[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
24 เมษายน 2567 00:07:48 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : อะไร? คือธรรมชาติของความรู้ การรู้ ความจริง  (อ่าน 1913 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5065


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 04 ตุลาคม 2553 21:17:45 »




อยากจะบอกท่านผู้อ่านที่ได้อ่านบทความของผู้เขียนในระยะหลังๆ หรือในราวๆ 4-5 ปีมานี้ ผู้เขียนที่คงเขียนได้ไม่นาน จะเขียนหนักไปในทางเรื่องของจิตทั้งด้านของปัจเจกบุคคล และด้านของสังคมวัฒนธรรมโดยรวม และแน่นอน จะรวมไปถึงธรรมชาติทั้ง 2 ระดับ ทั้งธรรมชาติที่ตาเห็น เช่น ภูเขา  ต้นไม้และป่าไม้ ฯลฯ และธรรมชาติที่ไม่มีทางเห็นไม่ว่าจะช่วยอย่างไร เช่น จิต-พระจิต จิตวิญญาณหรือวิญญาณระดับสูงจนถึงระดับสูงที่สุดหรือนิพพาน ที่อยากบอกกับผู้อ่านคือ ขอให้อ่านไปด้วยและคิดอย่างไตร่ตรองลึกๆ ไปพร้อมๆ กัน และขอให้อ่านช้าๆ หากไม่เข้าใจก็ให้อ่านซ้ำๆ ผู้เขียนเชื่อว่าท่านผู้อ่านจะได้อะไรติดตัวไปด้วยไม่มากก็น้อย


เมื่อกลางปีของปี 2007 มีการประชุมใหญ่ของนักวิชาการที่มีชื่อเสียงมีคนนับหน้าถือตาที่สำคัญ  (distinguished mainstream academics) ของอเมริกา อังกฤษ และแคนาดา จำนวนมาก โดยการทำหนังสือเชิญเฉพาะตัวเป็นเวลา 2 วัน ที่มหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา จุดมุ่งหมายของการประชุมคือ ต้องการให้นักวิชาการและอาจารย์มหาวิทยาลัยได้พิจารณาให้ถี่ถ้วนต่อหลักฐานและทฤษฎีต่างๆ ในการอธิบายเรื่องหรือปรากฏการณ์ทางจิตที่นักวิทยาศาสตร์ได้มีการวิจัยและนำเสนอในที่ประชุม นักวิทยาศาสตร์ที่นำเสนอหลักฐานและทฤษฎีที่เป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งใครๆ ก็เถียงไม่ได้ -  ประกอบด้วยนักฟิสิกส์ นักประสาทวิทยาศาสตร์ นักจิตวิทยาการทดลอง ฯลฯ พร้อมกับเปิดโอกาสให้นักวิชาการทั้งหลายได้ถกเถียงกัน


