เยติเยติ หรือ มนุษย์หิมะ Yeti, Abominable Snowman เป็นชื่อที่ใช้เรียกสัตว์ประหลาดชนิดหนึ่ง ในความเชื่อของชาวเชอร์ปา ชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่แถบเทือกเขาหิมาลัย ในประเทศเนปาลและธิเบต โดยเชื่อว่าเยติ เป็นสัตว์ขนาดใหญ่ที่คล้ายมนุษย์ผสมกับลิงไม่มีหางคล้าย กอริลลา มีขนยาวสีน้ำตาลแดงหรือน้ำตาลดำปกคลุมทั้งลำตัว โดยปรกติแล้ว เยติเป็นสัตว์ที่มีนิสัยสงบเสงี่ยม แต่อาจดุร้ายโจมตีใส่มนุษย์และสัตว์เลี้ยงได้ในบางครั้ง เยติปรากฏอยู่ในวัฒนธรรมของชาวเชอร์ปามาอย่างช้านาน โดยถูกกล่าวถึงในนิทานและเพลงพื้นบ้านและเรื่องเล่าขานต่อกันมาถึงผู้ที่เคยพบมัน นอกจากนี้แล้วยังปรากฏในศิลปะของพุทธศาสนานิกายมหายานแบบธิเบต โดยปรากฏเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังในวัดลามะอายุกว่า 300 ปี และปัจจุบันนี้ ก็มีสิ่งที่เชื่อว่าเป็นหนังศีรษะของเยติถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีในวัดลามะแห่งหนึ่งในคุมจุง ซึ่งนับว่าเยติเป็นสัตว์ที่ถูกกล่าวอ้างถึงยาวนานกว่าสัตว์ประหลาดที่มีลักษณะคล้ายกันชนิดอื่นที่พบในอีกซีกโลก เช่น บิ๊กฟุต หรือ ซาสควอทช์
นอกจากคำว่าเยติแล้ว ยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ ที่เรียกเยติ เช่น เธลม่า (Thelma), แปลว่า "ชายตัวเล็ก" เชื่อว่ามีนิสัยรักสงบ ชอบสะสมกิ่งไม้และชอบร้องเพลงขณะที่เดินไป, ดซูท์เทห์ (Dzuteh) เป็นเยติขนาดใหญ่ มีขนหยาบกร้านรุงรัง มีนิสัยดุร้ายชอบโจมตีใส่มนุษย์, มิห์เทห์ (Mith-teh) มีนิสัยคล้ายดซูท์เทห์ คือ ดุร้าย มีขนสีน้ำตาลแดงหรือน้ำตาลดำ, เมียกา (Mirka) แปลว่า "คนป่า" เชื่อว่าหากมันพบเห็นสิ่งใดไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์มันจะทำร้ายจนถึงแก่ความตาย, คัง แอดมี (Kang Admi) แปลว่า "มนุษย์หิมะ" และ โจบราน (JoBran) แปลว่า "ตัวกินคน" เป็นต้น ซึ่งเรื่องราวของเยติที่โจมตีใส่มนุษย์นั้น ได้ถูกทำเป็นรายงานส่งไปยังเมืองกาฐมาณฑุ เมืองหลวงของเนปาล ซึ่งปากคำของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อถูกบันทึกโดยอาสาสมัครชาวอเมริกันที่ทำงานในเนปาล โดยผู้ถูกทำร้ายเป็น เด็กหญิงชาวเชอร์ปาคนหนึ่ง โดยเธอบอกว่าขณะกำลังนำจามรีไปดื่มน้ำที่ลำธาร เยติตัวหนึ่งก็โผล่มาทำร้ายเธอ แต่เธอกรีดร้องลั่น จนมันปล่อยเธอ และหันไปทำร้ายจามรีของเธอจนมันถึงแก่ความตายด้วยการบิดเขาและหักคอ
เรื่องราวเยติเป็นที่สนใจของชาวตะวันตก เมื่อชาวตะวันตกได้เข้ามาบุกเบิกและยึดครองดินแดนแถบนี้ ได้มีการตามล่าและค้นคว้าเกี่ยวกับเยติ ซึ่งก็ได้พบกับหลักฐานการมีอยู่ของเยติมากมาย ทั้ง รอยเท้า ขนและมูล และแม้กระทั่งประจักษ์พยานที่เคยได้พบเห็น ซึ่งโดยมากเป็นนักปีนเขา ซึ่งหลักฐานส่วนใหญ่ได้ถูกบันทึกไว้เป็นรูปถ่าย โดยรูปถ่ายของรอยเท้าเยติรูปแรกเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1921 โดยถ่ายไว้ได้ในระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล 5,029 เมตร
