[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
15 พฤษภาคม 2567 15:24:27 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก เวบบอร์ด ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

  แสดงกระทู้
หน้า:  1 ... 272 273 [274] 275
5461  นั่งเล่นหลังสวน / หน้าเวที (มุมฟังเพลง) / มาลีฮวนนา : กระท่อมกัญชา เมื่อ: 01 เมษายน 2555 07:36:41







กระท่อมกัญชา
มาลีฮวนนา








.
5462  นั่งเล่นหลังสวน / เพลงไทยเดิม / เพลงแขกต่อยหม้อ เมื่อ: 31 มีนาคม 2555 16:57:48




เพลงแขกต่อยหม้อ  เพลงนี้ อยู่ในเสภาเรื่อง " อาบูอาซัน ตอนที่ ๒ " ของ พระยามหาอำมาตย์(หรุ่น ศรีเพ็ญ)
ตอน อาบูถูกลักพาตัวมาเป็นองค์กาหลิบ กำลังเดินชมวัง

เพลงแขกต่อยหม้อ
เดี่ยวจะเข้




เพลงแขกต่อยหม้อ
เครื่องสายผสมออร์แกน





เพลงแขกต่อยหม้อ
การแสดงทางวัฒนธรรมสำหรับประชาชน โดยเยาวชนจากสมาคมศิลปะเพื่อเยาวชน สวช. ณ หอประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย




เพลงแขกต่อยหม้อ
เดี่ยวขิม
บรรเลงโดย ณัฐรดี  มะเริงสิทธิ์  นักดนตรีขิมถ้วยพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ













.
5463  นั่งเล่นหลังสวน / เพลงไทยเดิม / โหมโรงจอมสุรางค์ - จะเข้ เมื่อ: 31 มีนาคม 2555 15:45:51

เพลงโหมจอมสุรางค์
เดี่ยวจะเข้



เพลงโหมจอมสุรางค์





เพลงโหมจอมสุรางค์
เครื่องสายผสม






เพลงโหมจอมสุรางค์
เดี่ยวขิม







.



5464  นั่งเล่นหลังสวน / เพลงไทยเดิม / เพลงม่านมงคล เมื่อ: 31 มีนาคม 2555 05:45:10


                                                                                                   


เพลงม่านมงคล




เพลงม่านมงคล
ไทยเดิมประยุกต์






เพลงม่านมงคล
เดี่ยวขิม 
บรรเลงโดยนักดนตรีขิมที่ได้รับถ้วยพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จำนวน 3 คนคือ คุณนินาท ศรีสว่าง คุณณัฐรดี มะเริงสิทธิ์ และคุณปภาวี หิรัญวัฒน์ศิริ






เพลงม่านมงคล
เเพลงบรรเลง 







.



5465  นั่งเล่นหลังสวน / เพลงไทยเดิม / โน๊ตเพลงไทย (จะเข้) เพลงลาวเจริญศรี (ลาวเล็กตัดสร้อย) และ เพลงลาวเล่นน้ำ เมื่อ: 30 มีนาคม 2555 18:29:32
.

เพลงนี้ มีที่มาจากวรรณกรรมเรื่อง "ลิลิตพระลอ "
เป็นการบรรยายความงามของพระเพื่อนและพระแพง เนื้อร้องดังนี้...

อายุเยาวเรศรุ่นเจริญศรี
พระเพื่อนพี่ แพงน้อง สองสมร
เอ๋ยงามทรง งามองค์ ออนซอน
ดังอัปสรหยาดฟ้าลงมา

แม่คุณเอ๋ย ข้อยบ่เคยพบเจ้า
สองนางลำเพาดูเจ้างามตา
สาวใดบ่เหมือนสองเพื่อนแพงนา
ตั้งแต่ข้อยดูมา ลักษณาบ่ปาน



โน๊ตเพลงลาวเจริญศรี หรือ "ลาวเล็กตัดสร้อย"  ต่อด้วยเพลง ลาวเล่นน้ำ



อาจารย์สมพล  อนุตตรังกูร
..ขอกราบขอบพระคุณ ท่านอาจารย์สมพล  อนุตตรังกูร  ครูผู้ประสิทธิ์ประสาทความรู้ด้านดนตรีไทย
ที่อนุญาตให้นำโน๊ตเพลงไทยเดิม  ซึ่งท่านเป็นผู้ประพันธ์และเขียนด้วยลายมือของท่านเอง
เผยแพร่เป็นวิทยาทานใน www.sookjai.com
โดยวัตถุประสงค์ เพื่อให้คนไทยได้ตระหนักถึงคุณค่า และช่วยกันอนุรักษ์ศิลปการดนตรีไทย
ให้สืบทอดยาวนานคงอยู่คู่วัฒนธรรมไทย มา ณ ที่นี้ ด้วยความเคารพสูงยิ่ง
.... 

