[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
19 มีนาคม 2567 09:09:16 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สัตว์ในตำนานทั่วโลก  (อ่าน 16779 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪
ลั้ลลา
ผู้ดูแลบ้านสุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +8/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 2097


【ツ】ต้นไม้แห่งแสง

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 31.0.1650.57 Chrome 31.0.1650.57


หน้ากู
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 20 พฤศจิกายน 2556 11:07:09 »

สัตว์ในตำนานทั่วโลก

Dover Demon



นี่มันเอเลี่ยนชัดๆ เขาเรียกกันว่า ปีศาจโดเวอร์ (Dover Demon) เพราะมีผู้พบเห็นที่เมืองโดเวอร์ ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดเป็นอับ 2 รองจากบอสตัน ในมลรัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา แต่พบเจอแค่ครั้งเดียวนะ ในปี พ.ศ. 2520 หรือ ค.ศ. 1977 รูปร่างคล้ายมนุษย์ต่างดาว สูงประมาณ 4 ฟิต ผิวขรุขระ หัวรูปร่างคล้ายแตงโม ตาเปล่งแสงสีส้ม ปัจจุบันก็ยังไม่มีใครรู้ว่า เจ้าปีศาจโดเวอร์ ตัวนี้มาจากไหน มาได้ยังไง และมีจุดประสงค์อะไร ? ก็ยังคงเป็นปริศนาที่เล่าขานกันในท้องถิ่นต่อไป แต่บางคนเขาก็เชื่อว่าเป็นเพียงเรื่องแหกตา เพราะก็ไม่มีหลักฐานใด ๆ มายืนยันสิ่งที่เด็ก ๆ กลุ่มนี้เจอ และก็ไม่มีรายงานการพบเจอหรือปรากฏตัวอีก




ธันเดอร์เบิร์ด (Thunderbird) นกยักษ์ในตำนานของอินเดียนแดง



ธันเดอร์เบิร์ด (Thunderbird) เป็นชื่อนกยักษ์ในตำนานของอินเดียนแดง ซึ่งเป็นชนเผ่าพื้นเมืองของอเมริกาเหนือ เชื่อกันว่า ธันเดอร์เบิร์ด มีความกว้างของปีกทั้งสองข้างยาวถึง 8 เมตร และแรงกระพือของปีกเวลาบินก่อให้เกิดทอร์นาโดและฟ้าร้อง ปรากฏการณ์ฟ้าแลบนั้น เชื่อว่าเกิดจากแสงสะท้อนของแสงอาทิตย์กระทบ
กับตาของธันเดอร์เบิร์ด ธันเดอร์เบิร์ดเป็นนกที่ชาวอินเดียนแดงให้ความนับถือเป็นอย่างยิ่ง ถือเป็นสัตว์ที่น่าเกรงขามและศักดิ์สิทธิ์ดุจเทพเจ้าแห่งท้องฟ้า โดยมักจะประดับอยู่ที่ยอดเสาอินเดียนแดง (Totem pole) สันนิษฐานว่าความเชื่อเรื่องธันเดอร์เบิร์ด อาจจะมาจากนกจำพวกแร้งขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่ทวีปอเมริกาเหนือ คือ แร้งแคลิฟอร์เนีย (Gymnogyps californianus) ซึ่งในอดีตเคยมีอยู่มากมาย แต่สถานะในปัจจุบันเป็นสัตว์ที่อยู่ในขั้นใกล้สูญพันธุ์อย่างวิกฤตแล้ว ความเชื่อเรื่องธันเดอร์เบิร์ดได้กลายมาเป็นเรื่องเล่าลือ เกี่ยวกับสัตว์ประหลาดในหลายที่ของสหรัฐอเมริกา เช่น ในแถบตะวันตกเฉียงใต้ หรือที่รัฐเพนซิลวาเนีย โดยมีรายงานการพบเห็นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1840 จนถึงปัจจุบัน

ก่อนหน้านั้นมีการเล่าลือโดยชาวอินเดียนแดงมานับเป็นร้อย ๆ ปี โดยลักษณะของสิ่งที่เชื่อว่าเป็นธันเดอร์เบิร์ด เป็นนกที่มีขนาดประมาณเครื่องบินขนาดเล็กหนึ่งลำ
มีรูปร่างเหมือนนกอินทรีขนาดใหญ่ มีดวงตาสีดำขนาดใหญ่และมีจะงอยปากแข็งแรงมาก ขนทั้งตัวมีสีดำหรือสีเทาหรือสีน้ำตาล มีขาหนาและกรงเล็บใหญ่กว่าขนาดมือของมนุษย์เสียอีก โดยพยานผู้พบเห็นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1945 มักกล่าวตรงกันว่า เมื่อแรกเห็นพวกเขาเห็นเป็นเพียงเงาบินผาดผ่าน แต่เมื่อมองขึ้นไปแล้วเห็นเป็นสิ่งว่าเป็นเครื่องบินขนาดเล็ก แต่เมื่อพิจารณาอย่างชัด ๆ ขึ้นไปแล้ว พบว่าเป็นนกคล้ายนกอินทรีหรืออีแร้งขนาดใหญ่ มีขนสีดำ บินได้สูงและสง่างามโดยไม่ได้กระพือปีก แต่เมื่อกระพือแล้วก็ทำให้สูงขึ้นไปอีก ยิ่งโดยเฉพาะในปี ค.ศ. 2001
มีชายคนหนึ่งอ้างว่า ได้พบเห็นมันอย่างน้อย 20 นาที และเห็นรูปร่างของมันอย่างเต็มที่ มีความกว้างของปีกทั้งสองประมาณ 15 ฟุต และความยาวลำตัวถึง 5 ฟุต โดยเขากล่าวว่ามันเป็นนกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา



Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20 พฤศจิกายน 2556 11:08:58 โดย 【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪ » บันทึกการเข้า

เราช่วยกันนำต้นรักที่เพาะได้
   ส่งไปตาม บ้านที่ต้องการ
       อยากจะได้...
   หรืออยากจะเติม
【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪
ลั้ลลา
ผู้ดูแลบ้านสุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +8/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 2097


【ツ】ต้นไม้แห่งแสง

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 31.0.1650.57 Chrome 31.0.1650.57


หน้ากู
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 20 พฤศจิกายน 2556 11:08:20 »



Goatman



โกทแมนเป็นสิ่งมีชีวิตลูกผสมระหว่างมนุษย์กับแพะลึกลับที่โด่งดังมากในเขต เมือง Prince George รัฐแมรีแลนด์ การพบเห็นครั้งแรกเริ่มต้นขึ้นในปี 1957 ทาง ตอนบนของเมือง Marlboro และเมือง Forestville ท่อนล่างของร่างกายขาและเท้ามีกีบเหมือนแพะ ท่อนบนของร่างกายเป็นมนุษย์ ศีรษะมีเขาแพะ ผิวหนังบนร่างกายปกคลุมไปด้วยขน สูงประมาณสองเมตร หนักกว่า 130 กิโลกรัม หลายคนเชื่อว่าโกท แมนน่าจะเป็นญาติห่างๆกับบิ๊กฟุต หรือมีความได้โกทแมน เกิดขึ้นจากการทดลองของนักวิทยาศาสตร์ในการตัดต่อพันธุกรรมของคนและแพะเข้า ด้วยกัน โดยศูนย์ค้นคว้าและวิจัย beltsville แห่งเมือง prince george อันเป็นแหล่งกำเนิดของตำนานโกทแมน แต่อย่างไรก็ตาม ตามแบบฉบับสิ่งมีชีวิตลึกลับ มักจะไม่ค่อยให้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่น่า เชื่อถือซึ่งแสดงถึงการมีตัวตนอยู่จริงของมัน




Sigbin



Sigbin เป็นสิ่งมีชีวิต ฟิลิปปินส์กล่าวไว้ว่ามันจะออกมาเวลากลางคืนเพื่อดูดเลือดจากผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ มันคล้ายแพะและมีหูที่ใหญ่และมีหางยาวที่สามารถใช้เป็นแส้ได้ และยังสามารถปล่อยกลิ่นเหม็นๆได้ มีสองขาเหมือนขาตั๊กแตน นักวิทยาศาสตร์พบสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะดูคล้ายๆ กัน แต่ก็ยังไม่อาจมีข้อสรุปถึงสัตว์ที่เชื่อมโยงเป็นสัตว์ชนิดเดียวกันได้



บันทึกการเข้า

เราช่วยกันนำต้นรักที่เพาะได้
   ส่งไปตาม บ้านที่ต้องการ
       อยากจะได้...
   หรืออยากจะเติม
【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪
ลั้ลลา
ผู้ดูแลบ้านสุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +8/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 2097


【ツ】ต้นไม้แห่งแสง

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 31.0.1650.57 Chrome 31.0.1650.57


หน้ากู
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 20 พฤศจิกายน 2556 11:10:42 »



