[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
28 มีนาคม 2567 17:41:43 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า:  1 [2] 3   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: การปล่อยวาง หลวงพ่อชา สุภทฺโท  (อ่าน 42447 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 26 มกราคม 2553 23:23:07 »



http://img10.imageshack.us/img10/8452/lpcha1.jpg
การปล่อยวาง หลวงพ่อชา สุภทฺโท


การปล่อยวาง

โดย

หลวงพ่อชา สุภทฺโท

วัดหนองป่าพง ต.โนนผึ้ง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี



“การปล่อยวาง” ความจริงมันหมายความอย่างนี้
อุปมาเหมือนเราแบกก้อนหินหนักอยู่ก้อนหนึ่ง แบกไปก็รู้สึกหนัก แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับมัน

ก็ได้แต่แบกอยู่นั่นแหละ พอมีใครบอกว่าให้โยนมันทิ้งเสียซิ
ก็มาคิดอีกแหละว่า เอ๊ะ! ถ้าเราโยนมันทิ้งเสียแล้ว เราก็ไม่มีอะไรเหลือน่ะซิ

ก็เลยแบกอยู่นั่นแหละ ไม่ยอมทิ้ง ถึงจะมีใครบอกว่า
โยนทิ้งไปเถอะ แล้วจะดีอย่างนั้น เป็นประโยชน์อย่างนี้ เราก็ยังไม่ยอม

โยนทิ้งอยู่นั่นแหละเพราะกลัวแต่ว่าจะไม่มีอะไรเหลือ

ก็เลยแบกก้อนหินหนักไว้ จนเหนื่อยอ่อนเพลียเต็มที
จนแบกไม่ไหวแล้ว ก็เลยปล่อยมันตกลง
 
ตอนที่ปล่อยมันตกลงนี่แหละ ก็จะเกิดความรู้เรื่อง การปล่อยวาง ขึ้นมาเลย เราจะรู้สึกสบาย
แล้วก็รู้สึกได้ด้วยตนเองว่า การแบกก้อนหินนั้นมันหนักเพียงใด


แต่ตอนที่เราแบกอยู่นั้น เราไม่รู้หรอกว่า การปล่อยวาง มันมีประโยชน์เพียงใด




ดอกกล้วยหมูสังสีนวล

ที่มาภาพ : http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=17&t=25676&st=0&sk=t&sd=a&start=60



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27 มกราคม 2553 08:04:20 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: จัดหน้า เพิ่มภาพประกอบค่ะ » บันทึกการเข้า
 
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #21 เมื่อ: 06 มีนาคม 2553 20:45:51 »




  แก้วแตก

โยมว่า "อย่ามาทำแก้วฉันแตกนะ" ของมันแตกได้ โยมจะไปห้ามมันไม่ได้
 ไม่แตกเวลานี้ ต่อไปมันจะแตก

เราไม่ทำแตก คนอื่นจะทำแตก คนอื่นไม่ทำแตก ไก่มันจะทำแตก

พระพุทธเจ้าท่านให้ยอมรับ ท่านมองทะลุไปว่า แก้วใบนี้แตกแล้ว
แก้วที่ไม่แตกนี้ ท่านให้รู้ว่ามันแตกแล้ว

จับทุกที ที่ใส่น้ำดื่มเข้าไปแล้ววางไว้ ท่านก็ให้เห็นว่าแก้วมันแตกแล้ว
เข้าใจไหม นี่คือความเข้าใจของท่านเป็นอย่างนั้น

เห็นแก้วที่แตกอยู่ในแก้วใบที่ไม่แตก เพราะเมื่อมันหมดสภาพแล้ว
ไม่ดีเมื่อไรมันก็จะแตกเมื่อนั้น

ทำความรู้สึกอย่างนี้แล้ว ก็ใช้แก้วใบนี้ไป รักษาไป
อีกวันหนึ่ง พอมันหลุดมือแตก "ผัวะ" สบายไปเลย ทำไมสบาย

เพราะเห็นว่ามันแตกก่อนแตกแล้ว เห็นไหม แต่ถ้าเป็นโยม
"แหม ฉันถนอมมันเหลือเกิน อย่าทำให้มันแตกนะ"

อีกวันหนึ่งสุนัขทำแก้วแตก เกลียดสุนัข ถ้าลูกทำแตกก็เกลียดลูก
เกลียดทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้แก้วแตก

เพราะเราไปกั้นฝายไว้ไม่ให้น้ำไหลออกไป กั้นไว้อย่างเดียว
ไม่มีทางระบายน้ำ ฝายมันก็แตกเท่านั้นแหละใช่ไหม

ต้องทำฝาย แล้วทำทางระบายน้ำด้วย พอน้ำได้ระดับแค่นี้ ก็ระบายน้ำ
ข้าง ๆ นี่ เมื่อมันเต็มที่ก็ให้มันออกข้างนี้

ท่านเห็นอนิจจัง ความไม่เที่ยงอยู่อย่างนั้น นั่นแหละเป็นทางระบายของท่าน
อย่างนี้โยมจะสงบ นี่คือการปฏิบัติธรรมะ



หลวงพ่อชา สุภัทโท


ขอบพระคุณที่มาค่ะ จาก : derbyrock
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #22 เมื่อ: 06 มีนาคม 2553 22:59:15 »






ดอกโมกเอยโมกขธรรมล้ำเลิศค่า.....ปรารถนาโมกข์หมายปลายทางถึง.....
อัฏฐังคิกมรรคไม่หย่อนตึง.....โมกน้อยดอกหนึ่งเริ่มแย้มบาน.....


โดย.. อักษราภรณ์



บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #23 เมื่อ: 08 มีนาคม 2553 10:16:39 »

http://i431.photobucket.com/albums/qq32/arsom/Landscape/2-1.gif
การปล่อยวาง หลวงพ่อชา สุภทฺโท


หลวงปู่ชา นับเป็นนักปฏิบัติธรรมที่ติดดินที่สุด ท่านสอนจากธรรมชาติที่ต่ำที่สุด
เพื่อให้เกิดสิ่งที่สูงที่สุดคือมรรคผล โดยมีคนเปรียบเทียบแง่มุมนี้ว่า
คล้ายกับแนวคำสอนของ ท่านพุทธทาสภิกขุ แต่จุดเด่นอันหนึ่งของแนวคำสอนของหลวงปู่ชาก็คือ

"การเปรียบเทียบ" ท่านหาเรื่อง มาเปรียบเทียบเพื่ออธิบายคำสอนของท่านได้อย่างเหมาะเจาะ
และเข้าใจง่าย ดังข้อเปรียบเทียบ ต่อไปนี้.-