สถาบันและมูลนิธิผู้จัดการประชุมต้องการให้นักวิชาการเหล่านี้ได้พิจารณาข้อนำเสนอของนักวิทยาศาสตร์ดังกล่าวมานั้นอย่างจริงๆ จังๆ และตั้งคำถามเพื่อโต้เถียงกันจริงๆ คือ อย่าให้เป็นเช่นอดีตศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียที่อุทิศทั้งชีวิตร่วม 70 ปี ที่ทำวิจัยเรื่องการระลึกชาติ  (reincarnation) ที่เริ่มตั้งแต่ทศวรรษที่ 1930s และเสียชีวิตไปเมื่อไม่นานเท่าไรมานี้ นั่นคือ  ศาสตราจารย์เอียน สตีเว็นสัน ที่ได้เดินทางไปรอบโลกเพื่อการวิจัยนี้ รวมทั้งประเทศไทย (2 ครั้ง) และมีส่วนทำให้สมาคมการค้นคว้าทางจิตแห่งประเทศไทยเกิดขึ้น เอียน สตีเว็นสัน กล่าวถึงความเสียใจอย่างที่สุดของเขาต่อนักวิทยาศาสตร์ และนักวิชาการ “สายหลัก” ถึงการวิจัยที่เขาได้อุตส่าห์เสียเวลาค้นคว้าทำมาอย่างตั้งใจและยาวนานว่า “นักวิชาการเหล่านี้แทบทั้งหมดเลยไม่เชื่อเรื่องการระลึกชาติก็ไม่ว่า แต่นี่-ดันไม่เชื่อ-ทั้งๆ ที่โดยไม่ได้อ่านหลักฐานจากผลของการวิจัยเลย” (อย่าลืมว่าการวิจัยของศาสตราจารย์เอียน สตีเว็นสัน นั้นขัดกับทั้งวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม - ในที่นี้ทางด้านของศาสนา - ของชาวตะวันตกอย่างรุนแรง ในช่วงเวลานั้น “ชีววิทยาดาร์วินซึ่ม” ในฐานะทฤษฎีที่อธิบายการกำเนิดของชีวิต และทั้งเป็นการกำเนิดของชีวิตของมนุษย์เสียด้วย ซึ่งในฐานะมนุษย์ที่สนใจเป็นพิเศษในอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ (anthropocentric) ฉะนั้นจึงมีทฤษฎีที่มีเหตุผลน่าเชื่อกว่าทางศาสนา นักวิชาการ และนักวิทยาศาสตร์ จึงหันไปยอมรับชีววิทยาดาร์วินซึ่มกันมากขึ้นเรื่อยๆ จนนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์ทั่วไปเชื่อว่ามนุษย์เป็นสิ่งของเหมือนกับสสารวัตถุทั้งหลายทั้งปวง ทั้งวิวัฒนาการก็เป็นเรื่องของกายภาพสถานเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งชีวิตต่างล้วนแล้วแต่ก่อประกอบขึ้นมาจากวัตถุและความบังเอิญและบังเอิญๆๆ (random or chances) เหมือนกับนาฬิกาหรือเครื่องจักรเครื่องยนต์ที่ทายผลได้ และธรรมชาติจัดการควบคุมมันทั้งหมด เช่น น้ำ ลม อุณหภูมิ หิน ฯลฯ ด้วยความจำเป็นอีกที นักวิชาการกับนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่จึงเข้าใจว่า - ดั่งคำถามที่ตั้งเป็นหัวข้อเรื่องของบทความของวันนี้ นั่นคือ ถามว่าอะไรหรือ? คือธรรมชาติของความรู้ การรู้ ความจริงของมนุษย์เรา (ซึ่งแตกต่างกันมากยิ่งนัก) -  สำหรับเรื่องความรู้นั้น คำตอบของ นักวิทยาศาสตร์กายภาพ นักวิชาการกับนักวัตถุนิยม  (materialist) และนักชีววิทยาและแพทย์ส่วนใหญ่ ในทุกวันนี้ โดยเฉพาะประเทศที่กำลังพัฒนา เช่น  ประเทศไทยเราหรือประเทศที่เพิ่งจะพัฒนามาใหม่ๆ ของเอเชีย ก็คือความรู้ที่มนุษย์เรามีแทบจะทั้งหมดเป็นการคลี่ขยายมาจากตัวของคนเอง นั่นคือ มาจากธรรมชาติ มาจากวิวัฒนาการทางกายภาพเพียงอย่างเดียว หรือพูดได้ว่า ความรู้ทั้งหลายของเรานั้น ส่วนใหญมากๆ ตั้งบนวิทยาศาสตร์ - ที่มาในตอนหลังราวๆ 100 กว่าปีมานี้เท่านั้น - ทั้งหมดของวิทยาศาสตร์ซึ่งเมื่อไล่ต่อไปแล้วล้วนตั้งอยู่บนความบังเอิญๆๆ ที่ว่านั้น

แต่อีกประการหนึ่ง ดังได้กล่าวมาแล้วว่าความคิดของเอียน สตีเว็นสัน เรื่องการระลึกชาติ  (reincarnation) ซึ่งในช่วงเวลานั้นมีความขัดแย้งกับวิทยาศาสตร์ (กายภาพที่ตอนนั้นเรียกว่าวิทยาศาสตร์เฉยๆ) และทั้งยังขัดกับศาสนาคริสต์ของชาวตะวันตกอย่างรุนแรง การขัดแย้งกันนั้นได้ทำให้สาธารณชนคนทั่วไป รวมทั้งผู้ที่ได้รับการศึกษาดีและนักวิชาการจำนวนไม่น้อยเปลี่ยนความเชื่อ เพราะว่าตั้งแต่มีศาสนาคริสต์มาจนกระทั่งถึงคริสต์ศตวรรษที่ 5 ศาสนาคริสต์ก็เชื่อในการระลึกชาติมาตลอด  (G. McGregor : Reincarnation and the Christianity, 1978) จนกระทั่งโป๊ปวิสิลิอุสบอกให้เลิกเชื่อ  เพราะเชื่อว่าไม่ใช่เป็นคริสต์โดยการเมืองบีบบังคับ ตอนนั้นคนในศาสนาคริสต์ที่เชื่อโป๊ปยิ่งกว่าใครๆ จึงมีข้อห้ามไม่ให้พูดถึงการระลึกชาติมาตั้งแต่นั้น ส่งผลให้ชาวคริสเตียนค่อยๆ มีความเคยชินทีละน้อยๆ จนลืมไปเลย

