ครั้นแล้วพระสิทธัตถะจึงค่อยๆ ก้มลง โก่งธนู เล็งศูนย์ด้วยพระเนตร ทรงเหนี่ยวสายโดยแรง กระทำให้เกิดเสียงดังไปตามอากาศกึกก้อง สนั่นหวั่นไหวเหมือนดังเสียงปีกนกอินทรี จนพวกคนทุพพลภาพซึ่งอยู่ในบ้านของตนในวันนั้นถามว่า "เสียงอะไรกันหนอ?" มีผู้ตอบว่า "นั่นคือเสียงธนูสิงหหนุซึ่งพระราชโอรสได้โก่งจะทรงยิง" เมื่อพระสิทธัตถะเอาลูกศรพาด ดึงสายแล้วปล่อยลูกศรอันคมกริบแล่นลิ่วไปตามอากาศ ทะลุเป้าอันไกลที่สุด แล้วปลิวลิ่วต่อไปตามทุ่ง จนลิบลับหายไปจากสายตา
ในขณะนั้น เทวทัตจึงท้าคู่แข่งขันของเขาในเชิงดาบแล้วก็ฟันต้นไม้หนา 6 นิ้ว อรชุนก็ 7 นิ้ว และนันทะฟันได้ 9 นิ้ว แต่ยังมีต้นไม้ขนาดเท่ากันขึ้นชิดเคียงอยู่สองต้นควบกัน และคมดาบของพระสิทธัตถะตัดขาดได้ทั้งสองต้นในขวับเดียว ลึกแต่ฟันอย่างสุดแม่นยำ จนลำต้นไม้ทั้งสองนั้นคงยืนอยู่ตรงที่ ถึงกับทำให้นันทะร้องขึ้นว่า "คมดาบของเขาวิ่นไปแล้ว"
ฝ่ายพระนางยโสธรา เมื่อเห็นต้นไม้ยังยืนตรงอยู่ก็สั่นระรัวทั่วทั้งสรรพางค์ แต่ในขณะนั้นเอง เหล่าเทวดาแห่งเวหาสทั้งหลายซึ่งดูแลจึงบันดาลให้บังเกิดลมพัดเฉื่อยมาทาง ทิศใต้ ทำให้ต้นไม้ซึ่งเป็นพุ่มประดุจพวงหญ้าอ่อนอันเขียวชะอุ่ม ล้มลงมาบนทรายเสียงดัง ขาดสะบั้นอย่างเด็ดขาด
ครั้นแล้วเขาจึงนำม้าแข่งพันธุ์ที่พยศจริงๆ มาคู่แข่งขัน ทุกคนก็ขี่แข่งกันรอบสนามสามรอบ แต่เศวตกัณฐกะอัศดรทิ้งระยะให้ตัวที่เร็วที่สุดต้องอยู่หลัง และวิ่งไปเร็วจนกระทั่งว่าในระหว่างที่ฟองน้ำลายกำลังจะตกจากปากนั้น เขาก็วิ่งไปถึงระยะ 20 ศอกแล้ว แต่นันทะกล่าวว่า "เราเองก็อาจชนะได้ ถ้าหากเรามีม้าเช่นกัณฐกะ จงไปนำม้าพยศมา แล้วก็จะได้เห็นกันว่าใครจะขี่ดีกว่าเพื่อน" ดังนั้นแล้ว พวกเลี้ยงม้าจึงไปนำเอาม้าผู้ลำพองที่เลี้ยงไว้สำหรับผสม และดำเหมือนราตรีกาล ล่ามด้วยโซ่สามเส้น ตาตื่นลำพอง จมูกเบ่ง ไรบังเหียน ไร้อาน เพราะยังไม่มีคนใดได้เคยขับขี่เลย