คิสึเนะ



คิสึเนะ (ญี่ปุ่น: ? Kitsune ?) ตามความเชื่อแล้วคิสึเนะ เป็นจิ้งจอกที่มีพลังเวท มีทั้งพวกที่จัดว่าศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นข้ารับใช้ของเทพอินาริ ซึ่งเป็นเทพแห่งการเพาะปลูก และพวกที่จัดว่าเป็นผีร้าย คิสึเนะมีความเชี่ยวชาญในมนต์มายา และวิชาแปลงกาย ซึ่งบ่อยครั้งที่มักจะแปลงกายเป็นมนุษย์ เชื่อกันว่าสุนัขจิ้งจอกที่อายุยืน และมีตบะแก่กล้ามากพอ จะสามารถกลายเป็นคิสึเนะได้ เมื่อคิสึเนะอยู่จนครบ 100 ปี จะมีหางเพิ่มขึ้นมาหนึ่งหาง และมีพลังแข็งแกร่งขึ้น และหากมีหางครบเก้าหางเมื่อไหร่ จะมีพลังมหาศาลและชาญฉลาดอย่างยิ่ง คิสึเนะมีสังคมคล้ายคลึงกับมนุษย์ ทั้งยังสวมใส่เสื้อผ้าและยืนสองขา บางครั้งก็เข้ามาปะปนอยู่กับ มนุษย์ธรรมดา คิสึเนะสามารถแปลงกายได้แนบเนียน จนมนุษย์ธรรมดาจับไม่ได้ คิสึเนะตนใดถูกมนุษย์จับได้ จะถูกลงโทษอย่างหนักจากสังคมคิสึเนะ การที่คิสึเนะจะสำเร็จ วิชาแปลงกาย สามารทำได้หลายวิธี ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ การใช้กะโหลกมนุษย์ช่วยในการแปลงกาย แต่คิสึเนะที่ไม่ระมัดระวังอาจจะเหลือหลักฐานบางอย่าง อย่างเช่น ลืมแปลงกายอวัยวะบางส่วนที่อยู่ใต้เสื้อผ้า

เมื่อคิสึเนะแปลงร่างเป็นมนุษย์ มันก็มีความรู้สึกหรือความต้องการคล้ายมนุษย์เช่นกัน คิสึเนะชอบกินของอร่อยๆ โปรดปรานเต้าหู้ทอด ชอบการได้สัมผัสกาย รวมไปถึงเรื่องเซ็กส์ เป็นหนึ่งในปิศาจที่มีเรื่องเล่าถึง สายสัมพันธุ์ที่ลึกซึ้งกับมนุษย์ การที่คิสึเนะต้องแปลงกายมาปะปนกับมนุษย์ไม่มีเหตุผลที่แน่นอน บางครั้งเชื่อว่า มันมาเพื่อค้นหาความรัก มีเรื่องเล่าว่า มีคิสึเนะที่แปลงกายเป็นสตรีที่งดงามและแต่งงานอยู่กินกับมนุษย์ ทั้งยังสามารถสืบทายาทได้ด้วย ทายาทคิสึเนะจะมีความแข็งแกร่งผิดมนุษย์ รวมไปถึงมีพลังเวทติดตัว และมีเสน่ห์ที่ประหลาด จนมีคำเล่าลือว่า องเมียวที่มีชื่อเสียงที่ชื่อ อาเบะโนเซย์เมย์ (Abe no Seimei) เป็นทายาทของคิสึเนะ

มนต์มายาของคิสึเนะลึกล้ำมาก ถึงแม้ว่ามนุษย์จะรู้ว่าต้องมนต์ของคิสึเนะ แต่สัมผัสของมนต์มายาก็เหมือนจริง จนแทบแยกความจริงกับภาพมายาไม่ออก คิสึเนะที่มีตบะมากจะรู้จิตใจของมนุษย์ ทำให้สามารถสร้างภาพมายาที่มนุษย์คนนั้นต้องการเห็นได้ ทำให้แม้มนุษย์อยากปฏิเสธ ก็ยากที่จะทำได้




นางอสูรซิลลา (Scylla)



สำหรับอสูรตัวนี้ สำหรับคอการ์ตูนหลายคนอาจจะคุ้นในชื่อของสคิวเลอร์ อิโอ หรือหนึ่งในขุนพลของเทพโพเซดอนในเซนต์เซย์ย่า เป็นผู้ครอบครองพลังแห่งสัตว์ร้ายทั้ง 6 ชนิด นั่นเอง และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งอสูรผู้เฝ้าทะเลเช่นกัน ซึ่งในตำนานกรีกบทหนึ่งกล่าวว่า นางซิลลานั้นเป็นผู้ที่คอยเฝ้าทะเลทางฝั่งช่องแคบเมสสิน่า มีถิ่นฐานอาศัยอยู่ในถ้ำของช่องแคบนั้น สำหรับรูปร่างของนางซิลลานั้น ร่างกายด้านบนจะเป็นหญิงสาวหน้าตาสวยงาม แต่ท่อนล่างจะมีลักษณะของสัตว์ร้าย 6 หัว 12 เท้า และมีสร้อยรูปหัวสุนัขที่เห่าอยู่ตลอดเวลา แต่ว่าแรกเริ่มเดิมทีนั้นนางซิลลาไมได้มีรูปร่างเป็นแบบนี้ (อีกแล้ว) แต่เดิมนั้นเธอเคยเป็นนางอัปสรที่งดงามตนหนึ่ง แต่ถูกสาปโดยแม่มดที่ริษยาในความงามของเธอ จนกระทั่งกลายเป็นอสูรร้ายไป และต้องมาคอยเฝ้าช่องแคบ คอยจับมนุษย์หรือสัตว์ที่ผ่านไปกินเป็นอาหารตามที่กล่าวไปนั่นเอง



