้ว จึงตั้งชื่อ ตามลักษณะสีของเนื้อสุกว่า “ทุเรียนทองกมล” พร้อมปลูกเก็บผลแกะเนื้อขายได้รับความนิยมจากผู้ซื้อไปรับประทานอย่างแพร่หลาย และได้ขยายพันธุ์ตอนกิ่งออกวางขายให้ผู้สนใจซื้อไปปลูกด้วย

นอกจากนั้น “ทุเรียนทองกมล” ยังเคยได้รับรางวัลชนะเลิศในการประกวดงานวันเกษตรและของดี  อำเภอแกลง  จ.ระยอง  เมื่อวันที่  ๒๓ พฤษภาคม ปี ๒๕๕๖ เป็นประกาศนียบัตรความอร่อยมาแล้ว จึงถือว่าเป็นสุดยอดของทุเรียนพันธุ์ใหม่ในเวลานี้

ปัจจุบันใครต้องการกิ่งตอนรุ่นใหม่ของ “ทุเรียนทองกมล” ไปปลูกติดต่อ  ๓๓/๔ หมู่ ๗ ต.ห้วยใหญ่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ส่วนใหญ่จะเป็นกิ่งพันธุ์ที่ขยายพันธุ์ด้วยวิธีเสียบยอด มีรากแก้วแข็งแรงดีทุกกิ่ง จึงนำไปปลูกทำให้เจริญเติบโตได้เร็ว มีความทนทานต่อการโค่นล้มได้ หลังปลูกเพียง ๔-๕ ปี จะติดผลชุดแรก ซึ่งปกติของต้นทุเรียนที่ปลูกโดยทั่วไปจะติดผลหลังปลูกใช้เวลานานถึง ๘-๑๐ ปี ราคาสอบถามกันเองครับ.
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ - พฤหัสบดีที่ ๒๐/๓/๕๗



     "ทุเรียนก้านยาวทรงหวด"  ดกอร่อยกับที่มาของพันธุ์
ทุเรียนก้านยาว มีหลายสายพันธุ์ แต่ที่ได้รับความนิยมปลูกและนิยมรับประทานอย่างแพร่หลายได้แก่ “ทุเรียนก้านยาวทรงหวด” เนื่องจากมีความโดดเด่นเฉพาะตัวแตกต่างจากทุเรียนก้านยาวพันธุ์อื่นคือ ทรงผลมีลักษณะคล้ายหวดนึ่งข้าวเหนียว  จึงถูกตั้งชื่อว่า “ทุเรียนก้านยาวทรงหวด” ขนาดผลใหญ่ ลักษณะหนามแหลมคมมองเห็นร่องพูได้ชัดเจน เปลือกผลบางไส้แกนไม่หนาเหมือนทุเรียนชนิดอื่น และติดผลดกอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ เนื้อในสุกเป็นสีเหลืองเข้ม เนื้อละเอียดไม่เป็นเส้นใย รสชาติหวานมันหอมรับประทานอร่อยเป็นที่ถูกปากถูกใจของผู้รับประทานทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ทุเรียนก้านยาวทรงหวด หรือ DURIO ZIBETHINUS  MURRAY เกิดจากการเอาเมล็ดของทุเรียนทองสุก ซึ่งเป็นหนึ่งในสายพันธุ์ทุเรียนก้านยาว ไปเพาะเป็นต้นกล้าแล้วปลูกเลี้ยงจนต้นโตมีดอกและติดผล ปรากฏว่าผลมีรูปทรงแปลกกว่าพันธุ์ทองสุกอย่างชัดเจน เนื้อมีรสชาติหวานมันหอมอร่อยตามที่กล่าวข้างต้น ปัจจุบัน “ทุเรียนก้านยาวทรงหวด” มีเหลือปลูกในพื้นที่ ต.บางรักน้อย จ.นนทบุรี เพียง ๓ สวน ในเนื้อที่ประมาณ ๓๐ ไร่เศษเท่านั้น จึงเป็นสาเหตุทำให้ “ทุเรียนก้านยาวทรงหวด” มีราคาสูง  เนื่องจากมีต้นไม่มากนั่นเอง เวลาถึงฤดูกาลติดผลจะมีคนไปจ่ายเงินจองไว้ก่อนตั้งแต่ผลยังไม่โตเลย จึงเป็นที่มาของอีกชื่อว่า “ราชาแห่งทุเรียน

ใครต้องการกิ่งตอนของ “ทุเรียนก้านยาวทรงหวด” หรือ “ราชาแห่งทุเรียน” ติดต่อ “สวนอภิริญญา” หรือ ชมรมอนุรักษ์พันธุ์ทุเรียนนนท์ ศูนย์ไม้ดอกไม้ประดับซอยช้าง โทร.๐๘-๙๖๙๕-๐๐๓๗ ราคาสอบถามกันเอง เหมาะจะปลูกทั้งเพื่อรับประทานผลในครัวเรือน หรือปลูกเพื่อเชิงธุรกิจเก็บผลขายสุดคุ้มราคาดีครับ..
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ - พุธที่ ๒/๔/๕๗


     "ทุเรียนกำปั่นขาว"  หวานมันอร่อย
ผู้อ่านจำนวนมากอยากทราบว่า “ทุเรียนกำปั่นขาว” เป็นอย่างไร ซึ่งความจริงแล้วทุเรียนชนิดนี้เป็นหนึ่งในจำนวน ๑๓ ชนิดของทุเรียนในสกุลกำปั่น และที่รู้จักนิยมรับประทานกันแพร่หลาย ได้แก่ ทุเรียนหมอนทอง อยู่ในสกุลเดียวกันด้วย โดย “ทุเรียนกำปั่นขาว” มีชื่อเรียกอีกคือ ทุเรียนกำปั่นเดิม มีแหล่งที่พบคือ จ.นนทบุรี และ จ.ระยอง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า DURIO ZIBETHINUS MURRAY  มีลักษณะเด่นคือ เนื้อของ  “ทุเรียนกำปั่นขาว” จะเป็นสีขาวนวล ไม่เป็นสีเหลืองเหมือนเนื้อทุเรียนทั่วไป รสชาติหวานจัดปนมันและให้เนื้อเยอะ เมล็ดเล็กลีบ ถ้าสุกจัดเนื้อมักจะเละ จึงต้องรับประทานขณะที่ผลเริ่มแก่จะอร่อยมาก หากเป็นผลสุกหล่นจากต้นเองโดยธรรมชาตินำ เอาเนื้อไปทำทุเรียนกวนจะได้ปริมาณเยอะและมีความอร่อยกว่าเนื้อทุเรียนกวนจากสายพันธุ์อื่นอย่างชัดเจน

ทุเรียนกำปั่นขาว มีลักษณะประจำพันธุ์คือ ลำต้นตั้งตรง อวบอ้วน แตกกิ่งก้านเป็นทรงกรวยคว่ำ ใบจะมีขนาดเล็กและสั้นกว่าใบทุเรียนสายพันธุ์ทั่วไป ปลายใบแหลมกว่าด้วย

ดอก ขณะยังตูมจะดูคล้ายดอกบัว สีเขียวอ่อน “ผล” รูปกลมรีหรือค่อนข้างยาว ผลจะมีขนาดใหญ่ ผิวผลเป็นสีน้ำตาลอมเขียว เนื้อในผลสุกเป็นสีขาวนวล จึงถูกตั้งชื่อตามลักษณะสีของเนื้อว่า “ทุเรียนกำปั่นขาว” ผลแก่เริ่มจะสุกเนื้อผลจะมีรสชาติดีที่สุด ซึ่งจะเป็นรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของทุเรียนในสกุลกำปั่นทุกชนิด เหมือนกับเนื้อสุกของทุเรียนหมอนทองทุกอย่าง จะมีความแตกต่างกันเพียงสีของ “ทุเรียนกำปั่นขาว” จะเป็นสีขาวนวลเท่านั้น เมล็ดเล็กลีบตามที่กล่าวข้างต้น ซึ่ง “ทุเรียนกำปั่นขาว” จัดเป็นสายพันธุ์ที่ปลูกง่ายโตเร็วให้ผลผลิตดี

ปัจจุบัน “ทุเรียนกำปั่นขาว” มีกิ่งตอนขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ ๒๑  ราคาสอบถามกันเอง  ส่วน ผลและเนื้อของ “ทุเรียนกำปั่นขาว” มีขายเฉพาะตามตลาดผลไม้ไม่กี่แห่งใน กทม.เท่านั้นครับ.
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ - พุธที่ ๓๑/๗/๕๖



     "ทุเรียนหลง-หลินลับแล"  เนื้ออร่อยราคาดี
ทุเรียนทั้ง ๒ ชนิด เป็นพันธุ์พื้นเมืองของ อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์ ที่เปรียบเสมือนทุเรียนพี่และทุเรียนน้อง โดย “ทุเรียนหลงลับแล” เกิด จากการที่ นายหลง อุประ บ้านอยู่เลขที่ ๑๒๖ หมู่ ๑ บ้านนาปอย ต.หัวดง อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์ นำเอาเมล็ดทุเรียนไม่ทราบพันธุ์ไปปลูกจนต้นโตติดผลดกเต็มต้น รูปทรงของผลสวย ผลโตเต็มที่น้ำหนักประมาณ ๓.๕ กิโลกรัม เนื้อสุกเต็มพู เมล็ดเล็กลีบ เนื้อเป็นสีเหลืองเข้ม ไม่เละแต่เหนียว รสหวานหอมมันอร่อยมาก เมื่อนำออกจำหน่ายได้รับความนิยมจากผู้ซื้ออย่างกว้างขวาง โดยมีราคาระหว่างกิโลกรัมละ ๓๐๐-๓๘๐ บาท เมื่อส่งเข้าประกวด ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมทุเรียนเพาะเมล็ด ของ จ.อุตรดิตถ์ ปี ๒๕๒๐ และจดทะเบียนรับรองพันธุ์วันที่ ๒๐ ก.ย. ปี ๒๕๒๑ ในชื่อ “ทุเรียนหลงลับแล”
 
ส่วน “ทุเรียนหลินลับแล” มีจุดเริ่มจาก นายหลิน บันลาด นำเอาเมล็ดทุเรียนไม่ทราบพันธุ์ไปปลูกจนต้นโตติดผลดกเหมือนกับ “ทุเรียนหลงลับแล” แต่รูปทรงของผลจะแตกต่างกันอย่างชัดเจน ผลโตเต็มที่มีน้ำหนักเฉลี่ยใกล้เคียงกันระหว่าง ๓.๕ กิโลกรัมต่อผล เนื้อในสุกจะเต็มพู เมล็ดเล็กลีบเช่นกัน รสหวานมันหอม รับประทานอร่อยมาก นายหลิน บันลาด ได้ ตั้งชื่อว่า “ทุเรียนหลินลับแล” เป็นการ นำเอาชื่อตัวเองกับชื่ออำเภอรวมกัน ได้รับความนิยมจากผู้ซื้อไปรับประทานอย่างแพร่หลายไม่แพ้ “ทุเรียนหลงลับแล” ราคาอยู่ในระดับเดียวกัน ปัจจุบันทุเรียนทั้ง ๒ ชนิด มีการปลูกเป็นการพาณิชย์เพื่อเก็บผลส่งต่างประเทศ เช่น จีน ฮ่องกง ไต้หวัน ประเทศ ในแถบยุโรป และ อเมริกา ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคอย่างมาก.
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ - อังคารที่ ๒๗/๕/๕๗


     "ทุเรียนสาลิกา"  เนื้ออร่อยของดีพังงา
ทุเรียนชนิดนี้ มีถิ่นปลูกที่ ตำบลท่านา อำเภอกะปง จังหวัดพังงา โดยในปัจจุบันต้นแม่พันธุ์เดิมยังยืนต้นตระหง่านอยู่ มีขนาดของโคนต้นใหญ่ถึง ๓ คนโอบ มีอายุมากกว่า ๑๐๐ ปี และมีการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี ซึ่ง “ทุเรียนสาลิกา” มีลักษณะเด่นประจำพันธุ์คือ รูปทรงผลจะกลมสวยงามมาก น้ำหนักผลไม่มากจนเกินไป ผลเมื่อโตเต็มที่มีน้ำหนักเฉลี่ยระหว่าง ๑.๕-๒ กิโลกรัมเท่านั้น พูใหญ่ เนื้อเต็มพูเปลือกผลบาง เมื่อสุกเนื้อเป็นสีเหลืองเข้ม รสชาติหวานแหลมเหนียวละเอียดไม่เละ มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว รับประทานอร่อยมาก
 
ส่วนที่มาของชื่อ เล่ากันว่าความอร่อยของเนื้อสุกเปรียบเหมือนความสวยงามของนกสาลิกาที่ร้องเสียงไพเราะ คนในยุคสมัยก่อนจึงตั้งชื่อว่า “ทุเรียนสาลิกา” และเรียกขานกันเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน
 
ทุเรียนสาลิกา มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับทุเรียนทั่วไป แต่ขนาดของผลจะไม่ใหญ่โตและทรงผลกลมสวยน่าชมยิ่ง เมล็ดเล็กลีบ เนื้อหนาแน่นหวานมันหอมอร่อยตามที่กล่าวข้างต้น คนที่ได้ทดลองรับประทานเนื้อของ “ทุเรียนสาลิกา” แล้วจะยอมรับและพูดตรงกันว่ารสชาติเป็นหนึ่งเหนือกว่าเนื้อทุเรียนพันธุ์ชะนีและพันธุ์หมอนทองอย่างชัดเจน จึงเป็นของดีประจำจังหวัดพังงาและนิยมซื้อเป็นของฝากให้ผู้นับถือถูกใจผู้รับเป็นอย่างยิ่ง ซึ่ง “ทุเรียนสาลิกา” จัดเป็นพันธุ์เบา ติดผลดกมากและจะให้ผลผลิตหลังปลูกเพียง ๔-๕ ปีเท่านั้น เมื่อต้นอายุ ๑๐ ปีขึ้นไป จะให้ผลผลิต ๑๐๐-๒๐๐ ผลต่อต้นและต่อปี
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ - พุธที่ ๑๘/๖/๕๗


    ทุเรียนเม็ดในยายปราง
ทุเรียนเม็ดในยายปรางแรกทีเดียว ทุเรียนชนิดนี้ผู้ปลูกเป็นชายชื่อ นายนาก เอาเมล็ดทุเรียน พันธุ์กระดุม ไปเพาะเป็นต้นกล้า ปลูกจนต้นโตมีดอกและติดผล เรียกชื่อว่า ทุเรียนเม็ดในตานาก กับ ทุเรียนพานพระศรี ต่อมา นางปราง ฉิมพุก ได้นำไปปลูกที่หมู่ ๕ ต.บางกร่าง อ.เมือง จ.นนทบุรี โดยไม่รู้ว่าเป็นทุเรียนอะไร เมื่อนำผลไปวางขายที่ตลาดบางบัวทอง ผู้ซื้อไปรับประทานชื่นชอบมาก จึงเรียกว่า “ทุเรียนเม็ดในยายปราง” และมีผู้นำไปปลูกที่ อ.แกลง จ.ระยอง เก็บผลขายถูกใจผู้ซื้อไปรับประทานอย่างแพร่หลาย เพราะเนื้อสุกละเอียดไม่เละ เมล็ดลีบ หรือเรียกว่าเมล็ดตาย เปลือกบาง รสชาติหวานมันพิเศษอร่อยมาก ราคาสวนกิโลกรัมละ ๑๒๐-๑๕๐ บาท ปัจจุบันส่งไปขายที่ประเทศแคนาดา จีน และไต้หวัน ได้รับความนิยมระดับต้นๆ เลยทีเดียว

ทุเรียนเม็ดในยายปราง หรือ DURIO ZIBTHINUS MURRAY เป็นพันธุ์เบาติดผลง่าย พุ่มเล็ก “ผล” กลมขนาดเล็ก ทรงผลมักบิดงอปลายผลป้าน หนามสั้นเล็กแหลม เปลือกผลบาง เมล็ดลีบ เนื้อสุกเป็นสีเหลืองเข้ม หนาละเอียด รสหวานมันอร่อย ตามที่กล่าวข้างต้น ผลโตเต็มที่น้ำหนักระหว่าง ๑-๒ กิโลกรัม เป็นทุเรียนผลเล็ก แต่รสชาติยิ่งใหญ่ พอดีกินสำหรับ ๑-๒ คนต่อผล จึงได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติในเวลานี้ ติดผลดกปีละครั้งตามฤดูกาล ขยายพันธุ์ทั่วไปด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง
  นสพ.ไทยรัฐ ๒๗/๑๑/๕๗


    ทุเรียนสาลิกา
ทุเรียนชนิดนี้ มีแหล่งปลูกหรือถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในพื้นที่ ต.ท่านา อ.กะปง จ.พังงา ในปัจจุบันต้นแม่ของ “ทุเรียนสาลิกา” ยังยืนต้นอยู่ มีอายุมากกว่า ๑๐๐ ปี และยังคงให้ผลผลิตติดผลดกเป็นปกติ โคนต้นมีขนาดใหญ่ถึงขนาด ๓ คนโอบ มีการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี โดย “ทุเรียนสาลิกา” มีลักษณะเด่นประจำพันธุ์คือ ทรงผลกลมสวย ผลโตเต็มที่มี น้ำหนักเฉลี่ยประมาณ ๑.๕-๒ กิโลกรัม ต่อผลเท่านั้น พูใหญ่เนื้อเต็มพู เปลือกผลบาง เนื้อสุกเป็นสีเหลืองเข้ม เมล็ดเล็กและลีบ รสชาติหวานแหลม เนื้อละเอียด ไม่เละ มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว รับประทานอร่อยมาก คนในท้องถิ่นในยุคนั้น นิยมเปรียบความอร่อยของ “ทุเรียนสาลิกา” เหมือนกับนกสาลิกาที่มีเสียงไพเราะ จึงตั้งชื่อว่า “ทุเรียนสาลิกา” และเรียกขานกันเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบันดังกล่าว

ทุเรียนสาลิกา มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับทุเรียนทั่วไป แต่ขนาดของผลจะไม่ใหญ่โตนัก รูปทรงของผลสวย เนื้อหนาแน่น รสชาติหวานมันรับประทานอร่อยตามที่กล่าวข้างต้น คนที่ได้ลิ้มรสเนื้อ “ทุเรียนสาลิกา” ต่างพากันลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า รสชาติของ “ทุเรียนสาลิกา” ดีและอร่อยเหนือกว่าทุเรียนพันธุ์ใดๆ จึงถือว่าเป็นของดีประจำจังหวัดพังงา นิยมซื้อเป็นของฝากให้ผู้นับถือ ถูกอกถูกใจทั้งผู้ให้และผู้รับ และ “ทุเรียนสาลิกา” จัดเป็นทุเรียนพันธุ์เบา ติดผลดกมาก จะติดผลหลังปลูก ๔-๕ ปี จากนั้นเมื่อต้นมีอายุ ๑๐ ปีขึ้นไปจะให้ผลผลิต ๑๐๐-๒๐๐ ผล ต่อต้นและต่อปี ขยายพันธุ์ทั่วไปด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง
 นสพ.ไทยรัฐ



     ทุเรียนนกหยิบ  อร่อยราคาดี
ทุเรียนชนิดนี้ เป็นสายพันธุ์พื้นเมืองดั้งเดิมของ จังหวัดนนทบุรี ต่อมามีผู้นำเอาพันธุ์ไปปลูกเพื่อเก็บผลขายในพื้นที่ จ.ตราด จ.ระยอง และ จ.จันทบุรี ได้รับความนิยมจากผู้ซื้อไปรับประทานอย่างแพร่หลาย เนื่องจากมีรสชาติความอร่อย ใกล้เคียงกับทุเรียนหมอนทองมาก แต่จะมีความหวานมันจัดกว่า เนื้อค่อนข้างละเอียด เป็นสีเหลืองเข้ม เมล็ดลีบ ทรงผลเหมือนกับผลของทุเรียนหมอนทอง แต่หนามจะละเอียดและถี่คล้ายผลทุเรียนพันธุ์พวงมณี จนทำให้พูดกันว่า “ทุเรียนนกหยิบ” เป็นลูกผสมระหว่างทุเรียนหมอนทองกับทุเรียนพวงมณี

ทุเรียนนกหยิบ หรือ NOKYIP–DURIO ZIBETHINUS MURRAY มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์ เป็นไม้ยืนต้น สูง ๑๕-๒๐ เมตร แตกกิ่งก้านสาขาเป็นพุ่มใหญ่ ใบเป็นรูปรีป้อม ปลายแหลม โคนมนหรือเกือบมน ดอกและ “ผล” ออกปีละครั้งตามฤดูกาล โดยผลจะออกตามกิ่งก้าน รูปทรงของผลจะเหมือนกับผลของทุเรียนหมอนทอง จะแตกต่างกันที่หนามรอบผลตามที่กล่าวข้างต้น ผลเมื่อโตเต็มที่มีนํ้าหนักประมาณ ๓-๔ กิโลกรัม ต่อผล

เนื้อผลสุก เป็นสีเหลืองเข้ม มีกลิ่นหอม ไม่เละหรือแฉะ รสชาติจะหวานมันตั้งแต่ขณะผลยังห่ามอยู่ จะมีความหวานมันจัดเมื่อผลสุกเต็มที่ รับประทานอร่อยมาก และที่เป็นจุดเด่นของ “ทุเรียนนกหยิบ” อีกอย่างคือ รสชาติความหวานมันจะคงที่ไม่เปลี่ยนแปลงอย่างเด็ดขาด ปัจจุบันจึงเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างกว้างขวางและมีราคาดีมาก ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง
 นสพ.ไทยรัฐ


fu.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01 มิถุนายน 2559 16:41:44 โดย กิมเล้ง » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5462


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 9.0 MS Internet Explorer 9.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #9 เมื่อ: 28 มิถุนายน 2556 09:47:32 »

.

    ทุเรียนนกกระจิบ  หวานแหลมราคาดี
ทุเรียนนกกระจิบ เป็นคนละพันธุ์กับทุเรียนนกหยิบ โดย “ทุเรียนนกกระจิบ” เป็นทุเรียนพันธุ์ดั้งเดิมของ จ.นนทบุรี จากนั้นได้กระจายปลูกไปทั่วทุกภาคของประเทศไทย สามารถเจริญเติบโตมีดอกและติดผลได้ดีเหมือนกับปลูกที่ จ.นนทบุรี ทุกอย่าง มีลักษณะเด่นประจำพันธุ์ คือ รูปทรงของผลสวย เปลือกผลบาง ผลมีขนาดใหญ่แบบพอดีไม่หนักมากเกินไป พูระหว่างผลโต เมล็ดลีบและบางโดยธรรมชาติ เนื้อเยอะเต็มพู เป็นสีเหลืองเข้ม เนื้อละเอียดหวานแหลม มีกลิ่นหอมรับประทานอร่อยมาก น้ำหนักผลโตเต็มที่ ๑-๒ กิโลกรัมต่อผล เป็นทุเรียนสายพันธุ์เบา มีดอกและติดผลง่าย และผลแก่ให้ผู้ปลูกเก็บผลกินหรือเก็บผลขายได้ก่อนทุเรียนสายพันธุ์อื่นๆ ตลาดผลไม้ต้องการเยอะ ราคาดี โดยเฉพาะประเทศจีนนิยมอย่างกว้างขวาง

ทุเรียนนกกระจิบ มีชื่อวิทยาศาสตร์และมีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับทุเรียนทั่วไปทุกอย่าง มีข้อแตกต่างกับทุเรียนนกหยิบให้เป็นข้อสังเกตคือ ใบของ “ทุเรียนนกกระจิบ” จะเล็กกว่าใบของทุเรียนนกหยิบ เมล็ดของ “ทุเรียนนกกระจิบ” เล็กลีบและบาง ส่วนเมล็ดของทุเรียนนกหยิบจะใหญ่ทุกเมล็ด น้ำหนักผลต่างกันคือ “ทุเรียนนกกระจิบ” ผลโตเต็มที่จะมีน้ำหนัก ๑-๒ กิโลกรัมเท่านั้น แต่ผลของทุเรียนนกหยิบจะหนักถึง๒-๔ กิโลกรัม และสุดท้ายก้นผลของ “ทุเรียนนกกระจิบ” จะบุ๋มไม่เหมือนกับก้นผลของทุเรียนนกหยิบจะแหลมต่างกันอย่างชัดเจน สามารถแยกแยะตามที่กล่าวข้างต้นก่อนจะซื้อไปปลูกไม่ผิดพลาด
  นสพ.ไทยรัฐ



    ทุเรียนหมอนเขียว

ทุเรียนชนิดนี้ เป็นพันธุ์เก่าแก่ของจังหวัดนนทบุรี นิยมปลูกและนิยมรับประทานอย่างแพร่หลายมาแต่โบราณแล้ว จากนั้น “ทุเรียนหมอนเขียว” ได้หายไประยะหนึ่ง ซึ่งในปัจจุบันเพิ่งพบว่ามีผู้ขยายพันธุ์ตอนกิ่งออกวางขาย จึงรีบแนะนำให้ผู้อ่านไทยรัฐทราบอีกตามระเบียบ โดย “ทุเรียนหมอนเขียว” มีลักษณะประจำพันธุ์คือ ต้นจะทนทานต่อโรคได้ดี เจริญเติบโตเร็ว ให้ผลผลิตต่อต้นสูง ผลมีขนาดใหญ่และให้น้ำหนักดี เนื้อสุกเป็นสีเหลือง รสชาติหวานมันมีกลิ่นหอม เนื้อสุกไม่เละ ละเอียดไม่เป็นเส้นใย ขณะเนื้อยังห่ามจะมันหวานรับประทานอร่อยมาก เมล็ดลีบให้เนื้อเยอะเหมือนกับทุเรียนหมอนทอง และติดผลดกตามฤดูกาล
ที่สำคัญ “ทุเรียนหมอนเขียว” จะติดผลได้ก่อนทุเรียนพันธุ์อื่นๆ จึงทำให้สามารถเก็บผลรับประทานและเก็บผลขายได้ราคาดี เหมาะจะปลูกเป็นเชิงพาณิชย์ เก็บผลขายเป็นการค้า ซึ่งในปัจจุบัน “ทุเรียนหมอนเขียว” มีราคาระหว่างกิโลกรัมละ ๑๕๐-๒๐๐ บาท กำลังเป็นที่นิยมรับประทานอย่างกว้างขวางอยู่ในขณะนี้

ทุเรียนหมอนเขียว อยู่ในวงศ์ BOMBACACEAE เป็นไม้ยืนต้น สูง ๑๕-๒๐ เมตร ใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปรีแกมรูปขอบขนาน ปลายใบแหลม โคนมน เนื้อใบค่อนข้างหนา “ผล” ออกตามกิ่งก้าน รูปกลมรีคล้ายผลทุเรียนหมอนทอง ผลแบ่งเป็นพูชัดเจน มีหนามตลอดทั้งผล เมื่อผลสุกเปลือกผลจะยังคงเป็นสีเขียวดูคล้ายผลไม่สุก ผู้ปลูกจะต้องใช้วิธีนับวันตั้งแต่มีดอกจนติดเป็นผลโตประมาณ ๑๑๐ วัน จึงเก็บผลได้สุกพอดี เลยถูกเรียกชื่อว่า “ทุเรียนหมอนเขียว” ดังกล่าว เปลือกผลบาง เนื้อหวานมันหอมอร่อยตามที่กล่าวข้างต้น  ใครต้องการกิ่งตอนติดต่อ “สมาชิกชมรมอนุรักษ์ทุเรียนนนท์” หรือ “สวนอภิรัญญา” โทร.๐๘-๙๖๙๕-๐๐๓๗ ราคาสอบถามกันเองครับ.
  นสพ.ไทยรัฐ – พุธที่ ๖/๘/๕๗



     ทุเรียนแดงอินโด  เนื้อสีแปลก หวานหอมอร่อย
ทุเรียนชนิดนี้ มีถิ่นกำเนิดจากประเทศอินโดนีเซีย ถูกนำเข้ามาปลูกและขยายพันธุ์ในประเทศไทยนานหลายปีแล้ว โดยมีลักษณะเด่นประจำพันธุ์คือลำต้นใหญ่แข็งแรง ทนต่อโรคสูง ใบมีขนาดใหญ่กว่าใบของทุเรียนพันธุ์ไทยทั่วไป รูปทรงของผลสวย ไม่ใหญ่โตนัก มีน้ำหนักเมื่อผลโตเต็มที่เฉลี่ยระหว่าง ๒ กิโลกรัมต่อผลเท่านั้น ที่ถือว่าเป็นพิเศษได้แก่ เนื้อในสุกจะเป็นสีแดงเข้ม แตกต่างจากเนื้อทุเรียนของไทยที่พบเห็นจนชินตาเป็นสีเหลืองอย่างชัดเจน เนื้อสุกละเอียดเหนียว เมล็ดเล็ก รสชาติหวานหอมรับประทานอร่อยมาก ผู้นำเข้าจึงตั้งชื่อตามสีของเนื้อสุกและถิ่นกำเนิดเป็นภาษาไทยว่า “ทุเรียนแดงอินโดฯ” ดังกล่าว

ทุเรียนแดงอินโดฯ อยู่ในวงศ์ MALVACEAE มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับทุเรียนทั่วไปทุกอย่าง จะมีข้อแตกต่างที่ใบจะมีขนาดใหญ่กว่า และเนื้อในสุกเป็นสีแดงเท่านั้น ในประเทศอินโดนีเซียมีชื่อเรียกอีกว่า “ทุเรียนสีรุ้ง” มีหลายสายพันธุ์ มีแหล่งปลูกในหลายเมืองหรือหลายจังหวัดในประเทศอินโดนีเซีย เช่น พันธุ์เมร่อน จากบันยุวังกี, พันธุ์บูลันกัน จากกาลิมันตัน, พันธุ์วายุท, พันธุ์เซ็กซี่พิงค์ เป็นต้น แต่ละพันธุ์จะมีสีของเนื้อในไม่เหมือนกัน อย่างเปลือกผลสีเขียวเนื้อในเป็นสีแดง, เปลือกผลสีเหลืองเนื้อสีส้ม และเปลือกผลสีแดงเนื้อเป็นสีเหลืองก็มี เนื้อสุกรสชาติหวานหอมเหมือนกับทุเรียนไทยทุกอย่าง แต่มีบางพันธุ์มีกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นคาราเมลและกลิ่นอัลมอนด์คั่ว ชาวอินโดนีเซียนิยมรับประทานมาก ติดผลดก ๖๐๐ ผลต่อต้นตามฤดูกาลหรือติดผลได้ปีละ ๒ ครั้ง
 นสพ.ไทยรัฐ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01 มิถุนายน 2559 16:42:55 โดย กิมเล้ง » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5462


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 9.0 MS Internet Explorer 9.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #10 เมื่อ: 28 มิถุนายน 2556 16:57:22 »

.


     มะม่วงมีคุณทางยา  
มะม่วงเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ใบเดี่ยวสีเขียว ขอบใบเรียบ ฐานใบมน ปลายใบแหลม กลีบดอกมี ๕ กลีบ ดอกออกช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ ลูกดิบสีเขียว เมื่อสุกเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือเหลืองส้ม มีเมล็ดภายใน ๑ เมล็ด พันธุ์มะม่วงที่นิยมปลูก ได้แก่ มะม่วงแก้วศรีสะเกษ มะม่วงพันธุ์มรกต มะม่วงพันธุ์โชคอนันต์ มะม่วงพันธุ์น้ำดอกไม้ทะวาย พันธุ์ฟ้าลั่น พันธุ์หนองแซง พันธุ์เขียวเสวย เป็นต้น และมีพันธุ์ส่งเสริมแยกตามลักษณะการรับประทานดังนี้ พันธุ์รับประทานสุก ได้แก่ น้ำดอกไม้ อกร่อง ทองดำ พันธุ์รับประทานดิบ ได้แก่ ฟ้าลั่น เขียวเสวย และแรด พันธุ์แปรรูป ได้แก่ แก้วสามปีผลมะม่วงแก่ดิบจะให้พลังงานต่อร่างกาย ซึ่งประกอบด้วย เส้นใย แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก เบต้าแคโรทีน วิตามินบีหนึ่ง วิตามินบีสอง ไนอาซิน วิตามินซี เป็นต้น
 
สรรพคุณทางยา ผลสดแก่ รับประทานแก้คลื่นไส้อาเจียน วิงเวียน กระหายน้ำ ผลสุก หลังรับประทานแล้วล้างเมล็ดตากแห้ง ต้มเอาน้ำดื่ม หรือบดเป็นผง รับประทานแก้ท้องอืดแน่น ขับพยาธิ.
เดลินิวส์



     มะม่วงน้ำดอกไม้แดง ผลใหญ่สวยเนื้อหวานหอม
มะม่วงน้ำดอกไม้แดง มะม่วง ที่เป็นสายพันธุ์จาก ประเทศไต้หวัน ส่วนใหญ่จะมีเอกลักษณ์บ่งบอกถึงถิ่นกำเนิดอย่างชัดเจนคือ ผลจะมีขนาดใหญ่ สีผลเป็นสีแดงหรือสีม่วง ปัจจุบันมีผู้นำเข้ามาปลูกและขยายพันธุ์ในประเทศไทยหลายสายพันธุ์ แต่ละพันธุ์ยังมีการแยกเป็นเบอร์ได้อีกถึง ๖ เบอร์ ส่วนใหญ่จะแตกต่างกันที่รูปทรงของผลและขนาดของผลเท่านั้น รสชาติหวานหอมอร่อยเหมือนกัน

ซึ่ง “มะม่วงน้ำดอกไม้แดง” ที่เพิ่งมีกิ่งพันธุ์วางขาย ผู้ขายบอกว่า เป็นลูกผสมระหว่างมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองกับมะม่วงยู่เหวินเบอร์ ๖ จากประเทศไต้หวัน และเพาะเมล็ดเมื่อปี ๒๕๔๖ เมื่อติดผลปรากฏว่าทรงผลยาวรีคล้ายผลมะม่วงน้ำดอกไม้ แต่ผลมีขนาดใหญ่กว่าเยอะ ก้นผลไม่งอนเหมือนมะม่วงน้ำดอกไม้ สีของผลเป็นสีแดงเหมือนกับสีผลมะม่วงยู่เหวิน ผลมีขนาดใหญ่น้ำหนักเฉลี่ย ๐.๘-๑.๕ กิโลกรัมต่อผล ใกล้เคียงกับน้ำหนักผลมะม่วงน้ำดอกไม้มัน เปลือกผลขณะดิบเป็นสีม่วง เมื่อสุกจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม

เนื้อสุกเป็นสีเหลืองทอง มีเสี้ยนน้อยมาก ไม่มีกลิ่นเหม็นขี้ไต้ เมล็ดลีบ รสชาติหวานเข้มและหอมเทียบเคียงได้กับรสชาติมะม่วงน้ำดอกไม้ อร่อยเหมือนกับมะม่วงยู่เหวินเบอร์ ๖ ความหวานวัดได้ประมาณ ๑๘-๑๙ บริกซ์ ผลดิบเปรี้ยวจัด เมื่อผลแก่หรือห่ามความเปรี้ยวลดลงแต่ไม่มันเหมือนกับมะม่วงเขียวเสวย ผลสุกเก็บได้นานถึง ๑๒ วัน เนื้อไม่ช้ำหรือเละง่าย ขยายพันธุ์ด้วยการเสียบยอดกับตอมะม่วงพื้นเมือง ติดผลปีละ ๒ ครั้ง ถ้าปลูกลงดินจะติดผลในเวลา ๒-๓ ปี ต้นสูง ๓ เมตร แผ่กิ่งก้านกว้างออกทางด้านข้าง  ปัจจุบัน “มะม่วงน้ำดอกไม้แดง” มีขายที่สวนสุโขทัย โทร.๐๘–๙๗๙๐–๑๐๕๗  
ไทยรัฐ


     มะม่วงอกร่องทองอุไร หวานหอมอร่อย
มะม่วงชนิดนี้ เกิดจากการนำเอาเมล็ดของมะม่วงอกร่องพันธุ์ดั้งเดิมจำนวนหลายสิบเมล็ดไปเพาะจนแตกต้นใหม่ แล้วคัดเอาเฉพาะต้นที่สมบูรณ์ที่สุดไปปลูกเลี้ยงจนติดผล ปรากฏว่ามีอยู่ต้นหนึ่งทรงผลแตกต่างจากทรงผลของมะม่วงอกร่องพันธุ์ดั้งเดิมอย่างชัดเจน คือ ผลมีขนาดใหญ่และยาวดูคล้ายผลมะม่วงชื่อหนังกลางวัน แต่เมื่อนำผลสุกปอกเปลือกรับประทานเนื้อกลับมีรสชาติหวานหอมเป็นมะม่วงอกร่องทุกอย่าง จึงเชื่อว่าเป็นมะม่วงอกร่องกลายพันธุ์ และได้ตอนกิ่งขยายพันธุ์ไปทดลองปลูกอีกครั้ง ปรากฏว่ารูปทรงผลและรสชาติยังคงเดิม จึงมั่นใจว่ากลายพันธุ์แบบถาวรแล้วอย่างแน่นอน และได้ตั้งชื่อว่า “มะม่วงอกร่องทองอุไร” หรือ “มะม่วงอกร่องใหญ่” พร้อมตอนกิ่ง ออกวางขายได้รับความนิยมจากผู้ปลูกอย่างแพร่หลาย อยู่ในเวลานี้

มะม่วงอกร่องทองอุไร มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนมะม่วงทั่วไป คือ เป็นไม้ยืนต้นสูง ๑๐-๑๕ เมตร ใบเดี่ยวออกเรียงสลับหนาแน่นบริเวณ ปลายยอด ใบเป็นรูปรีแกมรูปขอบขนาน สีเขียวสด ใบดกและหนาแน่นมาก

ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอด แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยขนาดเล็กจำนวนมาก เป็นสีนวลมีกลิ่นหอม “ผล” รูปกลม ยาวคล้ายผลมะม่วงหนังกลางวันตามที่กล่าวข้างต้น เมล็ดลีบเนื้อเยอะ ผลโตเต็มที่น้ำหนักเฉลี่ยระหว่าง ๓ ผล ต่อ ๑ กิโลกรัม ผลดิบรสเปรี้ยวจัด เนื้อสุกเป็นสีเหลืองปนขาว เหมือนเนื้อมะม่วงอกร่องพันธุ์ดั้งเดิม แต่จะมีเสี้ยนน้อยกว่า หรือบางครั้งแทบไม่มีเสี้ยนเลย

รสชาติ หวานหอมเหมือนกับมะม่วงอกร่องทุกอย่าง ความหวานวัดได้ระหว่าง ๑๘-๑๙ องศาบริกซ์ เป็นมะม่วงปี หรือติดผลปีละครั้งตามฤดูกาล ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่งและเสียบยอด ที่สำคัญ ปอกเปลือกหั่นเนื้อกินไม่หมดเก็บใส่ตู้เย็นไว้ เนื้อไม่เป็นสีดำเหมือนมะม่วงชนิดอื่น มีกิ่งตอนขาย ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณ แผง “คุณภิญโญ” ตรงกันข้ามโครงการ ๙
ไทยรัฐ


http://2.bp.blogspot.com/_VDY48C5kp3g/TTu_znTuFuI/AAAAAAAAAjM/WcsEdPUI-sw/s320/IMG_1965.JPG
"เกษตรน่ารู้" สารพัดสารพันเรื่องพันธุ์ไม้

     มะม่วงอกร่องนวลจันทร์ คือ อกร่องพิกุลทอง
ผู้อ่านจำนวนมากสับสนว่ามะม่วงทั้งสองชนิดเป็นต้นเดียวกันหรือไม่ ก็ต้องขอยืนยันว่าเป็นต้นเดียวกัน ซึ่งในตอนแรกเรียกว่า “อกร่องนวลจันทร์” ต่อมามีชื่อเรียกเพิ่มเติมว่า อกร่องพิกุลทอง นิยมปลูกเพื่อเก็บผลรับประทานในครัวเรือนและปลูกเป็นเชิงพาณิชย์ส่งผลขายต่างประเทศมาช้านานแล้ว โดยมีความโดดเด่นคือ ผลใหญ่ยาวกว่าผลมะม่วงอกร่องทั่วไป ติดผลดก มีผลตลอดปี เมื่อผลแก่จัดหรือสุกผิวผลจะเป็นสีเหลืองอมส้มคล้ายสีของผลมะม่วงมหาชนก ดูสวยงามมาก หากใช้จมูกดมจะได้กลิ่นหอมเฉพาะตัว รู้ได้ทันทีว่าเป็นกลิ่นของมะม่วงอกร่อง เนื้อสุกไม่มีเสี้ยน หวานหอมรับประทานอร่อยมาก จึงถูกตั้งชื่อตามที่กล่าวข้างต้น
 