มะม่วง

ถ้าพูดให้สั้นเข้ามา
ศีลก็ดี สมาธิก็ดี ปัญญาก็ดี มันก็เป็นอันเดียวกัน

ศีลก็คือสมาธิ สมาธิก็คือศีล
สมาธิก็คือปัญญา ปัญญาก็คือสมาธิ

ก็เหมือนมะม่วงใบเดียวกัน  เมื่อมันเป็นดอกขึ้นมา มันก็ดอกมะม่วง
เมื่อเป็นลูกเล็ก ก็เรียกว่าผลมะม่วงเมื่อมันโตขึ้นมา ก็เรียกมะม่วงลูกโต

มันโตขึ้นไปอีก ก็เรียกมะม่วงห่าม เมื่อมันสุกก็คือมะม่วงสุก
มันก็มะม่วงลูกเดียวกันนั่นแหละ มันเปลี่ยนๆไป

มันจะโตมันก็โตไปหาเล็ก เมื่อมันเล็กมันก็เล็กไปหาโต

http://a.imageshack.us/img199/3360/efs.gif
การปล่อยวาง หลวงพ่อชา สุภทฺโท


มีด

สมถกับวิปัสสนา มันแยกกันไม่ได้หรอก
มันจะแยกกันได้ก็แต่คำพูด

เหมือนกับมีดเล่มหนึ่งนะ

คมมันก็อยู่ข้างหนึ่ง สันมันก็อยู่ข้างหนึ่งนั่นแหละ
มันแยกกันไม่ได้หรอก

ถ้าเราจับด้ามมันขึ้นมาอันเดียวเท่านั้น  มันก็ติดมาทั้งคมทั้งสันนั่นแหละ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27 มีนาคม 2554 12:12:03 โดย เงาฝัน » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #24 เมื่อ: 08 มีนาคม 2553 10:21:28 »



เปรียบเทียบเพื่ออธิบายคำสอน

หลวงปู่ชา นับเป็นนักปฏิบัติธรรมที่ติดดินที่สุด ท่านสอนจากธรรมชาติที่ต่ำที่สุด
เพื่อให้เกิดสิ่งที่สูงที่สุดคือมรรคผล โดยมีคนเปรียบเทียบแง่มุมนี้ว่า
คล้ายกับแนวคำสอนของ ท่านพุทธทาสภิกขุ แต่จุดเด่นอันหนึ่งของแนวคำสอนของหลวงปู่ชาก็คือ

"การเปรียบเทียบ" ท่านหาเรื่อง มาเปรียบเทียบเพื่ออธิบายคำสอนของท่านได้อย่างเหมาะเจาะ
และเข้าใจง่าย ดังข้อเปรียบเทียบ ต่อไปนี้.-





งู

มนุษย์เราทั้งหลายไม่ต้องการทุกข์
ต้องการแต่สุข

ความจริงสุขนั้นก็คือทุกข์อย่างละเอียด
เช่นเดียวกับทุกข์ก็คือ ทุกข์อย่างหยาบ

พูดอย่างง่ายๆ
สุขและทุกข์ก็เปรียบเสมือนงูตัวหนึ่ง

ทางหัวมันเป็นทุกข์ ทางหางมันเป็นสุข
เพราะถ้าลูบทางหัวมันมีพิษ มันก็กัดเอา

ไปจับหางมันก็เหมือนเป็นสุข
แต่ถ้าจับไม่วาง มันก็หันกลับมากัดได้เหมือนกัน


เพราะทั้งหัวงูและหางงู มันก็อยู่ในงูตัวเดียวกัน
เช่นเดียวกับสุขและทุกข์ ซึ่งเป็นสิ่งเดียวกัน







หมายังรู้

หมามันยังรู้จักอารมณ์ของมันเลย

เวลาหิวมันก็คราง หงิงๆ

ใครไม่รู้จักอารมณ์ของตัว เอ็งก็ตายเสียดีกว่า




 

หลวงพ่อชา สุภทฺโท
ขอบพระคุณที่มาค่ะ.. จาก.. derbyrock
กระดานสนทนา วัดบางพระ หมวด ธรรมะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27 มีนาคม 2554 12:44:26 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: เพิ่มภาพค่ะ » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #25 เมื่อ: 08 มีนาคม 2553 10:25:34 »




โคตรของสมาธิ

มีอุบาสกคนหนึ่งถามหลวงพ่อว่า "ถ้าทำสมาธินี้ เอาแต่ขณิกก็พอ ไม่จำเป็นต้องไปไกล
กว่านั่นใช่ไหมครับ" หลวงพ่อชาตอบว่า "ก็ไม่เป็นไรอย่างนั้น คือหมายความว่า
มันต้องเดินไปถึงกรุงเทพฯ ก่อนว่ากรุงเทพฯมันเป็นอย่างนี้
อย่าไปถึงแค่โคราชซิ.. คือไปให้ถึงกรุงเทพฯก่อน และเราก็ผ่านอุบลราชธานีด้วย ผ่านโคราชด้วย
ผ่านกรุงเทพฯด้วย คือเรียกว่าสมาธินะ ขณิกสมาธิ อัปปณาสมาธิ มันจะถึงที่ไหนก็ให้มันถึงที่
มันจึงจะรู้จักโคตรของสมาธิ ว่ามันเป็นอย่างไร อัปปณาสมาธิที่มันมากกว่าอุปจารสมาธิ"


หัวกลอย

ให้กลับความรักที่มีอยู่ ให้กลายเป็นความรักสากล
ให้กลายเป็นความรักที่มีต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย

รักเหมือนแม่รักลูก พ่อรักลูก แม้ผมอยู่กับพวกท่าน
ผมก็รักท่านเหมือนเป็นลูกเป็นหลาน ให้ล้างความใคร่

ออกจากความรักเหมือนหัวกลอย ต้องแล่เอาพิษออกจึงกินได้
ความรักก็เช่นเดียวกัน ต้องพิจารณา มองให้เห็นทุกข์ของมัน

ค่อยๆล้างเอาเชื้อแห่งความมัวเมาออก
เพื่อให้เหลือแต่ความรักล้วนๆ เหมือนครูบาอาจารย์รักศิษย์


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16 มิถุนายน 2553 12:43:27 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: เพิ่มภาพค่ะ » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #26 เมื่อ: 08 มีนาคม 2553 10:33:29 »



http://i306.photobucket.com/albums/nn251/jawrakea/2-11.jpg
การปล่อยวาง หลวงพ่อชา สุภทฺโท


จิตคือควาย

เปรียบเสมือนกับการเลี้ยงควาย จิตของเราก็เหมือนควาย
อารมณ์คือต้นข้าว ผู้รู้เหมือนเจ้าของ

เวลาเราไปเลี้ยงควายทำอย่างไร
ปล่อยมันไป
แต่เราพยายามดูมันอยู่

ถ้ามันพยายามเดินไปใกล้ต้นข้าว
ก็ตวาดมัน
ควายได้ยินก็จะถอยออกไป

แต่เราอย่าเผลอนะ   ถ้ามันดื้อไม่ฟังเสียง
ก็เอาไม้ฆ้อนฟาดมันจริงๆ   มันจะไปไหนเสีย