เหล่าศากิยะหนุ่มต่างก็ผลัดกันกระโดดขึ้นหลังอันกว้างสามครั้ง แต่เจ้าม้าใจร้อนพยศอย่างร้ายกาจ จนสะบัดให้ศากิยะหนุ่มเหล่านั้นตกลงมายังพื้นดิน แปดเปื้อนไปด้วยฝุ่น ให้ได้ความอับอาย อรชุนคนเดียวสามารถรั้งให้นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง และเมื่อให้แก้โซ่ออกแล้วก็เอาเท้ากระตุ้นสีข้างเจ้าม้าตัวดำ รวบบังเหียนและรั้งปากให้อยู่มือได้ จนกระทั่งว่าโดยลมแห่งแห่งความโกรธ ความบ้าคลั่งและความกลัว เจ้าม้าผสมตัวคะนองก็วิ่งไปตามทุ่งได้รอบหนึ่ง โดยอาการค่อนข้างจะเชื่องๆ แล้ว แต่ทันใดนั้นเอง มันก็หันหน้ามากลับมาแยกเขี้ยว งับเอาเท้าอรชุนข้างหนึ่งจนอรชุนตก แล้วก็จะพิฆาตเสีย หากว่าพวกคนเลี้ยงวิ่งไปดึงเจ้าสัตว์ตัวนั้นทัน
ครั้นแล้วทุกคนจึงว่า "อย่าปล่อยให้พระสิทธัตถะไปยุ่งกับภูตผี ซึ่งตับของมันเป็นลมร้ายและเลือดของมันเป็นเปลวไฟอันแดงนั้นเลย"
แต่พระราชโอรสตรัสว่า "จงแก้โซ่ออกเสียเถิด แล้วจูงแต่ผมมันมา" ตรัสแล้วทรงจับผมม้านั้นอย่างสงบเสงี่ยม พลางตรัสด้วยเสียงอันเบาสองสามคำ ทรงวางพระหัตถ์ขวาที่ตาม้านั้นแล้ว ค่อยๆ ลูบหน้าอันถมึงทึงของมันตลอดตามยาวของลำคอ และตามสีข้างอันสั่นเทิ้ม กระทำให้ฝูงชนที่มาดูอัศจรรย์ใจที่มาเห็นเจ้าม้าตัวดำเหมือนกลางคืนสิ้นพยศ แสดงอาการอ่อนและนิ่งประดุจว่ามันรู้จักองค์ตถาคตของเรา แล้วก็เคารพต่อพระองค์ด้วยดุษณีภาพในขณะที่พระสิทธัตถะเสด็จขึ้น แล้วเดินไปโดยเชื่อง ตามที่พระองค์ยักมันด้วยพระชานุและบังเหียนต่อหน้าหมู่ชนทั้งมวล จนทวยชนทั้งหลายนั้นร้องขึ้นว่า "คนอื่นอย่าสู้มากมายไปอีกเลย เพราะพระสิทธัตถะดีกว่าเพื่อนแล้ว" คู่แข่งขันทุกคนก็ตอบว่า "เขาเก่งกว่าเพื่อนแล้ว"
ดังนั้น สุปปพุทธะพระบิดาของเจ้าสาวจึงตอบว่า "ความต้องการในใจของเราก็คือ ให้ได้เห็นเธอมีชัยในรางวัล เพราะเธอเป็นผู้ที่เราชอบ แต่เธอจงบอกเราหน่อยเถิดว่า โดยกลอุบายอันใดหรือที่สอนให้เธอรู้ดียิ่งในศิลปวิทยา อยู่ในท่ามกลางแห่งพุ่มกุหลาบและความเพ้อฝันของเธอ ถึงกับรู้ในวิชาการสงคราม การล่าสัตว์และกายบริหารทั้งปวง หาผู้อื่นรู้เสมอเหมือนมิได้
โอ! พระราชโอรส จงพาเอาขุมทรัพย์ซึ่งเธอได้รับเป็นรางวัลสำหรับความสามารถของเธอไปเถิด" เมื่อพระบิดารับสั่งดังนั้น เจ้าหญิงจึงลุกขึ้นจากที่ เดินผ่านฝูงชนหยิบเอาพวงมะลิพวงหนึ่ง ค่อยๆ ประคองสไบบางสีดำและปักทองแย้ม ดวงพักตร์ผ่านหน้าชายหนุ่มทั้งปวงไปโดยสง่า และถึงที่ซึ่งพระสิทธัตถะประทับอยู่ด้วยพระวรลักษณ์อันวิเศษ สูงตระหง่านยิ่งขึ้น เพราะอัศดรตัวดำซึ่งก้มคออันแข็งแรงของมัน แล้วค่อยๆ ลอดใต้พระกรของผู้เป็นเจ้าแม่แห่งมัน นางน้อมกายอย่างต่ำยิ่งต่อพระพักตร์พระราชโอรส พลางแสดงดวงพักตร์ว่าเปล่งปลั่งไปด้วยความปลื้ม โดยความปฏิพัทธ์อันสันติสุข
