[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 มีนาคม 2567 02:32:43 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: แหล่งเกิดความทุกข์  (อ่าน 7935 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
sometime
บุคคลทั่วไป
« เมื่อ: 22 มกราคม 2553 09:28:35 »

http://www.wantup.com/view-399_panyanantha.jpg
แหล่งเกิดความทุกข์

สอนseo เรียนseo


<table class="maeva" cellpadding="0" cellspacing="0" border="0" style="width: 800px" id="sae1"> <tr><td style="width: 800px; height: 576px" colspan="2" id="saeva1"><script type="text/javascript"><!-- // --><![CDATA[ var oldLoad = window.onload; window.onload = function() { if (typeof(oldLoad) == "function") oldLoad(); if (typeof(aevacopy) == "function") aevacopy(); } // ]]></script><embed type="application/x-mplayer2" src="http://www.fungdham.com/download/song/allhits/07.wma" width="800px" height="576px" wmode="transparent" quality="high" allowFullScreen="true" allowScriptAccess="never" ShowControls="True" autostart="false" autoplay="false" /></td></tr> <tr><td class="aeva_t"><a href="http://www.fungdham.com/download/song/allhits/07.wma" target="_blank" class="aeva_link bbc_link new_win">http://www.fungdham.com/download/song/allhits/07.wma</a></td><td class="aeva_q" id="aqc1"></td></tr></table>



หลวงพ่อปัญญานันท(พระพรหมมังคลาจารย์)



อาทิตย์ ที่ 1 ตุลาคม 2515


ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย........................................
.......................... (:88:)ณ..........................บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะอันเป็นหลักคำาสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว
ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังให้ดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟัง
ตามสมควรแก่เวลา รัก
วันนี้ในตอนเช้าฝนตกลงมาห่าใหญ่ที่วัดชลประทานฯ นำ้าที่ข้างบันใดศาลามากหน่อย
ญาติโยมที่เดินขึ้นศาลาก็ต้องลุยนำ้นิดหน่อยอันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะมันเป็นเรื่องของ
ธรรมชาติ ฝนฟ้าอากาศมันก็ต้องตกไปตามเรื่องตามราว เราอยู่ในโลกก็ต้องการทั้งแดดทั้ง
ฝน แต่ว่าความต้องการของมนุษย์นี่บางทีมันก็ขัดกัน บางที่ฝนตกไม่ชอบ บางทีแดดออกไม่
ชอบ ลมพัดจัดก็ไม่ชอบ อย่างโน้นอย่างนี้ ก็ไม่ใคร่เป็นที่ชอบใจ อะไร ๆ ในโลกนี้ก็ไม่ใคร่
เป็นที่ชอบใจ อะไร ๆ ในโลกนี่จะเหมือนใจทุกอย่างไม่ได้ สิ่งทั้งหลายก็เป็นไปตามอำานาจ
ของธรรมชาติ เราก็ต้องปลูกความรู้สึกในใจให้เกิดความพอดีๆ กับสิ่งเหล่านั้น คือให้รู้สึก
ในใจให้เกิดความพอดีๆ กับสิ่งเหล่านั้น คือให้รู้สึกพอใจแล้วก็สบาย แต่ถ้าไม่รู้สึกพอใจใน
เรื่องอะไร ๆ ก็เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนในชีวิตประจำาวัน
ในทางธรรมะจึงสอนเราให้รู้จักสันโดษ หมายความว่า พอใจในสิ่งที่เราประสพอยู่เฉพาะ
หน้าคืออะไรเกิดขึ้นเฉพาะหน้าเราก็นึกพอใจในสิ่งนั้น ความพอใจในสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะ
หน้า คือสันโดษ เป็นศิลปะของความสุขความสบายในทางจิตใจ ในขณะใดที่เรามีความ
พอใจในเรื่องอะไรๆ ที่เกิดขึ้น เราก็รู้สึกสบายใจ ยิ้มได้ แต่ว่าในขณะใดที่เรารู้สึกขัดใจ ไม่
ชอบใจ ในสิ่งที่เกิดมีอยู่เฉพาะหน้า ในขณะนั้นเราก็มีความทุกข์ มีความไม่สบายใจ อันความ
ทุกข์ความเดือดร้อนใจนี่ ใคร ๆ ก็ไม่ค่อยชอบ ไม่ค่อยต้องการแต่ว่าพอเผลอ ความทุกข์ก็เกิด
ขึ้นในตัวเราได้ ที่ความทุกข์เกิดขึ้นได้ ก็เพราะความประมาท เผลอไป ไม่ได้ใช้ปัญญาคิดจึง
ตรึกตรองในเรื่องนั้น มองอะไรก็มองแต่เพียงแง่เดียวไม่มองไปในแง่ที่ว่า มันเป็นความจริง รัก

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22 มกราคม 2553 11:04:25 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #1 เมื่อ: 22 มกราคม 2553 09:32:51 »

http://www.wantup.com/view-399_panyanantha.jpg
แหล่งเกิดความทุกข์

สอนseo เรียนseo



อย่างไรคุณ - โทษ ประโยชน์ มิใช่ประโยชน์ ของสิ่งนั้นเป็นอย่างไร เรามองไม่ชัดเจนตามที่
เป็นจริง เมืองมองเห็นอะไร ๆไม่ชัดเจนตามที่มันเป็นจริง ก็เป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ ความ
เดือดร้อนในใจได้เพราะฉะนั้น ในทางพระพุทธศาสนา จึงมีหลักคำาสอนว่า จงมองทุกสิ่งทุกอย่างตามที่มัน
เป็นจริง ท่านใช้ศัพท์เทคนิคในทางธรรมะว่า ยถาภูตญาณทัสสนะ คำาว่า ยถาภูตญาณทัส
สนะ ถ้าแปลก็หมายความว่า "เห็นอะไรๆ ทุกอย่างตามที่มันเป็นจริงๆ" ความจริงของสิ่ง
นั้นมันเป็นอย่างไรเราก็มองให้เห็นชัดในสิ่งนั้น ในขณะใดที่เรามองเห็นสิ่งนั้น ชัดแจ้งตาม
ที่มันเป็นจริง ความหลงไม่มี ความยึดถือในสิ่งนั้นก็ไม่มี ใจเราก็ว่างจากความยึดถือเมื่อใจ
ว่างจากความยึดถือ เราก็มีความสงบใจเพราะฉะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าท่านจึงสอนเราให้หัดมองอะไรทุกอย่าง ที่ผ่านเข้ามาในวิถี
ชีวิตของเรา ให้รู้ชัดเห็นชัดตามที่เป็นจริงอยู่ตลอดเวลา อันการที่เราจะมองอะไรให้เห็นชัด
นั้น ก็ต้องศึกษาให้รู้ธรรมะ เพื่อเอามาใช้เป็นแว่นประกอบการมอง ประกอบการพิจารณาใน
สิ่งนั้น ๆจะได้รู้เข้าใจชัดเจนขึ้น เราจึงต้องมาวัดฟังธรรมบ้าง อ่านหนังสือทางศาสนาบ้าง
สนทนาแลกเปลี่ยนความคิดความเห็นในด้านธรรมะกับผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจบ้าง
แต่ว่าในเรื่องการสนทนากันนั้น อยากจะแนะนำาไว้อันหนึ่ง คืออย่าสนทนากันด้วยความยึดติดในทิฏฐิ
ความคิดความเห็นของตน คนเราเวลาที่สนทนาอะไรกันมักจะโต้เถียงกันหน้าดำา
หน้าแด่การเถียงกันในรูปอย่างนั้นเป็นการพูดธรรมะที่ไม่เป็นธรรมะแต่ว่าเอาตัวของตัว
เข้าไปพูด ตัวของตัวก็เป็นตัวแห่งความยึดความติดในทิฏฐิอะไรบางสิ่งบางประการสำคัญ
ว่าเรื่องของตัวนั้นเป็นเรื่องถูก เรื่องของผู้อื่นเป็นความผิด ทีนี้เมื่อไปคุยกับใครถ้าเขาพูด
อะไรไม่ตรงกับความคิดความเห็นของตัว ก็คัดค้านสิ่งนั้นไปหมด อย่างนี้ก็ไม่เกิดปัญญา
พระพุทธเจ้าของเราท่านแนะนำาในเรื่องอย่างไร ท่านบอกว่า ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเธอได้ฟัง
ใครก็ตาม พูดอะไร ๆ ที่เกี่ยวกับธรรมะ เกี่ยวกับข้อปฏิบัติเธออย่าคัดค้าน อย่ายอมรับในเรื่อง
นั้น......................................
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22 มกราคม 2553 10:50:02 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #2 เมื่อ: 22 มกราคม 2553 09:35:39 »

