[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
15 พฤษภาคม 2567 16:50:04 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก เวบบอร์ด ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

  แสดงกระทู้
หน้า:  1 ... 4 5 [6] 7 8 ... 368
101  สุขใจในธรรม / พุทธวัจนะ - ภาษิตธรรม / Re: ۞ ๚ เถระคาถา ๚ะ๛ ۞ เมื่อ: 23 ธันวาคม 2555 18:41:13


             

ต่อค่ะ
เปลื้องเครื่องผูกเสียแล้ว ผู้อันตัณหามานะทิฏฐิไม่อิงแอบเลย ทั้ง
จำแนกธรรมเป็นส่วนๆ ได้ด้วยนั้น เป็นตัวอย่างเถิด อันที่จริง พระ-
                             วังคีสะได้บอกทางไว้หลายประการ เพื่อให้ข้ามห้วงน้ำคือกามเป็นต้นเสีย
                             ก็ในเมื่อพระวังคีสะได้บอกทางอันไม่ตายนั้นไว้ให้แล้ว ภิกษุทั้งหลายที่
                             ได้ฟังแล้ว ก็ควรเป็นผู้ตั้งอยู่ในความเป็นผู้เห็นธรรม ไม่ง่อนแง่นคลอน
                             แคลนในธรรม พระวังคีสะเป็นผู้ทำแสงสว่างให้เกิดขึ้น แทงตลอด
                             แล้วซึ่งธรรมฐิติทั้งปวง แสดงธรรมอันเลิศตามกาลเวลาได้อย่างฉับพลัน
                             เพราะรู้มาเอง และทำให้แจ้งมาเอง เมื่อพระวังคีสะแสดงธรรมด้วยดี
                             แล้วอย่างนี้ จะประมาทอะไรต่อธรรมของท่านผู้รู้แจ้งเล่า เพราะเหตุนั้น
                             แหละ ภิกษุพึงเป็นผู้ไม่ประมาทในคำสอนของพระผู้มีพระภาคพระองค์
                             นั้น ตั้งใจศึกษาไตรสิกขาด้วยปฏิปทา อันเลิศในกาลทุกเมื่อเถิด.

                ครั้งหนึ่ง ท่านพระวังคีสเถรกล่าวคาถาชมเชยท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ ๓ คาถา ความว่า
                             พระอัญญาโกณฑัญญเถระ เป็นผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า มีความเพียร
                             อย่างแก่กล้า ได้วิเวกอันเป็นธรรมเครื่องอยู่เป็นสุขเป็นนิตย์ สิ่งใดที่
                             พระสาวกผู้กระทำตามคำสอนของพระศาสดา พึงบรรลุ สิ่งนั้นทั้งหมด
                             ท่านพระอัญญาโกณฑัญญเถระผู้ไม่ประมาทศึกษาอยู่ ก็บรรลุตามได้แล้ว
                             ท่านพระอัญญาโกณฑัญญเถระมีอานุภาพมาก มีวิชชา ๓ ฉลาดในการรู้
                             จิตของผู้อื่น เป็นทายาทของพระพุทธเจ้า ได้มาถวายบังคมพระยุคลบาท
                             ของพระบรมศาสดาอยู่.

                ครั้งหนึ่ง พระวังคีสเถระ เมื่อจะกล่าวชมเชยพระผู้มีพระภาคและพระเถระทั้งหลาย
                มีพระมหาโมคคัลลานเถระเป็นต้น จึงได้กล่าวคาถา ๓ คาถา ความว่า
                             เชิญท่านดูพระพุทธเจ้าผู้เป็นจอมปราชญ์ เสด็จถึงฝั่งแห่งความทุกข์ กำลัง
                             ประทับอยู่เหนือยอดเขากาลสิลาแห่งอิสิคิลิบรรพต มีหมู่พระสาวกผู้มี
                             วิชชา ๓ ละมัจจุราชได้แล้วนั่งเฝ้าอยู่ พระมหาโมคคัลลานเถระผู้เรือง
                             อิทธิฤทธิ์มาก ตามพิจารณาดูจิตของภิกษุผู้มหาขีณาสพเหล่านั้นอยู่ ท่านก็
                             กำหนดได้ว่าเป็นดวงจิตที่หลุดพ้นแล้ว ไม่มีอุปธิ ด้วยใจของท่าน
                             ด้วยประการฉะนี้ ภิกษุทั้งหลายจึงได้พากันห้อมล้อมพระผู้มีพระภาค
                             พระนามว่าโคดม ผู้ทรงสมบูรณ์ด้วยพระคุณธรรม ทุกอย่าง ทรงเป็นจอม
                             ปราชญ์ เสด็จถึงฝั่งแห่งทุกข์ ทรงเต็มเปี่ยมด้วยพระอาการเป็นอันมาก.

             คราวหนึ่ง ท่านพระวังคีสเถระกล่าวคาถาสรรเสริญพระผู้มีพระภาค ซึ่งกำลัง
   ประทับอยู่ในท่ามกลางสงฆ์หมู่ใหญ่ เทวดาและนาคนับจำนวนพัน ที่ริมสระโบกขรณี
   ชื่อคัคครา ใกล้เมืองจำปา ๑ คาถา ความว่า
                             ข้าแต่พระมหามุนีอังคีรส พระองค์ไพโรจน์ล่วงโลกนี้กับทั้งเทวโลกทั้ง
                             หมดด้วยพระยศเหมือนกับพระจันทร์ และพระอาทิตย์ที่ปราศจากมลทิน
                             สว่างจ้าอยู่บนท้องฟ้าอันปราศจากเมฆหมอก ฉะนั้น.

                คราวหนึ่ง ท่านพระวังคีสเถระพิจารณาดูข้อปฏิบัติที่ตนได้บรรลุแล้ว เมื่อจะประกาศ
                คุณของตน จึงกล่าวคาถาขึ้น ๑๐ คาถา ความว่า
                             เมื่อก่อนข้าพระองค์มีผู้เคารพในเวลาไปบ้านโน้นเมืองนี้ แต่เดี๋ยวนี้ ข้า-
                             พระองค์ ได้เห็นพระสัมพุทธเจ้าผู้ถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง พระองค์ผู้เป็น
                             มหามุนี เสด็จถึงฝั่งแห่งทุกข์ ได้ทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์ ข้าพระ
                             องค์ได้ฟังธรรมแล้ว เกิดความเลื่อมใส เกิดศรัทธา ข้าพระองค์ได้ฟัง
                             พระดำรัสของพระองค์แล้ว จึงรู้แจ้งขันธ์ อายตนะ และธาตุแจ่มแจ้ง
                             แล้วได้ออกบวชเป็นบรรพชิต พระตถาคตเจ้าทั้งหลายเสด็จอุบัติขึ้นมา

                             เพื่อประโยชน์แก่สตรีและบุรุษ ผู้กระทำตามคำสั่งสอนของพระองค์เป็น
                             อันมากหนอ พระองค์ผู้เป็นมุนีได้ทรงบรรลุโพธิญาณ เพื่อประโยชน์
                             แก่ภิกษุและภิกษุณีซึ่งได้บรรลุสัมมัตตนิยามหนอ พระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่า
                             พันธุ์ แห่งพระอาทิตย์ มีพระจักษุทรงแสดงอริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ เหตุ
                             เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ และอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ
                             อันให้ถึงความสงบระงับทุกข์ เพื่อทรงอนุเคราะห์แก่สัตว์ทั้งหลาย
                             อริยสัจธรรมเหล่านี้ พระองค์ทรงแสดงไว้แล้วอย่างไร ข้าพระองค์ก็เห็น


                             อย่างนั้น มิได้เห็นผิดเพี้ยนไปอย่างอื่น ข้าพระองค์บรรลุประโยชน์ของ
                             ตนแล้ว ทำคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเสร็จแล้ว การที่ข้าพระองค์ได้มา
                             ในสำนักของพระองค์เป็นการมาดีของข้าพระองค์หนอ เพราะข้าพระองค์
                             ได้เข้าถึงธรรมอันประเสริฐ ในบรรดาธรรมที่พระองค์ทรงจำแนกไว้ดีแล้ว
                             ข้าพระองค์ได้บรรลุถึงความสูงสุดแห่งอภิญญาแล้ว มีโสตธาตุอันหมดจด
                             มีวิชชา ๓ ถึงความเป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์ทางใจ เป็นผู้ฉลาดในการกำหนดรู้
                             จิตของผู้อื่น.


  ครั้งหนึ่ง ท่านพระวังคีสเถระนึกถึงพระนิโครธกัปปเถระ ผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ของตนมรณภาพแล้วว่า
  จะได้สำเร็จนิพพานหรือไม่ จึงกราบทูลถามพระบรมศาสดาด้วยคาถา ๑๒ คาถา ความว่า
                             ข้าพระองค์ขอทูลถามพระศาสดา ผู้มีพระปัญญาไม่ทราบว่า ภิกษุรูปใด
                             มีใจไม่ถูกมานะทำให้เร่าร้อน เป็นผู้เรืองยศ ตัดความสงสัยในธรรมที่ตน
                             เห็นมาได้แล้ว ได้มรณภาพลงที่อัคคาฬววิหาร ข้าแต่พระผู้มีพระภาค
                             ภิกษุรูปนั้นเป็นพราหมณ์มาแต่กำเนิด มีนามตามที่พระองค์ทรงประทาน
                             ตั้งให้ว่า พระนิโครธกัปปเถระ ผู้มุ่งแต่ทางเครื่องหลุดพ้น ปรารภความ

                             เพียร เห็นธรรมอันมั่นคง กำลังถวายบังคมพระองค์อยู่ ข้าแต่พระองค์
                             ผู้ศากยะทรงมีพระจักษุรอบคอบ แม้ข้าพระองค์ทั้งหมดปรารถนาจะทราบ
                             พระสาวกองค์นั้น โสตของข้าพระองค์ทั้งหลาย เตรียมพร้อมที่จะฟัง
                             พระดำรัสตอบ พระองค์มิใช่หรือที่เป็นพระศาสดา ซึ่งจะหาศาสดาอื่น
                             เทียมเท่ามิได้ของพระเถระรูปนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้มีพระปัญญากว้างขวาง
                             ขอพระองค์ ทรงตัดความเคลือบแคลงสงสัยของข้าพระองค์ทั้งหลายเถิด


                             และขอได้โปรดตรัสบอกพระนิโครธกัปปเถระผู้ปรินิพพานไปแล้ว แก่ข้า-
                             พระองค์ด้วย พระองค์ทรงทราบมาแล้ว ข้าแต่พระองค์ผู้มีพระจักษุรอบ
                             คอบ ขอพระองค์โปรดตรัสบอก ในท่ามกลางแห่งข้าพระองค์ทั้งหลาย
                             เถิด เหมือนท้าวสักกเทวราชผู้มีพระเนตรตั้งพัน ตรัสบอกแก่เทวดาทั้ง
                             หลาย ฉะนั้น คันธชาติชนิดใดชนิดหนึ่งในโลกนี้ที่เป็นทางก่อให้เกิด
                             ความหลงลืม เป็นฝ่ายแห่งความไม่รู้ เป็นมูลฐานแห่งความเคลือบแคลง

                             สงสัย คันธชาติเหล่านั้นมิได้มีมาถึง พระตถาคตเจ้าผู้มีพระจักษุมีพระ-
                             คุณยิ่งกว่านรชนทั้งหลายนี้เลย ก็ถ้าพระผู้มีพระภาคจะเป็นบุรุษชนิดที่
                             ทรงถือเอาแต่เพียงพระกำเนิดมาเท่านั้นไซร้ ก็จะไม่พึงทรงประหาณกิเลส
                             ทั้งหลายได้ คล้ายกับลมที่ลำเพยพัดมาครั้งเดียว ไม่อาจทำลายกลุ่มเมฆ
                             หมอกที่หนาได้ ฉะนั้น โลกทั้งปวงที่มืดอยู่แล้ว ก็จะยิ่งซ้ำมืดหนักลง

