[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
14 พฤษภาคม 2567 13:30:54 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : สังคมไร้คุณธรรมไร้จริยธรรมเพราะระบบ  (อ่าน 1338 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5081


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 30 กันยายน 2553 09:36:03 »




 ดังได้เคยพูดมาหลายครั้งแล้วและคงต้องพูดอีก เพราะว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดสำหรับคนทั่วทั้งโลก โดยเฉพาะคนในประเทศกำลังพัฒนาหรือพัฒนาใหม่ที่-เอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยเรา หนึ่ง  เรา-รวมทั้งเราในประเทศไทย ที่ไม่รู้หรือส่วนใหญ่มากๆๆๆ ไม่รู้สึกตัว หนึ่ง คนหรือมนุษย์จึงไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะมีเหตุผลพร้อม ชนิดที่เถียงอย่างไรก็ไม่ได้ อีกหนึ่งจงพิจารณาหัวข้อทั้ง 8 ข้อ ที่ผู้เขียนเรียกว่าวิถีทางเสื่อมทั้งแปด (โปรดอย่าไปนึกถึงมรรค 8 ของพุทธศาสนา ไม่อาจจะเอื้อมไปถึงเพียงนั้น) - ต่อไปนี้ โปรดอ่านให้ดีๆ และถ้าหากคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว ผู้อ่านคิดว่าทั้ง 8 หัวข้อนี้-ผิด จะเอาผู้เขียนไปตัดหัวขั้วแห้งอย่างไรก็ยอม 8 ข้อนั้นมีดังต่อไปนี้ :-                                                                                                                                                           
๑.ระบบเศรษฐกิจอาจจะก่อกิเลสตัณหาได้
๒.ระบบเศรษฐกิจถือว่าได้มาก-ดี หากได้มากกว่ายิ่งดีกว่า
๓.ระบบเศรษฐกิจปัจจุบันถือว่าชี้วัดความก้าวหน้าดีที่สุด
๔.ระบบสังคมถือว่าคนเกิดมาเลว และดำรงอยู่กับ “ตัวกูของกู”
๕.ระบบการเมืองถือว่าตนและประเทศตนใหญ่ดี ถูกต้องที่สุดในโลก
๖.ระบบการเมือง-ข้าราชการส่วนใหญ่ถือว่าคอรัปชั่นไม่เป็นไร-โกงก็ได้
๗.ระบบการศึกษาไม่สอน-ไม่สนใจว่าคนมีหน้าที่ต้องปกป้องธรรมชาติ
๘.ระบบการศึกษาถือว่าเทคโนโลยี-ไม่ใช่คุณธรรม-ที่จะคุ้มครองเรา