วัวไม่กินหญ้าก็คือหมู

ทุกวันนี้ อาตมาไม่ค่อยได้เทศน์มาก อยู่วัดอยู่วาก็เหมือนกัน
ปีนี้เทศน์ให้แม่ชีฟังถึงสองสามครั้งหรือเปล่า ก็จำไม่ได้

พระเจ้าพระสงฆ์ก็ให้อยู่เฉยๆ ให้ดูเอาปฏิบัติเอง
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
เพราะเข้าใจว่า คนมีศรัทธา จึงเข้ามาในวัด จึงมาบวชเป็นปะขาว

จึงมาบวชเป็นเณร จึงมาบวชเป็นพระ
เข้าใจอย่างนั้น
ถ้าเข้าใจอย่างนั้นก็เหมือนกันกับวัวเราน่ะแหละ

วัวมันกินอะไร
มันกินหญ้า
จับมันมาปล่อยในสนามหญ้าแล้ว

ถ้ามันไม่กินหญ้า มันก็เป็นหมูเท่านั้นแหละ



ขอบพระคุณที่มาค่ะ.. จาก.. derbyrock
กระดานสนทนา วัดบางพระ หมวด ธรรมะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23 สิงหาคม 2553 15:28:34 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: เพิ่มภาพค่ะ » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #27 เมื่อ: 08 มีนาคม 2553 11:14:32 »


http://img511.imageshack.us/img511/9607/pichunterinlandscapeseaxl0.jpg
การปล่อยวาง หลวงพ่อชา สุภทฺโท


นักปฏิภาณ

บางครั้งหลวงพ่อชา ท่านมีจิตแจ่มใส เดาใจคนถามได้อย่างแม่นยำ
จึงมักจะมีการใช้ ปฏิภาณ
โต้ตอบปัญหาอย่างเฉียบแหลมอยู่เสมอ


http://img165.imageshack.us/img165/7364/9pinkekf1.jpg
การปล่อยวาง หลวงพ่อชา สุภทฺโท


ใครรู้อัตตา

คนที่นับถือพระเจ้า ไม่ยอมรับคำสอนเรื่อง "อนัตตา"
ของพระพุทธศาสนา
เหตุผลของเขาก็คือ "จะเอาอะไรมารู้อนัตตาเล่า ถ้าไม่ใช่อัตตา"


วันหนึ่ง มีชาวคริสต์มาถามหลวงพ่อว่า "ใครรู้อนัตตา"
หลวงพ่อถามกลับทันที "ใครรู้อัตตา"





นกไม่รู้เรื่องปลา

มีชาวต่างประเทศถามหลวงพ่อว่า ชีวิตพระเป็นอย่างไร?
หลวงพ่อคิดว่าตอบอย่างไรก็ไม่เข้าใจแน่ เพราะเขายังไม่รู้จักพระ

จึงตอบไปว่า

ถึงปลาจะบอกว่าอยู่ในน้ำเป็นอย่างไร

นกก็ไม่มีทางจะรู้ได้   ตราบใดที่นกยังไม่เป็นปลา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26 ธันวาคม 2553 11:25:08 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: เปลี่ยนภาพที่หายไปค่ะ » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #28 เมื่อ: 08 มีนาคม 2553 11:25:59 »


ของแปลก

ในความเคร่งเครียดในการปฏิบัติธรรม หลวงพ่อก็ยังมีแง่มุมที่ขบขันให้เราได้เห็นบ้าง
เป็นการหักมุมที่ค่อนข้างจะตื่นเต้นมาก

ดังที่ท่านบันทึกไว้ในการเดินทางไปประเทศอังกฤษ
เมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๒๐ ว่า

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในการเดินทางในวันที่ ๖ ในขณะที่บินอยู่
เครื่องบินได้เกิดอุบัติเหตุ
ยางระเบิด ๑ เส้นบนอากาศ พนักงานการบินจึงได้ประกาศให้ผู้โดยสาร

เตรียมตัวรัดเข็มขัด  มีฟันปลอมก็ต้องถอดออก แม้กระทั่งแว่นตาหรือรองเท้า
เครื่องบริขารทุกอย่างต้องเตรียมพร้อมหมด

ผู้โดยสารทุกคนเมื่อเก็บเครื่องบริขารทุกอย่างเสร็จแล้ว ต่างคนต่างก็เงียบ
คงคิดว่าจะเป็นวาระสุดท้าย ของพวกเราทุกคนเสียแล้ว

ขณะนั้นเราก็ให้คิดว่าเป็นครั้งแรกที่เรา ได้เดินทางมาเมืองนอก  เพื่อสร้างประโยชน์แก่พระศาสนา
จะเป็นผู้มีบุญอย่างนี้เทียวหรือ  เมื่อระลึกได้เช่นนี้แล้ว

ก็ตั้งสัตย์อธิษฐาน มอบชีวิตให้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
แล้วก็กำหนดจิตรวมลงในสถานที่ควรอันหนึ่ง
แล้วก็ได้รับความสงบเยือกเย็น ดูคล้ายกับ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น พักในที่ตรงนั้น

จนกระทั่งเครื่องบินได้ลดระดับ  ลงมาถึงแผ่นดินด้วยความปลอดภัย
ฝ่ายคนโดยสารก็ปรบมือกันด้วยความดีใจ คงคิดว่าเราปลอดภัยแล้ว

สิ่งที่แปลกก็คือ ขณะเมื่อเครื่องบินเกิดอุบัติเหตุ ต่างคนก็ร้องเรียกว่า
หลวงพ่อช่วยปกป้องคุ้มครองพวกเราทุกคนด้วย
แต่เมื่อพ้นอันตรายแล้ว เดินลงจากเครื่องบิน เห็นประณมมือไหว้พระเพียงคนเดียวเท่านั้น

นอกนั้นไหว้แอร์โฮสเตสทั้งหมดในที่นั้น นี้เป็นสิ่งที่แปลก



 ยิ้ม  http://www.baanmaha.com/community/คำสอนหลวงพ่อชา-สุภัทโท-31449/
บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #29 เมื่อ: 08 มีนาคม 2553 18:30:31 »

http://img222.imageshack.us/img222/5149/b5b34390542655a26677f49.jpg
การปล่อยวาง หลวงพ่อชา สุภทฺโท
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #30 เมื่อ: 10 มีนาคม 2553 19:25:01 »




จิตที่ถูกปฏิบัติจะพัฒนาได้

      พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า อานนท์ ปฏิบัติให้มาก ทำให้มาก
แล้วจะสิ้นสงสัย

ความสงสัยจะไม่มีวันสิ้นสุดไปได้ ด้วยการคิด ด้วยทฤษฎี
ด้วยการคาดคะเน

หรือด้วยการถกเถียงกัน หรือจะอยู่เฉยๆ ไม่ปฏิบัติภาวนาเลย
ความสงสัยก็หายไปไม่ได้อีกเหมือนกัน

กิเลสจะหายสิ้นไปได้ ก็ด้วยการพัฒนาทางจิต ซึ่งจะเกิดได้
ด้วยการปฏิบัติที่ถูกต้องเท่านั้น

พระอาจารย์ชา สุภัทโท


 รัก  http://chatu2008.spaces.live.com/blog/cns!8D50BFF48EE14169!774.entry
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #31 เมื่อ: 10 มีนาคม 2553 20:36:21 »


http://img197.imageshack.us/img197/4718/standon.jpg
การปล่อยวาง หลวงพ่อชา สุภทฺโท


........คิด กับ พิจารณา........

