[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
28 เมษายน 2567 22:21:59 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: พระเถระชีวิตพิสดาร (พระสีวลี พระสังกัจจายน์ และ พระอุปคุต หรือ พระบัวเข็ม)  (อ่าน 8172 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5462


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 9.0 MS Internet Explorer 9.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 06 สิงหาคม 2556 14:33:31 »

.

http://picdb.thaimisc.com/p/prakruang/24229-11.jpg
พระเถระชีวิตพิสดาร (พระสีวลี พระสังกัจจายน์ และ พระอุปคุต หรือ พระบัวเข็ม)


พระเถระชีวิตพิสดาร
ชีวิตพระอรหันต์
ที่พิสดารในพระพุทธศาสนามีหลายองค์
ที่ผมเคยประมวลไว้ได้ ๓ องค์ ขึ้นต้นด้วย


๑. พระสีวลี

เรื่องราวของท่านพระสีวลีก็ค่อนข้างแปลก ท่านเป็นบุตรของนางสุปปวาสา พระธิดาของเจ้าโกลิยวงศ์พระองค์หนึ่ง

บิดาของท่านคือเจ้ามหาลิลิจฉวี ขณะที่ท่านอยู่ในครรภ์นำลาภมาให้มารดาเสมอ แต่ประหลาดตรงที่อยู่ในครรภ์นานถึง ๗ ปี ไม่ยอมคลอด รู้สึกอึดอัดไม่น้อย นึกว่าตนเองคงมีกรรมมีเวรอะไรบางอย่าง อาจตายก่อนคลอดลูกก็ได้จึงคิดที่จะทำบุญกุศล บอกสวามีให้ไปทูลอาราธนาพระพุทธองค์ และสั่งว่าถ้าพระพุทธองค์รับสั่งอย่างใดให้จำไว้ด้วย

สวามีไปกราบทูลอาราธนา เพื่อให้เสด็จมาเสวยพระกระยาหาร พระพุทธองค์ตรัสว่า “ขอให้สุปปวาสาจงมีความสุขปราศจากโรค และคลอดบุตรผู้ปราศจากโรคเถิด”

พระสวามีกราบถวายบังคมลา กลับไปถึงวัง ก็ทราบว่าพระกุมารได้ประสูติก่อนแล้ว นางสุปปวาสาทราบพระพุทธดำรัสก็ปลื้มปีติอย่างยิ่ง บอกให้สวามีไปทูลอาราธนาพระองค์มาเสวยพระกระยาหารติดต่อกัน ๗ วัน เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองบุตรเกิดใหม่ด้วย

ว่ากันว่า พระกุมารน้อยได้ช่วยเอาธรรมกรกกรองน้ำดื่มถวายพระสงฆ์หลังจากเกิดมาไม่นาน เป็นที่อัศจรรย์ บางท่านก็ว่าเพราะกุมารอยู่ในครรภ์ถึง ๗ ปี คลอดออกมาแล้วก็ย่อมมีความสามารถดุจเด็กอายุ ๗ ขวบ แต่คัมภีร์กล่าวว่า เพราะบารมีที่กุมารบำเพ็ญมาแต่ปางก่อน จนคุณสมบัติพิเศษเหล่านี้กลายเป็น “ธรรมดา” ของกุมารไป มิใช่เรื่องมหัศจรรย์อันใด หากเป็นผลสัมฤทธิ์ของบุญ

พระประยุรญาติทั้งหลายได้ขนานนามพระกุมารว่า “สีวลี”

สีวลี เจริญอายุมาได้ ๗ ขวบ รู้ความเป็นมาของตน กอปรกับบุญญาธิการแต่ปางหลังเตือน จึงสลดใจคิดอยากบวช ปรารภความนี้กับพระสารีบุตร พระสารีบุตรจึงขออนุญาตนางสุปปวาสาพระมารดา นางก็อนุญาต

สามเณรสีวลีก็สำเร็จพระอรหัตผลทันทีที่ปลงผมสำเร็จ นับแต่วันที่ท่านบรรพชามา ปัจจัยสี่ได้เกิดขึ้นแก่ท่านมากมาย ลาภผลเหล่านั้นได้เผื่อแผ่ไปยังพระสงฆ์ทั้งปวงด้วย