ครั้นแล้วนางก็สวมพวงมาลัยอันมีรสสุคนธ์ ณ พระศอ และแนบเศียรเกล้าอันงามวิเศษ ณ พระอุรประเทศของพระองค์ แล้วน้อมกายกราบบาทของพระองค์ด้วยดวงเนตรอันแวววับ พร้อมด้วยความยินดี พลางทูลว่า "เจ้าชายที่รัก จงมองดูข้าพระองค์เถิด ข้าพระองค์ซึ่งเป็นของพระองค์" ฝ่ายหมู่ชนก็เบิกบานเมื่อได้เห็นเจ้าชายกับเจ้าหญิงเสด็จผ่านไป พระหัตถ์เกี่ยวพระหัตถ์ซึ่งกันและกัน และพระทัยกำลังเต้นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน วาระนี้สไบดำและปักทองก็คลุมนางใหม่อีก
ช้านานต่อมา เมื่อความตรัสรู้ของพระองค์เป็นที่แพร่หลายแล้ว มีผู้ทูลถามพระพุทธเจ้าถึงเรื่องนี้ และทูลถามพระองค์ว่าเหตุใดพระนางยโสธราจึงทรงสไบดำและทอง และดำเนินสวยยิ่งนัก พระองค์ผู้ซึ่งสากลโลกบูชาเคารพจึงตรัสตอบว่า "นอกจากเราไม่มีใครรู้เรื่องนี้ ถึงนัยว่ารู้ก็รู้อย่างครึ่งๆ กลางๆ คือ ในระหว่างที่วัฏสงสารแห่งความเกิดและความตายกำลังหมุนอยู่นั้น สิ่งต่างๆ และความรู้สึกที่ล่วงมาแล้วกับความเป็นไปในปางก่อนๆ ก็กลับมาเป็นอีก
บัดนี้ เราจำๆได้แล้วเมื่อหวลนึกไปถึงหลายหมื่นปีมาแล้ว เหลือที่จะคณนาก็พึงเห็นได้ว่า กาลเมื่อเราพเนจรไปตามเขาต่างๆ ซึ่งเป็นป่าแห่งเขาหิมาลัยนั้น เราเป็นเสือหิวโดยมีหนังลาย เราซึ่งเป็นพุทธะบัดนี้ ขณะที่กำลังนอนบนหญ้ากุสา (คือหญ้าซึ่งชาวฮินดูใช้ในพิธีต่างๆ ที่เกี่ยวกับศาสนา) เราแอบมองดูฝูงสัตว์ที่กำลังเล็มหญ้าอยู่ด้วยตาอันริบหรี่ และสัตว์เหล่านั้นค่อยๆ เดินใกล้มาสู่ความตายของมันทุกที โดยที่มันเดินมาสู่ซ่องของเรา หรือมิฉะนั้นเวลากลางคืนระยับด้วยแสงดาว เราซัดเซลัดเลาะไปด้วยความกระหายเลือดไม่มีที่สิ้นสุด เพื่อหาอาหารสักตัวโดยดูดดมกลิ่นมนุษย์หรือเนื้อทรายเรื่อยไปตามทาง
ในท่ามกลางสัตว์ป่าซึ่งบัดนั้นเป็นพวกพ้องของเราผู้อาศัยป่าหนาทึบ หรือพื้นดินที่แฉะชื้นเป็นหนอง เป็นบึงอันเต็มไปด้วยต้นอ้อ มีนางพยัคฆีตัวหนึ่ง งามกว่าพยัคฆีทั้งหลาย จนทำให้หมู่พยัคฆ์ทั้งหลายทำสงครามต่อกัน สีขนของพยัคฆีตัวนั้นเป็นทองเหลือบสลับดำดุจกันกับสีสไบยโสธราปกคลุมนั้น การทำสงครามภายในป่านั้นนับว่าแรงกล้า ฟันกับเล็บเป็นศาสตราวุธ