อกร่องนวลจันทร์” หรือ อกร่องพิกุลทอง มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เป็นไม้ยืนต้น สูง ๕-๑๐ เมตร ใบเดี่ยวออกเป็นคู่ๆ รูปรีแกมรูปขอบขนาน ขนาดใบจะใหญ่และยาวกว่าใบของอกร่องทั่วไป ปลายแหลม โคนมน ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอด มีกลิ่นหอม “ผล” รูปรียาวเหมือนมะม่วงอกร่องทั่วไป แต่จะมีขนาดใหญ่กว่าอย่างชัดเจน ติดผลเป็นพวง ๑๐-๑๕ ผลต่อพวง ผลอ่อนสีเขียว เมื่อสุกผิวผลเป็นสีเหลืองอมส้มทั้งผล เวลาติดผลดกเต็มต้นเป็นพวงห้อยลงจะดูสวยงามยิ่ง เนื้อในสุกเป็นสีเหลือง เนื้อแน่นไม่มีเสี้ยน เมล็ดลีบเล็ก รสชาติหวานหอม รับประทานอร่อยมาก ติดผลดกตลอดทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง และเสียบยอด
 
ปัจจุบัน “อกร่องนวลจันทร์” หรือ อกร่องพิกุลทอง มีกิ่งตอนขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ ๑๗ กับ แผงตรงกันข้ามโครงการ ๑๗ และ แผงตรงกันข้ามโครงการ ๑๕ ราคาสอบถามกันเอง ปลูกได้ในดินทั่วไป เหมาะจะปลูกเพื่อเก็บผลรับประทานในครัวเรือน หรือปลูกเพื่อเก็บผลขายได้แบบไม่ขาดระยะ ซึ่งปัจจุบัน “อกร่องนวลจันทร์” หรือ อกร่องพิกุลทอง ตลาดผลไม้ต่างประเทศต้องการมากและมีราคาแพงครับ.
 ไทยรัฐ  
 


     มะม่วงกะล่อนทอง หวานหอมน่าปลูก
มะม่วงกะล่อน ที่เป็นสายพันธุ์ดั้งเดิมนั้น ผลเมื่อสุกจะเป็นสีเขียวอ่อน ทรงผลจะกลมโตเต็มที่ประมาณลูกปิงปอง เปลือกผลค่อนข้างหนา ลักษณะพิเศษเป็นเอกลักษณ์ของมะม่วงกะล่อน คือเมล็ดจะมีขนาดใหญ่ เนื้อในมีไม่มากนัก แต่จะหวานหอมแรงมากเมื่อผลสุก ขนาดของต้นมะม่วงกะล่อนที่กล่าวถึงนี้จะสูงใหญ่มาก คือสูงได้ถึง ๔๐ เมตร เวลาติดผลจะดกเต็มต้น ติดผลเป็นพวงห้อยเป็นระย้าดูสวยงามมาก ติดผลปีละครั้ง มีชื่อเรียกทั่วไปว่า “มะม่วงกะล่อนเขียว” มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า MAGIFERA CALONEU-RA KURZ. อยู่ในวงศ์ ANACARDIACEAE จัดอยู่ในกลุ่มของมะม่วงป่าชนิดหนึ่ง พบขึ้นทุกภาคของประเทศไทย ซึ่งสมัยเป็นเด็กบ้านนอก จำได้ว่ามีต้นหนึ่งปลูกในวัดใกล้บ้าน ต้นสูงใหญ่มาก เวลาติดผลสุก พระในวัดอนุญาตให้ชาวบ้านไปเก็บผลรับประทานได้ รสชาติหวานหอมอร่อยมาก

ส่วน “มะม่วงกะล่อนทอง” ที่พบมีกิ่งตอนขาย ผู้ขายบอกว่า กลายพันธุ์มาจากการเพาะเมล็ดของมะม่วงกะล่อนสายพันธุ์ดั้งเดิมที่กล่าวข้างต้น มีความแตกต่างคือ เมื่อผลสุกสีของเปลือกผลจะเป็นสีเหลือง ไม่เป็นสีเขียวอ่อนตามภาพประกอบคอลัมน์ รูปทรงของผลกลมโตหวานหอมแรงและอร่อยเหมือนกันทุกอย่าง เมื่อตอนกิ่งไปปลูกทดสอบลักษณะพันธุ์อีกครั้ง ปรากฏว่า ผลสุกยังคงเป็นสีเหลืองเหมือนเดิม จึงเชื่อว่ากลายพันธุ์ถาวรแล้ว เลยขยายพันธุ์ตอนกิ่งออกวางขายดังกล่าว และที่สำคัญผู้ขายบอกว่า ต้นของ “มะม่วงกะล่อนทอง” จะไม่สูงใหญ่เท่ากับมะม่วงกะล่อนพันธุ์ดั้งเดิม หรือ “มะม่วงกะล่อนเขียว” คือสูงเต็มที่ไม่เกิน ๑๐-๑๕ เมตรเท่านั้น เป็นมะม่วงปีหรือติดผลปีละครั้งตามฤดูกาล กำลังเป็นที่นิยมปลูกอยู่ในเวลานี้

ปัจจุบัน “มะม่วงกะล่อนทอง” มีกิ่งตอนขาย ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ ๑๙ แผง “นายดาบสมพร”
 ไทยรัฐ



     มะม่วงยายกล่ำ กับแหล่งกำเนิดและอร่อย

จังหวัดนนทบุรี เป็นแหล่งปลูกผลไม้หลากหลายชนิด ซึ่งถือเป็นแหล่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย และที่คนทั่วไปรู้จักจนเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดนนทบุรีคือ ทุเรียน ชื่อดังหลายสายพันธุ์ แต่อย่างไรก็ตามมะม่วงก็เป็นไม้ผลอีกอย่างหนึ่งที่เกษตรกรในจังหวัดนนทบุรีนิยมปลูกควบคู่กับทุเรียนมาแต่โบราณแล้ว และ “มะม่วงยายกล่ำ” เป็นสายพันธุ์หนึ่งจัดอยู่ในระดับแถวหน้าได้รับความนิยมปลูกนิยมรับประทานอย่างกว้างขวางเฉพาะถิ่นอย่างแพร่หลายมาช้านานแล้ว เนื่องจากเป็นมะม่วงกินสุกที่มีรสหวานหอมอร่อยมาก ในยุคนั้นนิยมนำผลสุกเป็นของฝากสำหรับเพื่อนฝูงต่างถิ่น เป็นที่ชื่นชอบของผู้รับยิ่งนัก ปัจจุบันนานๆครั้งจึงจะมีผลขายและถูกผู้ซื้อเหมาเรียบในเวลาไม่นานนัก

มะม่วงยายกล่ำ เป็นไม้ยืนต้น สูง ๘-๑๐ เมตร ทรงพุ่มปานกลาง ใบออกเรียงสลับหนาแน่นที่ปลายยอด ใบรูปเรียวแหลมและมีขนาดใบเล็กยาว สีเขียวสด

ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอด แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยขนาดเล็กจำนวนมาก ดอกเป็นสีนวล มีกลิ่นหอม “ผล” รูปกลมป้อมคล้ายผลมะม่วงแก้ว แต่จะอวบอ้วน สั้น และมีโหนกที่สูงกว่าอย่างชัดเจน ผลเมื่อโตเต็มที่ระหว่าง ๔ ผลต่อ ๑ กิโลกรัม ผลดิบสีเขียว รสเปรี้ยว ผลสุกเป็นสีเหลือง เมล็ดเล็ก เนื้อสุกเป็นสีเหลืองอมส้ม รสชาติหวาน ๑๘ องศาบริกซ์ เนื้อไม่เละมีเสี้ยนน้อย รับประทานกับข้าวเหนียวมูน หรือ ข้าวเหนียวนึ่งสุกใหม่ๆ ร้อนๆ อร่อยมาก ติดผลดกปีละครั้งตามฤดูกาล ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง  ปัจจุบัน เพิ่งพบมีผู้นำกิ่งพันธุ์ออกวางขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณ แผง “คุณภิญโญ” ตรงกันข้ามโครงการ ๙
 ไทยรัฐ
 

http://f.ptcdn.info/255/001/000/1358259085-600-o.jpg
"เกษตรน่ารู้" สารพัดสารพันเรื่องพันธุ์ไม้

     มะม่วงพันธุ์เบา ดิบเปรี้ยว สุกแปรรูปอร่อย
มะม่วงชนิดนี้ เป็นสายพันธุ์พื้นเมือง ทางภาคใต้ นิยมปลูกและนิยมรับประทานมาแต่โบราณแล้ว โดยมีปลูกกันมากตั้งแต่ จ.นครศรีธรรมราช เรื่อยลงไปจนถึง จ.ยะลา และ จ.ปัตตานี มีลักษณะเป็นพิเศษคือ ผล ขณะยังดิบจะฉํ่านํ้า ให้นํ้าเยอะ รสชาติเปรี้ยวจัดมาก จึงถูกนำไปใช้ประกอบอาหารจำพวกยำชนิดต่างๆหลายอย่าง โดยปอกเปลือกออกแล้วสับเป็นฝอยขยำกับพล่าเนื้อ ไม่ต้องใช้นํ้ามะนาว รับประทานอร่อยมาก หรือสับเป็นฝอยผสมกับข้าวยำปักษ์ใต้ช่วยเพิ่มรสชาติได้เด็ดขาดนัก

ผลสุก รสหวานปนเปรี้ยว ส่วนใหญ่นิยมนำไปแปรรูปหลายอย่าง เช่น ทำมะม่วงกวน มะม่วงแผ่น ปั่นกับนํ้าแข็ง เติมเกลือป่นเล็กน้อย ใส่นํ้าเชื่อมพอประมาณ เป็นเครื่องดื่มได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะดื่มช่วงฤดูร้อนจะคลายร้อนได้ดีมาก ที่สำคัญ “มะม่วงพันธุ์เบา” ยังเป็นสายพันธุ์ที่ติดผลง่าย ติดผลดกเป็นพวงตลอดทั้งปี ลำต้นมีความแข็งแรงและทนทานต่อโรคแมลงต่างๆได้เป็นอย่างดี ทำให้เกษตรกรผู้ขยายพันธุ์มะม่วงขายนิยมนำเอากิ่งมะม่วงสายพันธุ์อื่นไปขยายพันธุ์ด้วยการเสียบยอดกับกิ่ง “มะม่วงพันธุ์เบา” อย่างกว้างขวาง

มะม่วงพันธุ์เบา มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับมะม่วงทั่วไป ผล มีลักษณะคล้ายกับผลมะม่วงกะล่อน หรือผลมะม่วงแอปเปิ้ล แต่ขนาดของผลจะใหญ่กว่าอย่างชัดเจน ผลเมื่อโตเต็มที่ประมาณผลส้มเขียวหวานทั่วไป เปลือกผลค่อนข้างหนา เวลาติดผลจะเป็นพวง แต่ละพวงไม่น้อยกว่า ๑๐-๒๐ ผล ตามภาพประกอบคอลัมน์ เมล็ดเล็ก เนื้อเยอะ ผลดิบรสเปรี้ยวจัดตามที่กล่าวข้างต้น ทำให้เวลาปอกเปลือกเพื่อสับเนื้อผลจะมีกลิ่นเปรี้ยวโชยเข้าจมูกแรงมากจนนํ้าลายสอได้ ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง ปัจจุบัน “มะม่วงพันธุ์เบา” มีกิ่งพันธุ์ขายที่ตลาดนัด ไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ ๑๙
 ไทยรัฐ



     มะม่วงน้ำตาลเตา สุดยอดหวานหอมอร่อย
มะม่วงชนิดนี้ มีประวัติความเป็นมาของต้นดั้งเดิมคือ นายเผื่อน พันธุ์ไพศาล เอาต้นมาจากไหนไม่มีใครทราบ แล้วนำไปปลูกที่สวนตัวเองย่านบางกรวย เชิงสะพานพระราม ๖ จ.นนทบุรี นานกว่า ๘๐-๙๐ ปี แล้ว ต่อมาประมาณปี พ.ศ.๒๕๐๐ พื้นที่ดังกล่าวถูกหลวงเวนคืนสร้างเป็นโรงจักรผลิตกระแสไฟฟ้าฝ่ายผลิต ทำให้นายเผื่อน ต้องย้ายไปอยู่ที่อื่นและบรรดา ลูกหลานได้นำเอา ต้นพันธุ์ของ “มะม่วงน้ำตาลเตา” ที่ขยายพันธุ์ไว้ไปปลูกในที่อยู่ใหม่ด้วย และเก็บผลสุกทุกๆปี แจกให้เพื่อนบ้านใกล้เคียงได้รับประทานเป็นประจำ ซึ่งทุกคนต่างยอมรับและยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นสุดยอดของมะม่วงที่มีรสชาติหวานหอมอร่อยที่สุดตั้งแต่สมัยนั้นจนกระทั่งยุคปัจจุบัน

โดย “มะม่วงน้ำตาลเตา” จะมีลักษณะพิเศษคือ เวลาผลแก่หรือสุกเนื้อจะเป็นสีเหลืองคล้ายสีของน้ำตาลปีบ มีกลิ่นหอมเฉพาะตัวเหมือนกลิ่นของน้ำตาลเคี่ยวในเตากำลังไหม้ หรือกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นลูกพลับ บางคนบอกว่ากลิ่นหอมเหมือนกลิ่นละมุดสีดา จึงเป็นที่มาของชื่อ “มะม่วงน้ำตาลเตา” รสชาติหวานจัด รับประทานอร่อยมาก ผู้เฒ่าผู้แก่นิยมเอาผลสุกล้างน้ำให้สะอาดแล้วใช้มีดเฉือนเป็น ๒ แก้มไม่ต้องปอกเปลือก ใช้ช้อนตักเอาเนื้อกินกับข้าวสวยหรือข้าวเหนียวนึ่งสุกใหม่ๆ ร้อนๆ รสชาติเข้ากันได้ดีและอร่อยมีคุณค่าทางโภชนาการมาก

มะม่วงน้ำตาลเตา มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับมะม่วงทั่วไป “ผล” รูปกลมรี ผลโตเต็มที่น้ำหนักประมาณ ๒ ผล ต่อ ๑ กิโลกรัม ผลดิบสีเขียว รสชาติหวานมันกรอบไม่มีรสเปรี้ยวปนเลย ผลสุกเป็นสีเหลือง เนื้อในสีเหลืองทองคล้ายสีของน้ำตาลปีบ หวานจัดมีกลิ่นหอมตามที่กล่าวข้างต้น ไม่มีเสี้ยน เนื้อไม่เละ ติดผลปีละครั้ง ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่งและทาบกิ่ง มีกิ่งตอนขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ แผงตรงกันข้ามโครงการ ๑๕ และ แผงตรงกันข้ามโครงการ ๑๗ ราคาสอบถามกันเองครับ.
 ไทยรัฐ



     มะม่วงน้ำหนงหมิน ลูกผสมใหม่ ไต้หวัน
มะม่วงชนิดนี้ ผู้ขายกิ่งพันธุ์บอกว่า เป็นมะม่วงพันธุ์ใหม่จากประเทศไต้หวัน โดยบอกว่าเกิดจากการผสมระหว่าง มะม่วงเออวินส์ กับ มะม่วงหนังกลางวัน แต่ไม่ได้บอกว่าผสมด้วยวิธีใด เมื่อนำต้นพันธุ์ใหม่ไปปลูกเลี้ยงจนติดผล ปรากฏว่า มีลักษณะเด่นเป็นสองรูปแบบในต้นเดียวกันคือ ผลที่มีเมล็ดขนาดใหญ่จะมีขนาดผลโตเท่าผลมะม่วงนํ้าดอกไม้หรือนํ้าหนัก ๔๐๐-๗๐๐ กรัม กับชนิดผลที่มีเมล็ดลีบบาง ทรงผลจะเป็นรูปรียาว ขนาดผลใหญ่กว่าชนิดแรกอย่างชัดเจน เปลือกผลทั้ง ๒ ชนิด เป็นสีแดงเหมือนกัน ดูสวยงามมาก

ที่สำคัญ ผู้ขายบอกต่อว่า เปลือกผลจะบาง สามารถรับประทานได้ทั้งเปลือก และที่เป็นพิเศษกว่านั้น ผลจะทนทานต่อโรคแมลงได้ดี ทำให้เมื่อปลูกจนติดผลแล้วไม่จำเป็นต้องฉีดสารเคมีป้องกันแต่อย่างใด ผลดิบรสชาติเปรี้ยวจัด ฉํ่านํ้ามาก ผลแก่จัดหรือสุกรสหวานมันไม่มีรสเปรี้ยวเจือปน เนื้อผลขณะห่ามหรือสุกจะเหนียวไม่เละรับประทานอร่อยมาก เนื้อสุกเป็นสีเหลืองอมส้ม มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ไม่มีเสี้ยน ความหวานวัดได้ ๑๕-๑๗ องศาบริกซ์

มะม่วงหนงหมิน ผู้ขายกิ่งพันธุ์บอกว่า มีลักษณะเหมือนกับมะม่วงทั่วไป ถูกนำเข้ามาปลูกและขยายพันธุ์ในประเทศไทยนานกว่า ๓ ปีแล้ว เป็นมะม่วงที่ให้ผลผลิตตลอดปี หรือ ทะวาย เวลาติดผลจะเป็นพวง ๓-๕ ผล กิ่งพันธุ์ที่วางขายขยายพันธุ์ด้วยวิธีเสียบยอดกับตอมะม่วงแก้ว ทำให้มีต้นเป็นพุ่มขนาดเล็ก ต้นสูงเต็มที่ไม่เกิน ๒.๕-๓ เมตร สามารถปลูกให้ติดผลได้ทั้งแบบลงดินกลางแจ้ง และปลูกลงกระถางขนาดใหญ่ตั้งในที่มีแสงแดดส่องถึงตลอดทั้งวัน

ใคร ต้องการกิ่งพันธุ์ มีขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ ๒๑
 ไทยรัฐ


     มะม่วงวัดวัง ผลสุกหวานหอมอร่อย
มะม่วงชนิดนี้ เป็นมะม่วงพันธุ์เก่าแก่มีปลูกเฉพาะถิ่นแถบ จ.พระนครศรีอยุธยา มาแต่โบราณแล้ว ส่วนใหญ่ปลูกเพื่อกินผลสุกเพียงอย่างเดียว เพราะเนื้อผลสุกจะเป็นสีเหลืองอมส้มหรือสีจำปาเข้มสวยงามมาก รสชาติหวานหอมเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว จึงทำให้ “มะม่วงวัดวัง” นิยมปลูกเพื่อกินผลสุกตามที่กล่าวข้างต้น ผลดิบมีรสเปรี้ยวจัด ฉ่ำน้ำและกรอบเหมือนกับผลมะม่วงดิบทั่วๆไปทุกอย่าง

สำหรับที่มาของชื่อ “มะม่วงวัดวัง” ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าว่า สมัยก่อนมะม่วงชนิดนี้จะปลูกตามบ้าน  ตามวัดวาอารามอย่างแพร่หลาย (ปัจจุบันตามวัดไม่พบอีกแล้ว) และด้วยความเป็นมะม่วงที่ผลสุกมีรสชาติอร่อยมากในยุคนั้น  ทำให้เจ้าขุน มูลนายที่ได้กินแล้วติดอกติดใจนำเอาพันธุ์ไปปลูกในรั้วในวังเพื่อเก็บผลสุกรับประทาน ไม่ต้องออกไปซื้อในท้องถิ่นให้เสียเวลา ประกอบกับ “มะม่วงวัดวัง” เคยมีปลูกในวัดแห่งหนึ่งมีชื่อว่า “วัดวัง” อีกด้วย จึงถูกตั้งชื่อว่า “มะม่วงวัดวัง” ดังกล่าว และจากความหวานหอมของผลสุกเป็นที่เลื่องลือในยุคสมัยนั้น ทำให้ พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) บรรยายไว้ในหนังสือ “พรรณพฤกษ์” ว่า “สาลิกาลืมรังอยู่ วัดวังคู่แก้มแดง มะม่วงกระแอมแฝง  มะม่วง แฟบแอบพุดไทย”

มะม่วงวัดวัง มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับมะม่วงทั่วไป “ผล” กลมรีคล้ายกับผลมะม่วงแก้ว ผลสุกสีเหลืองอมส้ม เนื้อในเป็นสีเหลืองอมส้มหรือสีจำปาเข้ม รสชาติหวานหอม เนื้อสุกไม่เละ ไม่มีเสี้ยน ผลโตเต็มที่น้ำหนักเฉลี่ยระหว่าง ๔-๕ ผล ต่อ ๑ กิโลกรัม ติดผลปีละครั้งตามฤดูกาล ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง และเสียบยอด

ปัจจุบัน “มะม่วงวัดวัง” มีกิ่งตอนรุ่นใหม่ขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ ตรงกันข้ามโครงการ ๑๕
 ไทยรัฐ



     มะม่วงตลับนาก สุกอร่อยปีละ ๒ หน
มะม่วงชนิดนี้ เป็นพันธุ์โบราณที่นิยมปลูกกันมาช้านานในแถบภาคกลาง โดยส่วนใหญ่จะปลูกตามบ้านเพื่อเก็บผลรับประทานในครัวเรือน มีปลูกเพื่อเก็บผลขายบ้างเล็กน้อย ไม่ได้ขายเป็นล่ำเป็นสัน หรือขายในเชิงพาณิชย์  เนื่องจาก ในยุคสมัยก่อนชาวบ้านมีพื้นที่กว้างขวางเหลือเฟือ จึงนิยมปลูกเก็บผลรับประทานกันเองมากกว่าซื้อเขากิน ปัจจุบันพบว่า มีผู้ขยายพันธุ์ตอนกิ่งของ “มะม่วงตลับนาก” วางขาย พร้อมมีภาพถ่ายผลจากต้นจริงแขวนโชว์ให้ชมด้วย  จึงแนะนำให้ ทราบอีกตามระเบียบ

มะม่วงตลับนาก มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เป็นไม้ยืนต้น สูง ๑๐-๑๕ เมตร แตกกิ่งก้านเป็น พุ่มทรงกลม ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเวียนสลับถี่บริเวณปลายยอดใบเป็นรูปรีแกมรูปขอบขนาน ปลายแหลม โคนมน ขอบใบเป็นคลื่นเล็กน้อย เนื้อใบหนา ผิวเรียบเป็นมัน สีเขียวสด

ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอด แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยจำนวนมาก ดอกเป็นสีเหลืองนวล ดอกมีกลิ่นหอมเหมือนกับดอกมะม่วงทั่วไป “ผล” รูปกลมรี โหนกและหลังผลนูน ปลายผลงอนเป็นติ่งแหลม น่าชมมาก ผลแบนเล็กน้อย น้ำหนักผลเมื่อโตเต็มที่ประมาณ ๔๐๐ กรัมต่อผล เวลาติดผลจะเป็นพวง ๑๐-๑๕ ผล ผลดกเต็มต้น  ผลดิบสีเขียว  เมื่อสุกเป็นสีเหลืองดูคล้ายตลับนากยุคโบราณ จึงถูกตั้งชื่อตามลักษณะผลว่า “มะม่วงตลับนาก” ดังกล่าว

รสชาติ ผลดิบเปรี้ยวจัด เนื้อสุก หวานหอมรับประทานอร่อยมาก ความหวานวัดได้ประมาณ ๑๔ องศาบริกซ์ เมล็ดไม่ลีบหรือแบนนักมี เส้นใยเล็กน้อย ติดผลดกปีละสองครั้ง ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง และเสียบยอด

ปัจจุบัน “มะม่วงตลับนาก” มีกิ่งตอนขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ ๑๗ ราคาสอบถามกันเอง เหมาะจะปลูกเพื่อเก็บผลรับประทานในครัวเรือนและเก็บผลขาย คุ้มค่ามากครับ
 ไทยรัฐ



     มะม่วงน้ำดอกไม้สีม่วง ผลสวยหวานอร่อย
มะม่วงชนิดนี้ เกิดจากการพัฒนาพันธุ์ของ ศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร ต.มหาสวัสดิ์ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี ด้วยวิธีผสมเกสรระหว่าง มะม่วงน้ำดอกไม้ เบอร์ ๔ ปากน้ำ กับ มะม่วงจากประเทศไต้หวันชื่อ หงจู จากนั้นก็นำเอาเมล็ดที่ได้จากผลสุกหลายเมล็ดไปเพาะเป็นต้นกล้านำไปปลูกเลี้ยงจนต้นเจริญเติบโตมีดอกและติดผล

ปรากฏว่า แต่ละต้นติดผลดกเต็มต้น และมีลักษณะเด่นประจำพันธุ์คือ รูปทรงของผลจะเหมือนกับผลของมะม่วงน้ำดอกไม้ทั่วไป หรือมะม่วงน้ำดอกไม้ เบอร์ ๔ ที่ใช้เป็นพันธุ์พ่อ ส่วนสีของผลไม่เป็นสีเขียวเหมือนสีของมะม่วงน้ำดอกไม้ทั่วไป แต่ กลับเป็นสีม่วงเข้มตั้งแต่ติดผลขนาดเล็กจนกระทั่งผลแก่และสุกคล้ายกับสีผลมะม่วง

หงจู จากไต้หวันที่ใช้เป็นพันธุ์แม่ ซึ่งเป็นสีแดงแต่สีจะเข้มกว่าจนเป็นสีม่วงอย่างชัดเจนสวยงามมาก ทางศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรฯ ได้ปลูกทดสอบพันธุ์จนเชื่อว่าเป็นมะม่วงพันธุ์ใหม่ถาวรแล้ว จึงตั้งชื่อว่า “มะม่วงน้ำดอกไม้สีม่วง” พร้อมกับขยายพันธุ์ตอนกิ่งออกจำหน่ายให้ผู้สนใจซื้อไปปลูกกำลังเป็นที่ต้องการอย่างแพร่หลายอยู่ในเวลานี้

น้ำหนักผล เมื่อโตเต็มที่ของ “มะม่วงน้ำดอกไม้สีม่วง” ประมาณ ๐.๘-๑.๒ กิโลกรัมต่อผล ผลดิบรสชาติเปรี้ยวไม่มากนัก ผลสุกรสชาติหวานมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวรับประทานกับข้าวเหนียวมูลอร่อยไม่แพ้เนื้อสุกมะม่วงพันธุ์ดังๆทั่วไป เนื้อสุกเป็นสีเหลืองเข้ม เนื้อละเอียดไม่มีเสี้ยน เป็นมะม่วงที่ติดผลดก และ ติดผลได้ตลอดทั้งปีแบบไม่ขาดต้น สามารถขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง และเสียบยอด

ปัจจุบันมีกิ่งพันธุ์ขาย ติดต่อ ศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีฯ โทร.๐๘– ๑๗๐๖–๕๕๑๓ หรือไปซื้อที่ งานเกษตรแฟร์ ม.เกษตรฯ บางเขน กทม. และที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ โครงการ ๒๑ ราคาสอบถามกันเองครับ
 ไทยรัฐ



     มะม่วงฉื่อมี่ หวานกลิ่นน้ำผึ้ง
มะม่วงชนิดนี้ เกิดจากการพัฒนาพันธุ์โดยฝีมือเกษตรกรชาวไต้หวัน ด้วยวิธีเขี่ยละอองเกสรของดอกมะม่วงพันธุ์พ่อชื่อ มะม่วงเฮเดน ไม่ระบุว่าถิ่นกำเนิดจากไหน ผสมกับเกสรดอกมะม่วงพันธุ์แม่ชื่อ มะม่วงอี้เหวิน ของไต้หวัน เมื่อติดผลสุกจึงนำเอาเมล็ดไปเพาะเป็นต้นกล้าหลายต้น ก่อนคัดเอาต้นดีที่สุดไปปลูกเลี้ยงจนต้นเจริญเติบโตมีดอกและติดผล ปรากฏว่าผลมีขนาดใหญ่มาก สีสันของผลเป็นสีแดงเข้มสวยงามน่าชมยิ่งนัก
 
เนื้อผลสุก เป็นสีเหลืองอมส้ม เนื้อไม่เละ ไม่มีเสี้ยน รสชาติหวานจัด วัดความหวานได้ ๑๖-๑๗ องศาบริกซ์ มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ไม่มีกลิ่นขี้ไต้ รับประทานอร่อยมาก เมล็ดเล็กและลีบเหมือนกับเมล็ดของมะม่วงไต้หวันทั่วไป ผลอ่อนรสเปรี้ยวจัด ไม่นิยมรับประทานผลดิบ ผลเมื่อโตเต็มที่ น้ำหนักระหว่าง ๐.๘-๑.๗ กิโลกรัม ชาวไต้หวันเรียกชื่อว่า “มะม่วงฉือมี่” แปลเป็นไทยคือ “มะม่วงน้ำผึ้งสีม่วง” ติดผลปีละ ๒ ชุด ในประเทศไทยถูกนำเข้ามาปลูกและ ขยายพันธุ์ตอนกิ่งขายนานกว่า ๔-๕ ปีแล้ว ส่วนใหญ่นิยมขยายพันธุ์ด้วยวิธีเสียบยอดกับตอมะม่วงแก้วของไทย จะทำให้ต้นแข็งแรงเติบโตเร็ว สามารถติดผลหลังปลูกเพียง ๓-๔ ปีเท่านั้น และจะติดผลดก ติดผลปีละ ๒ ชุด ตามที่กล่าวข้างต้น
 
มะม่วงฉือมี่ ต้นสูง ๓.๕ เมตร แตก กิ่งก้านขยายกว้างทางด้านข้าง กิ่งอ่อนมักโน้มลง ใบค่อนข้างใหญ่และยาวกว่าใบของมะม่วงทั่วไป “ผล” รูปทรงคล้ายผลของมะม่วงอี้เหวิน ผลมีขนาดใหญ่ สีสันของผลสวยงาม รสชาติหวานหอมอร่อยมาก
 
ใครต้องการกิ่งพันธุ์ไปปลูก ติดต่อ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ ๒๑ แผง “คุณพร้อมพันธุ์” ราคาสอบถามกันเองครับ
 ไทยรัฐ



     "มะม่วงสามฤดู"  ครองใจผู้ปลูก
มะม่วงชนิดนี้ นิยมปลูกในบริเวณบ้านเพื่อเก็บผลรับประทานในครัวเรือนมาช้านานตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว  และยังครองใจผู้ปลูกเรื่อยมาจนกระทั่งยุคปัจจุบัน เนื่องจากเป็นมะม่วงที่ให้ผลผลิตถึง ๓ รุ่น ใน ๑ ปี ทำให้มีผลเก็บรับประทานได้ต่อเนื่องไม่ขาดต้น ที่สำคัญ “มะม่วงสามฤดู” มีรสชาติดีทั้งขณะผลยังดิบและผลสุก โดยผลดิบรสชาติจะเปรี้ยวจัด ฉ่ำน้ำ กรอบอร่อยมาก นิยมปอกเปลือกสับเป็นฝอยปรุงเป็นยำมะม่วงหรือส้มตำมะม่วง หรือปอกเปลือกฝานเป็นชิ้นบางๆจิ้มพริกเกลือน้ำปลาหวานอร่อยมาก ผลสุกรสหวานใกล้เคียงกับเนื้อสุกของมะม่วงอกร่อง จะหย่อนกว่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จึงทำให้ผู้ปลูกไม้ผลกินได้นิยมปลูก “มะม่วงสามฤดู” กันอย่างแพร่หลายและไม่เสื่อมคลายตามที่กล่าวข้างต้น   นสพ.ไทยรัฐ



     มะม่วงไข่มุกแดง หวานกลิ่นมะม่วงพราหมณ์ไทย
มะม่วงไข่มุกแดง เป็นสายพันธุ์จากประเทศไต้หวัน ถูกนำเข้ามาปลูกเก็บผลขายและขยายพันธุ์ในประเทศไทยนานหลายปีแล้ว จัดเป็นมะม่วงกินสุกที่ตลาดผลไม้ในบ้านเรามีความต้องการสูง เนื่องจากผลมีขนาดใหญ่ เนื้อเยอะ เนื้อละเอียด ไม่มีเสี้ยน เมล็ดลีบบาง รสชาติหวานมีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวเหมือนกลิ่นหอมของเนื้อสุกมะม่วงพราหมณ์ไทยโบราณทุกอย่าง จึงทำให้เป็นที่นิยมรับประทานอย่างแพร่หลายในเวลานี้ สีผลสวยงามตามแบบฉบับของมะม่วงไต้หวันทั่วไป เวลาติดผลดกเป็นพวงห้อยลงจะน่าชมยิ่ง

มะม่วงไข่มุกแดง เกิดจากการพัฒนาพันธุ์ของมะม่วงไต้หวันชื่อ “หงส์จู่” โดยฝีมือเกษตรกรชาวไต้หวันนานหลายปี มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับมะม่วงทั่วไปทุกอย่าง แต่ต้นสูงระหว่าง ๓-๕ เมตรเท่านั้น ใบออกสลับรอบกิ่งก้านช่วงปลายยอด เป็นรูปขอบขนาน ปลายใบแหลม โคนใบสอบ เนื้อใบหนา สีเขียวสดเป็นมัน

ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอด ดอกมีกลิ่นหอม “ผล” รูปเกือบกลม ติดผลเป็นพวง ๓-๕ ผล ก้านผลยาวเป็นสีม่วงอมแดง สีผลเป็นสีม่วงอมแดงตั้งแต่ผลยังเล็ก ผลโตเต็มที่น้ำหนัก ๑-๑.๒ กิโลกรัมต่อผล เวลาติดผลดกเต็มต้นและผลห้อยลงจะดูสวยงามมากตามที่กล่าวข้างต้น จึงถูกตั้งชื่อภาษาไทยว่า “มะม่วงไข่มุกแดง” ดังกล่าว เนื้อสุกเป็นสีเหลืองอมส้ม รสชาติหวานมีกลิ่นหอมเหมือนกลิ่นของมะม่วงพราหมณ์ไทยโบราณ รับประทานอร่อยกว่ามะม่วงกินสุกของไต้หวันสายพันธุ์ดังๆทั่วไป ติดผลตามฤดูกาล ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด และตอนกิ่ง

ใครต้องการกิ่งพันธุ์ติดต่อศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร ประจำตำบลมหาสวัสดิ์ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี โทร.๐๘-๑๘๐๖-๕๕๑๓  และตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ โครงการ ๒๑  ราคาสอบถามกันเองครับ
  นสพ.ไทยรัฐ

fu.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09 กันยายน 2559 17:07:20 โดย กิมเล้ง » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5462


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 9.0 MS Internet Explorer 9.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #11 เมื่อ: 28 มิถุนายน 2556 17:38:33 »

.