ไม่ว่าท่านพระสีวลีจะไปที่ไหน ไม่ว่าจะทุรกันดารเพียงใด ก็มักจะมีผู้นำเอาอาหารบิณฑบาตมาถวายเสมอ แม้จะไปพร้อมกับภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ต่างก็มีอาหารฉันอย่างเพียงพอ ไม่ขาดแคลน ความที่ท่านเป็นผู้มีลาภมากได้เลื่องลือไปทั่ว จนพระพุทธองค์ทรงประทานตำแหน่งเอตทัคคะในด้านเป็นผู้เลิศกว่าผู้อื่นในทางมีลาภมาก

สมัยหนึ่ง พระพุทธองค์พร้อมภิกษุสงฆ์จำนวนมาก เสด็จเพื่อไปเยี่ยมพระเรวตะ (ขทิรวนิยเรวตะ) ผู้อยู่สงัดวิเวกรูปเดียวในป่าสะแก ไปถึงทางแยกแห่งหนึ่งพระอานนท์กราบทูลว่า ทางหนึ่งเป็นทางอ้อม ระยะทางไกลถึง ๖๐ โยชน์ ตามรายทางมีหมู่บ้านคนอยู่ แต่อีกทางหนึ่งเป็นทางตรง ระยะทางเพียง ๓๐ โยชน์ ไม่มีคนอยู่เลย เป็นทางทุรกันดาร เราจะไปทางไหน

พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า “สีวลีมากับเราด้วยหรือเปล่า”

“มา พระพุทธเจ้าข้า” พระอานนท์กราบทูล

พระพุทธองค์ตรัสว่า “ถ้าอย่างนั้นเราไปทางลัด” แล้วพระองค์ก็เสด็จดำเนินนำหน้าไป ที่พระพุทธองค์ไปทางลัดเพราะทรงทราบว่า ไม่ว่าจะไปทางไหน ถ้ามีพระสีวลีไปด้วยย่อมไม่ลำบาก ด้วยอาหารบิณฑบาต

ซึ่งก็จริงตามนั้น เหล่าเทวดาที่สิงอยู่ในป่า ต่างก็นำอาหารมาถวายพระพุทธองค์และพระสงฆ์ตลอดทางที่ผ่านไป เพราะผลบุญของพระสีวลี

การที่พระสีวลีมีลาภมากก็ดี ต้องอยู่ในครรภ์พระมารดาถึง ๗ ปี กว่าจะคลอดก็ดี ล้วนเป็นเพราะผลบุญและบาปที่ทำไว้ในปางก่อน ในคัมภีร์อุปาทาน ท่านได้เล่าอัตชีวประวัติไว้ว่า

ในสมัยพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ ท่านเป็นกษัตริย์เมืองหนึ่ง ถวายทานแด่พระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์ แล้วตั้งความปรารถนาอยากได้เอตทัคคะในทางเป็นผู้มีลาภมาก

ต่อมาอีกในชาติหนึ่ง ท่านเกิดเป็นกุลบุตรผู้ยากไร้ ได้ถวายน้ำผึ้งกับนมส้มแด่พระพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี ด้วยศรัทธาอย่างยิ่ง

ด้วยอานิสงส์แห่งผลทานนั้น ท่านจึงเป็นผู้มีลาภมากในชาตินี้

ในส่วนที่ท่านต้องทุกข์ทรมานอยู่ในครรภ์ถึง ๗ ปี จึงคลอดนั้น ท่านมิได้กล่าวไว้ แต่พระสงฆ์ได้ทูลถามพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ทรงเล่าว่า ในชาติหนึ่งพระสีวลีเกิดเป็นกษัตริย์ ยกทัพไปล้อมเมืองข้าศึก เพื่อเอาเป็นเมืองขึ้น ล้อมอยู่ ๗ ปี กษัตริย์เมืองที่ถูกล้อม ไม่ยอมแพ้ จนกระทั่งชาวเมืองเดือดร้อนมาก จึงลุกฮือจับพระราชาของตน ยกเมืองให้กษัตริย์ผู้บุกรุก เพื่อยุติปัญหา

เพราะผลบาปที่ทำไว้นั้น ท่านจึงต้องอยู่ในครรภ์ถึง ๗ ปี กว่าจะคลอด หลังจากเสวยผลกรรมในนรกมานาน