ลำดับนั้น นางพยัคฆีตัวงามซึ่งอยู่ภายใต้ต้นพลับพลึงก็มองดูเราซึ่งโทรมไปด้วยโลหิต เพราะบาดเจ็บอย่างสาหัส และยังจำได้อีกว่า ในที่สุดนางพยัคฆีตัวนั้นก็มา พลางบ่นพึมพำผ่านหน้าเจ้าแห่งป่าอื่นๆ ซึ่งเต็มไปด้วยบาดแผลและซึ่งเราได้ผจญให้แพ้ไปแล้ว และด้วยปากอันถนอมกล่อมเกลี้ยง นางพยัคฆีก็ใช้เลียสีข้างอันหอบเหนื่อยของเรา ครั้นแล้วค่อยดำเนินอย่างสง่ามาสมสู่อยู่ในป่ากับเราด้วยความปฏิพัทธ์ วัฏสงสารแห่งความเกิดและความตายหมุนจากกำเนิดที่ต่ำมาสู่ที่สูงดังนี้แหละ"
ดังนั้นเป็นอันว่า เจ้าสาวย่อมได้แก่พระสิทธัตถะโดยเจตนาสันนิวาส (ตาม ประเพณีคันธาวาสหรือนักดนตรีในสวรรค์ เป็นประเพณีเษกสมรสอันหนึ่งแห่งแห่งประเพณีทั้ง 8 ตามบัญญัติพระมนู ซึ่งย่อไว้ว่า "การร่วมภิรมย์แห่งหญิงสาวกับชายหนุ่ม ย่อมเป็นมาจากบุพเพสันนิวาส") และเมื่อเหล่าดาราได้ศุภฤกษ์ เมษะ แกะแดงเป็นเจ้าแห่งสวรรค์ พระราชพิธีอภิเษกสมรสก็สมโภชตามขัตติยราชประเพณี มีการตั้งพระแท่นทอง ปูพรมเจียม ห้อยพวงมาลาแห่งพิธีเษกสมรส ผูกด้ายที่ข้อพระหัตถ์คู่หมั้นแล้ว ถวายขนมหวานให้เสวย ซัดข้าวและน้ำอบ เส้นฟางทั้งสองลอยล่องอยู่บนน้ำนมสีแดง และค่อยๆ ลอยเข้าหากัน ซึ่งเป็นศุภนิมิตแห่งความเสน่หาอันยืนยงคงอยู่จนกระทั่งถึงวันตาย ครั้นแล้วองค์เจ้าบ่าวและเจ้าสาวก็ก้าว 7 ก้าว สามรอบแห่งพระเพลิง (ตามประเพณีเษกสมรสของพราหมณ์) แจกจ่ายสิ่งของให้แก่พวกนักบวช ไทยทานและเครื่องสังเวยก็ส่งไปบูชาตามบรรดาศาลพระผู้เป็นเจ้า
ในที่สุดก็มีการสวดมนต์ และผูกฉลองพระองค์ขององค์เจ้าบ่าวติดกันกับขององค์เจ้าสาว แล้วเฒ่าแก่จึงกล่าวว่า "พระองค์ผู้ทรงเกียรติยศ เจ้าหญิงซึ่งเดิมเป็นของเราทั้งหลาย บัดนี้เป็นของพระองค์แต่ผู้เดียวแล้ว จงทรงกรุณากับเธอซึ่งมีชนมชีพอยู่ในสิทธิของพระองค์ด้วยเถิด" เสร็จแล้วเขาจึงเชิญเจ้าหญิงยโสธราไปสู่เรือนหอ แวดล้อมไปด้วยการขับร้องแตรบรรเลง เมื่อนางไปสู่ภายในพระกรทั้งคู่ของพระสาวมีแล้ว ในที่สุดก็เป็นอันเสร็จพิธีซึ่งทำให้เกิดดูดดื่มแก่ความปฏิพัทธ์นั้น