คิดเอาเองว่าผู้ที่มีอายุมากแล้วเกินห้าหกสิบปีขึ้นไปแล้ว จัดว่าเป็นคนรุ่นเก่า หรือ “เก๋ากึ๊ก” หากว่ามีอายุมากกว่านั้น เช่น แปดหรือเก้าสิบปี แต่ยังมีไฟแรง คงจะรู้สึกแปลกใจเอามากๆ เช่น ผู้เขียนที่มีความรู้สึกไม่เห็นด้วย ตามมาด้วยความรู้สึกสลดใจต่อผลของการสำรวจความคิดเห็นของคนกรุงเทพฯ  (โพลล์) ว่า โพลล์ได้ชี้ว่าคนส่วนใหญ่มองเห็นการคอรัปชั่นหรือการโกงกินชาติเป็นเรื่องปกติธรรมดา ซึ่งสำหรับคนรุ่นเก่า การคดโกง ไม่ว่าจะคดใครโกงใคร ยิ่งเป็นการโกงชาติด้วยแล้ว ยิ่งบาปนักบาปหนา  รับรองได้ว่าไม่มีใครเคยได้ยินกันในหกสิบเจ็ดสิบปีมานี้ กรุงเทพฯ เป็นเมืองใหญ่หรือเป็นนคร นครที่ใหญ่มากๆ ที่พัฒนาแล้ว และที่สำคัญเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนา ซึ่งการคดโกงชาติหรือสังคมโดยรวมนั้น  นอกจากก่อกรรมส่วนรวมแล้ว ส่วนตัว-ยังผิดศีลอย่างแรงอีกต่างหาก พุทธศาสนาบอกว่า กรรมเป็นผลที่ทุกคน “ต้อง” ได้รับไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดๆ หรือไม่ หรือไม่ถือและไม่เชื่อในศาสนาอะไรเลย ถ้าเป็นจริงอย่างนั้น และผู้เขียนขอรับรองว่าจริง อย่างน้อยก็ทางวิทยาศาสตร์ หรือทางคลาสสิคัลเม็คคานิกส์ธรรมดาๆ ของการเคลื่อนที่ (motion) ของมวลสารของไอแซ็ค นิวตัน คน-มนุษย์หรือสัตว์โลกจะแก่ชรา  เจ็บป่วย และตายกันทุกคนได้อย่างไร? ผู้เขียนเชื่อว่าน่าจะหรือคงจะสะท้อนความคิดของคนรุ่นใหม่ที่อยู่ในเมืองใหญ่ๆ ทั่วโลกได้เป็นอย่างดี คือคนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่พวกนี้คงไม่มีหรือไม่เชื่อในศาสนา ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายก็ให้รู้ไป คนรุ่นใหม่ของเมืองใหญ่ๆ ทั่วทั้งโลกนั้น ไม่ใช่คนที่มีวิวัฒนาการทางจิตสูงกว่าหรือมีพาราไดม์ใหม่แต่อย่างใด ผู้เขียนคิดว่าคนรุ่นใหม่กับเทคโนโลยีใหม่ - ซึ่งคนรุ่นเก่าๆ เช่น ผู้เขียน ไม่รู้จักหรือใช้ไม่เป็น - เป็นการหาเงินธรรมดาๆ ของระบบเศรษฐกิจทุนนิยม เงินที่คนส่วนใหญ่ต้องการ และผู้เขียนคิดว่า นั่นเป็นส่วนสำคัญที่ให้ผลของการสำรวจหรือโพลล์เป็นไปในรูปแบบนั้น