บันทึกการเข้า

เราช่วยกันนำต้นรักที่เพาะได้
   ส่งไปตาม บ้านที่ต้องการ
       อยากจะได้...
   หรืออยากจะเติม
【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪
ลั้ลลา
ผู้ดูแลบ้านสุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +8/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 2097


【ツ】ต้นไม้แห่งแสง

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 31.0.1650.57 Chrome 31.0.1650.57


หน้ากู
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 20 พฤศจิกายน 2556 11:12:51 »



ปลาอานนท์



ในสมัยโบราณ มีความเชื่อกันว่า ใต้โลกที่เราอาศัยอยู่นี้ มีปลาใหญ่ตัวหนึ่งหนุนโลกอยู่ชื่อว่า ปลาอานนท์ ปลาอานนท์นี้ตัวยาวถึง ๘,OOO,OOO วา (อ่านว่า ๘ ล้านวา) เมื่อใดก็ตามที่ปลาอานนท์เคลื่อนไหวพลิกตัว เมื่อนั้นโลกจะเกิดแผ่นดินไหว ในตำนานไฟล้างโลก กล่าวว่า เมื่อคนทั้งหลายกระทำแต่บาป ไม่รู้จักศีล ม่รู้จักธรรม ไม่รู้จักบุญคุณพ่อแม่ ลูกศิษย์คิดล้างครู ใจบาปหยาบช้า ผลของบาปจะทำให้เกิดความแห้งแล้ง ฝนไม่ตก แสงแดดแผดจ้า น้ำจะแห้งขอด สัตว์จะพากันล้มตาย ในเวลาต่อมา พระอาทิตย์จะขึ้นเป็น ๒ ดวง ดวงหนึ่งตกไป อีกดวงก็ขึ้นมาแทน ยิ่งแห้งแล้งหนักขึ้น ต่อมาพระอาทิตย์จะขึ้นเป็น ๓ ดวง ๔ ดวง ๕ ดวง ๖ ดวง และในที่สุด ก็จะมีพระอาทิตย์ถึง ๗ ดวง พญาปลาทั้งหลาย รวมทั้งปลาอานนท์ก็จะละลายเป็นน้ำมัน ติดไฟลุกไหม้ กลายเป็นไฟล้างโลก เรียกว่า ไฟบรรลัยกัลป์ ไฟนี้จะลุกไหม้ยายนานจนทุกอย่างสิ้นสูญแล้วไฟจึงจะดับ เหลือแต่ความมืดมนอนธกา




ชูปากาบรา



เป็นสิ่งมีชีวิตลึกลับในตำนานชนิดหนึ่ง มีผู้ที่อ้างว่าพบเห็นมันครั้งแรกในเปอร์โตริโกในช่วงต้นทศวรรษที่ 50 และมีหลายคนรายงานว่า มันได้ฆ่าสัตว์ชนิดต่าง ๆ เช่น แพะ ด้วยการดูดเลือดเป็นจำนวนมาก และยังคงมีผู้พบเห็นมันมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ปัจจุบัน ที่เปอร์โตริโก มีนักสำรวจท้องถิ่นได้สำรวจเรื่องราวเกี่ยวกับชูปากาบรา และพบถ้ำแห่งหนึ่งที่เชื่อว่าเป็นที่อาศัยของมัน และรอยเท้าของชูปากาบราก็มีลักษณะใหญ่คล้ายนกกระจอกเทศ

ที่รัฐเทกซัส มีเกษตรกรรายนึงอ้างว่าเขาสามารถยิงชูปากาบราได้และฝังมันไว้ในที่ดินที่บ้านของเขาโดยเจ้าตัวที่เชื่อว่าเป็นชูปากาบรานั้นได้ฆ่าไก่ของเขาไปแล้วถึง 3 หน ซึ่งเจ้าสัตว์ตัวนี้มีรูปร่างแปลกมาก คือ ตัวเป็นสีฟ้าปนสีเทาและไม่มีขนแต่จากการพิสูจน์ของนักวิทยาศาสตร์จากกะโหลก และตรวจดีเอ็นเอของสัตว์ชนิดนี้แล้วนั้น พบว่า เป็นเพียงสุนัขไคโยตี้ที่เป็นขี้เรื้อนเท่านั้น

และจากการศึกษาซากสัตว์ที่เชื่อว่าตายด้วยการดูดเลือดของชูปากาบราจนหมดตัวนั้นของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญพบว่า แท้จริงแล้วเลือดในตัวสัตว์เหล่านั้นยังมีอยู่ เพียงแต่ว่าถ้ามองจากภายนอกอาจดูเหมือนไม่มีเลือดเหลืออยู่ในตัวเลย เป็นเพราะเลือดในตัวสัตว์นั้นได้หยุดไหลเมื่อหัวใจหยุดเต้น และเชื่อว่าสัตว์ที่โจมตีสัตว์เหล่านี้นั้น น่าจะเป็น สุนัขป่าหรือลิงป่า

