....มนุษย์มีความจำเป็นที่จะเลือกถิ่นที่จะสร้างหลักปักฐาน ในทำเลอันอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การดำรงชีพ
มีการสั่งสมภูมิปัญญา ศิลปวัฒนธรรม คติความเชื่อ ถ่ายทอดสู่ลูกหลานให้สืบต่อไปอีกหลายชั่วคน...
บ้านเรือน จึงเป็นจุดเริ่มต้นของอนาคต เป็นที่หลอมรวมความรักความอบอุ่นให้กับทุกสมาชิกในครัวเรือน
ในอดีต คนไทยนับช่วงเวลาที่ชีวิตใหม่สัมผัสกับพื้นฟากของเรือน เป็นเวลาถือกำเนิดของลูกหลาน ที่เราเรียกกันว่า “เวลาตกฟาก”เรือนเดี่ยว : เป็นเรือนเริ่มต้นสำหรับครอบครัวเล็กๆ
อาจเป็นเรือนเครื่องผูกหรือเรือนเครื่องสับ แล้วแต่ฐานะของครอบครัวจะเอื้ออำนวย
องค์ประกอบหลักในเรือนเดี่ยวประกอบด้วย เรือนนอนและเรือนครัว
การปลูกสร้างบ้านเรือน ตามคติความเชื่อของภาคกลาง • ฤกษ์ปราบดิน คือการหาผู้รู้หรือโหรตรวจดูที่ดิน หาฤกษ์ปราบดิน สำรวจที่ดินว่าจะเป็นโขด เป็นเนินปลวก มีหลักตอ มีขอนท่อนไม้ หรืออะไรที่แกะกะจมฝังดินอยู่บ้างหรือไม่ ถ้ามีก็จัดการถอนทิ้งและปราบดินให้เรียบ
• วิธีชิมรสดินและดมดิน ขุดหลุมลึกราวศอกเศษเอาใบตองปูไว้ใต้ก้นหลุม นำหญ้าคาสดและสะอาดทับไว้ข้างบนใบตองสักกองหนึ่ง ทิ้งไว้ค้างคืนจนไอดินเป็นเหื่อจับอยู่ที่หน้าใบตอง นำขึ้นมาแล้วชิมเหื่อที่จับบนใบตอง ถ้ามีรสหวานแสดงว่าที่นั้นมีคุณสมบัติปานกลาง พออยู่ได้ ถ้ามีรสจืดถือว่าดีเป็นมงคลอยู่เย็นเป็นสุข หากมีรสเค็มและรสเปรี้ยวไม่เป็นการดี ส่วนวิธีดมดิน ให้ขุดดินขึ้นมาดมดู ถ้ามีกลิ่นหอมดังดอกบัวหรือดอกสารภี แสดงว่าที่นั้นอุดมสมบูรณ์ดีนัก เรียกว่าที่พราหมณ์ ถ้ากลิ่นหอมดังดอกพิกุล เรียกว่าสัตภูมิดีเช่นกัน จะอยู่เย็นเป็นสุข ถ้ากลิ่นหอมเย็นหรือหอมดังดอกไม้อย่างอื่น ก็ถือเป็นพื้นที่ที่ดีเหมือนกัน ถ้ากลิ่นเผ็ดหรือกลิ่นเหม็นกลิ่นเค็มถือว่าเป็นทำเลที่ไม่ดี
• เสาเรือนและโฉลกเสาเรือน การเลือกเสาเรือน ข้อสำคัญอยู่ที่รู้จักเลือกเสาที่ดี มีความคงทน ไม่มีตำหนิเป็นตาไม้ในที่สำคัญ หรือมีรูที่ทำให้มดปลวกตัวแมงเจาะชอนไชเข้าไปได้
ลักษณะของเสาและตาเสาที่ดีสำหรับเลือกใช้เป็นเสาเรือนนั้น ให้เลือกเสาที่มีโคนต้นและข้างปลายใหญ่เสมอกัน ซึ่งได้ชื่อว่า "อุดมพฤกษ์" จัดเป็นไม้ที่ดีมาก หรือจะเลือกเสาที่โคนต้นใหญ่ข้างปลายเล็กซึ่งได้ชื่อว่า "ไม้ตัวเมีย" ก็ได้ เพราะจัดเป็นไม้ที่ดีตามตำราปลูกเรือนในคติโหราศาสตร์ ส่วนเสาที่ไม่ควรเลือกมาทำเสาเรือน คือ เสาที่มีตาเข้าลักษณะ เป็ดไซ้ ไก่ตอด สลักรอด หมูสี หรือเสาคดอย่างน่องช้าง คือเป็นเสาที่มีตาอยู่ในตำแหน่งที่เป็ดมาไซ้ ไก่มาตอด หมูเอาสีข้างมาสีกับเสาเรือน เหล่านี้จะทำให้เสาเรือนสึกหรอ แมลงและปลวกสามารถชอนไชเข้าทำรังได้