http://www.wantup.com/view-399_panyanantha.jpg
แหล่งเกิดความทุกข์

สอนseo เรียนseo



ท่านให้หลักไว้ 2 ประการ คือ อย่าคัดค้าน แล้วก็อย่ายอมรับทันทีให้เธอฟังไว้แล้วเอาไป
พิจารณาด้วยปัญญาของเธอ เปรียบเทียบกับสิ่งที่เราเคยรู้เคยเข้าใจ ถ้าสิ่งนั้นมันเข้ากันได้กับ
เรื่องที่เคยเรียนเคยศึกษา ก็ยอมรับสิ่งนั้นได้ แต่ถ้าหากว่าเอาไปคิดไปตรอง ด้วยอุบายที่
แยบคายแล้วแต่มันเข้ากันไม่ได้กับอะไรๆ หลายๆ อย่างหลายประการ เราก็ไม่ไปยึดใน
ความคิดความเห็นนั้น การสนทนากันในแง่อย่างนี้ ไม่มีเรื่องทะเลาะกับใครไม่มีการที่จะ
เถียงอะไร ๆ กัน ให้เป็นความวุ่นวาย เพราะเรารับฟัง ใครพูดอะไรๆ เราก็ฟังด้วยใจเย็น ถ้าจะ
พูดคัดค้านหรือท้วงติง ก็พูดด้วยใจเย็น ๆ ไม่พูดด้วยอารมณ์ร้อน
อันการพูดเรื่องอะไรก็ตาม ถ้าเราพูดด้วยอารมณ์ร้อน มักจะเสียเปรียบ แต่ถ้าพูดด้วยอารมณ์
เย็น ๆ มักจะได้เปรียบ เพราะปัญญามันไม่เกิด เมื่อไปกำาลังลุกอยู่ในใจ แต่ปัญญาจะเกิดเมื่อ
ในสงบ เพราะฉะนั้น บุคคลใดที่ทำาอะไรด้วยใจที่ร้อน มักจะเสียหาย แต่ถ้าทำาอะไรๆ ด้วยใจ
ที่ เย็น ความทุกข์ความเดือดร้อนจะไม่เกิดขึ้น อันนี้มันก็ต้องฝึกฝนเหมือนกัน เมื่อจะไปพูด
อะไรกับใคร หรือจะต้องสนทนาพาทีในเรื่องใด ก็ต้องเตือนตัวเองไว้ก่อนว่า เย็นๆ อย่าร้อน
อย่าพูดด้วยอารมณ์แต่พูดด้วยเหตุผล
สิ่งใดไม่ควรพูดก็อย่าไปพูด สิ่งใดที่ควรพูดจึงพูด แล้วเรื่องที่ควรพูดก็เหมือนกัน ต้องดูเวลา
ต้องดูบุคคล ต้องดูสถานที่ ต้องดูเหตุการณ์ ว่าถ้าเราพูดออกไปแล้ว มันจะขัดกับอะไรบ้าง
เป็นประโยชน์แก่ผู้ฟัง หรือไม่เป็นประโยชน์แก่เราผู้พูดหรือไม่ ถ้าหากว่าเราพูดออกไปแล้ว
ไม่ได้เรื่องคือไม่ให้ประโยชน์แก่ผู้ฟัง เราเองผู้พูดก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร เป็นการพูดออก
ไปเพื่อจะแสดงว่า เรารู้ในเรื่องนั้น เป็นการพูดเพื่ออวดตัว อวดกิเลส อันมีอยู่ในใจของตัวให้
คนอื่นรู้ว่าตัวมีกิเลสเท่านั้น การพูดในรูปเช่นนั้นไม่ได้สาระอะไร แต่ถ้าหากว่าเราพูดด้วย
ปัญญา เราก็พิจารณาเสียก่อนว่า เรื่องที่เราจะพูดออกไปนั้น เป็นเรื่องจริงเรื่องดีมีประโยชน์
เหมาะแก่เวลา แก่บุคคล แก่เหตุการณ์ สถานที่เราจะพูดหรือไม่ ถ้าได้คิดทบทวนไตร่ตรอง
อย่างนี้แล้วผู้นั้นจะเป็นผู้พูดแต่เรื่องดีมีประโยชน์ ปากของคนนั้นจะไม่เสีย แล้วใครๆ ก็ไม่ติ
ไม่ว่าบุคคลนั้น ในเรื่องเกี่ยวกับการพูดเป็นอันขาด อันนี้เป็นเรื่องสำาคัญอยู่
เพราะว่าคนเราอยู่ในสังคมนี่มันตัองพบปะกัน มีการสนทนากัน ในเรื่องอะไรต่างๆ อยู่
ตลอดเวลา.........จึงต้องใช้หลักธรรมะเข้าไปเป็นเครื่องประกอบ ให้การพูดจาวิสาสะได้เป็นไป........ หลับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22 มกราคม 2553 10:51:07 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #3 เมื่อ: 22 มกราคม 2553 09:37:41 »

http://www.wantup.com/view-399_panyanantha.jpg
แหล่งเกิดความทุกข์

สอนseo เรียนseo



ในทางที่ถูกที่ชอบตามกฎเกณฑ์ ตามหลักพระพุทธศาสนา อันนี้เป็นเรื่องที่อยากจะขอฝาก
ญาติโยมทั้งหลายได้นำไปใช้ในการปฏิบัติในกิจในชีวิตประจำวัน ประการหนึ่ง
ในวันอาทิตย์ก่อนได้พูดถึงเรื่องหลักในทางพระพุทธศาสนา คือเรื่องสำาคัญที่พระผู้มีพระ
ภาคเจ้า ท่านนำมาสอนแก่ชาวโลกทั้งหลาย เรื่องสำาคัญที่พระองค์นำามาสอนนั้น คือเรื่อง
อะไรได้บอกให้ญาติโยมทั้งหลายได้ทราบแล้วว่า คือ เรื่องอริยสัจจ์ 4 อันเป็นเรื่องหลักเรื่อง
สำาคัญเป็นคำาสอนในทางพระพุทธศาสนา ซึ่งเราควรจะได้ศึกษาแล้วนำไปใช้ในชีวิตประจำ
วันพระผู้มีพระภาคตรัสเรื่องนี้ขึ้นไว้ ก็เพราะว่าพระองค์ทรงทราบดีว่า ชีวิตของมนุษย์นี่มีความ
ทุกข์ มีความเดือดร้อน ด้วยปัญหาต่าง ๆ หลายอย่างปลายประการ ทรงต้องการจะให้มนุษย์
รู้จักวิธีแก้ไขปัญหาชีวิตของตน จึงได้วางหลักอริยสัจสี่ประการเหล่านี้ไว้ ถ้าจะพูดกันไป
แล้ว ก็หมายความว่า อริยสัจจ์สี่ประการเป็นธรรมนูญสำาหรับชีวิตที่เราควรจะนำามาใช้ใน
ชีวิตประจำาววัน ถ้าเรานำาหลักนี้มาใช้ ในชีวิตประจำาวันอย่างจริงจังเราก็จะอยู่ด้วยความสุข
ความสงบในโลกนี้ ไม่มีความทุกข์ความเดือดร้อน ในชีวิตจิตใจของเรา จึงเป็นเรื่องที่ควรจะ
ได้ทำาความเข้าใจกันในเรื่องต่อไปนี้
เรื่องที่ควรจะทำาความเข้าใจกันก็คือข้อธรรมะ ที่เราจะพึงเรียน ในเรื่องอริยสัจจ์ 4 นี้.......................
มันมี
อะไรบ้างท่านแบ่งไว้เป็น 4 เรื่องคือ.....................
เรื่องของความทุกข์
เรื่องเหตุให้เกิดความทุกข์
เหตุให้เกิดทุกข์ เรียกตามภาษาธรรมะว่า สมุทัย แปลว่าเหตุให้เกิดทุกข์
การดับทุกข์ได้ เรียกว่า นิโรธ ทางที่จะปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เรียกว่า มรรค
เรียกย่อๆ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
คนโบราณเขาต้องการให้คนจำาอะไรง่าย ๆ จึงเอาแต่ตัวนำาของชื่อนั้นๆ มา เขาเรียกว่า หัวใจ
หัวใจของอริยสัจสี่ก็คือ ทุ หมายถึงความทุกข์ สะ หมายถึงสมุทัย นิ หมายถึง นิโรธ
มะ หมายถึง มรรค เขาจึงจำาง่าย ๆ ว่า ทุ สะ นิ มะ รัก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22 มกราคม 2553 10:52:00 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #4 เมื่อ: 22 มกราคม 2553 09:42:17 »