                             ถึงจะมีสว่างมาบ้าง ก็ไม่สุกใสได้ นักปราชญ์ทั้งหลายเป็นผู้กระทำแสง
                             สว่างให้เกิดขึ้น ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงปรีชา เหตุนั้น ข้าพระองค์จึงขอเข้า
                             ถึงพระองค์ ผู้ที่ข้าพระองค์เข้าใจว่าทรงทำแสงสว่างให้เกิดขึ้นได้เอง
                             เช่นนั้นเป็นแม่นมั่น ผู้เห็นแจ้ง ทรงรอบรู้สรรพธรรมตามความเป็นจริง
                             ได้ ขอเชิญพระองค์โปรดทรงประกาศพระนิโครธกัปปเถระ ผู้อุปัชฌายะ
                             ของข้าพระองค์ที่ปรินิพพานไปแล้ว ให้ปรากฏในบริษัทด้วยเถิด พระผู้มี


                             พระภาค เมื่อทรงเปล่งพระดำรัส ก็ทรงเปล่งด้วยพระกระแสเสียงกังวาน
                             ที่เกิดแต่พระนาสิก ซึ่งนับเข้าในมหาบุรุษลักษณะด้วยประการหนึ่ง อัน
                             พระบุญญาธิการตบแต่งมาดี ทั้งเปล่งได้อย่างรวดเร็วและแผ่วเบาเป็น
                             ระเบียบ เหมือนกับพระยาหงส์ทองที่กลับมาจากท่องเที่ยวหาเหยื่อ พบ
                             ราวไพรใกล้สระน้ำ ก็ชูคอป้องปีกทั้งสองขึ้นส่งเสียงร้องอยู่ค่อยๆ ด้วย
                             จะงอยปากอันแดง ฉะนั้น


มีต่อค่ะ

102  สุขใจในธรรม / พุทธวัจนะ - ภาษิตธรรม / Re: ۞ ๚ เถระคาถา ๚ะ๛ ۞ เมื่อ: 23 ธันวาคม 2555 18:38:45


                 

วังคีสเถรคาถา
   คาถาสุภาษิตของพระวังคีสเถระ
                พระวังคีสเถระ เมื่อบวชแล้วใหม่ๆ ได้เห็นสตรีหลายคนล้วนแต่แต่งตัวเสียงดงาม
   พากันไปวิหาร ก็เกิดความกำหนัดยินดี เมื่อบรรเทาความกำหนัดยินดีได้แล้ว จึงได้กล่าวคาถา ๙
   คาถา
สอนตนเอง ความว่า
                [๔๐๑]        ความตรึกทั้งหลาย กับความคะนองอย่างเลวทรามเหล่านี้ได้เข้าครอบงำ
                             เราผู้ออกบวชเป็นบรรพชิต เหมือนกับบุตรของคนสูงศักดิ์ซึ่งมีธนูมาก
                             ทั้งได้ศึกษาวิชาธนูศิลป์มาอย่างเชี่ยวชาญ ยิงลูกธนูมารอบๆ ตัวเหล่าศัตรู
                             ผู้หลบหลีกไม่ทันตั้งพันลูก ฉะนั้น ถึงแม้หญิงจะมามากยิ่งกว่านี้ ก็จัก
                             ทำการเบียดเบียนเราไม่ได้ เพราะเราได้ตั้งอยู่ในธรรมเสียแล้ว ด้วยว่า
                             เราได้สดับทางอันเป็นที่ให้ถึงนิพพานของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่ง
                             พระอาทิตย์ครั้งเดียว ใจของเราก็ยินดีในทางนั้นแน่นอน
ดูกรมารผู้ชั่วร้าย

                                       

                             ถ้าท่านยังเข้ามารุกรานเราผู้เป็นอยู่อย่างนี้ ท่านก็จะไม่ได้เห็นทางของเรา
                             ตามที่เราทำไม่ให้ท่านเห็นความจริง ภิกษุควรละความไม่ยินดี ความยินดี
                             และความตรึกอันเกี่ยวกับบุตรและภรรยาเป็นต้นเสียทั้งหมดแล้ว ไม่ควร
                             จะทำตัณหาดังป่าชัฏในที่ไหนๆ อีก
เพราะไม่มีตัณหาดังป่าชัฏ รูปอย่างใด
                             อย่างหนึ่งซึ่งอาศัยแผ่นดินก็ดี อยู่ในอากาศก็ดี และมีอยู่ใต้แผ่นดินก็ดี
                             เป็นของไม่เที่ยงล้วนแต่คร่ำคร่ำไปทั้งนั้น ผู้ที่แทงตลอดอย่างนี้แล้วย่อม
                             เป็นผู้หลุดพ้น ปุถุชนทั้งหลายหมกมุ่นพัวพันอยู่ในรูปที่ได้เห็น เสียงที่

                             ได้ฟัง กลิ่นที่มากระทบ และอารมณ์ที่ได้ทราบ
ภิกษุควรเป็นผู้ไม่หวั่นไหว
                             กำจัดความพอใจในเบญจกามคุณเหล่านี้เสีย เพราะผู้ใดไม่ติดอยู่ในกาม-
                             คุณเหล่านี้ บัณฑิตทั้งหลายกล่าวผู้นั้นว่าเป็นมุนี มิจฉาทิฏฐิซึ่งอิงอาศัย
                             ทิฏฐิ ๖๒ ประการ เป็นไปกับด้วยความตรึก ตั้งลงมั่นในสิ่งอันไม่เป็น
                             ธรรม ในความเป็นปุถุชนในกาลไหนๆ ผู้ใดไม่เป็นไปในอำนาจของ
                             กิเลส
ทั้งไม่กล่าวถ้อยคำหยาบคาย ผู้นั้นชื่อว่าเป็นภิกษุ ภิกษุผู้เป็นบัณฑิต
                             มีใจมั่นคงมานมนานแล้ว ไม่ลวงโลก มีปัญญารักษาตน ไม่มีความทะเยอ
                             ทะยาน เป็นมุนี ได้บรรลุสันติบทแล้ว หวังคอยเวลาเฉพาะปรินิพพาน.


                             

                เมื่อพระวังคีสเถระกำจัดมานะที่เป็นไปแก่ตนได้แล้ว เพราะอาศัยคุณสมบัติ คือ ความ
                ไหวพริบของตน จึงได้กล่าวคาถา ๔ คาถาต่อไปอีก ความว่า
                             ดูกรท่านผู้สาวกของพระโคดม ท่านจงละทิ้งความเย่อหยิ่งเสีย จงละทิ้ง
                             ทางแห่งความเย่อหยิ่งให้หมดเสียด้วย เพราะผู้หมกมุ่นอยู่ในทางแห่ง
                             ความเย่อหยิ่งจะต้องเดือดร้อนอยู่ตลอดกาลช้านาน หมู่สัตว์ผู้ยังมีความ
                             ลบหลู่คุณท่าน
ถูกมานะกำจัดแล้วไปตกนรก ชุมชนคนกิเลสหนา ถูก
                             ความทะนงตัวกำจัดแล้ว พากันตกนรกต้องเศร้าโศกอยู่ตลอดในกาลนาน
                             กาลบางครั้งภิกษุปฏิบัติชอบแล้วชนะกิเลสด้วยมรรคจึงไม่ต้องเศร้าโศกยัง
                             กลับได้เกียรติคุณ และความสุข บัณฑิตทั้งหลายเรียกภิกษุผู้ปฏิบัติชอบ
                             อย่างนั้นว่า เป็นผู้เห็นธรรม เพราะเหตุนั้น ภิกษุในศาสนานี้ไม่ควรมี
                             กิเลสเครื่องตรึงใจ ควรมีแต่ความเพียรชอบ ละนิวรณ์แล้วเป็นผู้บริสุทธิ์
                             และละมานะโดยไม่เหลือแล้ว เป็นผู้สงบระงับ บรรลุที่สุดแห่งวิชชาได้

                             ข้าพเจ้าเร่าร้อนเพราะกามราคะ และจิตใจของข้าพเจ้าก็เร่าร้อนเพราะกาม
                             ราคะเหมือนกัน ดูกรท่านผู้สาวกของพระโคดม ขอพระคุณจงกรุณาบอก
                             ธรรมเครื่องดับความเร่าร้อนด้วยเถิด.

                ท่านพระอานนท์เถระกล่าวคาถา ความว่า
                             จิตของท่านเร่าร้อนก็เพราะความสำคัญผิด เพราะฉะนั้น ท่านจงละทิ้งนิมิต
                             อันงามซึ่ง
ประกอบด้วยราคะ
เสีย ท่านจงอบรมจิตให้มีอารมณ์อันเดียว
                             ตั้งมั่นเด็ดเดี่ยว ด้วยการพิจารณาสิ่งทั้งปวงว่าเป็นของไม่สวยงาม จง
                             อบรมกายคตาสติ จงเป็นผู้มากไปด้วยความเบื่อหน่าย ท่านจงเจริญ
                             อนิมิตตานุปัสสนา การนึกถึงกิเลสเป็นเครื่องหมาย จงตัดอนุสัย
                             คือมานะเสีย
แต่นั้นท่านจักเป็นผู้สงบระงับเที่ยวไป เพราะละมานะเสียได้.


                คราวหนึ่งพระวังคีสเถระ เกิดความปลาบปลื้มใจในสุภาษิตสูตรที่พระผู้มีพระภาคทรง
                แสดงไว้แล้ว จึงกราบทูลขึ้นในที่เฉพาะพระพักตร์ด้วยคาถา ๔ คาถา ความว่า
                             บุคคลควรพูดแต่วาจาที่ไม่ยังตนให้เดือดร้อนเท่านั้น อนึ่ง วาจาใดที่ไม่
                             เบียดเบียนคนอื่น วาจานั้นแลเป็นวาจาสุภาษิต บุคคลควรพูดแต่วาจา
                             ที่น่ารักใคร่ ทั้งเป็นวาจาที่ทำให้ร่าเริงได้ ไม่พึงยึดถือวาจาชั่วช้าของคนอื่น
                             พึงกล่าวแต่วาจาอันเป็นที่รัก คำสัตย์แลเป็นวาจาไม่ตาย ธรรมนี้เป็น
                             ของเก่า สัตบุรุษทั้งหลายตั้งอยู่แล้วในคำสัตย์ ทั้งที่เป็นอรรถเป็นธรรม
                             พระพุทธเจ้าตรัสพระวาจาใด เป็นพระวาจาปลอดภัย พระวาจานั้นเป็นไป
                             เพื่อบรรลุนิพพาน เพื่อทำซึ่งที่สุดแห่งทุกข์ พระวาจานั้นแลเป็นวาจา
                             สูงสุดกว่าวาจาทั้งหลาย
.

                ครั้งหนึ่ง พระวังคีสเถระกล่าวคาถา ๓ คาถา ด้วยอำนาจสรรเสริญพระสารีปุตตเถระ
                ความว่า
                             ท่านพระสารีบุตรมีปัญญาสุขุม เป็นนักปราชญ์ เป็นผู้ฉลาดในทางและ
                             มิใช่ทาง มีปัญญามากแสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลายย่อบ้าง พิสดารบ้าง
                             เสียงของท่านผู้กำลังแสดงธรรมอยู่ไพเราะ เหมือนกับเสียงนกสาลิกา
                             มีปฏิภาณปรากฏรวดเร็ว เหมือนกับคลื่นในมหาสมุทร เมื่อท่านแสดง
                             ธรรมด้วยเสียงอันน่ายินดี น่าสดับฟัง ไพเราะจับใจ ภิกษุทั้งหลาย
                             ได้ฟังคำอันไพเราะ ก็มีใจร่าเริงเบิกบาน พากันตั้งใจฟัง.