เพราะฉะนั้นเรื่องของความรู้ของมนุษย์เราก็ตอบแล้วว่าเป็นเพราะวิทยาศาสตร์บวกกับความเชื่อทางศาสนาที่กลายเป็นคามรู้ไปเพราะเชื่อมั่นอย่างเคยชินเป็นเวลาที่ยาวนานมาก  สำหรับวิทยาศาสตร์นั้นซึ่งส่วนใหญ่มากจะตั้งอยู่บนวิทยาศาสตร์เฉยๆ ซึ่ง-ในปัจจุบัน เมื่อมีวิทยาศาสตร์ทางจิตแล้วมันก็คือวิทยาศาสตร์กายภาพที่มีชีววิทยาดาร์วินิซึ่ม หรือนีโอ-ดาร์วินิซึ่มเป็นหัวหอก ส่วนการรู้ (ซึ่งไม่ใช่การมีสติที่รู้ตัวของตัวเอง (conscious)ที่ก็คือ primary awareness) คือการแยกตัวเองเป็นครั้งแรกของ“รูปธรรม กับ นามธรรม”(object and subject split) นั่นคือความเป็นสอง ระหว่างการรู้ของจิตไร้สำนก (unconsciousness) กับการรู้ของจิตสำนึก (consciousness)หรือจิตรู้ หรือจิตใจหรือใจ เช่น การตื่นขึ้นมาจากการหลับลึก (deep sleep) การฟื้นตื่นขึ้นมาจากการหมดสติอย่างลึกหรือประสบการณ์ใกล้ตาย (comatose - NDEs) นั่นเอง ซึ่งการรู้ของจิตรู้ หรือของจิตสำนึก (ภาษาอังกฤษเรียกว่า cognition)        นั้นคือ การรู้เพืยงอย่างเดียวที่ทางนักวิทยาศาสตร์ ทางนักปรัชญา นักการศึกษา นักจิตวิทยา จิตแพทย์ ฯลฯ ส่วนใหญ่มากๆ คิดว่าการรู้มีเพียง “หนึ่ง” เดียวเท่านั้น (ดู-เค็น วิลเบอร์ cognitive development)  แต่ผู้เขียนเห็นด้วยกับคาร์ล ซี. จุง ที่พูดว่าการรู้มี 2 อย่าง คือ การรู้ของจิตจักรวาล ซึ่งเป็นจิตไร้สำนึก  กับการรู้ของจิตสำนึก (unconsciousness cognition กับ consciousness cognition) ที่ได้กล่าวมาแล้ว  และผู้เขียนยังคิดต่อไปว่า การรู้ของจิตไร้สำนึก หรือการรู้ของจิตจักรวาลเป็นการรู้ที่สำคัญกว่า กว้างกว่า  ลึกซึ้งกว่า และนั่นคือความจริงที่แท้จริง ซึ่งเป็นดังที่ได้กล่าวมาแล้วเช่นเดียวกันว่า เราอาจพบการรู้แบบนี้ได้ก็เมื่อเวลาที่เราหลับลึกจริงๆ อันเป็นส่วนสั้นๆ ของการหลับลึก (deep sleep state) ที่มีเวลาไม่นานนัก หรือการหมดสติอย่างลึกจริงๆ ก่อนที่จะตายไปจริง (หากว่าช่วยไม่ทัน) เช่น ระหว่างมีการตายทางคลินิกในผู้ที่มีประสบการณ์ใกล้ตาย (clinically dead in NDEs) ที่พบได้เพียง 7-18% ของผู้ที่รอดชีวิตที่ได้รับการสัมภาษณ์ทั้งหมด 2 หรือ 3 วันหลังจากการช่วยชีวิตไว้ (CPR) - จากรายงานของแพทย์ทางหัวใจที่อเมริกาคนหนึ่ง (Michael Sabom ที่มี 160 ราย) กับแพทย์ที่เนเธอร์แลนด์อีกคนหนึ่ง (Pim van  Lommel ที่มี 344 ราย) ซึ่งผลของการ “ตาย” นั้นแทบว่าจะเป็นบวกทั้งหมด มีเพียง 7-18% ที่ว่ามาข้างบนนั่น ซึ่งแสดงว่าคนที่รายงานนั้นหรือพบว่าคนที่มีประสบการณ์ใกล้ตาย (NDEs) ในเปอร์เซ็นต์ที่รายงานมานั้น “อาจจะ” ได้สภาวะจิตวิญญาณหรือขึ้นสวรรค์ก็ได้