     มะม่วงยู่เหวิน-งาช้างแดง
ผู้อ่านจำนวนมากที่ชอบปลูก มะม่วง อยากทราบว่า ปัจจุบัน “มะม่วงยู่เหวิน” กับ “มะม่วงงาช้างแดง” หาซื้อกิ่งตอนได้ที่ไหน เนื่องจากไปเดินซื้อตามแหล่งที่แนะนำแล้วปรากฏว่าผู้ขายแจ้งว่ากิ่งตอนของมะม่วงทั้ง ๒ ชนิด ขายหมด “นายเกษตร” จึงตระเวนสอบถามบรรดาเกษตรกรที่มีอาชีพขยายพันธุ์ตอนกิ่งไม้ผลขายหลายแห่ง และทราบว่าขณะนี้กิ่งตอนของ “มะม่วงยู่เหวิน” กับ “มะม่วงงาช้างแดง” ที่ทำกิ่งเอาไว้จำนวนมากและเป็นกิ่งตอนรุ่นใหม่ได้ติดรากแก้วแข็งแรงดีแล้วพร้อมเริ่มตัดกิ่งออกจำหน่ายอยู่ในเวลานี้ จึงแจ้งให้ผู้นิยมปลูกไม้ผลจำพวกมะม่วงทราบตามระเบียบ

มะม่วงยู่เหวิน เป็นลูกผสมของมะม่วง ๒ สายพันธุ์ของประเทศไต้หวันคือ ระหว่าง มะม่วงอ้ายเหวิน กับ มะม่วงจินหวง เมื่อนำต้นไปปลูกจนติดผล ปรากฏว่าติดผลดกมาก ผลมีขนาดใหญ่ สีสันของผลเป็นสีแดงอมม่วงทั้งผล ผลดิบ รสชาติหวานปนเปรี้ยวเล็กน้อย เมื่อผลสุกเนื้อในเป็นสีเหลืองเข้มไม่เละ รสชาติหวานหอมอร่อยมาก ถูกนำเข้ามาปลูกและขยายพันธุ์ตอนกิ่งขายในประเทศไทยนานหลายปีแล้ว แต่กิ่งตอนทำเท่าไหร่ก็ขายหมด และไม่พอขาย

มะม่วงงาช้างแดง นิยมปลูกเก็บผลส่งขายอย่างแพร่หลาย ในประเทศจีน ประเทศไต้หวัน และ ประเทศอียิปต์ เวลาติดผลจะเป็น พวง ๓-๕ ผลต่อพวง ผลมีขนาดใหญ่และยาวดูคล้ายงาช้าง ผลสุกเป็นสีแดงตลอดทั้งผล สวยงามมาก จึงถูกตั้งชื่อว่า “มะม่วงงาช้างแดง” ผลสุกเนื้อเป็นสีเหลืองอมส้ม รสชาติหวาน ๑๕-๑๘ องศาบริกซ์ รับประทานอร่อยมาก
  ไทยรัฐ
  


     มะม่วงแดงนพเกล้า สุกสุดอร่อย
มะม่วงชนิดนี้ เกิดจากการเอาต้นมะม่วงพันธุ์ เอ็ดเวิร์ด ที่มีถิ่นกำเนิดจากรัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา ปลูกให้ต้นเจริญเติบโตรวมกับ มะม่วงแก้ว พันธุ์ไทยจำนวนหลายสิบต้นจนมีดอก แล้วปล่อยแมลงทำการผสมเกสรโดยธรรมชาติ จนติดผลสุกแล้วนำเอาเมล็ดจากทั้ง ๒ ต้น ไปเพาะขยายพันธุ์มีดอกติดผลดกเต็มต้น ซึ่งมีอยู่ต้นหนึ่ง รูปทรงของผลแปลกและมีขนาดใหญ่กว่าทุกต้น สีสันของผลเป็นสีแดงอมม่วงดูสวยงามมาก เมื่อนำเอาผลดิบผ่ารับประทานทดสอบรสชาติ ปรากฏว่ามีความมันปนหวานและเปรี้ยวนิดๆ คล้ายกับผลดิบของมะม่วงแก้ว ผลสุกเนื้อเป็นสีเหลืองอมส้มเหมือนกับสีทองของเนื้อสุกของมะม่วงเอ็ดเวิร์ดมี รสชาติหวานหอม เนื้อละเอียด ไม่มีเสี้ยนอร่อยมาก

เจ้าของ จึงนำเอาเมล็ดจากผลสุกไปปลูกทด สอบสายพันธุ์อีกครั้งหนึ่งจนมั่นใจว่าเป็นมะม่วงพันธุ์ใหม่แน่นอนแล้ว จึงตั้งชื่อว่า “มะม่วงแดงนพเก้า” พร้อมกับตอนกิ่งขยายพันธุ์ออกวางขายกำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายอยู่ในปัจจุบัน

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ทั่วไปของ “มะม่วงแดงนพเก้า” ใบคล้ายกับใบของมะม่วงแก้ว เวลาติดผลจะมีขนาดใหญ่เหมือนกับผลของมะม่วงเอ็ดเวิร์ดและติดผลดกมาก ผลเมื่อโตเต็มที่มีน้ำ-หนักเฉลี่ยระหว่าง ๘ ขีดต่อผล ที่สำคัญเปลือกผลค่อนข้างหนา จึงทำให้ “มะม่วงแดงนพเก้า” สามารถเก็บไว้ได้นานกว่ามะม่วงสายพันธุ์อื่น ติดผลปีละครั้ง หรือที่นิยมเรียกกันในหมู่เกษตรว่า มะม่วงปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง และเสียบยอด
  ไทยรัฐ
    

     มะม่วงตะเพียนทอง พันธุ์โบราณหวานอร่อย
มะม่วงชนิดนี้ เป็นสายพันธุ์โบราณที่นิยมปลูกตามบ้านเพื่อเก็บผลรับประทานมาช้านานแล้ว จัดเป็นมะม่วงที่มี ถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในภาคกลาง โดยส่วนใหญ่จะปลูกกันอย่างกว้างขวางเฉพาะในแถบพื้นที่ จังหวัดนนทบุรี ย่าน ตลิ่งชัน เขตบางกอกน้อย กทม. เป็นมะม่วงปี หรือติดผลปีละครั้งตามฤดูกาล เวลาติดผลจะดกเป็นพวงน่าชมมาก ขนาดของผลใหญ่และทรงผลสวยงาม ผลดิบรสชาติเปรี้ยวจัดฉ่ำน้ำ ผลสุกรสชาติหวานประมาณ ๒๓ องศาบริกซ์ มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ทำให้รับประทานอร่อยมาก

ส่วน ที่มาของชื่อ “มะม่วงตะเพียนทอง” ไม่มีในบันทึกว่ามีความเป็นมาอย่างไร แต่เป็นชื่อที่เรียกกันมาตั้งแต่โบราณจนกระทั่งปัจจุบัน และมีเพียงชื่อเดียวเท่านั้น

มะม่วงตะเพียนทอง มีชื่อวิทยาศาสตร์เหมือนกับมะม่วงทั่วไปคือ MANGIFERA INDICA LINN. อยู่ในวงศ์ ANACARDIACEAE เป็นไม้ยืนต้น สูง ๑๐-๒๐ เมตร ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเวียนสลับหนาแน่นบริเวณปลายยอด ใบเป็นรูปรีแกมรูปขอบขนาน ปลายใบแหลม โคนใบมน เนื้อใบหนา และแข็ง ผิวใบเรียบเป็นมัน สีเขียวสด

ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอด แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยขนาดเล็กจำนวนมาก ดอก เป็นสีเหลืองนวล มีกลิ่นหอม  “ผล”  รูปกลมรีและยาว  ผลโตเต็มที่มีน้ำหนักเฉลี่ยระหว่าง ๔๒๓.๓๓ กรัม ติดผลเป็นพวง ๒-๓ ผล ผลดิบสีเขียวมีนวลขาว รสชาติเปรี้ยวจัด นิยมสับทำยำมะม่วง ผลสุกเป็นสีเหลืองอมส้มนิดๆ สวยงามมาก รสชาติหวานหอมตามที่กล่าวข้างต้น ติดผลปีละครั้งตามฤดูกาล ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง และเสียบยอด
  ไทยรัฐ
 


     มะม่วงงามเมืองย่า กับที่มาของสายพันธุ์
"มะม่วงงามเมืองย่า" เป็นมะม่วงลูกผสมระหว่างมะม่วงน้ำดอกไม้ กับมะม่วงมันบางขุนศรี เป็นมะม่วงที่มีปลูกเฉพาะถิ่นในเขต อ. ปักธงชัย จ.นครราชสีมา แต่ผู้ขายบอกไม่ได้ว่า "มะม่วงงามเมืองย่า" ดังกล่าว ใครเป็นผู้ขยายพันธุ์ และบอกไม่ได้อีกว่า ที่มาของสายพันธุ์เป็นอย่างไร ผมเองแนะนำ ไปในตอนนั้นเพราะว่าผลมีขนาดใหญ่   รสชาติเมื่อทดลองชิมแล้วหวานอร่อยทั้งผลดิบและผลสุก ได้รับความนิยมจากผู้ปลูกอย่างกว้างขวาง

ต่อมา ทราบว่า "มะม่วงงามเมืองย่า" มีที่มาที่ไปคือ "คุณฐิติกร กีรติเลขา" บ้านอยู่เลขที่ ๙๙ ม. ๑๑ ต.งิ้ว อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา เอาเมล็ดมะม่วงลูกผสมระหว่าง มัน-บางขุนศรี กับ น้ำดอกไม้เบอร์ ๔ ไปปลูกแล้วติดผลดก  ผลใหญ่  รสชาติอร่อยทั้งผลดิบและผลสุก  มั่นใจว่าเป็นมะม่วงกลายพันธุ์ แต่ยังไม่แน่ใจในความนิ่งของสายพันธุ์  จึงนำยอดพันธุ์ ไปเปลี่ยนและฝากท้อง กับมะม่วงสายพันธุ์อื่นๆมากกว่า ๑๐ สายพันธุ์ ปรากฏว่าทุกอย่างยังคงที่   ทำให้เชื่อได้ว่าเป็นมะม่วงกลายพันธุ์แบบถาวรแล้ว จึงตั้งชื่อ ในตอนแรกว่า "มะม่วงทะวายเมืองย่า" เพราะติดผลทั้งปี พร้อมนำผลไปแจกจ่ายให้ เพื่อนๆและพระตามวัดในเขตพื้นที่ทดลองชิม ต่างพากันชื่นชอบในรสชาติและขนาดของผลที่ใหญ่ โดยเฉพาะพระ ได้แนะนำให้เปลี่ยนชื่อใหม่เพื่อเป็นสิริมงคล และ เพื่อเป็นเกียรติแก่ท้าว สุรนารี หรือ ย่าโม ที่คนโคราชเคารพนับถือว่า"มะม่วงงามเมืองย่า" เรียกกันเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน

จากนั้น "คุณฐิติกร" เจ้าของพันธุ์ ได้ขยายพันธุ์ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง และเสียบยอดให้พ่อค้ารับช่วงไปปลูกและขยายพันธุ์ขาย ได้รับความนิยมตามที่กล่าวข้างต้น   ผม เห็นว่า การได้รับรู้ที่มาที่ไปของมะม่วงที่จะปลูกเป็นเรื่องที่ดี   จึงรีบแจกแจงให้ ทราบกันอีกครั้งตามหน้าที่

มะม่วงงามเมืองย่า หรือชื่อเดิม "มะม่วงทะวายเมืองย่า"  มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับมะม่วงทั่วไปทุกอย่าง เพียงแต่จะเป็นสายพันธุ์ที่ติดผลดกมาก เวลาติดผลเป็นพวง ผู้ปลูกจะต้องเลือกผลที่สมบูรณ์ที่สุดไว้  ส่วนผลไม่สมบูรณ์จะเด็ดทิ้ง  เพื่อให้ผลมีขนาดใหญ่ น้ำหนักเฉลี่ย ๑ ผล  เกือบ ๓ กิโลกรัม  
  ไทยรัฐ



     มะม่วงแรด อร่อย กับที่มาของชื่อ
มะม่วงชนิดนี้ เป็นพันธุ์ไทยแท้ๆ ที่นิยมปลูกตามบ้านหรือปลูกเพื่อเก็บผลขายมาช้านานตั้งแต่รุ่นคุณปู่คุณทวดแล้ว ส่วนใหญ่จะปลูกเพื่อรับประทานผลดิบ เพราะมีรสชาติหวานมันปนเปรี้ยวนิดๆ ปอกเปลือกฝานเป็นชิ้นๆ หรือสับเป็นชิ้นจิ้มเกลือป่นน้ำปลาหวานรับประทานอร่อยมาก ผลสุกมีความหวานประมาณ ๒๐ องศาบริกซ์ มีรสเปรี้ยวเจือปนเล็กน้อย เหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบรับประทานรสหวานจัด

ปัจจุบัน“มะม่วงแรด” ได้เสื่อมค่านิยมในการปลูกและรับประทานตามกาลเวลา หาซื้อผลรับประทานได้ยากมาก เนื่องจากมีมะม่วงสายพันธุ์ใหม่ๆวางขายมากมาย จึงทำให้มะม่วงพันธุ์ไทยแท้ๆหลายสายพันธุ์ รวมทั้ง “มะม่วงแรด” ถูกลืมและ เชื่อว่าไม่นานอาจสูญพันธุ์ไปได้อย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม เพิ่งพบว่ามีผู้ขยายพันธุ์ตอนกิ่งของ “มะม่วงแรด” ออกวางขาย แต่ไม่ได้รับความสนใจจากผู้ปลูกเท่าที่ควร ผู้ขายบอกว่า บางครั้งขายไม่ได้เลย ต้องทิ้งให้กิ่งตอนตายแห้งคาสวน จึงแนะนำให้ช่วยกันปลูกอนุรักษ์ตามระเบียบ

มะม่วงแรด มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนมะม่วงพันธุ์ไทยทั่วไป คือ เป็นไม้ยืนต้น สูง ๑๐-๑๕ เมตร ใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปใบหอก ปลายแหลม โคนมน เนื้อใบหนา สีเขียวสด ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอด สีเหลืองอ่อน ดอกมีกลิ่นหอม “ผล” กลมรี ผลโตเต็มที่น้ำหนักเฉลี่ย ๓๐๐ กรัมต่อผล ติดผลเป็นพวง ๑-๓ ผล ในแต่ละพวงจะมีผลลักษณะแปลกคือ ด้านหลังผลตรงกันข้ามกับโหนกผลด้านหน้ามีเนื้อผลงอกยาวออกมาคล้ายนอแรด จึงถูกตั้งชื่อตามลักษณะผลว่า “มะม่วงแรด” ติดผลปีละครั้งตามฤดูกาล ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง  ปัจจุบันมีกิ่งตอนขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ
  ไทยรัฐ
  
http://www.nanagarden.com/Picture/Product/400/199370.jpg
"เกษตรน่ารู้" สารพัดสารพันเรื่องพันธุ์ไม้

     มะม่วงหงส์หลง หวานหอม เหมือนอกร่อง
ผู้อ่านที่ชอบปลูกมะม่วงสงสัยว่า “มะม่วงหงส์หลง” มีความเป็นมาอย่างไร ซึ่งความจริงแล้วก็คือมะม่วงมังกรแดงที่เคยแนะนำไปแล้วนั่นเอง มีถิ่นกำเนิดจากประเทศไต้หวัน โดยผู้ขายกิ่งพันธุ์จากไต้หวันนำมาขายให้ชาวไทยซื้อไปปลูกและขยายพันธุ์ขายอีกต่อหนึ่ง พร้อมมีข้อมูลภาพถ่ายของผลจริงและชื่อเฉพาะเป็นภาษาจีน ภาษาอังกฤษ กำกับมอบให้ด้วย อยู่ที่ว่าผู้ขยายพันธุ์ชาวไทยจะตอนกิ่งออกจำหน่ายในชื่ออะไร

มะม่วงหงส์หลง ก็เช่นกัน มีชื่อเรียกเฉพาะ ๒ ชื่อ คือชื่อภาษาจีนว่า “มะม่วงหงส์หลง” และชื่อภาษาอังกฤษที่นิยมเรียกกันในประเทศไต้หวันคือ “เรด ดรากอน แมงโก้” ที่แปลความหมายได้ว่ามะม่วงมังกรแดงนั่นเอง จึงเป็นต้นเดียวกันอย่างแน่นอน

มะม่วงหงส์หลง หรือ มะม่วงมังกรแดง มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับมะม่วงทั่วไป ใบจะมีขนาดใหญ่และยาวกว่าใบของมะม่วงสายพันธุ์ทั่วไป ใบจะโค้งงอลงดูสวยงามมาก “ผล” เมื่อโตเต็มที่น้ำหนักเฉลี่ยระหว่าง ๓ ผล ต่อ ๑ กิโลกรัม ผลเป็นสีชมพูปนแดง เวลาติดผลจะสวยงามน่าชมยิ่งนัก ติดผลเป็นพวง ๘-๑๐ ผลเป็นอย่างต่ำ ผลสุกรสหวานหอมคล้ายรสชาติของมะม่วงอกร่องไทยทุกอย่าง ความหวานประมาณ ๒๔ องศาบริกซ์ ที่ประเทศไต้หวันกล่าวว่าผลสุกมีกลิ่นหอมเหมือนกลิ่นของผลท้อ จึงทำให้ชาวจีนนิยมซื้อเป็นของฝากมงคลอย่างแพร่หลาย และ “มะม่วงหงส์หลง” ทนต่อโรคแมลงได้ดี เวลาติดผลไม่ต้องฉีดพ่นเคมีป้องกันแต่อย่างใด ที่สำคัญ “มะม่วงหงส์หลง” จะติดผล ๒ รุ่นต่อปี ทำให้มีผู้ผลิตเก็บรับประทาน หรือเก็บขายได้ตลอดไม่ขาดระยะ ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่งและเสียบยอด

ปัจจุบัน “มะม่วงหงส์หลง” มีขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ  
  ไทยรัฐ



     มะม่วงหงส์จินหวง ดิบรสมัน สุกหวานหอมอร่อย
มะม่วงชนิดนี้ เป็นพันธุ์ใหม่จากประเทศไต้หวัน โดยผู้จำหน่ายกิ่งตอนบอกว่า เกิดจากการนำเอามะม่วงจินหวงของไต้หวันที่มีผลขนาดใหญ่ผสมกับมะม่วงพันธุ์เขียวใหญ่แล้วได้ลูกไม้ใหม่ออกมา ผลมีสีสันเป็นสีแดงตลอดผล ผลมีขนาดใหญ่สวยงามสะดุดตาสะดุดใจมาก ทำให้เกษตรกรที่มีอาชีพปลูกมะม่วงเพื่อเก็บผลขาย นิยมปลูกกันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากได้ราคาดี เป็นที่ชื่นชอบของชาวจีนมาก ผู้ขยายพันธุ์ จึงได้ตั้งชื่อมะม่วงดังกล่าวว่า “มะม่วงหงส์จินหวง” และในประเทศไทยได้มีผู้นำต้นแม่เข้ามาปลูกและขยายกิ่งพันธุ์วางขาย กำลังเป็นที่นิยมจากผู้ปลูกอย่างแพร่หลายอยู่ในเวลานี้

มะม่วงหงส์จินหวง มีข้อโดดเด่นหลายอย่างคือ ลำต้นจะมีความแข็งแรงทนทานต่อแมลงหรือหนอนเจาะเปลือก ทำให้ลำต้นเน่าเสียได้ยาก ติดดอกง่าย ช่อดอกยาวเป็นสีแดงเข้มเห็นชัดเจน ที่สำคัญในแต่ละช่อดอกจะมีดอกตัวเมียเป็นจำนวนมาก จึงทำให้เวลาติดผลจะดกมากกว่ามะม่วงสายพันธุ์ทั่วไป ผล โตเต็มที่จะมีน้ำหนักเฉลี่ยอยู่ระหว่าง ๐๘-๑.๕ กิโลกรัมต่อผล

ผล ขณะยังเล็กหรือยังดิบสีผลจะเป็นสีม่วงตลอดทั้งผล ผลแก่จัดแต่ยังไม่สุกเนื้อในจะมีรสชาติมันกรอบและปนหวานเล็กน้อย รับประทานเป็นมะม่วงมันได้ ผลสุกสีของผลจะเปลี่ยนเป็นสีแดงสดสวยงามมาก เนื้อในเมื่อสุกจะเป็นสีเหลืองเข้ม ไม่เละ เนื้อละเอียดเหนียว ไม่มีเสี้ยน ไม่มีกลิ่นขี้ไต้ รสหวานเหมือนเนื้อสุกของมะม่วงน้ำดอกไม้ เมล็ดบางหรือลีบ ทำให้ “มะม่วงหงส์จินหวง” มีเนื้อเยอะ สามารถรับประทานได้อร่อยทั้งผลดิบและสุก

มะม่วงหงส์จินหวง อยู่ในวงศ์ ANACARDIACEAE เป็นไม้ยืนต้น สูงได้ถึง ๑๐ เมตร ใบเดี่ยว ออกเวียนสลับถี่บริเวณปลายยอด ใบเป็นรูปรีแกมขอบขนานยาว ปลายแหลม โคนมน ใบมีขนาดใหญ่ เนื้อใบหนา สีเขียวสด

ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอด ช่อดอกยาว เป็นสีแดงหรือแดงอมม่วง แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยขนาดเล็กจำนวนมาก ดอกมีกลิ่นหอมอ่อนๆ “ผล” รูปกลมรี ลักษณะคล้ายผลมะม่วงจินหวง หรือมะม่วงเขียวใหญ่ หัวผลโหนกอ้วน ปลายผลแหลม มีเนื้อเยอะเพราะเมล็ดลีบ รสชาติอร่อยทั้งดิบและสุกตามที่กล่าวข้างต้น ขยายพันธุ์ด้วยวิธีทาบกิ่ง ใคร
  ไทยรัฐ
  


     มะม่วงพราหมณ์ขายเมีย   มะม่วงดีโบราณ
มะม่วงชนิดนี้ เป็นหนึ่งในมะม่วงไทยโบราณที่มีมากกว่า ๑๗๐ สายพันธุ์ มีแหล่งปลูก เฉพาะในแถบ อ.บางกรวย อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี และย่านตลิ่งชัน เขตบางกอกน้อย กทม. ได้รับความนิยมรับประทานอย่างแพร่หลายมาตั้งแต่รุ่นคุณปู่คุณย่า โดย จะเอาผลสุกล้างน้ำให้สะอาด ใช้มีดเฉือน ๒ แก้ม ไม่ต้องปอกเปลือก ใช้ช้อนตักกินกับข้าวสวยร้อนๆ หรือข้าวเหนียวนึ่งสุกใหม่ๆ หวานหอมอร่อยชื่นใจดีมาก

และ จากคำร่ำลือของรสชาติดังกล่าว ทำให้พระยาศรีสุนทรโวหาร หรือ (น้อย อาจารยางกูร) ถึงกับบรรยายเอาไว้ในกาพย์ยานี ๑๑ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๒๗ ว่า “มะม่วงพราหมณ์ขายเมีย” นี้ “ดูท่วงทีรสขยัน เมียรักดังชีวัน ยังสู้ขายจ่ายอำพา” ซึ่งก็หมายถึงรสชาติของมะม่วงชนิดนี้อร่อยมาก จนทำให้พราหมณ์ต้องยอมขายเมียตัวเองเพื่อนำ เอาเงินไปซื้อกินนั่นเอง

มะม่วงพราหมณ์ขายเมีย มีลักษณะทาง พฤกษศาสตร์เหมือนกับมะม่วงทั่วไป คือ เป็นไม้ยืนต้น สูง ๑๐-๑๕ เมตร แตกกิ่งก้านหนาทึบ ใบเดี่ยว ออกเป็นคู่ๆ ตรงกันข้ามกัน รูปใบหอก ปลายแหลมโคนมน เนื้อใบค่อนข้างหนา ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอด แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยขนาดเล็กจำนวนมาก ดอกเป็นสีเหลืองอ่อน หรือ สีขาวนวล มีกลิ่นหอม “ผล” รูปกลมรี มีขนาดใหญ่กว่าผลมะม่วงเขียวเสวย แต่จะสั้นกว่าเล็กน้อย ผลโตเต็มที่มีน้ำหนักเฉลี่ยประมาณ ๓ ผล ต่อ ๑ กิโลกรัม ผลดิบรสชาติเปรี้ยวปนหวานกรอบมัน รับประทานกับน้ำปลาหวานอร่อยมาก ผลสุก เนื้อสีเหลือง เหนียวไม่เละ ไม่มีเสี้ยน เมล็ดลีบบาง ให้เนื้อเยอะ รสชาติหวานหอมอร่อยตามที่กล่าวมาข้างต้น ติดผลปีละครั้ง ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง ปลูกได้ในดินทั่วไป ติดผลดกเหมือนมะม่วงพันธุ์ โบราณทั่วไป

ปัจจุบัน “มะม่วงพราหมณ์ขายเมีย” มี กิ่งตอนขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวน จตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ ๑๙  
  ไทยรัฐ


http://www.nanagarden.com/Picture/Product/400/177222.jpg
"เกษตรน่ารู้" สารพัดสารพันเรื่องพันธุ์ไม้

     มะม่วงทูลถวายทวาย อร่อยทั้งผลดิบและสุก
มะม่วงชนิดนี้ มีแหล่งปลูกมาแต่โบราณ ย่านบางขุนนนท์ เขตบางกอกน้อย กทม. เป็นมะม่วงที่เกิดจากการเอาเมล็ดของมะม่วงมันศาลายาไปเพาะขยายพันธุ์แล้วนำต้นกล้าที่ได้จำนวนหลายต้นไปปลูกเลี้ยงจนต้นโตมีดอกและติดผลดกทุกต้น มีอยู่ต้นหนึ่งรูปทรงของผลแปลกและแตกต่างจากรูปทรงของผลมะม่วงมันศาลายาที่เป็นพันธุ์แม่อย่างชัดเจน คือ รูปทรงของผลจะละม้ายไปทางรูปทรงของผลมะม่วงเขียวเสวยมากกว่า แต่รสชาติขณะผลยังดิบนั้นจะมันกรอบเหมือนกับรสชาติของมะม่วงมันศาลายาพันธุ์แม่ทุกอย่าง ผลสุกหวานอร่อยเหมือนกับมะม่วงสุกพันธุ์ดังๆ ทั่วไป รับประทานอร่อยมาก
 
ที่สำคัญ ยังเป็นมะม่วงที่สามารถมีดอกและติดผลได้เกือบทั้งปี หรือที่นิยมเรียกกันว่าทวาย อย่างน้อยที่สุดปีหนึ่งจะติดผลได้ ๒ ครั้ง และติดผลดกเป็นพวงเต็มต้นอย่างสม่ำเสมอ เจ้าของผู้ขยายพันธุ์เชื่อว่าเป็นมะม่วงกลายพันธุ์จากมะม่วงมันศาลายา จึงขยายพันธุ์ปลูกทดสอบพันธุ์อยู่หลายวิธีและนานกว่า ๒-๓ ปี จนมั่นใจว่ากลายพันธุ์แบบถาวรแล้ว จากนั้น ได้เก็บเอาผลสุกจากต้นไปถวายพระที่วัดแห่งหนึ่งย่านตลิ่งชัน และ พระครูรูปนั้น ได้ตั้งชื่อมะม่วงกลายพันธุ์ดังกล่าวว่า “มะม่วงทูลถวายทวาย” และเรียกกันเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน
 
มะม่วงทูลถวายทวาย มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เป็นไม้ยืนต้นเหมือนกับมะม่วงทั่วไป เพียงแต่เป็นสายพันธุ์ที่สามารถมีดอกและติดผลดกได้อย่างน้อยปีละ ๒ ครั้ง ตามที่กล่าวข้างต้น รสชาติรับประทานผลอร่อยทั้งดิบและสุก ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง เสียบยอด
 
ปัจจุบันมีกิ่งพันธุ์ขาย ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ ๑๗ ส่วนใหญ่เป็นกิ่งที่ขยายพันธุ์ด้วยวิธีทาบกิ่ง ทำให้เมื่อซื้อไปปลูกสามารถเจริญเติบโตได้เร็วและมีดอกติดผลในเวลาไม่ช้า เหมาะจะปลูกเพื่อเก็บผลรับประทานในครัวเรือนและปลูกเพื่อเก็บผลขายคุ้มค่ามาก ราคาสอบถามกันเองครับ.
  ไทยรัฐ
  
 
     มะม่วงอีแอ่น ครองใจผู้ปลูก
มะม่วงชนิดนี้ เป็นสายพันธุ์ที่นิยมปลูกเฉพาะถิ่นย่าน จ.อ่างทอง เพียงแห่งเดียวมาตั้งแต่โบราณแล้ว เป็นมะม่วงกลายพันธุ์แบบถาวร แต่ระบุไม่ได้ว่ากลายพันธุ์จากมะม่วงพันธุ์แม่ชื่อมะม่วงอะไร รู้ว่ากลายพันธุ์ด้วยวิธีเพาะเมล็ด มีลักษณะเด่นประจำพันธุ์ ไม่เหมือนมะม่วงทั่วไป ได้แก่ รูปทรงของผลจะแตกต่างกับทรงผลของมะม่วงพันธุ์อื่นๆอย่างชัดเจน คือ บริเวณส่วนหัวของผลจะมีความโหนกนูนออกไปทางด้านหน้ามาก ทำให้ดูคล้ายกับคนแอ่นอกเหมือนกันทุกผล รูปทรงของผลดูไม่สวยงามหรือเรียกว่า ขี้เหร่มาก จึงเป็นที่มาของการตั้งชื่อว่า “มะม่วงอีแอ่น” และเรียกกันเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน
 
เนื้อผลของ “มะม่วงอีแอ่น” เยอะ เพราะเมล็ดลีบโดยธรรมชาติ มีเสี้ยนน้อย ผลดิบหรือแก่จัดมีรสหวานมันกรอบปนเปรี้ยวเล็กน้อย สามารถรับประทานเฉยๆ ไม่ต้องฝานจิ้มพริกเกลือป่น หรือ น้ำปลาหวานได้เลยอร่อยมาก เนื้อสุกเหนียวหนึบ ไม่เละ สีเหลืองเข้ม รสชาติหวานหอมเฉพาะตัว ชาวบ้านสมัยก่อนนิยมรับประทานกับข้าวเหนียวมูน หรือข้าวสวยร้อนๆ ได้รสชาติและได้คุณค่าทางอาหารไม่แพ้มะม่วงกินสุกพันธุ์ดังๆ ทั่วไป จัดเป็นมะม่วงที่รับประทานได้อร่อยทั้งผลดิบและผลสุก
 
มะม่วงอีแอ่น มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เป็นไม้ยืนต้นเหมือนกับมะม่วงทั่วไป รูปทรงของผลแปลกกว่ามะม่วงพันธุ์อื่นอย่างชัดเจน หรือขี้เหร่มาก แต่รสชาติจะอร่อยทั้งผลดิบและผลสุกตามที่กล่าวข้างต้น ผลเมื่อโตเต็มที่มีน้ำหนักเฉลี่ยระหว่าง ๓-๔ ผลต่อ ๑ กิโลกรัม ติดผลดกสม่ำเสมอและติดผลตลอดปี หรือทะวาย จึงทำให้ “มะม่วงอีแอ่น” หรือ อีกชื่อหนึ่งคือมะม่วงนางแอ่น ครองใจผู้ปลูกเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง และเสียบยอด มีกิ่งตอนขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ แผงตรงกันข้ามโครงการ ๑๕ ราคาสอบถามกันเองครับ.
  ไทยรัฐ
 

     "มะม่วงกะล่อนเขียว"  หวานหอมอร่อย
มะม่วงกะล่อนเขียว หรือที่ชาวบ้านสมัยก่อนนิยมเรียกสั้นๆว่า มะม่วงกะล่อนที่เป็นสายพันธุ์ดั้งเดิมนั้น สีของผลเมื่อสุกจะเป็นสีเขียวอ่อน ไม่เป็นสีเหลืองเหมือนมะม่วงสุกทั่วไป ทรงผลรีเล็กน้อยหรือเกือบกลม ผลโตเต็ม ที่ประมาณลูกปิงปอง เปลือกผลค่อนข้างหนา เมล็ดจะมีขนาดใหญ่เป็นเอกลักษณ์ของ “มะม่วงกะล่อนเขียว” ทั่วไป เนื้อในมีไม่มากนักแต่รสชาติขณะสุกจะหวานหอมรับประทานอร่อยชื่นใจมาก สมัยก่อนนิยมปลูกอย่างแพร่หลาย ปัจจุบันเพิ่งพบว่ามีผู้ขยายพันธุ์ตอนกิ่งออกวางขาย จึงแจ้งให้ผู้ชอบปลูกมะม่วงทราบทันที

มะม่วงกะล่อนเขียว จัดอยู่ในกลุ่มมะม่วงป่าสายพันธุ์หนึ่ง มีชื่อเฉพาะทางวิทยาศาสตร์ว่า MAGIFERA CALONEURA KURZ อยู่ในวงศ์ ANACARDIACEAE มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับมะม่วงทั่วไป แต่ต้นจะสูงใหญ่มากกว่าอย่างชัดเจน คือ สามารถสูงได้ถึง ๔๐ เมตร ใบจะมีขนาดเล็กและสั้นกว่าใบของมะม่วงพันธุ์ใดๆ แตกกิ่งก้านสาขาหนาแน่นและกว้างใหญ่ เวลามีใบดกจะให้ร่มเงาดีมาก

ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอด ดอกเป็นสีเหลืองนวล มีกลิ่นหอม “ผล” รูปรีเกือบกลมผลโตเต็มที่ขนาดเท่า ลูกปิงปอง ผลเมื่อสุกจะเป็นสีเขียวอ่อน มีนวล ไม่เป็นสีเหลืองเหมือนกับสีผลสุกของมะม่วงทั่วไป ติดผลเป็นพวง ๕-๗ ผล เมล็ดมีขนาดใหญ่

เนื้อใน ขณะสุกเป็นสีเหลืองอ่อน รสชาติหวานหอมรับประทานอร่อยมาก เวลาติดผลดกผลห้อยเป็นระย้าเต็มต้นจะดูงดงามยิ่งนัก เป็นมะม่วงติดผลปีละครั้งตามฤดูกาล ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง และเสียบยอด มีชื่อเรียกอีกคือ มะม่วงเทียน มะม่วงป่า มะม่วงขี้ไต้ และ มะม่วงเทพรส

มีกิ่งตอนขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ ๑๙ ราคาสอบถามกันเองครับ.
  ไทยรัฐ
  

     "มะม่วงมันขุนศรี"  มะม่วงดีโบราณ
หลายคนอยากทราบว่า “มะม่วงมันขุนศรี” กับ มะม่วงมันบางขุนศรีเป็นต้นเดียวกันหรือไม่ ซึ่งก็คือต้นเดียวกัน มีถิ่นปลูกมาแต่โบราณในย่านตลิ่งชัน เขตบางกอกน้อย กทม.และใกล้เคียง อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี และในยุคนั้น “มะม่วงมันขุนศรี” หรือ มะม่วงมันบางขุนศรี ได้รับความนิยมรับประทานกันอย่างแพร่หลายทั้งผลดิบและผลสุก โดยผลดิบมีรสเปรี้ยวจัด ฉ่ำน้ำ และกรอบ ส่วนใหญ่ปอกเปลือกผลแล้วสับเป็นฝอยหรือฝานเป็นแว่นๆ ปรุงเป็นยำมะม่วงและจิ้มพริกเกลือป่น หรือจิ้มน้ำปลาหวานมีกลิ่นเปรี้ยวหอมอร่อยมาก ส่วนผลสุกเนื้อจะเหนียวไม่เละ รสหวานแหลมปนเปรี้ยวนิดๆ มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว รับประทานกับข้าวเหนียวมูนอร่อยไม่แพ้มะม่วงกินสุกชนิดใดๆ ปัจจุบัน “มะม่วงมันขุนศรี” มีผลวางขายตามตลาดผลไม้ใหญ่ๆใน กทม.ไม่กี่แห่งเท่านั้น สนนราคากิโลกรัมละเป็นร้อยบาทขึ้น

มะม่วงมันขุนศรี หรือ มะม่วงมันบางขุนศรี มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับต้นมะม่วงทั่วไป มีลักษณะทรงผลประจำพันธุ์คือ ทรงผลจะแหลมและงอน ส่วนหัวผลจะป้านไปทางด้านหลังมาก ทำให้ดูคล้ายตัวอักษรภาษา อังกฤษรูปตัว “เอส” สวยงามน่าชมมาก ผลดิบสีเขียวมีนวล ผลสุกเป็นสีเหลืองอมส้มนิดๆ ติดผลเป็นพวง ๓-๕ ผล เมล็ดลีบและบาง นวลเนื้อในสุกเป็นสีเหลืองปนส้มเล็กน้อย รสหวานปนเปรี้ยวตามที่กล่าวข้างต้น ไม่มีเสี้ยน เนื้อเหนียว มีกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นมะม่วงพิมเสนมัน

ผลโตเต็มที่มีน้ำหนักเฉลี่ย ๓-๔ ผล ต่อ ๑ กิโลกรัม ติดผลปีละครั้งตามฤดูกาล จัดเป็นมะม่วงพันธุ์ดี โบราณชนิดหนึ่ง ขยายพันธุ์เมล็ดตอนกิ่งและเสียบยอด ปลูกได้ในดินทั่วไป ปลูกเพื่อเก็บผลรับประทานในครัวเรือนหรือเก็บผลขายคุ้มค่ามากครับ.
  ไทยรัฐ
  

     มะม่วงการะเกด ดิบสุกอร่อยดกทั้งปี  
มะม่วงชนิดนี้ เกิดจากการนำเอาเมล็ดของมะม่วงพันธุ์เบาดั้งเดิมของภาคใต้ไปเพาะจำนวนหลายเมล็ดจนแตกเป็นต้นกล้า แล้วนำไปปลูกจนต้นโตมีดอกและติดผล จากนั้นก็ทำการคัดพันธุ์เพียงหนึ่งต้นที่มีลักษณะดีที่สุดคือ ต้นไม่สูงใหญ่นัก ติดผลดกเป็นพวงเต็มต้น ขนาดใหญ่กว่าผลของมะม่วงพันธุ์เบาที่เป็นพันธุ์แม่เพียงเล็กน้อยอย่างชัดเจน
ผลดิบ รสชาติเปรี้ยวจัดนำไปปอกเปลือกแล้วสับเป็นฝอยปรุงเป็นยำมะม่วงใส่ยำชนิดต่างๆ หรือใส่น้ำพริกแทนการใช้น้ำมะนาวเพิ่มรสชาติให้มีกลิ่นหอมเปรี้ยวกรอบรับประทานอร่อยมาก ผลสุก เนื้อในเป็นสีเหลืองอมส้ม หวานหอมไม่มีเสี้ยนไม่เละแม้เนื้อจะสุกงอม เมล็ดไม่ใหญ่ให้

เนื้อเยอะอร่อยไม่แพ้มะม่วงกินสุกทั่วไป ผู้ขยายพันธุ์เชื่อว่าเป็นมะม่วงพันธุ์ใหม่ที่กลายพันธุ์อย่างแน่นอนจึงปลูกทดสอบพันธุ์อยู่หลายครั้งและหลายวิธีจนมั่นใจว่ากลายพันธุ์แบบถาวรแล้ว และได้ตั้งชื่อมะม่วงดังกล่าวว่า “มะม่วงการะ-เกด” พร้อมขยายพันธุ์ตอนกิ่งออกวางขายได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายอยู่ในเวลานี้

มะม่วงการะเกด มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับมะม่วงทั่วไป แต่ต้นจะไม่สูงใหญ่นัก ติดผลดกเป็นพวง ๗-๑๐ ผล รูปทรงของผลสวยงาม ผลดิบเป็นสีเขียว เมื่อสุกเป็นสีเหลืองอมส้ม รับประทานอร่อยทั้งผลดิบและสุกตามที่กล่าวข้างต้น ติดผลไม่ขาดต้นทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดตอนกิ่ง ทาบกิ่ง และเสียบยอด มีต้นขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ แผงหน้าตึกกองอำนวยการเก่า ราคาสอบถามกันเอง ปลูกได้ในดินทั่วไป หลังปลูก ๓ ปีกว่าๆ จะติดผลชุดแรกและติดผลดกเต็มต้นอย่างสม่ำเสมอแบบไม่ขาดต้นตลอดทั้งปี สามารถเก็บผลรับประทานและเก็บผลขายได้คุ้มค่ามาก
  ไทยรัฐ



     มะม่วงผ้าขี้ริ้วห่อทอง   กินสุกหวานมาก
มะม่วงชนิดนี้ เป็นสายพันธุ์ไทยโบราณที่นิยมปลูกและนิยมรับประทานอย่างกว้างขวางในแถบจังหวัดนนทบุรี และแถบใกล้เคียง คือย่านตลิ่งชัน เขตบางกอกน้อย กทม. มาช้านานแล้ว ส่วนใหญ่จะปลูกเพื่อเก็บผลกินในครัวเรือนมีเก็บผลขายบ้างประปราย มีลักษณะประจำพันธุ์คือ ผลอ่อนจะมีรสเปรี้ยวจัด ผลแก่ยังไม่ถึงสุกมีรสเปรี้ยวนำปนมันเล็กน้อย ปอกเปลือกฝานเป็นแว่นจิ้มพริกเกลือป่นหรือน้ำปลาหวานดีมาก ผลสุกรสหวานมาก วัดความหวานได้ประมาณ ๒๒-๒๔ องศาบริกซ์ ในยุคสมัยก่อนจึงปลูก “มะม่วงผ้าขี้ริ้วห่อทอง” เพื่อกินผลสุกเพียงอย่างเดียว

มะม่วงผ้าขี้ริ้วห่อทอง มีชื่อวิทยาศาสตร์และลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับมะม่วงทั่วไปทุกอย่าง คือ เป็นไม้ยืนต้น แต่จะสูงไม่เกิน ๗-๑๐ เมตร แตกกิ่งก้านสาขาเป็นพุ่มปานกลาง ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเวียนสลับถี่หรือออกเป็นคู่ๆที่บริเวณปลายยอด ใบเป็นรูปใบหอก หรือรูปขอบขนาน ปลายแหลม โคนมน เนื้อใบค่อนข้างหนาและแข็ง หน้าใบสีเขียวเข้ม หลังใบสีเขียวหม่น ใบดกให้ร่มเงาดีมาก

ดอก ออกเป็นช่อแบบแยกแขนงช่อที่ปลายยอด แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยจำนวนมาก ดอกมีขนาดเล็ก เป็นสีเหลืองนวล มีกลิ่นหอม “ผล” รูปกลมรียาว รูปทรงของผลสวย ติดผลเป็นพวง ๒-๓ ผล ผลโตเต็มที่มีน้ำหนักระหว่าง ๓-๔ ผล ต่อ ๑ กิโลกรัม ใน ๑ ผล มี ๑ เมล็ด มีดอกและติดผลดกตามฤดูกาลปีละครั้ง ขยายพันธุ์โดยทั่วไปด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง เป็นมะม่วงกินสุก เหมาะจะปลูกเก็บผลกินในครัวเรือนหรือปลูกหลายๆต้นเพื่อเก็บผลขายคุ้มค่ามาก
  ไทยรัฐ

fu.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09 กันยายน 2559 17:09:38 โดย กิมเล้ง » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5462


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 9.0 MS Internet Explorer 9.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #12 เมื่อ: 05 กรกฎาคม 2556 18:04:05 »

.