ปัญหาอีกข้อหนึ่งที่นักปฏิบัติมักสงสัยบ่อย ๆ ก็คือการพิจารณาคืออะไรกันแน่ คอยสงสัยว่ามันต่างกับความนึกคิดอย่างไร หลวงพ่อได้อธิบายเรื่องนี้ไว้อย่างชัดแจ้งในคำตอบที่ท่านให้กับนักปฏิบัติจากอเมริกาที่มากราบนมัสการและสนทนาธรรมที่วัดหนองป่าพง

“ความคิดอย่างหนึ่ง ความพิจารณาอย่างหนึ่ง คือความคิดนั้นจิตมันไม่ส่ายหรอก มันก็คิดของมันไปเรื่อย ๆ หยาบ ๆ ทีนี้เมื่อจิตสงบปุ๊บมันจะมีความรู้สึก เกิดความรู้สึกอย่างหนึ่งขึ้นมา คล้าย ๆ ความคิด แต่มันไม่ใช่ความคิด อันนี้มันเกิดมาจากความสงบที่กลั่นกรองออกมาแล้ว มันจะเป็นปัญญาอ่อน ๆ ถ้าเรารู้ไม่ทันมัน มันก็เป็นสังขาร ถ้าเรารู้ทันมัน มันก็เป็นปัญญา เป็นปัญญายังไง เมื่ออะไรมันรู้เกิดขึ้นมามันก็เห็นว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี่เป็นปัญญา ถ้าเราปรุงแต่ง คิดยังงั้นคิดยังงี้ นี่มันเป็นสังขารแล้ว ไอ้ความรู้อันนั้นมันเกิดมาจากอวิชชาแล้วมันจึงเป็นอย่างนั้น ถ้าเกิดมาจากวิชชาแล้วก็ต้องรู้จักปล่อย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ปล่อยมันไปเรื่อย ๆ นี่มีปัญญาแล้ว ควรให้มีตรงนี้ อันนี้แหละจะเป็นวิปัสสนาต่อไป ตรงนี้เริ่มแล้ว”

ถาม “แล้วตอนนั่งจะรู้ได้ยังไงว่าเป็นปัญญาจริงหรือว่าเป็นอวิชชา ?”

หลวงพ่อ “เป็นปัญญาที่แท้จริงคือมันไม่ไปยึดหมายในอารมณ์อันนั้น เห็นแล้วก็ไม่รำคาญ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นเรื่องธรรมดาไม่มีอะไรแล้ว เมื่อกิเลสเกิดขึ้นมา ความรู้มากระทบ มันก็หายไป ๆ ถ้าเป็นอวิชชากระทบมาจับเลย คือเรื่องการภาวนามันมีสองอย่าง ท่านตรัสไว้ว่า มัน เจโตวิมุตติ อันหนึ่ง ปัญญาวิมุตติ อันหนึ่งนะ ปัญญาวิมุตติ นั้นเรียกว่ามันเร็วมาก อย่างคนสองคนนี้จะเดินไปดูลวดลายซักอย่างหนึ่ง อย่างโยมก็ไปดูพร้อมกันนี่น่ะ ดูห้านาทีพร้อมกันนี่ เข้าใจเอามาทำเลย รู้ ทีนี้อีกคนหนึ่งจะต้องมานั่งคิดตรงนั้นมันทำยังงั้น ก็กลับไปดูอีก ตรงนั้นมันทำยังงั้น แน่ะ เจโตวิมุตติ ต้องมาทำจิตให้มันมาก ๆ เสียหน่อยหนึ่ง ทำสมาธิให้มากเสียหน่อยหนึ่ง

โยมนี่ไม่ต้องอะไรแล้วนี่ ไปมองดูเข้าใจแล้วก็มาทำ ไม่สงสัย กลับมาเขียนเลยทำเลย นี่ ปัญญาวิมุตติ ทั้งปัญญาวิมุตติและเจโตวิมุตติ นี้ก็ไปถึงที่สุดเหมือนกัน แต่ว่ามีอาการต่างกัน มีอาการต่างกันอย่างไร ปัญญาวิมุตตินี้มีสติสัมปชัญญะรอบอยู่เสมอเลย เมื่อเห็นอะไรพ้นขึ้นมา รู้ รู้ มันปล่อย มันวางง่าย คนที่เจโตวิมุตตินี่เห็นขึ้นมาแล้วไม่ได้ ต้องไปนั่งพิจารณา นี่ก็ไปได้เหมือนกัน ให้รู้จักจริตของเรา บางคนที่อาจจะไม่รู้ว่ามันเป็นสมาธิด้วย เราเดินไปเดินมา สมาธิคือความตั้งใจมั่น มันมีอยู่ในตัวของมันอยู่แล้ว ถ้าคนมีปัญญาไม่ต้องยาก ทำสมาธินี่พอเป็นรากฐานเฉย ๆ คล้าย ๆ ว่าเขาเรียนกัน มศ.3 น่ะ มศ.6 นะ ได้ม.6 ปุ๊บแล้วก็แยกไป จะไปเข้าตรงไหน ใครชอบอะไร ใครชอบเกษตรก็ไปเกษตร ใครชอบอะไรก็ไป มันแยกตรงนี้อย่างนี้ สมาธิก็เหมือนกันอย่างนี้ มันไปอย่างนี่ก็ไปถึงที่สุดของมัน”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10 มีนาคม 2553 20:45:30 โดย เงาฝัน » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #32 เมื่อ: 10 มีนาคม 2553 20:58:34 »


http://img25.imageshack.us/img25/1292/tesana4s.jpg
การปล่อยวาง หลวงพ่อชา สุภทฺโท


" การไม่กระทำบาปนั้นมันเลิศที่สุด บางคนบางคราว

โจรมันก็ให้ได้ มันก็แจกได้ แต่ว่าจะพยายามสอนให้มันหยุดเป็นโจรนั้นน่ะ
มันยากที่สุด