แต่ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมที่ตั้งบน “กำไรสูงสุด-ช่างหัวธรรมชาติมัน” และระบบธุรกิจที่ตั้งอยู่บน  “สามกอ” หรือสามสหาย คือ การบังคับบัญชา การควบคุมเบ็ดเสร็จ และการเชื่อฟังซื่อตรง ใช่จะอยู่ได้ตลอดกาลก็หาไม่ วันหนึ่งมันจะต้องพังครืนลงมาเมื่อสิ่งแวดล้อมธรรมชาติของโลกหมดไป และขณะนี้คือเวลานั้น (เราและอุตสาหกรรมผลิตเทคโนโลยีของเราได้ “ติดลบ” ไปแล้วร่วมๆ 30%) กับอีกอย่างหนึ่งเมื่อเรารู้ว่าระบบเศรษฐกิจและระบบธุรกิจที่สนับสนุนกิเลศตัณหาและความเห็นแก่ตัว นั่นคือเมื่อเรารู้  “จริงๆ” ไม่ใช่สักแต่เชื่อว่ามันจะนำเราไปสู่ความสมดุลกับธรรมชาติ และความพอเพียงพอดีที่ยั่งยืน เราก็จะเปลี่ยนแปลงตัวของเราเอง มนุษย์นั้นไม่ได้เป็นอย่างที่เชื่อกันว่า โดยพื้นฐานแล้ว คนเกิดมาชั่ว สังคมของเราจึงพรั่งพร้อมไปด้วยกิเลศและราคะ หากแต่เราทุกคนโดยไม่มีการยกเว้นต้องการเป็นคนดีกันทั้งนั้น ประวัติศาสตร์บอกเราเช่นนั้น เราจึงเจริญเติบโตขึ้นมาตลอดเวลา คือ มีการเกิดมากกว่าการตาย ยกเว้นตอนมีโรคระบาดที่เราคิดว่ามนุษย์เกิดมาชั่วร้าย เป็นเพราะวิวัฒนาการทางจิต (ซึ่งช้ากว่าวิวัฒนาการทางกาย) ต่างหาก วิวัฒนาการทางจิตนั้น เริ่มขึ้นจากทางกายก่อน เช่น เวทนาหรือความรู้สึก เป็นต้นว่า ความเจ็บหรือความสนุก (ที่เราเรียกผิดๆ ว่าความสุขที่เป็นเรื่องทางกายภาพล้วนๆ) แม้แต่ในสมัยดึกดำบรรพ์ สมัยของมนุษย์โฮโมอีเร็กตัสรุ่นหลังๆ และสมัยของนีอันเดอร์ธัล มนุษย์ยังไม่มีวิวัฒนาการทางจิตเลย เรา - ตอนนั้นแยกจากสัตว์ โดยเฉพาะตระกูลไพรเมตได้ยาก เรามองเห็นธรรมชาติทุกสิ่งทุกอย่างว่าสร้างขึ้นและดำรงอยู่ด้วยเวทมนตร์คาถา-มายากล (magic) เหมือนเราตอนยังเล็กๆ ผู้เขียนเชื่อว่า -  ซึ่งต่างไปจากนักคิดนักปรัชญาชาวตะวันตก เช่น เค็น วิลเบอร์ ฌ็อง เก็บเซอร์ ฯลฯ ที่บอกว่า มนุษย์เราเริ่มมีวิวัฒนาการทางจิตตั้งแต่ระดับเวทมนตร์คาถา-มายากล (magic) - เรามีวิวัฒนาการทางจิตจริงๆ มาตั้งแต่ระดับนิยายปรัมปรา (mythic) ระดับที่เรามีการเปรียบเทียบตัวเราว่าต่ำจากเทพเทวดาและเจ้าพ่อเจ้าแม่อันเป็นธรรมชาติที่มองไม่เห็นมากนัก