เสาสำหรับปลูกเรือนมักใช้ไม้เต็ง รัง เพราะมีขนาดทำเสาเรือนได้เหมาะ เนื้อไม้แข็งแกร่งคงทนฝังอยู่ใต้ดินได้ไม่ผุ หากเป็นถิ่นที่หาไม้เต็งไม้รังได้ยากเช่นในภาคเหนือ จะใช้ไม้สักแทน ไม้บางชนิดไม่นิยมใช้ทำเสาเรือน อาทิ ไม้ซาก ไม้กะเบา ไม้พยอม คำว่า ซาก บก (แห้ง) เบา ยอม ถือว่าชื่อไม่เป็นมงคล ไม้ตะเคียนก็ห้ามไม่ให้ใช้ เพราะมีน้ำมันมาก ถ้าใช้เป็นเสามักตกมัน ถือกันว่าเป็นอัปมงคล เสาเรือนจัดไว้เป็น ๕ ชนิด คือ เสาดั้ง เสาเอก เสาโท เสาตรี และเสาพล หรือ เสาสามัญ เสาเอกคือเสาต้นที่ดีงามกว่าเพื่อน รองลงมาเป็นเสาโท เสาตรี นอกนั้นถือเป็นเสาสามัญ ทุกเสาต้องมีขนาดและความสูงพอกันทุกเสา ก่อนจะเจาะสลักรูรอดเสา ให้ทำการวัดโฉลก คำโฉลกมี ชยกํ ปริคตํ นวทํ กล่าว คาถาจนกว่าจะถึงตรงที่หมายเอาไว้ ว่าจะตกโฉลกโชคชัยอย่างไร จึงจะได้สัดส่วนที่เป็นมงคล
• การขุดหลุม ก่อนปลูกเรือนโหรจะตรวจดูพื้นดินว่าเดือนใดนาคหันหัวและหลังไปทิศใด แล้วจึงขุดหลุมที่ตำแหน่งท้องนาค โดยคนขุดหลุมต้องหมุนหน้าเข้าหาท้องนาคเสมอ เมื่อจะขุดหลุมเสาแรกต้องทำเครื่องบัดพลีบูชาพญานาคเสียก่อน ใช้ไม้ราชพฤกษ์และไม้อินทนิลทำด้ามเสียม สำหรับผู้ขุดให้หาคนชื่ออินท พรหม ชัย แก้ว ทำหน้าที่ขุดหลุมให้ครบตามจำนวนที่ประมาณไว้
• ทำบัดพลี ก่อนเริ่มทำขวัญเสาและยกเสาสงหลุมต้องทำบัดพลี คือ ปลูกศาลเพียงตาไหว้พระภูมิเจ้าที่เพื่อขอที่ดินต่อผู้รักษาผืนดินก่อน เครื่องบัดพลีที่ใช้มี หมาก พลู มะพร้าวอ่อน ขนมต้มแดง ต้มขาว กล้วยน้ำว้า ไข่ต้ม หมู ฯลฯ ให้วางเครื่องบัดพลีบริเวณหลุมเสาของห้องนอน มีการเจิมหัวเสา ลงยันต์ตรีนิสิงเห มีต้นอ้อย หน่อกล้วยน้ำว้า ผูกติดกับติดกับเสาเอก
• ทำขวัญเสา เมื่อขุดหลุมเสาเสร็จ รุ่งขึ้นเป็นฤกษ์ทำขวัญเสาและยกเสาลงหลุม โดยเริ่มงานแต่เช้าตรู่ หลังทำบัดพลีแก่เจ้าที่เจ้าทางและสังเวยผีนางไม้ซึ่งเกี่ยวข้องกับเสาเสร็จแล้ว จึงทำขวัญเสาซึ่งมี บายศรีเช่นเดียวกับพิธีทำขวัญอื่นๆ โดยกล่าวบทเชิญขวัญไปตลอด และจบลงที่กล่าวให้พรแก่ผู้เป็นเจ้าของเรือนพิธีทำขวัญอาจมีปี่พาทย์ประโคมและนิมนต์พระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์บทชัยมงคล
• ยกเสาเรือน เสาแรกที่ต้องยกเป็นเสาเอก ให้ปักเสาเอกเป็นฤกษ์ทางทิศตะวันออก หรือทิศอื่น ที่โหรกำหนดเป็นทิศฤกษ์ ห้ามปักในทิศตะวันตก ลำดับต่อไปปักเสาโทในทิศตรงข้ามกับเสาเอก แล้วปักเสาตรีเวียนไปทางขวา และปักเสาอื่นๆ ในทำนองเดียวกันจนครบจำนวน การปักเสาต้องให้ปลายเสาหันไปในทิศที่โหรตรวจดูให้เป็นมงคล ๑.