การจะละความชั่วไม่กระทำผิดมันยาก

การทำบุญ โจรมันก็ทำได้ มันเป็นปลายเหตุ
การไม่กระทำบาปทั้งหลายทั้งปวงนั้นน่ะ เป็นต้นเหตุ"



 รัก  ขอบพระคุณที่มาค่ะ จาก : derbyrock
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #33 เมื่อ: 13 มิถุนายน 2553 12:24:42 »


http://i170.photobucket.com/albums/u280/Michael2505/buddha_flower.jpg
การปล่อยวาง หลวงพ่อชา สุภทฺโท


ปุถุชน กับ ธรรมะ

ภาษาธรรมะที่พระพุทธเจ้าท่านสอนนั้น ก็สอนให้แก่พวกเราทั้งหลายนี้แหละ พวกเราที่เป็นปุถุชนให้เป็นอริยชน เหมือนเราจะสร้างบ้านเรือน เราก็ต้องหาสิ่งที่ยังไม่สำเร็จ จะเป็นเสา เป็นขื่อ เป็นแป ฯลฯ มันไม่ได้สำเร็จมาเลยทีเดียวหรอก เราต้องไปแปลงสภาพมันขึ้นมา เสาเรือนก็ดี เดิมเกิดจากไม้ที่มันยาว มันคดอยู่ ซึ่งรวมอยู่กับต้นไม้นั่นแหละ เราต้องไปเลื่อย ไปแปรรูปออกมา คนฉลาดก็สามารถนำเอามาสร้างบ้านเรือนได้

   เราก็เหมือนกัน ยังเป็นปุถุชนอยู่ มีลูกมีเมีย มีอะไรต่างๆ เป็นธรรมดาของโลก แต่ถ้าเรารู้จักการภาวนา รู้จักธรรมะแล้ว ก็สามารถระบายสิ่งไม่ดี สิ่งที่ผิดออกได้ ไม่วันนี้ก็พรุ่งนี้ ไม่น้อยก็มาก เหมือนกับเราแบกของหนัก เมื่อเอาทิ้งไปทีละน้อยๆ ทิ้งบ่อยๆ มันก็เบาได้ เมื่อทิ้งไปๆ ผลที่สุดก็วางหมด เหมือนกับเราแบกไม้ฟืนนั่นแหละ เมื่อถึงกระท่อมก็ทิ้งโครมเลย มันก็เบาเห็นไหมล่ะ นี่ความเบาเป็นอย่างนี้

   ความชั่วทั้งหลาย ที่เราทำมามันหนักใจของเรา เราค่อยฝึกหัดปฏิบัติไปๆ ใจมันก็ค่อยสว่างไสว ของยากก็เลยกลายเป็นของง่าย ของมืดมันก็สว่าง ของสกปรกมันก็สะอาด รู้จักหลักประพฤติปฏิบัติอย่างนั้น รู้เรื่องอย่างนั้นคือธรรมะ ถ้าไม่รู้เรื่องท่านบอกว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่างนี้ เราก็ไม่รู้อะไร



ความพอใจทำให้หมดปัญหา

เมื่อหากว่า เราพอแล้ว สิ่งอื่นก็หมดราคา พูดง่ายๆว่าเรารับประทานอาหาร แม้ว่าอาหารจะเอร็ดอร่อยอย่างไรก็ช่างมัน เมื่อมันมีเกินที่เราต้องการแล้ว ถ้าหากว่าเราอิ่มอยู่ทุกอย่างแล้ว อาหารที่เหลือนั้นมันหมดราคาน้อยลง ไม่เหมือนเรารับประทานครั้งแรก ทีแรกอันนั้นก็จะเอา อันนี้ก็จะเอามีราคาหมดทุกอย่าง พออิ่มเข้าอิ่มเข้า อาหารที่อร่อย ย่อมหมดราคาน้อยลง เพราะเราอิ่ม มันเลยเป็นของหมดราคา เมื่อความหิวมีอยู่ก็เอาหมด ผักน้ำพริกก็เอา แก่เท่าไรก็ว่าอ่อน เพราะความหิวมีอยู่ ความอยากมีอยู่ ความต้องการมีอยู่ เมื่อความเป็นเราเป็นเขามีอยู่เป็นต้น มันก็มีปัญหาอยู่ตลอดกาลตลอดเวลาเสมอ


หลวงพ่อชา สุภทฺโท
ขอบพระคุณที่มาค่ะ.. จาก.. derbyrock
กระดานสนทนา วัดบางพระ หมวด ธรรมะ
บันทึกการเข้า
varaporn
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 5
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 40


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #34 เมื่อ: 02 กรกฎาคม 2553 18:01:39 »

...ขอบพระคุณมากมาย...
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #35 เมื่อ: 04 กันยายน 2553 07:14:11 »




จิตประภัสสร หลวงพ่อชา

การปฏิบัติเรื่องจิตนี้ .... ความจริงจิตนี้ไม่เป็นอะไร
มันเป็นประภัสสรของมันอยู่อย่างนั้น มันสงบอยู่แล้ว
ที่จิตไม่สงบทุกวันนี้เพราะจิตมันหลงอารมณ์

ตัวจิตแท้ๆนั้นไม่มีอะไร เป็นธรรมชาติอยู่เฉยๆเท่านั้น
ที่สงบไม่สงบ
ก็เป็นเพราะอารมณ์มาหลอกลวง จิตที่ไม่ได้ฝึกก็ไม่มีความฉลาด
มันก็โง่ อารมณ์ก็มาหลอกลวงไป ให้เป็นสุขเป็นทุกข์
ดีใจเสียใจ จิตของคนตามธรรมชาตินั้นไม่มีความดีใจ เสียใจ

ที่มีความดีใจเสียใจนั้นไม่ใช่จิต แต่เป็นอารมณ์ที่มาหลอกลวง
จิตก็หลงไปตามอารมณ์นั้นโดยไม่รู้ตัว
แล้วก็เป็นสุขเป็นทุกข์ ไปตามอารมณ์เพราะยังไม่ได้ฝึก ยังไม่ฉลาด
แล้วเราก็นึกว่า
จิตเราเป็นทุกข์ นึกว่าจิตเราสบายความจริงมันหลงอารมณ์

พูดถึงจิตของเราแล้ว มันมีความสงบอยู่เฉยๆ มีความสงบยิ่ง
เหมือนกับใบไม้ที่ไม่มีลมมาพัด ก็อยู่เฉยๆ
ถ้ามีลมมาพัดก็กวัดแกว่งเป็นเพราะลมมาพัด และก็เป็นเพราะอารมณ์

มันหลงอารมณ์ถ้าจิตไม่หลงอารมณ์แล้วจิตก็ไม่กวัดแกว่ง
ถ้ารู้เท่าอารมณ์แล้ว มันก็เฉยเรียกว่า ปกติของจิตเป็นอย่างนั้น
ที่เรามาปฏิบัติกันอยู่ทุกวันนี้ก็เพื่อให้เห็นจิตเดิม