5466  นั่งเล่นหลังสวน / เพลงไทยเดิม / Re: รวมเพลงลาวคำหอม หลาย ๆ แบบ เพลงที่คุ้นหูกันดีจาก "สี่แผ่นดิน" เมื่อ: 28 มีนาคม 2555 20:30:58

   

โน๊ตเพลงลาวคำหอม  ขอได้ฟรีนะคะ (แต่เป็นโน๊ตเล่นเฉพาะจะเข้เท่านั้น  ดูค่อนข้างยาก)
 





.
5467  นั่งเล่นหลังสวน / เพลงไทยเดิม / เพลงไทยเดิม ราตรีประดับดาว เมื่อ: 28 มีนาคม 2555 19:34:36
เพลงไทยเดิม ราตรีประดับดาว

ราตรีประดับดาว 2 ชั้น


5468  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ในครัว / Re: ทอดมันไข่นกกระทา เมื่อ: 28 มีนาคม 2555 14:55:07



ขอบคุณมาก   จะทำรับประทานบ้าง -  ที่บ้านทำจะใช้ไข่เยี่ยวม้า  กรรมวิธีเดียวกันแต่จะใช้หมูบดผสมรวมกับปลาบดค่ะ   





.
5469  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / สุดยอดอาหารล้างพิษ ตอนที่ 2 แอปเปิ้ล เมื่อ: 28 มีนาคม 2555 12:48:19

http://blog.janthai.com/wp-content/uploads/2012/03/colygoup3.jpg
   แอปเปิ้ล


          แอปเปิ้ล (apple)   เป็นผลไม้ที่ประกอบไปด้วยเพกตินในปริมาณสูง  เพกตินเป็นไฟเบอร์ชนิดหนึ่ง มีคุณสมบัติช่วยจับคอเลสเตอรอลและโลหะหนักในร่างกายที่ปะปนมากับอาหารที่เราอาจรับประทานเข้าไป เช่น ปรอท  ตะกั่ว  ซึ่งสารเหล่านี้เป็นตัวการสำคัญที่เข้าไปทำลายเซลล์สมอง   นี่คือเหตุผลที่เราควรจะกินแอปเปิ้ลเพื่อล้างสารพิษออกจากร่างกาย    จากการศึกษาทดลองยังพบว่าแอปเปิ้ลช่วยขับสารเคมีที่ปนเปื้อนมากับอาหาร ซึ่งก่อให้เกิดอาการแพ้ในเด็ก  และทำให้เกิดไมเกรนในผู้ใหญ่ได้  

          นอกจากมีคุณสมบัติพิเศษในการล้างพิษให้กับร่างกายดังกล่าวแล้ว  แอปเปิ้ลยังมีคุณประโยชน์ในการบำรุงผิวพรรณได้เป็นอย่างดีอีกด้วย  เพียงคุณนำเนื้อแอปเปิ้ลสด ๆ มาบดละเอียดพอกตามบริเวณใบหน้าและลำคอ  นวดเบา ๆ    แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด    หรืออาจนำเนื้อแอปเปิ้ลบดละเอียดผสมโยเกิร์ต   น้ำมันมะกอก  และน้ำผึ้ง  อย่างละ 1 ช้อนชา  พอกไว้บริเวณใบหน้าทิ้งไว้ 15 -20 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น  ผิวหน้าคุณจะมีความยืดหยุ่นสดชื่นขึ้นอย่างรวดเร็ว  





   เพื่อสุขภาพที่ดี  ควรรับประทานแอปเปิ้ลวันละ 1 ผลค่ะ.......ด้วยรักและปรารถนาดี-กิมเล้ง





.