หน้าจั่วรูปพระอาทิตย์ : นิยมใช้กับเรือนจั่วเรือนครัวไฟ เป็นลูกเล่นของช่างฝีมือโบราณ ช่องระบายอากาศเป็นรูปรัศมีมีพระอาทิตย์ เพื่อถ่ายเทควันไฟ เอกลักษณ์เฉพาะเรือนครัวนี้เกิดขึ้นเพื่อสนองความจำเป็นและลักษณะเฉพาะของการปลูกสร้างเพื่อระบายอากาศ ในขณะเดียวกันก็ไม่ละทิ้งเรื่องของความประณีต
๒.
หลังคา : กันแดดกันฝนให้กับตัวเรือน ใช้วัสดุได้หลายอย่าง เช่น กระเบื้อง จาก แฝก หญ้าคา ซึ่งหากใช้กระเบื้องจะดูดซับความร้อนไว้มากกว่าวัสดุธรรมชาติ หลังคามุงหญ้าหรือเป็นไม้ที่รื้อมาจากเรือนเก่า
๓.
เสาเรือน : เมื่อเลือกเสาได้ หากยังไม่มีโอกาสปลูกเรือนในเร็ววัน ให้นำเสาไม้หรือไม้สำหรับทำเครื่องเรือนนั้นแช่หมกเลนไว้ เพราะหากปล่อยทิ้งไว้บนบก เสาจะแตกร้าวเป็น “ไรวา” คือแตกเป็นริ้วเป็นเสี้ยนหรือผุเกิดเป็นราเป็นเห็ด เสาที่จะเลือกมาทำเป็นเสาเรือนต้องเป็นเสาที่มีลักษณะดี เช่น โคนต้นและปลายใหญ่เสมอกัน
๔.
ฝาโปร่งลม : เพื่อการระบายอากาศในเรือนครัว ฝาเรือนใช้ไม้ไผ่ขัดแตะ เข้ากรอบไม้จริง เป็นฝาแปโปร่งลม พื้นก็เช่นเดียวกัน ทั้งนี้เพื่อให้ลมพัดจากใต้ถุนผ่านพื้นได้อย่างสะดวก
เรือนหมู่ เป็นการขยายเรือนนอน ทำได้ ๓ ลักษณะ
• ปลูกเรือนเรียงตามยาวต่อจากเรือนนอนของพ่อแม่ หรือเรือนนอนที่อยู่ตรงข้ามกับเรือนพ่อแม่
• จัดวางตัวเรือนแบบกลุ่ม มีชานเชื่อมกลางระหว่างเรือนแต่ละหลังไม่มีหลังคา
• ปลูกเรือนขึ้นใหม่ในบริเวณใกล้กัน แยกเป็นหลังๆ ไม่มีชานเชื่อม ๑.
เรือนฝาปะกน เรือนไทยฝาปะกน คือเรือนไทยที่ฝาทำจากไม้สัก
มีไม้ลูกตั้งและลูกนอนและมีแผ่นไม้เข้าสันประกอบกันสนิท
ฝาปะกนถือเป็นเอกลักษณ์ของเรือนไทยภาคกลาง
๒.