เราคิดว่าจิตเป็นสุข จิตเป็นทุกข์แต่ความจริงจิตไม่ได้สร้างสุข
สร้างทุกข์ อารมณ์มาหลอกลวงต่างหากมันจึงหลงอารมณ์

ฉะนั้น เราจึงต้องมาฝึกจิตให้ฉลาดขึ้น ให้รู้จักอารมณ์
ไม่ให้เป็นไปตามอารมณ์ จิตก็สงบเรื่องแค่นี้เองที่เราต้องมา
ทำกรรมฐานกันยุ่งยากทุกวันนี้



โดย-พระโพธิญานเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)
คัดลอกมาจากหนังสือ "นอกเหนือเหตุผล




http://www.tairomdham.net/index.php/topic,1808.0.html
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #36 เมื่อ: 17 ตุลาคม 2553 19:32:18 »




ลูกถีบหลวงพ่อชา : อย่าฝากหัวใจไว้กับคนอื่น

ลูกถีบหลวงพ่อชา : อย่าฝากหัวใจไว้กับคนอื่น
พระอาจารย์ญาณธมฺโม
วัดป่ารัตนวัน อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

อาตมาอาจจะเป็นพระองค์เดียวในวงลูกศิษย์หลวงพ่อชา "ที่โดนท่านถีบ" แต่ว่าซาบซึ้งที่ท่านถีบอาตมา และเพราะความซาบซึ้งนั้น จะมาเล่าให้ญาติโยมฟัง

คือตอนนั้นอาตมาบวชใหม่ๆ พรรษาแรกอยู่ที่วัดหนองป่าพง ปีนั้นพระเณร ๗๐ กว่ารูป พระเยอะ ญาติโยมเข้าวัดกันมาก วันนั้นได้ไปบิณฑบาต ตอนกลับจากบิณฑบาตมีพระองค์หนึ่งมาคุยด้วย และพระองค์นั้นก็เพิ่งบวชใหม่เหมือนกัน ทั้งสององค์ต่างยังมีนิสัยแบบฆารวาส และพระองค์นั้นก็ได้ไปตำหนิติเตียนพระที่อยู่ในวัดที่ไม่ถูกใจ

อาตมาฟังแล้วคิดในใจว่า บวชเป็นพระทำไมมาจับผิดกัน ทำไมท่านตำหนิพระองค์นั้นองค์นี้ ก็เลยเดินหนีไม่อยากคุยด้วย แต่ไม่ได้เดินหนีอย่างเดียว เดินหนีตำหนิท่าน ในใจยังคิดเรื่องท่าน

พอดีเดินเข้ามาในวัด เดินก้มหน้าคิดถึงเรื่องพระองค์นี้องค์นั้นอยู่ ได้ยินเสียงหลวงพ่อชา พูดขึ้นมาว่า "กูดมอนิ่ง"

ก็มองขึ้นไป เห็นหลวงพ่อชาก็อยู่ใกล้ๆ ท่านยิ้มใส่เรา พูดภาษาอังกฤษ " แปลว่าสวัสดีตอนเช้า"กูดมอนิ่ง
เราก็ดีใจ ไม่เคยได้ยินหลวงพ่อพูดเป็นภาษาอังกฤษ ก็เลยยกมือไหว้ท่านและตอบท่านว่า "กูดมอนิ่ง หลวงพ่อ"

หลวงพ่อชาท่านพูดภาษาอังกฤษได้ ๒ คำ "กูดมอนิ่ง" สวัสดีตอนเช้า กับ "ดู ยู ว้อน อะคัพ ออฟ ที" แปลว่า คุณต้องการน้ำชาไหม เพราะหลวงพ่อท่านเคยไปประเทศอังกฤษ
ชาวอังกฤษเขากินน้ำชากันทั้งวันทั้งคืนและเขาจะถามตลอดเวลา "ดู ยู ว้อน อะคัพ ออฟ ที"
หลวงพ่อเลยท่องไว้จำไว้ เพราะท่านว่ามันจำง่ายดี เพราะว่าเหมือนพระสวดให้พร ยถาวริวะหา อุปปะกัปปาติ แต่ท่านไม่ได้ถามอาตมา "ดู ยู ว้อน อะคัพ ออฟ ที"

เรายกมือไหว้ท่านรู้สึกดีใจอารมณ์เปลี่ยน ฉันเสร็จก็กลับกุฏิ เดินจงกรมนั่งสมาธิถึงหกโมงเย็นก็คิดว่าเดี๋ยวจะไปกุฏิหลวงพ่อชา

ถ้าใครเคยไปวัดหนองป่าพง จะเห็นกุฏิเก่าของท่านข้างๆ โบสถ์ ซึ่งหลวงพ่อมักจะนั่งบนเก้าอี้หวาย อาตมาเข้าไปก็กราบท่าน ขอนวดเท้า เพราะเราเคยฝึกนวดเท้า บางครั้งท่านจะให้เราไปนวด

วันนั้นพระเณรเยอะ ประมาณทุ่มหนึ่งเขาตีระฆัง ท่านก็ไล่พระเณรขึ้นโบสถ์หมด พระเณรประมาณ ๗๐ รูป

ท่านบอกว่า ท่านญาณอยู่นี่ ก็นั่งสองต่อสองกับท่านก็จับเท้าท่านไว้ ท่านก็ไม่ได้พูดท่านนั่งหลับตาภาวนา เราก็นวดเท้าท่าน อากาศเย็นสบายช่วงฤดูหนาว

พระเจ็ดสิบรูปเริ่มสวดมนต์ทำวัตรเย็น เราฟังพระสวดมนต์เจ็ดสิบรูป เหมือนเทวดา เหมือนเทพกำลังจะโปรดเรา เราก็นั่งคิด เรากำลังนั่งกับพระอรหันต์ กำลังสร้างบุญกุศล ถวายการนวดแก่พระอรหันต์อยู่ เทวดากำลังสวดอนุโมทนาด้วย จิตใจขึ้นสวรรค์เลย พอดีจิตใจขึ้นสวรรค์

หลวงพ่อใช้เท้าถีบหน้าอกอาตมาจนหงายหลัง หัวกระแทกพื้น เราก็ช็อกอยู่ งงเลย..!!!