                             

                ในวันเทศนาพระสูตรเนื่องในวันปวารณา ครั้งหนึ่ง พระวังคีสเถระเห็นพระบรมศาสดา
                ซึ่งกำลังประทับอยู่ มีภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ห้อมล้อม จึงกล่าวคาถาชมเชยพระองค์ขึ้น ๔ คาถา
                ความว่า
                            ในวัน ๑๕ ค่ำ เป็นวันปวารณาปริสุทธิ วันนี้มีภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูปมา
                             ประชุมกัน ล้วนแต่เป็นผู้ตัดเครื่องเกาะเกี่ยวผูกพันเสียได้สิ้น ไม่มี
                             ความทุกข์ สิ้นภพสิ้นชาติแล้ว เป็นผู้แสวงหาคุณธรรมอันประเสริฐ
                             ทั้งนั้น พระเจ้าจักรพรรดิ์มีหมู่อำมาตย์ห้อมล้อม เสด็จเลียบแผ่นดินอัน
                             ไพศาล มีมหาสมุทรเป็นอาณาเขตนี้ไปรอบๆ ได้ ฉันใด พระสาวก
                             ทั้งหลายผู้มีวิชชา ๓ ละมัจจุราชได้แล้ว พากันเข้าไปห้อมล้อมพระผู้มี-
                             พระภาคผู้ทรงชนะสงครามแล้ว ผู้นำพวกชั้นเยี่ยม ฉันนั้น พระสาวก
                             ทั้งมวลล้วนแต่เป็นพุทธชิโนรส ก็ในพระสาวกเหล่านี้ ไม่มีความว่าง
                             เปล่าจากคุณธรรมเลย ข้าพระองค์ขอถวายบังคมพระองค์ผู้เป็นเผ่าพันธุ์
                             แห่งพระอาทิตย์ ผู้ทรงประหาณลูกศร คือตัณหาได้แล้ว.


                                             

                ครั้งหนึ่ง ท่านพระวังคีสเถระได้กล่าวคาถา ๔ คาถา ชมเชยพระผู้มีพระภาค ซึ่งกำลัง
                ทรงแสดงธรรมอันเกี่ยวกับเรื่องนิทานแก่ภิกษุทั้งหลาย ความว่า
                             ภิกษุมากกว่าพัน ได้เข้าไปเฝ้าพระสุคตเจ้าผู้กำลังทรงแสดงธรรมอัน
                             ปราศจากธุลี คือนิพพานอันไม่มีภัยแต่ที่ไหนๆ ภิกษุทั้งหลายก็พากัน
                             ตั้งใจฟังธรรมอันไพบูลย์ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว พระ-
                             สัมมาสัมพุทธเจ้าอันหมู่ภิกษุสงฆ์ห้อมล้อม เป็นสง่างามแท้หนอ พระผู้มี
                             พระภาคทรงพระนามว่านาคะ ผู้ประเสริฐ ทรงเป็นพระฤาษีสูงสุดกว่า
                             บรรดาฤาษี คือพระสาวกและพระปัจเจกพุทธเจ้า ทรงโปรยฝนอมฤตธรรม
                             รดพระสาวกทั้งหลาย คล้ายกับฝนห่าใหญ่ ฉะนั้น ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า
                             พระวังคีสะสาวกของพระองค์ออกจากที่พักกลางวัน มาถวายบังคมพระ-
                             ยุคลบาทของพระองค์อยู่ ด้วยประสงค์จะเฝ้าพระองค์.

                คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงสดับภิกษุทั้งหลายสนทนากันว่า พระวังคีสะไม่ตั้งใจจะ
                ศึกษาเล่าเรียน พระองค์จึงตรัสพระคาถา ๔ พระคาถา ความว่า
                             พระวังคีสะครอบงำทางผิดแห่งกิเลสมารได้แล้ว ทั้งทำลายกิเลสเครื่อง
                             ตรึงใจได้สิ้นแล้ว จึงเที่ยวไปอยู่ เธอทั้งหลายจงดูพระวังคีสะผู้ปลด
                             เปลื้องเครื่องผูก
เสียแล้ว ผู้อันตัณหามานะทิฏฐิไม่อิงแอบเลย ทั้ง
                             จำแนกธรรมเป็นส่วนๆ ได้ด้วยนั้น เป็นตัวอย่างเถิด อันที่จริง >>


มีต่อค่ะ

103  สุขใจในธรรม / นิทาน - ชาดก / Re: @ นิทานเซ็น @ รวมหลายเรื่องจากเวบไซต์ อกาลิโก เมื่อ: 23 ธันวาคม 2555 18:06:19


         

๖๔. หาตัวตนของตัวเองที่หายไป

มีพระรูปหนึ่งบวชเรียนผ่านไป 20 พรรษาแล้ว ก็ยังไม่บรรลุธรรม
จิตใจจึงรู้สึกว้าวุ่นและกระวนกระวาย

วันหนึ่งพระอาจารย์ ใช้ให้ไปทำธุระที่ข้างนอกที่ต้องใช้เวลาถึง 1 ปี
เขาคิดในใจว่า “ต้องใช้เวลานานขนาดนี้ ตัวเองก็ปฏิบัติธรรมไม่มี
ความก้าวหน้าอะไร นี่ไม่ใช่เป็นการเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์
หรือ “ เลยทำให้จิตใจมีแต่ความทุกข์กังวล

พระอีกรูปหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนกัน ได้ยินเพื่อนมาปรับทุกข์
เลยพูดปลอบว่าข้าจะไปเป็นเพื่อนเจ้า ขณะที่เดินทางไปนั้น
ข้าอาจจะพอแนะนำอะไรที่เกี่ยวกับการภาวนาได้บ้าง”
พระรูปนั้นได้ยินแล้วดีใจมาก แล้วทั้งสองก็เดินทางไปด้วยกัน

ขณะที่เดินทางไปด้วยกัน พระที่ไปเป็นเพื่อนมักจะคุยและมีเรื่องสนุกทั้งวัน
เหมือนกับจะลืมปณิธานที่ตั้งไว้ตั้งแต่ต้น พระรูปนั้นรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก
จึงร้องขอให้เพื่อนช่วยเหลือเรื่องการปฏิบัติธรรม

“ไม่ใช่ข้าไม่ช่วยเหลือเจ้า แต่ข้าช่วยเจ้าไม่ได้จริงๆ ตลอดการเดินทาง สิ่งที่
เจ้าจะต้องทำเองมี 5 อย่าง”
“5 อย่างมีอะไรบ้าง?”
“ฉัน ดื่ม ถ่ายหนัก ถ่ายเบา นอน”

ขณะที่เพื่อนพูดจบ พระรูปนั้นเข้าใจได้โดยฉับพลับ ที่สุดเขาก็รู้แจ้งแล้ว
จากคำพูดไม่กี่คำทำให้รู้จัก “ตัวตนของตัวเอง”
ดังนั้นเขาจึงเดินทางต่อไปตามลำพัง ไม่ต้องการเพื่อนไปด้วยอีกแล้ว

หนึ่งปีผ่านไป เมื่อเขากลับมาถึงวัด ทันทีที่พระอาจารย์เห็นหน้าก็พูดกับเขาว่า
“ในที่สุดเจ้าก็หาตัวตนที่แท้จริงของเจ้าได้แล้ว”

นึกถึงตลอด 20 ปีที่ผ่านมาตัวเองช่างไม่เดียงสาเสียจริงๆ
ทุกอย่างก็คิดจะพึ่งพิงแต่อาจารย์ นึกว่าหากห่างไกลจากอาจารย์แล้ว
จะภาวนาไม่ได้ จนทำให้การรู้แจ้งล่าช้าไปมาก
หลังจากการชี้แนะของกัลยาณมิตร จนได้ค้นพบตัวตนของตนเอง
และเมื่อรู้ว่ารากเหง้าของการภาวนาล้วนแต่ต้องอาศัย
“รู้เอง ทำเอง เห็นเอง” ตนเองถึงได้เริ่มต้นเดินไปสู่
“วิถีแห่งการรู้แจ้ง”

         

104  สุขใจในธรรม / นิทาน - ชาดก / Re: @ นิทานเซ็น @ รวมหลายเรื่องจากเวบไซต์ อกาลิโก เมื่อ: 23 ธันวาคม 2555 18:02:12


     

๖๓. ๔ เมล็ดพันธุ์ที่สลายไป

เมล็ดพันธุ์ของต้นไม้ต้นหนึ่ง บังเอิญหล่นลงมายังพื้นดิน
แล้วเมล็ดนั้นก็เงยหน้าขึ้นมา เห็นแม่ของตัวเอง
เป็นต้นไม้พันปีต้นหนึ่ง ลำต้นยืนอยู่อย่างมั่นคงสง่าผ่าเผย
ตัดกับด้านหลังซึ่งเป็นฟ้าสีครามอันกว้างใหญ่ไพศาล
ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของแม่ตัวเอง

“แม่ แม่ ทำไมแม่ถึงยืนได้อย่างยิ่งใหญ่บนพื้นโลก? เมล็ดพันธุ์ถาม
ต้นไม้ผู้เป็นแม่พูดกับลูกอย่างปรานีว่า
“นี่ไม่ใช่ความยิ่งใหญ่ แต่มันเป็นสิ่งที่เติบโตขึ้นมาเองตามธรรมชาติ
เมล็ดพันธุ์ทุกเม็ดของเรา เพียงแค่มีความสมบูรณ์แข็งแรง
ดูดน้ำ รับฝน และรับแสงแดด ก็จะเติบโตได้เองตามธรรมชาติ
แต่ก็ต้องทนผ่านประสบการณ์จากลมแรงฟ้าคะนอง ผ่านฤดูกาลต่างๆ
ลูกเอ๋ย วันหนึ่งเจ้าก็จะเติบโต และสูงใหญ่เท่าแม่”
เมล็ดพันธุ์นั้นยังรู้สึกงงงวยต่อชีวิตในอนาคต

“ แต่ แม่ครับทำอย่างไรลูกถึงจะตั้งลำต้นได้อย่างมั่นคง ลูกต้องทำอย่างไร?”
“ลูกรักของแม่ สิ่งที่สำคัญที่สุด คือเจ้าจะต้องย่อยสลายตัวเองก่อน
ทำตัวเองให้หลอมละลายอยู่ในดิน หลังจากนั้นก็แตกยอดอ่อนออกมา
กลายเป็นต้นไม้ต้นหนึ่ง ขอให้เป็นต้นไม้ วันหนึ่งเจ้าก็จะเหมือนแม่เอง
รับรู้ความสุขจากท้องฟ้า สายลมและแสงแดด”

“แม่ครับ ลูกต้องย่อยสลายไป มันน่ากลัวนะแม่ และถ้าหากลูกหลอมละลาย
ปนอยู่ในดินแล้ว ไม่ได้โตมาเป็นต้นไม้ แล้วกลายเป็นดิน แล้วลูกจะทำอย่างไรครับ?
แล้วไม่ต้องอยู่ในดินที่มืดมิดเปียกชื้นตลอดไปหรือ?
อย่างนี้เป็นการเสี่ยงภัยเกินไปแล้ว เอาอย่างนี้ดีกว่า ขอให้ลูกเหลือเมล็ดพันธุ์สักครึ่ง อีกครึ่งโตเป็นต้นไม้ดีกว่า”
ผู้เป็นลูกตั้งใจว่าจะทำอย่างนั้น ขอเลือกครึ่งหนึ่งสลายไป อีกครึ่งหนึ่ง
หลอมรวมลงดิน เพื่อความสบายใจในความปลอดภัยของตัวเอง

ผู้เป็นแม่ถอนใจยาว ทุกๆปีนางจะเกิดเมล็ดพันธุ์ขึ้นมากมาย แต่มีเพียง
เมล็ดพันธุ์เม็ดสองเม็ดเท่านั้นที่จะยอมย่อยสลาย แล้วเติบโตเป็นต้นไม้
ส่วนพวกที่บังเอิญหล่นลงมา ปล่อยให้ตัวเองเน่าเปื่อย แล้วก็กลายเป็นดิน
สูญสลายหายไปจริงๆ

         