มะม่วงพิมเสนมัน
โดยธรรมชาติของมะม่วงพิมเสนพันธุ์ดั้งเดิมขณะผลยังดิบหรือแก่จัดจะมีรสเปรี้ยวเพียงอย่างเดียว ผลสุกแม้สุกงอมจะออกหวานปนเปรี้ยวเป็นลักษณะประจำพันธุ์ แต่จะมีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ใครได้สูดดมกลิ่นจะรู้ได้ ทันทีว่าเป็นมะม่วงพิมเสนเช่นเดียวกับมะม่วงพันธุ์ไทยทั่วไป ที่จะมีกลิ่นเป็นของตัวเองบอกให้รู้ว่าเป็นมะม่วงพันธุ์อะไร

ส่วน “มะม่วงพิมเสนมัน” จะมีความแตกต่างจากมะม่วงพิมเสนดั้งเดิมที่กล่าวข้างต้นอย่างชัดเจน คือ ผลดิบหรือแก่ยังไม่ถึงสุกจะมีรสชาติหวานมันปนเปรี้ยวนิดๆ ใช้มีดปอกเปลือกฝานเป็นชิ้นรับประทานเปล่าๆได้เหมือนกับมะม่วงพันธุ์ทั่วไปได้เลย กรอบอร่อยมาก

ผลสุก เนื้อจะแน่นเหนียวไม่เละแม้สุกงอม ไม่มีเสี้ยน เมล็ดลีบบางและเล็ก รสชาติหวานมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว สามารถรับประทานกับข้าวเหนียวนึ่งสุกใหม่ๆ หรือข้าวสวยร้อนๆ อร่อยได้คุณค่าทางอาหารดียิ่งนัก

มะม่วงพิมเสนมันเป็นพันธุ์โบราณที่นิยมปลูกเฉพาะถิ่นในแถบภาคกลางมาช้านาน ปลูกกันมากที่สุดในย่านตลิ่งชัน เขตบางกอกน้อย กทม. กับ อ.ไทรน้อย อ.บางกรวย จ.นนทบุรี มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์ เป็นไม้ยืนต้นสูง ๑๕-๒๐ เมตร ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเวียนสลับที่ี่บริเวณปลายยอด ใบเป็นรูปใบหอก ปลายแหลม โคนมน ใบมีขนาดใหญ่กว่าใบของมะม่วงพันธุ์ทั่วไปอย่างชัดเจน ดอกออกเป็นช่อที่ปลายยอด เป็นสีเหลืองนวล มีกลิ่นหอม “ผล” รูปกลมรี ปลายผลงอนย้อยหรืองอนแหลม ผลขนาดใหญ่ น้ำหนักเฉลี่ยประมาณเกือบ ๑ กิโลกรัมต่อผล ผลดิบสีเขียว เมื่อสุกเป็นสีเหลืองอมส้ม ผลสุกจะมีกลิ่นหอมประจำพันธุ์ รับประทานอร่อยทั้งผลดิบและผลสุก ติดผลดกตามฤดูกาลปีละครั้ง ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง

มีกิ่งพันธุ์ขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ ๑๗ ราคาสอบถามกันเองครับ.  
  นสพ.ไทยรัฐ


     "มะม่วงตาเตะหลาน"  อร่อยทั้งดิบและสุก
มะม่วงที่เป็นพันธุ์ไทยโบราณ กำลังเป็นที่ต้องการปลูกอย่างกว้างขวางในยุคปัจจุบัน เนื่องจากผู้ปลูกทุกคนพูดตรงกันว่า มะม่วงพันธุ์ไทยโบราณเนื้อดิบและเนื้อสุกจะรับประทานอร่อยมาก และที่สำคัญทุกคนกล่าวเหมือนกันอีกว่า เนื้อดิบและเนื้อสุกของมะม่วงพันธุ์ไทยโบราณ เมื่อรับประทานแล้วสามารถระบุได้เลยว่ากำลังรับประทานมะม่วงชื่อพันธุ์อะไรอยู่ เพราะรสชาติของแต่ละพันธุ์จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนกันอย่างชัดเจน เช่น มะม่วงอกร่องเขียว อกร่องทอง มะม่วงมหาชนก และมะม่วงเขียวเสวย เป็นต้น และ “มะม่วงตาเตะหลาน” ก็จัดเป็นมะม่วงพันธุ์ไทยโบราณอีกชนิดหนึ่งที่กิ่งตอนผลิตจำหน่ายแทบไม่ทันในเวลานี้
 
มะม่วงตาเตะหลาน เป็นมะม่วงพันธุ์โบราณที่ นิยมปลูกเฉพาะถิ่นในแถบ จ.อ่างทอง มาช้านานแล้ว มีตำนานเล่าขานว่า มีคุณตาท่านหนึ่ง ไปทำบุญที่วัดข้างบ้านเป็นประจำ และมีอยู่วันหนึ่ง พระหลวงตาฉันเพลเสร็จนำเอาผลมะม่วงสุกปอกเปลือกเฉือนเนื้อให้ คุณตารับประทานรสชาติหวานอร่อยมาก คุณตาจึงสอบถามว่าเป็นมะม่วงอะไร แต่หลวงตาจำชื่อไม่ได้และมอบมะม่วงสุกดังกล่าวให้คุณตา ๑ ผล นำไปซ่อนไว้ในตู้กับข้าวแล้วไปนั่งคุยกับเพื่อนบ้าน พอกลับมาจะเอามะม่วงที่ซ่อนไว้ออกมารับประทาน ปรากฏว่าหายไปแล้วเพราะลูกหลานขโมยกิน คุณตาเลยไล่เตะหลานวิ่งหนีรอบบ้าน จึงถูกตั้งชื่อมะม่วงดังกล่าวว่า “มะม่วงตาเตะหลาน” เรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน
 
มะม่วงตาเตะหลาน มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับมะม่วงทั่วไป “ผล” กลมและอวบอ้วน ผลดิบและแก่จัดหวานปนเปรี้ยว กรอบเหมือนมะม่วงเขียวเสวย ผลสุกเนื้อแน่นเหนียว ไม่เละ หวาน หอม อร่อยมาก
 ไทยรัฐ - ศุกร์ที่ ๒๐/๗/๕๗


     "มะม่วงสาวงามไซซี"  อร่อยดกทั้งปี
มะม่วงชนิดนี้เป็นพันธุ์ใหม่ของประเทศไต้หวัน เกิดจากฝีมือนักปรับปรุงพันธุ์ชื่อดังชาวไต้หวัน มีดีกรีชนะเลิศ การประกวดคุณภาพมะม่วงพันธุ์ใหม่ของประเทศไต้หวันมาแล้ว มีลักษณะเด่น คือ ผลมีขนาดใหญ่ รูปทรงของผลยาวดูสวยงามดี เปรียบเหมือนความงามของสตรี และผู้ขายกิ่งตอนบอกว่าจึงถูกตั้งชื่อตามประวัติของสาวงามชนชาติจีนว่า “มะม่วงสาวงามไซซี” ดังกล่าว
 
มะม่วงสาวงามไซซี มีลักษณะทางพฤษศาสตร์เหมือนกับมะม่วงทั่วไป เป็นไม้ยืนต้น สูง ๓-๕ เมตร กิ่งอ่อนมักโค้งงอ ใบจะมีความเป็นพิเศษ
คือมีขนาดใหญ่และยาวมาก เมื่อนำเอาใบไปเทียบกับใบมะม่วงพันธุ์ทั่วไปจะเห็นได้อย่างชัดเจน ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอด ดอกเป็นสีนวล มีกลิ่นหอมเช่นดอกมะม่วงทั่วไป “ผล” กลมยาว โหนกสวย หลังตรง ผลเป็นสีแดงตั้งแต่ติดผลอ่อน เมื่อผลสุกจะเปลี่ยนเป็นสีส้มหรือสีแดงเข้มตลอดทั้งผล ติดผลเป็นพวง ๖-๘ ผล ผลโตเต็มที่ นํ้าหนักเฉลี่ย ๐.๙-๑.๕ กิโลกรัม เมล็ดบางเล็ก
 
ผลแก่ยังไม่ถึงกับสุก เนื้อจะกรอบหวานมันอร่อยเหมือนกับเนื้อมะม่วงเขียวเสวยทุกอย่าง ผลสุกเนื้อในเป็นสีเหลืองเข้ม เนื้อเหนียวแน่น ละเอียด ไม่เละ มีเสี้ยนเล็กน้อย รสหวานจัด วัดความหวานได้ ๑๕-๑๗ องศาบริกซ์ เนื้อมีกลิ่นหอม รับประทานกับข้าวเหนียวมูน หรือข้าวสุกร้อนๆ อร่อยได้คุณค่าทางอาหารดีมาก ซึ่ง “มะม่วงสาวงามไซซี” เป็นสายพันธุ์ที่ติดผลดกตลอดปี หรืออย่างน้อยปีละ ๒ ครั้ง ขยายพันธุ์ทั่วไปได้ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง และเสียบยอด
 
ปัจจุบันมีกิ่งตอนขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ โครงการ ๒๑ เป็นกิ่งตอนด้วยระบบเสียบยอดกับตอมะม่วงแก้วขมิ้นทำให้ปลูกแล้วโตเร็ว หลังปลูก ๒ ปี ให้ผลผลิตชุดแรก ราคาสอบถามกันเองครับ.
 ไทยรัฐ- วันพฤหัสบดีที่ ๑๙/๖/๕๗


     มะม่วงทองดำ ปลูกอร่อยคุ้ม  
ปัจจุบัน มะม่วงพันธุ์ไทยโบราณกำลังเป็นที่นิยมปลูกอย่างแพร่หลาย เนื่องจากผู้ปลูกส่วนใหญ่จะพูดเหมือนกันคือ มะม่วงพันธุ์ไทยโบราณบางสายพันธุ์สามารถปิดตาแล้วรับประทานเนื้อจากผลทั้งดิบและสุกจะตอบได้ถูกต้องเลยว่ากำลังกินเนื้อมะม่วงชื่ออะไรอยู่ ซึ่ง “มะม่วงทองดำ” อยู่ในกลุ่มดังกล่าวด้วยและเคยแนะนำในคอลัมน์ไปแล้ว แต่ยังมีผู้ต้องการกิ่งตอนไปปลูกอีกเยอะจึงขอแนะนำ “มะม่วงทองดำ” อีกครั้ง

มะม่วงทองดำ อยู่ในวงศ์ ANACARDIACEAE ต้นสูง ๑๐-๑๕ เมตร ใบออกเรียงสลับถี่บริเวณปลายยอด เป็นรูปรี ปลายแหลม โคนมน ใบสีเขียวสด ใบดกและหนาแน่นให้ร่มเงาดีมาก ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอด สีเหลืองนวล มีกลิ่นหอม “ผล” รูปกลมรี ผลอ้วนใหญ่ ติดผลเป็นพวง ๑-๓ ผล ลักษณะผลจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเห็นแล้วจะรู้ได้ทันทีว่าเป็นผล “มะม่วงทองดำ” เมล็ดลีบ เนื้อเยอะ

ผลดิบ มีรสชาติมันปนเปรี้ยว เมื่อผลสุกผิวผลจะเป็นสีเขียวปนเหลืองเล็กน้อยทำให้ดูคล้ำๆ หรือดำๆ เนื้อในขณะสุกมีด้วยกัน ๒ ชนิดพันธุ์คือ เป็นสีเหลืองเข้มกับสีส้ม จึงถูกตั้งชื่อตามลักษณะของสีผลและเนื้อในสุกว่า “มะม่วงทองดำ” รสชาติหวานหอมอร่อยมาก สมัยเป็นเด็กจำได้ว่าเวลากิน “มะม่วงทองดำ” สุกจะเอาผลล้างน้ำให้สะอาดแล้วบีบคลึงให้เนื้อในเละจึงกัดบริเวณตูดผลดูดกินเนื้อจนหมด หรือบีบเนื้อให้เละแล้วใช้มีดคมๆ เฉือนส่วนหัวผลดูดกินเนื้อให้เหลือครึ่งหนึ่ง เอาข้าวสวยร้อนๆ หรือข้าวเหนียวร้อนๆ ยัดลงไปให้เข้ากับเนื้อสุกรับประทานอร่อยมาก ติดผลปีละครั้งตามฤดูกาล ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง

ปัจจุบันมีกิ่งตอนรุ่นใหม่ขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ ๑๕ ราคาสอบถามกันเองครับ..
...ไทยรัฐ



    มะม่วงงูเห่า
มะม่วงงูเห่า มะม่วงชนิดนี้ เป็นพันธุ์โบราณนิยมปลูกมาช้านานทุกภาคของประเทศไทย มีลักษณะประจำพันธุ์คือเป็นมะม่วงติดผลดกตามฤดูกาล รูปทรงของผลคล้ายผลมะม่วงพิมเสน แต่จะเรียวยาวกว่าอย่างชัดเจน เมล็ดลีบโดยธรรมชาติ เนื้อผลเยอะ ผลดิบรสเปรี้ยวจัด ฉ่ำน้ำ ปอกเปลือกสับเป็นฝอยปรุงเป็นส้มตำมะม่วงหรือยำมะม่วงแซ่บดีนัก เนื่องจากมีกลิ่นเปรี้ยวหรือ “กลิ่นส้ม” แรงโชยเข้าจมูกชวนให้น้ำลายสออยากรับประทานทันที

ผลสุก สีสันของผลสวยงามน่าชมยิ่ง เนื้อในสุกเป็นสีส้ม รสชาติหวานหอมเหมือนเนื้อสุก มะม่วงอกร่องทุกอย่าง ซึ่งถือเป็นเรื่องแปลกมาก แม้ผลจะสุกขนาดไหนเนื้อในก็จะไม่เละ ยังคงเหนียวหนึบ ไม่มีเสี้ยน รับประทานอร่อยมาก โดยในยุคสมัยก่อนผู้เฒ่าผู้แก่จะใช้มีดคมๆเฉือนผลสุกทั้งเปลือก ๒ แก้ม แล้วใช้ช้อนตักกินเนื้อกับข้าวสวยร้อนๆ ข้าวเหนียวมูน หรือข้าวเหนียวนึ่งสุกใหม่ๆ อร่อยเหมือนกับมะม่วงอกร่อง ได้คุณค่าทางโภชนาการ ดีมาก จึงทำให้ “มะม่วงลิ้นงูเห่า” ได้รับความนิยมปลูกและรับประทานจนกระทั่งปัจจุบัน

ส่วนที่มาของชื่อ เนื่องจากรูปทรงของผลเรียวยาว ปลายผลโค้งงอดูเหมือนลิ้นงูเห่า คนในยุคสมัยก่อน จึงเรียกชื่อว่า “มะม่วงลิ้นงูเห่า” ดังกล่าว   มะม่วงลิ้นงูเห่า เป็นมะม่วงพันธุ์เบาติดผลง่ายและดกมาก เวลาติดผลจะเป็นพวง ๓-๕ ผล น้ำหนักผลเมื่อโตเต็มที่ประมาณ ๓ ผล ต่อ ๑ กิโลกรัม ความหวานของผลสุกประมาณ ๒๕ องศาบริกซ์ ติดผลปีละครั้งตามฤดูกาล ขยายพันธุ์ทั่วไปด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง เสียบยอด
 นสพ.ไทยรัฐ – ศุกร์ที่ ๒๖/๑๑/๕๗



    มะม่วงลิ้นงูเห่า พันธุ์ไทยโบราณอร่อยปลูกคุ้ม
มะม่วงชนิดนี้ เป็นมะม่วงพันธุ์ไทยโบราณ นิยมปลูกและนิยมรับประทานมาช้านานเกือบทุกภาคของประเทศไทย ปลูกมากที่สุดในแถบภาคกลาง มีลักษณะเด่นประจำพันธุ์คือ เป็นมะม่วงติดผลดกมากตามฤดูกาล รูปทรงของผลสวยคล้ายกับมะม่วงพิมเสนและผลของมะม่วงมหาชนก แต่ผลของ “มะม่วงลิ้นงูเห่า” จะเรียวยาวและใหญ่กว่าเล็กน้อยอย่างชัดเจน เมล็ดลีบและบาง ผลดิบรสเปรี้ยวจัด ฉ่ำน้ำและกรอบ ปอกเปลือกสับฝานเป็นฝอยๆ ปรุงเป็นส้มตำมะม่วงหรือยำมะม่วงจะมีกลิ่นหอมแบบเปรี้ยวๆ หรือคนส่วนใหญ่นิยมเรียกว่ากลิ่นส้ม โชยเข้าจมูกทำให้น้ำลายสออยากรับประทานทันที

ผลสุกเปลือกผล จะเป็นสีเหลืองเข้มอมส้มสวยงามน่าชมยิ่ง โดยเฉพาะผลสุกจะมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวเช่นเดียวกับมะม่วงพิมเสนและมะม่วงมหาชนก ทำให้รู้สึกได้ทันที เนื้อสุกเป็นสีเหลืองเข้มหรือสีส้ม รสชาติหวานหอมเหมือนเนื้อสุกของมะม่วงอกร่องทุกอย่าง จึงถือเป็นเรื่องแปลกมาก เนื้อสุกขนาดไหนก็ไม่เละ ยังคงเหนียวหนึบไม่มีเสี้ยน รับประทานอร่อยยิ่งนัก ในยุคสมัยก่อนผู้เฒ่าผู้แก่ นิยมใช้มีดคมๆเฉือนผลสุกทั้งเปลือก ๒ แก้มผลแล้วใช้ช้อนตักเอาเนื้อกินกับข้าวสวยร้อนๆ ข้าวเหนียวมูนหรือข้าวเหนียว นึ่งสุกใหม่ๆ อร่อยได้คุณค่าทางโภชนาการดีไม่แพ้การรับประทานกับมะม่วงอกร่องสุกแต่อย่างใด

มะม่วงลิ้นงูเห่า มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับมะม่วงทั่วไป เป็นมะม่วงพันธุ์เบา คือ ติดผลง่ายและดกเต็มต้นตามฤดูกาลโดยธรรมชาติ เวลาติดผลจะเป็นพวง ๓-๕ ผล ผลโตเต็มที่มีน้ำหนักเฉลี่ยระหว่าง ๓ ผลต่อ ๑ กิโลกรัม วัดความหวานของเนื้อสุกได้ประมาณ ๒๕ องศาบริกซ์ ติดผลปีละครั้งตามฤดูกาลที่กล่าวข้างต้น ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง และเสียบยอด ส่วนที่มาของชื่อ เนื่องจากรูปทรงของผลเรียวยาว ปลายโค้งงอดูคล้ายกับลิ้นงูเห่า จึงถูกตั้งชื่อว่า “มะม่วงลิ้นงูเห่า” ดังกล่าว และเรียกชื่อนี้เรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน
  ไทยรัฐ – พฤหัสบดีที่ ๗/๕/๕๘


    มะม่วงอกร่องทองเกษตร ๑
มะม่วงอกร่องทองเกษตร ๑ มะม่วง “อกร่องทองเกษตร ๑” มีที่มาพันธุ์คือ ถูกคัดพันธุ์จากมะม่วงอกร่องทองพันธุ์แท้ดั้งเดิมของไทยโบราณ โดยเกษตรมืออาชีพหลายวิธี จนทำให้มีลักษณะเด่นกว่ามะม่วงอกร่องทองพันธุ์ดั้งเดิมหลายอย่าง เช่น ลำต้นแข็งแรง ขนาดความสูงเตี้ยลงกว่าเดิมอย่างชัดเจน และที่ถือว่าดีที่สุดของมะม่วง “อกร่องทองเกษตร ๑” ได้แก่ จะติดผลดกมาก ติดผลเป็นพวงตามฤดูกาลโดยธรรมชาติ ผู้ปลูกไม่ต้องใช้ไม้ค้ำยันกิ่งเวลาติดผลดกให้เสียเวลาเหมือนกับมะม่วงสายพันธุ์อื่น   รูปทรงของผลสวย เหมือนกับผลของมะม่วงอกร่องทองพันธุ์ดั้งเดิมทุกอย่าง เพียงแต่ผลของมะม่วง “อกร่องทองเกษตร ๑” จะมีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย ผลดิบสีเขียว เมื่อสุกเป็นสีเหลืองทองน่าชมยิ่งนัก เนื้อสุกเป็นสีเหลือง รสชาติหวานหอมแบบมะม่วงอกร่องทองหรือมะม่วงอกร่องเขียวที่เป็นเอกลักษณ์มะม่วงไทยทุกอย่าง ซึ่งวัดความหวานได้ประมาณ ๒๔ องศาบริกซ์ มีเสี้ยนน้อย รับประทานกับข้าวเหนียวมูนหรือข้าวสวยข้าวเหนียวร้อนๆ อร่อยมาก

มะม่วง “อกร่องทองเกษตร 1” หรือ MANGIFERA INDICA LINN. อยู่ในวงศ์ ANACARDIACEAE มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับมะม่วงอกร่องทั่วไปทุกอย่าง ผู้ปลูกสามารถตัดแต่งกิ่งเพื่อทำให้ต้นเตี้ยลงได้อีก คือต้นจะสูงเพียง ๓-๕ เมตรเท่านั้น แต่จะไม่ทำให้ผลผลิตต่อต้นลดน้อยลง ยังคงติดผลเป็นพวงและติดผลดกเหมือนเดิมทุกอย่างตามภาพประกอบคอลัมน์ เป็นมะม่วงปีหรือติดผลปีละครั้งตามฤดูกาล เมื่อต้นเตี้ยสามารถดูแลรักษาและเก็บผลได้ง่ายขึ้น ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง THE BIGGEST FAIR ราคาสอบถามกันเองครับ
  ไทยรัฐ – พฤหัสบดีที่ ๗/๕/๕๘


    มะม่วงตลับนาก
ปัจจุบัน ผู้ปลูกมะม่วงนิยมเสาะหามะม่วงที่เป็นพันธุ์ไทยโบราณไปปลูกกันอย่างกว้างขวาง เนื่องจากแต่ละพันธุ์จะมีรสชาติหวานหอม รับประทานอร่อยเป็นเอกลักษณ์ไทย แตกต่างจากรสชาติของมะม่วงที่เป็นพันธุ์นำเข้าจากต่างประเทศอย่างชัดเจน และ “มะม่วงตลับนาก” เป็นอีกสายพันธุ์หนึ่งของไทยที่ครองใจผู้ปลูก ผู้รับประทานมายาวนานจนกระทั่งทุกวันนี้

มะม่วงตลับนาก มีชื่อวิทยาศาสตร์เหมือน กับมะม่วงทั่วไปคือ MANGIFERA INDICA LINN. อยู่ในวงศ์ ANACARDIACEAE เป็นไม้ยืนต้น สูง ๑๐-๑๕ เมตร แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มแน่น ใบเป็นใบเดี่ยวออกเวียนสลับถี่บริเวณปลายยอด ใบเป็นรูปรีแกมรูปขอบขนาน ปลายใบแหลม โคนมน เนื้อใบหนา สีเขียวสด ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอด แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยจำนวนมาก เป็นสีเหลืองนวล มีกลิ่นหอม “ผล” รูปกลมรีและแบนเล็กน้อย โหนกและหลังผลนูนสูงอย่างชัดเจน ปลายผลงอนเป็นติ่งแหลมและเป็นจะงอยนิดๆ ผลโตเต็มที่น้ำหนักเฉลี่ยประมาณ ๔๐๐ กรัมต่อผล หรือประมาณ ๔ ผลต่อ ๑ กิโลกรัม ติดผลเป็นพวง ๗-๑๐ ผล ผลดิบสีเขียว เมื่อสุกเป็นสีเหลืองดูคล้ายสีของตลับนากในยุคโบราณ จึงถูกตั้งชื่อตามลักษณะดังกล่าวว่า “มะม่วงตลับนาก” และเรียกกันเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน

ส่วนรสชาติของ “มะม่วงตลับนาก” ขณะดิบจะเปรี้ยวจัด ฉ่ำน้ำ กรอบ สับเป็นฝอยปรุงเป็นยำมะม่วงดีมาก ผลสุกเป็นสีเหลือง เนื้อสุกวัดความหวานได้ประมาณ ๑๔ องศาบริกซ์ มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว เสี้ยนน้อย เมล็ดไม่ลีบเล็ก ๑ ผล มี ๑ เมล็ด รับประทานผลสุกอร่อยไม่แพ้มะม่วงกินสุกทั่วไป สามารถติดผลได้ปีละ ๒ ครั้ง ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง และเสียบยอด   มีกิ่งตอนรุ่นใหม่ ขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ โครงการ ๑๗  ราคาสอบถามกันเอง เหมาะจะปลูกเก็บผลรับประทานในครัวเรือน หรือเก็บผลขายเพื่อความแตกต่างและจำเจคุ้มค่ามากครับ.
  นสพ.ไทยรัฐ – พุธที่ ๔/๓/๕๘


    มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง
มะม่วงชนิดนี้ เกิดจากการเอาเมล็ดของ มะม่วงน้ำดอกไม้พระประแดง เพาะเป็นต้นกล้าแล้วปลูกเลี้ยงจนต้นโตมีดอกและติดผล ปรากฏว่า มีความแปลกจากพันธุ์ดั้งเดิมคือ ขณะผลยังอ่อนได้ ๑-๒ เดือน สีผลจะเป็นสีเขียว แต่พ้น ๑-๒ เดือนไปแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อนตลอดทั้งผล และจะเป็นเช่นนี้ไปจนกระทั่งผลแก่หรือสุกสีเหลืองจะเข้มขึ้น ทำให้เวลาติดผลดกทั้งต้นดูสวยงามมาก เนื้อสุกรสชาติหวานหอม เมล็ดบางเสี้ยนน้อย รับประทานอร่อยมาก  ที่สำคัญ สามารถติดผลดกได้ตลอดทั้งปี หรือนิยมเรียกว่าทวายนั่นเอง เจ้าของผู้เพาะเมล็ดคือ พ.อ.อ.สมาน เอมอ่อง เชื่อว่าเป็นมะม่วงกลายพันธุ์ จึงปลูกทดสอบพันธุ์อยู่หลายวิธีและหลายครั้งจนมั่นใจว่าเป็นพันธุ์ใหม่อย่างถาวรแน่นอนแล้ว จึงตั้งชื่อว่า “มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง” พร้อมจดลิขสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมาย และขยายพันธุ์ออกวางขายได้รับความนิยมจากผู้ซื้อไปปลูกอย่างแพร่หลายและต่อเนื่องจนกระทั่งปัจจุบัน

มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับมะม่วงทั่วไปทุกอย่าง “ผล” เป็นรูปกลมรีและยาว ทรงผลสวย เมื่อโตเต็มที่แต่ละผลจะมีน้ำหนักเฉลี่ยระหว่าง ๓๐๐-๔๐๐ กรัม ติดผลดกเป็นพวง ๕-๗ ผล ติดผลดกเต็มต้นตลอดทั้งปี ผลเป็นสีเหลืองตั้งแต่ผลเล็กจนกระทั่งผลแก่สุกสวยงามน่าชมยิ่ง เมล็ดลีบบาง เนื้อเยอะ รสชาติหวานหอม ไม่มีเสี้ยน รับประทานอร่อยมาก ตามที่กล่าวข้างต้น ขยายพันธุ์ทั่วไปด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง และเสียบยอด  ปัจจุบัน “มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง” มีกิ่งพันธุ์ขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ ๑๗ ปลูกได้ในดินทั่วไป เหมาะจะปลูกเพื่อเก็บผลรับประทานในครัวเรือน หรือปลูกเพื่อเก็บผลขาย ขุดหลุมกว้างหนึ่งฟุต ลึกเท่ากับปากถุงดำของกิ่งตอนหรือปากกระถาง จากนั้นนำต้นลงปลูกโดยรองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกกลบหน้าดินให้แน่น รดน้ำพอชุ่มเช้าเย็น พร้อมบำรุงปุ๋ยสม่ำเสมอเดือนละครั้ง เมื่อต้นโตมีดอกและติดผลจะคุ้มค่ามากครับ.  
  นสพ.ไทยรัฐ – อังคารที่ ๑๗/๒/๕๘  


    มะม่วงน้ำดอกไม้สีม่วง
มะม่วงชนิดนี้ เกิดจากการพัฒนาพันธุ์ของ ศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร ต.มหาสวัสดิ์ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี ด้วยวิธีผสมเกสร ระหว่างมะม่วงน้ำดอกไม้เบอร์ ๔ ปากน้ำ กับมะม่วงหงจูของไต้หวัน จากนั้นนำเอาเมล็ดที่ได้จากผลสุกหลายเมล็ด ไปเพาะเป็นต้นกล้าปลูกจนต้นโตมีดอกและติดผล ปรากฏว่าผลดกมาก รูปทรงผลเหมือนกับผลมะม่วงน้ำดอกไม้พันธุ์พ่อ ส่วนสีผลไม่เป็นสีเขียว แต่จะเป็นสีม่วงตั้งแต่ติดผลอ่อนขนาดเล็ก กระทั่งผลแก่และสุกคล้ายสีของมะม่วงหงจู ซึ่งเป็นพันธุ์แม่ และสีจะเข้มกว่าอย่างชัดเจน ทำให้ดูสวยงามมาก ทางศูนย์ถ่ายทอดทคโนโลยีการเกษตรฯ ได้ปลูกทดสอบพันธุ์จนมั่นใจว่าเป็นมะม่วงพันธุ์ใหม่อย่างแน่นอนแล้ว จึงตั้งชื่อประจำพันธุ์ว่า “มะม่วงน้ำดอกไม้สีม่วง” พร้อมขยายพันธุ์ตอนกิ่งออกวางขาย กำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายอยู่ในเวลานี้

มะม่วงน้ำดอกไม้สีม่วง มีข้อโดดเด่นคือ ผลเมื่อโตเต็มที่มีน้ำหนักเฉลี่ยระหว่าง ๐.๘-๑.๒ กิโลกรัมต่อผล ผลดิบรสเปรี้ยวไม่มากนัก ปอกเปลือกฝานบางๆจิ้มพริกเกลือป่น หรือจิ้มน้ำปลาหวานอร่อยดี ผลสุกหวานหอมเป็นเอกลักษณ์ เมล็ดบางเล็ก เนื้อเหนียวแน่นไม่เละ กินกับข้าวเหนียวมูนหรือข้าวสวยร้อนๆอร่อยได้คุณค่าทางโภชนาการไม่แพ้มะม่วงกินสุกทั่วไปแม้แต่น้อย เป็นมะม่วงติดผลเรื่อยๆเกือบทั้งปี ขยายพันธุ์ทั่วไปด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง และเสียบยอด  ใครต้องการกิ่งตอนด้วยระบบเสียบยอด ติดต่อศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร ต.มหาสวัสดิ์ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี โทร. ๐๘-๑๘๐๖-๕๕๑๓  และที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ โครงการ ๒๑ ราคาสอบถามกันเองครับ.
  นสพ.ไทยรัฐ – อังคารที่ ๙/๑๒/๕๘  


    มะม่วงตะเพียนทอง
มะม่วงตะเพียนทอง เป็นไม้ยืนต้น สูง ๑๐-๒๐ เมตร ใบเดี่ยว ออกเวียนสลับหนาแน่นช่วงปลายยอด ใบเป็นรูปรีแกมรูปขอบขนาน ปลายใบแหลม โคนใบมน เนื้อใบหนาแข็ง ผิวใบเรียบเป็นมัน สีเขียวสด ใบดกให้ร่มเงาดีมาก  ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอด แต่ละช่อประกอบ ด้วยดอกย่อยขนาดเล็กจำนวนมาก เป็นสีเหลืองนวล มีกลิ่นหอมเหมือนกับดอกมะม่วงทั่วไป “ผล” กลมรีและยาว ผลเมื่อโตเต็มที่มีน้ำหนักเฉลี่ยระหว่าง ๔๒๓.๓๓ กรัม ต่อผล ติดผลดกเป็นพวง ๒-๓ ผล ผลดิบสีเขียว รสเปรี้ยวจัด ฉ่ำน้ำ กรอบ ผลสุกเป็นสีเหลือง เนื้อในเป็นสีเหลืองอมส้มเล็กน้อย เนื้อไม่เละ เหนียวและหนึบ มีเสี้ยนน้อย รสชาติหวานประมาณ ๒๓ องศาบริกซ์ มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว รับประทานอร่อยทั้งผลดิบและผลสุก เป็นมะม่วงปี หรือติดผลดกปีละครั้งตามฤดูกาล ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง และเสียบยอด

มะม่วงตะเพียนทอง เป็นสายพันธุ์ไทยโบราณที่นิยมปลูกเฉพาะถิ่นทางภาคกลางทั่วไปมาช้านานแล้ว ปลูกมากที่สุดในพื้นที่ จ.นนทบุรี และย่านตลิ่งชัน เขตบางกอกน้อย กทม. โดยในยุคสมัยนั้นมีผลดิบและผลสุกวางขายมากมาย มีผู้ซื้อไปรับประทานอย่างแพร่หลาย  ปัจจุบันมีกิ่งตอนรุ่นใหม่ขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ ๑๗ ราคาสอบถามกันเอง ปลูกได้ในดินทั่วไป เหมาะจะปลูกเพื่อเก็บผลรับประทานในครัวเรือน หรือปลูกเพื่อเก็บผลขายเชิงพาณิชย์ คุ้มค่ามากครับ  
  นสพ.ไทยรัฐ – ศุกร์ที่ ๒๐/๓/๕๘



    มะม่วงหงส์หลง
มะม่วงหงส์หลง เป็นพันธุ์จากประเทศไต้หวัน ถูกนำเข้ามาปลูกและขยายพันธุ์ในประเทศไทยนานกว่า ๔-๕ ปีแล้ว สามารถเจริญเติบโตมีดอกและติดผลดกเต็มต้นเป็นพวงได้ดีไม่แพ้การปลูกในประเทศไต้หวันถิ่นกำเนิดเดิมทุกอย่าง ส่วนรสชาติ ผลดิบยังไม่แก่ถึงสุกจะเปรี้ยวจัด ผลสุกเนื้อไม่เละหวานหอมเหมือนกินเนื้อของมะม่วงอกร่องไทยทุกอย่าง รับประทานกับข้าวเหนียวมูน ข้าวเหนียวนึ่งสุกใหม่ๆ และข้าวสวยร้อนๆ  อร่อยมาก เป็นมะม่วงกินสุกที่ได้รับความนิยมปลูกอย่างต่อเนื่อง เพราะติดผลดกปลูกแล้วคุ้มนั่นเอง

มะม่วงหงส์หลง มีชื่อวิทยาศาสตร์และมีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับมะม่วงทั่วไปทุกอย่างคือ MANGIFERA INDICA LINN. อยู่ในวงศ์ ANACARDIACEAE เป็นไม้ยืนต้น ปลูกแล้วตัดแต่งกิ่ง จะสูง ๕-๗ เมตร ใบเดี่ยวออกสลับหนาแน่นส่วนปลายยอด ปลายแหลมโคนมน ปลายใบมักงอขึ้น ขอบใบเป็นคลื่นเล็กน้อย คล้ายใบมะม่วงอกร่องไทย ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอด เป็นสีเหลืองนวล มีกลิ่นหอม “ผล” รูปกลมรี โตเต็มที่น้ำหนักประมาณ ๖ ขีด ผลดิบสีเขียวรสเปรี้ยวจัด ผลสุกผิวผลตั้งแต่ส่วนหัวลงไปถึงครึ่งผลให้ถูกแดด ไม่ห่อป้องกันแมลงจะเป็นสีแดงคล้ายสีของมะม่วงแก้มแหม่มไทยสวยงามน่าชมยิ่ง รสชาติผลสุกจะหวานหอมและมีเสี้ยนเล็กน้อย รับประทานอร่อยเหมือนกับเนื้อสุกของมะม่วงอกร่องไทยตามที่กล่าวข้างต้น เมล็ดลีบบางให้เนื้อเยอะ และ ที่สำคัญของ “มะม่วงหงส์หลง” คือ เป็นมะม่วงที่สามารถติดผลนอกฤดูกาลได้อีกด้วย และจะติดผลดกเป็นพวงโดยธรรมชาติตามภาพประกอบคอลัมน์ ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง และเสียบยอด

ปัจจุบัน “มะม่วงหงส์หลง” มีกิ่งตอนด้วยระบบทาบกิ่งขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ แผงตรงกันข้ามกับโครงการ ๑๕ ราคาสอบถามกันเอง เหมาะจะปลูกเพื่อเก็บผลกินในครัวเรือนหรือปลูกหลายๆ ต้นเพื่อเก็บผลขายเชิงพาณิชย์คุ้มค่ามากครับ.




     มะม่วงพระยาลืมเฝ้า ดกหวานพอดี
มะม่วงชนิดนี้ เป็นพันธุ์ไทยโบราณที่นิยมปลูกเฉพาะถิ่นในแถบภาคกลางมาช้านานแล้ว โดยเฉพาะ จ.นนทบุรี และย่านตลิ่งชัน เขตบางกอกน้อย ฝั่งธนบุรี กทม. ซึ่งมีเรื่องเล่าว่า เวลามะม่วงดังกล่าวติดผลจะดกเต็มต้นน่าชมยิ่ง ถ้าหากผู้ปลูกไม่มีคนคอยเฝ้าหรือดูแลจะถูกคนขโมยสอยเก็บเอาผลไปจนเกลี้ยงต้น เลยถูกเรียกชื่อว่า “มะม่วงพระยาลืมเฝ้า” ดังกล่าว และถูกเรียกกันเรื่อยมาจนกระทั่งทุกวันนี้

ส่วนรสชาติของเนื้อสุกเท่าที่ได้ทดลองกินปรากฏว่ามีรสหวานหอมใช้ได้ แต่จะไม่ถึงกับหวานจัด หากรับประทานกับข้าวเหนียวมูนจะมีรสชาติหวานได้แบบพอดีเลย เนื้อในผลสุกมีสีสวยไม่เละ ผลดิบผู้ที่เคยกินบอกว่า เนื้อกรอบรสเปรี้ยวปนมันปอกเปลือกแล้วฝานเป็นชิ้นบางๆ จิ้มน้ำปลาหวานหรือพริกเกลือป่นอร่อยมาก
มะม่วงพระยาลืมเฝ้า เป็นไม้ยืนต้น สูง ๑๐-๑๕ เมตร ใบเดี่ยว ออกเรียงสลับถี่บริเวณปลายยอด ใบรูปรีแกมรูปใบหอก ปลายแหลม โคนมน ใบจะคล้ายใบมะม่วงชื่อแม่ลูกดก สีเขียวสด ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอด แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยขนาดเล็กจำนวนมาก ดอกเป็นสีเหลืองนวล มีกลิ่นหอม “ผล” มีรูปทรงใกล้เคียงกับผลของมะม่วงแม่ลูกดก ผลดิบรสเปรี้ยวปนมันหรือเปรี้ยวจัด สมัยก่อนนิยมสับทำยำมะม่วงหรือสับละเอียดเอาไปขยำกับพล่าเนื้อเพิ่มรสเปรี้ยวไม่ต้องใช้น้ำมะนาวรับประทานหอมอร่อยมาก ผลสุกเนื้อเป็นสีเหลืองเข้มมีเสี้ยนน้อย ไม่เละแม้สุกงอม เมล็ดบางและลีบติด

ผลง่ายและติดผลดกตามฤดูกาลทุกปีอย่างสม่ำเสมอแม้ต้นจะมีอายุหลายปีก็ยังคงติดผลดกเหมือนเดิม ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง มีต้นแท้ขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับสวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ ๑๗ ปลูกได้ในดินทั่วไป เหมาะจะปลูกเพื่อเก็บผลกินในครัวเรือนหรือเก็บผลขายได้คุ้มค่ามากครับ
  นสพ.ไทยรัฐ



     มะม่วงผิงกั่วเหวิน หวานกลิ่นน้ำผึ้ง
มะม่วงชนิดนี้ เกิดจากการผสมเกสรโดยธรรมชาติจากแมลง ระหว่าง มะม่วงเออร์วิน กับ มะม่วงเคียสแดง จากประเทศไต้หวัน แล้วนำเอาเมล็ดที่ได้จากทั้ง ๒ ต้น คือ มะม่วงเออร์วิน กับ มะม่วงเคียสแดง จำนวนหลายสิบเมล็ดไปเพาะเป็นต้นกล้าแล้วแยกต้นดีที่สุดไปปลูกเลี้ยงจนต้นโตมีดอกและติดผล ปรากฏว่า เป็นมะม่วงกลายพันธุ์แบบถาวรแล้ว มีลักษณะทรงผลและรสชาติแตกต่างจากมะม่วงเออร์วินกับมะม่วงเคียสแดงอย่างชัดเจน จึงตั้งชื่อว่า “มะม่วงผิงกั่วเหวิน” ดังกล่าว ซึ่งในประเทศไทยมีผู้เอากิ่งพันธุ์มาปลูกและขยายพันธุ์ขายนานหลายปีแล้ว ได้รับความนิยมจากผู้ปลูกและผู้รับประทานเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน
มะม่วงผิงกั่วเหวิน มีลักษณะประจำพันธุ์คือ ติดผลดกแบบเรื่อยๆ เกือบทั้งปี รูปทรงของผลสวย กลมคล้ายผลแอปเปิ้ล มีน้ำหนักเฉลี่ยเมื่อโตเต็มที่ระหว่าง ๘ ขีด ถึง ๑ กิโลกรัมต่อผล ผลดิบเป็นสีม่วง เมื่อสุกเป็นสีแดงเข้ม เนื้อในสุกเป็นสีเหลืองอมส้มหรือสีเหลืองทอง ไม่มีกลิ่นเหม็นขี้ไต้เหมือนกับมะม่วงต่างประเทศพันธุ์อื่นๆ ไม่มีเสี้ยน เมล็ดเล็กและบาง รสชาติหวานประมาณ ๑๘-๒๐ องศาบริกซ์ มีกลิ่นหอมอ่อนๆคล้ายกลิ่นน้ำผึ้ง รับประทานอร่อยมาก ที่สำคัญ ผลสุกสามารถเก็บได้นานโดยที่เนื้อสุกจะไม่เละและไม่ช้ำ ผลแก่จัดหากยังไม่เก็บลงจากต้น ปล่อยให้ติดอยู่บนต้นได้นานไม่ร่วงง่าย เวลาติดผลจะเป็นพวง ๓-๕ ผล ดูสวยงามมาก ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง และเสียบยอด ในประเทศไต้หวันนิยมซื้อผลสุกบรรจุกล่องเป็นของฝากให้เพื่อนฝูงญาติมิตรและนิยมรับประทานอย่างกว้างขวาง นอกจากนั้นยังใช้เป็นผลไม้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามค่านิยมของชาวจีนไต้หวันอีกด้วย ซึ่ง “มะม่วงผิงกั่วเหวิน” ต้นจะสูงเพียง ๓-๔ เมตรเท่านั้น เวลาติดผลดกเต็มต้นจะดูงดงามมาก
  นสพ.ไทยรัฐ

fu.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09 กันยายน 2559 17:23:49 โดย กิมเล้ง » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5462


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 9.0 MS Internet Explorer 9.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #13 เมื่อ: 05 กรกฎาคม 2556 18:38:44 »

.