อย่างไรก็ตาม จากภาพสเกตช์ของผู้ที่อ้างว่าเคยพบเห็น ชูปากาบรามีรูปร่างหน้าตาหลากหลายต่างกัน แต่มีลักษณะที่ร่วมกันคือมีหน้าตาคล้ายมนุษย์ต่างดาวที่เรียกว่า เกรย์ (Grey) แต่มีขาหลังที่ใหญ่คล้ายจิงโจ้ ในวันที่ 21 พฤษภาคม ค.ศ. 2010 พยาบาล 2 คน ได้พาสุนัขไปเดินเล่นแถวริมทะเลสาบ ที่รัฐออนตาริโอ ประเทศแคนาดาได้พบเห็นสัตว์ตัวหนึ่งที่มีลักษณะประหลาด คือ ร่างกายเต็มไปด้วยขน แต่หัวล้านเลี่ยน หน้าตาน่ากลัว ลำตัวยาว ขายาว มีหางคล้ายหนู ซึ่งไม่มีใครบอกได้ว่า คือสัตว์อะไร มีผู้เชื่อว่าคือ ชูปากาบรา



บันทึกการเข้า

เราช่วยกันนำต้นรักที่เพาะได้
   ส่งไปตาม บ้านที่ต้องการ
       อยากจะได้...
   หรืออยากจะเติม
【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪
ลั้ลลา
ผู้ดูแลบ้านสุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +8/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 2097


【ツ】ต้นไม้แห่งแสง

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 31.0.1650.57 Chrome 31.0.1650.57


หน้ากู
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: 20 พฤศจิกายน 2556 11:14:54 »



เยติ



เยติ หรือ มนุษย์หิมะ Yeti, Abominable Snowman เป็นชื่อที่ใช้เรียกสัตว์ประหลาดชนิดหนึ่ง ในความเชื่อของชาวเชอร์ปา ชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่แถบเทือกเขาหิมาลัย ในประเทศเนปาลและธิเบต โดยเชื่อว่าเยติ เป็นสัตว์ขนาดใหญ่ที่คล้ายมนุษย์ผสมกับลิงไม่มีหางคล้าย กอริลลา มีขนยาวสีน้ำตาลแดงหรือน้ำตาลดำปกคลุมทั้งลำตัว โดยปรกติแล้ว เยติเป็นสัตว์ที่มีนิสัยสงบเสงี่ยม แต่อาจดุร้ายโจมตีใส่มนุษย์และสัตว์เลี้ยงได้ในบางครั้ง เยติปรากฏอยู่ในวัฒนธรรมของชาวเชอร์ปามาอย่างช้านาน โดยถูกกล่าวถึงในนิทานและเพลงพื้นบ้านและเรื่องเล่าขานต่อกันมาถึงผู้ที่เคยพบมัน นอกจากนี้แล้วยังปรากฏในศิลปะของพุทธศาสนานิกายมหายานแบบธิเบต โดยปรากฏเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังในวัดลามะอายุกว่า 300 ปี และปัจจุบันนี้ ก็มีสิ่งที่เชื่อว่าเป็นหนังศีรษะของเยติถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีในวัดลามะแห่งหนึ่งในคุมจุง ซึ่งนับว่าเยติเป็นสัตว์ที่ถูกกล่าวอ้างถึงยาวนานกว่าสัตว์ประหลาดที่มีลักษณะคล้ายกันชนิดอื่นที่พบในอีกซีกโลก เช่น บิ๊กฟุต หรือ ซาสควอทช์

นอกจากคำว่าเยติแล้ว ยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ ที่เรียกเยติ เช่น เธลม่า (Thelma), แปลว่า "ชายตัวเล็ก" เชื่อว่ามีนิสัยรักสงบ ชอบสะสมกิ่งไม้และชอบร้องเพลงขณะที่เดินไป, ดซูท์เทห์ (Dzuteh) เป็นเยติขนาดใหญ่ มีขนหยาบกร้านรุงรัง มีนิสัยดุร้ายชอบโจมตีใส่มนุษย์, มิห์เทห์ (Mith-teh) มีนิสัยคล้ายดซูท์เทห์ คือ ดุร้าย มีขนสีน้ำตาลแดงหรือน้ำตาลดำ, เมียกา (Mirka) แปลว่า "คนป่า" เชื่อว่าหากมันพบเห็นสิ่งใดไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์มันจะทำร้ายจนถึงแก่ความตาย, คัง แอดมี (Kang Admi) แปลว่า "มนุษย์หิมะ" และ โจบราน (JoBran) แปลว่า "ตัวกินคน" เป็นต้น ซึ่งเรื่องราวของเยติที่โจมตีใส่มนุษย์นั้น ได้ถูกทำเป็นรายงานส่งไปยังเมืองกาฐมาณฑุ เมืองหลวงของเนปาล ซึ่งปากคำของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อถูกบันทึกโดยอาสาสมัครชาวอเมริกันที่ทำงานในเนปาล โดยผู้ถูกทำร้ายเป็น เด็กหญิงชาวเชอร์ปาคนหนึ่ง โดยเธอบอกว่าขณะกำลังนำจามรีไปดื่มน้ำที่ลำธาร เยติตัวหนึ่งก็โผล่มาทำร้ายเธอ แต่เธอกรีดร้องลั่น จนมันปล่อยเธอ และหันไปทำร้ายจามรีของเธอจนมันถึงแก่ความตายด้วยการบิดเขาและหักคอ

