พระพยอม จวก มิตซูโอะ เป็นตาลยอดด้วน ออกมาพูดเรื่องตะกายสวรรค์

พระพยอม จวก มิตซูโอะ เป็นตาลยอดด้วนที่มีแต่เฉาตาย ชี้การเปิดตัวเป็นการเปิดแผลให้บรรดาลูกศิษย์ที่ศรัทธา ด้าน แอน สุทธิรัตน์ เตรียมขายโรงแรมก่อนเดินทางเริ่มต้นชีวิตคู่ที่ญี่ปุ่น

เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2556 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว กล่าวถึงการออกมาเปิดตัวเรื่องราวชีวิตรักของพระมิตซูโอะครั้งนี้เท่ากับเป็นการเปิดแผลให้บรรดาลูกศิษย์ที่ให้ความเคารพนับถือแย่ลงไปอีก ทั้ง ๆ ที่มีทีท่าว่าจะลืมไปได้แล้ว แต่มาเผลอพูดเรื่องตะกายสวรรค์ แทนที่จะทำกันแบบเงียบ ๆ ถ้าเขียนหนังสือก็ควรเขียนเงียบ ๆ ไม่ควรเอาภาพหวานแหววมาลงหนังสือธรรมะ ยิ่งเป็นหนังสือธรรมะของผู้แพ้คนจะอ่านสักเท่าไร คนจะอ่านด้วยความสงสัยมากกว่า ไม่ได้อ่านเพราะต้องการปฏิบัติธรรม แล้วโยนทิ้งไป

พระพยอม กล่าวต่อไปด้วยว่า มิตซูโอะรบมา 38 พรรษา แต่มาพ่ายแพ้ให้กับสีกาคนนี้ ภาษาธรรมะเรียกว่า ผู้ตายจากความเป็นพระ เป็นตาลยอดด้วนที่มีแต่วันเฉาตายไป บางทีเหมือนไม่รับความจริง อ้างว่าเคยเจอกันแต่ชาติปางก่อน บุพเพสันนิวาส แล้วอยู่ใกล้ชิดกันจนสึก แต่ยังไม่ได้ดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ แสดงว่าห้ามอกห้ามใจได้ เก่งตั้งนาน จึงไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ ไปปีนสวรรค์กัน หรือก็คือการหักเหหาความสุข ดังนั้นเรื่องที่เกิดขึ้น อันดับแรกต้องโทษมิตซูโอะที่ไม่ระวังตัวให้ดี อันดับ 2 ตัวผู้หญิงที่ตามไล่บี้ เรียกว่าเจตนามีความต้องการ เสียดายพระอย่างนี้ควรเอาไว้เป็นส่วนกลาง ไม่ควรเอาเป็นส่วนตัว คนวัยอย่างนี้น่าจะอยู่สืบศาสนามากกว่าไปสืบพันธุ์ ซึ่งภาษาหลวงพ่อปัญญา บอกว่า "ตายซะในการต่อสู้ ดีกว่าอยู่อย่างคนแพ้"

ทางด้าน แอน สุทธิรัตน์ เปิดเผยถึงหนังสือ 2 เล่มที่ออกมาว่า ใช้เวลาทำ 2 เดือน เพื่อต้องการให้ทราบความในใจที่เกิดขึ้น และแทรกคำสอนธรรมะลงไปด้วย ซึ่งยอดขายดีมากมีคนสนใจล้นหลาม ส่วนกรณีที่ทางมูลนิธิมายาโคตมีห้ามไม่ให้อาจารย์มิตซูโอะเข้าไปก็เป็นเรื่องจริง ซึ่งเราก็ทำตาม แต่ทางมูลนิธิไม่ยอมจบ เพราะมีหน่วยงานบางแห่งเชิญท่านไปบรรยาย ก็มีคนจากมูลนิธิคอยสกัดทุกวิถีทาง

สำหรับชีวิตคู่ตอนนี้ ตนวางแผนว่าจะขายโรงแรม 3 แห่งที่สมุย ภูเก็ต และเชียงใหม่ เพื่อสะสางหนี้ที่คั่งค้างอยู่ จากนั้นจะเดินทางกลับญี่ปุ่นสิ้นเดือนนี้ โดยจะเดินหน้าทำสถานปฏิบัติธรรม และช่วยสามีเผยแผ่ธรรมะในหลายเมืองของญี่ปุ่น

ขณะที่ทางมูลนิธิมายาโคตมี ชี้แจงว่า เรื่องที่ถูกกล่าวหานั้นไม่เป็นความจริง เป็นความพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงในหลายประเด็น แต่ทางมูลนิธิไม่ขอตอบโต้อะไรทั้งนั้น ให้สังคมตัดสินกันเอง ตอนนี้ลูกศิษย์เศร้าใจมากกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ก็ยังเคารพท่านเสมอในฐานะครูบาอาจารย์