     มะม่วงมันเปนไทย
มะม่วงชนิดนี้ เจ้าของและผู้ขยายพันธุ์บอกที่มาของสายพันธุ์ว่า เกิดจากการผสมเกสร ระหว่างมะม่วง มันศาลายา กับมะม่วง พิมเสนมันทะวาย จากนั้นเอาเมล็ดจากผลสุกที่ได้ไปเพาะแตกเป็นต้นกล้าปลูกเลี้ยงจนต้นโตมีดอกและติดผลพร้อมกับปลูกทดสอบพันธุ์อยู่นานกว่า ๓ ปี จนมั่นใจว่าเป็นมะม่วงพันธุ์ใหม่แน่นอนแล้ว จึงตั้งชื่อว่า “มะม่วงมันเปนไท” เนื่องจากมะม่วงพันธุ์พ่อและพันธุ์แม่เป็นสายพันธุ์ไทยแท้ๆ ทั้ง ๒พันธุ์ ส่วนที่เขียนคำว่า เปนไท เพราะเจ้าของต้องการจะให้พ้องกับชื่อหลานชายที่มีชื่อ เปนไท ดังกล่าว

สำหรับความโดดเด่น ของ “มะม่วงมันเปนไท” ผลอ่อนมีรสชาติเปรี้ยวปนหวานนิดๆ ผลแก่จัดหวานมันกรอบรับประทานเป็นมะม่วงมันหรือฝานเป็นชิ้นบางๆ จิ้มพริกเกลือป่น น้ำปลาหวาน หรือรับประทานเฉยๆได้เลย ผลสุกเนื้อแน่นเหนียวไม่เละ หวานหอมกินกับข้าวเหนียวมูนหรือข้าวสวยร้อนๆ ได้คุณค่าทางโภชนาการไม่แพ้มะม่วงกินสุกสายพันธุ์ดังทั่วไป เมล็ดลีบเล็กให้เนื้อเยอะ รับประทานอร่อยเหมือนกับมะม่วงพันธุ์พ่อและพันธุ์แม่รวมกัน  ที่สำคัญเป็นมะม่วงที่มีดอกติด ผลดกเป็นพวง ๓-๕ ผล เป็นอย่างต่ำ ติดผลทะวายเกือบทั้งปีโดยไม่ต้องใช้สารเร่ง ผลเมื่อโตเต็มที่มีน้ำหนักเฉลี่ยระหว่าง ๒-๔ ผล ต่อ ๑ กิโลกรัม การขยายพันธุ์สามารถทำได้ด้วยการเพาะเมล็ด ตอนกิ่ง และทาบกิ่ง ซึ่ง “มะม่วงมันเปนไท” มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับมะม่วงทั่วไปทุกอย่าง

ใครต้องการกิ่งตอนด้วยระบบทาบกิ่ง ติดต่อที่ตลาดนัดสนามหลวง ๒ โซน ๑๑ แถว ๗ ล็อก ๑-๓ ราคาสอบถามกันเอง ปลูกได้ในดินทั่วไป เวลาติดผลดกจะคุ้มค่ามากครับ
  นสพ.ไทยรัฐ – พฤหัสบดีที่ ๒๐/๑๑/๕๗


     มะม่วงการะเกด พันธุ์ผลดกทั้งปี
ธรรมชาติของ “มะม่วงการะเกด” พันธุ์ดั้งเดิม จะมีดอกและผลตามฤดูกาลปีละครั้ง แต่ในปัจจุบันพบว่ามี “มะม่วงการะเกด” สายพันธุ์ที่มีดอกและติดผลแบบทวายหรือตลอดปีวางขาย โดยผู้ขายกิ่งพันธุ์ยืนยันว่าเป็น “มะม่วงการะเกด” พันธุ์ใหม่เกิดจากการพัฒนาพันธุ์จนทำให้สามารถมีดอกและติดผลแบบทวายหรือทั้งปีได้ ส่วนขนาดของผลและรสชาติยังคงเหมือนเดิมทุกอย่าง กำลังเป็นที่นิยมของผู้ปลูกอยู่ในเวลานี้

มะม่วงการะเกด พันธุ์ทวายหรือมีดอกและติดผลตลอดทั้งปี มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับ “มะม่วงการะเกด” พันธุ์ดั้งเดิมทุกอย่าง คือ เป็นไม้ยืนต้นแต่ไม่สูงนัก ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับถี่บริเวณปลายกิ่ง ใบ เป็นรูปรี ปลายแหลม โคนมน เนื้อใบหนา ใบดกและหนาแน่นมาก

ดอก ออกเป็นช่อแบบแยกแขนงช่อที่ปลายยอด แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยขนาดเล็ก สีเหลืองนวลจำนวนมาก ดอกมีกลิ่นหอม “ผล” รูปกลมรีเล็กน้อย รูปทรงของผลคล้ายกับผลของมะม่วงพันธุ์เบาทั่วไป ติดผลเป็นพวง ๗-๑๐ ผล ผลดิบสีเขียว เมื่อสุกเป็นสีเหลืองอมส้ม เวลาติดผลดกห้อยเป็นพวงจะดูสวยงามมาก ผลดิบรสชาติเปรี้ยวจัด เนื้อสุกเป็นสีเหลืองส้มหวานหอมไม่มีเสี้ยนรับประทานอร่อยทั้งผลดิบและผลสุก ผลโตเต็มที่มีน้ำหนักระหว่าง ๓-๔ ผล ต่อ ๑ กิโลกรัม ติดผลดกไม่ขาดต้นตลอดทั้งปีตามที่ผู้ขายกิ่งตอนยืนยัน ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง และเสียบยอด

ปัจจุบัน “มะม่วงการะเกด” พันธุ์ดกทั้งปีมีต้นขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ แผง หน้าตึกกองอำนวยการเก่า  เป็นกิ่งตอนด้วยระบบเสียบยอด ผู้ขายบอกว่าหลังปลูก ๒ ปี จะติดผลชุดแรกและติดผลเรื่อยๆ ไม่ขาดต้นหรือตลอดทั้งปี ราคาสอบถามกันเองครับ.
 นสพ.ไทยรัฐ



     มะม่วงกิมหงส์   คือเขียวสามรส
“มะม่วงกิมหงส์” ก็คือมะม่วงเขียวสามรส เป็นต้นเดียวกันอย่างแน่นอน โดย “มะม่วงกิมหงส์” มีถิ่นกำเนิดจากประเทศไต้หวัน ถูกนำเข้ามาปลูกและขยายพันธุ์ในประเทศไทยเกือบ ๑๕ ปีแล้ว แรกๆนิยมปลูกในแถบบางขุนนนท์ เขตบางกอกน้อย กทม. แล้วกระจายปลูกทั่วไป มีลักษณะประจำพันธุ์คือ ผลใหญ่ น้ำหนักเกือบ ๒ กิโลกรัมต่อผล รสชาติผลดิบและสุกเหมือนกับมะม่วงเขียวเสวยทุกอย่าง จึงเป็นที่มาของชื่อมะม่วงเขียวสามรสดังกล่าว ที่สำคัญ “มะม่วงกิมหงส์” หรือมะม่วงเขียวสามรสสามารถติดผลดกได้อย่างน้อยปีละ ๒ ครั้ง เลยทำให้ครองใจผู้ปลูกและผู้รับประทานเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน

มะม่วงกิมหงส์ หรือมะม่วงเขียวสามรส เป็นไม้ยืนต้น สูง ๑๐-๑๕ เมตร ใบออกสลับถี่ช่วงปลายยอด เป็นรูปใบหอกแคบไม่รีกว้างเหมือนใบมะม่วงทั่วไป คล้ายใบมะม่วงเขียวเสวยมาก ซึ่งใบของมะม่วงทุกสายพันธุ์หากเด็ดก้านใบตั้งแต่โคนก้านที่ติดกับกิ่งก้านมาดมกลิ่นดู แต่ละพันธุ์จะมีกลิ่นไม่เหมือนกัน สามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจนเลยว่าเป็นของมะม่วงสายพันธุ์อะไร ดอกออกเป็นช่อที่ปลายยอด ดอกเป็นสีเหลืองนวล มีกลิ่นหอม “ผล” รูปกลมรี มีหลายรูปทรง แต่ส่วนใหญ่ผลจะเหมือนกับผลของมะม่วงชื่อจีนหวงของไต้หวัน ผลโตเต็มที่มีน้ำหนักตั้งแต่ ๑.๕-๒ กิโลกรัมขึ้นไป ติดผลดกเป็นพวง ๓-๕ ผล ผลดิบสีเขียวรสเปรี้ยวแต่ไม่เปรี้ยวจัด ผลแก่หรือห่ามหวานปนมัน เนื้อแน่นไม่มีเสี้ยนและไม่แข็ง เนื้อสุกสีเหลืองเหนียวไม่เละแม้สุกงอม รสหวานหอมเหมือนมะม่วงเขียวเสวย เมล็ดบางและเล็ก เนื้อสุกกินกับข้าวเหนียวมูนอร่อยไม่แพ้มะม่วงอกร่องแม้แต่น้อย ๑ ผล สามารถกินได้ ๒ คนอิ่มแบบพอดี ติดผลปีละ ๒ ครั้ง หรือเกือบทั้งปี ขยายพันธุ์ทั่วไปด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง และเสียบยอด  มีต้นขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ โครงการ ๑๗ ราคาสอบถามกันเองครับ
  ไทยรัฐ



     มะม่วงงาช้างแดง ผลใหญ่ยาวสวยหวานอร่อย
มะม่วงชนิดนี้ ถูกระบุว่าถิ่นกำเนิดอยู่ที่ประเทศไต้หวัน จากนั้นได้กระจายพันธุ์ปลูกในเขตร้อนไปทั่วโลก โดยในประเทศไต้หวันนิยมปลูกเก็บผลกินในครัวเรือนและเก็บผลขาย เป็นสินค้าได้รับความนิยมจากผู้ซื้อไปรับประทานอย่างกว้างขวางทั้งในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่และประเทศอียิปต์มาช้านานแล้ว ซึ่ง “มะม่วงงาช้างแดง” จะมีลักษณะเด่นประจำพันธุ์คือ ผลมีขนาดใหญ่ โตเต็มที่มีน้ำหนักเฉลี่ยระหว่าง ๓.๕-๔.๒ กิโลกรัมต่อผล รูปทรงของผลสวยงามน่าชมยิ่ง ปลายผลงอนดูเหมือนงาช้าง จึงถูกตั้งชื่อว่า “มะม่วงงาช้างแดง” ดังกล่าว ผลดิบเป็นสีเขียว อมม่วง และจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มตลอดทั้งผลเมื่อผลแก่จัดหรือผลสุก

ผลอ่อนเปรี้ยวเล็กน้อย เมื่อแก่จัดมีรสหวานปนมันเหมือนกับเนื้อของมะม่วงเขียวเสวยทุกอย่าง ผลสุกเนื้อในเป็นสีเหลืองอมส้ม รสชาติหวานหอมเนื้อไม่เละแม้สุกงอม ไม่มีเสี้ยน วัดความหวานได้ประมาณ ๑๕-๑๘ องศาบริกซ์ ไม่มีกลิ่นขี้ไต้รับประทานอร่อยมาก เมล็ดเล็ก ที่สำคัญผลของ “มะม่วงงาช้างแดง” จะแก่จัดหรือสุกในช่วงที่มะม่วงสายพันธุ์อื่นๆได้วายไปจากตลาดผลไม้แล้ว จึงทำให้ผู้ปลูกสามารถเก็บผลขายได้ราคาแพงและขายดีมาก ติดผลดกเป็นพวง ๕-๗ ผล และติดผลไม่ขาดต้นเกือบทั้งปี ให้ผลผลิต หลังปลูกเพียง ๒-๓ ปีเท่านั้น ต้นสูงเต็มที่ ๒.๕-๓  เมตร แตกกิ่งก้านแผ่ออกทางด้านข้างเป็นพุ่มกว้างโดยธรรมชาติทำให้ผู้ปลูกเก็บผลกินหรือขายได้สะดวกยิ่งขึ้น ขยายพันธุ์ทั่วไปด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง และเสียบยอด
  นสพ.ไทยรัฐ



     มะม่วงเขียวสามรส กับที่มาชื่อใหม่ดกอร่อย
ผมเคยแนะนำในคอลัมน์ไปแล้วว่า “มะม่วงเขียวสามรส” เป็นต้นเดียวกันกับ มะม่วงกิมหงส์ แต่ยังมีผู้อ่านอีกไม่น้อยที่พลาดอ่านข้อมูลดังกล่าวอยากทราบว่าเป็นอย่างไร ซึ่ง “มะม่วงเขียวสามรส” หรือมะม่วงกิมหงส์ มีถิ่นกำเนิดเดิมจากประเทศไต้หวัน ถูกนำเข้ามาปลูกและขยายพันธุ์ในประเทศไทยนานกว่า ๑๕ ปีแล้ว จนกลายเป็นไม้ไทยไปโดยปริยาย โดยในตอนแรกมีปลูกเฉพาะแถบบางขุนนนท์ เขตบางกอกน้อย กทม.ต่อมาได้กระจายพันธุ์ปลูกทั่วไป มีลักษณะประจำพันธุ์คือ ผลมีขนาดใหญ่น้ำหนักเกือบ ๒ กิโลกรัมต่อผล รสชาติขณะดิบและสุกจะหวานมันและปนเปรี้ยวเล็กน้อยคล้ายกับมะม่วงเขียวเสวยทุกอย่าง จึงเป็นที่มาของชื่อว่า “มะม่วงเขียวสามรส” ก็คือมะม่วงกิมหงส์นั่นเอง เป็นมะม่วงติดผลง่ายและติดผลดกมาก ติดผลอย่างน้อยปีละ ๒ ครั้ง หรือติดผลทวายเกือบทั้งปี

มะม่วงเขียวสามรส หรือมะม่วงกิมหงส์ เป็นไม้ยืนต้น สูง ๑๐-๑๕ เมตร ใบออกสลับถี่ช่วงปลายยอด ใบเป็นรูปใบหอกแคบไม่รีกว้างเหมือนใบมะม่วงทั่วไป แต่จะคล้ายกับใบมะม่วงเขียวเสวยมาก ซึ่งใบของมะม่วงทุกสายพันธุ์หากเด็ดก้านใบตั้งแต่โคนก้านใบที่ติดกับกิ่งมาดมกลิ่น แต่ละพันธุ์จะมีกลิ่นต่างกัน สามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจนว่าเป็นมะม่วงสายพันธุ์อะไร และกิ่งก้านใบของ “มะม่วงเขียวสามรส” จะมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอด ดอกเป็นสีเหลืองนวล มีกลิ่นหอม “ผล” รูปกลมรี มีหลายรูปทรง ผลโตเต็มที่น้ำหนักตั้งแต่ ๑.๕-๒ กิโลกรัมขึ้นไป ติดผลดกเป็นพวง ๓-๕ ผล ติดผลทวายหรือปีละ ๒ ครั้ง ขยายพันธุ์ทั่วไปด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง และเสียบยอด
   นสพ.ไทยรัฐ



     มะม่วงมะพร้าว กับที่มาพันธุ์ดิบสุกอร่อย
มะม่วงชนิดนี้ มีกิ่งตอนวางขาย มีภาพถ่ายผลจริงติดโชว์ให้ชมด้วย ผู้ขายบอกว่า มะม่วงดังกล่าว มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่ที่ประเทศปากีสถาน จากนั้นเกษตรกรชาวไต้หวันได้นำเอาพันธุ์ไปปลูกในประเทศตัวเองเพื่อเก็บผลขายได้รับความนิยมจากผู้ซื้อไปรับประทานอย่างแพร่หลาย จึงขยายพันธุ์ตอนกิ่งขายให้เกษตรกรชาวไทยนำมาปลูกในประเทศไทยนานกว่า ๕-๖ ปีแล้ว ส่วนชื่อ “มะม่วงมะพร้าว” ผู้ขายระบุว่า ผู้นำเข้าบอกว่าไต้หวันเรียกชื่อนี้เลยเรียกกัน เรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน ชื่อจริงๆ จะเป็นอย่างไรผู้ขายตอบไม่ได้

มะม่วงมะพร้าว มีชื่อวิทยาศาสตร์และมีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับมะม่วงทั่วไปทุกอย่างคือ เป็นไม้ยืนต้น แต่ผู้ขายยืนยันว่าต้นจะไม่สูงใหญ่นัก ประมาณ ๕-๗ เมตรเท่านั้น ใบเดี่ยวออกเวียนสลับถี่ช่วงปลายยอด ใบเป็นรูปขอบขนานแกมรูปใบหอก ปลายแหลม โคนมน ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอด แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยหลายดอก ดอกเป็นสีเหลืองนวล มีกลิ่นหอมเหมือนดอกมะม่วงทั่วไป “ผล” รูปกลมรี ผลมีขนาดใหญ่โตเต็มที่ผู้ขายบอกว่า เท่ากับผลมะพร้าวน้ำหอมทั่วไป ติดผลดกเป็นพวง ๑๐-๑๕ ผล ต้องเด็ดผลอ่อนขนาดเล็กทิ้งบ้าง เนื่องจากติดผลมากเกินไปกิ่งจะต้านทานน้ำหนักไม่ไหวหักเสียหายนั่นเอง เมล็ดเล็กและลีบบาง ผลดิบยังไม่แก่จัดรสมันหวานปนเปรี้ยวเล็กน้อยกรอบเหมือนรสชาติมะม่วงมัน ทั่วไป ผลสุกสีเหลืองน่าชมมาก เนื้อในสุกเหนียวไม่เละและไม่มีเสี้ยน หวานหอม รับประทานอร่อยมาก วัดความหวานเนื้อสุกได้ประมาณ ๑๔-๑๕ องศาบริกซ์ ติดผลดกเต็มต้นตามฤดูกาลปีละครั้ง ผู้ขายกิ่งตอนยืนยันว่าหลังติดผลนับไปอีก ๔-๕เดือนผลจะโตหรือแก่จัดสามารถเก็บผลผลิตรับประทาน และขายได้ราคาดีกิโลกรัมละหลายบาท ขยายพันธุ์ด้วเมล็ดตอนกิ่งทาบกิ่งและเสียบยอด มีกิ่งตอนแท้ ที่ขยายพันธุ์ด้วยระบบทาบกิ่งและเสียบยอดขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับสวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ
   นสพ.ไทยรัฐ



     มะม่วงนนท์ทิพย์ ดิบมันสุกเหมือนอกร่อง
[มะม่วงชนิดนี้ มีกิ่งตอนวางขายมีป้ายชื่อและภาพถ่ายผลจริงจากต้นโชว์ให้ชมด้วย ซึ่งผู้ขายกิ่งตอนอธิบายว่า มะม่วงดังกล่าวเป็นสายพันธุ์ดั้งเดิมและนิยมปลูกเฉพาะถิ่นในแถบพื้นที่ จ.นนทบุรี มานานแล้ว ต่อมาจึงได้กระจายพันธุ์ปลูกไปเกือบทุกภาคของประเทศไทย ส่วนที่มาของชื่อ “มะม่วงนนท์ทิพย์” คนขายกิ่งตอนบอกว่าชื่อดั้งเดิมเรียกว่ามะม่วงอะไรไม่รู้ ทราบเพียงว่าผู้ขายกิ่งตอนในยุคแรกๆ หรือเจ้าของพันธุ์เรียกว่า “มะม่วงนนท์ทิพย์” ทำให้ผู้ขายกิ่งตอนในยุคต่อมาพากันเรียกชื่อดังกล่าวตามเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน

มะม่วงนนท์ทิพย์ มีชื่อวิทยาศาสตร์และมีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับมะม่วงทั่วไปทุกอย่าง เพียงแต่ “มะม่วงนนท์ทิพย์” จะมีข้อโดดเด่นเป็นพิเศษคือ สามารถมีดอกและติดผลดกเต็มต้นเกือบตลอดทั้งปีหรือที่นิยมเรียกกันว่า ทะวาย นั่นเอง รูปทรงของผลคล้ายคลึงกับผลมะม่วงอกร่องแต่ขนาดผลจะใหญ่กว่ามากอย่างชัดเจน และที่สำคัญถือเป็นข้อดีของ “มะม่วงนนท์ทิพย์” อีกอย่างได้แก่ ผลดิบหรือแก่ยังไม่ถึงสุก รสชาติจะมันปนหวานและเปรี้ยวเล็กน้อยกินเป็นมะม่วงมันเปล่าๆได้เลย หรือจะฝานจิ้มพริกเกลือป่นน้ำปลาหวานก็ได้อร่อยมาก

ผลสุกเนื้อในมีรสหวานหอมเหมือนกับเนื้อสุกของมะม่วงอกร่องทุกอย่าง เมล็ดลีบและบาง จึงให้เนื้อเยอะ เนื้อไม่เละ และไม่มีเสี้ยนเหมือนมะม่วงอกร่อง รับประทานกับข้าวเหนียวนึ่งสุกใหม่ๆ หรือกินกับข้าวเหนียวมูนดีมาก เป็นมะม่วงติดผลดกเป็นพวงเกือบตลอดทั้งปีตามที่กล่าวข้างต้น ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง และเสียบยอด กำลังเป็นที่นิยมปลูกในเวลานี้ มีกิ่งตอนของแท้ ที่ขยายพันธุ์ด้วยระบบเสียบยอดขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับสวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณตรงกันข้ามโครงการ ๑๕ และ ๑๖ เหมาะจะปลูกเพื่อเก็บผลกินในครัวเรือนหรือเก็บผลขายได้คุ้มค่ามาก เนื่องจากมีดอกและติดผลเกือบตลอดทั้งปีนั่นเองครับ
   นสพ.ไทยรัฐ



     มะม่วงกระสวย สุกอร่อยกับที่มาของชื่อ
มะม่วงชนิดนี้ เป็นพันธุ์โบราณที่นิยมปลูกเฉพาะถิ่นในแถบจังหวัดภาคกลางมาช้านานแล้ว โดยส่วนใหญ่จะปลูกเพื่อเก็บผลกินในครัวเรือนเท่านั้น เนื่องจากรูปทรงของผลดูไม่สวยงามนัก จึงไม่นิยมปลูกเพื่อเก็บผลขายเชิงพาณิชย์ และไม่นิยมปลูกกระจายไปทั่วทุกภาคของประเทศไทย เช่น มะม่วงพันธุ์ดังๆ ในปัจจุบัน ส่วนรสชาติเฉพาะพันธุ์ ของ “มะม่วงกระสวย” จะหวานหอม รับประทานอร่อยเป็นที่ถูกปากถูกคอของคนในยุคสมัยก่อนมาก

มะม่วงกระสวย มีชื่อวิทยาศาสตร์และมีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับมะม่วงทั่วไปทุกอย่าง คือ อยู่ในวงศ์ ANACARDIACEAE เป็นไม้ยืนต้น สูงตั้งแต่ ๑๐-๑๕ เมตรขึ้นไป แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มกลมหนาแน่น ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเวียนสลับถี่บริเวณปลายกิ่ง ใบเป็นรูปใบหอก ปลายแหลม โคนมน ขอบใบเรียบ เนื้อใบค่อนข้างหนา ใบมีขนาดเล็กคล้ายกับใบของมะม่วงอกร่องมาก สีเขียวสด ใบดกให้ร่มเงาดีมาก

ดอก ออกเป็นช่อกระจะที่ปลายยอด แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยขนาดเล็กจำนวนมาก ดอกเป็นสีขาวหรือสีขาวนวลออกเหลืองอ่อนๆ ดอกมีกลิ่นหอม “ผล” รูปกลมรีและยาว ทรงผลดูไม่สวยงามนัก คล้ายรูปกระสวยสำหรับทอผ้าบ้านโบราณ จึงเป็นที่มาของชื่อว่า “มะม่วงกระสวย” ดังกล่าว และเรียกกันเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน เมล็ดบางและลีบ ผลดิบสีเขียว เนื้อกรอบเปรี้ยวปนและหวานเล็กน้อย ผลสุกเป็นสีเหลืองอมส้ม อาจมีสีม่วงบ้างเป็นบางผล รสชาติหวานหอม คล้ายเนื้อสุกของมะม่วงอกร่องเขียวทั่วไปทุกอย่าง มีเสี้ยนน้อย สมัยก่อนนิยมกินกับข้าวเหนียวนึ่งร้อนๆ หรือกินกับข้าวเหนียวมูนอร่อยไม่แพ้มะม่วงอกร่องเขียวแต่อย่างใด ติดผลดกปีละครั้งตามฤดูกาล ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง และเสียบยอด  ปัจจุบันไม่พบมีกิ่งตอนแท้วางขาย ใครต้องการต้องติดต่อผู้ค้าไม้ผลตามแผงต่างๆ ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ที่เปิดขายเฉพาะไม้ดอกไม้ผลอย่างเดียวทุกวันพุธ-พฤหัสฯ
   นสพ.ไทยรัฐ


     [/มะม่วงจินชิงsize]
มะม่วงชนิดนี้ มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมจากประเทศไต้หวัน ถูกนำเข้ามาปลูกและขยายพันธุ์ในประเทศไทยนานหลายปีแล้ว สามารถเจริญเติบโตมีดอกและติดผลดกโดยธรรมชาติทุกพื้นที่ในบ้านเรา มีลักษณะประจำพันธุ์คือ ผลมีขนาดใหญ่มาก ผลมีน้ำหนักเฉลี่ยประมาณ 8–1 กิโลกรัม เนื้อสุกเป็นสีเหลืองเข้มหรือสีเหลืองอมส้ม เมล็ดเล็กและลีบบาง จึงทำให้ “มะม่วงจินซิง” มีเนื้อเยอะ รสชาติเนื้อสุกหวานหอมไม่มีกลิ่นขี้ไต้เช่นมะม่วงนำเข้าสายพันธุ์อื่น รับประทานอร่อยมาก และที่สำคัญไม่มีเสี้ยนอีกด้วย จึงเป็นที่ต้องการของผู้ปลูกและผู้รับประทานอย่างแพร่หลาย เนื้อสุกสามารถกินกับข้าวเหนียวมูนหรือข้าวสวยร้อนๆ ข้าวเหนียวนึ่งสดใหม่ๆ อร่อยไม่แพ้มะม่วงสุกพันธุ์ดังๆทั่วไปอย่างแน่นอน

มะม่วงจินซิง มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เป็นไม้ยืนต้น สูงประมาณ 5-8 เมตร ใบเดี่ยวออกเวียนสลับรอบกิ่งก้านหนาแน่นบริเวณปลายยอด สีเขียวสด ดอก ออกเป็นช่อแบบช่อเชิงลดที่ปลายยอด ดอกเป็นสีเหลืองนวล มีกลิ่นหอมเย็น “ผล” รูปกลมรี ผลมีขนาดใหญ่ตามที่กล่าวข้างต้น ผลอ่อนเป็นสีเขียว เนื้อรสเปรี้ยวจัด สามารถปอกเปลือกสับเอาเนื้อปรุงเป็นยำชนิดต่างๆรสแซ่บจริงๆ ผลแก่หรือสุกผิวเปลือกผลเป็นสีม่วงตลอดทั้งผล เวลามีผลดก ผลห้อยทั้งต้น จะดูงดงามยิ่งนัก เนื้อสุกรสชาติหวานหอมอร่อยมากตามที่ระบุข้างต้น มีดอกและติดผลดกปีละครั้งตามฤดูกาล ขยายพันธุ์ทั่วไปด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง ติดตา และเสียบยอด

ใคร ต้องการกิ่งตอนของ “มะม่วงจินซิง” พันธุ์แท้มีจำหน่ายเพียงแห่งเดียวคือ ไปซื้อได้ที่ งานเกษตรแห่งชาติ จัดขึ้นในบริเวณมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน กทม. ระหว่างวันที่ 26 ม.ค.–3 ก.พ.61 โซนบี ล็อก 169–170 ราคาสอบถามกันเอง เหมาะจะปลูกเพื่อเก็บผลกินในครัวเรือนหรือเก็บผลขายได้ราคาดี เพราะมีตลาดผลไม้ต้องการ.
    นสพ.ไทยรัฐ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14 กุมภาพันธ์ 2561 11:43:59 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5462


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 9.0 MS Internet Explorer 9.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #14 เมื่อ: 16 กรกฎาคม 2556 13:38:51 »

.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01 มิถุนายน 2559 16:52:45 โดย กิมเล้ง » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5462


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 9.0 MS Internet Explorer 9.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #15 เมื่อ: 16 กรกฎาคม 2556 14:08:17 »

.


     สมอไทยจัมโบ้
โดยธรรมชาติของสมอไทยที่พบขึ้นตามป่าทุกภาคของประเทศไทย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า MYROBALAN WOOD, TERMINALIA CHEBULA RETZ. อยู่ในวงศ์ COMBRETACEAE เป็นไม้ต้นสูง ๒๐-๒๕ เมตร ใบเดี่ยว ออกตรงกันข้าม รูปวงรี ใบมีขนาดใหญ่ สีเขียวสด ดอกออกเป็นช่อที่ซอกใบและปลายยอด เป็นดอกสมบูรณ์เพศ กลีบดอกสีเหลือง “ผล” รูปกลมรีมีสัน ๕ สัน ติดผลเป็นพวง ผลโตเต็มที่ประมาณปลายนิ้วหัวแม่มือผู้ใหญ่ รสฝาด นิยมรับประทานและใช้เป็นสมุนไพรมาแต่โบราณแล้ว ซึ่งสมอไทยดังกล่าวใช้เวลาปลูกนาน ๗-๘ ปี จึงจะติดผล

ส่วน “สมอไทยจัมโบ้” เป็นพันธุ์ที่ถูกคัดพันธุ์จากสมอไทยทั่วไปด้วยการเสียบยอดและปลูกหลายครั้งหลายทอด จนทำให้ได้ผลขนาดใหญ่ขึ้นถึง ๒ เท่า หรือใหญ่เกือบเท่าไข่ไก่ จึงถูกตั้งชื่อตามขนาดของผลว่า “สมอไทยจัมโบ้” ดังกล่าว และที่สำคัญจะสามารถติดผลหลังปลูกเพียง ๒ ปี เท่านั้น ไม่ต้องใช้เวลานานเหมือนพันธุ์ดั้งเดิม สรรพคุณทางยาของสมอไทยทั่วไป ตำรายาไทยใช้ผลดิบเป็นยาระบาย ขับเสมหะ แก้บิด แก้ไข้ และเป็น ๑ ใน ๓ สูตรยา “ตรีผลา”

เมื่อครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้าบัญญัติให้สงฆ์สาวกฉันผลสมอไทยชนิดดองแช่น้ำมูตรโค หรือน้ำมูตรตัวเอง เป็นยาแก้ปวดตามข้อและกระดูก ทำให้แข็งแรง แก้อ่อนเพลียได้ดีมาก ในสรรพคุณแผลง ระบุว่ากินผลสดสมอไทยแก้ไข้เพื่อเสมหะได้ แก้ลมจุกเสียด มีคุณเสมอกันกับผลมะขามป้อมและเกลือสินเธาว์.
   ไทยรัฐ
 


     มะตูมไทย
มะตูมไทยเป็นไม้ต้นขนาดเล็ก ผลัดใบ สูง ๖-๑๐ ม. โคนต้นและกิ่งก้านมีหนามยาวแข็งๆ ทั่วไป เปลือกนอกสีเทาอมขาว เปลือกใน สีเหลือง เรือนยอด รูปเจดีย์ ต่ำหรือรูปไข่ ใบประกอบ ติดเรียงสลับ มีใบย่อยรูปไข่ ๓ ใบ สองใบล่างมีขนาดเล็กและติดตรงข้ามกัน ส่วนใบปลายมีขนาดใหญ่ เนื้อใบบางเกลี้ยง หลังใบสีเขียวเข้มเป็นมัน ท้องใบสีจาง ผิวเกลี้ยง ใบอ่อน สีเขียวอ่อนใสๆ ใบแก่ เขียวหม่นๆ ดอกเล็ก ออกรวมกันเป็นช่อสั้น ๆ บริเวณปุ่มปมตามกิ่ง เป็นดอกสมบูรณ์เพศ สีดอกขาวอมเขียวหรือสีเหลืองอ่อน กลิ่นหอม ผล รูปไข่ถึงค่อนข้างกลมป้อม เปลือกสีเขียวอ่อนถึงเหลือง ผิวเรียบและแข็งมาก ภายในมีเนื้อเยื่อสีส้มที่มียางเหนียวๆ เมล็ดรูปรี และแบน เมล็ดจำนวนมาก
 
รากรสฝาดปร่าซ่าขื่นเล็กน้อย แก้พิษฝี แก้พิษไข้ แก้สติเผลอ รักษาน้ำดี แก้หืดหอบไอ แก้ไข้ตัวร้อน แก้ลมอัดแน่นในอก แก้มุตกิต มุตฆาต แก้เสมหะ แก้ดี แก้ปวดหัวตาลาย แก้สะอึก เปลือกราก แก้ไข้จับสั่น ขับลมในลำไส้ เปลือกต้น แก้ไข้จับสั่น ขับลมในลำไส้ แก้ลงท้อง แก้พยาธิ แก้บิด แก้ฝีเปื่อยพัง แก้บวม แก้ตกโลหิต แก่น แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด ใบ รสฝาดปร่าซ่าขื่นมัน แก้ตาเจ็บ แก้เยื่อตาอักเสบ แก้หลอดลมอักเสบ แก้หวัด แก้เลือดเป็นพิษ แก้ไข้ แก้หืด แก้เสมหะเหนียว แก้บวม แก้ลงท้อง ผล แก้ลม แก้เสมหะ แก้โลหิต ขับหนอง แก้สะอึก แก้กระหายน้ำ ขับผายลม ขับเสมหะ หนาม แก้พิษฝีต่างๆ แก้ไข้ ลดความร้อน แก้ไข้พิษ แก้ไข้กาฬ.

 


    มะตูม
มะตูมเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ลำต้นและกิ่งมีหนามแหลม ใบโตยาวสีเขียวอ่อน ดอกสีขาวมีกลิ่นหอม ผลกลมโต เปลือกแข็ง เนื้อในมีสีเหลืองนวล ภายในมีเมล็ด มียางหุ้มเป็นเมือกเหนียว มีรสขม พบตามป่าเบญจพรรณ ป่าโปร่ง ผู้คนทางภาคใต้ของไทยนำเปลือกมาขูดเอาผิวออกต้มกับน้ำตาลรับประทานเป็นของหวาน ส่วนเนื้อในเอามาหั่นเป็นแว่นๆ เอาเมล็ดออกเชื่อมกับน้ำตาล เรียกว่ามะตูมเชื่อมรัลประทานเป็นของหวานเช่นกัน

ในตำราการแพทย์แผนไทย จะนำผลตากแห้งนำมาปรุงเป็นยาธาตุ แก้ธาตุพิการ ผลดิบใช้เป็นยาสมาน รักษาโรคเกี่ยวกับกระเพาะ แก้ท้องเสีย แก้บิด ผลสุกใช้เป็นยาระบาย แก้โรคไฟธาตุอ่อน แก้ครั่นเนื้อครั่นตัว แก้ท้องเสีย แก้บิดเรื้อรัง ช่วยย่อยอาหาร แก้ลมเสียดแทงในท้อง แก้มูกเลือด บำรุงธาตุไฟให้ย่อยอาหาร แก้กระหายน้ำ ขับลมผาย เปลือกของรากและลำต้น รักษาไข้จับสั่น ขับลมในลำไส้ ใบสดคั้นเอาน้ำกินแก้หวัด แก้หลอดลมอักเสบ แก้ตาบวม แก้เยื่อตาอักเสบเป็นต้น
  ไทยรัฐ



     มะตูมยักษ์อินเดีย
มะตูม เป็นไม้ผลชนิดหนึ่งที่นิยมปลูกอย่างกว้างขวางมาแต่โบราณจนกระทั่งปัจจุบัน ส่วนใหญ่จะเป็นพันธุ์ดั้งเดิมที่มีผลขนาดเล็ก ผลโตเต็มที่ประมาณกำมือผู้ใหญ่เท่านั้น ทำให้เวลานำผลไปใช้ประโยชน์ได้เนื้อจำนวนน้อยมาก ส่วน “มะตูมยักษ์อินเดีย” มีถิ่นกำเนิดจากประเทศอินเดีย ถูกนำเข้ามาปลูกและขยายพันธุ์ในประเทศไทยนานกว่า ๘ ปีแล้ว

มีข้อโดดเด่นคือ ผลมีขนาดใหญ่มาก ผลเมื่อโตเต็มที่น้ำหนัก ๒-๔ กิโลกรัม หรือเส้นผ่าศูนย์กลางผลเกือบเท่าเส้นผ่าศูนย์กลางของบาตรพระ ที่สำคัญเป็นสายพันธุ์ที่ติดผลดกกระจายสม่ำเสมอทั่วทั้งต้น เนื้อสุกเป็นสีเหลืองทอง เนื้อละเอียด ไม่มีเส้นใยและไม่มียางเหนียว เมล็ดเล็ก รสชาติหวานหอม นำเนื้อไปทำมะตูมเชื่อม จะให้เนื้อเยอะเป็น ๒-๓ เท่าของเนื้อจากผลมะตูมทั่วไปอย่างชัดเจน หากเอาไปทำน้ำมะตูมจะมีกลิ่นหอมรับประทานอร่อยมาก “มะตูมยักษ์อินเดีย” จึงเป็นพันธุ์ที่ปลูกแล้วสามารถนำผลไปใช้ประโยชน์ได้คุ้มค่าจริงๆ

มะตูมยักษ์อินเดีย มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับมะตูมทั่วไปทุกอย่าง จะแตกต่างกันที่ขนาดของผลและต้นสูงเพียงแค่ ๓-๕ เมตรเท่านั้น เนื่องจากปลูกด้วยกิ่งตอนที่ขยายพันธุ์ด้วยระบบเสียบยอดและทาบกิ่ง สรรพคุณทางสมุนไพร ผลอ่อนเป็นยาบำรุงธาตุให้เจริญอาหาร ขับผายลม ผลแก่แก้เสมหะและลม บำรุงธาตุไฟ ย่อยอาหารให้ละเอียด ผลสุกกินแก้ลมเสียดแทงในท้อง แก้มูกเลือด รากคั่วไปให้เหลืองดองเหล้าขาวใช้กลบกลิ่นคาวต่างๆ ผลแก่ทั้งผลขูดผิวออกหมดแล้วทุบให้ร้าวหรือแตกต้มกับน้ำใส่น้ำตาลกรวดรับประทานมีรสหวานหอมเป็นยาขับลม บำรุงธาตุดีมาก เรียกน้ำชนิดนี้ว่า “น้ำอัชบาล” .
  ไทยรัฐ
  


     มะตูมซาอุ
มะตูมซาอุ มีถิ่นกำเนิดอยู่ในอเมริกา ใต้แถบประเทศบราซิล อาร์เจนตินาและปารากวัย เป็นไม้ต้นขนาดเล็กสูงได้ถึง ๑๐ เมตร มีกิ่งก้านมากจนมองไม่เห็นลำต้น ใบอ่อนมีสีแดง ขอบใบมีลักษณะเป็นหนาม ต้นตัวผู้และต้นตัวเมียแยกกันคนละต้น ดอกออกเป็นช่อเล็กๆ สีขาว ดอกตัวผู้และดอกตัวเมียมีลักษณะคล้ายกัน ออกดอกได้ทั้งปี แต่พบมากในช่วงปลายฝนต้นหนาว ผลเมื่ออ่อนมีสีเขียวและเปลี่ยนเป็นสีแดงสดเมื่อแก่ เนื่องจากผลมีสีสวยสดและออกได้ทั้งปี จึงนิยมนำไปปลูกเป็นไม้ประดับ ผลเมื่อแก่จัดเปลือกจะแห้งติดเมล็ดคล้ายพริกไทย ชาวอเมริกาใต้ใช้ผลมะตูมซาอุแทนพริกไทย

มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา สารสกัดของมะตูมซาอุช่วยลดการอักเสบ ควบคุมการเต้นของหัวใจ ช่วยรักษาโรคความดันต่ำ แก้ท้องผูก กระตุ้นการหดตัวของกล้ามเนื้อและรักษาบาดแผลลดอาการปวด ทำลายเซลล์มะเร็ง ลดอาการซึมเศร้า ลดอาการชักกระตุก ทำลายเชื้อไวรัส กระตุ้นการย่อยอาหาร ขับปัสสาวะ ขับเสมหะและกระตุ้นการขับประจำเดือน.
  เดลินิวส์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01 มิถุนายน 2559 13:25:35 โดย กิมเล้ง » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5462


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 9.0 MS Internet Explorer 9.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #16 เมื่อ: 28 กรกฎาคม 2556 17:39:14 »

.