เรื่องราวเยติเป็นที่สนใจของชาวตะวันตก เมื่อชาวตะวันตกได้เข้ามาบุกเบิกและยึดครองดินแดนแถบนี้ ได้มีการตามล่าและค้นคว้าเกี่ยวกับเยติ ซึ่งก็ได้พบกับหลักฐานการมีอยู่ของเยติมากมาย ทั้ง รอยเท้า ขนและมูล และแม้กระทั่งประจักษ์พยานที่เคยได้พบเห็น ซึ่งโดยมากเป็นนักปีนเขา ซึ่งหลักฐานส่วนใหญ่ได้ถูกบันทึกไว้เป็นรูปถ่าย โดยรูปถ่ายของรอยเท้าเยติรูปแรกเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1921 โดยถ่ายไว้ได้ในระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล 5,029 เมตร





เฟนเรอ (Fenrir)



เป็นแนวความเชื่อของชนเผ่าสแกนดิเนเวียนโบราณ Fenrir หรือ Fenris เป็นอสูรร้ายขนาดมหึมาในร่างของสุนัขป่า เป็นลูกคนโตของโลกิ(Loki)และนางยักษ์ Angrboda มีพี่น้องอีก 2 หน่อคือ พญางูพิษJormungand กับยักษ์สาว Hella (....พี่น้องคนละสปีชี่ย์กันดีจัง) เหล่าเทพได้ทรงพยากรณ์ว่าเจ้าหมาป่านี่ สักวันจะก่อเกิดกลียุคและทำลายล้างโลก เหล่าเทพจึงได้จับ Fenrir ไปขังไว้ในคุก มีเพียงเทพแห่งสงคราม Tyr ที่กล้าเข้าไปให้อาหารและคอยดูแลFenrirเท่านั้น

เมื่อFenrirยังเป็นเพียงลูกหมา เหล่าเทพก็ไม่เห็นว่าเจ้าตูบนี่มันจะน่ากลัวน่าเกรงข ามตรงไหน แต่พอวันคืนผ่านไปมันเติบโตจนเต็มวัย ก็พากันตัดสินใจปราบเจ้าFenrirซะดีกว่า เพราะมันตัวโตเบ้อเร่อเท่อ หน้าตาก็เอาเรื่องชะมัด แต่ก็ไม่มีองค์ไหนกล้าเข้าไปเผชิญหน้ากับหมาป่ายักษ์ โต้งๆ เหล่าเทพจึงออกอุบายเล่นเกมส์ท้ากับFenrir ว่าพวกหมาป่าน่ะ ร้อยทั้งร้อยจะอ่อนแอต่อโซ่และไม่สามารถทำลายเมื่อถูกตรวนได้หรอก แบบนี้มันหยันศักดิ์ศรีแห่งความเป็นหมาป่ากันชัดๆ Fenrirรับคำท้า ยอมปล่อยให้มาล่ามตรวนเขา แต่โชคร้ายคราวซวยของเหล่าเทพ Fenrirนั้นมีเรี่ยวแรงมหาศาลเหลือคณานัป แม้ว่าจะเอาโซ่ตรวนที่แข็งแรงที่สุดมาถักทอราวใยแมงมุมขึงล่ามเขาไว ้ Fenrirก็สามารถกระชากขาดได้หมด หลังจากนั้น เหล่าเทพก็มองหาทางเลือกสุดท้ายที่เหลืออยู่ โซ่มนตรา จึงสั่งให้พวกคนแคระทำสิ่งที่แข็งแรงมากพอจะตรวนเจ้าหมาป่านั่น ได้ ผลที่ได้ออกมาคือ ริบบิ้นที่อ่อนนุ่มและเรียบบางชื่อGleipnir ซึ่งมีความแข็งแรงทนทานอย่าง ไม่น่าเชื่อ ตรงข้ามกับลักษณะภายนอกที่เห็นกันราวฟ้ากับเหว ริบบิ้นถูกประดิษฐ์ขึ้นมาจากธาตุประหลาด 6 อย่าง : รอยเท้าแมว , รากภูเขา , เคราผู้หญิง , ลมหายใจปลา , เอ็นหมี , เสมหะนก