ฝ่ายพระราชานั้น ไม่เป็นแต่เพียงไว้วางพระทัยในความปฏิพัทธ์แห่งเจ้าชายและเจ้าหญิงแต่อย่าง เดียว พระองค์ยังทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างปราสาทอันงามวิจิตรเพื่อยังความเปรมปรีด์ของพระราชโอรสและเจ้าหญิง อีกด้วย เป็นปราสาทซึ่งทั่วทั้งแผ่นดิน ไม่มีปราสาทวิเศษใดจะงามเสมอเหมือนกับปราสาทหลังนี้ซึ่งมีนามว่า วิศรัมวัน คือวิมานเกษมสันต์ของพระราชโอรส
ในท่ามกลางแห่งพื้นที่โดยรอบปราสาทก็สูงตระหง่านด้วยเขาเขินเนินอรัญญ์ มีพฤกษชาติเขียวชอุ่มซึ่งภายใต้ก็ลอดไหลหลั่งด้วยลำน้ำโรหิณีที่ไหลมาจาก เชิงเขาหิมาลัยอันกว้าง เพื่อนำเครื่องบรรณาการคือธาราไปสู่ลำแม่คงคา ทางด้านใต้มีต้นมะขามและรุกขชาติเรียงเป็นพุ่มๆ เต็มไปด้วยไม้ดอกชื่อคันธีสีฟ้าอ่อนกั้นเป็นรั้ววัง
ทุกครั้งมีเสียงกระหึ่มแห่งพระนครขจรมาตามความกระพือของลม เสนาะประดุจเสียงครวญของภมรที่ร่อนวนอยู่ ณ พุ่มไม้ซึ่งห่างไกลทางด้านเหนือ ผาอันนฤมลแห่งเขาหิมาลัย ซึ่งมหึมาซับซ้อนรายเรียงเป็นแถวแนวขาวอย่างแวววับ สูงตระหง่านเยี่ยมเวหาอันเขียวดูมโหฬารตระการตาไม่รู้จักสิ้น วิเศษนักและโดยภูมิภาคซึ่งมียอดและศิลาแหลม กลมหรือแบน ลาดผาอันเขียว ก้อนน้ำแข็งอันเรียว (ยอดเขาหิมาลัยหนาวเย็นมีน้ำแข็งอันเกิดจากหิมะ ซึ่งตกลงมาทับถมกันอัดแน่นจนเป็นน้ำแข็ง) เหวลึกและหน้าผาอันชัน
ทั้งหลายแหล่เหล่านี้ ล้วนแต่เป็นภาพซึ่งดลให้มีความคิดอันสูงยิ่ง จนประหนึ่งว่าสูงแล้วจนถึงสวรรค์และอยู่ร่วมด้วยพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย เบื้องใต้แห่งหิมะมีแนวป่าอันขมุกขมัว สลับด้วยแสงอันแวววับแห่งน้ำตกซึ่งไหลซู่ซ่าและปิดบังครึ้มไปด้วยหมอก ต่ำลงมาหน่อยก็มีต้นฉำฉาและต้นสนซึ่งกู่ก้องไปด้วยเสียงร้องเรียกแห่งไก่ฟ้า เสียงร้องของเสือดาว เสียงร้องของแกะป่าเหนือก้อนศิลา และเสียงร้องของนกอินทรีอันโหยหวน ต่ำลงมาอีกมีทุ่งอันตระการตาประดุจดังปูลาดพรมเพื่อสวดมนต์ภาวนา
ณ เชิงเขาพระแท่นอันศักดิ์สิทธิ์ ข้างหน้านายช่างก็สร้างพลับพลาอันวิจิตรบนพื้นที่สูง มีหอข้างเคียงและระเบียงซึ่งมีเสาเรียงรายอยู่โดยรอบ ลวดลายแห่งขื่อเป็นภาพแสดงเรื่องราวในโบราณกาลมีราธา (คู่รักของกฤษณะผู้อุโฆษในเรื่องเสน่ห์ จนมีกาพย์คดีแพร่หลายมากในประเทศอินเดีย) และกฤษณะ เหล่าพรหมจารีแห่งป่า