     ถั่วเขียว
ต้นถั่วเขียวใช้เป็นอาหารสัตว์ได้ดี มีคุณค่าทางอาหารสูงกว่าหญ้าทั่วไป เพราะเป็นพืชตระกูลถั่ว ถั่วเขียวมีปมที่รากซึ่งเปลี่ยนไนโตรเจนในอากาศเป็นปุ๋ยไนเตรทให้แก่ดิน ถั่วเขียวจึงเป็นพืชบำรุงดินใช้เป็นปุ๋ยพืชสดได้ดี ในอดีตชาวนาภาคกลางปลูกถั่วเขียวในนาข้าวก่อนฤดูปลูกข้าว หลังจากเก็บเกี่ยวถั่วเขียวแล้วจึงปลูกข้าวต่อ วิธีนี้จะได้ผลผลิตถั่วเขียวเพิ่มเติม ถั่วเขียวมีคุณสมบัติพิเศษคือ ใช้น้ำน้อยทนแล้งได้ดี เมล็ดงอกและเติบโตเร็ว ใบกว้างช่วยควบคุมวัชพืชได้ดี ชาวนาไทยบางคนนำถั่วเขียวมาใช้ในแปลงนาระบบเกษตรกรรมธรรมชาติที่ไม่ไถพรวน ไม่กำจัดวัชพืช ไม่ใส่ปุ๋ย และไม่กำจัดแมลง
 
วิธีการทำ โดยหว่านเมล็ดข้าวกับเมล็ดถั่วเขียวไปพร้อมกันในแปลงนาเดียวกัน ถั่วเขียวจะช่วยบำรุงดินและป้องกันวัชพืช เมื่อถั่วเขียวโตเต็มที่แล้ว จะเก็บกักน้ำให้ท่วมผิวดิน ถั่วเขียวก็จะเน่าตายกลายเป็นปุ๋ยธรรมชาติ ข้าวจะเติบโตสมบูรณ์ต่อไป ถั่วเขียวจึงนับเป็นถั่วสารพัดประโยชน์ของชาวไทยชนิดหนึ่งที่ราคาไม่แพงหาง่ายคุณค่าสูง..




     งา
คำว่า งา ในทางพฤกษศาสตร์ หมายถึงชื่อไม้ล้มลุกชนิด Sesamum orientale L. ในวงศ์ Pedaliaceae ผลเป็นฝัก มีเมล็ดเล็กๆ สีขาวหรือดํา ใช้ประกอบอาหารหรือสกัดนํ้ามัน  หลายคนอาจเข้าใจว่างาเป็นพรรณไม้ที่มีการกระจายพันธุ์ในประเทศไทยตามธรรมชาติ แต่ความจริงแล้วงาเป็นพรรณไม้ต่างประเทศ มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกา มีการนำไปปลูกเพื่อใช้เมล็ดเป็นอาหารในสหรัฐอเมริกาและประเทศในทวีปเอเชียทั่วไป ประเทศไทยนำงาเข้ามาปลูกทั่วทุกภาค

นอกจากงาจะมีประโยชน์ดังที่กล่าวมาแล้ว  น้ำมันงายังเป็นตัวทำละลายของสารที่สกัดได้จากดอกไพเรทรัม (pyrethrum) เพื่อทำยาฆ่าแมลง คณะกรรมการจัดทำอนุกรมวิธานพืช ราชบัณฑิตย สถาน ได้อธิบายเรื่องนี้ไว้ในคำ งา ว่า ในเมล็ดงามีน้ำมันร้อยละ ๔๕-๕๕ ประกอบด้วยกรดไขมัน และสารเซซามอล (sesamol) และดี-เซซามิน (d-sesamin)  โดยสารทั้ง ๒ ชนิดนี้มีสมบัติในการเสริมฤทธิ์ของ ไพรีทริน (pyrethrin) ซึ่งเป็นสารที่พบในดอกไพเรทรัม ทำให้มีฤทธิ์ในการฆ่าแมลงดีขึ้นเป็น ๒ เท่า  จึงมีการนำน้ำมันงาไปเป็นตัวทำละลายในการสกัดสารไพเรทริน
  หนังสือพิมพ์เดลินิวส์



     ลูกเดือย
ใคร ที่มีอาการเดินแล้วรู้สึกปวดที่บริเวณหัวเข่า แต่เพิ่งเริ่มมีอาการไม่รุนแรงถึงขั้นกระดูกเสื่อม เป็นแบบชนิดเป็นๆหายๆ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายมีวิธีแก้ตามสูตรโบราณคือให้เอา “ลูกเดือย” ๒-๓ ช้อนชา กับ “เท้าไก่” สด ตั้งแต่ข้อล่างลงไปจำนวน ๔ เท้า ต้มกับน้ำ กะจำนวนพอประมาณจนเดือด กินทั้งน้ำและเนื้อวันละครั้งและทำกินได้เรื่อยๆ จะสังเกตได้ว่าอาการเดินแล้วปวดบริเวณหัวเข่าจะค่อยๆดีขึ้นและหายได้

ลูกเดือย หรือ COIX LACHYMA–JOBI LINN. อยู่ในวงศ์  GRAMINEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ต้นคล้ายต้นข้าวโพด นิยมปลูกเก็บเมล็ดกินในครัวเรือนและขายมาแต่โบราณแล้ว มีประโยชน์ต่อร่างกายเยอะ มีโปรตีน คาร์โบไฮเดรต เส้นใยอาหารสูง เหมาะสำหรับเป็นอาหารเสริมโปรตีนอุดมด้วยแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส รักษาโรคบวมน้ำ แน่นหน้าอก กล้ามเนื้อตึง ปวดเส้นประสาท
  หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ


    ลูกเดือย
อาการตกขาวในสตรี เป็นกันเยอะ แต่ไม่ใช่เป็นเพราะติดเชื้อ ในทางสมุนไพร ให้เอา “ลูกเดือย” แห้ง มีขายทั่วไปหนักครึ่งกิโลกรัม ล้างน้ำให้สะอาดต้มกับน้ำจำนวน ๒ ลิตร จนเดือดให้ “ลูกเดือย” สุกจนได้ที่เอาเฉพาะน้ำกินเช้า กลางวัน เย็น ก่อนหรือหลังอาหารก็ได้ ครั้งละ ๑ แก้ว ต้มกินเรื่อยๆ จนยาจืดแล้วเอา “ลูกเดือย” ต้มใหม่กินต่อตามที่กล่าวข้างต้น อาการจะดีขึ้นและหายได้ เมื่อหายแล้วหยุดต้มกินได้ไม่อันตรายอะไร

ลูกเดือย หรือ COIX LACHYMA JOBI LINN. อยู่ในวงศ์ GRAMINEAE ประโยชน์ มีโปรตีน คาร์โบไฮเดรต เส้นใยอาหารสูงเหมาะสำหรับเป็นอาหารเสริมที่อุดมด้วยธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส สามารถรักษาโรคบวมน้ำ โรคแน่นหน้าอก กล้ามเนื้อตึง และ ปวดเส้นประสาทได้ดีมาก
  นสพ.ไทยรัฐ – อังคารที่ ๒๐/๑/๕๘
 

http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/3/3c/CashewSnack.jpg/220px-CashewSnack.jpg
"เกษตรน่ารู้" สารพัดสารพันเรื่องพันธุ์ไม้

     เมล็ดมะม่วงหิมพานต์
มะม่วงหิมพานต์ ในประเทศไทยสามารถพบได้ทั่วไปในภาคใต้ และมีการบริโภคในรูปแบบต่างๆ มาอย่างยาวนาน นับตั้งแต่ยอดอ่อนเป็นผัก ผลเป็นผลไม้ และเมล็ดเป็นของขบเคี้ยว มีบันทึกในเอกสารหลายฉบับระบุว่าแพทย์ในอินเดียใช้เมล็ดเลี้ยงเด็กทารกที่อายุเกิน ๖ ขวบ เพื่อช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโตได้เร็วและแข็งแรง เม็ดมะม่วงหิมพานต์อุดมไปด้วยธาตุทองแดง จึงช่วยบำรุงเส้นผมและผิวหนังได้เป็นอย่างดี

สรรพคุณเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ในทางการแพทย์แผนไทยระบุว่าจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด เพราะมีแมกนีเซียมสูง โดยแร่ธาตุชนิดนี้จะช่วยในการทำงานของหัวใจ มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนน้ำตาลให้เป็นพลังงาน ช่วยป้องกันอาการหมดเรี่ยวแรงได้เป็นอย่างดีช่วยป้องกันโรคฟันผุ บรรเทาอาการเสียวฟัน หรือปวดฟันได้ เนื่องจากมีกรดอนาร์ดิก ที่มีคุณสมบัติในการช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรียซึ่งเป็นสาเหตุของโรคฟันผุนั่นเอง.
 หนังสือพิมพ์เดลินิวส์



     ผลหม่อน
สถาบันหม่อนไหมแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้นำผลหม่อนมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ด้วยผลหม่อนอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ อาทิ กรดโฟลิก และพบสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น แอนโทไซยานิน เควอซิติน ที่มีส่วนลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งในผลหม่อนด้วย สำหรับผลหม่อนนั้น คนไทยเมื่อครั้งอดีตได้ใช้ต้มกินทั้งเนื้อและน้ำเพื่อแก้โรคไขข้ออักเสบ ท้องผูก โลหิตจาง และขับเสมห   นสพ.เดลินิวส์


     มอลต์
ประโยชน์จากมอลต์ มอลต์สกัดจากเมล็ดข้าวบาร์เลย์ขณะกำลังแทงยอดและรากอ่อน ซึ่งเป็นช่วงที่เมล็ดข้าวอุดมด้วยสารอาหาร มีเอนไซม์อะไมเลสที่เปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาล หรือย่อยคาร์โบไฮเดรตให้เป็นน้ำตาลกลูโคสที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ง่าย และยังมีน้ำตาลมอลโตส ที่ร่างกายจะดูดซึมช้าๆ ทำให้ร่างกายได้รับพลังงานต่อเนื่อง ช่วยให้เซลล์ในร่างกายทำงานได้อย่างสมดุล ระดับน้ำตาลในเลือดไม่ขึ้น ๆ ลง ๆ มอลต์ยังให้กากใยอาหารชนิดละลายน้ำได้ซึ่งมีประโยชน์ต่อระบบทางเดินอาหาร  มอลต์ยังให้วิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญมากมาย ได้แก่ โปรตีนที่เสริมสร้างการเติบโต แคลเซียมที่ช่วยเสริมสร้างกระดูก วิตามินเอบำรุงสายตา วิตามินซีอาหารผิวและเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย และมีวิตามินบีหลายชนิด ทั้ง บี ๑,๒,๕,๖,๑๒ เป็นสารอาหารจำเป็นในการทำงานของระบบประสาท บำรุงสุขภาพผิว ผม สายตา ตับ   นสพ.เดลินิวส์


     ผลหม่อน
  นสพ.เดลินิวส์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16 พฤศจิกายน 2558 15:33:00 โดย กิมเล้ง » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5462


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 9.0 MS Internet Explorer 9.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #17 เมื่อ: 28 กรกฎาคม 2556 18:24:43 »

.


จาก
คนส่วนใหญ่ จะรู้จักเฉพาะลูกจากที่ทำสำเร็จวางขายคู่กับน้ำแข็งไสใส่น้ำเชื่อมเพิ่มน้ำแดงและนมสดราดลงไป รับประทานช่วงฤดูร้อนหวานอร่อยชื่นใจดีมาก แต่น้อยคนนักจะรู้ว่าต้น “จาก” เป็นอย่างไร และมีประโยชน์อื่นอีกมากมายคือ ผลอ่อนผ่าเอาเนื้อในมีลักษณะเหมือนลูกชิดจีนกินเป็นผักใช้แกงจืดได้ ส่วนหัวของผลอ่อนมีรสหวานกินได้เช่นกัน แต่ถ้าแก่จัดรสชาติจะฝาดกินไม่ได้ หากนำเนื้อในผลไปเชื่อมให้มีรสหวานนิยมรับประทานกันอย่างแพร่หลาย เรียกว่า “ลูกจาก” เหมือนลูกชิดจีนทุกอย่าง ทำให้บางคนเข้าใจผิดเรียก “ลูกจาก” เป็นลูกชิดก็มี ใบอ่อนที่แทงขึ้นจากหน่อลอกตากแดดใช้มวนบุหรี่สูบได้ เรียกว่าบุหรี่ใบจาก สมัยก่อนนิยมกันมาก ใบแก่ตัดเย็บติดกันเป็นตับๆ ใช้มุงหลังคาบ้านดีมาก งวงหรือจั่นต้น “จาก” ตัดแล้วใช้ภาชนะรองเอาน้ำหวาน เรียกว่า “น้ำตาลจาก” งวงหรือจั่นจาก ทุบให้แตกเป็นฝอยๆ ทำเป็น แส้ปัดยุงหรือแมลงวัน สะโพกจาก (กาบใหญ่) ตากแห้งเป็นฟืนจุดไฟแรงและดีมาก

จาก หรือ NIPA FRUTICANS, WURMB อยู่ในวงศ์ PALMAE เป็นไม้ยืนต้น มีลำต้นหรือเหง้าใต้ดิน แตกต้นเป็นกอใหญ่ ก้านใบโผล่ขึ้นเหนือดิน ใบเป็นใบประกอบแบนขนนก ออกตรงกันข้ามเหมือนกับใบมะพร้าว ใต้ใบมีปื้นสีขาวนวลคล้ายแป้ง เป็นไม้ชอบขึ้นตามริมแม่น้ำลำคลองที่มีน้ำทะเลท่วมถึงหรือที่ลุ่มใกล้ทะเลและป่าชายเลน ดอกออกเป็นช่อ ดอกตัวผู้เป็นสีเหลือง มีก้านดอกยาวสีน้ำตาล ดอกตัวเมียเป็นช่อกลม ก้านช่อดอกสั้น “ผล” เป็นทะลายขนาดใหญ่ เป็นผลรวมมีผลย่อยจำนวนมากเรียงกันหนาแน่น รูปทรงกลม ก้านผลมีหนามแหลมสั้น ผลย่อยเมื่อแก่จัดเปลือกเป็นสีน้ำตาลชัดเจน เนื้อในผลเป็นสีขาวเรียกว่า “ลูกจาก” นำไปเชื่อมรสชาติหวานรับประทานอร่อยมาก ขยายพันธุ์ด้วยหน่อ ทางสมุนไพร ใบปรุงเป็นยาแก้ลมต่างๆ ขับเสมหะดับพิษทั้งปวง น้ำตาลจาก สมานริดสีดวงทวารได้ เคยมีต้นขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ แต่ปัจจุบันไม่พบแล้วครับ.
...นสพ.ไทยรัฐ



     ต๋าว
ต๋าวเป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวชนิดหนึ่งที่อยู่ในวงศ์ ปาล์มเช่นเดียวกับตาลและมะพร้าว พบมากในป่าดิบชื้น เช่น ที่ป่าลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์และจังหวัดน่าน ลำต้นตรงใหญ่กว่าต้นตาล ไม่แตกหน่อ ใบเป็นแฉกคล้ายใบมะพร้าวแต่ใหญ่กว่า ดอกเป็นดอกช่อ แยกตัวผู้ตัวเมีย ช่อดอกตัวผู้ออกได้หลายครั้ง แต่ช่อดอกตัวเมียออกเพียงครั้งเดียว ออกผลเพียงครั้งเดียวก็ตาย ผลเป็นพวงทะลายมีผลติดอยู่มากมาย เป็นพูตื้นสามพู เมื่ออ่อนสีเขียว พอแก่เป็นสีเหลืองแดงและน้ำตาล ไม่มีก้านผล โดยกลีบเลี้ยงติดกับช่อดอกโดยตรง และติดทนจนเป็นผล
 
ในอินเดียปาดเอาน้ำหวานไปทำน้ำตาลและหมักเป็นน้ำส้มสายชู ทางภาคใต้ของไทยนิยมทำน้ำตาลจากต้นต๋าวเช่นกัน ชาวชวาและบาหลีนิยมใช้ใบมุงหลังคา ในอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์รับประทานผลทั้งผลดิบและนำไปเชื่อมในประเทศไทยนำใบมุงหลังคา กั้นฝาบ้าน ก้านใบทำไม้กวาด เส้นใยของลำต้นใช้ทำแปรง ยอดอ่อนนำมาทำอาหารได้เช่นเดียวกับหน่อไม้ หรือนำไปดองแบบหน่อไม้ดองก็ได้ ผลต๋าวใช้ทำลูกชิดโดยต้องนำไปต้มในน้ำเดือดจนนิ่ม นำมาปาดหัวให้เห็นเนื้อในแล้วบีบเอาลูกข้างในออกมา แล้วนำไปแช่น้ำ เปลี่ยนน้ำบ่อยๆ จนเป็นสีขาว นำไปต้มแล้วแช่น้ำเชื่อมไว้อีก ๑ คืน จากนั้นนำไปทำเป็นลูกชิดปี๊บ ลูกชิดกระป๋อง ลูกชิดอบแห้ง ซึ่งจะนำไปทำขนมได้หลายชนิด เช่น ใส่ในไอศกรีม หวานเย็น รวมมิตร..



     ลูกต๋าว
ลูกต๋าวมีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย โดยลูกต๋าว ๑๐๐ กรัม จะมีใยอาหารสูงถึง ๘.๕๙ กรัม เป็นใยอาหารที่ละลายน้ำ ๖.๖๑ กรัมและใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำ ๑.๙๘ กรัม นับว่ามีปริมาณใยอาหารสูงมาก เมื่อเปรียบเทียบกับพืชตระกูลปาล์มชนิดอื่นๆ  เช่น มะพร้าว ตาล  และสละ เป็นใยอาหารที่ช่วยการทำงานของระบบขับถ่าย และมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลายชนิด เช่น โรคอ้วน โรคนิ่ว โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคเบาหวาน เป็นต้น.     นสพ.เดลินิวส์


     จาวตาล
จาวตาลเกิดจากผลแก่จัดของต้นตาลตัวเมีย เมื่อหล่นลงมาชาวบ้านจะเก็บรวบรวมกองไว้ ต่อมาเมล็ดตาลจะแทงส่วนที่คล้ายรากงอกออกมาลงสู่พื้นดิน เรียกว่า งอกตาล ส่วนปลายของงอกตาลมีคัพภะที่จะกลายเป็นต้นอ่อนของต้นตาลซึ่งจะเจริญเติบโตขึ้นและค่อย ๆ แทงยอดขึ้นมาตาม “งอกตาล” จนโผล่พ้นดินและเจริญเติบโตเป็นต้นตาลต่อไป  งอกตาลนั้นไม่ใช่ราก แต่ทำหน้าที่ส่งคัพภะลงไปในดินและต่อมาทำหน้าที่เป็นปลอกหุ้มยอดอ่อน แล้วก็เปื่อยสลายไป ส่วนรากที่แท้จริงจะออกจากฐานต้นอ่อนที่เจริญมาจากส่วนปลายของ “งอกตาล” ต้นอ่อนของตาลมีลักษณะและขนาดพอ ๆ กับหอมแดงหัวโต ๆ  รากแบบเดียวกับรากหัวหอม ต้นอ่อนจะอยู่ลึกลงไปในดิน จึงมักไม่มีใครเห็น จาวตาลนิยมนำไปเชื่อมรับประทานเป็นของหวาน  ๒ แบบคือ เชื่อมเปียก จาวตาลจะฉ่ำน้ำตาล หรือเชื่อมแห้ง จาวตาลจะมีเกล็ดน้ำตาลจับแข็ง หรือนำลูกตาลสุกมายีเนื้อสีเหลืองแล้วผสมกับแป้งข้าวเจ้าตากแดด เติมน้ำตาล นำมาใส่ห่อใบตองแล้วนึ่งให้สุก ก็จะได้ขนมเนื้อนุ่มฟูคล้ายขนมเค้ก เรียกว่า ขนมตาล.


     ลูกท้อ
อดีตประเทศไทยมีท้อป่าขึ้นอยู่ในพื้นที่บนดอยของภาคเหนือจำนวนมาก ซึ่งเป็นพันธุ์ท้อป่า หรือ ท้อพื้นเมือง  ที่ชาวเขา และชาวจีนฮ่อนำเข้ามาจากทางตอนใต้ของประเทศจีน ต่อมาทางโครงการหลวง ได้นำท้อพันธุ์ดี เข้ามาทดลองปลูก และพัฒนาพันธุ์จนประสบความสำเร็จ และสามารถปลูกได้ในพื้นที่กว้างขวาง และขยายผลสู่การเพาะปลูกของราษฎรชาวไทยภูเขาพื้นที่ภาคเหนือเพื่อลดพื้นที่ปลูกฝิ่น ท้อพันธุ์นี้จะมีผลใหญ่ เนื้อมาก หวานฉ่ำ ใช้รับประทานสด ฤดูที่ลูกท้อสุกจะอยู่ในช่วงเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม โดยหลังจากปลูก ๓ ปีจะเริ่มให้ผลผลิต ท้อจะออกดอกตอนปลายฤดูฝนต่อฤดูหนาว และให้ผลในระหว่างเดือนเมษายน-กรกฎาคม และจะให้ผลผลิตไปจนถึงอายุไม่น้อยกว่า ๑๐ ปี
 
ในลูกท้อ มีวิตามินเอบำรุงสายตา วิตามินซีป้องกันโรคหวัด โรคเลือดออกตามไรฟัน แคลเซียมและฟอสฟอรัสช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน เมล็ด ใช้แก้ไอ บำรุงโลหิต ช่วยให้ลำไส้และหัวใจทำงานเป็นปกติ ดอก กินเป็นยาระบาย ขับปัสสาวะ ใบ ช่วยขับพยาธิ.



     ยางเครพ
ยางเครพ เป็นยางที่ได้จากการนำเศษยางไปรีดด้วยเครื่องรีดยางเครพสองลูกกลิ้ง โดยใช้น้ำทำความสะอาดในระหว่างรีด เนื่อง จากยางมีสิ่งสกปรกเจือปนค่อนข้างมาก เพราะเป็นเศษยางก้นถ้วย เศษยางที่ติดบนเปลือกไม้หรือติดบนดิน เป็นต้น หลังจากรีดแล้วไปผึ่งแห้ง หรืออบแห้งด้วยลมร้อน ยางเครพที่ได้จะมีสีค่อนข้างเข้ม ในประเทศไทย พื้นที่ภาคอีสาน และภาคเหนือที่ปลูกยางพาราเกษตรกรรายย่อยจะผลิตยางเพื่อผลิตเป็นยางเครพมาก ส่วนหนึ่งมาจากการกรีดยางในแต่ละสวนจะได้น้ำยางในปริมาณน้อยไม่คุ้มกับการทำยางแผ่น หรือนำน้ำยางไปจำหน่าย จึงผลิตยางก้นถ้วยเป็นส่วนใหญ่


     เคพกูสเบอรี่
เคพกูสเบอรี่ เป็นไม้ผลขนาดเล็ก มีถิ่นกำเนิดจากประเทศในแถบอเมริกาใต้ เช่น ประเทศเปรู ชิลี และประเทศบราซิล เป็นต้น มีชื่อ วิทยาศาสตร์ว่า PHYSALIS PERUVIANAL. อยู่ในวงศ์ SOLANACEAE เป็นไม้เนื้ออ่อนอายุข้ามปี สูงประมาณ ๑.๐๘ เมตร แตกกิ่งก้านกระจายเป็นพุ่ม ใบเดี่ยว รูปรีกว้างคล้ายรูปหัวใจ ใบค่อนข้างอ่อนนุ่ม ยาวประมาณ ๖-๑๕ ซม.

ดอก ออกบริเวณข้อกิ่ง มีกลีบเลี้ยง ๕ กลีบ กลีบดอกเป็นสีเหลืองเข้ม มีแต้มสีน้ำตาลอมม่วง ๕ จุด บริเวณโคนกลีบสวยงามมาก ภายหลังกลีบดอกร่วง กลีบเลี้ยงสีเขียวจะทำหน้าที่หุ้มผลไว้ภายในเหมือนรก จากนั้น ๗๐-๘๐ วัน กลีบเลี้ยงดังกล่าวจะเปลี่ยนเป็นสีฟางแห้ง ผลที่อยู่ภายในเมื่อสุกเป็นสีเหลืองทอง สามารถเก็บผลรับประทานหรือใช้ประโยชน์ได้ ผลรูปกลมเกลี้ยง โตเต็มที่เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑.๕ นิ้วฟุต เนื้อผลฉ่ำน้ำ รสชาติหวานอมเปรี้ยวนิดๆ คล้ายรสชาติสับปะรดบวกรสชาติมะเขือเทศ หรือ รสชาติมะเขือเทศบวกรสชาติองุ่น และมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว รับประทานอร่อยมาก ภายในผลมีเมล็ด ขยายพันธุ์ด้วย เมล็ด ปักชำกิ่ง ซึ่ง “เคพกูสเบอรี่” เป็นพืชในตระกูลเดียวกับ พริก มะเขือเทศ มันฝรั่ง คนไทยชอบเรียกชื่อว่า “โทงเทงฝรั่ง” เนื่องจากมีลักษณะคล้ายกับต้นโทงเทงที่เป็นวัชพืชในบ้านเรา จะมีปลูกเฉพาะโครงการหลวง และ ชาวเขาบนดอยสูงทางภาคเหนือ เพื่อเก็บผลจำหน่ายตามศูนย์การค้าใหญ่ๆ ไม่กี่แห่งเท่านั้น ยังไม่พบมีต้นพันธุ์ขายที่ไหน

ปัจจุบัน เพิ่งพบว่ามีผู้นำเอาผลของ “เคพกูสเบอรี่” วางขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณ แผง “คุณวิรัช” หน้าธนาคารออมสิน ราคาสอบถามกันเอง ส่วนประโยชน์ กินผลสุกมีวิตามินซีป้องกันไข้หวัด วิตามินเอช่วยบำรุงสายตา แปรรูปทำแยม ซอส พุดดิ้งกวน ทำพาย น้ำผลไม้ปั่น สลัดผักรวมอร่อยมากครับ.
  ไทยรัฐ -ศุกร์ที่ ๘/๓/๕๖

เคพกูสเบอรี่ เป็นไม้ผลขนาดเล็ก รสชาติเปรี้ยวอมหวาน กลิ่นหอม มีถิ่นกำเนิดจากประเทศบราซิล เป็นพืชตระกูลเดียวกับพริก มะเขือ มะเขือเทศ มันฝรั่ง ยาสูบ พิทูเนีย มีชื่อภาษาไทยว่า “โทง เทงฝรั่ง” เนื่องจากมีลักษณะเหมือนกับต้นโทงเทงที่เป็นวัชพืช ต่อมามีการเรียกชื่อใหม่ คือ “ระฆังทอง”เคพกูสเบอรี่อุดมด้วยวิตามินซี ช่วยป้องกันไข้หวัด, วิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา เหมาะสำหรับการรับประทานผลสด ชุบช็อก โกแลต จุ่มน้ำผึ้ง ใส่ในสลัด ทำน้ำผลไม้ หรือนำไปทำเป็นแยมก็ได้

ประเทศไทยมีปลูกมากที่แปลงของเกษตรกรชาวไทยภูเขาเผ่าม้ง บ้านขุนกลาง ดอยอินทนนท์ เป็นพันธุ์ที่ทางราชการไทยส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกเป็นพันธุ์ที่ทรงพุ่มมีความสูงประมาณ ๑.๒๐ เมตร กว้างประมาณ ๑.๕๐ เมตร ผลมีขนาดใหญ่รูปทรงกลมสามารถปลูกได้ดีในพื้นที่ที่มีความสูง ๗๐๐ เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ลักษณะดอกเมื่อผลสุก กลีบเลี้ยงหุ้มผลจะเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเหลืองฟางข้าวฤดูกาลเก็บเกี่ยวอยู่ในช่วงเดือนพฤศจิกายน-เมษายน ลักษณะเนื้อด้านในสีเหลืองสวยฉ่ำน่ารับประทาน.
ที่มา หนังสือพิมพ์เดลินิวส์


     เคพกูสเบอรี่
เคพกูสเบอรี่ เป็นไม้ผลเขตหนาวที่มูลนิธิโครงการหลวงนำเข้ามาจากต่างประเทศ ทำการทดลองปลูกและขยายพันธุ์ให้แก่เกษตรกรชาวไทยภูเขา ตั้งแต่ปี ๒๕๒๒ มีลักษณะลำต้นค่อนข้างอวบน้ำ ในระยะต้นกล้าจะมีใบคล้ายใบมะเขือเทศ เมื่อโตเต็มที่ใบจะคล้ายใบพลูมีขนอ่อนและนิ่มดอกเป็นดอกเดี่ยวเกิดตรงซอกใบที่เป็นข้อ เมื่อดอกเริ่มตูมจะเกิดเป็นยอดใหม่และเกิดตาดอกใหม่ได้อีก ดอกจะคว่ำลงเมื่อดอกบานโคนกลีบดอกเป็นสีม่วง ปลายกลีบเป็นสีเหลืองผลถูกห่อหุ้มด้วยกลีบเลี้ยง เมื่อแก่เต็มที่ผลสีเหลือง ทรงผลกลม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑-๑.๕ เซนติเมตร ระยะเวลาตั้งแต่ติดผลจนถึงผลสุกประมาณ ๓ เดือนแล้วเก็บผลผลิตต่อเนื่องไปเป็นเวลา ๓ เดือน ผลผลิตใช้รับประทานผลสด สามารถปลูกเป็นพืชเสริมได้ในระยะสั้น เนื่องจากเป็นพืชฤดูเดียว ปลูกง่ายไม่ต้องดูแลรักษามากนัก

ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงวัดจันทร์ เป็นศูนย์หนึ่งของมูลนิธิโครงการหลวงที่มีนายสังขกร แก้วทรงเกษ ดำรงตำแหน่งหัวหน้าศูนย์ทำการส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกเคพกูสเบอรี่อินทรีย์ โดยไม่ใช้ปุ๋ยเคมี สารเคมีใดๆ ทั้งสิ้น ใช้วิธีการปรับปรุงบำรุงดินด้วยปุ๋ยพืชสด ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก และสารอินทรีย์ทุกชนิดที่เป็นผลิตภัณฑ์ของกรมพัฒนาที่ดิน ส่งผลให้ได้ผลผลิตเคพกูสเบอรี่ที่ดี มีปริมาณต่อต้นมาก ผลใหญ่สีเหลืองสวยงาม ผู้บริโภคมีความมั่นใจว่าไม่มีสารเคมีและเป็นผลผลิตอินทรีย์ที่ผ่านการตรวจสอบในระยะที่อยู่ในแปลงปลูกจนถึงการเก็บเกี่ยวผลผลิต เคพกูสเบอรี่กำลังเป็นที่สนใจของกลุ่มผู้บริโภคอาหารเพื่อสุขภาพเป็นอย่างมาก สนใจติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ๐-๕๓๒๑-๕๙๘๑-๖๕๗๘
 ที่มา หนังสือพิมพ์บ้านเมือง


     มัลเบอร์รี่ยอดนิยม  ผลหวานหอมอร่อย
มัลเบอร์รี่ หรือ หม่อน ที่ได้รับความนิยมปลูกอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน มีด้วยกัน ๒ ชนิด คือ “ไวท์มัลเบอร์รี่” หรือ MORUS MACROURA มีถิ่นกำเนิดจากประเทศ บังกลาเทศ ต้นสูง ๒.๕-๓ เมตร ติดผลดก ผลมีขนาดใหญ่และยาวกว่าผลของหม่อนหรือ “มัลเบอร์รี่” พื้นเมืองอย่างชัดเจน ซึ่งผลอ่อน ของ “ไวท์มัลเบอร์รี่” เป็นสีเขียว รสชาติหวานเล็กน้อย ไม่เปรี้ยว ผลมีขนาดใหญ่คือ ยาว ๘-๑๐ ซม. เมื่อสุกเป็นสีขาวอมเหลือง รสชาติหวานจัดมีกลิ่นหอมเหมือนกลิ่นน้ำผึ้งรับประทานอร่อยมาก สามารถปลูกในบ้านเราได้ดี ปลูกลงกระถางติดผลได้ หากปลูกลงดินควรให้น้ำน้อยจะติดผลไม่ขาดต้น

อีกชนิดหนึ่ง คือ “มัลเบอร์รี่ลูกผสม” เคที ๑ หรือ MORUS HYBRID นำเข้าจาก ประเทศไต้หวัน ปลูกเติบโตได้ดีในสภาพอากาศบ้านเรา เป็นพันธุ์ที่มีต้นแคระ สูงเต็มที่ไม่เกิน ๑ เมตร แตกกิ่งก้านห้อยย้อยลง ผลมีความยาว ๔-๖ ซม. ผลเป็นสีแดงและแดงเข้ม เมื่อผลสุกเต็มที่จะเป็นสีดำ เหมือนกับสีของผลหม่อนหรือ “มัลเบอร์รี่” พันธุ์พื้นเมืองที่นิยมปลูกทั่วไป แต่ขนาดผลจะใหญ่และยาวกว่า รสชาติขณะผลสุกจะหวานสนิทไม่มีเปรี้ยวเจือปนเลย มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว รับประทานอร่อยไม่แพ้ชนิดแรก ซึ่ง “มัลเบอร์รี่ลูกผสม” เคที 1 จะให้ผลผลิตสูง ติดผลดกสีสันสวยงามยิ่งนัก  สามารถปลูกลงกระถางขนาดเล็กติดผลดกได้ ใบอ่อนเด็ดไปตากแห้งทำเป็นใบชาชงดื่ม มีกลิ่นหอมรสชาติดี เป็นที่นิยมทั่วไป จัดเป็นสายพันธุ์ที่ทนต่อโรคแมลงทุกชนิด “มัลเบอร์รี่” ทั้ง ๒ ชนิด ถ้าต้องการให้ติดผลทั้งปี ให้รูดใบแก่ทิ้ง เมื่อแตกใบใหม่จะมีดอกและติดผลทันที

ใครต้องการต้น “มัลเบอร์รี่” ทั้ง ๒ ชนิด ที่ตลาดนัดสวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ โครงการ ๒๑ ราคาสอบถามกันเองครับ.
ไทยรัฐ - วันพฤหัสบดีที่ ๑๓/๓/๕๗


      มัลเบอร์รี่ใหม่
มัลเบอร์รี่ใหม่ หรือที่คนส่วนใหญ่รู้จักดีคือ หม่อน ชนิดนี้ เป็นสายพันธุ์จากประเทศไต้หวัน ได้รับการคัดพันธุ์ว่าดีที่สุด และถูกนำเข้ามาปลูกขยายพันธุ์ในประเทศไทยบ้านเราหลายปีแล้ว สามารถเติบโตได้ดีและให้ผลผลิตสูง ผลดกอย่างสม่ำเสมอ มีชื่อเฉพาะว่า MURUS MACROURA ขนาดต้น สูง ๒.๕-๓ เมตร ใบเดี่ยว ออกสลับ รูปรีกว้าง ปลายแหลม โคนมนและเว้าลึกเป็นรูปหัวใจ ขอบใบจักเป็นฟันเลื่อย ยอดอ่อนเป็นสีเขียวนำไปแปรรูปเป็นใบชาชงน้ำร้อนดื่มมีกลิ่นหอมรสชาติดีมาก

ดอกออกเป็นช่อกระจุกตามซอกใบ “ผล” เป็นช่อยาว ๑๓-๑๕ ซม. กว้าง ๑.๒ ซม. แต่ละช่อมีผลย่อยเรียงเบียดกันหนาแน่น ภายในผลมีเมล็ด ใน ๑ กระจุกจะมีช่อผลเป็นกลุ่ม ๗-๑๐ ช่อ ช่อผลใหญ่และยาวกว่าช่อผลมัลเบอร์รี่ หรือหม่อนไทยอย่างชัดเจน ขณะช่อผลยังอ่อนจะเป็นสีเขียว รสเปรี้ยวเล็กน้อย เมื่อผลสุกเป็นสีแดงเข้มถึงสีดำ รสหวานจัด รับประทานอร่อยมาก มีกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นสตรอเบอร์รี่

มัลเบอร์รี่ใหม่ ของไต้หวันชนิดนี้ปลูกได้ในดินทั่วไป ปลูกลงดินควรห่างกัน ๑ เมตร คูณ ๑ เมตร ให้น้ำวันเว้นวัน ปลูกลงกระถางขนาดใหญ่สามารถให้ผลผลิตได้ หากต้องการให้ติดผลทั้งปี ผู้ปลูกจะต้องรูดใบแก่ทิ้งเพื่อให้แตกใบใหม่และจะมีดอกและติดผลได้ทันที ซึ่ง “มัลเบอร์รี่ใหม่” ของไต้หวันกำลังนิยมปลูกและนิยมรับประทานอย่างแพร่หลายในเวลานี้ สามารถนำไปแปรรูปได้หลายอย่าง ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง
ปัจจุบัน “มัลเบอร์รี่ใหม่” ของไต้หวัน มีต้นขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ ๒๑ ราคาสอบถามกันเองครับ
  นสพ.ไทยรัฐ – พฤหัสบดีที่ ๘/๘/๕๗


     สตรอเบอรี่พระราชทาน ๘๐
สตรอเบอร์รี่ชนิดนี้ เกิดจากฝีมือนักวิจัย โดย ดร.ณรงค์ชัย พิพัฒน์ธนวงศ์ คุณเวช เต๋จ๊ะ และคณะได้ศึกษาให้เกิดรสชาติหวานขึ้นในชื่อ “สตรอเบอร์รี่พระราชทาน ๘๐”  และนำไปปลูกทดสอบที่แปลงในสถานีวิจัยดอยปุย อ.เมือง จ.เชียงใหม่ พร้อมนำเอาเมล็ดพันธุ์ลูกผสมจากประเทศญี่ปุ่นมาเพาะและปลูกทดสอบตามโปรแกรมการผสมพันธุ์ของโครงการวิจัยการผสมพันธุ์และคัดเลือกสตรอเบอร์รี่มูลนิธิโครงการหลวงปี ๒๕๔๕ จากนั้นในปี ๒๕๔๗ ได้ขยายพันธุ์ด้วย ไหล แบบธรรมดา กับวิธีเพาะเนื้อเยื่อ นำไปปลูกทดสอบการให้ผลผลิตและ รสชาติจนเป็นที่พอใจ มีลักษณะทนต่อศัตรูพืชดี รูปทรงผลแบนคล้ายหงอนไก่ สีผลสุกแดงสดใส รสชาติหวานถูกปากคนไทย เมื่อผลสุกเต็มที่จะมีกลิ่นหอมจัดด้วย จึงขยายพันธุ์มอบให้เกษตรกรนำไปปลูกเก็บผลขาย

สตรอเบอร์รี่พระราชทาน ๘๐ เป็นพันธุ์ที่ต้องการความหนาวเย็นปานกลาง ประมาณ ๑๕-๑๘ องศาเซลเซียส ในการกระตุ้นเพื่อสร้างตาดอก มีระยะดอกบานและเก็บเกี่ยวผลผลิต ๗๐ วัน ขยายพันธุ์ด้วยไหล เป็นพันธุ์ที่ทนต่อโรคแอนแทรกโนส ราแป้งดีมาก นิยมปลูกเฉพาะพื้นที่สูงทางภาคเหนือ  อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีผู้ขยายพันธุ์ “สตรอเบอร์รี่พระราช-ทาน ๘๐” ขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ ๑๓ แต่ละต้นมีผลติดสีสันงดงามมาก ผู้ขายยืนยันว่าสามารถปลูกในพื้นที่ราบต่ำได้ ซึ่งต้นที่นำมาจำหน่ายขยายพันธุ์ในพื้นที่ จ.สุพรรณบุรี