หลวงพ่อชี้หน้า นั่นตอนเช้าพระองค์หนึ่งพูดไม่ถูกใจเรา เราก็เสียใจ อีกองค์หนึ่งพูดแค่ "กูดมอนิ่ง" ดีใจทั้งวัน อย่าไปดีใจ เสียใจกับคำพูดคนอื่น อย่าไปฝากหัวใจไว้กับคนอื่น ต้องฝากหัวใจไว้กับพระธรรม

ทีนี้ท่านก็เทศน์กัณฑ์ใหญ่ เราก็ยกมือไหว้ท่าน น้ำตาไหล เพราะอะไร ซาบซึ้งในเมตตากรุณาของท่าน ท่านก็คงเห็นเราตอนเช้า ว่าพระองค์นี้ตกนรก จิตเป็นทุกข์ เพราะคำพูดคนอื่น

ท่านก็เลยพูดแค่ "กูดมอนิ่ง" ให้ดึงเราขึ้นจากนรก และตอนเย็นท่านก็ปล่อยให้เรานวดเท้าท่านให้ขึ้นสวรรค์ ขึ้นสวรรค์แล้ว ต้องถีบลงมาถึงแผ่นดิน เพราะเทวดาสอนธรรมไม่ได้ต้องมนุษย์ เพื่อให้จดจำไว้


"อย่าฝากหัวใจไว้กับคำพูดของผู้อื่น เพราะเราจะผิดหวัง
ต้องฝากหัวใจไว้กับพระธรรม
ก็เลยได้จดจำคำพูดหลวงพ่อ..."


http://larndham.org/index.php?/topic/37247-%e0%b8%a5%e0%b8%b9%e0%b8%81%e0%b8%96%e0%b8%b5%e0%b8%9a%e0%b8%ab%e0%b8%a5%e0%b8%a7%e0%b8%87%e0%b8%9e%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%8a%e0%b8%b2-%e0%b8%ad%e0%b8%a2%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b8%9d%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%ab%e0%b8%b1%e0%b8%a7%e0%b9%83%e0%b8%88/
อนุโมทนาสาธุ ที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ
บันทึกการเข้า
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #37 เมื่อ: 17 ตุลาคม 2553 20:36:52 »

อนุโมทนาสาธุครับ

ได้อ่านของหลวงปู่ มีความสุขทุกที
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #38 เมื่อ: 19 ตุลาคม 2553 16:36:28 »



   นิวรณ์  ศัตรู หรือ ครูผู้สอนใจ
   หลวงพ่อชา สุภัทโท   
   
   หลวงพ่อท่านให้ภาวนาตั้งท่าทีทัศนะต่อนิวรณ์ที่กำลังรุมเร้ารบกวนจิตใจอยู่ว่า เป็นครูบาอาจารย์หรือเครื่องทดสอบสติปัญญาของตน มากกว่าที่จะมองเห็นนิวรณ์เป็นตัวศัตรูที่น่าเกลียด อันอาจทำให้เกิดความตึงเครียดเป็น วิภวตัณหา ซึ่งเป็นเหตุให้ความไม่อยากให้นิวรณ์นั้นอยู่ในใจของตนทุกข์เพิ่มทวี อีกวิธีการหนึ่งที่หลวงพ่อสอนสำหรับแก้องค์นิวรณ์ คือคำว่า ไม่แน่
   
   เมื่อมันเกิดอะไรขึ้นมาในใจของเรานี่ มันเกิดเป็นอารมณ์ขึ้นมา ที่เราชอบใจก็ตาม เราเห็นว่ามันผิดมันถูกก็ตามเถอะ ให้เราตัดมันไปเลยว่า อันนั้นมันไม่แน่ จะเกิดอะไรขึ้นมาก็ช่างมันเถอะ สับมันลงไป ไม่แน่ ไม่แน่ อย่างเดียว ขวานเล่มเดียวสับลงไป ไม่แน่ทั้งนั้นแหละ มันแน่ตรงที่ไหนล่ะ ถ้าเห็นว่ามันไม่แน่ ทุกสิ่งทุกอย่าง ราคามันก็น้อยลง อารมณ์ทั้งหลายมันเป็นของที่ไม่มีราคาแล้ว ของที่ไม่มีราคาแล้วเราจะเอาไปทำไม
   เรื่อง การปฏิบัติต่อ นิวรณ์ จึงขึ้นกับ ทัศนะมุมมอง และ ท่าทีของการปฏิบัติต่อมัน
   
   ถ้า ปฏิบัติด้วยการรู้เท่าทัน เช่นที่ทรงแสดง ใน ธัมมานุปัสสนา นิวรณ์บรรพ คือ

   รู้ชัดว่า มีหรือไม่มีอยู่ในจิต

   รู้ชัดว่า ที่มีนี้ มีเพราะเหตุใด

   รู้ชัดว่า ที่มันดับไป ดับด้วยเหตุใด

   รู้ชัดว่า ที่ยังไม่เกิดขึ้น จะไม่เกิดขึ้นด้วยเหตุใด

   และ เห็นสภาวธรรมทั้งหลาย เป็นเรื่อง"สักแต่ว่า" ที่ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
   
   ถ้าอยู่ในหลักการนี้ การปฏิบัติต่อจิต ไม่ว่าจะเป็นการอบรมจิตด้วยสมาธิภาวนาวิธีใดๆ ก็จะจัดเป็นฉันทะ เป็นเหตุแห่งความเจริญ และ ก็จะบ่ายหน้าไปสู่ความสิ้นทุกข์ทั้งสิ้น
   
   แต่ ถ้าปฏิบัติต่อจิต ด้วยการไปตั้งหน้าตั้งตารังเกียจนิวรณ์ เห็นนิวรณ์เป็นศัตรูที่จะต้องกำจัด จนกลายเป็นการปฏิบัติต่อนิวรณ์ด้วยวิภวตัณหา(อยากให้ไม่เกิด หรือ ไม่อยากให้เกิด) ก็จะกลายเป็นความเครียด และ ทุกข์ เมื่อจิตมีนิวรณ์เข้า
   
   การฝึกจิต อบรมจิต ด้วยกรรมฐานต่างๆ ก็คือ การประกอบเหตุอันควร เพื่อนำไปสู่ผลอันควร

   เป็น การประกอบเหตุ แล้ว ปล่อยให้ผลมันดำเนินไปเอง
   
   การฝึกจิต ไม่ใช่เป็นการทำจิตที่เป็นอนัตตา(บังคับไม่ได้) ให้กลายเป็นจิตที่เป็นอัตตา(บังคับได้)
   
   การฝึกจิต ไม่ใช่การสั่งจิตว่า "จงสงบเดี๋ยวนี้ จงหายโกรธเดี๋ยวนี้ จงสงัดจากกามเดี๋ยวนี้" โดย ไม่ประกอบเหตุอันควร ....ซึ่ง นั่นคือ การบังคับจิต และ เป็นสิ่งที่ไม่ถูก
   
   แต่ การฝึกจิต คือ "การประกอบเหตุที่จะเป็นเหตุนำจิตไปสู่ความสงบ ที่จะนำจิตไปสู่ความมีเมตตา ที่จะนำจิตไปสู่ความจางคลายจากราคะ " แล้ว ปล่อยให้จิตมันดำเนินไปสู่ผล ....เป็นกุศโลบายที่พระพุทธองค์ท่านประทานไว้ให้แก่ผู้เดินตามที่มีจริตนิสัยบางประเภท สำหรับอบรมจิต



