เพศที่ 3 (Third sex) ในตำนานกำเนิดมนุษย์ของล้านนาสมัยนี้คนเราสามารถเปิดเผยรสนิยมทางเพศ แบบทางเลือกของตัวเองได้มากขึ้นนะครับ ใครเป็นเกย์ ใครเป็นเสือไบ
ใครเป็นทอมเป็นดี้ สามารถเปิดเผยตัวเองได้มากกว่าสมัยก่อน เป็นยุคที่เราท่านประกาศตัวในเรื่องรสนิยมทางเพศ
ได้อย่างชัดเจน
น่าจะเป็นเพราะยุคนี้คนไม่ค่อยให้ความสนใจกันมาก เราอาจรู้จักกันแค่เพียงผิวเผินเท่านั้น ต่างคนต่างอยู่ไป
ใครอยากเป็นอะไรก็เป็น ถ้าไม่มาเดือดร้อนถึงเรา อันนี้พูดถึงคนในสังคม ไม่รวมถึงคนในครอบครัวด้วยนะครับ
ถ้าเป็นคนในครอบครัวอาจจะยังขัดเคืองใจอยู่บ้าง หากลูกชายจะกลายเป็นผู้ที่มีรสนิยมในการอนุรักษ์สายพันธุ์
ดั้งเดิมของพันธุ์ไม้ (คือรักไม้ป่าเดียวกัน) หรืออาจจะยังรับไม่ได้อยู่บ้าง หากลูกสาวเพียงคนเดียวของครอบครัว
คิดจะมีสามีหรือภรรยาเป็นผู้หญิง ซึ่งเป็นเพียงความคิดเห็นของผมเท่านั้นเอง ถ้าท่านผู้อ่านอยากจะรู้เรื่อง
เกี่ยวกับเกย์อย่างลึกซึ้งจริงๆ ก็ต้องลองไปถาม ประลองพล พ. บางยาง หรือ นฤพนธ์ สุดสวาท ดูเอาเอง
ในความคิดเห็นของผม ถ้าเราพูดถึงคนที่อยู่ร่วมสังคมเดียวกันโดยที่เราตัดเรื่องเครือญาติออก ก็จะพบว่าคนสมัยนี้
มีความเป็นปัจเจกและยืดหยุ่นในเรื่องพวกนี้ได้สูง คนเราสมัยนี้หมกมุ่นกับตัวเองมากเกินกว่าจะหมกมุ่นกับเรื่อง
ของคนอื่น ในเมื่อคนเราต้องมัวแต่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของตัวเอง ความสนใจในตัวคนอื่นก็ลดน้อยถอยลง
และที่จริงในชีวิตคนมีเรื่องอื่นที่สำคัญมากกว่าการจะต้องไปรับรู้ว่าใครเป็นมนุษย์ที่มีรสนิยมทางเพศแบบไหน (ฮ่า)
เมื่อผมไปอ่านตำนานกำเนิดมนุษย์ฉบับล้านนาซึ่งเป็นเรื่องเล่าสืบต่อกันมายาวนาน ก่อนจะถูกจดจารเป็นตัวอักษร
บทตำนานเอาไว้ ปรากฏว่าตำนานนี้มีความน่าสนใจตรงที่ว่ามีตัวละครที่เป็นกะเทยและทอมปรากฏตัวอยู่ด้วย เป็นจุดที่ทำให้ผมสนใจอยากเขียนถ่ายทอดเรื่องนี้
ตำนานกำเนิดมนุษย์ของล้านนา ก็คือ ปฐมมูลมูลี นั่นเอง
โดยส่วนตัวผมที่เป็นผู้เขียนบทความชิ้นนี้ คงจะต้องอธิบายตัวเองให้ชัดเจน (ด้วยความร้อนตัว) เสียก่อนว่า
‘ผมชอบผู้หญิง’ เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดที่อาจจะเกิดขึ้นจากการเขียนถึงเรื่องพวกนี้ได้ และคิดว่าคงเขียนเรื่องพวกนี้
ได้ไม่ลึกซึ้งเท่าไร และถ้าท่านผู้อ่านอยากลึกซึ้งในเรื่องพวกนี้ ผมก็บอกไปแล้วว่าควรไปถามกับใคร (ฮ่า)