เหล่าเทพพยายามออกอุบายเล่นเกมส์กับ Fenrir อีกครั้ง พอ Fenrir เหล่มองความบางของโซ่ก็กล่าวว่าให้ทำลายโซ่บอบบางอย่างนี้มันไม่น่าภูมิใจอะไรสักนิด แต่ในท้ายสุดเขาก็ตอบตกลง แต่ก็อดระแวงไม่ได้ว่า พวกเทพวางแผนเพื่อให้ความแข็งแกร่งและห้าวหาญของตนกลายเป็น ของตลก Fenrir จึงหันไปเรียกร้องให้เหล่าเทพประกันความบริสุทธ์ใจ โดยให้ใครสักองค์หนึ่งวางมือระหว่างคมเขี้ยวของตน ไม่มีเทพองค์ไหนกล้าพอรับคำท้า เพราะต่างก็รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น มีเพียงเทพTyrเท่านั้น ที่กล้าอาสารับคำท้า เหล่าเทพจึงได้ตรวนหมาป่ายักษ์ไว้ด้วย Gleipnir หลังจากนั้น ไม่ว่าFenrirพยายามฉุดกระชากรุนแรงปานใด เขาก็ไม่สามารถทำให้ริบบิ้นบางเบาเช่นนั้นขาดสะบั้นล งได้ พอพวกเทพปฏิเสธที่จะแก้ริบบิ้นให้ Fenrir ก็รู้ว่าตนนั้นถูกหลอกเสียแล้ว ด้วยความโกรธา Fenrir จึงได้งับมือของ Tyr เป็นการแก้แค้น พวกเทพต่างพากันปิติเป็นล้น พ้นที่ปราบเจ้าหมาป่ายักษ์ลงได้ และพาFenrirไปล่ามไว้ที่หินนาม Gioll ณ ใต้โลกที่ลึกลงไป 1 ไมล์ พวกเทพเอาดาบค้ำระหว่างปากของFenrirไว้ป้องกันไม่ให้กัดใครได้ จวบจนถึงวันแห่งแรคน่าร็อก (Ragnarok) Fenrir จะกระชากตรวนนั้นขาดและออกมาเข้าร่วมกับเผ่ายักษ์ในสงครามต่อต้านพระ เจ้า เขาจะตามหาเทพ Odin ผู้ทรงม้า 8 ขาและขย้ำสังหารเคี้ยวกลืนลงคอ Vidar ลูกชายของเทพ Odin จะแก้แค้นให้แก่พ่อของเขาโดยใช้มือเปล่ากระชากกรามขอ ง Fenrir ออกมาทั้งยวง




บันทึกการเข้า

เราช่วยกันนำต้นรักที่เพาะได้
   ส่งไปตาม บ้านที่ต้องการ
       อยากจะได้...
   หรืออยากจะเติม
【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪
ลั้ลลา
ผู้ดูแลบ้านสุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +8/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 2097


【ツ】ต้นไม้แห่งแสง

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 31.0.1650.57 Chrome 31.0.1650.57


หน้ากู
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: 20 พฤศจิกายน 2556 11:18:37 »



มังกร

ฮังการีหางหนาม (Hungarian Horntail)



คาดว่าดุร้ายที่สุดในบรรดามังกรทุกสายพันธุ์ พันธุ์ฮังการีหางหนาม มีเกล็ดสีดำ และรูปร่างคล้ายกิ้งก่า ตาสีเหลือง เขาสีบรอนซ์ และ ตลอดหางอันยาวเหยียดของมัน ก็มีหนามแหลมสีบรอนซ์เช่นเดียวกัน พันธุ์หางหนามพ่นไฟได้ไกลที่สุด (ไกลสุดถึง 15 ฟุต) ไข่สีเทาเหมือนสีเมนต์และเปลือกแข็งมากตัวอ่อนจะเจาะเปลือกไข่ออกมาโดยใช้หางซึ่งมีหนามแหลมติดตัวมาตั้งแต่เกิด พันธุ์ฮังการีหางหนาม กินแพะ แกะ และถ้าเป็นไปได้ก็จะกินมนุษย์เป็นอาหาร




เวลส์สีเขียวธรรมดา (Common Welsh Green)



พันธุ์เวลส์สีเขียวนั้นสีกลมกลืนกับหญ้าเขียวสดที่บ้านเกิดของพวกมันเป็นอย่างดี มักจะทำรังอยู่บนภูเขาสูง ซึ่งกำหนดไว้เป็นเขตอนุรักษ์ เพื่อให้มันอยู่อาศัย ถ้าไม่นับเหตุการณ์ที่อิลฟราคอมบ์ สายพันธุ์นี้ก็จัดอยู่ในประเภทที่สร้างปัญหาน้อยที่สุด มันชอบกินแกะเป็นอาหาร และจะหลีกเลี่ยงจากมนุษย์ ยกเว้นเมื่อถูกรบกวน พันธุ์เวลส์สีเขียวมีเสียงคำรามที่สูง ๆ ต่ำ ๆ เหมือนดนตรีอย่างน่าประหลาด และเป็นเสียงที่จดจำได้ง่าย มันจะพ่นไฟเป็นลำบาง ๆ ไข่เป็นสีน้ำตาลหม่น ๆ มีจุดสีเขียว