เสาล้มสอบ เรือนไทยมีรูปทรงล้มสอบทั้งด้านสกัดและด้านยาว
เพื่อความมั่นคงแข็งแรง เนื่องจากสามารถรับแรงลมได้ดีกว่าเสาแบบตั้งฉาก
น้ำหนักของฝาที่ใช้ตะปูยึดตรึงกับเสาที่ล้มสอบ ยังช่วยกดโครงสร้างให้ยึด
กันแน่นขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย
๓.
ศาลพระภูมิ ความเชื่อที่แนบแน่นกับชีวิตคนไทย นิยมตั้งศาลพระภูมิ
ไว้สักการบูชา เพื่อป้องกัน เพื่อขวัญและประเพณีเพื่อความอยู่เย็นเป็นสุข
และเป็นสิริมงคลแก่ผู้อยู่อาศัย
๔.
ใต้ถุนสูง เรือนไทยยกพื้นใต้ถุนสูง ป้องกันน้ำท่วมหน้าน้ำหลาก
และยังใช้ประโยชน์ในการเก็บเครื่องมือ เครื่องใช้ต่างๆ นอกจากนี้ยังเป็น
ที่พักผ่อน หรือเป็นสถานที่สร้างงานหัตถกรรมในครัวเรือ
เรือนหมู่คหบดี เรือนหมู่คหบดี : เป็นเรือนขนาดใหญ่มีจำนวนหลายหลัง หากเป็นบ้านเศรษฐีคหบดี มักจะปลูกแบบหันหน้าชนกัน ๔ ด้าน เป็นรูปสี่เหลี่ยมล้อมวง มีชานอยู่ตรงกลาง เรียกว่าชานแล่น มีหอกลางเป็นหอโถง สำหรับเป็นที่ชุมนุมของครอบครัว หากเป็นเรือนขุนนาง หอกลางนี้จะสร้างให้มีขนาดใหญ่ใช้เป็นที่ว่าราชการ ตัวเรือนหอกลางจะยกพื้น บางทีมีชายคาปีกนกยื่นออกมาเพื่อให้เป็นพื้นที่กว้างขวางยิ่งขึ้น หมู่เรือนในเรือนคหบดีนี้มักจะประกอบด้วย เรือนประธาน เป็นเรือนนอนที่มีขนาดใหญ่มาก เรือนลูกที่มีขนาดย่อมลงมา เรือนขวางที่ใช้เป็นหอกลางหรือหอนั่ง เรือนครัว หอนก และชาน ๑.
หอนก สร้างขึ้นเพื่อใช้แขวนกรงนกเขา งานอดิเรกของคหบดี ที่มักจะเลี้ยงนก ปลากัด หรือเลี้ยงต้นไม้ไว้บนชานเรือนเป็นเครื่องเล่น โดยเฉพาะการเลี้ยงนกเขาเป็นงานอดิเรกที่นิยมในหมู่คหบดีทั้งหลาย ลักษณะหอนกเป็นเรือนโล่ง ไม่ตีฝา มีขนาด ๒ ช่วงเสา อยู่ด้านข้างกับหอนั่ง (เรือนขวาสุด)
๒.
พาไล เรือนไทยที่มีด้านหน้าต่อเป็นชายคายื่นออกมา คือระเบียง ถ้าทำหลังคาคลุมระเบียงมีหน้าจั่วแต่ลดขนาดย่อมลงมา เรียกว่าเรือนพาไล ใช้เป็นที่รับแขกนั่งเล่น
๓.
ชาน เป็นส่วนเชื่อมเรือนทุกหลัง มีขนาดกว้างมาก เปิดโล่งไม่มีหลังคา เป็นส่วนที่สัมผัสกับธรรมชาติได้มากที่สุด รับทั้งแสงแดดและลมในเวลาเดียวกัน พื้นชานยังสามารถใช้เป็นที่เลี้ยงบัว เลี้ยงไม่ดัด เลี้ยงบอน สำหรับงานอดิเรกเลี้ยงต้นไม้ หากน้ำท่วม พื้นที่นอกชานยังเป็นสถานที่ที่ปลูกทั้งสวนครัวและไม้ประดับ
๔.