ในตำนานนี้น่าสนใจว่าเขาสร้างตัวละครที่มีลักษณะเป็นผู้ชายรักผู้ชาย และยังมีตัวละครที่มี ‘ฐานะ’ เป็นผู้หญิง
ที่อยู่กินกับผู้หญิงโดยมีนัยยะสื่อถึงลักษณะการอยู่กินกันแบบชู้สาวอีกด้วย โดยแม้ว่าในตำนานจะไม่ได้เขียนถึง
คนที่เป็นเพศที่สามในแง่ดีนักก็ตาม แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงทัศนคติในด้านที่เกี่ยวกับเพศที่สามได้ค่อนข้างดีจะกล่าวถึง
อิตถังไคยะสังกะสี เป็นผู้หญิงที่กินดอกไม้เป็นอาหาร เกิดขึ้นมาหลังจากยุคที่โลก
เต็มไปด้วยความว่างเปล่า เกิดพืชขึ้นมา แล้วก็เกิดมนุษย์คือนางคนนี้เอง ชีวิตแกอยู่ลำพังคนเดียวมันก็ว้าเหว่
ไม่รู้จะทำอะไร วันทั้งวันแกนั่งปั้นรูปสัตว์ต่างๆให้มีชีวิตมากินพืชกินลูกไม้ไปเรื่อยเปื่อย ในช่วงจังหวะนั้น
ก็เกิดผู้ชายขึ้นมาหนึ่งคน คือ
ปู่สังไคยะสังกะสี ตรงนี้ให้สังเกตว่าตามตำนานการเกิดมนุษย์ของล้านนา
แม่หญิงเกิดก่อนป้อจาย เมื่อมีมนุษย์ครบสองเพศพอที่จะเล่นจ้ำจี้กันได้ ก็ไม่ต้องรอให้ใครมาสอนแล้วครับ
ทั้งสองก็สมสู่กันจนได้ลูกออกมาถึงสามคนด้วยกัน โดยในตำนานบอกว่าเป็นการ ‘สร้าง’ คนขึ้นมาสามคนลูกทั้งสามของปู่ย่าทั้งสองนี้ เป็นหญิงหนึ่ง ชายหนึ่ง และเป็น นปุงสกะ อีกหนึ่ง คือเป็นคนที่ไม่แน่ว่าเป็นเพศใด
มีลักษณะที่ตัวเป็นชายใจเป็นหญิง คือเป็นผู้ชายแต่ชอบผู้ชายด้วยกัน (เห็นไหมฮะว่าล้ำขนาดไหน) โดยมนุษย์สามคนนี้ยังไม่มีความรับรู้เรื่องบาปบุญคุณโทษแต่อย่างใด เพื่อให้มนุษย์เรียนรู้ด้วยตัวเอง
และมนุษย์ก็ต้องมีจิตใจที่แตกต่างกันออกไป (ตรงนี้ก็ล้ำ ดูเข้าใจโลก และเป็นเงื่อนไขที่จะผูกเรื่องภายในตำนานต่อไป)
ทั้งสามก็แยกย้ายกันไปสร้างบ้านแปงเมืองอยู่คนละทิศละทาง
ผ่านไปสักระยะหนึ่งแล้ว ปู่กับย่าเห็นท่าไม่ค่อยดี
เพราะคนไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ ก็เลยทำลายล้างโลก แต่ทำลายแล้วสร้างขึ้นใหม่อีกรอบ สร้างคนขึ้นมาอีกสามคนเหมือนกัน
เหมือนเดิมเลย แต่คราวนี้ทำให้มีสำนึกเรื่องบาปบุญ สามารถพูดจาสื่อสารได้ รู้ว่าใครเป็นพ่อใครเป็นแม่
หวังว่าน่าจะดีกว่าเก่า อันนี้เป็นเค้าโครงเรื่อง
ในบางสำนวนของตำนานกำเนิดมนุษย์ฉบับล้านนานี้ มีรายละเอียดที่แตกต่างไปบ้าง แทนที่จะมีนางอิตถังไคยะสังกะสี
ก็เปลี่ยนเป็นเรียกว่า ‘แม่ผู้ยิ่งใหญ่’ แทน เป็นผู้ให้กำเนิดมนุษย์สามคนแรก
ซึ่งเป็นหญิงหนึ่ง ชายหนึ่ง กะเทยหนึ่ง