105  สุขใจในธรรม / นิทาน - ชาดก / Re: @ นิทานเซ็น @ รวมหลายเรื่องจากเวบไซต์ อกาลิโก เมื่อ: 23 ธันวาคม 2555 17:57:59


   

๖๓. ๓ นิทานไม่จำเป็นต้องมีตอนจบตามมาตรฐาน

สมัยเมื่อเรายังเรียนหนังสือ เวลาเรียนต้องให้อาจารย์บอกคำตอบที่ถูกต้อง
เวลาสอบ ก็ย่อมจะต้องมีคำตอบที่ถูกต้อง
ดูหนัง ดูละคร ก็จะต้องแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าคนไหนเป็นคนดี
หรือคนร้าย สุดท้ายนางเอกหรือพระเอกจะได้อยู่ด้วยกันหรือเปล่า?
คนร้ายจะตายหรือเปล่า? ไม่มีตอนจบ ก็คือไม่มีคำตอบ พวกเราก็จะไม่เข้าใจ
นี่คือธรรมเนียมที่เป็นมาตรฐานที่เรามีต่อสิ่งต่างๆ

ดังนั้นสิ่งที่น่าเสียดายที่สุดคือ พวกเราจะต้องได้คำตอบที่ถูกต้องและสะใจตัวเองที่สุด
คนดีย่อมจะดีถึงที่สุด คนร้ายไม่มีจิตใจ ใจดำชนิดที่ไม่มีสีอื่นผสมอยู่เลย
คนร้ายต้องลงเอยอย่างเลวร้าย คนดีจะต้องได้รับผลดีตอบสนอง
มีคำตอบมาอย่างชัดเจน ไม่ต้องเปลืองสมองคิดแต่อย่างไร
แต่จริงๆแล้ว ชีวิตจริงของคนเรามีเรื่องราวมากมายที่มักจะไม่ได้คำตอบ

คนที่น่ารำคาญในบริษัท เมื่อกลับถึงบ้านอาจจะเป็นพ่อที่ดีของลูก
เพราะว่าเขาต้องให้สิ่งดีที่สุดแก่ลูกของเขา เลยจำเป็นต้องชิงดีชิงเด่นกับ
ผู้อื่นในบริษัท เพื่อจะได้นำเงินเดือนที่สูงขึ้นไปซื้อของที่ดีให้กับลูกของเขา
แล้วคุณจะบอกว่าเขาเป็นคนดีหรือคนชั่ว?

คนสูงอายุคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอย่างสงบเงียบ แต่ก็เป็นมะเร็ง
แล้วคุณจะบอกว่า นี่คือการลงเอยของคนดีหรือคนร้าย?

เรื่องราวเหล่านี้เกี่ยวกับความเป็นจริงของชีวิตคน
นิสัยคนเรามีมากมายสับสน วุ่นวายไปหมด
พวกเราต้องผ่านประสบการณ์ ผ่านเรื่องราวมาร้อยแปด
จึงจะเข้าใจสิ่งต่างๆได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ชีวิตที่แท้จริงจะต้องเดินไปประสบพบเห็นเองถึงจะเข้าใจถึงแก่นแท้
คนอื่นจะพูดอย่างไร ก็คงอยู่ในของเขตที่จำกัด
นี่คือชีวิต บางเรื่องราวเราไม่มีสิทธิ์ที่จะเลือก บางสิ่งเราก็อาจจะควบคุมได้
นิทานก็เหมือนกับชีวิต ซึ่งตอนจบไม่จำเป็นจะต้องเป็นไปตามมาตรฐานที่คนตั้งไว้

           

106  สุขใจในธรรม / นิทาน - ชาดก / Re: @ นิทานเซ็น @ รวมหลายเรื่องจากเวบไซต์ อกาลิโก เมื่อ: 23 ธันวาคม 2555 17:54:58


 

๖๓. ๒ สุดท้ายของชีวิต กายไม่ได้มีไว้เพื่อตัวเอง

ฉันคือน้ำ ที่ไหลมาจากบนยอดเขาลงมาสู่ด้านล่าง
ผ่านป่าเขาลำเนาไพร ผ่านโขดหิน
บางครั้งคดเคี้ยว บางครั้งก็ราบเรียบ
บางครั้งก็เป็นน้ำขุ่น บางครั้งก็เป็นน้ำใส
บางครั้งนอนนิ่งๆอยู่กลางหุบเขา แล้วก็ไหลเอื่อยๆไปอย่างช้าๆ

เมื่อมีอุปสรรค ฉันก็อดทนที่จะรอคอย
เมื่อไม่มีสิ่งกีดขวาง ฉันก็มุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่หวาดหวั่น
ไม่รู้ผ่านวันเดือนปีไปแล้วเท่าไหร่
สุดท้ายก็กลับไปที่ทะเลชีวิต
นึกว่าจะกลับถึงบ้านแล้ว

แต่ใครจะคิดว่า กลับโดนแสงแดดแผดเผาจนกลายเป็นไอน้ำ
กลายเป็นเมฆขาวลอยอยู่บนท้องฟ้า
แล้วต้องล่องลอยไปตามลม ไปยังที่ๆไม่รู้จัก
กายฉันเหน็ดเหนื่อย ใจฉันอ่อนล้า
ไม่รู้ไปถึงไหนถึงจะได้เจอแหล่งพักพิง

แล้วช่วงเวลานั้น ฟ้ามืดมิด หมอกแน่นหนา
ก้อนเมฆเปลี่ยนจากสีขาวกลายเป็นสีดำ
ทำให้ฉัน ซึ่งเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าอยู่แล้ว
กลายเป็นอ่อนแอลงไปยิ่งกว่า

ฉับพลันนั้น เมฆดำเริ่มจะรั่วไหลไปอย่างบ้าคลั่ง
ฝนนั้นคือน้ำตา ฝนนั้นคือความทุกข์ ฝนนั้นส่งเสียงร้องไห้
คร่ำครวญกลางสายลม สายฝนเทกระหน่ำ พรั่งพรูอย่างไม่ยอมหยุด
พื้นโลกได้รับความชุ่มชื้น สรรพสิ่งงอกงามเติบโต

ที่แท้ ……
นั่นไม่ใช่ความทุกข์ยากอุปสรรค
แต่เป็นนิมิตหมายที่ดีที่ทำให้เกิดความชุ่มฉ่ำ
สลายตัวเองเพื่อให้ผู้อื่นเติบโตและมีความสุข

ฉันรู้แล้วว่า …….
สุดท้ายของชีวิต ไม่ได้อยู่ที่กายของตนเอง
แต่อยู่ที่เพื่อสรรพสิ่งที่มี

         

107  สุขใจในธรรม / นิทาน - ชาดก / Re: @ นิทานเซ็น @ รวมหลายเรื่องจากเวบไซต์ อกาลิโก เมื่อ: 23 ธันวาคม 2555 17:50:24


           

๖๓. ๑ ความหอมของดอกเหมยฮวา

เช้าวันหนึ่งของฤดูหนาว เศรษฐีคนหนึ่งก็เหมือนกับที่เคยปฏิบัติทุกวัน
ผ่านการนอนอันอบอุ่นมาทั้งคืน เมื่อกินอาหารเช้าอันอุดมสมบูรณ์แล้ว
ก็จะเดินเล่นอยู่ในสวนที่มีอาณาเขตกว้างขวาง
ก็เหมือนกับเศรษฐีทั่วๆไปที่เช้าขึ้นมาก็เดินเล่นอยู่ในสวนดอกไม้
เพราะนั่นคือสิ่งที่แสดงถึงฐานะและลักษณะของเศรษฐี

ในสวนอันกว้างใหญ่นั้นเศรษฐีไม่เคยปลูกดอกไม้ด้วยตัวเอง พวกเขาได้แต่เสพสุข
จากผลสำเร็จอันยากลำบากของคนสวน ชมดอกไม้ก็เหมือนกับการตรวจงานในชีวิตประจำวัน
เศรษฐีเห็นดอกไม้ในสวนบานสะพรั่ง ก็ดีใจที่สามารถมีสวนอย่างนี้ได้

ขณะที่กำลังเดินชมเพลินอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงคนเคาะประตู เศรษฐีคนนั้นก็เปิดประตูสวนออกไป
เห็นขอทานใส่เสื้อผ้าขาดๆคนหนึ่ง ยืนตัวหนาวสั่นท่ามกลางลมหนาวด้านนอกขอทานนั้นพูดขึ้นว่า
“คุณท่าน ทำบุญทำทานให้กับคนยากด้วยเถิด ขออะไรกินสักหน่อยได้มั้ย?”

เศรษฐีนั้นบอกให้ขอทานรอสักเดี๋ยว แล้วก็เดินเข้าไปในครัว ยกอาหารอันร้อนกรุ่นมา
ชามหนึ่ง ขณะที่เศรษฐีนั้นจะยกให้กิน ขอทานนั้นพูดขึ้นว่า
“คุณท่าน ดอกเหมยฮวาบ้านท่าน ช่างหอมกรุ่นเสียจริงๆ”
พูดจบแล้วก็ รับอาหารนั้น ขอบคุณแล้วเดินจากไป

เมื่อได้ยินคำพูดของขอทานนั้น เศรษฐีนั้นนิ่งอึ้งไปสักพัก แล้วคิดว่า
“ขอทานยังรู้จักชื่นชมดอกไม้หรือ? และสิ่งที่ยิ่งทำให้เศรษฐีประหลาดใจคือ
ปลูกดอกเหมยฮวาในสวนมาสิบกว่าปี แล้วก็เดินชมสวนอยู่ทุกวัน
ทำไมถึงไม่เคยได้กลิ่นของดอกเหมยฮวาเลย

ดังนั้น เขาจึงเดินไปใต้ต้นเหมยฮวา แล้วก็พยายามทำจิตให้สงบนิ่งและอ่อนโยน
จากนั้นก็ค่อยๆสูดดมกลิ่นของดอกเหมย แล้วเขาก็ได้กลิ่นหอม ใสเย็นอ่อนๆ
นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้กลิ่นของดอกเหมย เขาตื้นตันจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่

***** สิ่งมีค่าที่สุดในชีวิต คือการรู้จักชื่นชม แต่ไม่ใช่การยึดครองอยู่ *****

         

108  สุขใจในธรรม / นิทาน - ชาดก / Re: @ นิทานเซ็น @ รวมหลายเรื่องจากเวบไซต์ อกาลิโก เมื่อ: 23 ธันวาคม 2555 17:46:11


         

๖๓. จดหมายของแม่

พระอาจารย์ท่านหนึ่งขณะที่ยังเป็นสามเณร เป็นคนที่ฉลาดหลักแหลม
พูดจาฉะฉาน ได้พบกับฮ่องเต้หลายครั้ง และได้รับพระราชทานรางวัลมา
ทุกครั้ง ของที่ได้รับพระราชทานมา สามเณรนั้นจะส่งกลับไปให้มารดา
เพื่อเป็นการแสดงความกตัญญู แต่มารดาตอบจดหมายกลับมาว่า

สิ่งที่เจ้าส่งมานั้นเป็นของพระราชทาน แม่ย่อมรู้สึกชื่นชมยินดี
แต่เมื่อตั้งแต่แรก ที่ตั้งใจจะให้เจ้าบวชเรียน ก็เพื่อจะให้เจ้าเป็นผู้ที่
ตั้งใจปฏิบัติธรรมให้ถูกต้อง เพื่อให้หลุดพ้นจากความเป็นทุกข์กับ
เกียรติยศชื่อเสียงเงินทอง หากว่ายังหลงชื่นชอบอยู่กับสิ่งจอมปลอม
แบบโลกๆ ก็เท่ากับเป็นการผิดไปจากความตั้งใจแต่แรกของแม่
หวังว่าเมื่อได้อ่านจดหมายของแม่แล้ว ลองไตร่ตรองให้ละเอียดถี่ถ้วน
“อะไรคือการปฏิบัติธรรมที่แท้จริง”   “อะไรคืออาจารย์ของฟ้าดิน”