เฟนเรอ (Fenrir)เป็นแนวความเชื่อของชนเผ่าสแกนดิเนเวียนโบราณ Fenrir หรือ Fenris เป็นอสูรร้ายขนาดมหึมาในร่างของสุนัขป่า เป็นลูกคนโตของโลกิ(Loki)และนางยักษ์ Angrboda มีพี่น้องอีก 2 หน่อคือ พญางูพิษJormungand กับยักษ์สาว Hella (....พี่น้องคนละสปีชี่ย์กันดีจัง) เหล่าเทพได้ทรงพยากรณ์ว่าเจ้าหมาป่านี่ สักวันจะก่อเกิดกลียุคและทำลายล้างโลก เหล่าเทพจึงได้จับ Fenrir ไปขังไว้ในคุก มีเพียงเทพแห่งสงคราม Tyr ที่กล้าเข้าไปให้อาหารและคอยดูแลFenrirเท่านั้น
เมื่อFenrirยังเป็นเพียงลูกหมา เหล่าเทพก็ไม่เห็นว่าเจ้าตูบนี่มันจะน่ากลัวน่าเกรงข ามตรงไหน แต่พอวันคืนผ่านไปมันเติบโตจนเต็มวัย ก็พากันตัดสินใจปราบเจ้าFenrirซะดีกว่า เพราะมันตัวโตเบ้อเร่อเท่อ หน้าตาก็เอาเรื่องชะมัด แต่ก็ไม่มีองค์ไหนกล้าเข้าไปเผชิญหน้ากับหมาป่ายักษ์ โต้งๆ เหล่าเทพจึงออกอุบายเล่นเกมส์ท้ากับFenrir ว่าพวกหมาป่าน่ะ ร้อยทั้งร้อยจะอ่อนแอต่อโซ่และไม่สามารถทำลายเมื่อถูกตรวนได้หรอก แบบนี้มันหยันศักดิ์ศรีแห่งความเป็นหมาป่ากันชัดๆ Fenrirรับคำท้า ยอมปล่อยให้มาล่ามตรวนเขา แต่โชคร้ายคราวซวยของเหล่าเทพ Fenrirนั้นมีเรี่ยวแรงมหาศาลเหลือคณานัป แม้ว่าจะเอาโซ่ตรวนที่แข็งแรงที่สุดมาถักทอราวใยแมงมุมขึงล่ามเขาไว ้ Fenrirก็สามารถกระชากขาดได้หมด หลังจากนั้น เหล่าเทพก็มองหาทางเลือกสุดท้ายที่เหลืออยู่ โซ่มนตรา จึงสั่งให้พวกคนแคระทำสิ่งที่แข็งแรงมากพอจะตรวนเจ้าหมาป่านั่น ได้ ผลที่ได้ออกมาคือ ริบบิ้นที่อ่อนนุ่มและเรียบบางชื่อGleipnir ซึ่งมีความแข็งแรงทนทานอย่าง ไม่น่าเชื่อ ตรงข้ามกับลักษณะภายนอกที่เห็นกันราวฟ้ากับเหว ริบบิ้นถูกประดิษฐ์ขึ้นมาจากธาตุประหลาด 6 อย่าง : รอยเท้าแมว , รากภูเขา , เคราผู้หญิง , ลมหายใจปลา , เอ็นหมี , เสมหะนก
เหล่าเทพพยายามออกอุบายเล่นเกมส์กับ Fenrir อีกครั้ง พอ Fenrir เหล่มองความบางของโซ่ก็กล่าวว่าให้ทำลายโซ่บอบบางอย่างนี้มันไม่น่าภูมิใจอะไรสักนิด แต่ในท้ายสุดเขาก็ตอบตกลง แต่ก็อดระแวงไม่ได้ว่า พวกเทพวางแผนเพื่อให้ความแข็งแกร่งและห้าวหาญของตนกลายเป็น ของตลก Fenrir จึงหันไปเรียกร้องให้เหล่าเทพประกันความบริสุทธ์ใจ โดยให้ใครสักองค์หนึ่งวางมือระหว่างคมเขี้ยวของตน ไม่มีเทพองค์ไหนกล้าพอรับคำท้า เพราะต่างก็รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น มีเพียงเทพTyrเท่านั้น ที่กล้าอาสารับคำท้า เหล่าเทพจึงได้ตรวนหมาป่ายักษ์ไว้ด้วย Gleipnir หลังจากนั้น ไม่ว่าFenrirพยายามฉุดกระชากรุนแรงปานใด เขาก็ไม่สามารถทำให้ริบบิ้นบางเบาเช่นนั้นขาดสะบั้นล งได้ พอพวกเทพปฏิเสธที่จะแก้ริบบิ้นให้ Fenrir ก็รู้ว่าตนนั้นถูกหลอกเสียแล้ว ด้วยความโกรธา Fenrir จึงได้งับมือของ Tyr เป็นการแก้แค้น พวกเทพต่างพากันปิติเป็นล้น พ้นที่ปราบเจ้าหมาป่ายักษ์ลงได้ และพาFenrirไปล่ามไว้ที่หินนาม Gioll ณ ใต้โลกที่ลึกลงไป 1 ไมล์ พวกเทพเอาดาบค้ำระหว่างปากของFenrirไว้ป้องกันไม่ให้กัดใครได้ จวบจนถึงวันแห่งแรคน่าร็อก (Ragnarok) Fenrir จะกระชากตรวนนั้นขาดและออกมาเข้าร่วมกับเผ่ายักษ์ในสงครามต่อต้านพระ เจ้า เขาจะตามหาเทพ Odin ผู้ทรงม้า 8 ขาและขย้ำสังหารเคี้ยวกลืนลงคอ Vidar ลูกชายของเทพ Odin จะแก้แค้นให้แก่พ่อของเขาโดยใช้มือเปล่ากระชากกรามขอ ง Fenrir ออกมาทั้งยวง