หอนั่งหรือหอกลาง เป็นเรือนขวางกับเรือนนอนใช้เป็นหอนั่งหรือหอกลาง นิยมให้อยู่ด้านหน้าของบ้านใช้เป็นที่สำหรับพักผ่อน รับแขกและรับประทานอาหาร ไม่จำกัดว่าจะต้องปลูกอยู่กลางชาน ลักษณะเรือนโปร่ง ๓ ช่วงเสา นอกจากนี้ยังเป็นที่สำหรับทำบุญเลี้ยงพระในเวลาที่บ้านมีงานได้ด้วย ถ้าเป็นกุฏิพระ หอนั่งนี้ก็เป็นหอฉัน หอสวดมนต์
เรือนแพ เรือนแพ คนไทยที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา
มักนิยมสร้างบ้านอยู่บนแพ ใช้ทั้งพักอาศัยและค้าขาย
เรือนแพแยกได้เป็นสองส่วน คือ ส่วนตัวเรือนและส่วนแพที่เป็นทุ่นลอยน้ำ
แพเป็นส่วนสำคัญที่รับน้ำหนักของเรือน ส่วนใหญ่จะใช้แพไม้ไผ่
ต่อมาวิวัฒนาการใช้เรือเหล็กหนุน ลักษณะและโครงสร้างของเรือนแพ
คล้ายกับเรือนไทย ฝามีหลายแบบ เป็นฝากระแชงอ่อนหรือฝาขัดแตะ
ซึ่งมีน้ำหนักเบาสามารถเปิดบานกระทุ้งได้ ๑.
เรือสำปั้น เรือข้าว หรือค้าขาย : แม่น้ำเป็นศูนย์กลางของสังคมอีกแห่งหนึ่ง ในอดีตเป็นเส้นทางคมนาคม สายน้ำคือชีวิตของคนไทย ในสมัยก่อนชาวไทยบางส่วนยังคงเกิดและอาศัยอยู่ในเรือ ซึ่งสัญจรขนส่งสินค้า ล่องไปตามหัวเมืองใหญ่ต่างๆ
๒.
ฝาถัง : ใช้ไม้กระดานเป็นแผ่นหน้ากว้างตั้งขึ้นเป็นฝา แต่ทำเป็นลิ้นเข้าไม้สนิทเป็นแผ่นเดียวกัน พบได้ในเรือนแพส่วนใหญ่ เพื่อป้องกันไม่ให้ขโมยที่อาจพายเรือเข้ามาเทียบแพงัดฝาได้ง่าย
๓.
ลูกบวบไม้ไผ่ : เป็นไม้ไผ่ที่มัดรวมกันเป็นฟ่อนๆ ถ้าเป็นลูกบวบขนาดเล็ก ฟ่อนหนึ่งจะมี ๔๐-๕๐ ลำ หากเป็นลูกบวบขนาดใหญ่จะมีประมาณ ๖๐-๑๐๐ ลำ ลูกบวบทำหน้าที่เป็นทุ่นให้แพลอยได้เหมือนเรือโป๊ะ แต่ราคาถูกกว่ามาก ในขณะเดียวกันก็มีอายุการใช้งานไม่ยาวนัก
การปลูกสร้างบ้านเรือน ตามคติความเชื่อของภาคใต้ คนไทยรู้จักใช้ภูมิปัญญาสร้างบ้านเรือนให้ยืดหยุ่น สอดรับ และสู้ภัยธรรมชาติได้อย่างดี
ส่วนรูปแบบของที่พักอาศัยนั้น ก็ขึ้นอยู่กับวิถีการดำเนินชีวิต อาชีพ และสภาพแวดล้อม
ดังนั้น บ้านเรือนจึงไม่เป็นแค่เพียงสิ่งปลูกสร้าง แต่ยังเป็นที่ปลูกชีวิต ความคิด จิตใจ
หล่อหลอมความเป็นไทย ให้สืบทอดมั่นคงยืนยาวตราบนานเท่านาน...