http://www.wantup.com/view-399_panyanantha.jpg
แหล่งเกิดความทุกข์

สอนseo เรียนseo



(:88:)แต่ว่าคนโบราณเขาสอนเพื่อให้จำคนที่ได้หัวใจอริยสัจไปแล้วไม่ได้เอาไปใช้ในทางแก้ทุกข์
แต่เอาไปใช้เป็นคาถาอาคมไปเอาไปใช้เป็นคาถานั่นคาถานี่ ฝอยกัน 108 เป็นเรื่อง............
ไสยศาสตร์ ไม่ใช่เรื่องของพระพุทธศาสนา
เรื่องของพระพุทธศาสนาเขาให้จำาหัวใจก็เพื่อจะให้ระลึกกันง่าย ๆ เช่น เราท่องได้ว่า ทุ สะ
นิ มะ เวลาเราจะนึกถึงตัวจริงของอริยสัจ เราก็รู้ว่า ทุ คือทุกข์ สะ คือสมุทัย นิ คือนิโรธ
หมายถึงความดับทุกข์ มะ คือมรรคอันประกอบด้วยองค์แปด ในเรื่องอื่น ๆ ท่านก็มักผูกหัว
ใจสั้น ๆ ให้คนเราไปท่องจำเพราะสมัยก่อนนี้ไม่มีหนังสือตำารับตำารา ไม่มีการบันทึกเป็น
ลายลักษณ์อักษร คนที่ไปเรียนอะไรนี่ต้องท่องให้จำา ทีนี้การท่องจำา ถ้าจะท่องให้หมดก็ต้อง
ใช้เวลานาน จึงต้องย่อสิ่งที่จะเรียนนั้น เอาแต่หัวใจ เพื่อให้จำาง่าย แล้วจะได้เอาไปเป็นหลัก
ในการศึกษาต่อไป
เพราะฉะนั้น จึงขอให้ญาติโยมจำาเอาหัวใจนี้ไว้ด้วย ว่า ทุ สะ นิ มะ ทุ คือทุกข์ สะ คือ
สมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์ นิ ก็คือนิโรธ หมายถึงความดับทุกข์ได้ มะ คือ มรรค ประกอบด้วยองค์แปด
อันเป็นข้อปฏิบัติเพื่อให้ถึงความดับทุกข์
คำาว่าทุกข์ นั้นหมายถึงอะไร หมายถึงความไม่สบายที่เกิดขึ้นทางกายทางใจ ทุกข์ทางกายก็มี
ทุกข์ทางใจก็มี แต่ว่าความจริงตัวทุกข์แท้ๆ มันอยู่ที่ใจ เพราะว่าใจของเรานี่เป็นหัวหน้าของ
เรื่องการเป็นอยู่ ความคิดความนึกอยู่ที่ใจนั้น มันมี ๒ เรื่อง เรียกว่า เหตุทางกาย แล้วก็เหตุที่
เกิดกับใจเอง เหตุทางร่างกายนั้น ก็คือสภาพร่างกายที่ไม่ปกติ เช่นว่า ปวดแข้งปวดขา มี
ความเจ็บไข้ได้ป่วย อันเป็นเรื่องของธรรมดาสังขารร่างกาย
คนเราเกิดมาแล้ว มันก็ต้องมีการเจ็บการไข้เป็นเรื่องธรรมดา ถ้ารักษาอนามัยดีก็เจ็บไข้ได้
ป่วยน้อย แต่ถ้ารักษาอนามัยไม่ดีเราก็เจ็บไข้ได้ป่วยมาก เวลาใดร่างกายมันผิดปกติก็เป็นเหตุ
ให้เกิดความทุกข์ทางใจ ความทุกข์นั้นเขาเรียกว่าเป็นความทุกข์เนื่องจากร่างกาย ทีนี้ ความ
ทุกข์เรื่องใจล้วนๆ มันเป็นเรื่องเนื่องเกี่ยวกับความอยากที่เกิดขึ้นในใจ อยากในเรื่องอะไร
ต่างๆ ร้อยแปดพันประการ ขณะใดใจอยากในอะไร ก็เกิดความทุกข์เพราะเรื่องนั้น ถ้ายังไม่
ได้สมใจก็เป็นทุกข์ ได้มาสมใจแล้วก็ยังเป็นทุกข์ต่อไป มันมีปัญหาที่จะให้เกิดความทุกข์ทั้ง
มี และไม่มี ทั้งได้ และไม่ได้เรียกว่าเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ทั้งนั้น สำาหรับบุคคลผู้ไม่มี
ปัญญา รัก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22 มกราคม 2553 10:52:54 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #5 เมื่อ: 22 มกราคม 2553 09:44:46 »

http://www.wantup.com/view-399_panyanantha.jpg
แหล่งเกิดความทุกข์

สอนseo เรียนseo



แต่ถ้าบุคคลใดมีปัญญารู้เท่ารู้ทัน เวลาได้ก็ไม่เป็นทุกข์ เวลาไม่ได้เขาก็ไม่เป็นทุกข์ เพราะ
เรื่องนั้น ๆ ที่ไม่ทุกข์นั่นก็เพราะว่า รู้ว่าอะไรมันเป็นอะไร สิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ ดับไป
นั้น มันมีสภาพตามที่เป็นจริงอย่างไร ก็ไม่มีความทุกข์จากเรื่องนั้น อันนี้เป็นเรื่องความทุกข์
ที่เราควรรู้ไว้ก่อนเป็นเบื้องต้นในธรรมะหรือว่าในพระสูตร ท่านแยกความทุกข์เกี่ยวกับอริย
สัจจ์นี้ไว้ดังที่.....เราสวดมนต์
ถ้าหากว่าคนที่สวดมนต์เช้าได้เราได้ เราก็สวดว่า ชาติปิทุกขา ความเกิดเป็นทุกข์ ชราปิ ทุก
ขา ความแก่ ก็เป็นทุกข์ มรณัมปิ ทุกขัง ความตายเป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากของรักของ
ชอบใจเป็นทุกข์ อยู่ร่วมกับคนที่เราไม่ชอบ กับสิ่งที่เราไม่ชอบเป็นความทุกข์ ความโศก
ความเหี่ยวแห้งใจ ความรำ่าไรรำาพัน ในเรื่องปัญหาต่างๆ ก็เป็นความทุกข์ รวบรัดให้ย่อๆ
สั้น ๆ การเข้าไปยึดถือในขันธ์ 5 ว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นเราเป็นเขานั่นแหละเป็นก้อนทุกข์ใหญ่
 ท่านแจกความทุกข์ให้ญาติโยมฟัง นี้มีอันหนึ่งซึ่งสำาคัญ คือ เรื่อง ชาติทุกข์ เรียกว่าความเกิด
เป็นทุกข์ มันหมายถึงอะไร ที่เรียกว่าความเกิดเป็นทุกข์ ก่อนๆ นี้เราได้ฟังคำาอธิบายว่าการ
เกิดในครรภ์มารดา การคลอดออกมาจากครรภ์เรียกว่าเป็นการเกิดที่เป็นทุกข์ อันนี้ถ้าหากว่า
เรามาศึกษาในแง่นั้นจะไม่ช่วยให้การแก้ปัญหาอะไรได้ แต่ถ้าหากเราเข้าใจอีกแง่หนึ่ง ไม่ได้
เข้าใจตามแง่นั้น แต่เข้าใจว่าชาติคือความเกิดนั้นหมายถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจเข้าไป
ยึดถืออะไรว่า เป็นตัวเรา เป็นของเราขึ้นมา ในขณะใดที่ใจของเรา เกิดความรู้สึกยึดถือใน
เรื่องอะไรขึ้นมาแล้ว ในขณะนั้นแหละ เรียกว่าชาติเกิดขึ้นในใจของเรา ความเกิดแห่งความ
ยึดถือ หลงใหล มัวเมาในเรื่องอะไรต่าง ๆ คือ ชาติปิทุกขา เรียกว่า ความเกิดมันเป็นทุกข์
อ้ายที่เกิดมาจากท้องแม่นั่นมันเกิดมาแล้ว แล้วก็พ้นมาแล้ว อันนั้นจะเป็นเหตุให้เกิดความ
ทุกข์ต่อมาอีก มันก็ไม่สมควร เพราะมันผ่านพ้นมาไกลแล้ว แต่ว่าความเกิดแห่งความยึดถือที่
เกิดขึ้นในใจของเรา จะเป็นชาติทุกข์ตลอดเวลา เรานั่งอยู่ ณ.ที่ใด ยืนอยู่ ณ ที่ใด นอนอยู่ในที่
ใด พอใจของเราไปยึดในอะไรเข้ามา เรารู้สึกอย่างไร เช่นเรานึกไปถึงเงินที่อยู่ในตู้ นึกถึง
เพชรนิลจินดา นึกถึงรายได้ นึกถึงเงินที่เขากู้ยืมไป ดอกเบี้ยยังไม่ส่งตามเวลา แล้วก็นึก
อะไรๆ หลายเรื่องหลายประการขึ้นในใจ ใจขณะนั้นรู้สึกอย่างไรญาติโยมลองสำารวจตัวเอง
ถ้าสำารวจตัวก็จะพบว่ามันเป็นทุกข์ พอนึกถึงเรื่องเหล่านั้นขึ้นมาก็เกิดความทุกข์ รู้สึกแย่
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22 มกราคม 2553 10:53:46 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #6 เมื่อ: 22 มกราคม 2553 09:48:00 »