หลังจากที่สามเณรนั้น ได้อ่านจดหมายจากมารดา ก็ได้ตั้งใจปฏิบัติ
ตนเป็นบรรพชิตที่ประพฤติธรรมเผยแพร่ธรรมะและฉุดช่วยผู้คน
ดังคัมภีร์ที่กล่าวไว้ว่า “หวังจะให้เวไนยสัตว์ทั้งหลายหลุดพ้นจากทุกข์
ไม่ได้เพื่อหวังวิงวอนให้ตัวเองสุขสงบ”

หลังจากนั้น สามเณรท่านนั้นก็ฝากคนไปแจ้งข่าวกับมารดาว่า
หน้าร้อนปีนี้ จะขอลากลับไปเยี่ยมแม่ มารดาก็ส่งจดหมายตอบมาว่า
“เมื่อแม่ส่งเจ้าไปบวชเรียน เจ้าก็กลายเป็นคนของศาสนา
เป็นคนของเหล่าเวไนย ไม่ใช่เป็นคนของแม่เพียงคนเดียวแล้ว

ต่อจากนี้ไป เจ้าควรจะเป็นบุตรของพุทธะ
กตัญญูต่อครูอาจารย์ ใกล้ชิดพระรัตนตรัย
ไม่ควรจะนึกถึงแม่แต่เพียงผู้เดียว
ความคิดที่จะกลับบ้านในหน้าร้อนนี้ ยกเลิกเสียเถิด

         

109  สุขใจในธรรม / นิทาน - ชาดก / Re: @ นิทานเซ็น @ รวมหลายเรื่องจากเวบไซต์ อกาลิโก เมื่อ: 23 ธันวาคม 2555 17:42:31


             

๖๒. ภูเขาพระอาทิตย์

มีพี่น้องคู่หนึ่งกำพร้าบิดามารดาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก สองพี่น้องดำรงชีวิตอยู่มา
อย่างยากลำบาก พวกเขาหาเลี้ยงชีพด้วยการตัดฟืนไปขายในเมือง แต่พวก
เขาก็ไม่รู้สึกเคืองแค้นในโชคชะตา ซ้ำยังเป็นคนขยันขันแข็ง ทำงานทั้งวัน
ตั้งแต่เช้ายันมืด คนพี่ดูแลเอาใจใส่น้อง คนน้องรักและเคารพในตัวพี่
แม้ชีวิตจะอยู่อย่างฝืดเคือง แต่ทั้งสองก็มีความสุขตามอัตภาพ

หัวรุ่งของวันหนึ่ง ทั้งสองฝันว่า เจ้าแม่กวนอิมมาบอกว่า “ที่ๆไกลจากที่นี่ไป
มีภูเขาลูกหนึ่งชื่อว่า “ภูเขาพระอาทิตย์” บนภูเขามีทอง เหลืองอร่ามเต็มไป
หมด พวกเจ้าสามารถไปเอามาได้ แต่พวกเจ้าต้องระวัง เพราะจะเจออุปสรรค
และอันตรายตลอดทาง และอีกอย่างที่สำคัญคือ บนภูเขาจะมีอุณหภูมิสูงมาก
พวกเจ้าจะต้องนำทองเอาจากภูเขาก่อนพระอาทิตย์จะขึ้น ถ้าหากรอให้พระ
อาทิตย์ขึ้นแล้ว พวกเจ้าจะโดนเผาจนตาย”

เมื่อตื่นขึ้นมาทั้งสองรู้สึกดีใจมาก ปรึกษากันสักพัก ก็ตกลงใจจะเดินทางทันที
ตลอดทางเจอสัตว์ร้าย พายุฝนกระหน่ำ และอุปสรรคต่างๆนานา แต่ด้วย
ความร่วมแรงร่วมใจของทั้งสอง ที่สุดก็เดินทางถึงภูเขานั้น

ขณะนั้นพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น คนพี่รีบเก็บทองก้อนที่มีขนาดใหญ่แล้วรีบลง
จากเขาทันที แต่คนน้องเก็บแล้วเก็บเล่าจนเต็มถุงแล้วก็ยังไม่ยอมรามือ
แม้จะยังจำได้ว่า เจ้าแม่ได้เตือนแล้วว่า ให้ลงจากเขาก่อนพระอาทิตย์จะขึ้น
ก็ไม่สนใจ ได้แต่คิดในใจว่า “ไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายที่จะพบทองมากมายอย่างนี้
ขอเก็บให้พอใจเถอะ” คิดแล้วก็เก็บต่อไปอีก

พระอาทิตย์เริ่มขึ้นมาจากขอบฟ้า อุณหภูมิก็สูงขึ้นเรื่อยๆ คนน้องจึงรีบแบกทอง
ลงจากเขา แต่ทองนั้นหนักเหลือเกิน เขาลากทองนั้นอย่างทุลักทุเล หกล้มไปตลอดทาง
ที่สุดความร้อนจากแสงอาทิตย์ก็เผาเขาจนตายอยู่บนภูเขานั้น

ส่วนคนพี่เมื่อได้ทองมา ก็นำทองไปขายได้เงินมาไปลงทุนค้าขาย
เก็บหอมรอมริบจนกลายเป็นเศรษฐี

     

110  สุขใจในธรรม / ห้อง วีดีโอ / อานาปานสติ_ท่านพุทธทาส เมื่อ: 23 ธันวาคม 2555 11:53:20


อานาปานสติ_ท่านพุทธทาส


111  สุขใจในธรรม / ธรรมะจากพระอาจารย์ / What Is Dhamma ? :ท่านพุทธทาส เมื่อ: 23 ธันวาคม 2555 11:15:18


<a href="http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&amp;v=UylhcaS03zs" target="_blank" class="aeva_link bbc_link new_win">http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&amp;v=UylhcaS03zs</a>

พระธรรมโกษาจารย์ (เงื่อม อินทปัญโญ) หรือรู้จักในนาม พุทธทาสภิกขุ (27 พฤษภาคม พ.ศ. 2449 - 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2536) เป็นชาวอำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2449 เริ่มบวชเรียนเมื่ออายุได้ 20 ปี ที่วัดบ้านเกิด จากนั้นได้เข้ามาศึกษาพระธรรมวินัยต่อที่กรุงเทพมหานคร จนสอบได้เปรียญธรรม 3 ประโยค แต่แล้วท่านพุทธทาส

ภิกขุก็พบว่าสังคมพระพุทธศาสนาแบบที่เป็นอยู่ในขณะนั้นแปดเปื้อนเบือนบิดไปมาก และไม่อาจทำให้เข้าถึงหัวใจของพระพุทธศาสนาได้เลย ท่านจึงตัดสินใจหันหลังกลับมาปฏิบัติธรรมที่อำเภอไชยา ซึ่งเป็นภูมิลำเนาเดิมของท่านอีกครั้ง พร้อมปวารณาตนเองเป็น พุทธทาส เนื่องจากต้องการถวายตัวรับใช้พระพุทธศาสนาให้ถึงที่สุด ตลอดเวลาที่ดำรงสมณเพศ ท่านพุทธทาสภิกขุตั้งใจศึกษาพระปริยัติอย่างแน่วแน่ พร้อมตั้งมั่นปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด และวัตรเหล่านี้เองที่ทำให้ท่านพุทธทาสภิกขุเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยกิจทั้งด้านคันถธุระและวิปัสสนาธุระอย่างยากยิ่งที่จะหาพระภิกษุรูปใดเสมอเหมือน

โดย 時々कभी कभी
*http://p o w e r life.fx.gs/index.php?topic=1763.msg3724;boardseen#new

112  สุขใจในธรรม / นิทาน - ชาดก / Re: @ นิทานเซ็น @ รวมหลายเรื่องจากเวบไซต์ อกาลิโก เมื่อ: 18 ธันวาคม 2555 21:22:04




๖๑.๑๑ หนทางแห่งความสำเร็จ

ชายหนุ่มคนหนึ่งอยากจะแสวงหาหนทางแห่งความสำเร็จ เขาได้ยินมาว่า
มีผู้รู้ท่านหนึ่งเป็นผู้มีปัญญามาก รู้ว่าอะไรคือหนทางแห่งความสำเร็จ
มีหลายคนได้รับความสำเร็จเมื่อได้รับคำแนะนำจากผู้รู้ท่านนี้
ดังนั้นเขาจึงอยากจะไปหาผู้รู้ท่านนี้ตามคำเล่าลือ แล้วจะขอคำชี้แนะ
หลังจากต้องแสวงหาด้วยความยากลำบากอยู่นาน ที่สุดก็หาจนเจอ

ชายหนุ่ม : ท่านผู้รู้ครั้บ ท่านจะสอนให้ข้าพเจ้าทำอะไรบ้าง
หรือเตรียมเงื่อนไขอะไรบ้าง ถึงจะประสบผลสำเร็จ
ผู้รู้ : “เจ้าอยากจะประสบความสำเร็จหรือ? งั้นตามข้ามา”

ผู้รู้พูดเสร็จ ก็ไม่ได้สนใจว่าชายหนุ่มนั้นจะมีปฏิกิริยาอะไร เดินลิ่วๆ
ไปที่ชายหาด ชายหนุ่มนั้นเพื่อจะหาหนทางแห่งความสำเร็จ
ก็เดินตามหลังไปติดๆ เดินไป เดินไป จนถึงชายหาด
ผู้รู้ล่อให้ชายหนุ่มนั้นเดินลงไปในทะเลยิ่งเดินก็ยิ่งลึกลงไปในทะเล
จนน้ำลึกลงมาถึงที่อกแล้ว มองดูแล้ว ถ้าเดินต่อไปอีกต้องท่วมมิดหัวแน่

ผู้รู้นั้นอยู่ๆก็กดหัวของชายหนุ่มนั้นให้จมลงไปในน้ำ
ชายหนุ่มนั้นต่อสู้ดิ้นรนสุดชีวิต เพื่อให้รอดพ้นจากอันตราย
แต่ผู้รู้นั้นก็ยังกดไม่ปล่อยผ่านไปอีกชั่วครู่ ถึงปล่อยมือ
หนุ่มนั้นรีบโผล่ขึ้นเหนือน้ำ หายใจลึกๆอยู่หลายครั้ง

แล้วจึงตะโกนด่าว่า “ไอ้แก่ เจ้าจะกดให้ข้าจมน้ำตายหรือ?”
“หากปณิธานของเจ้าที่มุ่งหวังความสำเร็จ เหมือนความมุ่งมั่นที่จะหายใจ
ของเจ้าเมื่อสักครู่ เจ้าก็เดินเข้ามาบนเส้นทางแห่งความสำเร็จแล้ว” ผู้รู้ตอบ



113  สุขใจในธรรม / นิทาน - ชาดก / Re: @ นิทานเซ็น @ รวมหลายเรื่องจากเวบไซต์ อกาลิโก เมื่อ: 18 ธันวาคม 2555 21:13:41




๖๑.๑๐ เทพเจ้าแห่งกอบัว

มีชายคนหนึ่งมักจะไปบำเพ็ญภาวนาอยู่ในป่า รักษาศีลอย่างบริสุทธิ์
และมีพลังศรัทธาเชื่อมั่นมาก ทุกวันจะต้องไปนั่งนั่งกรรมฐานวิปัสสนาที่ป่าแห่งนี้

วันหนึ่งนั่งสมาธิจนรู้สึกมึนหัว เลยลุกขึ้นมาเดินเล่น บังเอิญเดินผ่านสระบัวแห่งหนึ่ง
เห็นดอกบัวกำลังออกดอกบานสะพรั่ง ดูงามตายิ่งนัก
ชายคนนั้นคิดว่า ดอกบัวงามอย่างนี้ หากเด็ดมาสักดอกแล้ววางไว้ข้างตัว
ดมกลิ่นหอมอ่อนๆของบัวไปด้วย คงจะทำให้สดชื่นขึ้น
ดังนั้น เขาจึงเอี้ยวตัวไปเก็บมาหนึ่งดอก ขณะที่กำลังจะจากไป ได้ยินเสียงต่ำๆ
แต่แฝงไว้ด้วยพลัง ถามมาว่า “ใคร? โอหังยังไงถึงมาขโมยดอกบัวของข้า?”
ชายคนนั้นมองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นมีอะไร เลยถามไปว่า