เรือนหลังคาจั่ว : หลังคามุงด้วยกระเบื้องแผ่นสี่เหลี่ยม
เชิงชายและช่องลมใต้เพดานเป็นไม้ฉลุอย่างสวยงาม ในเรือนของผู้มีฐานะดี
ตัวเรือนใต้ถุนยกสูง มีระเบียงและนอกชานลดหลั่นกัน
เรือนเครื่องผูกหลังคาเป็นจั่วตรง พบมากในหมู่ชาวประมง ชาวนา
หลังคาใช้ใช้แฝก จาก ฟาก ตัวเรือนยกขึ้นพอคนลอดได้ เรือนที่พบเห็นทั่วไปในภาคใต้แบ่งออกเป็นเรือนเครื่องผูก เรือนเครื่องสับ และเรือนก่ออิฐฉาบปูน โดยเอกลักษณ์ของเรือนภาคใต้อยู่ที่หลังคาเรือนและเสาเรือนจะเป็นเสาไม้ตั้งบนฐานคอนกรีต เพราะสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติเกิดพายุไต้ฝุ่น พายุฝน ลมแรงเสมอ จำเป็นต้องมีโครงสร้างที่แข็งแรง และด้วยเหตุที่จังหวัดปัตตานี เป็นจังหวัดที่ผลิตกระเบื้องในสมัยก่อน ฉะนั้น เรือนในภาคใต้ส่วนใหญ่จึงมักมุงหลังคาด้วยกระเบื้อง แต่ก็พบเรือนหลังคาผูกที่ใช้วัสดุธรรมชาติมุงหลังคาด้วยแฝก จาก ฟาก เช่นกัน
หลังคาเรือนภาคใต้มี ๓ ลักษณะ คือ หลังคาจั่ว หลังคาปั้นหยา หลังคามนิลาหรือหลังคาบรานอร์ ที่พบมากจะเป็นบ้านที่มีหลังคาแบบมิลาหรือบรานอร์ และเพิ่มเติมลายไม้กลมฉลุไม้ที่ส่วนยอดซึ่งพบมากในชุมชนชาวไทยมุสลิม หลังคาทั้ง ๔ แบบมีอยู่ทั่วไป แต่สัดส่วนของหลังคาจะมีทรงสูงต่ำอย่างไรขึ้นอยู่กับช่างก่อสร้างและวัสดุมุงหลังคาในท้องถิ่นนั้น เช่นถ้าใช้กระเบื้องดินเผา หรือ กระเบื้องขนมเปียกปูน หรือ มุงแฝกจาก ความลาดชันของหลังคาจะไม่เท่ากันเรือนหลังคาจั่วในชุมชนที่ประกอบอาชีพกสิกรรมและประมง จะปลูกสร้างเรือนหลังคาทรงจั่ว ไม่มีการตกแต่งหน้าจั่ว วัสดุมุงหลังคาส่วนใหญ่ใช้จาก แต่บางเรือนที่มีฐานะดีจะมุงกระเบื้องเพื่อความมั่นคงแข็งแรง ความลาดชันของหลังคาขึ้นอยู่กับวัสดุมุงหลังคาในท้องถิ่นนั้นว่าจะใช้กระเบื้องดินเผา หรือกระเบื้องขนมเปียกปูนหรือมุงแฝก จาก เรือนเครื่องผูกหลังคาทรงจั่วปลูกสร้างง่ายด้วยตนเอง โยกย้ายได้ง่าย วัสดุหาง่าย เรือนในภาคใต้ไม่มีรั้วบ้าน ไม้ที่นิยมใช้ในการก่อสร้างเป็นหลัก คือ ไม้เคี่ยมไม้หลุมพอ ใช้เป็นเสา เป็นรอด ส่วนไม้หลาว ไม้ค้อ ไม้ชะโอน ใช้ทำโครงสร้างทั่วไป ส่วนเรือนเครื่องสับสำหรับผู้มีฐานะดี หลังคาจั่วเป็นรูปตรง ทรงไม่สูง ตกแต่งหน้าจั่ว ยอดจั่วมุงด้วยกระเบื้องแผ่นเหลี่ยม เชิงชายและช่องลมใต้เพดานแต่งด้วยไม้ฉลุสวยงาม ตัวเรือนใต้ถุนยกสูง