http://www.wantup.com/view-399_panyanantha.jpg
แหล่งเกิดความทุกข์

สอนseo เรียนseo



(:DY:)ความทุกข์เกิดเพราะเรื่องอะไรเพราะเรานึกว่าสิ่งนั้นเป็นของเราเงินทองของเรา
เพชรนิลจินดาของเรา (:SLE:)งานการนั้นของเราลูกของเรา - หลานของเรา สามีภรรยาของเรา
กิจการอย่าง........นั้นเป็นของเรา ชาติของเรา บ้านเมืองของเรา คิดไปหลายแง่หลายมุม ในขณะใดที่เราคิดใน
เรื่องอะไร ด้วยอำานาจความยึดความติดในสิ่งนั้น ขณะนั้นก็เป็นความทุกข็เกิดขึ้น ให้จำาหลัก
อันนี้ไว้เป็นเบื้องต้น.............................................
คือให้รู้ว่า ในขณะใดใจเกิดความยึดติดในเรื่องอะไรขึ้นมา ในขณะนั้นเราจะเป็นทุกข์ เมื่อจำา
คำานี้ไว้ได้แล้วก็ต้องเอาไปพิจารณาเอาไปค้นคว้า การค้นคว้านั้น อย่าไปค้นจากตำารับตำารา
หนังสืออะไรเลย แต่ค้นคว้าจากชีวิตของเราเอง จากกิจกรรมที่เราทำาอยู่ทุกวันทุกเวลา จาก
ความรู้สึกในชีวิตประจำาของเรานี่แหละ ว่าเมื่อมีความคิดอะไรเกิดขึ้น แล้วมันเป็นอย่างไร
ต่อไปให้ลองสังเกต ว่าง ๆ แล้วลองสังเกตความเป็นอยู่ของเราเอง
เช่นเราเกิดความคิดอย่างนั้นขึ้นในใจ มันเป็นความคิดที่ร้อนหรือเย็น เป็นสุขหรือว่าเป็น
ทุกข์ มีควมกังวลห่วงใย หรือว่ามีความสงบสบายใจให้ญาติโยมลองนำาไปพิจารณาคอย
สังเกตุตัวเรา คอยสังเกตุจิตใจของเราแล้วเราจะพบความจริงว่า ตัวความทุกข์ที่เกิดขึ้นในใจ
มันทุกข์เพราะว่า เรายึดถือนั่นเองแหละ ไม่ใช่ทุกข์เพราะเรื่องอะไร พอเกิดความยึดถือในใจ
ในเรื่องอะไรก็ตาม เราก็มีความทุกข์เพราะสิ่งนั้น อันนี้แหละคือความหมายของคำาว่า ชาติปิ
ทุกขา ที่ญาติโยมสวดมนต์ว่า ชาติปิทุกขา ความเกิดเป็นทุกข์ หมายถึงว่าความรู้สึกยึดถือใน
เรื่องอะไร ๆ เกิดขึ้นในใจของเราในขณะใด ความทุกข์หยั่งลงสู่ชีวิตของเราเมื่อนั้น อันนี้คือ
หลักแท้จริงของอริยสัจ ในเรื่องชาติ ความเกิดที่เป็นทุกข์ ถ้าเราเข้าใจชาติความเกิดในรูปนี้....... หงุดหงิด
 (:UU:)การที่จะสลัดความทุกข์ออกไปตัวเรานั้นมันง่าย แต่ถ้าเราไปเข้าใจในแง่ว่า เกิดจากท้อง
มารดา แล้วตายเข้าโลงเป็นชาติหนึ่ง มันก็แก้อะไรไม่ได้ เพราะว่าความเกิดนั้นมันผ่านพ้นมา
แล้ว เป็นมานานแล้ว สมบูรณ์ทุกสิ่งทุกประการ ไม่ใช่วิถีทางแก้ไขความทุกข์ตามหลักของ
พระพุทธศาสนา ในหลักธรรมะทางพระพุทธศาสนา ต้องการชี้ให้เราเข้าใจว่า ความทุกข์เกิด
จากความยึดถือในเรื่องอะไร ต่างๆ ในขณะใดที่ความยึดถือในเรื่องอะไรเกิดขึ้นในใจก็เรียก
ว่าชาติ เกิดขึ้นแล้วชาติหนึ่ง.......................................
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22 มกราคม 2553 10:54:25 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #7 เมื่อ: 22 มกราคม 2553 09:52:51 »

http://www.wantup.com/view-399_panyanantha.jpg
แหล่งเกิดความทุกข์

สอนseo เรียนseo



(:FR:)และเมื่อเกิดความรู้สึกอย่างนั้นขึ้นมันก็สร้างต่อไปที่เรียกว่ามีภพ คำว่า......
ภพ ก็หมายถึงว่าความคิดที่เราส่งไปในเรื่องนั้น ๆ ส่งไปในเรื่องกามารมณ์ เรียกว่า เกิดในกามภพ
ถ้าเราส่งไปในเรื่องเกี่ยวกับรูปก็เรียกว่ารูปภพ ถ้าส่งไปในเรื่องที่ไม่มีรูปมีร่างเป็นความคิดฝันของเรา
เองก็เรียกว่า ไปเกิดอยู่ในอรูปภพ จิตของเรามันเป็นไปเกิดในกามภพก็ได้ ในรูปภพก็ได้ ใน
อรูปภพก็ได้ สุดแล้วแต่ความคิดที่มันเกิดขึ้นในใจเรา สร้างอารมณ์ขึ้นในใจของเรา แล้วใน
ขณะที่เรานั่งคิดนั่งฝันนั่งสร้างอารมณ์ประเภทต่าง ๆ ขึ้นในใจนั้นขอให้เข้าใจว่า นั่นแหละ
รากฐานของความทุกข์ ความเดือดร้อน เป็นทุกข์เพราะอะไร เป็นทุกข์เพราะเราไปยึดว่าสิ่ง
นั้นเป็นของเรา แล้วเราก็คิดต่อไปว่าให้สิ่งนั้นอยู่กับเราตลอดไป
แต่ว่าสิ่งนั้นคงจะไม่อยู่ตลอดไปเราก็มีความวิตกกังวล กลัวว่าสิ่งนั้นจะแตกสลายไป กลัว
ขโมยมันจะมาลักเอาไป กลัวว่าเราจะเจ็บไข้ได้ป่วย เราจะจากสิ่งนั้นไป ความคิดอันอื่นที่
ตามมาจากความยึดถือประการต้นนั้นอีกมากมายหลายเรื่อง อันล้วนแต่เป็นเรื่องที่สร้าง
ความทุกข์เพิ่มขึ้นในใจของเราทั้งนั้น อันนี้แหละคือ ชาติปิทุกขา เป็นเรื่องที่ควรจะเข้าใจให้
ตรง ถูกต้องไว้ก่อนเป็นเบื้องต้น ถ้าเราเข้าใจคำาว่า ชาติปิ ทุกขา ถูกตรงแล้วมันเป็นการง่าย ที่จะศึกษาในเรื่องอื่นต่อ ไป แต่ถ้า
เข้าใจคำาว่า ชาติปิ ทุกขา ความเกิดเป็นทุกข์ไม่ถูกแล้ว การแก้ไขปัญหาชีวิตย่อมจะเป็นการ
ไม่สะดวก เพราะจะไปแก้ที่ไกล ไม่ได้แก้ที่ตัวเรา ไม่ได้แก้ที่ตรงจุด แต่ไปแก้อยู่รอบๆ จุด
เหมือนกับคนที่คันสันหลัง แล้วก็ให้คนอื่นเกาให้ คนที่เกานั้นเขาไม่รู้ว่าคันตรงไหน ก็เที่ยว
เกาตรงนั้นเกาตรงนี้ เราก็บอกว่ามันยังไม่ถูก เกาใหม่ คนนั้นก็เกาอีก ก็ยังไม่ถูก เกาใหม่
เพราะคนเกาไม่รู้ ว่าจุดมันอยู่ตรงไหน แล้วจะเกาให้ถูกจุดได้อย่างไร แต่ถ้าเขารู้ว่าจุดคันมัน
อยู่ตรงไหน ไม่ต้องไปเกาให้เสียเวลา เอาไปจุดเข้าที่ตรงจุดนั้นเลย เรียกว่าจุดถูกที่คันเราก็
ร้องว่า ดี ขึ้นมาทันที ฉันใด
ในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในเรื่องเกี่ยวกับความทุกข์นั้นเกิดจากความยึดถือในเรื่องอะไร
ต่าง ๆ ด้วยความหลงใหล ด้วยความงมงาย ความมัวเมาในสิ่งนั้นจนเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์
ขึ้น เราก็แก้ที่จุดนั้นแหละ แก้ที่จุดความยึดถือ เราก็แก้ง่ายขึ้น เพราะเรารู้จักจุดมัน เหมือนกับ
รู้ว่าคันตรงไหน แล้วเกาได้ถูกจุดทันที อันนี้ประการหนีงซึ่งอยากให้โยมเข้าใจถูกตรงไว้ใน..........................
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22 มกราคม 2553 10:55:32 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #8 เมื่อ: 22 มกราคม 2553 09:56:31 »