            



.
5470  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / สุดยอดอาหารล้างพิษ ตอนที่ 1 มะนาว เมื่อ: 26 มีนาคม 2555 15:07:07

      มะนาว


        มะนาว   เป็นสุดยอดอาหารที่ช่วยทำความสะอาดตับ     มะนาวเป็นสมุนไพรที่มีวิตามินซีสูงมาก  ผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยแอริโซนาแนะนำว่า ใครที่กินผลไม้และผักที่มีวิตามินซีในปริมาณมากจะมีประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหารและช่วยให้น้ำหนักลดลงได้ดีกว่าวิธีอื่น ๆ    ยิ่งไปกว่านั้นมะนาวยังช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมให้กักเก็บเอาไว้ในเซลล์ไขมันซึ่งช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้ดียิ่งขึ้น   มะนาวสดเมื่อนำมาผสมกับน้ำอุ่นแล้วดื่มตอนเช้าหลังตื่นนอน จะช่วยล้างพิษและทำให้เลือดสะอาดขึ้น  แต่ถ้านำน้ำมะนาวสดมาผสมกับโยเกิร์ตและน้ำผึ้งก็จะเป็นอาหารที่ช่วยล้างพิษในลำไส้และป้องกันอาการท้องผูกได้อีกด้วย  




พรุ่งนี้อย่าลืมดื่มน้ำมะนาวนะคะ      

 








.

5471  นั่งเล่นหลังสวน / สยาม ในอดีต / Re: คุณยายทวดนักเรียนนอกคนแรกของประเทศไทย เมื่อ: 26 มีนาคม 2555 08:16:44


แจ้งเพื่อทราบจากเจ้าของกระทู้ค่ะ    ภาพจริงของคุณยายทวด เจ้าของกระทู้ยังค้นหาไม่พบ   ภาพที่ปรากฎในกระทู้เป็นภาพทั่วไปจากเว็ปไซต์   แต่หากเป็นภาพด้านล่างนี้


หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณีสวัสดิวัตน์ (ท่านหญิงนา)


เป็นพระฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี  พระบรมราชินีในล้นเกล้าฯ  รัชกาลที่ ๗    เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์วัย  ต้องขออภัยเป็นอย่างสูงมา ณ ที่นี้   ในโอกาสต่อไปจะลงรายละเอียดกำกับภาพบุคคลสำคัญค่ะ



.
5472  สุขใจในธรรม / ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม / Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร เมื่อ: 25 มีนาคม 2555 15:26:41


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ   กับหลวงปู่สิม  พุทธาจาโร


คนเราทุกคนหลงกลกิเลส
ดูแต่กิเลสราคะสั่งให้ทำก็ทำ
กิเลสโทสะสั่งให้ทำก็ทำเลย
กิเลสโมหะสั่งให้ทำก็ทำเลย
ก็เป็นอันว่าทำตามไปทุกสิ่งทุกอย่าง

ถ้าผู้ใดทำตามอำนาจกิเลสอยู่เรื่่อยไปอย่างนี้ละก็
บุคคลนั้นไม่มีหนทางใดที่จะละกิเลสออกจากจิตได้
เพราะจิตผู้นั้นไม่ยกขึ้นสู่กรรมฐาน
แค่อสุภะกรรมฐานที่ถ่ายออกมาทุกวันก็ไม่กำหนด
กำหนดไม่เห็น  ปล่อยให้กรรมฐานเสียไปทุกวัน ๆ

ให้พากันตั้งจิตให้สูงขึ้น
อย่าปล่อยให้จิตต่ำ  ดึงขึ้นมาให้ได้ทุกลมหายใจ
ว่านี่เราใกล้้ความตายเข้ามาทุกทีแล้ว
อย่าประมาท.....


.....ธรรมเมตตา  โดย  หลวงปู่สิม  พุทฺธาจาโร....ผู้ปฏิบัติตามแบบอย่างของพระพุทธเจ้า



.