บันทึกการเข้า
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 6.0.472.63 Chrome 6.0.472.63


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #39 เมื่อ: 19 ตุลาคม 2553 16:57:41 »

สาธุ อนุโมทนาครับ
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 2.0.0.20 Firefox 2.0.0.20


ดูรายละเอียด
« ตอบ #40 เมื่อ: 26 ธันวาคม 2553 16:37:41 »




สำคัญที่สติ

พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภทฺโท)
วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี

สติเป็นธรรมอันเอก
ที่จะคอยประคององค์สมาธิให้เดินไปในแนวสัมมาปฏิปทา

ข้อนี้หลวงพ่อท่านเน้นไว้หนักหนา

“สิ่งที่รักษาสมาธิไว้ได้
คือสตินี้เป็นธรรม เป็นสภาวธรรมอันหนึ่ง
ซึ่งให้ธรรมอันอื่นๆ ทั้งหลายเกิดขึ้นโดยพร้อมเพรียง

สตินี้คือชีวิต ถ้าขาดสติเมื่อใดก็เหมือนตาย
ถ้าขาดสติเมื่อใดก็เป็นคนประมาท

ในระหว่างที่ขาดสตินั้น
พูดไม่มีความหมาย การกระทำไม่มีความหมาย

ธรรมคือสตินี้ คือความระลึกได้ในลักษณะใดก็ตาม
สติเป็นเหตุให้สัมปชัญญะเกิดขึ้นมาได้
เป็นเหตุให้ปัญญาเกิดขึ้นมาได้ ทุกสิ่งสารพัด

ธรรมทั้งหลายถ้าหากว่าขาดสติ ธรรมทั้งหลายไม่สมบูรณ์
อันนี้คือการควบคุมการยืน การนั่ง การนอน
ไม่ใช่เพียงขณะนั่งสมาธิเท่านั้น

แต่เมื่อเราออกจากสมาธิไปแล้ว
สติยังเป็นสิ่งประจำใจอยู่เสมอ มีความรู้อยู่เสมอ
เป็นของที่มีอยู่เสมอ ทำอะไรก็ระมัดระวัง
เมื่อระมัดระวังทางจิตใจ ความอายก็เกิดขึ้นมา
การพูด การกระทำอันใดที่ไม่ถูกต้อง เราก็อายขึ้น อายขึ้น

เมื่อความอายมีกำลังกล้าขึ้นมา ความสังวรก็มากขึ้นด้วย
เมื่อความสังวรมากขึ้น ความประมาทก็ไม่มี”

นี่ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้นั่งสมาธิอยู่ตรงนั้น
เราจะไปไหนก็ตาม อันนี้มันอยู่ในจิตใจของตัวเอง
ไม่ได้หนีไปไหน นี่ท่านว่าเจริญสติ ทำให้มาก เจริญให้มาก

อันนี้เป็นธรรมะคุ้มครองรักษากิจการที่เราทำอยู่หรือทำมาแล้ว
หรือกำลังจะกระทำอยู่ในปัจจุบันนี้
เป็นธรรมะที่มีคุณประโยชน์มาก ให้เรารู้ตัวทุกเมื่อ
ความเห็นผิดชอบมันก็มีอยู่ทุกเมื่อ

เมื่อความเห็นผิดชอบมีอยู่เกิดขึ้นอยู่ทุกเมื่อ
ความละอายก็เกิดขึ้น จะไม่ทำสิ่งที่ผิดหรือสิ่งที่ไม่ดี
เรียกว่าปัญญาเกิดขึ้นแล้ว

แม้ในการเจริญปัญญา
สติในแง่ของการระลึกรู้อยู่ในความไม่แน่
ก็เป็นปัจจัยอันสำคัญอย่างหนึ่ง

“ก็ให้รู้ว่า อันนี้มันไม่แน่นอนอย่างนี้เรื่อยไปเถอะ
แล้วปัญญามันจะเกิดหรอก

แต่อย่าไปคิดออกหน้ามันนะ ให้ดูไปเถอะให้มันรู้
ถ้าหากเรารู้มันจะมารายงานเราหรอก
มันก็คล้ายๆ คนเข้าไปในบ้านที่มีหน้าต่างอยู่ ๖ ช่อง
แล้วก็มีคนๆ เดียวอยู่ในนั้น

เราไปดูหน้าต่าง ก็มีคนโผล่ออกไป
ทางโน้นก็มีคนโผล่ออกไป
มันก็ไอ้คนๆ เดียวกันนั่นแหละ ไม่ใช่คน ๖ คน
คนๆ เดียวมันไปโผล่ทั่วถึงกันทั้งหมด ๖ ช่อง
คนๆ เดียวก็เรียกว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เป็นของไม่แน่ไม่นอนทั้งนั้น

นี้เป็นอารมณ์ของวิปัสสนา จะตัดความสงสัยทั้งหลายออกไปได้”





http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=19634
Pics by : Google
อกาลิโกโฮม  * ใต้ร่มธรรมดอทเน็ต
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ
บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า:  1 [2] 3   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
ประวัติและปฏิปทา ของ หลวงพ่อชา สุภทฺโท « 1 2 »
ประวัติพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ในยุคปัจจุบัน
เงาฝัน 27 20165 กระทู้ล่าสุด 04 กุมภาพันธ์ 2554 21:06:53
โดย คนดีศรีอยุธยา2
สำคัญที่สติ : (หลวงพ่อชา สุภทฺโท)
ธรรมะจากพระอาจารย์
เงาฝัน 1 2620 กระทู้ล่าสุด 18 กรกฎาคม 2554 11:47:32
โดย หมีงงในพงหญ้า
วัดหนองป่าพง หลวงพ่อชา สุภทฺโท ๒๐ ปี แห่งการละสังขาร
ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม
-NWO- 0 2454 กระทู้ล่าสุด 27 มกราคม 2555 15:42:01
โดย -NWO-
เสียงอ่านธรรมเทศนา เหนือเวทนา :หลวงพ่อชา สุภทฺโท
เสียงธรรมเทศนา
เงาฝัน 0 2419 กระทู้ล่าสุด 16 มิถุนายน 2555 17:49:39
โดย เงาฝัน
7 เรื่องเล่าน่ารู้ ของ หลวงพ่อชา สุภทฺโท พระอริยสงฆ์ แห่ง เมืองดอกบัวงาม
พุทธประวัติ - ประวัติพระสาวก
มดเอ๊ก 0 1480 กระทู้ล่าสุด 23 สิงหาคม 2559 04:04:45
โดย มดเอ๊ก
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.69 วินาที กับ 35 คำสั่ง

Google visited last this page วานนี้