นางสีดา หนุมาน และนางเทราบที และบนซุ้มประตูด้านกลางก็มีคเณศวรผู้เป็นพระเจ้าแห่งฤกษ์ นั่งหดงวงถือกงจักรและของ้าว ตั้งไว้ที่นั่นเพื่อให้มีความดีและความเจริญ โดยวิถีทางอันคดเคี้ยวแห่งอุทยานและลาน ก็เดินไปสู่ทวารน้อยเป็นหินอ่อนขาวลายและกุหลาบ ก็ได้ธรณีหินอ่อนเป็นเงาและประตูไม้จันทน์มีลวดลายระบายสี เมื่อผ่านธรณีแล้วก็เดินเล่นได้อย่างร่าเริง
ภายในห้องนอกอันงามและในห้องเงาอันขมุกขมัว ขึ้นบันไดอันวิจิตร เดินไปตามระเบียงชั้นๆ ฝาระบายสีและเสาเป็นหมู่ๆ มีน้ำพุประดับ บัวรายเรียงและกระจับซึ่งพ้นน้ำออกมา มัจฉาชาติซึ่งตระการตาภายในแก้วเจียระไนสีเข้มสีทองและสีเขียว
ณ ภายในแห่งเรือนกลางแจ้ง นางเก้งตาใหญ่เล็มดอกกุหลาบซึ่งมีรสสุคนธ์ ฝูงนกสีรุ้งบินร่อนท่ามกลางแห่งต้นตาล นกพิราบสีเขียวสีเทาสร้างรังด้วยความปลอดภัย ณ เบื้องบนหัวเสาสีทอง ณ พื้นศิลาใสเป็นเงา เหล่านกยูงคลี่หางอันงามออกลำแพน ฝ่ายนกกระสาสีขาวดุจน้ำนมและนกฮูกตัวน้อยก็ชมดูนกยูงด้วยอาการสงบเสงี่ยม นกแก้วคอสีดินแดงก็ไกวแกว่งตัวจากผลไม้นี้ไปสู่ผลไม้นั้น เหล่าจิ้งจอก กิ้งก่าเจ้าตัวไวก็ผิงแดดบนกิ่งไม้ปราศจากความกลัวเหล่ากระรอก กระแตก็มีมากินอาหารที่อยู่ในมือ เพราะความสันติสุขอุบัติอยู่ทั่วไป งูดำซึ่งเป็นลางแห่งโชคดีแก่ครอบครัวขดตัวนอนอยู่กลางแดดภายใต้ดอกไม้นามว่า ดอกจันทน์ ใกล้ๆ ณ ที่นั้น หมู่วานรตาสีน้ำตาลเข้มทำท่าหลอนหลอกแก่ฝูงกา
นอกจากนี้ยังมีบริวาร บ่าวไพร่อันซื่อสัตย์ก็มีอยู่มากมายภายในพระราชวังนั้น จะให้สัญญาแต่เพียงน้อยหนึ่งก็มีผู้คนหน้าตาสุภาพและเสียงพูดอันไพเราะตะลี ตะลานมาปฏิบัติรับใช้อย่างขมีขมัน ต่างคนต่างยินดีบำเพ็ญความสันติสุข แสดงความร่าเริงเพื่อให้อุบัติความปราโมทย์ ภูมิใจที่จะปฏิบัติเคารพ ประหนึ่งว่าต้องการให้ชีวิตความเป็นอยู่ไหลหลั่งความปรีด์เปรมเหมือนแม่น้ำ ที่มีขอบเขตเป็นดอกไม้คืออมรบุปผา และยโสธราเป็นราชินีแห่งพระราชสำนักเกษมสันต์นี้แล