“ท่านเป็นใคร? แล้วจะบอกได้ยังไงว่าดอกบัวนี้เป็นของท่าน”

“ข้าเป็นเจ้าที่ดูแลสระบัวแห่งนี้ ดอกบัวทั้งสระนี้ก็เป็นของข้า เสียแรงที่เป็นนักภาวนา
ขโมยเด็ดดอกบัวของข้า เกิดความโลภขึ้นมาในใจ ยังไม่รู้ตัว
ยังไม่รู้สึกสำนึกผิด ยังจะกล้ามาถามอีกว่าดอกบัวนี้เป็นของข้าหรือเปล่า”

ชายนั้นรู้สึกละอายใจและอดสูยิ่งนัก นั่งคุกเข่าแล้วคำนับขอขมาพูดว่า
“ท่านเทพแห่งดอกบัว ข้าสำนึกผิดแล้ว จะแก้ตัวใหม่กับความผิดที่ผ่านๆมา
จะไม่กล้าโลภอยากได้สิ่งของที่ไม่ใช่ของตัวเอง”

ขณะที่เขาสำนึกผิดอยู่นั้น มีคนๆหนึ่งเดินผ่านมาข้างสระพอดี พลางพูดกับ
ตัวเองว่า ดอกบัวนี้บานได้อย่างอวบอิ่มยิ่งนัก เด็ดไปขายในเมืองดีกว่า
ได้เงินมาแล้ว ดูซิเงินที่เล่นไพ่แพ้แล้วจะเอากลับคืนมาได้หรือเปล่า?

ว่าแล้วก็กระโดดลงไปในสระ เก็บดอกบัวทุกดอกในสระไปหมด ทั้งยังเหยียบย่ำใบ
จนจมโคลนไปหมด แม้กระทั่งโคลนยังถูกพลิกขึ้นมา แล้วก็หอบเอาบัวกำใหญ่
หัวเราะอย่างถูกใจแล้วจากไป

ชายคนนั้นหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เทพเจ้าแห่งกอบัวจะออกมาห้าม
ดุด่าและลงโทษคนๆนั้น แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย

เขาเต็มไปด้วยความสงสัยเลยถามออกมาลอยๆว่า “ท่านเทพ ข้าเพียงแต่เด็ด
ดอกบัวไปเพียงดอกเดียว แต่ท่านกลับดุด่าว่าข้าอย่างรุนแรง แต่คนเมื่อกี้เด็ดดอก
บัวไปทั้งหมด ทั้งทำลายสระจนเละไปหมด ท่านทำไมถึงไม่พูดสักคำ?”

ท่านเทพตอบมาว่า “ท่านเป็นนักภาวนา ก็เหมือนผ้าขาวผืนหนึ่ง แม้มีเพียง
รอยสกปรกเพียงเล็กน้อย ก็สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน ดังนั้นข้าจึงเตือนเจ้า
ให้รีบขจัดสิ่งที่ทำให้มัวหมอง กลับกลายเป็นบริสุทธิ์ดังเดิม

แต่คนๆนั้นเป็นคนหยาบช้ามาแต่เดิม เหมือนดังผ้าขี้ริ้ว ถึงจะสกปรกถึงจะดำอีก
ก็ไม่เป็นไร ข้าก็ช่วยอะไรเขาไม่ได้ ได้แต่ปล่อยให้เขาเป็นไปตามกรรมที่เขาก่อไว้เอง
ถึงไม่ได้พูดอะไร

เจ้าก็อย่าน้อยใจไปเลย ควรจะดีใจมากกว่า ที่ข้อผิดพลาดของเจ้ามีคนเห็น
และคนที่เห็นแล้วยังมาชี้แนะให้เจ้าเดินไปในทางที่ถูกที่ควร แสดงว่าผ้าของเจ้ายังขาวอยู่
ควรที่จะได้รับการชำระให้สะอาด นี่ควรจะเป็นเรื่องที่น่าดีใจไม่ใช่หรือ?”

         

114  สุขใจในธรรม / นิทาน - ชาดก / Re: @ นิทานเซ็น @ รวมหลายเรื่องจากเวบไซต์ อกาลิโก เมื่อ: 18 ธันวาคม 2555 21:10:19




๖๑.๙ ยืนหยัดอยู่ในคุณค่าของตัวเอง

มีลูกศิษย์คนหนึ่งมักจะคอยถามพระอาจารย์ด้วยคำถามเดิมๆทุกวัน
“อาจารย์ครับ อะไรคือคุณค่าของชีวิตที่แท้จริงครับ?”
วันหนึ่งพระอาจารย์นำก้อนหินก้อนหนึ่ง แล้วพูดกับศิษย์ว่า
“เจ้าจงนำก้อนหินก้อนนี้ไปขายที่ตลาด แต่ไม่ต้องขายจริงๆหรอกนะ
เพียงแต่ให้คนตีราคาก็พอ แล้วคอยดูว่า แต่ละคนจะตีราคาก้อนหิน
ก้อนนี้สักเท่าไร?”

ลูกศิษย์นั้นจึงนำก้อนหินไปขายที่ตลาด บางคนก็บอกว่าก้อนหินก้อนนี้
ใหญ่ดี สวยดีให้ราคาสองบาท บางคนก็บอกว่าก้อนหินก้อนนี้มาทำเป็น
ลูกตุ้มชั่งน้ำหนักได้ ก็ตีราคาให้สิบบาท ที่สุดแต่ละคนก็ตีราคาไปต่างๆ
นานา แต่ราคาที่ให้สูงสุดคือสิบบาท ลูกศิษย์รู้สึกดีใจ กลับไปบอกอาจารย์ว่า
“ก้อนหินที่ไม่มีประโยชน์อะไรนี้ ยังขายได้ถึงสิบบาท น่าจะขายออกไปจริงๆ”
อาจารย์พูดขึ้นว่า“อย่าเพิ่งรีบขายก่อน ลองพาไปขายในตลาดทองคำดู
แต่ก็อย่าขายออกไปจริงๆ”

ลูกศิษย์จึงนำก้อนหินก้อนนั้นไปขายในตลาดทองคำ เริ่มต้นมีคนตีราคาให้
หนึ่งพันบาท คนที่สองตีราคาให้หนึ่งหมื่นบาท สุดท้ายมีคนให้ถึงหนึ่งแสนบาท
ลูกศิษย์รู้สึกดีใจ รีบกลับไปรายงานพระอาจารย์ถึงผลพลอยได้ที่นึกไม่ถึง

พระอาจารย์กล่าวต่อไปอีกว่า “นำก้อนหินนี้ไปตีราคาที่ตลาดเพชร”
ลูกศิษย์จึงนำไปที่ตลาดค้าเพชร คนแรกให้ราคาหนึ่งแสน สองแสน
สามแสน ไปเรื่อยๆ เมื่อพ่อค้าเห็นไม่ยอมขายสักที จึงให้เขาตีราคาเอง
แต่ลูกศิษย์นั้นกล่าวว่า “พระอาจารย์ไม่ให้ขาย” จึงนำก้อนหินนั้นกลับไป
พูดกับพระอาจารย์ว่า “ก้อนหินก้อนนี้คนให้ราคาถึงเรือนแสนแล้ว”

“ใช่แล้ว ตอนนี้อาจารย์ไม่อาจสอนเจ้าถึงเรื่องคุณค่าของชีวิตเพราะ
เพราะเจ้ามองชีวิตของเจ้าเหมือนกับการตีราคาของตลาด คุณค่าของชีวิต
คนเรา ควรจะอยู่ในจิตใจของตนเอง ต้องมีสายตาของนักค้าเพชรที่เก่งที่สุด
เสียก่อน จึงจะมองเห็นคุณค่าที่แท้จริงของชีวิตคนเรา”

คุณค่าของคนเรา ไม่ได้อยู่ที่ราคาที่อยู่ข้างนอก แต่อยู่ที่เราให้ราคาของตัวเอง
ราคาของเราทุกคนเป็นสิ่งที่ไม่มีสิ่งใดเปรียบเทียบ ยอมรับตัวเอง ฝึกฝนตัวเอง
ให้ช่องว่างกับตัวเองได้เติบโต พวกเราก็จะกลายเป็น “สิ่งที่มีค่าจนประเมินไม่ได้”
อุปสรรคทุกอย่างที่เกิดขึ้น ความปวดร้าวที่เกิดขึ้นทุกครั้ง ความทุกข์ที่โหม
กระหน่ำ ก็มีความหมายอยู่ในตัวของมัน

         

115  สุขใจในธรรม / นิทาน - ชาดก / Re: @ นิทานเซ็น @ รวมหลายเรื่องจากเวบไซต์ อกาลิโก เมื่อ: 18 ธันวาคม 2555 21:05:44


         

๖๑.๘ หมั่นนึกถึงส่วนดีไว้

มีคำพังเพยบทหนึ่งกล่าวว่า
“เรื่องราวไม่สมหวังในชีวิตคนเรา มีมากถึงแปดถึงเก้าในสิบส่วน”
ในชีวิตของคนเรามีเรื่องราวที่ไม่สมหวัง มากเกินกว่าครึ่งของความสมหวัง
ด้วยเหตุนี้ การมีชีวิตอยู่จึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเจ็บปวด แต่เมื่อหักความไม่
สมหวังออกแล้ว อย่างน้อยก็ยังมีอีกหนึ่งหรือสองส่วนซึ่งเป็นความสมหวัง
เป็นความสุข เป็นความปลาบปลื้ม

หากเราอยากมีความสุข ก็ต้องหมั่นนึกถึงเรื่องดีๆของหนึ่งหรือสองส่วนนั้น
คิดอย่างนั้นจะรู้สึกความโชคดี และรู้จักถนอมสองส่วนนั้นไว้
ไม่ถูกแปดหรือเก้าส่วนนั้น โค่นจนล้มลง

เมื่อผ่านความเจ็บปวดและอุปสรรคในชีวิตไปแล้ว
ผ่านความรู้สึกของการพบแล้วพรากแล้ว
ก็ค่อยๆแสวงหาสิ่งที่เคยขวนขวายมาในชีวิต
สิ่งที่เป็นความสุข เป็นความคิดอ่านที่ถูกต้อง

ความคิดลักษณะนี้คือ
ความคิดหนึ่งกับสองส่วนที่ดีที่ต้องคิดบ่อยๆ

ความคิดหนึ่งกับสองที่ต้องคิดบ่อยๆ เป็นแสงสว่างลำเดียวที่จะแสวงหาได้
ในเมฆหมอกที่หนาทึบ และยังเป็นสิ่งที่เงียบสงบในห้วงกิเลสใหญ่น้อยทั้งหลาย
และยามเมื่อลมหายใจติดขัด จะได้หายใจยาวๆสักครั้ง

ชีวิตก็ทุกข์แสนสาหัสอยู่แล้ว หากเราเรานำสิ่งที่ไม่สมหวังที่ผ่านมาเป็นสิบปีมา
รวมกัน ย่อมจะนำความเป็นอยู่และความรู้สึกเข้าไปอยู่ในห้วงทุกข์
เป็นการเพิ่มทุกข์เข้าไปในทุกข์อีก

เรือชีวิตที่เดินไปท่ามกลางคลื่นที่ถาโถมเข้ามา
ต้องรู้จักวิธีที่จะเผชิญกับความทุกข์
ยามเมื่อความทุกข์เข้ามาเยือน หากยังคงดำรงไว้ซึ่งความคิดที่ถูกต้อง
หมั่นนึกถึงส่วนดีหนึ่งและสอง ก็จะสามารถผ่านพ้นทุกข์ไปได้
ความทุกข์ยากจะกลายเป็นปุ๋ยบำรุงชีวิตที่ดีที่สุด
และปัญญาย่อมจะบังเกิดในที่