พิเคราะห์ตามประวัติของท่านพระสีวลี ท่านมีลาภมากเพราะผลทานที่ถวายด้วยจิตเลื่อมใส ก็จะให้ความคิดแก่เราชาวพุทธว่า ถ้าเราอยากได้อะไรเราก็ควรให้ก่อน การทำบุญทำทานคือการให้ ยิ่งให้มากก็ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่ได้ “ยิ่งให้ยิ่งได้” นี้คือกฎธรรมชาติ

เพราะฉะนั้น ท่านที่อยากได้ลาภ ถึงกับอุตส่าห์ไปเช่าพระสีวลีมาบูชา ก็ควรจะปฏิบัติตามปฏิปทาของท่านพระสีวลีนั้นคือ ให้รู้จักทำบุญทำทานมากๆ ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ให้มาก ไม่เห็นแก่ตัว เมื่อนั้นแหละลาภผลก็จะหลังไหลมาสู่ท่านไม่รู้จักหมดสิ้น

คนที่เอาแต่ได้ บุญทานไม่เคยทำ ถึงจะแขวนพระสีวลีเต็มคอ ก็คงหาลาภไม่ได้อยู่ดี





  ๒. พระสังกัจจายน์

แสดงธรรมขยายความให้เข้าใจง่าย ในหนังสือที่ข้าพเจ้าแจ้งครั้งนั้น เป็นเรื่องของลูกเศรษฐี สุภาพบุรุษรูปงาม แต่งงานจนมีลูกหลายคน ภายหลังชีวิตผันแปรกลายเป็นสุภาพสตรีอย่างน่าอัศจรรย์ เพราะไปทำผิดกับพระสังกัจจายน์ โดยกล่าวว่าพระรูปนี้รูปร่างสวยสดงดงาม เห็นแล้วเกิดชอบใจ จึงเปล่งอุทานว่า เราได้เมียสวยขนาดนี้ก็คงดี

ด้วยความคะนอง ทันใดนั้นร่างกายลูกเศรษฐีก็เป็นสุภาพสตรีทันที เพราะล่วงเกินพระสังกัจจายน์ผู้เป็นอรหันต์เข้า ลูกเศรษฐีเกิดความอับอายไม่กล้ากลับบ้านจึงเตลิดไปไม่มีจุดหมาย ไปถึงเมืองหนึ่ง ได้แต่งงานกับลูกชายเศรษฐีที่เมืองนั้นจนกระทั่งมีลูกหนึ่งคน

พ่อแม่ของเธอ นึกว่าเธอตายไปแล้ว จึงทำบุญอุทิศให้ พอดีพระเถระรูปงามที่ท่านล่วงเกิน เดินทางไปยังเมืองนั้น หญิงสาว (ชายหนุ่มคนก่อน) เห็นแล้วจำได้จึงนิมนต์ไปที่คฤหาสน์ เล่าเรื่องที่ล่วงเกินท่านให้ท่านฟัง แล้วขอโทษที่รบกวนท่าน ท่านก็ยกโทษให้ ทันใดนั้นร่างกายก็กลับมาเป็นบุรุษเหมือนเดิม เป็นที่สงสัยของคนจำนวนมาก ท่านได้เล่าชีวิตพิสดารให้สามีและบิดามารดาฟังพร้อมทั้งขอโทษขอโพย

ลูกเศรษฐีจึงกลับบ้านของท่าน ไปหาพ่อแม่ พอพวกท่านรู้ว่ายังมีชีวิตอยู่ก็ต่อว่า ทำไมไม่บอกกล่าว ท่านจึงเล่าชีวิตพิสดารของตนให้พ่อแม่และภรรยาพร้อมลูกฟัง ต่างก็อึ้งไปตามๆ กัน

ท่านจึงไปบวชเพื่อหนีความรำคาญของคนที่มาถามแล้วถามอีกว่า ท่านมีลูกทั้งตอนเป็นชายและหญิง ท่านรักบุตรที่เกิดตอนไหนมากกว่ากัน ท่านก็ตอบว่า รักบุตรตอนที่ท่านเป็นหญิงมากกว่า ใครมาก็ถามเช่นเดิมจนรำคาญใจ จึงไปบวช