5473  สุขใจในธรรม / ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม / Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร เมื่อ: 25 มีนาคม 2555 15:00:11


คนเราทุกคนหลงกลกิเลส
ดูแต่กิเลสราคะ ส่ังให้ทำก็ทำตาม
กิเลสโทสะสั่งให้ทำก็ทำเลย
กิเลสโมหะสั่งให้ทำก็ทำเลย

 
5474  สุขใจในธรรม / พุทธวัจนะ - ภาษิตธรรม / Re: อริยวจนะ เมื่อ: 25 มีนาคม 2555 12:04:36
พุทธศาสนสุภาษิต

***************


ยถา  วาริวโห  ปูโร         คจฺนํ   น   ปริวตฺตติ
เอวมายุ  มนุสฺสานํ         คจฺฉํ   น   ปริวตฺตติ

                                                                                                                                                    (๒๘/๔๓๙)

 
แม่น้ำเต็มฝั่ง   ไม่ไหลทวนขึ้นที่สูง  ฉันใด
อายุของมนุษย์ทั้งหลายย่อมไม่เวียนกลับมาสู่วัยเด็กอีก ฉันนั้น.
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)


                                                                                                                     
5475  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ไปเที่ยว / กิมเล้งลุยต่างแดน เรื่องเล่าจากฝรั่งเศส...ลุยทุ่งลาเวนเดอร์ เมื่อ: 24 มีนาคม 2555 19:36:27
เรื่องเล่าจากฝรั่งเศส...ลุยทุ่งลาเวนเดอร์


ทุ่งลาเวนเดอร์

   
“ลาเวนเดอร์” -  Lavender  ชื่อหอมหวาน โรแมนติก

                      ด้วยกลิ่นหอมชื่นใจหอมนานเป็นเอกลักษณ์ทำให้ "ลาเวนเดอร์" ดอกไม้ตัวเอกสำคัญของอุตสาหกรรมน้ำหอมฝรั่งเศส  อันทำรายได้ให้แก่ประเทศฝรั่งเศสปีหนึ่งๆ มากกว่าหนึ่งพันล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา และยังไม่มีประเทศใดในโลกมีความเจริญก้าวหน้าในด้านอุตสาหกรรมน้ำหอมเทียบเท่าฝรั่งเศส  

                      น้ำมันหอมจากดอกลาเวนเดอร์ เป็นน้ำมันหอมระเหยที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก เนื่องจากมีสรรพคุณหลายอย่าง เช่น ช่วยทำให้อากาศบริสุทธิ์ ช่วยฆ่าเชื้อโรค ต้านเชื้อแบคทีเรีย บรรเทาอาการปวด รักษาสมดุลยของระบบประสาท ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย อาจนำไปกระจายกลิ่นให้น้ำมันหอมระเหยไปในอากาศด้วยเตาน้ำมันหอมระเหยก็ได้  ซึ่งจะช่วยให้อากาศสดชื่นบริสุทธิ์   อีกทั้งยังสามารถนำไปเจือจางเพื่อนวดเบาๆ บริเวณขมับช่วยบรรเทาอาการปวดไมเกรนได้อีกด้วย ด้วยคุณสมบัติทางการบำบัดรักษาที่หลายหลาย น้ำมันหอมระเหยจากลาเวนเดอร์จึงได้รับความนิยมอย่างมากในการนำไปใช้ในอุตสาหกรรมน้ำหอมและเครื่องหอมต่างๆ  ตลอดจนใช้ในอุตสาหกรรมยา  
 
                      เมื่อราวเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๓  มีโอกาสไปที่สาธารณรัฐฝรั่งเศส  เรามีโปรแกรมเดินทางจากนครปารีสมุ่งสู่ทางตอนใต้ของประเทศโดยรถไฟด่วน TGV ซึ่งมีความเร็วมากกว่า ๓๐๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง  มุ่งสู่เมืองมาร์แซยย์ (Marseille) เมืองใหญ่อันดับ ๒ และเป็นเมืองท่าอันดับ ๑ ของฝรั่งเศส  พวกเราได้แวะเมืองวาลองโซล (Valansole) ซึ่งเป็นแหล่งปลูกลาเวนเดอร์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศฝรั่งเศส  

                      ตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยทุ่งลาเวนเดอร์สีม่วงกว้างใหญ่สวยงามสุดลูกหูลูกตา แต่เมื่อได้ลงไปสัมผัสอย่างใกล้ชิดถึงแปลงปลูกในไร่แล้ว ต้นลาเวนเดอร์ไม่ได้สวยงามอย่างที่มองเห็นเป็นทิวแถวไกลตามากนัก นอกเสียจากกลิ่นที่หอมเย็นชื่นใจจริงๆ  
 