การรู้ (cognition) ที่คาร์ล ซี. จุง กับผู้เขียนที่แบ่งเป็น 2 คือ เป็นการรู้ของจิตไร้สำนึก  (unconsciousness cognition) และการรู้ของจิตสำนึก หรือจิตรู้ (consciousness cognition) ก่อนที่มีการแยกออกเป็น 2 (object and subject split) นั้น จริงๆ แล้วเราไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร? เพราะสิ่งที่เราและสัตว์มองเห็นเป็นเพียง “มายา” ที่มีจุดมุ่งหมายเพียงเพื่อให้เราอยู่รอดในโลกและในจักรวาล (3 มิติบวก  1) อันนี้นั่นคือความจริงแท้ที่อาจเหมือนความจริงที่จิตไร้สำนึกเห็น เพราะจิตไร้สำนึกหรือจิตจักรวาล  (unconsciousness) นั้นโยงใยติดต่อกันเป็นหนึ่งเดียว (wholeness or holism) ดังนั้นคนที่นอนหลับลึกแล้วฝันไป เช่น ในตอนตี 3 ตี 4 หรือในคนที่มีประสบการณ์ใกล้ตาย (NDEs) หรือคนที่ตายไปแล้วใหม่ๆ  จิตไร้สำนึกจะทำหน้าที่เป็นจิตสำนึก (unconsciousness as personal consciousness) คนที่อยู่ในสภาวะเหล่านี้ รวมทั้งคนที่ตายไปแล้วจึงอาจเห็นจิตคนอื่น รู้ว่ามีอะไร ที่ไหน และอย่างไร ทั่วทั้งจักรวาล  เพราะว่ามีการโยงใยติดต่อกันเป็นหนึ่งเดียวของจิตไร้สำนึกของจักรวาล (entangled mind) ดังหนังสือที่ดีน ราดิน เขียนมานั้น (Dean Radin : Entangled Mind, 2007)

ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า จริงๆ แล้วเราไม่รู้ว่าจิตไร้สำนึกของจักรวาล (หรือพระเจ้า) มีลักษณะเช่นไร? อาจจะเหมือนกับสภาพของควอนตัม สตัฟฟ์ (quiff) ที่นักควอนตัมฟิสิกส์ว่าไว้ก็ได้ หรือจะเป็นเช่นเดียวที่พระพุทธเจ้า และศรี อรพินโธ อธิบายไว้ก็ได้คือ เป็นเหมือนแสงชนิดหนึ่งที่กระจ่างใส (ปภามังหรือประภา) และไม่มีที่มาของแสงนั้นๆ (ไม่ใช่ดาว เดือน หรืออาทิตย์) ที่ลัทธิพระเวทเรียกว่า เสาวภาวิขะยา 