สตรอเบอร์รี่ มีชื่อวิทยาศาสตร์คือ FRAGARIA SPP. ชื่อสามัญ STRAWBERRY เป็นไม้ชอบดินร่วนปนทราย มีระยะเก็บเกี่ยวผลผลิตในช่วงระหว่างเดือนธันวาคมต่อเนื่องไปจนถึงเดือนเมษายนปีถัดไป ปัจจุบันสตรอเบอร์รี่เป็นผลไม้ยอดนิยมของคนไทยชนิดหนึ่ง ไม่จำเพาะชาวต่างชาติอีกแล้ว.
  ไทยรัฐ - ฉบับประจำวันพฤหัสบดีที่ ๗/๓/๕๖



     อะโวคาโด้  ปลูกเก็บผลขายคุ้ม
เมื่อก่อน “อะโวคาโด้” นำผลจากต่างประเทศเข้ามาวางขายตามห้างสรรพสินค้าเท่านั้น ราคาแพงมาก ๙๐-๑๐๐ บาทต่อผล ปัจจุบันประเทศไทยได้นำเอาพันธุ์ “อะโวคาโด้” เข้ามาปลูกเก็บผลขายไม่ต้องนำเข้าอีกต่อไปแล้ว มีผลวางขายทั่วไปแถม ราคาไม่แพงนัก ๒๐-๓๐ บาทต่อผล มีด้วยกันหลายสายพันธุ์เช่น บูธ ๗, บูธ ๘, พันธุ์ปีเตอร์สัน และพันธุ์แฮส เปลือกผลเป็นสีม่วง แต่ละพันธุ์จะแตกต่างกันที่รูปทรงของผลและสีของเปลือกผล ส่วนเนื้อในผลรสชาติเหมือนกันหมด ซึ่งแรกทีเดียว “อะโวคาโด้” ที่ปลูกในประเทศไทยจะมีปลูกเฉพาะทางภาคเหนือเท่านั้นและนิยมขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดทำให้โตช้าให้ผลผลิตชุดแรกหลังปลูกนานถึง ๕-๖ ปีขึ้นไป เก็บผลผลิตออกจำหน่ายไม่ทันใจ

ปัจจุบัน “คุณบุญลือ สุขเกษม” เจ้าของสวน “บุญบันดาล” ต.กลางดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ได้นำเอา “อะโวคาโด้” สายพันธุ์หนึ่งจาก ม. เกษตรฯ ไปปลูก ปรากฏว่าเจริญเติบโตได้ดี มีดอกติดผลดกมากไม่แพ้การปลูกทางภาคเหนือ จึงขยายพันธุ์ด้วยระบบทาบกิ่งปลูกเก็บผลขายสามารถมีดอกติดผลได้รวดเร็วขึ้นคือหลังปลูกเพียง ๒-๓ ปีเท่านั้น และจะติดผลดกมากแบบสม่ำเสมอตลอด ที่สำคัญยังตัดแต่งกิ่งทำให้ต้นเตี้ยลงได้ ๓-๗ เมตรด้วย ซึ่ง “อะโวคาโด้” หรือ AVOCADO PERSEA AMERICANA MILL อยู่ในวงศ์ LAURACEAE มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมจากประเทศเม็กซิโก ผลดิบเปลือกแข็งเนื้อในกรอบมัน ผลสุกเปลือกเป็นสีคล้ำเนื้อในนิ่มมันอร่อยมาก รับประทานแล้วได้คุณค่าทางอาหารสูงมาก
นสพ.ไทยรัฐ



     อะโวคาโด้พันธุ์ปากช่อง ๖๕  กับที่มาพันธุ์ดกกินขายคุ้ม
อะโวคาโด้ชนิดนี้ “คุณบุญลือ สุขเกษม” ได้นำเอาต้นพันธุ์จาก ม.เกษตรฯ ไปปลูกใน “สวนบุญบันดาล” แล้วคัดเอาต้นดีที่สุดปลูกจนต้นโตมีดอกและติดผล จากนั้นได้ขยายพันธุ์ด้วยระบบทาบกิ่งปลูกเลี้ยงอีกทอดหนึ่งจนมีดอกและติดผล ปรากฏว่าติดผลได้เร็วขึ้นกว่าเดิมคือหลังปลูกแค่ ๒-๓ ปีเท่านั้น ติดผลดกเป็นพวงสวยงามน่าชมมาก ที่สำคัญต้นเตี้ยลงสูงไม่เกิน ๓-๕ เมตร จึงถูกตั้งชื่อว่า “อะโวคาโด้พันธุ์ปากช่อง ๖๕” ดังกล่าว

อะโวคาโด้พันธุ์ปากช่อง ๖๕ หรือ AVOCADO PERSEA AMERICANA MILL. อยู่ในวงศ์ LAURACEAE เป็นไม้ยืนต้น สูง ๓-๕ เมตร ตามที่กล่าวข้างต้น ใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ เป็นรูปรีแกมรูปขอบขนาน ปลายแหลมมีติ่ง โคนสอบหรือป้าน สีเขียวสด
ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบปลายยอด และตามตากิ่ง ดอกเป็นสีครีม “ผล” รูปกลมรีหรือรูปหยดน้ำ เวลาติดผลจะดกเต็มต้นเป็นพวงน้ำหนักผลเฉลี่ยระหว่าง ๓ ผล ต่อ ๑กิโลกรัมกว่าๆ ผลดิบเปลือกผลเป็นสีเขียวเข้ม เนื้อในดิบกรอบมัน เมื่อผลสุกเปลือกผลสีจะคล้ำขึ้นหรือปนเหลืองเล็กน้อย เนื้อในสุกจะนิ่มรสมันรับประทานอร่อยมากและมีคุณค่าทางอาหารสูง ๑ ผลมี ๑ เมล็ด ติดผลปีละครั้ง แต่ “อะโวคาโด้พันธุ์ปากช่อง ๖๕” จะติดผลช้ากว่าอะโวคาโด้ทุกๆพันธุ์ คือ หลังจากอะโวคาโด้พันธุ์อื่นวายได้ ๓ เดือน ระหว่างเดือนสิงหาคมถึงเดือนกันยายนทุกปี ราคาหน้าสวน กก.ละ ๖๐ บาทขึ้น
นสพ.ไทยรัฐ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09 กันยายน 2559 16:38:44 โดย กิมเล้ง » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5462


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 9.0 MS Internet Explorer 9.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #18 เมื่อ: 01 สิงหาคม 2556 19:48:30 »

.


     มะพูดหวาน แก้เด็กปากหนัก
โดย ปกติผลของมะพูดส่วนใหญ่ จะมีรสชาติเปรี้ยวนำและปนหวานนิดๆ ไม่หวานสนิท นิยมปลูกตามบ้านและตามร่องสวนมาแต่โบราณแล้ว แต่ “มะพูดหวาน” ที่มีกิ่งตอนวางขายได้รับการเปิดเผยจากผู้ขายว่า มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในแถบจังหวัดนนทบุรี มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับมะพูดทั่วไปทุกอย่าง จะแตกต่างกันเพียงผลสุกงอมของ “มะพูดหวาน” จะมีรสชาติหวานสนิทไม่มีรสเปรี้ยวเจือปนเลยเท่านั้น เนื้อสุกจะคล้ายกับเนื้อมะยงชิด ผลอ่อนรสชาติฝาดปนเปรี้ยว สามารถนำไปเชื่อมเหมือนเชื่อมมะตูมได้ หรือแกงส้มใส่กุ้งสดอร่อยมาก

ที่สำคัญ “มะพูดหวาน” หรือ มะพูดทั่วไป ถูกนับถือเป็นไม้มงคลชนิดหนึ่ง ซึ่งหากเด็ก หรือลูกหลานบ้านไหนปากหนักไม่ยอมพูดจากับใคร หรือไม่พูดเลย คนเฒ่าคนแก่ในยุคสมัยก่อนจะเด็ดเอาผลสุกของมะพูดให้เด็กคนนั้นกินจะกลับมาพูดเก่งได้อย่างเหลือเชื่อ

มะพูดหวาน หรือ GARCINIA DULCIS KURZ อยู่ในวงศ์ GUTTIFERAE เป็นไม้ยืนต้น สูง ๕-๑๐ เมตร ใบอ่อนเป็นสีน้ำตาล ดอกเป็นสีเหลืองอมน้ำตาล ออกเป็นช่อตามซอกใบใกล้ปลายกิ่งคล้ายดอกสารภี มีกลีบดอก ๔ กลีบ ดอกมีกลิ่นหอม “ผล” โตเต็มที่ประมาณลูกเทนนิส สุกสีเหลืองอมส้ม ดิบสีเขียว ฉ่ำน้ำ ผลสุกงอมของ “มะพูดหวาน” จะมีรสหวานสนิทตามที่กล่าวข้างต้น มีเมล็ด ๓-๔ เมล็ด ดอกออกเดือนมีนาคม ผลสุกเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน สรรพคุณทางยาของมะพูดทั่วไป ผลสุกกินแก้ไอ ขับเสมหะ แก้เจ็บคอ แก้เลือดออกตามไรฟัน รากสดต้มน้ำ ฝนกับน้ำ และฝนกับเหล้าขาว ๔๐ ดีกรี กินเป็นยาแก้ไข้ แก้ร้อนใน ถอนพิษสำแดงได้  
 ข้อมูลและภาพ : คอลัมน์ "เกษตรกรบนแผ่นกระดาษ" หน้า ๗ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับประจำวันศุกร์ที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๖



     ละมุด
ละมุดเป็นผลไม้ที่นิยมรับประทานกันอย่างแพร่หลาย ผลกลมรีเหมือนไข่ไก่สีน้ำตาล มีรสหวาน รับประทานเมื่อผลสุก หลังจากปอกเปลือกแล้ว เนื้อของละมุดจะมีสีน้ำตาลแดง ผลละมุดมีสารอาหารหลากหลาย และมีสรรพคุณใช้เป็นยาสมุนไพร ยางละมุดซึ่งมีสีขาวอยู่ทั่วทุกส่วนของลำต้น มีประโยชน์สำหรับนำไปใช้ทำหมากฝรั่ง
  
สรรพคุณทางยาสมุนไพร เปลือกต้นละมุดฝรั่งนำมาต้มเป็นยาแก้บิด ผลละมุดสุกนำมารับประทานเป็นผลไม้ หรือเตรียมผลไม้  ยางจากละมุดดิบใช้เป็นยาถ่ายพยาธิอย่างแรง เมล็ดละมุดเป็นยาบำรุง คุณค่าทางโภชนาการและอาหาร
 
ในส่วนที่รับประทานได้ ๑๐๐ กรัม พลังงาน ๗๑ แคลอรี โปรตีน  ๗๗.๓ กรัม ไขมัน ๐.๘ กรัม คาร์โบไฮเดรต ๑๕.๖ กรัม เส้นใยอาหาร ๕.๖ กรัม แคลเซียม ๑๕ มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส ๖ มิลลิกรัม  เหล็ก ๐.๖ มิลลิกรัม เบต้าแคโรทีน ๒๒ ไมโครกรัม วิตามีนบี ๑  ๐.๐๑  มิลลิกรัม ไนอะซีน ๐.๖ มิลลิกรัม วิตามีนซี ๔๗ มิลลิกรัม.




     ละมุดสาลี่ ผลใหญ่หวานจัด
ผู้อ่านจำนวนมากที่ชอบปลูกไม้ผลกินได้จำพวกละมุดอยากทราบว่า “ละมุดสาลี่” กับละมุดเวียดนามเป็นต้นเดียวกันหรือไม่ เนื่องจากผู้ขายกิ่งตอนบอกไม่เหมือนกัน บางแผงบอกว่าเป็นคนละต้นกัน ซึ่งความจริงแล้ว “ละมุดสาลี่” กับละมุดเวียดนามคือต้นเดียวกัน โดยมีถิ่นกำเนิดจากประเทศเวียดนาม ถูกนำเข้ามาปลูกและขยายพันธุ์ขายในประเทศไทยนานหลายปีแล้ว ซึ่งผู้นำเข้าครั้งแรกเรียกว่า “ละมุดสาลี่” แต่เนื่องจากมีถิ่นกำเนิดจากประเทศเวียดนาม จึงมีบางคนนิยมเรียกว่าละมุดเวียดนาม จึงเป็นต้นเดียวกันอย่างแน่นอน

ละมุดสาลี่ หรือละมุดเวียดนาม มีข้อเด่นคือ ผลมีขนาดใหญ่ มีด้วยกัน ๒ สายพันธุ์ ได้แก่ ชนิดผลทรงกลมแป้น และผลทรงกลมรี ผลสุกรสชาติ หวานจัดไม่เป็นทราย หอมกรอบอร่อยมาก ผลเมื่อโตเต็มที่มีน้ำหนักเฉลี่ยอยู่ระหว่าง ๓-๔ ผล ต่อ ๑ กิโลกรัม ที่สำคัญ เป็นสายพันธุ์ที่ปลูกง่าย เจริญเติบโตเร็ว ติดผลดกมาก จึงนิยมปลูกเพื่อเก็บผลรับประทานในครัวเรือน และปลูกเพื่อเก็บผลขายอย่างแพร่หลายจนกระทั่งปัจจุบัน

ละมุดสาลี่ หรือละมุดเวียดนาม อยู่ในวงศ์ SAPOTACEAE เป็นไม้ต้นหรือไม้พุ่ม สูง ๓-๕ เมตร แตกกิ่งก้านเป็นทรงกรวยคว่ำ ใบเดี่ยว ออกเวียนสลับหนาแน่นบริเวณปลายกิ่ง ใบเป็นรูปรี ปลายแหลม โคนมน ดอก ออกเป็นกระจุกที่ซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ดอกมีขนาดเล็กสีขาวนวล “ผล” ขนาดใหญ่ตามที่กล่าวข้างต้น เนื้อสุกเป็นสีแดงอมส้ม ไส้กลางสีขาว รสหวานกรอบอร่อยมาก มีเมล็ดน้อย ติดผลปีละครั้ง แต่จะดกเต็มต้น ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดตอนกิ่งและเสียบยอด

ใคร ต้องการกิ่งพันธุ์ไปปลูกติดต่อ “คุณวิเชียร บุญเกิด” ๑๖๑/๒ หมู่ ๑ ต.อ่างทอง อ.เมือง จ.กำแพงเพชร  ราคาสอบถามกันเอง.
  หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.bansuanporpeang.com/files/images/user4941/%20059.jpg
"เกษตรน่ารู้" สารพัดสารพันเรื่องพันธุ์ไม้

     ละมุดยักษ์มาเลย์ซีเอ็ม 19 หวานกรอบหอม
ละมุด ชนิดนี้สถาบันวิจัยและพัฒนาการเกษตรของประเทศมาเลเซียที่มีชื่อเฉพาะว่า (MARDI) ได้ใช้ความพยายามนานกว่า ๑๒ ปี ในการวิจัยและพัฒนาพันธุ์ขึ้นมาจากจำนวนต้นกล้ากว่า ๕๐ ต้น จากนั้นได้คัดเอาต้นดีที่สุดไปปลูกทดสอบสายพันธุ์จนมั่นใจว่าได้ละมุดพันธุ์ใหม่  พร้อมกับตั้งชื่อว่า “ละมุด ซีเอ็ม ๑๙” (CIKA MEGA)  มีความเป็นพิเศษคือ ขนาดผลจะใหญ่มาก มีน้ำหนักเฉลี่ยได้ถึง ๕๙๔ กรัมต่อผล เนื้อในผลสุกมีความละเอียด ไม่เละ ไม่เป็นเม็ดทราย รสชาติกรอบหวานหอมรับประทานอร่อยมาก สถาบันวิจัยและพัฒนาการเกษตรมาเลเซียจึงขยายพันธุ์และตอนกิ่งออกสู่ภายนอก รวมทั้งประเทศไทยมีผู้นำเข้ามาปลูกนานกว่า ๓-๔ ปีแล้ว ซึ่งนอกจาก “ละมุดยักษ์มาเลย์ ซีเอ็ม 19” เป็นชื่อที่เกษตรกรไทยตั้งขึ้น จะมีความโดดเด่นตามที่กล่าวข้างต้นแล้ว เปลือกผลเมื่อสุกล้างน้ำให้สะอาดสามารถรับประทาน ได้ทั้งเปลือก ไม่ทำให้รสชาติเสียแต่ประการใด ที่สำคัญกว่านั้น กิ่งตอนที่เกษตรกรไทยขยายพันธุ์ออกขายเป็นกิ่งที่ขยายพันธุ์ด้วยวิธีเสียบยอด มีรากแก้วหนาแน่นดีแล้ว จึงทำให้ใช้เวลานำไปปลูกไม่เกิน ๒-๓ ปี สามารถติดผลดกเต็มต้นและมีความทนทานต่อการถูกน้ำท่วมขังและทนแล้งได้ดีมาก

ละมุดยักษ์มาเลย์ซีเอ็ม 19 ไม่ใช่ละมุดสาลี่ของเวียดนาม มีข้อแตกต่างกันคือ ขอบใบของ “ละมุดยักษ์มาเลย์ ซีเอ็ม ๑๙” เรียบ ของเวียดนามเป็นคลื่น เมล็ดของ “ละมุดยักษ์มาเลย์ ซีเอ็ม ๑๙” มีเพียง ๑ เมล็ด ของเวียดนามมี ๒-๔ เมล็ด และ สุดท้าย ผลของละมุดสาลี่เวียดนามค่อนข้างกลม ส่วนผลของละมุดยักษ์มาเลย์จะยาวและใหญ่กว่าชัดเจน  ใครต้องการกิ่งตอน ติดต่อ “คุณประภาส สุภาผล” ๓๓/๔ หมู่ ๗ ต.ห้วยใหญ่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี  ราคาสอบถามกันเองครับ.
  หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ  



     ละมุดยักษ์สาลี่ กับเส้นทางพันธุ์หวานกรอบ
ละมุดยักษ์สาลี่ คือละมุดฝรั่งสายพันธุ์หนึ่งที่เกษตรกรชาวเวียดนามได้นำเอาพันธุ์ไปปลูกและขยายพันธุ์ในประเทศหลายแบบและหลายวิธี แล้วเกิดการกลายพันธุ์ถาวรเป็นละมุดพันธุ์ใหม่ที่เกิดในประเทศเวียดนาม จากนั้นเกษตรกรชาวไทยได้นำเอาพันธุ์เข้ามาปลูกและขยายพันธุ์ขายในบ้านเรานานกว่า ๒๐ ปีแล้ว มีด้วยกัน ๒ ชนิดคือ ชนิดผลกลมแป้นเล็กน้อย และชนิดผลกลมรียาว ขนาดผลใหญ่ รสชาติหวานกรอบอร่อยเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ถูกปากถูกคอผู้รับประทาน และผู้ปลูกชาวไทยอย่างต่อเนื่องเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน
 
ละมุดยักษ์สาลี่ หรือที่ผู้ปลูกชอบเรียกคือ ละมุดเวียดนาม อยู่ในวงศ์เดียวกับละมุดทั่วไปคือ SAPOTACEAE เป็นไม้ยืนต้น สูง ๓-๕ เมตร ใบเดี่ยว ออกเวียนสลับถี่บริเวณปลายกิ่ง ปลายใบแหลม โคนมน ดอก ออกเป็นช่อกระจุกที่ซอกใบใกล้ปลายยอด ดอกมีขนาดเล็ก สีขาวนวล มีกลีบดอก ๕ กลีบ “ผล” มีด้วยกัน ๒ ลักษณะคือ กลมแป้นเล็กน้อยและผลกลมรียาว ขนาดผลใหญ่ ผลโตเต็มที่มีน้ำหนักเฉลี่ยระหว่าง ๓ ผลต่อ ๑ กิโลกรัม ซึ่งผู้ขยายกิ่งตอนขายระบุว่า บางครั้งในต้นเดียวสามารถติดผลได้ ๒ รูปแบบตามที่กล่าวข้างต้น ถือว่าเป็นเรื่องแปลกที่สุด รสชาติสุกหวานกรอบ เนื้อไม่เละ รับประทานอร่อยมาก ใน ๑ ผล มีเมล็ด ๓-๕ เมล็ด มีดอกและติดผลดกตลอดทั้งปี ติดผลเป็นพวง ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง และเสียบยอด การปลูก เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนปนทราย เป็นไม้ชอบแดด ไม่ชอบน้ำท่วมขัง หลังปลูกรดน้ำพอชุ่มเช้าเย็น บำรุงปุ๋ยมูลสัตว์กลบฝังดินรอบโคนต้นเดือนละครั้งสลับกับใส่ปุ๋ยสูตร ๑๖-๑๖-๑๖ ครึ่งเดือนครั้ง เมื่อต้นสูงประมาณ๓ เมตร จะเริ่มติดผลชุดแรกและจะติดผลดกขึ้นเรื่อยๆตามอายุของต้น
 
ใครต้องการกิ่งตอนรุ่นใหม่ติดต่อ “คุณวิเชียร บุญเกิด” เกษตรกรดีเด่นด้านพืชสวน ปี ๕๔ จ.กำแพงเพชร  หมู่ ๑ ต.อ่างทอง อ.เมือง จ.กำแพงเพชร ราคาสอบถามกันเองครับ.
 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ



     ละมุดสีดา กิโลกรัมหลายบาท
สมัยก่อน “ละมุดสีดา” นิยมปลูกอย่างกว้างขวางทั้งตามบ้านและวัดวาอาราม เนื่องจากให้ร่มเงาดี ผลสุกสีสันสวยงามน่าชมยิ่ง สามารถรับประทานได้ รสชาติหวานปนฝาดเล็กน้อย อร่อยมาก ที่สำคัญคนเพิ่งฟื้นจากการเจ็บไข้ได้ป่วยเล็กๆน้อยๆ ไม่มีเรี่ยวมีแรง อ่อนเพลีย หากได้รับประทานผลสุกของ “ละมุดสีดา” ตำรายาไทยโบราณระบุว่า จะช่วยทำให้จิตใจชุ่มชื้นและหายจากอาการอ่อนเพลียได้อย่างเหลือเชื่อ ส่วนเนื้อไม้นิยมเอาไปทำเสา กระดานพื้นบ้าน ฝาลอด เครื่องใช้ต่างๆ ทำตู้ใส่เสื้อผ้า แข็งแรงทนทานและขึ้นเงาดีมาก

ละมุดสีดา หรือ MADHUCA GRANDIFLORD FLETCHER อยู่ในวงศ์ SAPOTACEAE พบขึ้นในป่าดงดิบทางภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงใต้ของไทย โดยจะขึ้นตามที่สูงจากนํ้าทะเลไม่เกิน ๔๐๐-๕๐๐ เมตร ภาคอื่นพบประปราย เป็นไม้ยืนต้นเนื้อไม้แข็ง สูง ๑๐-๑๕ เมตร แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มทรงกลมทึบ กิ่งอ่อนเกลี้ยงสีนํ้าตาล เปลือกต้นเป็นสีนํ้าตาลปนแดง แตกเป็นร่องลึกตามยาวของลำต้น ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงถี่บริเวณปลายยอด ใบรูปหอกแคบ ปลายสอบเรียว บางทีมน โคนใบสอบ เนื้อใบหนาขอบใบเรียบเป็นคลื่น ใบดกให้ร่มเงาดีมาก

ดอก ออกเป็นกระจุกใหญ่ที่ปลายกิ่ง บางครั้งมีออกตามง่ามใบก็มี แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยจำนวนมาก กลีบดอกเป็นสีขาว “ผล” รูปกลมรี ลักษณะคล้ายผลพิกุล แต่ขนาดของผลจะใหญ่กว่าอย่างชัดเจน ผลอ่อนเป็นสีเขียว ผลแก่หรือสุกเป็นสีแดงสดใสหรือสีแดงคลํ้าเล็กน้อย เวลาติดผลดกและผลสุกพร้อมกันทั้งต้นจะดูสวยงามสดใสมาก เนื้อในเป็นสีเหลืองอมส้มกินได้ รสหวานปนฝาดเล็กน้อยตามที่กล่าวข้างต้น มี ๑ เมล็ด ติดผลเกือบทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง ภาคกลางเรียกว่า “มะซาง” มีต้นขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ โครงการ ๑๗ ปัจจุบันผลสุกกิโลกรัมไม่ตํ่ากว่า ๑๐๐ บาทครับ
 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ


     มะเฟืองเปรี้ยว
ในยุคสมัยก่อน มะเฟืองเปรี้ยว” ถูกนำไปใช้เป็นยาสมุนไพรรักษาโรคได้หลายอย่าง เช่น สูตรแก้โรคเกาต์นิยมใช้เฉพาะกลุ่มได้ผลดีมาแต่โบราณคือ ให้เอา “มะเฟืองเปรี้ยว” สุก ๑ ผล เกลือป่นเล็กน้อย น้ำผึ้งแท้ ๑ ช้อนโต๊ะ น้ำต้มสุกกะให้ได้ ๒ แก้วต่อวัน ปั่นให้เข้ากันจนละเอียดกินครั้งละเกือบเต็มแก้วเช้าเย็นก่อนอาหาร ทำกินติดต่อกัน ๖ วัน อาการของโรคเกาต์จะดีขึ้นหรือหายได้ ใครเป็นเกาต์ทดลองดูไม่อันตรายอะไร

มะเฟืองเปรี้ยว ยังช่วยถอนพิษยาเสพติดชนิดต่างๆ ที่เพิ่งรู้ตัวว่าเป็นใหม่ๆยังไม่ถึงขั้นเข้าเส้นเลือดได้ โดยให้เอา “มะเฟืองเปรี้ยว” สุก ๑ ผล เอาเมล็ดออกหั่นเป็นชิ้นบางๆ แช่กับน้ำผึ้งแท้ท่วมเนื้อทิ้งไว้ทั้งคืน รุ่งขึ้นเอาทั้งน้ำและเนื้อปั่นรวมกันให้ละเอียด เติมน้ำร้อนลงไปพอประมาณ แบ่งกิน ๒ แก้ว ทั้งน้ำและเนื้อเช้าเย็นก่อนหรือหลังอาหารก็ได้ ๑ ผลปั่นกิน ๑ วัน ทำกินทุกวันจะหายได้ เมื่อหายแล้วหยุดกินได้เลยไม่มีอันตรายอะไร

นอกจากนั้น “มะเฟืองเปรี้ยว” สุก ๑ ผล คั้นเอาน้ำผสมสารส้มเล็กน้อยกินวันละครั้ง ครั้งละ ๑ แก้ว ช่วยละลายนิ่ว ขับปัสสาวะ และ แก้โรคหนองในได้ดีมาก

มะเฟือง หรือ AVERRHOA CARABOLA LINN. อยู่ในวงศ์ AVERRHOACEAE สรรพคุณเฉพาะยอดอ่อนต้มรวมกับยอดอ่อนมะพร้าวจำนวนเท่ากัน กินน้ำ แก้ไข้หวัดใหญ่ ใบต้มอาบ แก้ตุ่มคันตามร่างกาย แก่นและรากต้มน้ำดื่มแก้ท้องร่วงแก้เจ็บเส้นเอ็น ผลสุกขยี้สระผมบำรุงเส้นผมขจัดรังแคได้ ราก รสเย็นต้มน้ำดื่มระงับความร้อน ถอนพิษไข้ และอาการผิดสำแดงต่างๆ ดีมาก

ปัจจุบัน “มะเฟืองเปรี้ยว” มีต้นขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ ๑๗ เป็นต้นที่เกิดจากการเพาะด้วยเมล็ด มีรากติดดีทุกต้น เมื่อนำไปปลูกแล้วไม่ตายง่าย ราคาสอบถามกันเองครับ.
  นสพ. ไทยรัฐ พุธที่ ๒๔/๑๒/๕๗  


     มะไฟ  
มะไฟ เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูงประมาณ ๑๐-๑๕ เมตร เปลือกลำต้นมีสีน้ำตาลอมเทาลำต้นค่อนข้างเรียบเกลี้ยง ใบเป็นรูปหอก ปลายแหลมและมีติ่งแหลมอยู่ริมขอบ ใบเรียบไม่มีหยัก หลังใบมีสีเขียวแก่ ส่วนใต้ท้องใบเป็นสีอ่อนกว่าเล็กน้อย ดอกออกเป็นช่อสั้น ๆ อยู่ตามบริเวณปลายกิ่ง มีสีเหลืองอมชมพู มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ผลเป็นรูปกลมเปลือกนอกหนา ห้อยลงมาเป็นระย้า ผิวเปลือกเรียบเกลี้ยง ข้างในมีเนื้อผลฟู หุ้มเมล็ดอยู่ ๑-๒ เมล็ด ผลสุกมีสีเหลือง

ผลมะไฟสุกจะมีรสเปรี้ยวอมหวาน มีกรดอินทรีย์หลายชนิด มีวิตามินซี น้ำตาลและอื่น ๆ ใช้รับประทานเป็นผลไม้ หรือทำน้ำผลไม้ได้ ใบมีรสเผ็ด เย็น มีสรรพคุณแก้โรคหวัด แก้ไอ ไข้มาลาเรีย ใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ รักษากลากเกลื้อน โรคเรื้อน บำรุงธาตุ แก้พิษฝี และขับปัสสาวะ รากใช้เป็นยาแก้พิษตานซาง แก้วัณโรค แก้ฝีภายใน ดับพิษร้อน เริม แก้ผิวหนังอักเสบ ชนิดที่เป็นถุงน้ำและลอกออกมา และใช้บรรเทาไข้ที่มีอาการปวดข้อปวดเข่าและมีผื่น ผลช่วยย่อย ละลายเสมหะ รักษาอาการอาหารไม่ย่อย ท้องอืด ท้องเฟ้อ และขับเสมหะ



     มะไฟข้าวเหนียวดำ เนื้อสีสวยหวานอร่อย
ผู้อ่านจำนวนมากอยากทราบว่า “มะไฟข้าวเหนียวดำ” เป็นอย่างไร ซึ่งความจริงแล้วมะไฟชนิดนี้เป็นหนึ่งในหลายๆสายพันธุ์ที่นิยมปลูกกันมาช้านานแล้ว เช่น มะไฟ ชนิดที่มีเนื้อสุกเป็นสีชมพูมีชื่อเรียกว่า มะไฟไข่เต่า ชนิดนี้ผลจะมีขนาดใหญ่กว่ามะไฟทุกพันธุ์ มะไฟเหรียญทอง และ มะไฟครูถิน เป็นต้น มะไฟเหล่านี้เนื้อสุกจะเป็นสีชมพูและสีเหลือง รสชาติหวานปนเปรี้ยว นิยมปลูกและนิยมรับประทานผลสุกอย่างแพร่หลาย

ส่วน “มะไฟข้าวเหนียวดำ” จะมีข้อแตกต่างจากมะไฟที่กล่าวข้างต้นคือ เนื้อสุกจะเป็นสีม่วงเข้ม หรือ สีเกือบดำสวยงาม รสชาติหวานปนเปรี้ยวเล็กน้อยอร่อยมาก เท่าที่ทราบในยุคสมัยก่อนนิยมปลูก “มะไฟข้าวเหนียวดำ” อย่างแพร่หลาย ในแถบภาคอีสาน และที่มีชื่อเรียกว่า “มะไฟข้าวเหนียวดำ” ก็เนื่องจากว่าเนื้อสุกมีสีเหมือนกับสีของข้าวเหนียวดำนั่นเอง ปัจจุบันมีผลขายแต่ไม่มากนัก

มะไฟข้าวเหนียวดำ หรือ มะไฟทั่วไป มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า BACCAUREARAMIFLORA LOUR ชื่อสามัญ BACCAUREA RAMIFLORA อยู่ในวงศ์ PHYL-LANTHACEAE เป็นไม้ยืนต้น สูง ๑๐-๑๕ เมตร ต้นมีอายุยืนยาว แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มกว้าง ใบเป็นใบเดี่ยวออกตรงกันข้ามรูปรีแกมรูปใบหอก ปลายใบแหลม โคนใบป้าน เนื้อใบค่อนข้างหนา สีเขียวสด ดอก ออกเป็นช่อกระจุกใต้ท้องกิ่ง ตามลำต้น คล้ายดอกทุเรียนและดอกลางสาด “ผล” ทรงกลมติดผลเป็นพวงห้อยลง ผลสุกเป็นสีเหลืองสวยงามมาก เนื้อสุกเป็นสีชมพู สีเหลือง และ สีดำ ตามสายพันธุ์ มีเมล็ด ๑-๓ เมล็ด รสชาติหวานปนเปรี้ยว ดอกออกเดือน ก.พ. ผลแก่เดือน เม.ย.-พ.ค. ทุกปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง

มะไฟข้าวเหนียวดำ มีกิ่งตอนขาย ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ ๑๙
  หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ  



     มะไฟแดง   ดอกหอมเนื้ออร่อย
มะไฟแดง พบขึ้นตามป่าธรรมชาติทางภาคใต้ของประเทศไทย โดยจะขึ้นตามที่ราบเชิงเขาและริมห้วยริมลำธารทั่วไป พบมากที่สุดทางภาคใต้ตอนล่าง ในต่างประเทศพบที่ มาเลเซียและอินโดนีเซีย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า BACCAUREA SCORTECHINII HOOK.F. ชื่อสามัญ CHINESE LANTERN TREE อยู่ในวงศ์ EUPHOBIACEAE เป็นไม้ยืนต้น สูง 6-10 เมตร ใบเดี่ยว ออกตรงกันข้าม รูปขอบขนาน ปลายแหลมโคนสอบ ยอดอ่อนสีนํ้าตาลแดง กินเป็นผักเคียง เปรี้ยวปนฝาดอร่อยมาก ดอกออกเป็นช่อตามลำต้นและกิ่งก้าน เป็นดอกแยกเพศ ดอกตัวผู้และดอกตัวเมียไม่มีกลีบดอก เป็นสีม่วงเข้ม ดอกมีกลิ่นหอม เวลามีดอกจะสวยงามและส่งกลิ่นหอมเป็นที่ชื่นใจยิ่ง

ผล รูปกลมแป้น เปลือกผลเมื่อแก่จะเป็นสีแดงอมม่วง เปลือกผลหนา ติดผลดกเป็นพวงห้อยลงสวยงามน่าชมมาก เนื้อหุ้มเมล็ดเป็นสีชมพู ใน ๑ ผล มี ๓ พู หรือ ๓ เมล็ด เนื้อหุ้มเมล็ดรสหวานปนเปรี้ยวรับประทานอร่อยเหมือนกับเนื้อมะไฟทั่วไปทุกอย่าง ติดผลปีละครั้งตามฤดูกาลในช่วงหน้าร้อน ขยายพันธุ์ทั่วไปด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง มีชื่อเรียกอีกคือ ส้มไฟป่า, ส้มไฟดิน, มะไฟเต่า และ มะไฟกาแดง นิยมปลูกเก็บผลกินในครัวเรือนและเก็บผลขายเชิงพาณิชย์ประปราย ปัจจุบันนักจัดสวนนิยมเอาไปปลูกเป็นไม้ประดับ เนื่องจากเวลามีดอกและติดผล นอกจากดอกสวยงามส่งกลิ่นหอมแล้ว ผลยังเก็บรับประทานได้ด้วยนั่นเอง
 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ  



     มะยงชิดทูลเกล้า
ผู้อ่านจำนวนมากอยากทราบว่ามีกิ่งตอน “มะยงชิดทูลเกล้า” ที่เป็นพันธุ์แท้ขายที่ไหน ซึ่ง “นายเกษตร” เคยแนะนำไปในช่วงเดือนเมษายน ปี ๕๑ และตอนนั้นกิ่งตอนขายดีมากจนทำให้ถึงจุดอิ่มตัวหาซื้อกิ่งตอนได้ยากขึ้นในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดือนเมษายนทุกปีจะมีผู้นำผลสุกของ “มะยงชิดทูลเกล้า” และมะยงชิดพันธุ์ต่างๆ ออกวางขายให้ผู้ซื้อไปรับประทานอย่างแพร่หลายพร้อมกับพบว่า มีผู้ขยายพันธุ์เอากิ่งตอนรุ่นใหม่ซึ่งเป็นพันธุ์แท้ของ “มะยงชิดทูลเกล้า” ออกจำหน่ายด้วย จึงรีบแนะนำให้แฟนคอลัมน์ทราบทันทีตามระเบียบ

มะยงชิดทูลเกล้า มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่ที่ ต.ท่าอิฐ จ.นนทบุรี ต่อมาได้มีผู้นำเอาต้นพันธุ์ไปปลูกที่ จ.นครนายก เก็บผลขายกลายเป็นผลไม้ดีประจำจังหวัดนครนายกไปในที่สุด ซึ่ง “มะยงชิดทูลเกล้า” มีข้อโดดเด่นคือ จะติดผลปีละ ๓ รุ่น เวลาติดผลจะดกมาก และผลมีขนาดเสมอกันทุกพวง เมล็ดลีบเนื้อในเยอะ เมื่อนำไปชั่งกิโลขายให้ นํ้าหนักดีอยู่ระหว่าง ๑๐-๑๒ ผล ต่อ ๑ กิโลกรัม รสชาติหวานปนเปรี้ยวรับประทานอร่อยมาก

มะยงชิดทูลเกล้า อยู่ในวงศ์ ANACARDIACEAE เป็นไม้ยืนต้น สูง ๕-๑๐ เมตร ใบจะมีขนาดใหญ่กว่ามะยงชิดพันธุ์ทั่วไป ดอก ออกตามซอกใบและปลายกิ่ง เป็นสีขาว “ผล” กลมรี ติดผลเป็นพวง ผลดิบสีเขียว เมื่อสุกเป็นสีเหลือง สุกเต็มที่ส่วนหัวจะยังคงเป็นสีเขียวอยู่ สีผลแก่จัดจะเปลี่ยนเป็นสีส้ม รสชาติหวานปนเปรี้ยวตามที่กล่าวข้างต้น ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง และเสียบยอด ปลูกได้ในดินทั่วไป รดนํ้าบำรุงปุ๋ยอย่างสม่ำเสมอจะติดผลดกปีละ ๓ รุ่น คุ้มค่ามาก

ปัจจุบัน “มะยงชิดทูลเกล้า” มีกิ่งตอนแท้รุ่นใหม่ขาย ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ ๑๙
  หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ  



     มะยงชิดท่าอิฐ ดกใหญ่หวานกินขายคุ้ม
มะยงชิดชนิดนี้ มีประวัติเริ่มปลูกในยุคสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นมะปรางชนิดหนึ่งที่เกิดจากการกลายพันธุ์จนผลมีขนาดใหญ่ขึ้น เนื้อหนา เมล็ดเล็ก รสชาติหวานนำและปนเปรี้ยวตามเล็กน้อย วัดความหวานได้ประมาณ ๑๗.๑ องศาบริกซ์ ในสมัยดังกล่าวนิยมเรียกว่า มะปรางเสวย และมีแหล่งปลูกใหญ่ในท้องที่ ต.ท่าอิฐ อ.เมือง จ.นนทบุรี จากนั้นได้กระจายพันธุ์ปลูกไปยังพื้นที่ใกล้เคียงแถบ ต.บางขุนนนท์ อ.บางกอกน้อย ฝั่งธนบุรี ในยุคสมัยนั้นได้รับความนิยมจากผู้ปลูกและผู้รับประทานอย่างกว้างขวางในชื่อ “มะยงชิดท่าอิฐ” ตามแหล่งปลูกครั้งแรกและเรียกกันเรื่อยมาจนทุกวันนี้

มะยงชิดท่าอิฐ อยู่ในวงศ์ ANACARDIACEAE เป็นไม้ยืนต้น สูง ๕-๑๐  เมตร ใบออกตรงกันข้ามรูปรีแกมรูปไข่กลับ ปลายและโคนใบแหลม เนื้อใบค่อนข้างหนาและแข็ง สีเขียวสดเป็นมัน ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบใกล้ปลายยอด ดอกเป็นสีขาวหรือสีขาวนวล “ผล” รูปไข่ค่อนข้างยาวและรี ผลโตเต็มที่ประมาณไข่เป็ด มีน้ำหนักเฉลี่ยระหว่าง ๑๐-๑๕ ผลต่อ ๑ กิโลกรัม ผลสุกเป็นสีเหลือง เนื้อในเยอะ เนื่องจากเมล็ดเล็ก เนื้อสุกเป็นสีเหลืองอมส้ม รสชาติหวานปนเปรี้ยวเล็กน้อย ไม่มีเสี้ยนและไม่มียางขม รับประทานอร่อยมาก สามารถเก็บผลได้หลายวันโดยผลไม่ช้ำหรือเละแต่อย่างใด ติดผลดกปีละครั้งตามฤดูกาล ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง และเสียบยอด

มีต้นขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับสวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ โครงการ ๑๑ ปลูกเก็บผลกินในครัวเรือนหรือเก็บผลขายคุ้มค่ามาก การปลูก รดน้ำพอชุ่มวันละครั้ง บำรุงปุ๋ย ๑๖-๑๖-๑๖ สลับกับโรยขี้วัวขี้ควายแห้งเดือนละครั้ง เมื่อต้นติดผลโตเท่าปลายนิ้วหัวแม่มือผู้ใหญ่ ใส่ปุ๋ย ๑๓-๑๔-๒๑ พร้อมฉีดสารสะเดาป้องกันแมลง หลังเก็บเกี่ยวผลแล้วต้องตัดแต่งกิ่งทันที และปฏิบัติเหมือนเดิมตามที่กล่าวข้างต้น จะทำให้ “มะยงชิดท่าอิฐ” ติดผลดกเช่นเดิมครับ.
   หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

 
     มะดันแดง ผลสวยกินได้มีสรรพคุณ

ไม้ต้นนี้ พบขึ้นตามป่าดิบทุกภาคของประเทศไทย พบมากที่สุดทางภาคใต้ มีชื่อวิทยาศาสตร์เฉพาะคือ EARCINIA GRAGILIS PIERRE อยู่ในวงศ์ GUTTIFERAE มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์ เป็นไม้ยืนต้น สูง ๓-๕ เมตร ใบเป็นใบเดี่ยว ออกตรงกันข้าม รูปรีแกมขอบขนาน ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ก้านใบเป็นสีแดงอมม่วง ยอดอ่อนเป็นสีแดงสวยงามน่าชมยิ่ง

ดอก ออกเป็นช่อกระจุกตามซอกใบ ดอกเป็นสีแดงคล้ำ “ผล” รูปทรงกลมมีจุกบริเวณหัว แตกต่างจากผลมะดันชนิดสีเขียวอย่างชัดเจน ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อแก่หรือสุกสีผลจะเป็นสีเหลืองและสีแดงสวยงามมาก เนื้อในฉ่ำน้ำ รสชาติเปรี้ยวจัดทั้งผลดิบและผลสุก รับประทานได้ ส่วนใหญ่นิยมปรุงเป็นอาหารจำพวกต้มส้มปลา แกงเนื้อ แกงส้ม และอื่นๆ อีกหลายอย่าง เพิ่มรสเปรี้ยวมีกลิ่นหอมชวนให้น่ารับประทานยิ่งขึ้น นอกจากนั้นยังสามารถนำเอาผลสุกไปปั่นทำเป็นน้ำผลไม้ แช่อิ่ม ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ใน ๑ ผล จะมีเมล็ด ๒ เมล็ด มีดอกและติดผลตลอดปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง นอกจากชื่อ “มะดันแดง” แล้ว ยังมีชื่อเรียกอีกคือ มะแป่ม หมากแป่ม และ หมักแป่ม

สรรพคุณทางสมุนไพร ราก ของต้น “มะดันแดง” ต้มดื่มเป็นยาแก้ไข้แก้ร้อนในกระหายน้ำ ถอนพิษไข้แก้ไอ ผล เป็นยาระบายท้อง แก้ไข้ ละลายเสมหะ และฟอกโลหิต

ปัจจุบัน “มะดันแดง” มีกิ่งตอนวางขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ ๑๑ ราคาสอบถามกันเอง ปลูกได้ในดินทั่วไป เหมาะจะปลูกเป็นทั้งไม้ผลกินได้ เพื่อใช้ประโยชน์ในครัวเรือนตามที่กล่าวข้างต้นและปลูกเป็นไม้ประดับเนื่องจากเวลาติดผลดกมีทั้งผลดิบสีเขียวผลสุก สีเหลืองและสีแดงจะดูสวยงามมาก หลังปลูก ๓ ปี จะติดผลชุดแรกและติดผลดกตลอดครับ
  หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ  
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09 กันยายน 2559 17:00:20 โดย กิมเล้ง » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5462


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #19 เมื่อ: 25 สิงหาคม 2556 15:54:49 »

.