                      ลาเวนเดอร์เป็นพืชพื้นเมืองแถบบริเวณเมดิเตอร์เรเนียน  ปัจจุบันนิยมปลูกแพร่หลายในประเทศฝรั่งเศส  สหรัฐอเมริกา  บัลแกเรีย  และอังกฤษ  ลักษณะเป็นไม้พุ่ม  ลำต้นและกิ่งใบสีฟ้าอมเทาอ่อนจางๆ ใบสากมือ ดอกเล็กๆ เป็นช่อสีม่วงอ่อน  หากเข้าใกล้มาก อาจระคายเคืองหรือคันผิวหนัง ปลูกอยู่บนแปลงซึ่งทำเป็นเนินดิน  ลาเวนเดอร์จะให้ผลผลิตได้ดีในพื้นที่แถบบริเวณฝรั่งเศสตอนใต้ และจะให้ผลผลิต(ดอก) ได้ดีในช่วงราวเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคม    สำหรับประเทศไทย เท่าที่ทราบขณะนี้เริ่มมีการปลูกทดลองกันบ้างแล้วแถวจังหวัดราชบุรี แต่ไม่ทราบว่าได้ผลเป็นอย่างไร และถ้าจะว่าไปอากาศแถวฝรั่งเศสตอนใต้เห็นว่าค่อนข้างร้อนพอสมควรเทียบกับหลายๆ ประเทศในทวีปยุโรป  จึงเห็นว่าประเทศไทยน่าจะประสบผลสำเร็จจากการปลูกทดลอง  
    
                      ลาเวนเดอร์ นอกจากหากเข้าใกล้อาจทำให้ระคายเคืองคันผิวหนังแล้ว สิ่งที่ควรระมัดระวังอย่างยิ่งคือฝูงผึ้งที่บินหาเกสรดอกไม้ซึ่งมีมหาศาลพอๆ กับความกว้างใหญ่ของท้องทุ่งลาเวนเดอร์  
 
                      รู้จักลาเวนเดอร์กันแล้วพอหอมปากหอมคอ  ต่อไปจะพาไปรู้จัก เมืองกราซ (Grasse) ที่รู้จักกันดีว่าเป็น “เมืองหลวงแห่งโลกน้ำหอม”  คณะเราได้เข้าไปเยี่ยมชมโรงงานผลิตน้ำหอม Fragonard Perfumery  ที่ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ ๑๖ (ตรงกับ พ.ศ. ๑๕๐๑ – ๑๖๐๐) ได้ชมกระบวนการผลิตน้ำหอมด้วยการสกัดและกลั่นน้ำมันหอมระเหยออกมาจากพืชนานาชนิด  แต่ส่วนใหญ่จะมาจากดอกลาเวนเดอร์ ซึ่งกว่าจะผลิตจนได้น้ำมันหอมสัก ๑ ลิตร   ต้องใช้ดอกลาเวนเดอร์ไม่น้อยกว่า ๑๓๐ กิโลกรัม โดยนำดอกไปต้มในถังอัดความดันด้วยความร้อนสูงจนกลั่นตัวกลายเป็นไอน้ำลอยไปตามท่อส่งลงสู่ถังเก็บ เจ้าหน้าที่โรงงานเล่าว่าดอกไม้ที่นำเข้าจากเมืองไทยก็มีด้วย เช่น ดอกมะลิ ดอกกุหลาบฯลฯ และดอกไม้ที่ส่งไปต้องปราศจากสารฆ่าศัตรูพืช  จึงเป็นอันว่าพรรณไม้หอมจากเมืองไทยก็มีโอกาสไปชูคอถึงฝรั่งเศสกะเขาด้วยเหมือนกัน และไอ้เจ้าหัวน้ำหอมที่สกัดออกมาได้นั้นจะนำไปใช้สำหรับผลิตเครื่องสำอาง สบู่ สเปรย์ปรับอากาศ อุตสาหกรรมยา และอื่นๆ อีกมากมาย      

                      และถ้าเอ่ยถึงน้ำหอมแล้วผู้คนมักนึกไพล่ไปถึงประเทศฝรั่งเศสด้วยบ่อยๆ  ก็น่าจะเป็นอย่างที่เขาว่ากันว่าคนฝรั่งเศสไม่ชอบอาบน้ำ เป็นคนที่สกปรกที่สุดเมื่อเทียบกับคนอิตาลี  คนอังกฤษ  และคนเยอรมัน    ดังนั้น สิ่งที่พอบรรเทากลิ่นกายได้คงหนีไม่พ้นเอาน้ำหอมเข้าช่วยนั่นเอง
 