http://www.wantup.com/view-399_panyanantha.jpg
แหล่งเกิดความทุกข์

สอนseo เรียนseo



(:DY:)เรื่องชาติปิ ทุกขา ส่วน ชราปิ ทุกขา ความแก่เป็นทุกข์ ทุกข์อย่างไรอันนี้ไม่ยาก อันเรื่อง
ความแก่เป็นทุกข์ โยม ๆ ที่ฟังเทศน์เป็นคนแก่ส่วนมาก
เมื่อเป็นคนแก่รู้ว่าความแก่เป็นทุกข์อย่างไร นั่งอยู่จะลุกขึ้นมันเป็นอย่างไร นอนแล้วจะลุก
ขึ้นมันเป็นอย่างไร จะเดินมันเป็นอย่างไร จะเคลื่อนไหวอิริยาบถสักย่างสักก้าวมันเป็น
อย่างไรจะกินอาหาร จะนุ่งจะห่ม จะพูดจา จะนึกถึงอะไรสักเรื่องหนึ่งที่ผ่านมามันเป็น
อย่างไร ญาติโยมลองทบทวนดู พอทบทวนดูก็จะรู้ได้ทันทีว่า เออ ไม่ได้ ความเคลื่อนไหว
อิริยาบถก็ไม่สะดวก ขัดไปหมด ปวดเอวปวดหลังเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ซึ่งเป็นเรื่องของ
ความชรา ชำารุด - ทรุดโทรมในร่างกาย มันเป็นทุกข์เรื่องอย่างนี้ประการหนึ่งอีกประการหนึ่ง
ความทุกข์ที่เกิดจากชรานั่น มันหมายถึงว่าเราไม่พอใจ ในการที่ร่างกายเปลี่
ยแปลงไป เราไม่อยากให้ผมหงอก อยากจะให้ดำาขลับอยู่ตลอดเวลา แล้วว่าหงอกแล้วก็
อุตส่าห์หายาย้อมผมมา ย้อมไว้หลอกตัวเองไปวันหนึ่งๆ พอดูกระจกก็รู้ว่ามันยังดำาอยู่ ความ
จริงไม่จำาเป็นอะไร ที่จะต้องหลอกตัวเองอย่างนั้น ให้เรานึกพอใจว่า ผมขาวมันก็เข้าที
เหมือนกัน แสดงลักษณะของความเป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้มีอายุ แล้วก็จะได้เป็นเครื่องเตือนจิต
สะกิดใจ ให้เราไม่ประมาทมัวเมาในชีวิต ในความเป็นอยู่ แต่ถ้าเราไม่ย้อมให้มันดำา เมือมัน
ขาวแล้ว ก็เท่ากับว่าเราหลอกตัวเอง เรามันยังเป็นคนชอบหลอกตัวเองอยู่ แล้วก็หลอกมัน
เรื่อย ๆ ไป ว่าเราผมมันยังไม่หงอก ไม่ชรา อันนี้เขาเรียกว่าฝืนกฎธรรมดา
พออยู่หน่อยร่างกายของเรามันเปลี่ยนไปตามสภาพแต่ว่าเราไม่อยากให้เปลี่ยน คนทุกคนไม่
 ชอบแก่ทั้งนั้น ไม่ชอบให้ผมหงอก ไม่ชอบให้ฟันหลุด ไม่ชอบให้ตามืด หูตึง ไม่ชอบให้
ผิวหนังเหี่ยว ไม่ชอบให้เป็นคนหลังค่อมหลังโกง ไม่ชอบความชำารุดทรุดโทรมทุกส่วนของ
ร่างกาย เราอยากให้มันคงเดิม ความทุกข์ก็เกิดขึ้นตรงนี้ ทุกข์เกิดขึ้นก็เพราะว่า เราไม่ยอมรับ
ความแก่ของสังขารร่างกาย เราอยากจะไม่ให้มันแก่ เมื่อไม่ชอบความแก่เราก็เป็นทุกข์
แต่ถ้าเรารู้ว่า ความแก่นี้มันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องเกิดต้องมีแก่คนทุกคน หนีไม่พ้น ใน
ชีวิตของเราทุกวินาทีนี่เราแก่อยู่ตลอดเวลา เมื่อเป็นเด็กก็เรียกว่าแก่ขึ้น เป็นหนุ่มก็แก่ขึ้น พอ
เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวก็เริ่มแก่ลง เพราะว่าความแก่นี้มันขึ้นอยู่กับเวลาปรุงแต่งของร่างกาย บาง
คนก็แก่ลงช้า (:-_-:)แต่บางคนก็แก่ลงเร็ว.......................
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22 มกราคม 2553 10:56:00 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #9 เมื่อ: 22 มกราคม 2553 10:01:04 »

http://www.wantup.com/view-399_panyanantha.jpg
แหล่งเกิดความทุกข์

สอนseo เรียนseo



(:DY:)คนที่แก่ลงเร็วก็คือคนที่ชอบเอายาพิษใส่เข้าไปในตัว เช่น คนชอบดื่มเหล้า ชอบเที่ยวกลาง
คืน.........อดหลับอดนอน คนประเภทนี้แก่เร็ว ร่างกายชำารุดทรุดโทรมเร็ว แต่ถ้าเป็นคนรู้จักรักษา
อนามัยพักผ่อนเป็นเวลา รับประทานอาหารถูกต้อง ความแก่ก็ช้า แต่ว่ารวมแล้วมันก็แก่นั่น
แหละ หนีไปจากความแก่ไม่พ้น เราต้องแก่เป็นธรรมดา แต่ว่าจิตใจเรานี่มันไม่ยอมแก่ถ้า
ใครมาทักเราว่า หือ ปีนี้ดูแก่ไป" ไม่มีใครชอบสักคนเดียว แต่ถ้าเขาทักเราว่า เออ ดูยังหนุ่ม
แข็งแรงดีนี่เรายิ้มชอบอกชอบใจคนเรามันชอบหลอกไม่ชอบจริงเพราะไม่ชอบของจริงนี่และจึงเป็นทุกข์เรื่อยไป
แต่ถ้าเรายอมรับความจริงเสียเช่นเรื่องความแก่นี่ยอมรับมันเสียรับว่าแก่แล้วร่างกายเปลี่ยนแปลง รู้สึกแย่
ไปมากแล้ว ไม่รู้เมื่อไหร่จะต้องแตกต้องดับละยอมรับอย่างนั้น พอเรายอมรับว่าเรายอมแก่
ปัญหาเรื่องความแก่จะไม่เป็นทุกข์แก่เรา ชราปิ ทุกขา จะไม่เกิดในใจ เพราะเรายอมรับความ
 (:-_-:)แก่ยอมให้มันแก่ไปตามเรื่อง การรักษาการบริหารร่างกายก็ทำาไปตามเรื่อง แต่ไม่ใช่ทำด้วย
ความอยากมากเกินไป เราทำาตามหน้าที่ ลังเล
หน้าที่จะต้องรักษาร่างกายเพื่อใช้ ใช้ทำาอะไรใช้สำาหรับประพฤติความงามความดี
ล้างบ่อย ๆ อัดฉีดบ่อย ๆ ขับค่อย ๆ อย่าให้มันเร็วเกินไป จนกระทั่งว่าเสียรูปเสียโฉมไป
รถคันนั้นก็ใช้ได้นาน (:DY:)ร่างกายของเรานี้ก็เหมือนกัน
พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า เรามันแก่เป็นธรรมดา เรารับรู้ว่าเราจะต้องแก่ แต่ว่าเราก็ต้องรักษา
ตามหน้าที่ อย่างนี้เรียกว่า เป็นคนรู้จักใช้ร่างกายให้เป็นประโยชน์ ไม่ใช้ให้เกิดความทุกข์
ความเดือดร้อน เพราะความเข้าไปยึดถือว่า เราไม่แก่ อันนี้เรื่องหนึ่งเกี่ยวกับความแก่ เป็น
ทุกข์หรือไม่เป็นทุกข์ก็อยู่ที่ ความคิดถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง ถ้าคิดถูกความทุกข์มันก็น้อยถ้า
คิดไม่ถูก ก็เกิดความทุกข์ขึ้น เพราะความแก่เป็นธรรมดา น้ำตาเล็ด
อันต่อไปท่านเรียกว่า พยาธิ คือ ความเจ็บไข้ ก็เป็นความทุกข์ของจิตใจ คนเราตามปกตินั้น
ไม่มีใครชอบความไข้ แต่ว่าความเจ็บไข้ก็ต้องเกิดขึ้น อันการเกิดขึ้นของโรคภัยไข้เจ็บนั้น
โรคบางอย่างเกิดเพราะความประมาท แต่โรคบางอย่างนั้น มันเกิดของมันตามธรรมชาติ เรา
ไม่รู้สาเหตุของมัน เช่น โรคมะเร็ง เป็นต้น เราไม่รู้สาเหตุว่ามันเกิดเพราะอะไร ทำาอย่างไรจึง
ได้เกิดโรคนั้นขึ้นไม่มีใครรู้แม้วิชาการแพทย์สมัยใหม่จะเจริญก้าวหน้าก็ยังค้นหาสมุฏฐาน สบายใจ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22 มกราคม 2553 10:56:24 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #10 เมื่อ: 22 มกราคม 2553 10:07:21 »