     เฉาก๊วย
เฉาก๊วย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Mesona Chinensis ถิ่นกำเนิดอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก เช่น ทางตะวันตกของประเทศจีน และไต้หวัน มักพบขึ้นอยู่ในบริเวณพื้นที่หุบเขา เป็นดินทรายแห้ง มีหญ้าขึ้น เป็นพืชตระกูลเดียวกับกะเพรา สะระแหน่และยี่หร่าในวงศ์ Lamiaceae

ลักษณะทั่วไป เป็นไม้พุ่มมีกิ่งเลื้อย ลำต้นและใบมีขนปกคลุม เปราะและหักง่าย สูงราว ๑๕-๑๐๐ ซ.ม. ใบเป็นรูปหยดน้ำรี ปลายใบแหลมมีขอบหยักคล้ายฟันเลื่อย ออกดอกสีขาวเป็นช่อแบบเชิงเป็นชั้นลดหลั่นลงมา ในช่อดอก จะมีดอกย่อยอีกจำนวนมากคล้ายดอกใบกะเพรา ออกดอกได้เรื่อยๆ ตลอดทั้งปี ปลูกขึ้นได้ในดินทั่วไป อุ้มน้ำ ชอบแดดและความชุ่มชื้น มักขยายพันธุ์ด้วยวิธีตอนกิ่ง

สรรพคุณทางยา สามารถบรรเทาอาการร้อนใน ดับกระหาย รักษาอาการหวัด เบาหวาน แก้ความดันโลหิตสูง นิยมใช้ใบสดหรือใบแห้งมาผสมน้ำต้มในหม้อดินดื่มเป็นประจำ ลำต้นแห้งนำมาต้มกรองแต่น้ำผสมกับแป้งพืชเป็นเจลลี่ กินเป็นของหวานใส่น้ำเชื่อมและน้ำแข็ง เรียกว่า "ขนมเฉาก๊วย"
  นสพ.ข่าวสด



     แห้วหมู
หญ้าชนิดหนึ่งที่บางคนมองไม่เห็นค่า แต่มีสรรพคุณเหลือหลาย ขอบอกกล่าวแต่เพียงบางส่วน ดังนี้ เป็นสมุนไพรที่มีการวิจัยพบว่ามีสารต่อต้านอนุมูลอิสระสูง  ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ ด้วยการใช้หัวนำมาล้างให้สะอาด แล้วนำมาเคี่ยวกินช่วยบำรุงกำลัง ช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรงกระชุ่มกระชวย ไม่มีโรคภัยมาเบียดเบียน หูตาสว่างไสว  หัวแห้วหมูใช้เป็นยาเจริญอาหาร ด้วยการใช้หัวแห้วหมูประมาณ ๑ ฝ่ามือ นำมาต้มกับน้ำดื่ม  ช่วยแก้อาการกินไม่ได้ นอนไม่หลับ หรือเป็นโรคผอมแห้งแรงน้อย   นสพ.เดลินิวส์


     อ้อยช้าง
อ้อยช้าง เป็นไม้เถายืนต้น มีหนามตามลำต้นและกิ่งก้าน ใบประกอบแบบขนนกสองชั้น ยาว ๑๐-๑๕ ซม. โคนก้านใบป่องออก ใบย่อยรูปขอบขนาน ดอก ช่อ ออกที่ปลายกิ่ง ลักษณะเป็นพู่ กลีบดอกสีขาว กลิ่นหอม ผลเป็นฝัก สีเหลืองถึงน้ำตาล ตรงที่เป็นเมล็ดจะมีรอยนูนเห็นชัด มีสรรพคุณทางยาแพทย์แผนไทย  ราก มีรสหวาน ใช้เป็นยาแก้ไอ กระหายน้ำ ยาระบาย ผล ขับเสมหะ เนื้อไม้ มีรสหวาน แก้โรคในคอ แก้ไอขับเสมหะ จากการศึกษาทางเคมีของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพบว่า สารที่ให้ความหวาน เป็นน้ำตาลกลูโคสและซูโครส.


     ตีนเป็ดทราย
ตีนเป็ดทราย เป็นไม้ยืนต้นมียางสีขาว รากแผ่กว้างเพื่อยึดกับทราย ใบยาวรี ค่อนข้างหนา ผิวเคลือบใบหนา ดอกสีขาว ผลทรงกลมรี ออกดอกที่ปลายกิ่ง เป็นแบบช่อกระจุกแน่น มีกลีบเลี้ยง ๕ กลีบ ติดทนสีขาวแกมเขียวอ่อน แต่ละแฉกมีขนาด ๐.๕-๐.๖6 x ๐.๕-๒ ซม. วงกลีบดอกสีขาว ตรงกลางดอกสีแดง โคนกลีบดอกเชื่อมติดกัน เป็นหลอดปากแตร ยาว ๒.๕-๔ ซม. ปลายหลอดแยกออกเป็น ๕ กลีบ แต่ละกลีบยาว ๒-๒.๕ ซม. กลีบดอกสั้นกว่าหลอด ผลรูปไข่หรือรูปรี ขนาด ๔-๖ x ๕-๙๘ ซม. มักอยู่เป็นคู่ ผิวสีเขียวเป็นมัน เมื่อสุกเป็นสีม่วง แต่ละผลมี ๑-๒ เมล็ด ออกดอกผล ตลอดทั้งปี ใบและผลมีสารที่เป็นพิษต่อหัวใจ และจะเป็นพิษมากเมื่อถูกย่อย ในอดีตเคยใช้ยางของพืชชนิดนี้เป็นยาพิษเพื่อล่าสัตว์ พบมากในบริเวณที่เป็นดินทรายบริเวณแนวชายฝั่งทะเลและบริเวณป่าชายเลนเชิงทรงที่ติดกับชายหาด.


     เพชรสังฆาต
เพชรสังฆาตเป็นไม้เถา เถาอ่อนสีเขียวเป็นสี่เหลี่ยม เป็นข้อต่อกัน มีมือสำหรับเกาะยึดออกตามข้อต่อตรงข้ามใบ ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับตามข้อต้น รูปสามเหลี่ยม ปลายใบมน โคนใบเว้า ขอบใบหยักมนห่างๆ แผ่นใบเรียบสีเขียวเป็นมัน  ก้านใบยาว ๒-๓ ซม. ดอก ออกเป็นช่อตามข้อต้นตรงข้ามกับใบ ดอกสีเขียวอ่อน กลีบดอกมี ๔ กลีบ โคนด้านนอกมีสีแดง ด้านในสีเขียวอ่อน เมื่อบานเต็มที่ดอกจะงองุ้มไปด้านล่าง เกสรเพศผู้มี ๔ อัน ผล รูปทรงกลม ผิวเรียบเป็นมัน ผลอ่อนสีเขียว สุกสีแดงเข้มเกือบดำ เมล็ดกลม สีน้ำตาล มี ๑ เมล็ด ในตำราแพทย์แผนไทยนำน้ำจากต้นใช้หยอดหู แก้น้ำหนวกไหล หยอดจมูก แก้เลือดเสียในสตรีประจำเดือนไม่ปกติ เป็นยาธาตุเจริญอาหาร ใบยอดอ่อน ใช้รักษาโรคลำไส้เกี่ยวกับอาหารไม่ย่อยใบและรากเป็นยาพอกเถาใช้รักษาริดสีดวงทวารหนัก.



     มันปู
มันปูเป็นไม้พุ่มขนาดใหญ่ มีความสูงต้นประมาณ ๑๕ เมตร ปลายกิ่งห้อยลง ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงสลับสองข้างของกิ่ง ขอบใบเรียบ ปลายใบแหลม ผิวใบเกลี้ยงทั้งสองด้าน เส้นแขนงใบ ๕-๗ คู่ ก้านใบสั้น หน้าใบมีสีเขียวอ่อนกว่าหลังใบ ใบอ่อนและก้านอ่อนมีสีแดงหรือสีม่วงอมแดง เมื่อใบแก่จะเปลี่ยนเป็นสีเขียว ดอกเป็นดอกช่อ ดอกช่อขนาดเล็กมีสีเขียวอ่อน แยกเพศอยู่ต้นเดียวกัน ออกเป็นกระจุกตามง่ามใบ และจะออกดอกระหว่างเดือนมีนาคม-ตุลาคม ผลแก่สีชมพูถึงแดง มีลักษณะกลมแป้น ภายในผลมี ๑๐-๑๒ พู ผลจะแตกเมื่อแห้ง มี ๑๐-๑๒ เมล็ด เมล็ดมีขนาดเล็ก ค่อนข้างกลม มีเยื่อสีแดงหุ้ม ติดที่ปลายของแกนผล จะพบมันปูขึ้นในป่าน้ำกร่อย และบริเวณชายป่าพรุ มีเขตการกระจายพันธุ์ทางภาคใต้ ของประเทศไทย ในต่างประเทศพบที่ อินเดีย ศรีลังกา เวียดนามใต้ และมาเลเซีย สามารถขยายพันธุ์ได้โดยการเพาะเมล็ด การตอนกิ่งก้านและแยกหน่ออ่อนจากต้นแม่ มีประโยชน์ทางสมุนไพรโดยรากและลำต้น มีสรรพคุณแก้ร้อนใน เป็นยาบำรุง ประโยชน์ทางด้านอาหาร ชาวใต้นิยมใช้เป็นผักสดกินกับน้ำพริก หรือใช้เป็นเครื่องเคียงแกงเผ็ดและขนมจีน ส่วนที่นำมาใช้คือใบและยอดอ่อน.

http://www.bloggang.com/data/plaipanpim/picture/1352465294.jpg
"เกษตรน่ารู้" สารพัดสารพันเรื่องพันธุ์ไม้
   
     ใบชะมวง
สถานวิจัยยาสมุนไพรและเทคโนโลยีชีวภาพทางเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์ (มอ.) ได้ศึกษาวิจัยคุณสมบัติที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็งและต้านแบคทีเรียก่อโรคทางเดินอาหาร

ใบชะมวงพบเป็นพืชที่ออกฤทธิ์ดีจึงนำมาแยกสารที่ต้องการ สามารถได้สารมีฤทธิ์ในระดับดี เป็นสารที่มีค่าความเข้มข้นต่ำสามารถยับยั้งเชื้อได้ประมาณ ๗.๘ ไมโครกรัมต่อมิลลิเมตร ซึ่งถือว่าเป็นสารตัวใหม่ที่ยังไม่มีการค้นพบมาก่อน ทั้งนี้ ยังได้ศึกษาต่อถึงความเป็นไปได้ในการออกฤทธิ์ยับยั้งเชื้อโปรโตซัวร์ ซึ่งเป็นโรคระบาดที่พบบ่อยในภาคใต้ของประเทศไทย พบว่าสารจากชะมวง สามารถยับยั้งโปรโตซัวร์ได้ดี จึงนำไปทดสอบกับเซลล์มะเร็งปอด และเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว พบว่ามีฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็งได้เช่นกัน ทั้งนี้จะมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมก่อนนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์  เพื่อการรักษาที่ได้ผลและลดอาการข้างเคียงจากการใช้ต่อไป.
..นสพ.เดลินิวส์



     โคลงเคลงขี้นก คือพันธุ์ทำยาสมุนไพร
ปัจจุบัน มีต้นโคลงเคลงนำเข้าจากต่างประเทศวางขายกันอย่างแพร่หลาย มีทั้งจากประเทศไต้หวัน ประเทศออสเตรเลียและแอฟริกา ซึ่งแต่ละสายพันธุ์ที่นำเข้าสีสันของดอกจะเข้มข้นสวยงามมาก แต่ต้นโคลงเคลงชนิดที่สามารถใช้ทำยาสมุนไพรมีอยู่เพียงสายพันธุ์เดียวที่พบขึ้นทั่วไปตามที่โล่งแจ้งกลางทุ่งหรือบนเขาทั่วไปในประเทศไทย มีชื่อเรียกในไทยว่า “โคลงเคลงขี้นก” ทางภาคใต้เรียก เบร์, มะเหร, มังเคร่, มังเร้, สาเร, สำเร ภาคอีสานเรียก เอ็นอ้า หรือ เอ็นอ้าน้ำ

โคลงเคลงขี้นก หรือ MELASTOMA MALABATHRICUM LINN. อยู่ในวงศ์ MELASTOMATACEAE มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เป็นไม้พุ่มสูง ๑.๕-๒ เมตร กิ่งก้านสีน้ำตาลแดง มีขนละเอียด ใบเป็นใบเดี่ยว ออกตรงกันข้าม ปลายและโคนใบแหลม แผ่นใบค่อนข้างแข็ง เส้นใบ ๓ เส้น ออกจากโคนใบไปบรรจบกันที่ปลายใบ ใบสีเขียวสด เวลาใบดกจะเป็นพุ่มน่าชมยิ่งนัก ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ๓-๕ ดอก มีกลีบดอก ๕ กลีบเป็นสีม่วงอมชมพู มีเกสรตัวผู้สีเหลือง ๕ อัน มีรยางค์สีม่วงโค้งงอ เมื่อดอกบานเต็มที่เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๔-๕ 5 ซม. เวลามีดอกดกและดอกบานพร้อมกันทั้งต้นจะดูสวยงามมาก “ผล” คล้ายลูกข่าง มีเมล็ดเยอะ ดอกออกตลอดปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด นอกจากชื่อที่กล่าวข้างต้น ยังมีชื่อเรียกอีกคือ ตะลา, เด๊าะ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) ซิซะโพะ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี) และกะดูคุ, กาดูโด๊ะ (มาเลเซีย-ปัตตานี)

สรรพคุณทางยา ราก ปรุงเป็นยาดับพิษ แก้อาการร้อนในกระหายน้ำ ใบอ่อน กินเป็นอาหารได้ ดอก เป็นยาระงับประสาทและห้ามเลือดในคนที่เป็นริดสีดวงทวาร ผล รสหวานปนฝาดรับประทานได้ มีต้นขาย ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ ๒๑
ไทยรัฐ - พฤหัสบดีที่ ๗/๒/๕๖  


     หมามุ่ย มีเมล็ดและฝักขาย
ปัจจุบัน พบว่ามีผู้เก็บเอา ฝักและแกะเมล็ด “หมามุ่ย” บรรจุถุงพลาสติกขาย มีผู้ซื้อกันอย่างแพร่หลาย เพราะเมล็ด ของ “หมามุ่ย” คั่วไฟพอสุกกินก่อนนอนครั้งละ ๒-๓ เมล็ด ทุกวัน หรือคั่วบดเป็นผงละเอียดผสมน้ำหรือเหล้าขาว ๔๐ ดีกรี ดื่มครั้งละ ๑ แก้วเป๊กก่อนนอนทุกวันเช่นกัน จะช่วยทำให้พลังทางเพศแข็งแรง นอกจากนั้นใบสดยังตำคั้นเอาน้ำทาหรือใช้กากพอกรักษาแผลที่ถูกไฟไหม้น้ำร้อนลวกได้ดีมาก
 
สารสกัดทั้งต้น มีฤทธิ์กระตุ้นการสร้างและการเคลื่อนไหวของตัวอสุจิ ช่วยให้ผู้ที่มีตัวอสุจิน้อยมีโอกาสมีลูกได้มากขึ้น น้ำต้มทั้งต้นมีฤทธิ์ลดการอักเสบของต่อมลูกหมากมนุษย์ สาร L–DOPA ในรากกับเมล็ดใช้ในการรักษาโรค “พาร์กินสัน” มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดในสัตว์ทดลอง ซึ่ง “หมามุ่ย” มีขาย ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ ๓ แผง กับโครงการ ๒๑
 ไทยรัฐ



     ยมหอม
ยมหอมเป็นไม้ยืนต้น สูงได้ถึง ๓๕ เมตร ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ช่อใบยาว ๒๕-๗๐ เซนติเมตร ใบรูปขอบขนานแกมรูปหอก โคนใบเบี้ยว ปลายใบแหลม ดอกสีขาวมีกลิ่นหอม ออกเป็นช่อห้อยลง มีทั้งดอกสมบูรณ์เพศและดอกแยกเพศอยู่บนช่อเดียวกัน ผลแห้งแตกตามยาว ผิวมีแผลระบายอากาศกระจายทั่วไป เมล็ดรูปยาวรี มีปีกสองข้าง ขนาดไม่เท่ากัน   พบตั้งแต่ปากีสถาน อินเดีย จีน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถึงปาปัวนิวกินี ขึ้นตามชายป่าที่ชื้นหรือเปิดใหม่ ที่ระดับความสูง ๓๐๐-๑,๕๐๐ เมตร ออกดอกและติดผลช่วงเดือนเมษายน-กรกฎาคมดอกนำมาทำสีย้อมให้สีเหลืองหรือแดงใช้ย้อมผ้าฝ้าย ผ้าไหมเนื้อไม้แข็ง ทนทาน มีลายสวย นิยมใช้สร้างบ้านเรือนและเฟอร์นิเจอร์ ใช้ทำกระดานฝา เพดาน หีบบุหรี่ โครงอานม้า เครื่องแกะสลัก ฝักดาบ ทำไม้อัดได้ดี เครื่องดนตรี ตุ๊กตา กระเบื้องไม้ แจว พาย กรรเชียง ไม้บุผนังที่สวยงาม ทำเรือยนต์แข่ง ทำเครื่องเล่น ด้ามแร็กเกต กลอง เครื่องดนตรีที่ใช้สาย ทำหีบใส่ของที่ดี หีบศพ หีบชา หีบดินปืน พานท้ายและรางปืน ลักษณะคล้ายไม้สุเหรียนทางภาคใต้ใช้แทนกันได้เปลือก มียางไม้ที่เรียกว่า น้ำฝาด ใช้เป็นยาสมุนไพรสมานแผล และห้ามเลือด แก้ไข้และใส่แผล นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติต่อต้านเชื้อโรคเชื้อราบางชนิดอีกด้วย ดอก ใช้เป็นยาขับระดู.


     เสลดพังพอนตัวผู้
เสลดพังพอนตัวผู้เป็นไม้พุ่ม สูงประมาณ ๑ เมตร มีหนามแหลมยาวบริเวณข้อ ข้อละ ๒ คู่ ถึง ๓ คู่ ก้านใบสีน้ำตาลแดง ใบเดี่ยวสีเขียวเข้ม เส้นกลางใบแดง ดอกช่อออกที่ปลายกิ่ง ช่อดอกยาว ๘ ซม. มีใบประดับสีน้ำตาลแดง ค่อนข้างกลม กลีบดอกสีส้ม ผลเป็นฝักรูปไข่ ในทางการแพทย์แผนไทยจะใช้รากเข้ายาแก้ตาเหลือง หน้าเหลือง เมื่อยตัว กินข้าวไม่ได้ แก้เจ็บท้อง แก้ผิดอาหาร ถอนพิษงู พิษแมลงสัตว์กัดต่อย แก้ปวดฟัน ใช้ใบถอนพิษแมลงสัตว์กัดต่อย แก้ลมพิษ รักษาเม็ดผื่นคันตามผิวหนัง แก้โรคเบาหวาน แก้ปวดแผล แผลจากของมีคมบาด แก้โรคฝีต่าง ๆ รักษาโรคคางทูม แก้โรคไฟลามทุ่ง แก้ขยุ้มตีนหมา แก้โรคงูสวัด รักษาโรคเริม ถอนพิษจากเม็ดตุ่มฝีดาษ รักษาโรคฝีดาษ แก้ฟกช้ำ แก้ช้ำบวม ถอนพิษไข้ พิษไข้ทรพิษ เหงือกบวม แก้ริดสีดวงทวาร แก้ยุงกัด แก้ปวดจากปลาดุกแทง.

http://www.bloggang.com/data/plaipanpim/picture/1312617189.jpg
"เกษตรน่ารู้" สารพัดสารพันเรื่องพันธุ์ไม้

     หญ้าลิ้นเป็ด ปลูกเป็นยา
ไม้ชนิดนี้ จัดอยู่ในจำพวกเดียวกันกับต้นเบญจมาศ พบขึ้นตามทุ่งโล่ง ทุ่งนาทั่วไปชาวจีนเรียกว่า “อะจิเช่า” หรือ LACTUCE DEBILIS MAXIM ส่วนใหญ่ชาวจีนจะนิยมปลูกในบ้านเพื่อใช้ประโยชน์เป็นยาสมุนไพรเท่านั้น คนไทยรู้จัก “หญ้าลิ้นเป็ด” น้อยมาก รสชาติทั้งต้น ดอก รวมราก ขม ใช้เป็นยาเย็นดีมาก
 
ถ้ามีอาการปวดร้อนเจ็บคอ ให้เอา “หญ้า ลิ้นเป็ด” ๓ เฉียน ต้มน้ำใส่น้ำตาลแดง หรือ “หญ้า ลิ้นเป็ด” ๕ เฉียน กับ ยาเย็น และ แฮ่โกวเช่า อย่างละ ๑ ตำลึง (มีขายตามร้านยาจีน) ต้มน้ำใส่น้ำตาลดื่ม เป็นฝีแผลเปื่อยบวมเจ็บ ใช้ “หญ้าลิ้นเป็ด” กับ ลักกักเอง ต้นหูปลาช่อน ตำรวมกันจนแหลกทาหรือใช้ “หญ้าลิ้นเป็ด” ๕ เฉียน ต้มน้ำใส่น้ำตาลแดงดื่มหายได้ เป็นแผลเปื่อยคัน ใช้ “หญ้าลิ้นเป็ด” ๕ เฉียน ต้มใส่เหล้าขาวหรือเหล้าจีนเล็กน้อยดื่มวันละครั้ง ครั้งละ ๑ แก้วเล็กๆ ๑-๒ วัน แรกๆอาจจะคันมากขึ้น แต่จากนั้นก็จะหายได้ ผู้หญิงนมเจ็บ ปวด ใช้ “หญ้าลิ้นเป็ด” ๕ เฉียน ตำ คั้นเอาเฉพาะน้ำชงกับเหล้าเล็กน้อยดื่ม ส่วนกากใช้พอกหรือทา เด็กปากและลิ้นเปื่อยเจ็บ ใช้  “หญ้าลิ้นเป็ด” ตำเอาน้ำทาวันละหลายๆ ครั้ง หรือใช้ใบ “หญ้าลิ้นเป็ด” ๑๐ ใบ ต้มน้ำเดือดใส่น้ำตาลแดงดื่มหายได้ อัตราส่วน ๑ เฉียน เท่ากับ ๓.๗๕ กรัม ๑ ตำลึง เท่ากับ ๓๗.๕๐ กรัม
 
หญ้าลิ้นเป็ด เป็นพืชล้มลุก แตกใบและต้นขึ้นจากรากใต้ดิน หรือไหล ใบลักษณะคล้ายลิ้นเป็ด จึงถูกตั้งชื่อว่า “หญ้าลิ้นเป็ด” ดอกเหมือนกับดอกเบญจมาศ ออกช่วงฤดูหนาว เป็นสีเหลือง เมล็ดจำนวนมาก รูปแบน ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด หรือไหล  ปัจจุบัน “หญ้าลิ้นเป็ด” มีต้นขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ ๒๑  ราคาสอบถามกันเอง ปลูกได้ในดินทั่วไป เหมาะจะปลูกไว้ใช้ประโยชน์เป็นยาสมุนไพรตามที่กล่าวข้างต้นครับ.
 ไทยรัฐ

http://sator4u.com/upload/pics/pic53edc097534ea.jpg
"เกษตรน่ารู้" สารพัดสารพันเรื่องพันธุ์ไม้

     ผักกระฉูด ยอดอ่อนอร่อย
ผู้อ่านจำนวนมากอยากทราบว่า “ผักกระฉูด” เป็นอย่างไร เพราะเห็นมัดเป็นกำวางขายเป็นผักสดคู่กับผักกระเฉด และผู้ขาย บอกว่ารับประทานได้เหมือนกับผักกระเฉดทุกอย่าง แต่ยังไม่กล้าซื้อรับประทาน ซึ่งความจริงแล้ว “ผักกระฉูด” เป็นผักอยู่ในวงศ์เดียวกับผักกระเฉดคือ LEGUMINO-SAE มีชื่อวิทยาศาสตร์เฉพาะคือ NEPTUNIA JAVANICA MIQ ส่วนผักกระเฉดชื่อวิทยาศาสตร์ว่า NEPTUNIA OLERACEA LOUR ลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกัน ต่างกันที่ผักกระเฉดมีทุ่นสีขาวนุ่มหุ้มลำต้นเรียกว่า “นม” แต่ลำต้นของ “ผักกระฉูด” ไม่มีและไม่ต้องลอกออกก่อนรับประทานให้เสียเวลา

ผักกระฉูด เป็นไม้ทอดเลื้อยยาวได้ ๑ เมตร ใบเป็นใบประกอบ ใบย่อย ๗-๓๐ คู่ เป็นรูปขอบขนาน ปลายมนโคนตัด สีเขียวสด ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบใกล้ปลายยอด ดอกเป็นดอกสมบูรณ์เพศ ดอกอ่อนสีเขียว เมื่อแก่เป็นสีเหลืองปนส้มเล็กน้อย “ผล” เป็นฝักแบนมีหลายเมล็ด ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและปักชำต้น พบขึ้นทั่วไปในภูมิภาคอินโดจีน อินโดนีเซีย พม่า ประเทศติมอร์ ในประเทศไทยพบทุกภาค โดยจะขึ้นตาม ที่โล่งแจ้ง แห้งแล้ง หรือ ที่ชื้นแฉะ มีชื่อเรียกอีกคือ ผักกระเฉดโคก และ ผักกระเฉดบก

ประโยชน์ทางอาหาร ยอดอ่อน กินเป็นผักสด หรือนำไปประกอบเป็นอาหารได้เหมือนกับผักกระเฉดทุกอย่าง เช่น กินเป็นผักสดหรือต้ม ลวก จิ้มน้ำพริกทุกชนิด แกงส้มกุ้ง ปลา เป็นต้น แต่การใช้ประโยชน์ทางอาหารนิยมเด็ดเอาเฉพาะยอดอ่อนยาวประมาณ ๑ นิ้วฟุตเท่านั้นจึงจะกรอบอร่อย หากเด็ดยาวเกินกว่านั้นจะเหนียวไม่นิยมรับประทาน   อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน “ผักกระฉูด” จัดเป็นวัชพืชที่กำจัดยาก หากให้เลื้อยคลุมพืชชนิดอื่นจะตายหมด จึงมีผู้ปลูกให้ขึ้นเฉพาะที่เพื่อเก็บยอดขายไม่กี่แห่งเท่านั้นครับ.
 ไทยรัฐ - พุธที่ ๒๖/๒/๕๗


 
     ลูกจันทน์เทศ
จันทน์เทศมีความสำคัญสำหรับการผลิตเครื่องเทศสองอย่าง คือ เมล็ดจันทน์เทศ และ ดอกจันทน์เทศ ในตำรายาไทย ลูกจันทน์ จะนำมาใช้แก้ธาตุพิการ บำรุงกำลัง แก้ไข้ บำรุงหัวใจ บำรุงธาตุ แก้จุกเสียด ขับลม รักษาอาการอาหารไม่ย่อย คลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย แก้บิด แก้กำเดา แก้ท้องร่วง แก้ร้อนใน กระหายน้ำ แก้เสมหะโลหิต แก้ปวดมดลูก และบำรุงโลหิต เปลือกเมล็ด รสฝาดมีมันหอม นำมาใช้สมานบาดแผลภายใน แก้ท้องอืด แก้ปวดท้อง ในประเทศอินโดนีเซียจะใช้ลูกจันทน์เทศรักษาอาการท้องเสีย และนอนไม่หลับ
 
นอกจากนี้ในบัญชียาจากสมุนไพร ที่มีการใช้ตามองค์ความรู้ดั้งเดิม ตามประกาศคณะกรรมการแห่งชาติด้านยา (ฉบับที่ ๕) ปรากฏการใช้ลูกจันทน์ ในยารักษาอาการโรคในระบบต่างๆ ของร่างกาย คือยารักษากลุ่มอาการทางระบบไหลเวียนโลหิต (แก้ลม) ยารักษากลุ่มอาการทางระบบทางเดินอาหาร มีส่วนประกอบของลูกจันทน์ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ ในตำรับ มีสรรพคุณ บรรเทาอาการท้องอืดเฟ้อ.
เดลินิวส์


     ขิง แก้แผลเป็นหนังศีรษะผมไม่ขึ้น
หลายคน มีปัญหาหนังศีรษะเป็นแผลเป็น แล้วเส้นผมบริเวณดังกล่าวไม่งอกขึ้น ทำให้ดูน่าเกลียดมาก ซึ่งในทางสมุนไพรมีวิธีช่วยได้คือให้เอา “ขิง” สดแก่ๆ หั่นเป็นแว่นบางๆ นำไปถูบริเวณที่เป็นแผลเป็น วันละ ๒ ครั้ง เช้า–เย็น ประมาณ ๑๐ วัน หากรากผมยังไม่ตายเส้นผมจะงอกขึ้นมาได้อย่างเหลือเชื่อ สูตรดังกล่าวใช้ได้ผลระดับหนึ่งมาแต่โบราณแล้ว เพียงแต่มีข้อแม้ว่า แผลเป็นบนหนังศีรษะจะต้องเพิ่งหายจากการรักษาใหม่ๆ จึงจะได้ผล

ขิง หรือ ZINGIBER OFFICINALE ROSEAE อยู่ในวงศ์ ZINGIBERACEAE มีถิ่นกำเนิดจากอินเดีย มีหัวสดขายทั่วไป เหง้า มีสาร GINGEROL, ZINGIBERONE ใช้แต่งกลิ่นอาหาร สารที่ทำให้ “ขิง” แก่เผ็ดคือ SHOGAOL, ZINGERRONE สรรพคุณขับลม แก้ท้องเฟ้อ ลดอาการเมารถ และ เมาเรือ แก้อาเจียน “ขิง”อ่อน ทำอาหาร.
ไทยรัฐ - อังคารที่ ๒๕/๓/๕๗



     ต้นข่าแก่ บรรเทาไอ เสมหะในคอเยอะ
ใกล้สู่ฤดูหนาว มีคนแพ้อากาศเยอะ ส่วนใหญ่จะมีอาการไอและมีเสมหะในลำคอมาก ในทางสมุนไพรมีวิธีช่วยบรรเทาได้คือ ให้เอา "ต้นข่าแก่" ตัดเป็นท่อนยาวประมาณครึ่งนิ้ว ๓ ท่อน ทุบพอแตกใส่แก้วหรือถ้วยไว้ เติมน้ำตาลทรายกับเกลือป่นเล็กน้อยพร้อมบีบน้ำมะนาวลงไปครึ่งซีก ใส่น้ำอุ่นลงไปให้ท่วมยา แช่ทิ้งไว้จนตัวยาออกจิบบ่อยๆ เอา "ต้นข่าแก่" ที่แช่อมในปากด้วย จะช่วยให้อาการไอและเสมหะในลำคอค่อยๆดีขึ้นและหายได้ในที่สุด

ข่า หรือ ALPINIA NIGRA (GAERTN) B.L.BURTT. อยู่ในวงศ์ ZINGIBERACEAE สรรพคุณ เหง้าหรือหัวอ่อนต้มเอาน้ำดื่มบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม หัวสดตำผสมเหล้าขาว ๔๐ ดีกรี เอาเฉพาะน้ำทารักษาโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อรา เช่น กลาก เกลื้อน ดีมาก ในหัวของข่า มีสาร CINFOL, METHYL CINNAMATE
ไทยรัฐ - อังคารที่ ๕/๑๑/๕๗



     พริกไทยซีลอนเตี้ย
พริกไทย เป็นพืชชนิดหนึ่งที่นิยมปลูกเพื่อเก็บผลใช้ประโยชน์ในครัวเรือนมาแต่โบราณ ซึ่งพริกไทยมีหลากหลายสายพันธุ์ แต่ที่ผู้ปลูกชื่นชอบมากในปัจจุบันได้แก่ “พริกไทยซีลอนเตี้ย” เนื่องจากต้นสูงเต็มที่ไม่เกิน ๑ เมตร แตกกิ่งก้านกลายเป็นไม้พุ่มรอเลื้อยหรือไม่เลื้อยเช่นต้นพริกไทยทั่วไป ทำให้ผู้ปลูกไม่ต้องสร้างโครงหรือค้างให้ลำต้นไต่หรือเลื้อยและ ที่สำคัญ “พริกไทยซีลอนเตี้ย” สามารถปลูกลงกระถางขนาดใหญ่ตั้งในที่มีแสงแดดส่องถึงตลอดทั้งวันมีดอกและติดผลดกเต็มต้นได้เหมือนปลูกลงดินทุกอย่าง ตามภาพประกอบคอลัมน์ และยังติดผลตลอดทั้งปี ผู้ปลูกเก็บผลใช้ประโยชน์ได้คุ้มค่ามาก
 
พริกไทยซีลอนเตี้ย เกิดจากการนำเอาต้นพริกไทยซีลอนพันธุ์ดั้งเดิมที่เป็นไม้เลื้อยโดยธรรมชาติไปพัฒนาพันธุ์หลายวิธีจนทำให้กลายเป็นไม้พุ่มรอเลื้อยต้นสูงไม่เกิน ๑ เมตร ตามที่กล่าวข้างต้น ซึ่ง “พริกไทยซีลอนเตี้ย” มีชื่อวิทยาศาสตร์และลักษณะทางพฤกษศาสตร์คือ PEPPER PIPER NIGRUM LINN. อยู่ในวงศ์ PIPERACEAE เป็นไม้พุ่มรอเลื้อย เนื้อแข็ง ลำต้นเป็นข้อโป่งนูน มีรากฝอยงอกตามข้อ ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปไข่หรือรูปใบหอก ปลายแหลม โคนมน ดอก ออกตามซอกใบ สีขาวแกมเขียว เป็นดอกแยกเพศ “ผล” รูปทรงกลม เรียงตัวแน่นตามแกนช่อยาวจำนวนมาก ผลอ่อนสีเขียว เมื่อสุกเป็นสีแดง รสชาติเผ็ดร้อนมีกลิ่นหอม นิยมเก็บผลสดหรือแห้งปรุงอาหารหลากหลายชนิด เป็นเครื่องเทศ ขยายพันธุ์ด้วยการปักชำต้น
 ไทยรัฐ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26 พฤษภาคม 2559 11:56:19 โดย กิมเล้ง » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
คำค้น:
หน้า:  [1] 2 3   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
"Lemon Soup" อาสาส่ง"ทุกวัน"เพลงกระตุ้น"รัก"ที่เมื่อรู้สึกแล้วต้อง"บอก"
หน้าเวที (มุมฟังเพลง)
มดเอ๊ก 0 5152 กระทู้ล่าสุด 03 มิถุนายน 2554 10:29:07
โดย มดเอ๊ก
"สามัญชน" ผู้กลายเป็น "ราชินี" และ "เจ้าหญิง" โชคชะตาที่ฟ้าได้ "ลิขิต" ไว้
สุขใจ จิบกาแฟ
Kimleng 0 8166 กระทู้ล่าสุด 17 ธันวาคม 2557 14:13:59
โดย Kimleng
ตอบโจทย์ : "โรบิน ฟิลลิปป์ มัวร์" ฝรั่ง "หัวใจพุทธ" ธรรมะ "เชื่อม" โลก
ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
มดเอ๊ก 0 1857 กระทู้ล่าสุด 22 พฤษภาคม 2559 04:11:27
โดย มดเอ๊ก
เกษตรน่ารู้ (ผลไม้ - Fruit) : ส้มสายน้ำผึ้ง « 1 2 »
สุขใจ จิบกาแฟ
Kimleng 24 1826 กระทู้ล่าสุด 02 เมษายน 2567 10:44:41
โดย Kimleng
มะปราง - เกษตรน่ารู้ (ผลไม้ - Fruit)
สุขใจ จิบกาแฟ
Kimleng 0 155 กระทู้ล่าสุด 09 ตุลาคม 2566 16:08:25
โดย Kimleng
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 1.308 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 18 เมษายน 2567 18:25:50