พระราชินีมารี อองตัวแนต (Marie Antoinette)

                      ในราชสำนักฝรั่งเศส ช่วงปลายศตวรรษที่ ๑๕ หรือราวหนึ่งพันปีเศษล่วงมาแล้ว พระราชินีแคธรีน  เดอ เนดิซิ  พระอัครมเหสีในพระเจ้าอองรีที่ ๒ แห่งฝรั่งเศส ได้เสด็จประพาสตำบลกราซ  ขณะขบวนเสด็จหยุดพักชาวบ้านได้นำน้ำเย็นที่อบด้วยดอกไม้มาถวาย พระนางติดใจในความหอมกรุ่นของน้ำ จึงทรงไล่เลียงถึงกรรมวิธีในการทำน้ำให้มีกลิ่นหอม เมื่อเสด็จกลับถึงนครปารีส พระนางได้ให้นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งทำการทดลองนำดอกไม้ชนิดต่าง ๆ มาสกัดทำน้ำหอมใช้สำหรับประพรมพระวรกายของพระนางและหมู่นางพระสนมกำนัลไม่เว้นแต่ละวัน    
                      พระราชินีมารี อองตัวแนต (Marie Antoinette) เป็นอีกผู้หนึ่งที่มีพระราชนิยมในเรื่องเครื่องหอมด้วยเช่นกัน  ในยุคนั้น นายฌอง หลุยส์ ฟาร์จียอง นักสุคนธศาสตร์หรือนักปรุงน้ำหอมประจำพระองค์ ได้คิดค้นและปรุงน้ำหอมให้มีกลิ่นพิเศษสำหรับพระนางโดยเฉพาะ นั่นคือการปรุงน้ำหอมให้มีกลิ่นที่สดชื่นคล้ายเด็กสาว อ่อนโยน และเย้ายวนเกินห้ามใจ

                      สำหรับหนุ่มฝรั่งเศส ว่ากันว่ารู้จักใช้น้ำหอมในสมัยจักรพรรดินโปเลียนบุกเข้ายึดเมืองโคโลญน์  (Cologne) ในเยอรมัน ในปี ๑๗๙๒ ทหารฝรั่งเศสที่ไปในการศึกครั้งนั้นเกิดไปติดอกติดใจน้ำหอมดอกส้มของเมืองนี้เข้า จึงพากันไปซื้อบ้านเลขที่ 4711  ซึ่งเป็นบ้านของผู้ผลิตน้ำหอมแล้วนำกลับไปเผยแพร่ที่ฝรั่งเศสนับแต่นั้นมา น้ำหอมยี่ห้อ 4711 โอเดอ โคโลญจน์ (eau de cologne 4711) จึงรู้จักกันแพร่หลายสืบต่อมาจนทุกวันนี้


สังคมไทยกับน้ำหอมหรือน้ำปรุง
 
                      สังคมไทยสมัยโบราณ  นอกจากนิยมใช้เครื่องหอมประเภทน้ำอบหรือเรียกว่าน้ำปรุงมาชโลมผิวกายให้สดชื่น  หอมกรุ่น  และบำรุงผิวพรรณแล้ว  ยังนำไปใช้ประกอบพิธีกรรมในทางศาสนาอีกด้วย     ได้เคยอ่านพบว่าในราชสำนักสมัยกรุงศรีอยุธยาก็มีการใช้น้ำอบหรือน้ำปรุงสำหรับตั้งเครื่องพระสุคนธ์ในการพระราชพิธีด้วย   แต่ยังหาหลักฐานมาแสดงไม่พบจึงขอกล่าวสั้น ๆ เพียงเท่านี้   จึงเห็นว่าพระราชนิยมดังกล่าวคงมีสืบเนื่องต่อมาจนถึงรัชสมัยล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ อย่างไม่ต้องสงสัย ดังปรากฎในวรรณกรรมพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) เรื่อง ศกุนตลา นางโคตรมีพราหมณี สั่งให้นางอนุสูยาแต่งกายให้กับนางศกุนตลา เพื่อนำนางเข้าเผ้าถวายตัวเป็นข้าบาทบริจาแก่ท้าวทุษยันต์ ดังนี้
                 
ชำระสระสนานสำราญองค์    โฉมยงผ่องฉวี
                 สุคนธ์ทาลูบไล้อินทรีย์   หอมกลิ่นมาลีที่ปรุงปน