พระสังกัจจายน์กลัวว่า ประวัติศาสตร์อาจซ้ำกับเรื่องของลูกเศรษฐีท่านจึงอธิษฐานให้ร่างกายท่านอ้วนเตี้ยม่อต้อ น่าหยิกน่าเล่น มากกว่าน่ารักใคร่ของผู้พบเห็น คนเขาจึงเรียกท่านว่า พระสังกัจจายน์ ตั้งแต่บัดนั้นมา





 ๓. พระอุปคุต หรือ พระบัวเข็ม

ท่านจำพรรษาอยู่ใต้ทะเล หรือ “สะดือทะเล” นานๆ จะขึ้นมาสู่โลกสักครั้งหนึ่ง ชาวไทยภาคเหนือ ภาคอีสาน รวมพม่าด้วย จะคอยใส่บาตรท่าน ในคืนวันพุธที่ตรงกับวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ เชื่อกันว่าท่านบิณฑบาตกลางคืน ว่าอย่างนั้น   ไม่รู้ว่าความเชื่อนี้มีความเป็นมาอย่างไร และเหตุใดในวงการพระเครื่องจึงเรียกรูปหล่อ รูปปั้น หรือพระพิมพ์ของท่านว่า พระบัวเข็ม เห็นจะต้องอธิบายเพื่อความเข้าใจแล้วละครับ

ตำนานทางฝ่ายเถรวาท มิได้พูดถึงพระอุปคุตว่ามีบทบาทสำคัญในการทำสังคายนาครั้งที่ ๓ สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช มีแต่ตำนานของฝ่ายมหายาน หรืออาจจะมาจาก สรวาสติวาทิน ก็ได้

พูดอย่างนี้ ถ้าไม่ขยาย ผู้อ่านก็อาจไม่กระจ่าง คืออย่างนี้ครับ เมื่อพุทธศตวรรษที่ ๓ พระพุทธศาสนารุ่งเรืองมากในประเทศอินเดีย  เพราะพระเจ้าอโศกทรงทะนุบำรุงอย่างดี พระสงฆ์องค์เจ้าไม่ลำบากด้วยปัจจัยสี่ อยู่ดีสบาย

จึงมีพวกนอกศาสนา อันศัพท์ทางเทคนิค เรียกว่า “อัญเดียรถีย์” (แปลว่าผู้นับถือลัทธิอื่น) หวังอยากสบายบ้าง จึงพากันมาปลอมบวช คือบวชเอาเอง บวชมาแล้วก็ไม่ศึกษาปฏิบัติ แสดงธรรมผิดๆ ถูกๆ พระสงฆ์ผู้ทรงศีลรังเกียจไม่ยอมร่วมสังฆกรรมด้วย  พระเจ้าอโศกทรงปรารถนาจะเห็นพระสงฆ์สามัคคีกัน จึงรับสั่งให้มหาอำมาตย์คนหนึ่งไป “จัดการ” ให้เรียบร้อย
 
เจ้าหมอนี่แทนที่จะจัดการให้เรียบร้อย กลับสร้างความวุ่นวาย คือ แกตัดคอพระเถระ ที่ไม่ยอมร่วมสังฆกรรมกับพวกอัญเดียรถีย์ไปหลายองค์

พระเจ้าอโศกทรงปรารถนาจะ “ล้างบาป” จึงให้ความสนับสนุนพระมหาเถระ อันมีโมคคัลลีบุตร เป็นประธาน  ทำการสังคายนา คือ “ชำระสังฆมณฑลให้บริสุทธิ์”  หลังคายนาเสร็จก็ส่งพระธรรมทูตไปเผยแผ่พระพุทธศาสนายังต่างแดน ดังที่ประเทศสยามก็ได้มีพระโสณะกับพระอุตตระเดินทางมา สมัยโน้นเรียกว่า สุวรรณภูมิ ศูนย์กลางสุวรรณภูมิว่ากันว่าคือ นครปฐม ปัจจุบันนี้เอง

ในการทำสังคายนาครั้งนี้ไม่มีชื่อพระอุปคุต หรือมีแต่ไม่ได้บันทึกไว้ก็ได้ แต่จากหลักฐานของฝ่ายมหายานนั้นมี แม้กระทั่งพระปฐมสมโพธิกถา พระนิพนธ์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ก็มีกล่าวถึงพระอุปคุตเช่นกัน