มีระเบียงและนอกชานลดหลั่นกันเรือนหลังคาปั้นหยามีความแข็งแรงของโครงสร้างหลังคาเป็นพิเศษ หลังคาตรงหัวท้ายเป็นรูปลาดเอียงแบบตัดเหลี่ยม หลังคามุงกระเบื้องแผ่นสี่เหลี่ยมตรงรอยตัดเหลี่ยมหลังคาครอบด้วยกันน้ำฝนรั่ว หลังคาแบบนี้มีโครงหลังคาแข็งแรงมากสามารถทนรับฝนและต้านแรงลม หรือพายุไต้ฝุ่นได้ดีมาก ส่วนใหญ่อยู่ทางจังหวัดสงขลาเรือนหลังคามนิลาหรือแบบบรานอร์เป็นการผสมผสานหลังคาจั่วผสมกับหลังคาปั้นหยา คือส่วนหน้าจั่วค่อนข้างเตี้ย จะเป็นจั่วส่วนบน ส่วนล่างของจั่วจะเป็นหลังคาลาดเอียงลงมารับกับหลังคาด้านยาวซึ่งลาดเอียงตลอด เป็นเรือนไม้ใต้ถุนสูง เรือนแบบนี้ส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดปัตตานีลักษณะทั่วไปของเรือนไทยในภาคใต้เรือนส่วนใหญ่จะวางเสาไว้บนตอม่อตีนเสา ซึ่งจะก่ออิฐฉาบปูน เมื่อต้องการจะทำการย้ายบ้านก็จะปลดกระเบื้องลงตีไม้ยึดโครงสร้างเสาเป็นรูปกากบาท แล้วใช้คนหามย้ายไปตั้งในที่ที่ต้องการ นำกระเบื้องขึ้นมุงใหม่ ก็สามารถเข้าอยู่ได้ทันที
เรือนไทยในภาคใต้ส่วนใหญ่จะใช้ไม้ในการก่อสร้าง รูปทรงของเรือนเป็นเรือนไม้ใต้ถุนสูงประมาณคนก้มตัวลอดผ่านได้ เสาทุกต้นไม่ฝังลงดิน แต่จะตั้งอยู่บนแผ่นปูนหรือแผ่นหินเรียบๆ ที่ฝังอยู่ในดินให้โผล่ขึ้นมาจากพื้นดินไม่เกิน ๑ ฟุต เพื่อกันมิให้ปลวกกัดตีนเสาและกันเสาผุจากความชื้นของดิน ตีนเสาตอนล่างห่างจากพื้นดินประมาณ ๑-๒ ฟุตจะมีไม้ร้อยทะลุเสาทุกต้นตามความยาวของเรือนทั้ง ๓ แถว เพื่อทำหน้าที่ยึดให้โครงสร้างของเรือนแข็งแรงมากขึ้น
ตัวเรือนกั้นฝาด้วยแผ่นกระดานตีเกล็ดตามแนวนอน กั้นห้องสำหรับเป็นห้องนอน ๑ ห้อง อีกห้องหนึ่งปล่อยโล่ง ด้านหน้าบ้านมีระเบียงด้านข้าง เรือนเครื่องสับในภาคใต้จะทำช่องหน้าต่างแคบๆ ในบางแห่งไม่ทำเลยก็มี เพราะเกรงฝนสาด เนื่องจากฝนตกชุกและมีลมแรงจัด หลังคาทำทรงจั่วถากจันทันให้แอ่นแบบเดียวกับเรือนไทยภาคกลางแต่ทรวดทรงเตี้ยกว่าเล็กน้อย ติดแผ่นปั้นลมแบบหางปลา ไม่นิยมทำตัวเหงา
ในการปลูกเรือนของคนภาคใต้ เชื่อถือโชคลางเช่นกัน เช่น ห้ามปลูกเรือนบนจอมปลวก ห้ามปลูกบ้านคร่อมตอไม้ ห้ามสร้างบ้านบนทางสัญจร