แต่นอกจากห้องตั้งร้อยห้องซึ่งงามวิจิตร ยังมีห้องลับอีกห้องหนึ่งซึ่งศิลปะได้ประณีตความงามทุกกระบิดกระบวนเพื่อ หย่อนใจ เมื่อไปสู่ห้องนี้ต้องผ่านลานลับซึ่งอยู่ภายในปราสาทนั้นไป แต่เป็นลานโปร่ง ในท่ามกลางมีสระน้ำทำด้วยศิลาอ่อนขาวดุจน้ำนม ซึ่งแคมขอบบันไดและรั้วกั้นสลักเป็นลวดลายประดับหินเป็นสีต่างๆ อย่างงดงาม ช่างชื่นอกชื่นใจเสียนี่กระไร เมื่อได้สงบอารมณ์ตามอำเภอใจภายในราชสถานอันสำราญรื่น ประดุจได้เดินบนน้ำแข็งในฤดูร้อน รัศมีแห่งดวงอาทิตย์ส่องแสงสีทอง ผ่านทางประตูและส่องแสงอ่อนลงๆ จนเป็นสีขาวอย่างเงินจางลงเกือบขมุกขมัวประดุจหนึ่งว่า แสงตะวันนั้นได้หยุดแล้ว เปลี่ยนเป็นแสงแห่งความเสน่หาและความสงบเสงี่ยมซึ่งสิงสถิตอยู่ ณ ประตูมีห้องอันโอ่โถงตระการตาวิเศษกว่าที่อื่นๆ มีโคมอันอ่อนหอมส่องแสงลอดมาทางหน้าต่างมุข และม่านดอกดาราซับเยียระบับสีทอง ที่นอนแพรและฉากอันหนักและงามตระการตา ซึ่งถูกเปิดออกแต่เฉพาะสำหรับปล่อยให้สตรีที่งามเลิศเข้าไปเท่านั้น
ณ ที่นั้นไม่มีใครรู้ได้เลยว่าเป็นกลางวันหรือกลางคืน เพราะประทีปที่ค่อยสว่างไสวอยู่เสมอนั้น สว่างกว่าเวลาสว่างเมื่อย่ำรุ่ง แต่แสงระเรื่อกว่าแสงเงินแสงทองแห่งอาทิตย์อุทัย ลมเฉื่อยพัดมาสบายกว่าเวลาเช้า แต่เย็นเหมือนเวลาเที่ยงคืน เสียงพิณบรรเลงทั้งกลาวันกลางคืน กระยาหารอันโอชาก็มีมาไม่ว่ากลางวันกลางคืน ผลไม้ชุ่มชื่นด้วยน้ำค้าง เครื่องดื่มปรุงด้วยหิมะแห่งเขาหิมาลัย แป้งอันมีรสโอชา และน้ำกะทิใส่มาในภาชนะซึ่งทำด้วยงา
ทั้งกลางคืนกลางวันก็มีหมู่นางระบำที่เลือกเฟ้นมาแล้ว ประจำอยู่พร้อมทั้งนักร้องนักดนตรีเป็นบริวารประโคมโลมเล้าความเสน่หา เป็นการปลุกดวงพระเนตรอันสงบแห่งพระสิทธัตถะผู้ทรงสันติสุขและเมื่อตื่นแล้ว ก็นำพาให้วิญญาณของพระองค์กลับไปตกอยู่ในความบันเทิงใหม่อีก โดยดนตรีซึ่งก้องกังวานอยู่กลางดอกไม้หรือโดยกามแห่งเสียงจำเรียงร้องยั่ว ความเสน่หา และการฟ้อนรำอันร่าเริงเป็นจังหวะกันด้วยระฆังและลูกพรวนซึ่งผูกที่ข้อเท้า ของนางระบำท่าทางรำทำแขนและเสียงพิณสายเงิน
ส่วนน้ำมันชะมดและจำปากับแสงสีเขียวซึ่งเผาอบระเหยหอมให้ฟุ้งขจรก็ทำความเคย ชินให้แก่วิญญาณของพระองค์อีกำ แล้วเชิญเสด็จให้บรรทมเหนือกรพระนางศรียโสธรา พระสิทธัตถะทรงสำราญพระอิริยาบถดังนี้ก็ทรงลืมเสียซึ่งสิ่งอื่นๆทั้งหมดใน โลก