ความว่า นาคถูกครุฑไล่ตาม นาคไปขอร้องให้พระสงฆ์ช่วย ไม่มีรูปใดมีฤทธิ์พอจะปราบได้ บังเอิญเณรน้อยรูปหนึ่งรับอาสาไล่ครุฑไปได้ จึงปรากฏชื่อเสียงโด่งดัง

พอพญาวสวัตตีมาร จะมาทำลายพิธีเฉลิมฉลองเจดีย์ และสังคายนาครั้งที่สาม ที่พระเจ้าอโศกทรงอุปถัมภ์ เมื่อทราบว่าเณรน้อยมีฤทธิ์มาก จึงไปขอให้เณรน้อยช่วยปราบ เณรน้อยบอกว่า ตนไม่สามารถปราบพญามารได้ มีแต่พระอุปคุตเท่านั้นที่จะปราบได้ และรับอาสาไปนิมนต์พระอุปคุตให้ขึ้นมาจากสะดือทะเลมาช่วย

พญามารก็จำแลงกายเป็นพญานาคใหญ่เบ้อเริ่มเทิ่ม พ่นควันพิษฟุ้งตรลบเลยเชียว พระเถระก็จำแลงกายเป็นครุฑใหญ่โฉบมาขยุ้มพญานาค ต่อสู้กันพัลวัน สู้กันไปสู้กันมา พญามารในคราบพญานาคเห็นทีจะสู้ไม่ไหว ก็วิ่งหนีไป พระเถระจึงเสกหนังหมาเน่าเหม็นคลุ้งจัดไปผูกคอพญามาร

มารสลัดอย่างไรก็ไม่หลุด วิ่งไปขอความช่วยเหลือจากเทพทั้งหลาย ตั้งแต่ท้าวจาตุมมหาราช จนกระทั่งพรหม ก็ไม่มีใครช่วยปลดหนังหมาเน่าออกจากคอมารได้ เหม็นคลุ้งไปทั่วพิภพ

ท้ายที่สุด จำต้องมาขอร้องให้พระอุปคุตปลดให้ ยอมแพ้แต่โดยดี พระเถระขอคำมั่นจากพญามารว่าจะไม่มาขัดขวางงานบุญครั้งนี้ พญามารก็รับ ท่านจึงปลดหนังหมาเน่าออกจากคอพญามาร แต่เพื่อความแน่ใจ ท่านจึงผูกพญามารไว้กับเขาพระสุเมรุจนกว่างานจะสำเร็จ

พญามารน้อยใจพระเถระ ทั้งที่ยอมแพ้และให้คำมั่นแล้ว พระเถระก็ยังใจร้ายมัดแกไว้อีก จึงเอาตีนกระทืบจนสั่นสะเทือนไปทั้งแผ่นดิน พญามารกล่าวว่า “ข้าได้หลงทางผิด จึงถูกทรมานอย่างนี้ ต่อแต่นี้ข้าจะขอกลับเนื้อกลับตัว ขอปวารณาพุทธภูมิเพื่อช่วยเหลือสัตว์โลกให้พ้นจากทุกข์ในสังสารวัฏ

พระเถระเดินทางมาดูพญามาร พอดีได้ยินคำปวารณาของพญามาร จึงสาธุการขึ้นดังๆ แล้วแก้มัดพญามาร แล้วขอร้องให้พญามารเนรมิตรูปพระพุทธเจ้าให้ดู เพราะตนเกิดไม่ทันพระพุทธองค์

พญามารกล่าวว่า ถ้าข้าพเจ้าเนรมิตพระพุทธเจ้าขึ้นมาแล้ว ขออย่าได้นมัสการเป็นอันขาด เพราะมิใช่พระพุทธเจ้าองค์จริง พระเถระก็รับคำ แล้วกล่าวว่า ไหนๆ จะเนรมิตแล้วก็ขอให้พระราชา พระสงฆ์ และประชาชนได้ทัศนาด้วย เป็นอันตกลงตามนั้น

ว่ากันว่าพระพุทธเจ้าที่พญามารเนรมิตนั้น งดงามด้วยมหาปุริสลักษณะและอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ สง่างามสมดังตำราว่าไว้ไม่ผิดเพี้ยน พระเถระและประชาชนต่างก็ก้มถวายบังคมโดยทั่วหน้ากัน