โรมาเนียน ลองฮอร์น (Romanian Longhorn)



หรือโรมาเนียเขายาว มีเกล็ดสีเขียวดำเขาสีทองเป็นประกาย ซึ่งมันจะใช้เสียบเหยื่อย่างไฟของเขามันเมื่อเอาไปป่นเป็นผงแล้วมีค่ามาก ใช้เป็นเครื่องปรุงยาได้ ปัจจุบันนี้ดินแดนแหล่งกำเนิดของพันธุ์โรมาเนียเขายาวได้กลายเป็นเขตอนุรักษ์พันธุ์มังกรที่สำคัญที่สุดในโลก ซึ่งพ่อมดทุกสัญขาติ ได้ศึกษามังกรพันธุ์ต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด พันธุ์เขายาวถูกจัดอยู่ในโครงการ เพาะพันธุ์เร่งด่วนด้วย เนื่องจากจำนวน ของมันลดต่ำลงในช่วงสองสามปีที่ ผ่านมาส่วนใหญ่เป็นเพราะการซื้อขายเขาของมัน ซึ่งปัจจุบันจัดเป็นสินค้าซื้อขายได้




เพรูเวียน ไวเปอร์ทูท (Peruvian Vipertooth)



หรือเปรูเขี้ยวพิษ เป็นมังกรพันธุ์เล็กที่สุด และบินได้เร็วที่สุด ความยาวอยู่ราว ๆ สิบห้าฟุต เกล็ดเรียบสีทองแดง และมีสันสีดำ เขาสั้น เขี้ยวมี พิษร้ายแรง พันธุ์เขี้ยวพิษโปรดปรานแพะและวัวแต่ก็ชื่นชอบรสเนื้อมนุษย์ด้วย จนสมาพันธ์พ่อมดนานาชาติจำเป็นต้องส่งผู้ควบคุมไปลดปริมาณของพันธุ์เขี้ยวพิษเมื่อปลายศตวรรษที่ 19 ก่อนหน้านั้นปริมาณของมังกรนี้ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ




นอร์เวย์หลังเป็นสัน (Norwegian Ridgeback)



นอร์เวย์หลังเป็นสันมีความคล้ายคลึงกันมังกรพันธุ์ฮังการีหางหนามในหลาย ๆ ด้าน แต่แทนที่จะมีหนามแหลมที่หางมันจะมีสันสีดำสนิท ยื่นออกมาจากหลังแทน พันธุ์หลังเป็นสันจะดุร้ายกับพันธุ์เดียวกันมากเป็นพิเศษทุกวันนี้มันจัดเป็นหนึ่งในสายพันธุ์มังกรที่หายากขึ้นทุกที มันเคยโจมตีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อาศัยอยู่บนดินมาแล้ว แทบทุกชนิดและที่ต่างจากมังกรทั่วไปคือมันกินสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในน้ำด้วย รายงาน ที่ปราศจากหลักฐานระบุว่ามังกรพันธุ์นี้เคยโฉบเอาลูกปลาวาฬไปจากชายหาดแห่งหนึ่งในนอร์เวย์เมื่อปี ค.ศ.1802 ไข่ของพันธุ์หลังเป็นสัน แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับ นักโทษแห่งอัสคาบันมีสีดำ และตัวอ่อนจะพัฒนาความสามารถในการพ่นไฟได้เร็วกว่าพันธุ์อื่น (ระหว่างหนึ่งถึงสาม เดือนเท่านั้น)




สวีเดนจมูกสั้น (Swedish Short-Snout)



เป็นมังกรสีฟ้าเหลือบเงินแสนสวย คนมักเอาหนังของมันมาทำถุงมือและโล่ เปลวไฟที่พ่นออกมาเป็นสีฟ้าใส ซึ่งเผาผลาญไม้และ กระดูก เป็นเถ้าถ่าน ได้ภายในไม่กี่วินาที พันธุ์จมูกสั้นฆ่ามนุษย์น้อยกว่ามังกรส่วนใหญ่ มันมักอาศัยอยู่ตามป่าและบริเวณภูเขาที่ไม่ทีคนอาศัยอยู่ จึงไม่มีวีรกรรมมากนัก



บันทึกการเข้า

เราช่วยกันนำต้นรักที่เพาะได้
   ส่งไปตาม บ้านที่ต้องการ
       อยากจะได้...
   หรืออยากจะเติม
คำค้น: สัตว์ ตำนาน โลก 
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.27 วินาที กับ 31 คำสั่ง

Google visited last this page 16 มีนาคม 2567 05:24:10