http://www.wantup.com/view-399_panyanantha.jpg
แหล่งเกิดความทุกข์

สอนseo เรียนseo



ของโรคนี้ยังไม่ได้ว่ามันเกิดมาจากเรื่องอะไร ก็พูดได้เพียงว่าธรรมชาติของร่างกาย
บางคนมันอาจจะเป็นโรคนี้ขึ้นได้ เป็นโรคที่ตรงนั้นตรงนี้ หรือเป็นมะเร็งในเส้นโลหิต แล้วก็รักษา
ไม่ได้ ร่างกายก็ต้องเจ็บป่วย จนกระทั่งหมดลมหายใจ รัก
แต่ว่าถ้าปกติโรคอันใดที่เกิดเพราะความประมาท เพราะไม่รักษาตัว อันนี้เราต้องป้องกันได้
การป้องกันก้คือว่าเรียนให้มันรู้ ว่าพาหะของโรคคืออะไร สมุฏฐานของโรคอยู่ที่ไหน มันจะ
เกิดได้โดยวิธีใด แล้วเมื่อเกิดแล้วเราควรจะรักษาอย่างไร เรื่องนี้มันต้องไปถามหมอ เขาก็จะ
แนะนำให้คนเราบางทีก็ประมาทเป็นอะไรนิดหน่อย ร่างกายผิดปกติ ม่ไปหาหมอที่โรงพยาบาล
แต่ไปหาหมอตี๋ตามร้านขายยา ฉันเป็นหวัด กินยาอะไรดี เจ้าตี๋ก็จัดยาให้เอาไปเคี้ยวไปกินกัน
ตามเรื่อง กินจนกระทั่งว่าหนัก พอหนักแล้วจึงไปหาหมอ อันนี้มันไม่ถูกเรื่อง เรียกว่าอยู่ใน
วิสัยของความประมาท เมื่อเรารู้สึกว่าร่างกายผิดปกติ ควรรีบไปรักษาทันที ให้หมอตรวจ
เสียโดยเร็ว การรีบไปทันท่วงทีนั้น ประหยัดเวลา ประหยัดเงิน แล้วก็ไม่ต้องเสียเวลาทำมาหากิน
เพราะเริ่มเป็นหมอตรวจรู้สมุฏฐานให้ยาสกัดโรคนั้นมันก็หายไว เราก็จะได้ทำางานทำาการ
ต่อไป เงินทองที่จะใช้จ่ายในการเยียวยาก็น้อย เพราะเรารีบรักษา พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่า
ให้ประมาท แต่ถ้าเราประมาทไม่ไปรัษา โรคมันแรงแล้ว ต้องกินยามาก ต้องฉีด ต้อง
นอนโรงพยาบาล บางทีต้องนอนตั้งเดือนสองเดือน เสียเวลาทำามาหากิน เสียเงินเสียทอง
เข้าไปมากมาย อันนี้เป็นเรื่องที่เรียกว่า ผิดอยู่ในชีวิดมนุษย์เราไม่ใช่น้อย
ในหลักธรรมะท่านจึงสอนไม่ให้ประมาท ถ้ารู้สึกว่าร่างกายผิดปกติรีบไปหาหมอเสียไม่
ต้องเกรงใจหมอดอกหมอเขามีหน้าที่รักษาคนป่วยแต่ถ้าป่วยหนักแล้วไปหาหมอนี่หมอรำาคาญ
รำาคาญว่าทำไมไม่ให้ตายเสียก่อนแล้วเอาศพมาให้รักษา ? หมอนึกอย่างนั้นถ้าหมอ
พูดได้แกคงพูดว่า เอามาให้รักษาทำาไม เอาศพมาดีกว่า แต่หมอก็รักษามารยาทไม่พูดอย่าง
นั้นแต่ว่าเรานี้ไม่รู้จักรักษาตัวก็ลำาบากความเจ็บไข้ได้ป่วยทำให้คนเป็นทุกข์ก็เพราะว่า
เราไม่สบายใจในขณะที่มีความเจ็บเกิดขึ้น เหนื่อยใจ
นอนเป็นทุกข์ นั่งเป็นทุกข์ กินก็เป็นทุกข์อยู่ตลอดเวลาเพราะเรื่องโรคภัยไข้เจ็บอันนี้คือ....................
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22 มกราคม 2553 10:56:48 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #11 เมื่อ: 22 มกราคม 2553 10:12:22 »

http://www.wantup.com/view-399_panyanantha.jpg
แหล่งเกิดความทุกข์

สอนseo เรียนseo



ทุกข์ประการหนึ่งที่อาจจะเกิดขึ้นแก่ใครก็ได้ ทีนี้การแก้ไขปัญหาในเรื่องความทุกข์
อันเกิดจากโรคภัยไข้เจ็บ ถ้าเรามีความเจ็บป่วยเกิดขึ้นเราก็ต้องพิจารณาด้วยปัญญา
พิจารณาว่าความเจ็บป่วยนี้ เป็นเรื่องของร่างกาย เป็นเรื่องที่เราจะต้องรักษา เวลานี้เราไม่กิน
ยาอยู่แล้ว แต่ว่ายานี่ไม่ใช่ยาพิษ เหมือนเรื่องนิทานที่เขาเล่าไว้ พอกินยาปุ๊บโรคหายปั๊บ มัน
ไม่มีอย่างนั้น มันต้องช้า ๆ กินยาแล้วต้องคอยเวลา ให้ยามันออกฤทธิ์ไปแก้ไขในบางส่วน
ของร่างกายก่อน เราอย่าใจร้อน อย่าอยากให้หายเร็วเกินไป แต่บอกตัวเองว่าเวลานี้เราป่วย
เราได้รัยประทานยาแล้ว เราก็ต้องนอนทำาใจเย็น ๆ อย่าใจร้อน อย่าคิดมาก อย่าวุ่นวาย ให้
พิจารณาร่างกายนี้ว่า เป็นสิ่งเปราะ หักง่าย แตกง่าย อาจจะเจ็บจะไข้ลงไปเมื่อใดก็ได้ ถ้าว่า
ร่างกายป่วย ใจเราเป็นทุกข์เพราะร่างกาย ก็เรียกว่าป่วยทั้งกายทั้งใจ
แต่ถ้าเราถือว่าร่างกายป่วย ใจเราจะไม่ป่วยตามร่างกาย แต่ว่าเราจะใช้ใจสำาหรับคิดค้นให้เกิดปัญญา
ให้รู้จักประสบการณ์ของชีวิต ให้ถือว่าความเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นเป็นบทเรียน เป็นบท
สอบไล่กำาลังใจของเรา ว่าเราเป็นผู้ศึกษาธรรมะได้อ่านหนังสือธรรมะไว้บ้างได้ฟังธรรมะ
ไว้บ้าง เวลาปกติก็ไม่รู้ว่าใจมันเป็นอย่างไร กำาลังใจจะรู้ได้ก็เมื่อตกอยู่ในอันตราย ถ้าไม่มี
อันตรายเกิดขึ้น เราก็ไม่รู้กำาลังใจของเรา เมื่อใดเราเจ็บไข้ได้ป่วย เราก็จะได้ทดสอบกำาลังใจ
ว่าเรามีความพอใจในการที่เราป่วยการรักษาเป็นหน้าที่ของหมอ ในเรื่องร่างกายแต่ว่าเรื่องใจเป็น
หน้าที่ของเราเองเราจะทำใจให้เย็น ทำใจให้ดี จะไม่เกิดความวิตกทุกข์ร้อนในเรื่องไข้เจ็บ ให้พอใจที่
จะนอนพักผ่อนอยู่บนเตียงคนไข้อย่าไปคิดถึงเรื่องที่ยังไม่มาถึง อย่าไปคิดถึงเรื่องที่มันผ่านพ้นไปแล้วแต่ว่า.........
เราคิดถึงเรื่องเฉพาะหน้า ที่เรากำาลังเป็นอยู่ในขณะนี้ ว่าเราควรจะคิดอย่างไร ใจจะสบายจะ
ไม่วุ่นวายจะไม่เดือดร้อน ควรจะทำาตนให้เป็นคนกินยาง่าย เลี้ยงง่าย ไม่ต้องให้คนอื่นพลอย
เป็นทุกข์กับเรา (:NT:)เราจะรับความทุกข์เสียคนเดียวแล้วก็ทำใจให้สบายให้พอใจในสภาพที่กำาลังได้รับ
หรือนึกเสียว่าไข้นี้ก็ดีเหมือนกันจะได้นอนเสียบ้างไม่เจ็บ
ไม่ป่วยไม่ค่อยได้พักผ่อน วลาเจ็บป่วยนี่ถือว่ามานอนพักผ่อนถ้ามานอนที่โรงพยาบาลก็
ถือว่ามาพักผ่อนที่โรงพยาบาล แล้วขณะที่พักผ่อนที่โรงพยาบาลก็ดูเพื่อนใกล้เคียงว่าเขา
เป็นอย่างไรคนเหล่านั้นก็ป่วยเหมือนกับเราเหมือนกันไม่ใช่ป่วยแต่เราคนเดียว เหงื่อตก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22 มกราคม 2553 10:57:14 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #12 เมื่อ: 22 มกราคม 2553 10:17:12 »