พญามารต่อว่าพระเถระว่า ไหนรับปากแล้วจะไม่ไหว้อย่างไร ทำไมจึงลืมสัญญา พระเถระตอบว่า เห็นพระพุทธองค์แล้วรู้สึกปลาบปลื้มปีติลืมตัว จึงถวายบังคม ไม่ทันนึกว่าเป็นเนรมิต แต่ถึงอย่างไรก็เป็นรูปพระพุทธองค์

พระเถระกล่าวกับพญามารว่า “ดูกร พญามาร ท่านได้กระทำการอันเป็นบุญกุศลมหาศาล ที่ได้เนรมิตรูปพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้อาตมาและประชาชนได้ทัศนาและนมัสการ ท่านเองก็มีจิตใจน้อมไปในโพธิญาณปรารถนาภาวะพุทธเจ้าในอนาคต ท่านจงไปตามสมควรแก่คติของท่านเถิด

พญามารจึงนมัสการพระอุปคุตแล้วหาบวับไป ณ บัดนั้นแล

ว่ากันว่า ตั้งแต่บัดนั้นมา พญามารมิได้ตามรังควานใครๆ ที่ทำบุญกุศลอีกเลย แต่เพราะเคยทำความไม่ดีมาเยอะ คนจึงกล่าวขวัญถึงมารในแง่ไม่ดี และน่าเกลียดน่ากลัวจนกระทั่งบัดนี้ ลบยังไงก็ลบไม่หมด ว่าอย่างนั้นเถอะ

ในหลวงรัชกาลที่ ๕ ได้พระราชนิพนธ์ เรื่องพระอุปคุตไว้ตอนหนึ่งว่า “มีชาวเมืองร่างกุ้งคนหนึ่ง ได้ตักบาตรแก่พระอุปคุตแล้วได้เป็นเศรษฐี ชาวเมืองร่างกุ้งทั้งปวงจึงพากันหุงข้าวแต่ยังไม่สว่าง คอยตักบาตรพระอุปคุตเถระ จนทุกวันนี้ก็ยังมีความนับถือพระอุปคุตเช่นนี้แพร่หลายมากขึ้น

นี้คือเหตุผลที่ทำไมชาวพม่า ชาวไทยภาคเหนือ และภาคอีสาน นับถือพระอุปคุตมาก เพราะเล่าลือว่า ท่านสามารถบันดาลผู้ตักบาตรให้เป็นเศรษฐีทันตาเห็น

ได้เชื่อกันอีกนั่นแหละว่า ท่านพระอุปคุตยังไม่นิพพาน (ในที่นี้แปลว่าดับขันธ์) เพราะท่านเจริญอิทธิบาทจนถึงขึ้นมีอิทธิฤทธิ์ อธิษฐาน “ต่ออายุ” ให้อยู่เป็นกัปเป็นกัลป์ได้  (หมายเหตุ นี้เป็นความเชื่อครับ ที่จริงเป็นไปไม่ได้ พระพุทธเจ้าเองตรัสไว้จริงว่าผู้เจริญอิทธิบาทสมบูรณ์เต็มที่แล้ว สามารถต่ออายุได้กัปหนึ่งหรือเกินกว่าเล็กน้อย แต่คำว่า “กัป” ในที่นี้หมายถึงเอาเพียง ๑๐ หรือ ๒๐ ปีเท่านั้น มิใช่เป็นกัลป์อย่างที่เราเข้าใจ)  ก็เพราะเชื่อเช่นนี้แหละ คนถึงได้ตื่นขึ้นมาหุงข้าวแต่ดึก เพื่อเตรียมใส่บาตรท่าน ขืนไม่หุงแต่ดึก ก็จะไม่ทัน ท่านมาแล้วจะไม่มีข้าวใส่บาตร เพราะเหตุนี้เหมือนกัน คนจึงว่าท่านพระอุปคุตมาบิณฑบาตตอนดึก และก็คงฉันดึกๆ ด้วย ว่าไปโน่น