                      น้ำอบหรือน้ำปรุงของไทย ได้จากกระบวนการนำน้ำไปผ่านกรรมวิธีการปรุงด้วยของหอม ไม่ว่าจะเป็น ใบเตยหอม  แก่นจันทน์เทศ  พิมเสน ผิวมะกรูด  ดอกมะลิ ดอกพิกุล  กุหลาบมอญ  ดอกโมก ดอกนมแมว  ดอกชมนาด  ฯลฯ  จนน้ำนั้นกลายเป็นน้ำหอมที่หอมเย็นเป็นธรรมชาติ  เท่าที่เคยเห็นมาด้วยตนเองเขามักนำเครื่องหอมดังกล่าวมาแช่น้ำทิ้งไว้ในตอนเย็นหรือหัวค่ำลอยทิ้งค้างไว้ 1 คืน รุ่งเช้าตักเอาเครื่องหอมนั้นทิ้งไป ในบางกรณีถ้าอยากจะให้น้ำนั้นหอมยิ่งๆ ขึ้นไปอีก ก็เคยเห็นว่ามีการใช้เทียนอบปักลงไปในภาชนะใส่น้ำ (ต้องหาวิธีให้เปลวไฟอยู่เหนือระดับผิวน้ำและเครื่องหอมที่ลอยไว้) จึงจุดไฟนำฝาครอบมาปิดทิ้งค้างคืนไว้ 1 คืนได้อีกเช่นกัน ซึ่งการทำน้ำหอมแบบนี้จะทำใช้กันวันต่อวันเท่านั้น
                       ในสมัยรัชกาลที่ ๕ เริ่มมีการนำเข้าหัวน้ำหอมจากต่างประเทศมาประยุกต์ใช้กับเครื่องหอมโบราณของไทย ทำให้เกิดมีน้ำหอม ๒ ประเภท คือ น้ำอบไทย กับน้ำอบฝรั่ง ทำให้ค่านิยมของการใช้น้ำอบไทยลดลงไป ในปัจจุบันเท่าที่พอเห็นจะใช้กันอยู่ ก็คงจะประเพณีสงกรานต์ โดยนำน้ำอบน้ำปรุงมาผสมน้ำสะอาดสำหรับสรงพระเพื่อขอขมาโทษและเพื่อความเป็นสิริมงคล หรือรดขอพรผู้หลักผู้ใหญ่ อย่างอื่นนอกจากนี้ไม่ค่อยได้พบเห็น สาเหตุคงมาจากยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไปก็เป็นได้




 
             กิมเล้ง :  http://www.sookjai.com


ท่าเรือแม่น้ำแซน  (Seine) ในนครปารีส  มีเรือสำราญ และเรือให้บริการ
พานักท่องเที่ยวล่องเรือชมอาคารที่ก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมเก่าแก่และสวยงามริมสองฝั่งแม่น้ำ




หอไอเฟล อยู่ด้านหลัง


มอเตอร์โซค์ พาหนะยอดนิยมของชาวฝรั่งเศส  คันนี้จอดอยู่ริมฝั่งท่าเรือ เห็นแล้วเตะตาเลยถ่ายมาเป็นที่ระลึก



อาคารสวยงามริมสองฝั่ง แม่น้ำแซน (Seine)














แปลกแต่จริง  ชาวยุโรปร่างกายสูงใหญ่แต่ชอบขับขี่รถยนต์คันเล็ก ๆ (ยกเว้นมอเตอร์ไซค์ต้องคันใหญ่ไว้ก่อน)
พอจอดรถทีเห็นคลานออกจากรถทุลักทุเล  ขาก็ยาวเกะกะเก้งก้าง  รถก็คันกะจิ๊ด... เฮ้อ




บริเวณจัตุรัส ทรอคาเดโร่ เป็นจุดชมวิวของหอไอเฟลในมุมกว้างซึ่งสามารถมองเห็นได้ชัดเจนที่สุด
บริเวณดังกล่าวยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ต่างๆ  โรงละครแห่งชาติ และพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ    



บริเวณจตุรัสคองคอร์ท (Place de la Concorde) ลานประหารพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระนางมารีอังตัวเนต
รุ่นพี่ในหน่วยงาน ไปอบรมสัมมนาที่ไหนมักจะพักร่วมห้องกัน เพราะชอบง่าย ๆ สบาย ๆ สไตล์เดียวกัน




บริเวณภายในอาคารสำนักงานใหญ่หลุยส์ วิตตอง (Louis Vuitton ) ถนนฌองเซลิเซ่ ในปารีส .....ใหญ่โตมโหฬารมาก
ดูดเงินจากเศรษฐีมีรสนิยมสูงไปปีละกี่พันกี่หมื่นล้านก็ไม่รู้  มีบางคนในคณะที่ไปด้วยกันซื้อติดมือมาใบละหลายหมื่น
เราขอสะพายย่ามไปก่อน..ตามประสาคนทรัพย์น้อย.
.