http://www.wantup.com/view-399_panyanantha.jpg
แหล่งเกิดความทุกข์

สอนseo เรียนseo



(:QS:)คนบางคนพอมีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งเป็นโรคภัยไข้เจ็บก็นึกเอาว่า แหม !
เรานี่มันอาภัพอับโชคเสียเหลือเกิน ป่วยอย่างนี้หนักที่สุด เจ็บที่สุดในโลกนึกให้มันหนักเกินไป
ความจริงไม่ได้หนักอะไรดอก เรามานึกเอาเอง เมื่อหลายปีมาแล้วไปที่โรงพยาบาลศิริราช
ไปเยี่ยมคน ๆหนึ่งแกเป็นเจ้าหน้าที่รถไฟ ซึ่งปกติก็เรียกว่าเดินไปเดินมาเรื่อย เพราะอยู่แผนกเดินรถ
ทีนี้.....เกิดอุบัติเหตุ ขาขาดต้องตัด แล้วก็ไปนอนที่โรงพยาบาลไปนอนอยู่ในตึกนอนคนไข้เกี่ยวกับ
เรื่องกระดูกเรื่องตัดอะไรทั้งนั้น อาตมาไปถึงก็ชวนคุย คุยแล้วก็ลองถามว่าเป็นอย่างไรมา
ป่วยอยู่โรงพยาบาลนี่จิตใจเป็นอย่างไรแกก็บอกว่าแหม ! วันแรก ๆ นี่เอาการ มีความทุกข์
มีความไม่สบายใจ เพราะว่านึกถึงขาที่มันหายไป นึกว่าหายไปก็เดินไม่สะดวก จะทำางานทำาการก็ไม่สะดวก
มันต้องมีขาไม้ใส่เข้ามาเวลาเดินเหินมันไม่คล่อง เที่ยวนึกไปถึงกาลข้างหน้า ในเรื่องเกี่ยวกับอนาคตของชีวิต
เลยก็นอนระทมตรมตรอมใจ แต่ว่าวันต่อๆ มาเห็นคนป่วยที่เขานอนป่วยบางคนป่วยมา 6 เดือน
แล้ว บางคนป่วยมาปีหนึ่งแล้ว บางคนนอนควำ่าอยู่ท่าเดียว 3 เดือนนอนหงายไม่ได้ แล้วก็มี
ต่าง ๆ แกดูคนเหล่านั้นจากเตียงนี้กับเตียงโน้นเขาคุยกัน หัวเราะกันหยอกล้อกันไปคุยกัน
ไปสนุกสนานแกมอง ๆ เขาก็ได้บทเรียน
ได้บทเรียนว่ากูนี่มันโง่ มานอนเป็นทุกข์อยู่คนเดียว คนอื่นที่หนักกว่าเราเขาไม่ทุกข์ เขายิ้ม
หัวสบายใจ เลยก็เปลี่ยนจิตใจได้ พอใจในการที่ตนไม่มีขาข้างหนึ่ง แล้วก็นึกว่าข้างหน้า
อย่างไรก็ช่างมันเถอะเราทำาใจให้สบายดีกว่า เลยคุยกับคนไข้ใกล้เคียง หัวเราะหัวไห้ร่าเริง
กันไปตามเรื่อง นี้เขาเรียกว่า รู้จักหมุนจิตใจให้เข้ากับเหตุการณ์
คนเราที่เป็นทุกข์นี่เพราะว่าไม่รู้จักเปลี่ยนใจ ให้เหมาะแก่เหตุการณ์ แดดออกจ้าอยู่เราพอใจ
ในแสงแดด พอฝนตกลงมากลับไม่พอใจฝน นี่หมุนจิตใจถ้าเราหมุนจิตใจ พอฝนตกก็เออ!
ดีเหมือนกันมันร้อนมาหลายวันแล้ว เย็นเสียหน่อยก็ดีแล้ว เราก็ไม่เป็นทุกข์เพราะเรื่องฝน
เจ็บไข้ได้ป่วยก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่เจ็บไม่ป่วย เราก็ไปไหนมาไหนได้ พอไปนอนที่โรง
พยาบาลก็นึกว่า เออ ดีเหมือนกัน ไม่ได้มาเห็นคนเจ็บคนป่วย ไม่ได้มีโอกาสเอาธรรมะมา
พิจารณา อันนี้ไม่ต้องไปทำางาน อารมณ์เยอะแยะ ที่จะเป็นบทเรียนสอนจิตสะกิดใจ ดูสิ่ง
เหล่านั้นมองสิ่งเหล่านั้น ในแง่ของธรรมะ แล้วก็สอนตัว จิตใจก็สบายขึ้น ไม่มีความทุกข์ เหงื่อตก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22 มกราคม 2553 10:57:49 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #13 เมื่อ: 22 มกราคม 2553 10:25:34 »

http://www.wantup.com/view-399_panyanantha.jpg
แหล่งเกิดความทุกข์

สอนseo เรียนseo



ความเดือดร้อนคนป่วยที่ใจสบายนั้นมันหายไวแต่คนป่วยที่ใจเป็นทุกข์นี่หายช้า เพราะ
ฉะนั้น เราอยากจะหายช้าหรือว่าหายไวใคร ๆ ก็อยากจะหายไว ๆ เมื่ออยากจะหายไวๆ ก็อย่า
ทำาใจให้เป็นทุกข์ แต่จงทำาใจให้สบายมองในแง่ดีเสีย ความทุกข์อันเกิดขึ้นจากความเจ็บป่วย
นั้นก็จะหายไปนี้ประการหนี่ง....................
อีกประการหนึ่ง ท่านบอกว่า การพลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นทุกข์ อันนี้มาก การพลัดพราก
จากสิ่งที่รักเป็นทุกข์นี่มาก คนเมื่อก่อนนี้ไม่มี แต่ต่อมามันมีอะไรขึ้นมา พอมีอะไรขึ้นมา
เท่านั้นแหละ ใจมันเป็นอย่างไร ความยึดถือในสิ่งนั้นก็เกิดขึ้น ยึดถือว่าสิ่งนี้ของข้า ของฉัน
ของเราขึ้นมาทีเดียว ความยึดถือในใจนั้นแหละ ที่มันเป็นมูลฐานที่จะทำาให้เกิดทุกข์ เพราะ
ความพลัดพราก เช่นว่าเราอยู่ในครอบครัวสามีภรรยาอยู่ด้วยกันมา อยู่กันมาตั้งแต่หนุ่มสาว
แล้วก็จนแก่เฒ่าก็ตายไปคนหนึ่ง ภรรยาตายก่อนบ้าง สามีตายก่อนบ้าง ใครคนหนึ่งตายไป
คนที่อยู่ข้างหลังก็เป็นทุกข์ทุกข์เพราะอะไร เพราะพลัดพรากจากสิ่งที่เรารักเราชอบใจ
เราเคยอยู่กันมา บางทีก็บ่นพิรี้พิไร แล้วคิดในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องแล้วเวลานั่งก็เป็นทุกข์ นอน
ก็เป็นทุกข์ ยืน เดิน กิน อยู่เป็นทุกข์ทั้งนั้น ความทุกข์อย่างนี้เกิดจากพลัดพรากจากของรัก
ของชอบใจ มารดาที่มีลูกน้อยที่น่ารักน่าเอ็นดูเลี้ยงดูมาเกิดมาใหม่ ๆ ยังไม่ได้เลี้ยง ตายก็ไม่
ค่อยเป็นทุกข์เท่าไร แต่ถ้าเลี้ยงมาพอนั่งได้นอนได้ ยิ้มหัวเราะได้พูดจาได้คำาสองคำา พอเห็น
แม่ร้องว่า...มะ...มะ..ขึ้นมาแล้วก็แหม ! น่ารักน่าเอ็นดูพอเด็กนั้นมาตายลงไปแม่นี้ไม่เป็นตัวเอง
ร้องไห้ร้องห่มเป็นทุกข์เสียเหลือเกิน เพราะลูกชายจากไป อย่างนี้เป็นทุกข์มาก
มีมารดาคนหนึ่งเมื่อ 2 ปีก่อน ลูก 2 คนไปโรงเรียนไปรับเองกลัวลูกจะเป็นอันตรายถนน
เพชรบุรีตัดใหม่นั่นแหละไปรับลูกลูกเดินไปข้างหน้าแม่รถยนต์คันหนึ่งมันเป็นรถชนิดที่
เรียกว่ารถมฤตยู (:FR:)ขับมาเฉี่ยวเอาลูก 2 คนตายไปต่อหน้าต่อตา แม่ไม่ตายเฉี่ยวเอาลูก
2 คนตายบอกว่ามันติดตามาตลอดเวลา เป็นทุกข์ตลอดเวลา พูดอะไรให้ฟังแกก็บอกว่า มันเสียใจ
ถามว่าเสียใจเรื่องอะไรเสียใจว่ามันตายไปต่อหน้าต่อตา เราอยู่กับเขาแท้ ๆ ยังป้องกันเขาไม่
ได้แล้วใครมันจะป้องกันใครได้ ตาย
พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า สัตว์โลกนี้ไม่มีผู้ป้องกันไม่มีผู้ต้านทาน ใครจะมาป้องกันใครไม่
ให้แก่ก็ไม่ได้ป้องกันใครไม่ให้เจ็บก็ไม่ได้ป้องกันไม่ให้ตายก็ไม่ได้แต่ไม่คิดในความจริง ตาย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22 มกราคม 2553 10:58:25 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #14 เมื่อ: 22 มกราคม 2553 10:30:06 »