ท่านผู้อ่านที่อ่านจบก็พอจะรู้แล้วจากบทความของผู้เขียนบทนี้ว่า ผู้เขียนมีความเห็นอย่างไร? ในเรื่องของความรู้ (knowledge) และการรู้ (cognition) ของมนุษย์เราที่เรามีอยู่ทั้งหมด และการรู้ของเรานั้นพุทธศาสนาบอกว่าจะเกี่ยวข้องกับจิตไร้สำนึกหรือจิตจักรวาล - ในฐานะที่มันคือสาเหตุ - เพียงอย่างเดียวไม่ว่าจะเป็นจิตร่วมโดยรวมหรือจิตของมนุษย์แต่ละคนและทุกคนเป็นปัจเจก จิตไร้สำนึกจักรวาลที่มาจากจิตปฐมภูมิ (primordial unconsciousness) ซึ่งมีมาก่อนจักรวาล ก่อนบิ๊กแบ็ง และแยกจากพลังงานปฐมภูมิ (primordial energy) ไม่ได้และไม่มีทางได้ และที่ถูกเรียกว่าจิตจักรวาล เพราะมันอยู่ในทุกที่ว่างของจักรวาลกับซึมแทรกไปทั่วจักรวาล (penetrate and permeate) และรอคอยให้มนุษย์ขึ้นในจักรวาล จิตไร้สำนึกของจักรวาลนี่เองที่เข้ามาอยู่ในสมองของทุกๆ คน โดยเป็นชั้นๆ เช่น หัวหอมหรือไข่มุก และชั้นนอกเท่านั้นที่ถูกบริหารเป็นจิตสำนึกใหม่ๆ ตลอดเวลา ส่วนชั้นในสุดๆ ก็คือจิตหนึ่ง ซึ่งก็คือนิพพานหรือพระเจ้าในศาสนาที่มีพระเจ้า

บทความในตอนท้ายๆ นี้ใคร่ขอบอกความจริงที่สุด และใคร่ขอเตือนมนุษย์ทุกๆ คนว่า ศาสนาทุกๆ ศาสนาสอนแต่สัจธรรมความจริงของธรรมชาติทั้งนั้น พุทธศาสนาในมุมมองของผู้เขียนมีความสอดคล้องเป็นอย่างยิ่งกับควอนตัมฟิสิกส์กับจักรวาลวิทยาใหม่ที่เพิ่งมีไม่เกิน 7 ปี จงอย่ากลัวตาย เพราะ  “ต้อง” เกิดใหม่เสมอในสังสารวัฏนี่ ถ้ายังไม่รู้แจ้งซึ่งพิสูจน์ได้ ขอบอกว่า จงทำดี มีคุณธรรมไว้เสมอและจงเชื่อมั่นในกฎแห่งกรรม!


http://www.thaipost.net/sunday/031010/28245

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
kaewjanaron
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 6
*

คะแนนความดี: +1/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 54


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Firefox 3.6.10 Firefox 3.6.10


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 07 ตุลาคม 2553 21:06:47 »

^^ อนุโมทนาครับพี่มด
ธรรมชาติของความรู้คือการเปิดหัวใจให้กว้างที่สุดเท่าที่จะเปิดได้ ครับ นิยามของผม
บันทึกการเข้า

~ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครอง~
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
ยึด ! อะไร ?
ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
時々๛कभी कभी๛ 2 2830 กระทู้ล่าสุด 01 ตุลาคม 2553 08:05:03
โดย 時々๛कभी कभी๛
[ไทยรัฐ] - อยู่กับ...ความจริง
สุขใจ ร้านน้ำชา
สุขใจ ข่าวสด 0 274 กระทู้ล่าสุด 07 มกราคม 2565 06:37:29
โดย สุขใจ ข่าวสด
[ไทยรัฐ] - ซึรีส์เกาะเต่า ความจริง-ลับลวง ที่โลกยังคาใจ
สุขใจ ร้านน้ำชา
สุขใจ ข่าวสด 0 194 กระทู้ล่าสุด 30 มีนาคม 2565 17:39:52
โดย สุขใจ ข่าวสด
[ไทยรัฐ] - สามเณร ขอแจง เพจดังแชร์คลิปร้องไห้ อ้างอกหัก ความจริง ปู่ลื่นหัวฟาด เข้า ICU
สุขใจ ร้านน้ำชา
สุขใจ ข่าวสด 0 206 กระทู้ล่าสุด 01 มิถุนายน 2565 23:03:54
โดย สุขใจ ข่าวสด
[ข่าวมาแรง] - 1 ปี กระจายอำนาจ ความหวัง ความจริง คนไร้ที่พึ่ง [คลิป]
สุขใจ ร้านน้ำชา
สุขใจ ข่าวสด 0 79 กระทู้ล่าสุด 10 ตุลาคม 2566 23:15:05
โดย สุขใจ ข่าวสด
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.443 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 13 มีนาคม 2567 17:51:49