ผู้เขียนเชื่อว่า ในที่สุดระบบเศรษฐกิจทุนนิยมในรูปแบบของการตลาดเสรี - ที่เน้นเฉพาะการแข่งขันกันอันเอื้อแต่การแพ้-ชนะกัน ที่ใครก็ตามประเทศไหนก็ตามที่มีสายป่านยาวกว่าหรือรวยกว่า คือผู้ชนะตลอดกาล - จะต้องสิ้นสุดลง ว่ากันตามความเป็นจริง ในปีหนึ่งปีใดอย่างเร็วๆ ที่สุด ทั้งๆ ที่มีการริเริ่มคิดถึงสังคมกันบ้าง เช่น “บรรษัทหรือธุรกิจที่รับผิดชอบต่อสังคม” (corporate or business social  responsibility-CSR) ทั้งนี้ ก็เพราะว่า เจ้าของหรือซีอีโอ (CEO) ของบรรษัทหรือนักธุรกิจที่จะเห็นแก่สังคม เห็นแก่สิ่งแวดล้อมธรรมชาติ โดยไม่ทนทุกข์ทรมานที่แสนสาหัสและยาวนานเสียก่อนนั้นหายากยิ่งนัก ผู้เขียนเองได้รับเชิญให้ไปพูดเรื่องบรรษัทหรือธุรกิจเพื่อความรับผิดชอบต่อสังคมเมื่อประมาณ 3 ปีมาแล้ว คิดว่าได้จัดขึ้นโดยบริษัทที่ปรึกษาบริษัทหนึ่ง มีคนฟังเพียง 10 กว่าคน แต่ไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้น แต่อยู่ที่ความก้าวหน้าของอุดมการณ์ จากวันนั้นถึงวันนี้ กลับไม่ได้ข่าวคราวอะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ (CSR-BSR) แม้แต่น้อย และที่สำคัญอย่างยิ่ง ดังได้จากผลของการวิจัยของแอนดรูว์ นิวเบิร์ก (Andrew  Newberg : Born To Belief, 2006) ผลวิจัยบอกว่าเป็นการยากลำบากที่ร่างกายเราปรับเปลี่ยนความเชื่อที่ฝังใจเป็นเวลาที่ยาวนานให้เป็นรูปแบบอื่น ทั้งนี้ ก็เพราะว่าตาข่ายของเซลล์ประสาทใยเยื่อของสมอง  (neural network of the brain) ซึ่งให้ความเชื่อที่ฝังใจนั้นๆ ภายหลังที่ตาข่ายของเซลล์สมองได้วางรูปแบบไว้เรียบร้อยแล้ว ก็ยากลำบากที่จะทำให้มันเปลี่ยนรูปแบบของตาข่ายใหม่ นั่น-แปลว่า ถ้าหากโดยธรรมชาติแล้ววิวัฒนาการของกายเพียงอย่างเดียวจะให้เราปรับและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของมนุษย์เราไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการห้ามไม่ให้เรามีอัตตาตัวตน (self)  เลย หรือมีให้น้อยลงนั้น แถมยังมีเรื่องตาข่าย  (network) อีก วิวัฒนาการทางกายภาพอย่างเดียวจึงเป็นไปได้ยากยิ่งนัก ต่อให้มีเหตุผลดีอย่างไร เรารู้ว่ามันจะต้องมีวิวัฒนาการทางจิตต่างหากจากวิวัฒนาการทางกายภาพ และผู้เขียนขอคาดเดาเอาเอง โดยคิดว่าวิวัฒนาการทางจิตนั้นจะเป็นไปเพื่อให้สมองเปลี่ยนหรือบริหารจิตไร้สำนึกของจักรวาล ซึ่งในสัตว์โลกและในคน จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือแก่นแกนข้างในเป็นจิตหนึ่ง และล้อมรอบเป็นชั้นๆ เหมือนหัวหอมข้างนอกด้วยส่วนของจิตไร้สำนึกที่แปดเปื้อนด้วยกรรม (ทั้งกรรมโดยรวมและกรรมแห่งปัจเจกตามลำดับ) - และส่วนหรือชั้นๆ ที่อยู่ล้อมรอบแก่นแกน (จิตหนึ่ง) และส่วนหรือชั้นๆ ที่อยู่ข้างนอกส่วนนี้เองที่จะถูกบริหารโดยสมองให้เป็นจิตใต้สำนึกก่อนที่จะเป็นจิตรู้หรือจิตสำนึกเพื่อบริหารให้เป็นจิตเหนือสำนึกในภายหลัง ตรงนี้ผู้เขียนเห็นด้วยกับทั้งฌ็อง เก็บเซอร์ จุงเก็น ฮาเบอมาส กับเค็น วิลเบอร์ ว่า  วิวัฒนาการของจิตนั้น ทั้งหมดเป็นไปเพื่อการคลี่ขยายของจิตจักรวาล (ชั้นนอกของ “หัวหอม”) สู่ระดับจิตวิญญาณ (spirituality unfoldment) ซึ่งก็คือจิตเหนือสำนึกไปตามสเปกตรัมของจิตที่ไล่ไต่ระดับจนกระทั่งถึงนิพพาน แต่เป็นความคิดความเชื่อของผู้เขียน (ที่ไม่มีการวิจัยอะไรสนับสนุนเลย) โดยคิดและเชื่อว่า สมองมีหน้าที่สำคัญหน้าที่อันเดียวคือ มีหน้าที่บริหารจิตจักรวาล (ชั้นนอกๆ) ให้เปลี่ยนเป็นจิตรู้  หรือจิตสำนึก (เป็นจิตใต้สำนึกก่อน และเป็นจิตเหนือสำนึกทีหลัง) คนเราถึงได้มีจิตสำนึกใหม่ตลอดเวลา        และชมรมจิตวิวัฒน์กำลังทำหน้าที่เพื่อที่จะให้มนุษย์ (ของประเทศไทย) ได้บรรลุวัตถุประสงค์นั้น