ผมเองสมัยยังเด็ก เห็นพ่อผมตั้งซุ้มหน้าบ้าน เอาผ้าไตรไปวางใส่พานไว้ แล้วก็สั่งให้แม่นึ่งข้าวตั้งแต่ประมาณเที่ยงคืน แล้วก็ร้องถามว่า ข้าวสุกหรือยัง ครั้นแม่ร้องบอกว่า จวนแล้ว รอเดี๋ยว เสียงพ่อก็บ่นตามมาว่า ชักช้า เดี๋ยวท่านมาจะไม่ทัน  ตอนนั้นยังเด็กมาก ไม่รู้เรื่อง และเมื่อโตมาก็ไม่เห็นพ่อทำอย่างนั้นอีก ประเพณีนี้ดูเหมือนจะจางหายไปแล้ว  ลืมถามพ่อว่า พ่อเคยได้ใส่บาตรพระอุปคุตจริงหรือเปล่า หรือ “จินตนาการ” เอา  เรื่องของความเชื่อครับ เราไม่เชื่อก็อย่าดูหมิ่น

พระอุปคุตได้นามอีกอย่างหนึ่งว่า “พระบัวเข็ม” บัวและเข็ม มาเกี่ยวอะไรกับท่าน ผมก็เลือนๆ จำได้ว่ามีตำนานพม่าเล่าว่า พระเจ้ากรุงหงสาวดีพระองค์หนึ่ง มีญาณวิเศษ เหาะไปไหนๆ ได้ (สมัยนี้เรื่องเล็ก เขามีเครื่องบินส่วนตัวแล้ว ไปไหนก็ได้ แต่ก็เครื่องตกตายไปหลายคนเหมือนกัน)

วันหนึ่งเหาะผ่านชายป่าแห่งหนึ่ง เห็นพระรูปหนึ่งเดินลุยโคลน บนศีรษะมีใบบัวคลุมอยู่ อีกใบเอาเป็นภาชนะเก็บกุ้งหอยปูปลา เพื่อนำไปปล่อยลงแม่น้ำใหญ่ เพราะหนองน้ำนั้นกำลังจะแห้งขอด

พระเจ้ากรุงหงสาวดี นึกตำหนิในใจว่า พระอะไรมาลุยโคลนจับกุ้งหอยปูปลา ไม่น่าดูเลย เอาไปกินหรือเปล่าไม่รู้ ทันทีที่คิดจบ ยานวิเศษหยุดแล่นและตกลง (ดีที่ไม่คอหักตาย)

ทรงสำนึกผิด ว่าได้ล่วงเกินพระผู้ทรงคุณวิเศษเสียแล้ว จึงรีบไปจะกราบขอขมา ปรากฏว่าท่านหายวับไปแล้วไร้ร่องรอย  

พระเจ้ากรุงหงสาวดี เมื่อกลับเมืองจึงสละยานนั้นแกะสลักเป็นรูปท่านถวายเป็นพุทธบูชา เนื่องจากไม่ทันสังเกตลักษณะหน้าตาของท่าน จึงทำให้มีเพียงใบหน้า ไม่มีนัยน์ตา จมูก และปาก  รูปแกะสลักนี้ประดับแก้วศักดิ์สิทธิ์ ๙ เม็ด  มีใบบัวปกเศียร และมีหมุดปักอยู่ตามหัวไหล่ ตามเข่า หลายแห่ง จึงเรียกว่า “พระบัวเข็ม” (คือพระที่มีบัวและเข็มตามองค์นั่นแล)  และที่ขาดไม่ได้ จะต้องมีรูปบัวและกุ้งหอยปูปลาที่ฐานพระด้วย จึงจะครบเครื่อง

พระอุปคุตมีอยู่ ๒ แบบใหญ่ๆ คือ แบบพระมารวิชัย ก้มหน้า มีหมุดหรือเข็มปักตามส่วนต่างๆ กับแบบนั่งแหงนหน้า มือหนึ่งทำท่า “จกบาตร” (ล้วงบาตร) แบบนี้ เรียกว่า “พระอุปคุตจกบาตรพิชิตมาร”.  




บทความพิเศษ "พระเถระชีวิตพิสดาร"  โดย ศาสตราจารย์ (พิเศษ) เสฐียรพงษ์  วรรณปก  หนังสือมติชน สุดสัปดาห์

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06 สิงหาคม 2556 14:38:28 โดย กิมเล้ง » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.599 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 12 เมษายน 2567 03:59:09