อนึ่ง พระราชายังทรงบัญญัติว่า ภายในกำแพงพระราชวังนั้นมิให้ผู้ใดพูดถึงความตาย ความแก่ชรา ความทุกข์โศก ความแร้นแค้น หรือความเจ็บป่วย นางใดหากความงามลดละลง ณ พระราชสถานอันสง่า หากเท้าไม่สามารถเต้นรำได้แล้ว นางใดที่เป็นเช่นนั้นซึ่งแม้ไม่เป็นโทษอาชญาอันหาทุจริตมิได้ก็ถูกเนรเทศให้ ออกจากพระราชวังสวรรค์นั้น โดยเกรงว่าพระราชโอรสจะได้เห็นความทุกข์ความทรมานแห่งนางนั้นๆ แลมีเจ้าหน้าที่ผู้เคร่งคอยแต่พิพากษาโทษผู้ซึ่งพูดถึงความทุกข์ภัยในโลกอัน เต็มไปด้วยความทรมาน ความครวญคร่ำ ความโหยไห้ ความหวาดเสียว และความครวญครางของผู้ต้องทุกข์ และควันอันน่าสยองแห่งกองอัคคี หากมีเส้นผมหงอกขาวแต่เส้นเดียวปรากฏอยู่ในมวยผมของนางนักร้องบำเรอ หรือนางละครคนใดจะถือว่ามีโทษฐานทรยศ และทุกๆ เวลาย่ำรุ่ง ดอกกุหลาบที่เหี่ยวแห้งแล้วก็ถูกเก็บเสีย
ใบไม้ตายก็ถูกกวาดทิ้ง บรรดาภาพอันทำให้บังเกิดความทุกข์ต้องกำจัดให้พ้นจากราชสถานนี้โดยสิ้นเชิง เพราะพระราชาตรัสว่า "หากเขา (คือพระราชโอรส) ดำรงประถมวัยไกลจากสิ่งซึ่งยั่วให้เกิดสังเวช และเกิดเจริญขึ้นในญาณคติที่ยังไม่ปรากฏนั้นแล้ว เงาแห่งโชคซึ่งล้ำมนุษย์สามัญจะพึงได้ (โพธิญาณ) ก็จะอ่อนลงได้ และเราก็จะได้เห็นเขาเป็นเจ้าผู้มีอานุภาพิ่งซึ่งจะได้ครองทั่วทุกประเทศ (จักรพรรดิราช) หากเขาต้องการ และจะได้เป็นเจ้าแห่งกษัตริย์ทั้งหลายซึ่งเป็นเกียรติศักดิ์แห่งสมัยกาลของ เขา"
ฉะนั้นโดยรอบแห่งที่ขังอันงามวิจิตร ซึ่งมีแต่ราคตัณหาเป็นผู้คุมและความบันเทิงเป็นกรงกั้นขังแต่ไกลจากที่ใครแล เห็นได้นั้น พระราชาได้ทรงจัดให้สร้างกำแพงอันหนามีประตูสำริดมีบานสองบาน ประตูหนึ่ง ประตูนี้ต้องใช้คนตั้งร้อยคนสำหรับเปิด ขณะที่เปิดก็มีเสียงดังสนั่นไกลไประยะครึ่งโยชน์ หลังประตูนี้ก็มีประตูที่สองที่สามถัดกันไปอีก
เป็นอันว่า เมื่อจะออกจากพระราชสถานอันเกษมนั้นแล้ว ต้องผ่านประตูสามประตูนั้นมาก่อนจึงจะออกได้ เป็นประตูมหึมา ลั่นกลอนและกั้นด้วยลูกกรงอีกชั้นหนึ่งกับที่ใกล้ๆ ประตูแห่งหนึ่งๆ ก็มีคนยามซื่อสัตย์รักษาการอยู่ และตามพระบรมราชโองการแห่งพระราชามีอยู่ว่า
"อย่าปล่อยให้ใครผ่านไปมาจนแม้แต่โอรสของเรา เจ้าต้องรับผิดชอบด้วยศีรษะของเจ้า"
จาก
http://www.baanjomyut.com/library_2/extension-2/light_of_asia/02.htmlhttp://www.dhammatalks.net/Articles/Life_of_the_Buddha_in_Pictures.htm