116  สุขใจในธรรม / นิทาน - ชาดก / Re: @ นิทานเซ็น @ รวมหลายเรื่องจากเวบไซต์ อกาลิโก เมื่อ: 18 ธันวาคม 2555 21:01:27


   

๖๑.๗ ผู้เปิดประตูนั้นยังเหมือนเป็นผู้ปิดประตู

หวางหยังหมิง (1472-1529) เป็นนักปรัชญาและนักการศึกษา
ครั้งหนึ่งได้ไปที่วัด จินซานเพื่อไปไหว้พระ รู้สึกว่า คุ้นเคยกับสถานที่
และสภาพแวดล้อมภายในวัดเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ต้นไม้และต้นหญ้าก็
เหมือนกับเคยรู้จักกันมาก่อน

ขณะที่เดินผ่านห้องๆหนึ่งเห็นมีกระดาษปิดหน้าห้องไว้เหมือนกับบอกให้รู้ว่า
ห้องนี้ปิดตาย เขามองซ้ายมองขวาไปมาก็เหมือนกับเคยอยู่ที่นี่มาก่อน
ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า ข้างในมีอะไรบ้าง จึงขอให้ท่านเจ้าอาวาส
ช่วยเปิดห้องให้ดู แต่ท่านเจ้าอาวาสปฏิเสธแล้วพูดว่า
“ต้องขออภัย ห้องนี้เป็นห้องที่พระอาจารย์ท่านหนึ่งมรณภาพเมื่อห้าสิบปีก่อน
ข้างในเป็นที่เก็บศพของท่าน ก่อนที่ท่านจะมรณภาพ ท่านสั่งไว้ว่า ให้ปิดตายห้องนี้
ต้องขออภัยท่านจริงๆ เปิดให้ท่านดูไม่ได้”

“ห้องนี้มีทั้งประตูและหน้าต่าง ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะบอกว่าเปิดไม่ได้ตลอดไป
วันนี้ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ก็ขอให้ท่านเมตตาช่วยเปิดให้ดูสักครั้งเถิด”
      หวางหยางหมิงวิงวอนร้องขออยู่นาน จนท่านเจ้าอาวาสทนรบเร้าไม่ไหว
จึงเปิดให้อย่างฝืนทนเต็มที ช่วงนั้นเป็นช่วงเวลาเย็น แสงอาทิตย์สาดส่อง
ไปที่ศพพระอาจารย์ที่ยังนั่งสมาธิอยู่ โดยที่ร่างยังไม่เน่าเปื่อย

หวังหยางหมิงรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งที่หน้าตาของพระอาจารย์ท่านนั้น
คล้ายกับตัวเองไม่มีผิด มองเลยขึ้นไปที่กำแพง ยังเห็นบทกลอนเขียนไว้ว่า

ห้าสิบปีผ่านไปหวังหยางหมิง
ผู้เปิดประตูยังเหมือนเป็นผู้ปิดประตู
จิตวิญญาณลับแล้วย้อนหวนคืน
ยังเชื่อว่าชาวเซนนี้ร่างไม่เน่า

ที่แท้ชาติก่อนของหวางหยังหมิงคือพระอาจารย์ที่นั่งสมาธิแล้ว
มรณภาพแล้วนั่นเอง ในกาลก่อนเป็นผู้ปิดประตู วันนี้ยังเป็นผู้มาเปิดประตู
ด้วยตนเอง เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันให้กับชนรุ่นหลัง
และหวังหยางหมิงยังได้เขียนบทกลอนไว้ที่วัดจินซาน ซึ่งยังมีอยู่จนถึงทุกวันนี้



117  สุขใจในธรรม / นิทาน - ชาดก / Re: @ นิทานเซ็น @ รวมหลายเรื่องจากเวบไซต์ อกาลิโก เมื่อ: 18 ธันวาคม 2555 20:57:18


         

๖๑. ๖ จดหมายจากดวงดาวถึงนายต้นไม้

นายต้นไม้ที่รัก
ฉันเป็นเพียงกลุ่มก้อนหินที่รวมตัวกัน ไม่มีแม้แต่แสงสว่างในตัวเอง
ที่มองดูสุกสกาววาววับ กระพริบไปมาอย่างเป็นสุข ก็เพราะได้แสงสว่าง
จากดวงอาทิตย์ และก็เป็นสภาพที่เป็นอยู่ได้ไม่นาน ก็ต้องร่วงหล่น
ไปตามวาระ กลายเป็นเศษดาวตกจากฟากฟ้าไป

ถ้าฉันเล่าความเป็นมาระหว่างเราแล้ว นายก็คงจะเข้าใจความผูกพัน
และความเป็นไประหว่างเราได้ดีขึ้น

หลายพันปีก่อน นายเป็นอำมาตย์ใหญ่อยู่ในวัง ด้วยความคึกคะนอง
และหลงในความสามารถของตัวเอง จึงถูกย้ายไปอยู่ตามหัวเมืองต่างๆ
แต่นายก็เป็นคนเก่งรอบด้านเลยนะ ทั้งแต่งหนังสือ เขียนบทกลอน
เล่นดนตรี พิณลายจิ้งจกเป็นพิณที่นายรักมากที่สุด ถึงกับแต่งกลอน
บรรยายความรักและความรู้สึกที่มีต่อพิณนี้เลยทีเดียว



นายเป็นคนรักสนุก คึกคะนองหลงตัวเอง ชอบเสียดสีผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว
แต่ส่วนดีที่สุดของนายคือใฝ่ธรรมะชอบสนทนาธรรมกับพระภิกษุเป็นประจำ
แต่งานเขียนของนายก็ค่อนข้างหมิ่นเหม่อยู่เหมือนกัน ซึ่งหลายๆท่าน
อาจไม่พอใจ หรือบอกว่าไม่ถูกต้อง

ชีวิตราชการของนายต้องย้ายไปอยู่ตามหัวเมืองต่างๆ จนในที่สุดก็ได้พบ
กับพระอาจารย์ท่านหนึ่ง นายสนิทสนมและผูกพันกับพระอาจารย์ท่านนี้มาก
เรียกว่าทุกครั้งที่มีเวลาว่าง จะต้องไปหาทันที ทั้งๆที่ระยะทางก็ไม่ใช่ใกล้ๆ
ไปถึงก็สนทนาธรรมบ้าง เล่นพิณบ้าง กึ่งเล่นกึ่งหยอกล้อพระอาจารย์เป็นประจำ
วันไหนได้หยอกล้ออย่างสนุกถึงใจ ถึงกับดีใจออกนอกหน้าเมื่อกลับถึงบ้าน
ยังมีรายละเอียดอีกมากมายซึ่งคงจะเล่าไม่หมดในที่นี้

         

แต่ความอาฆาตที่ฝังลึกโดยที่นายไม่รู้ตัวคือ ครั้งหนึ่งนายเดิมพันกับพระอาจารย์
ด้วยเข็มขัดหยก แต่นายแพ้เดิมพัน ถึงกับต้องเสียเข็มขัดสุดรักสุดหวงไปเลย
ครั้งนั้นนายรู้สึกเสียหน้ามาก เพราะเดิมพันต่อหน้าฝูงชนที่มาปฏิบัติธรรมด้วยกัน

มีเรื่องหนึ่งที่อยากขอเตือนคือ เมื่อนายอายุจะเข้าเลขสี่ สุขภาพนายจะเริ่มเสื่อมถอย
จนเห็นได้ชัดและรู้สึกได้ แต่ความเจ็บป่วยและสุขภาพที่ไม่ดี จะทำให้นายเข้าใจ
สัจธรรมของชีวิตได้เป็นอย่างดี ในอดีตนายเป็นทุกข์เพราะสุขภาพอย่างแสนสาหัส

เล่ามาถึงตอนนี้ นายคงจะรู้แล้วซินะ ในอดีต ใครคือนาย ใครคือฉัน
ยังมีเรื่องเล่าอีกมากมาย ซึ่งต่อไป นายอาจจะรู้เห็นได้ด้วยตัวเองก็เป็นได้
จาก
ดวงดาวที่อยู่ไกลโพ้นนั้น

       

118  สุขใจในธรรม / นิทาน - ชาดก / Re: @ นิทานเซ็น @ รวมหลายเรื่องจากเวบไซต์ อกาลิโก เมื่อ: 18 ธันวาคม 2555 20:48:03




๖๑.๕ ปัญญาที่ปล่อยวางจิต

ทุกครั้งที่เรามองกระจก เราหวังจะได้เห็นตัวเองเป็นคนที่...
... พิเศษมาก.. คนหนึ่ง...
และไม่อยากเห็นเป็นเช่นคนทั่วไป ที่มีแต่ความทุกข์กังวล
เราหวังว่าจะได้เห็นคนที่มีแต่ความสุข
แต่ก็ได้เห็นแต่คนที่ดิ้นรนกระเสือกกระสนอยู่อย่างลำบากยากเย็น

ในความคิดของเราคิดว่าตัวเองเป็นคนมีเมตตา
แต่มองไม่เห็นความเห็นแก่ตัวของตัวเอง เราอยากจะให้ตัวเองดูสง่ามีราศี
แต่ความเย่อหยิ่งของเราทำให้เรากลายเป็นคนหยาบ
เราอยากเห็นคนที่เข้มแข็งไม่ยอมแพ้
แต่ได้เห็นแต่คนที่ล่วงเลยวัยไปกับกาลเวลา
ที่ทำให้กลายเป็นคนที่เมื่อยล้าและอ่อนแอ และกลายเป็นคนแก่ ป่วย และตาย

ช่องว่างระหว่างความหวังและความจริงที่เกิดขึ้นมา ทำให้
จิตวิญญาณของเราเจ็บปวดอย่างมหันต์ ปล่อยวางไม่ได้กับมายา
ที่หลอกว่าเป็นตัวเราของเรา
การจะเห็นตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง ต้องอาศัยความกล้า
เป็นอย่างมาก และนั่นคือหนทางเดินของนักภาวนา

การจะภาวนาต้องเริ่มต้นจากการพิจารณาตนเอง จิตของเรา
เหมือนภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ความคิดที่มีต่อความเป็นไปต่างนานา
และความเป็นไปของโลก ก็เป็นเพียงมายา รวมทั้งการเวียนว่ายตายเกิด
หรือนิพพานก็เพียงส่วนหนึ่งของบทภาพยนตร์
หากเราสามารถที่จะมองชีวิตตัวเองเหมือนภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง
ก็จะทำให้จิต ปล่อยวาง ได้อย่างสบายๆ
ชื่นชมกับการดำเนินเรื่องของบทบาทแต่ละตอน
และสามารถมองทะลุถึง แก่นแท้ของความเป็นจริง ให้จิตดำเนินไป
ตามครรลองของธรรมชาติ

ไก่ป่าครอบครัวหนึ่ง หนีการไล่ล่าของผู้บุกรุกทำลายป่า
และก็ต้องหนีการไล่ล่าตลอดเวลาไม่ว่าจะหนีไปอยู่ตรงไหน
เพราะจากความเชื่อของผู้คนที่ว่า
เนื้อไก่ป่าเป็นยาและเป็นของบำรุงชั้นยอด

ที่สุดก็มาอยู่ในที่รกร้างใกล้สวนของผู้อารีแห่งหนึ่งในเขตชานเมือง
แต่ยังไงก็หนีการไล่ล่าไม่พ้น ผู้คนที่ได้ยินเสียงขันในช่วงเช้าแล้ว
ต่างลือกันไปทั่วว่า มีไก่ป่ามาอยู่ในบริเวณนั้น จึงทำให้มีผู้จะมาไล่ล่าทุกวัน