http://www.wantup.com/view-399_panyanantha.jpg
แหล่งเกิดความทุกข์

สอนseo เรียนseo



(:BR:)ข้อนั้นนึกถึงภาพว่าลูกตายไปต่อหน้า เสียใจว่าอยู่เฉพาะหน้ายังช่วยไม่ได้
แล้วความจริงนั้นใครจะช่วยใครได้ คนที่ตาย ๆ ตายเฉพาะหน้าทั้งนั้น คนเจ็บลูกหลานมานั่งดูอยู่
บอกว่าดูใจจะได้เห็นใจ ความจริงก็ได้เห็นอะไร คนที่นั่งอยู่นั้นเห็นอะไรมั่ง เปล่านั่งดูเฉย ๆ เท่านั้นเอง
คนตายปกติไม่ทุรนทุราย นอนหลับตาหายใจเบาลง ๆ ก็ดับวูบไปจะเห็นใจได้อย่างไร ไม่ได้
เห็นใจแต่ว่าเห็นร่างกายของผู้ตายเท่านั้น แต่เราพูดกันอย่างนั้นอยู่ เพื่อได้เห็นใจกัน ความ
จริงไม่เห็นแล้วคนตายก็พูดไม่ได้ พูดไม่ออก เราพูดพรำ่าก็ไม่ได้ยิน เพราะเวลาไกล้ตายนั้นหู
อื้อตาลายมองอะไรไม่เห็น ฟังอะไรก็ไม่รู้ แต่ลูกหลานก็อุตส่าห์เข้าไปเป่าข้างหูมั่ง อะไรมั่ง
อยากจะแนะนำาว่า อย่าไปยุ่งอย่างนั้น คนจะตายนี่อย่าไปยุ่ง นั่งดูเฉย ๆ อย่ารบกวนบีบตรง
นั้นนวดตรงนี้ ทางที่ดีที่สุดเวลาเราไปเฝ้าคนไข้หนัก อย่าไปยุ่ง ให้หมอทำาเรื่องของหมอไป
หมอเขาให้หยูกให้ยาไปตามเรื่อง แต่คนถึงขั้นโคม่า เจ็บหนักใกล้จะหมดลมหายใจ เรานั่ง
เฉย ๆ อย่าไปร้องไห้ร้องห่มแสดงอาการให้มันวุ่นวาย นั่งเฉย ๆ เงียบ ๆ ให้นึกถึงว่าเออ..............
มนุษย์เราเกิดมาก็เท่านี้แหละ จะตายอยู่แล้ว อะไรๆ ก็เอาไปไม่ได้ นึกไปในรูปอย่างนั้นดี
กว่าอย่าไปรบกวนคนป่วยให้วุ่นวาย
บางคนไปกอดอกซบหัววุ่นวายไปหมดอย่าไปทำอย่างนั้น ให้นั่งเฉย ๆ ดูท่านไปเวลาท่าน.............................. เครียด
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22 มกราคม 2553 10:59:07 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #15 เมื่อ: 22 มกราคม 2553 10:36:20 »

http://www.wantup.com/view-399_panyanantha.jpg
แหล่งเกิดความทุกข์

สอนseo เรียนseo



(:DY:)หมดลมท่านก็วูบไปตาหลับ บางทีก็ไม่หลับ แต่ว่าลมหายใจไม่มี เงียบไปเอง
แล้วก็รู้ว่าหมดลมหายใจอันนี้จะดีกว่า อย่าไปเที่ยววุ่นวายกับท่าน คนแก่บางคนสั่งเลย บอกว่าเวลากูเจ็บ
หนักใกล้จะตาย อย่ามายุ่งนัก นั่งดูเฉย ๆ กูจะทำาจิตทำาใจอะไรของกูเองกูฟังเทศน์ฟังธรรม
มาเยอะแล้วไม่ต้องมาสอนกูตอนนั้นดอกเพราะท่านเคยเห็นว่าลูกหลานนี่มันวุ่นวายตอนนั้น
แล้วคนป่วยนั้นถึงไม่ถึงขั้นโคม่าก็อย่าไปยุ่งอย่าไปถามรบกวนแล้วคนแก่ก็เหมือนกัน เรื่องอะไร ๆ
จัดเสียก่อนที่มันจะเจ็บจะไข้รู้ว่าร่างกายของเรานี้ มันทรุดโทรมเต็มทีแล้ว มีอะไรก็จัดเสียให้เรียบร้อย
เขียนพินัยกรรมเสียเขียนเองก็ได้พินัยกรรม ไม่ต้องให้ใครเขียนให้บอกความจำานงไว้ตรงนั้นให้คนนั้น
ตรงนี้ให้คนนี้ก่อนที่จะหมดลมหายใจ จัดการเสียให้เรียบร้อย ไม่ต้องให้ลูกหลานต้องทะเลาะ
เบาะแว้งกันในภายหลัง ถ้าอย่างนี้มันก็ไม่วุ่นวาย เราทำาถูกตามหน้าที่ ความเจ็บไข้ได้ป่วยที่
เกิดขึ้น ก็จะไม่เป็นเหตุให้เราเป็นทุกข์มากเกินไปเพราะปัญหาอย่างนี้ อันนี้เป็นเรื่องของ
ความทุกข์ เพราะความพลัดพรากจากของรักของชอบถ้าเราเตรียมตัวไว้ก่อน
พิจารณาไว้ก่อนท่านสอนให้พิจารณาอย่างไรคือให้พิจารณาว่า........เรา
ต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นธรรมดา เรามีอะไรอยู่ก็ใช้ไปเถอะ แต่บอกตัวเอง
ว่าใช้ไม่เท่าใดดอกมันจะจากเราไป ไม่เท่าใดดอก เราจะต้องจากมันไปไม่มีอะไรจะอยู่กับ
เราตลอดไปบอกไว้อย่างนั้นเตรียมเนื้อเตรียมตัว บอกตัวเองไว้ล่วงหน้า พอมีเหตุการณ์
พลัดพรากเกิดขึ้น เราก็ร้องอ๋อ ! ได้ เออ ? กูว่าไว้นานแล้ว ว่ามันจะเป็นอย่างนั้น เราก็ไม่ต้อง
เป็นทุกข์มากเกินไป หลับ
คนเราเวลาเกิดไม่ได้เอาอะไรมาเวลาไปก็ไม่ได้เอาอะไรไปสิ่งทั้งหลายที่เราได้ใช้ได้กินอยู่
ในชีวิตประจำาวันนี้ ถือว่าเป็นของยืมมาทั้งนั้น ยืมมาชั่วคราว ยืมแล้วต้องส่งคืนเอาไปไม่ได้
พอเราจะไปก็ส่งคืนเขา ทรัพย์สมบัติก็ส่งคืนธรรมชาติ ร่างกายก็ส่งคืนธรรมชาติ ไม่มีอะไร
ที่เรียกว่าเป็นเนื้อแท้ เรานึกอย่างนั้น ใจก็ไม่ยึดมากเกินไป มีทรัพย์สมบัติก็ใช้ไปตามหน้าที่
บำารุงศาสนาบำารุงสาธารณกุศล อะไรพอจะช่วยได้ก็ช่วยไปตามเรื่อง ใช้สมบัติให้เป็น
ประโยชน์แก่ตัวแก่ท่านตามสมควรแก่ฐานะ พอถึงบทที่เราจะจากไป เราก็อย่าไปอาลัย
อาวรณ์ว่าเออ....................เสียดายสิ่งนั้น..........เสียดายสิ่งนี้ ไม่เข้าเรื่องเป็นทุกข์เปล่า ๆ  ช๊อค
ความพลัดพรากจากของชอบใจเป็นทุกข์ เพราะว่าเราไม่ได้พิจารณา แต่ถ้าเราได้พิจารณา
แก้ไขไว้ ความทุกข์ในเรื่องนั้นก็จะไม่เกิดมีขึ้น อันนี้เป็นการปฏิบัติชอบอันหนึ่ง
พูดมาวันนี้ก็สมควรแก่เวลาจึงขอจบไว้แต่เพียงเท่านี้................................................... รัก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22 มกราคม 2553 11:01:04 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #16 เมื่อ: 22 มกราคม 2553 10:40:16 »

http://www.wantup.com/view-399_panyanantha.jpg
แหล่งเกิดความทุกข์

สอนseo เรียนseo



(:LOVE:)ถอดข้อความออกมาจากเทปอีกที่หนึ่ง

วันศุกร์ที่ 22 มกราคม พุทธรักราช 2553

ต่อไปเป็นการเจริญสมาธิแผ่เมตตาขอให้นั่งอยู่ในอาการสงบเป็นเวลา 5 นาที่


แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์


สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น


อะเวรา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย


อัพะยาปัชฌา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย


อะนีฆา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กาย ทุกข์ใจเลย


สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ จงมีความสุขกาย สุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด ฯ



วัดชลประทานรังสฤษฎ์ ปากเกร็ด
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22 มกราคม 2553 11:00:14 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
แหล่งเกิดความทุกข์
ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
時々๛कभी कभी๛ 0 1657 กระทู้ล่าสุด 07 พฤษภาคม 2554 00:22:18
โดย 時々๛कभी कभी๛
แหล่งเกิดความทุกข์ : หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ
ธรรมะจากพระอาจารย์
เงาฝัน 5 3935 กระทู้ล่าสุด 01 กันยายน 2554 11:48:41
โดย 時々๛कभी कभी๛
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 1.161 วินาที กับ 30 คำสั่ง

Google visited last this page 27 กุมภาพันธ์ 2566 17:42:28