• การเลือกที่ดินที่เป็นมงคล ให้ดูสีพื้นดินที่เป็นสีอ่อน หรือดินสีแดง สีเหลือง กลิ่นหอมรสฝาด พื้นเทลาดจากทิศใต้ลงสู่ทิศเหนือจะทำให้ผู้อยู่อาศัยเจริญด้วยลาภยศบริวาร อีกประเภทคือ พื้นที่สูงทางทิศตะวันตก แล้วค่อยลาดเอียงไปทางทิศตะวันออก ดินสะอาด หรือมีสีขาว สีเหลือง สีแดง ไม่มีรส ไม่มีกลิ่น ซึ่งจะทำให้ผู้อยู่อาศัยมีความสุขปราศจากโรคภัย ส่วนประเภทที่สามได้แก่พื้นภูมิบ้านที่มีลักษณะราบเรียบเสมอ ดินสะอาดและปราศจากกลิ่นรส เป็นทำเลที่ไม่ให้คุณและโทษ ใช้เป็นที่อยู่อาศัยได้
ส่วนข้อห้าม ได้แก่ ห้ามปลูกบ้านตรงพื้นที่เฉอะแฉะ สกปรก ดินเลนสีดำ ดินมีหลากสี มีกลิ่นไม่บริสุทธิ์ห้ามปลูกบ้านเดือน ๔ ให้ปลูกบ้านเดือน ๑๐ การทำบันไดบ้านต้องหันไปทางทิศเหนือหรือทิศตะวันออกจำนวนบันไดต้องเป็นเลขคี่ ห้ามปลูกเรือนคร่อมคู คลองหรือแอ่งน้ำ เป็นต้น
• การคัดเลือกเสาเรือน ภาคใต้ให้ความสำคัญกับเสาเรือนซึ่งเป็นโครงสร้างรากฐานสำคัญ เช่นเดียวกับภาคกลางและภาคเหนือ กล่าวคือ เสาเอก ต้องไม่มีตำหนิ มีตา ไม่ตกน้ำมัน นำมาตกแต่งด้วยผ้าแดง หรือด้ายดิบสามสี (แดง เหลือง ขาว) คาดติดไว้กึ่งกลางเสาพร้อมด้วยกล้ามะพร้าวและต้นอ้อย บางท้องถิ่นใช้รวงข้าว ขวดน้ำ กล้ามะพร้าว หน่อกล้วยผูกติดกับเสา
• ข้อห้ามและคติอื่น ๆ การปลูกเรือนแต่ก่อนมีคติถือกันว่า ถ้าปลูกเรือน " ขวางตะวัน " คือ หันข้างเรือนไปทางทิศตะวันออกหรือตกไม่ดี คนอยู่จะไม่มีสุข มักเป็นเหตุให้เสียตา เพราะไปขวางหน้าตะวัน ถ้าจะปลูกเรือนให้ปลูก " ตามตะวัน" คือ หันข้างเรือนไปทางทิศเหนือหรือทิศใต้ จึงจะเป็นมงคล อยู่เย็นเป็นสุขสบายดี ถ้าเนื้อที่บ้านคับแคบ ปลูกเรือนให้หันข้างเรือนไปตามดวงตะวันไม่ได้ ก็ต้องหาทางปลูกให้เฉียงตะวัน คือ อย่าหันข้างเรือนตรงกับตะวันนักก็ใช้ได้เช่นกัน คตินี้ถือปฏิบัติกันในภาคกลางและใต้ ส่วนภาคเหนือ จะวางเรือนขวางตะวันแตกต่างจากภาคอื่นๆ
จำนวนบันไดของเรือนในทุกภาค ไม่นิยมทำเป็นเลขคู่ มักทำลูกขั้นบันไดเป็นเลขคี่ คือ ๑-๓-๕-๗-๙ เป็นต้น๑.
เรือนเครื่องผูกหลังคาจั่ว : หลังคาทั้งชายคากว้างกว่าเรือนไทยในภาคอื่นๆ เพราะภาคใต้ฝนชุก ลมพายุแรง โครงสร้างหลังคาต้องแข็งแรง
๒.
หน้าจั่ว : บางบ้านตกแต่งหน้าจั่วเป็นรูปรัศมีพระอาทิตย์ โดยใช้ไม้กระดานตีซ้อนทับมองเห็นเป็นรัศมี
๓.
ช่องระบายอากาศ : เพราะภูมิอากาศที่มีฝนตกชุกจึงไม่นิยมเจาะช่องหน้าต่างของเรือน แต่จะใช้ช่องระบายอากาศส่วนบนสุดใต้หลังคาตีไม้ห่างๆ หรือฉลุไม้ให้เป็นลวดลายต่างๆ แทน