แต่น้องสาวเจ้าของสวนมักจะมาคอยกีดกันไม่ให้ผ่านสวนเข้าไป
ประจวบกับความไวและสัญชาติญาณของไก่ป่าเองที่ไม่ค่อยไว้ใจใคร
จึงทำให้หนีรอดไปได้ทุกครั้ง จนผู้คนยอมแพ้ และไม่มารบกวนอีก
ไก่ป่าครอบครัวนั้น จึงอยู่อย่างสงบสุขตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ทุกๆเช้าไก่ป่า จะร้องขันส่งเสียงกังวานไปทั่ว ความไพเราะของ
น้ำเสียงไก่ป่าผู้เป็นลูกสาว ได้แว่วเข้าหูไก่บ้านตัวผู้ตัวหนึ่งที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
ทันทีที่ได้ยินเสียงขันของไก่ป่าสาวนั้น ก็รู้สึกนึกรักขึ้นมาทันที

นิยายรักของไก่ป่าและไก่บ้านจึงเริ่มขึ้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ทั้งสองส่งเสียงขับขานเป็นทำนองเพลงรักโต้ตอบกันไปมาทุกๆเช้า
ต่างเข้าใจความรักความผูกพันในกันและกัน

แต่อนิจจา ความรักที่ผิดเชื้อชาติ ผิดธรรมเนียมและประเพณี
ทั้งสองจึงเป็นได้เพียงเส้นขนาน ที่สามารถเดินเคียงคู่กันไปได้
แต่ไม่มีทางที่จะมาบรรจบเป็นเส้นเดียวกันได้

แม้จะเป็นเพียงเส้นขนาน แต่ทั้งสองก็สามารถเห็นกันได้
ส่งเสียงถ่ายทอดความรักและความรู้สึกถึงกันได้ ซึ่งก็จะคงเป็น
เช่นนี้ตลอดไป จนกว่ากาลเวลาและอนิจจังของชีวิต
มาพลัดพรากทั้งสองให้จากกันไปคนละทิศทางตามวิถีทางของตน

เรื่องนี้เขียนจากเหตุการณ์และสถานที่จริง
อาจจะดูแปลกๆไปบ้าง
ต้องขออภัยและให้โอกาสกับมือใหม่หัดเขียนด้วยค่ะ





ข้อคิดจากนก
1. เมื่อนกเริ่มกระพือปีกที่จะบิน พวกที่ต่อแถวตามมาจะมีอากัปกิริยาดัง
เหมือนมีกลองที่ดังบรรเลงขึ้นเพื่อกระตุ้นเตือนให้รู้ว่าเริ่มมีการแสดงแล้ว
เมื่อฝูงนกเรียงแถวเป็นรูปตัว V จะมีพละกำลังเพิ่มจากการบินเดี่ยวถึง
เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว

ข้อคิด หากเราร่วมเดินทางกับผู้ที่มีอุดมการณ์ในแนวเดียวกัน ก็จะสามารถ
ไปได้เร็วขึ้น และถึงจุดหมายปลายทางได้ง่ายขึ้น เพราะเราสามารถช่วยเหลือ
จุนเจือซึ่งกันและกันได้

2. ไม่ว่าเวลาไหน เมื่อนกตัวใดตัวหนึ่งพลัดหลงไปจากฝูง มันจะรับรู้ได้ทันทีว่า
มีพลังต่อต้านอย่างหนึ่งไม่ให้จากฝูงไป และอาศัยแรงประคองที่ส่งมาจากนกอีกตัว
มันจะกลับมาเข้ากลุ่มได้อย่างรวดเร็ว

ข้อคิด หากเราฉลาดได้เหมือนนก เราก็จะยินดีที่จะอยู่ร่วมกับกลุ่มคนที่มี
อุดมการณ์เดียวกับตนเอง พร้อมกับยินดีรับความช่วยเหลือจากผู้อื่น
และก็ยินดีจะช่วยเหลือผู้อื่นด้วยเช่นกัน



3. เมื่อนกที่เป็นหัวหน้าเหนื่อยแล้ว มันจะถอยกลับไปรวมกลุ่ม
แล้วให้นกตัวอื่นนำหน้าแทน

ข้อคิด เมื่อประสบปัญหาในการทำงาน ผลัดเปลี่ยนและแบ่งปันการ
เป็นผู้นำบ้างก็เป็นสิ่งที่จะทำได้ เพราะเรายังมีความจำเป็นในการพึ่งพา
อาศัยซึ่งกันและกัน

4. นกตัวที่อยู่ด้านหลัง จะร้องส่งเสียงเป็นแรงเชียร์ให้ตัวที่อยู่ข้างหน้า
มุ่งหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ

ข้อคิด เราจำเป็นต้องคิดว่าเสียงเบื้องหลังที่ส่งเสียงมา เป็นเสียงที่เชียร์
ให้มุ่งมั่นไปข้าง และไม่คิดว่าเป็นเสียงอื่นใด

5 . เมื่อนกในกลุ่มเป็นไข้หรือได้รับบาดเจ็บ จะมีนกสองตัวมาช่วยเหลือและคุ้มครอง
นกสองตัวนี้จะอยู่เคียงข้างตลอดเวลา จนมันแข็งแรงหรือตายไป หลังจากนั้นนกสอง
ตัวนั้นจะบินพร้อมกันไปเป็นกลุ่มย่อย หรือตามไปให้ทันกับกลุ่มเดิม

ข้อคิด หาเราฉลาดเหมือนนก เราก็จะรู้จักช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงเวลาแห่งความลำบากหรือช่วงที่ยังแข็งแรงอยู่
ความทุกข์ส่วนใหญ่ มักเกิดจากการไม่ยอมรับความจริงที่เปลี่ยนแปลง
ความทุกข์ของมนุษย์ส่วนมาก มักเกิดจากต้องการเปลี่ยนแปลงแต่เปลี่ยนไปไม่ได้
หรือไม่ต้องการ การเปลี่ยนแปลง แต่กลับเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น




ถามว่าการให้อภัยในความผิดพลาดของคนๆหนึ่ง เป็นสิ่งที่ทำยากหรือง่าย
คำตอบคือ ทำง่าย หากเราฝึกหัดทำเป็นประจำ

ขอให้เราฝึกเสมอๆว่า ไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรกับเรา ขอให้เราฝึกให้อภัยทุกวัน
ทำเหมือนที่เราแผ่เมตตาให้แก่สรรพสัตว์ ขอให้เราทำทุกครั้ง ทำทุกวินาที
ทำเหมือนกรวดน้ำให้หลังทำบุญ เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้สรรพสัตว์น้อยใหญ่

เมื่อเราสร้าง ”อภัยทาน” ให้เป็นลักษณะนิสัยตลอดเวลาได้แล้ว
เราจะรู้สึกว่าการให้อภัยแก่ใครนั้น เป็นเรื่องง่ายดาย เป็นเรื่องธรรมดาๆ
คือทำได้โดยไม่ต้องฝืนใจทำ

ขอให้เราทราบไว้ว่า เมื่อเราหัดสร้าง “อภัยทาน”เป็นปกติแล้ว
เศษกรรมต่างๆแทนที่จะติดตามเราไปข้ามภพข้ามชาติ
ก็จะถูกสลัดออก คือตามไปไม่ได้ เพราะมิได้เป็นกรรมอีกต่อไป
หากแต่เป็นแต่เพียงกิริยาที่แสดงออก เพราะเราให้อภัยเสียแล้ว

เมื่อเราให้อภัยเสียแล้ว ใครๆที่ผูกอาฆาตพยาบาทเราไว้ แรงพยาบาท
ของเขา ก็จะหมดโอกาสติดตามเรา เพราะกรรมนั้นหมดแรงส่ง
เนื่องจากเราได้ “อโหสิ” เสียแล้ว

จึงขอเชิญชวนท่านทั้งหลาย มาฝึกปฏิบัติ “อภัยทาน” และ “อโหสิกรรม”
ตั้งแต่บัดนี้เถิด เพื่อยุติสนิมในใจ คือความอาฆาต พยาบาท เพื่อยุติแรงส่ง
ของกรรม ที่ตามไปเผล็ดผลอันเผ็ดร้อนข้ามภพข้ามชาติ

พึงหลับตาให้ใจสงบครู่หนึ่งก่อน แล้วตั้งใจกล่าวคำแผ่เมตตาเบาๆ ดังนี้

สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง
อเวรา โหนตุ จงเป็นสุขๆเถิด อย่าได้มีเวรต่อกันและกันเลย
อัพยาปัชฌา โหนตุ จงเป็นสุขๆเถิด อย่าได้พยาบาทเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย
อนีฆา โหนตุ จงเป็นสุขๆเถิด อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย
สุขี อัตตานัง ปริหรันตุ จงเป็นผู้มีสุข รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญฯ

ที่มา หนังสือเรื่อง อภัยทาน รักบริสุทธิ์ โดย ปิยโสภณ วัดพระราม๙ กาญจนาภิเษก


119  สุขใจในธรรม / เพลงสวดมนต์ / บทสวดสรรเสริญเจ้าแม่กวนอิม(นำโม ไต้ซือ ไต้ปุย กิ่วโค้ว กิวหลั่ง) เมื่อ: 18 ธันวาคม 2555 20:35:48


<a href="http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&amp;v=mePCDhn8rnk" target="_blank" class="aeva_link bbc_link new_win">http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&amp;v=mePCDhn8rnk</a>
!


120  สุขใจในธรรม / ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก / Hold my hand เมื่อ: 18 ธันวาคม 2555 19:58:18






Hold my hand



Here is a short story with a beautiful message…
นี่คื่อเรื่องสั้นที่ส่งพร้อมกับข้อความที่สวยงาม
Little girl and her father were crossing a bridge.
มีพ่อลูกคู่นึงกำลังจะข้ามสะพาน

The father was kind of scared so he asked his little daughter,
คุณพ่อค่อนข้างกลัวเล็กๆ เลยบอกลูกสาวตัวน้อยของเขาว่า

‘Sweetheart, please hold my hand so that you don’t fall into the river.’
ลูกรักจ๊ะ จับมือพ่อไว้สิ หนูจะได้ไม่ตกลงไปในแม่น้ำ

The little girl said, ‘No, Dad. You hold my hand.’
เด็กน้อยกล่าวว่า ‘ ไม่ค่ะพ่อ พ่อหน่ะแหละจับมือหนู ‘

‘What’s the difference?’ Asked the puzzled father.
. ‘ มันต่างกันยังไงจ๊ะลูก ‘ พ่อถามด้วยความสงสัย

‘There’s a big difference,’ replied the little girl.
‘ มันต่างกันมากเลยค่ะพ่อ ‘ เด็กน้อยกล่าว

‘If I hold your hand and something happens to me,
‘ ถ้าหนูจับมือพ่อ แล้วมีอะไรเกิดขึ้นกับหนู ,

chances are that I may let your hand go.
มันมีโอกาสที่หนูจะ ปล่อยมือพ่อ

But if you hold my hand, I know for sure that no matter what happens,
แต่ถ้าพ่อจับมือหนู หนูรู้ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

you will never let my hand go.’
พ่อไม่มีวันปล่อยมือหนูแน่นอน ‘

In any relationship, the essence of trust is not in its bind, but in its bond.
ในทุกความสัมพันธ์ สิ่งสำคัญของความเชื่อมั่น ไว้ใจ ไม่ใช่อยู่ที่สาระของมัน แต่เป็นความรู้สึกกับมัน

So hold the hand of the person who loves you rather than expecting them to hold yours…
เพราะฉะนั้น จงจับมือคนที่รักคุณ ดีกว่าที่จะหวังไว้เค้าจับมือคุณ

This message is too short……but carries a lot of Feelings.
ข้อความนี้สั้นเกินไป แต่แฝงไว้ด้วยความรู้สึกมากมาย


โดย :ดุ๊กดิ๊ก (ทีมงาน TeeNee.Com)

หน้า:  1 ... 4 5 [6] 7 8 ... 368
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.453 วินาที กับ 27 คำสั่ง

Google visited last this page 25 สิงหาคม 2562 21:22:17