ที่ผู้เขียนกล่าว ดังที่ได้ตั้งเป็นหัวข้อเรื่องของวันนั้น คำว่า “ไร้คุณธรรม ไร้จริยธรรม” ในที่นี้ ไม่ได้ขยายคำแปลหรือความหมาย คือพูดง่ายๆ ไม่ได้ลงไปที่ความคิดด้านลึกทั้งเปี่ยมด้วยตรรกะหรือเหตุผล  แต่เป็นคำที่มีความหมายง่ายๆ แบบที่ทุกคนเข้าใจ คือหมายความว่า ความดีงามรอบด้านทั้งกายและจิตใจ ส่วนคำว่าสังคมนั้นหมายถึงสังคมปัจจุบัน และโดยความรู้ความเชื่อที่เรามี ฉะนั้น สังคมในยุคหนึ่งยุคใด คือพฤติกรรมของมนุษย์โดยรวมของสังคมนั้นๆ ที่หากเราไล่ๆ ไปแล้วก็เป็นวิวัฒนาการของจิตแห่งปัจเจก สังคมปัจจุบันซึ่งได้วิวัฒนาการมาตลอดเวลาของอดีต ที่พูดง่ายๆ ได้ว่ามีมาตั้งเป็นพันๆ ปี ที่ล้วนแล้วแต่มีหลักการเดียวหรือคล้ายๆ กัน นั่นคือ หลักการที่ตั้งอยู่บนวิวัฒนาการของจิตถึงระดับแห่งเหตุผล  (rational) ของคนเราส่วนใหญ่ในขณะนี้คือ ยังมีหลักการ “ตัวกูของกู” โดยไม่ค่อยมีวิวัฒนาการทางจิตภาพมากนัก แต่เราส่วนหนึ่งกำลังจะมีวิวัฒนาการทางจิตในระดับ “ผ่านพ้นตัวตน” (transpersonal)  ในเร็วๆ นี้ (สมาชิกของขบวนการนิวเอจเยอร์และผู้เขียนที่ไม่ได้เป็นคาดว่าจะเริ่มต้นราวๆ ปี 2013 นี้ไปแล้ว) นั่นคือระดับเริ่มต้นของสภาวะจิตวิญญาณ (spirituality) ซึ่งจิตรู้หรือจิตสำนึก ระดับนี้เองที่นักวิทยาศาสตร์และนักคิดจำนวนไม่น้อยคิดว่า คือความล่มสลายของระบบสังคม ระบบการเมือง ระบบการศึกษา  ฯลฯ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบเศรษฐกิจทุนนิยม การตลาดเสรี ที่รอคอยมานานเสียที.

http://www.thaipost.net/sunday/260910/27932

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
ความทรงจำนอกมิติ : ทฤษฎีรวมแรงทั้งหมดกับพุทธศาสนา
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2018 กระทู้ล่าสุด 18 เมษายน 2553 17:16:25
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : มนุษย์กับโลกไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวเดียวดาย
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2068 กระทู้ล่าสุด 03 พฤษภาคม 2553 08:42:23
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาวจริงๆ
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 1477 กระทู้ล่าสุด 13 มิถุนายน 2553 14:31:09
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : จักรวาลแห่งแสงเสียงและดนตรี
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 7526 กระทู้ล่าสุด 13 มิถุนายน 2553 15:37:13
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : มันอาจจะมาตรงเวลาก็ได้
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 1465 กระทู้ล่าสุด 13 มิถุนายน 2553 15:39:49
โดย มดเอ๊ก
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.452 วินาที กับ 34 คำสั่ง

Google visited last this page 13 มีนาคม 2567 20:04:56