ประตูชัยฝรั่งเศส  งานสร้างที่มหัศจรรย์และใหญ่เป็นอันดับสองของโลก เป็นอนุสรณ์สถานที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงปารีส
สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2349 เพื่อเป็นเกียรติแก่จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ที่พระองค์ได้รับชัยชนะในยุทธการเอาสเตอร์ลิทซ์  
ประตูชัยแห่งนี้มีความสูง 49.5 เมตร  กว้าง 45 เมตร และลึก 22 เมตร  
.




จากความใหญ่โตอลังการงานสร้างของประตูดังกล่าว เมื่อปี พ.ศ. 2462 ชาร์ลส์ โกดฟรัว
เครื่องบินนีอูปอร์ต ผ่านกลางประตูชัยฝรั่งเศสเพื่อเป็นการสดุดีแก่เหล่าทหารอากาศที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 1
.






บริเวณใกล้เคียงประตูชัย  ปารีส  ไม่ว่าจะมองซ้ายมองขวา เหลี่ยวหน้าแลหลัง  
จะพบเห็นแต่อาคารสถาปัตยกรรมเก่าแก่ เป็นระเบียบสวยงาม




บริเวณใกล้เคียงประตูชัย  ปารีส




สถานีรถไฟ Gare de Lyon (รถไฟด่วน TGV) ที่ปารีส
เปลี่ยนบรรยากาศการเดินทางจากรถยนต์เป็นรถไฟความเร็วสูง (ฝีจักรอันทรงพลังมากกว่า 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง)
จากปารีส มุ่งสู่เมืองมาร์แซยย์ (Marseille) เมืองใต้สุดของฝรั่งเศส
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง ถึงสถานีรถไฟ Marseille St. Charles





ที่เห็นคล้ายตู้ ATM ของบ้านเรา นั่นคือที่จำหน่ายตั๋วเดินทางอัตโนมัติ
กดทำรายการและใส่เงินไปที่เครื่องจะได้รับตั๋วเดินทาง

5476  สุขใจในธรรม / พุทธวัจนะ - ภาษิตธรรม / อริยวจนะ เมื่อ: 23 มีนาคม 2555 10:31:36
ยถาภูตญาณทัสสนะ  จากโอษฐ์พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฎ์

(หลวงปู่เทสก์  เทสรังสี)



นักวิทยาศาสตร์ที่เขาบัญญัติสูตรต่าง ๆ ขึ้นมานั้น  ไม่ถึงร้อยปีมานี่เอง 
พระพุทธเจ้าไม่มีเครื่องพิสูจน์แต่รู้ได้ด้วยจิตเป็นสมาธิซึ่งปรากฏขึ้นมาให้เห็นชัด   
ว่าในโลกนี้ทั้งหมดเกิดจากธาตุ แม้แต่ความรู้อันนั้นก็เรียกว่ามโนวิญญาณธาตุ
นักวิทยาศาสตร์เพียงแต่อนุมานคิดนึกเอา  เขาบัญญัติว่าธาตุประกอบด้วยปรมาณูส่วนละเอียดที่สุด
แล้วปรมาณูต่าง ๆ มันก็เกิดจากปรมาณูใหญ่ ๆ ฯลฯ  ปรมาณูนั้นเขาก็เรียกว่าธาตุเหมือนกัน 
แต่ไฉนเขาไม่เชื่อว่ามีธาตุ  พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่ามโนวิญญาณธาตุ   
ซึ่งความรู้อันนั้น จะใช้วิชาสมัยใหม่พิสูจน์อย่างไร ๆ ก็มองไม่เห็นเด็ดขาด
                       

               อัฐธาตุหลวงปู่เทศก์  เทสฺรํสี

5477  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / Re: หญิงนครโสภิณี เมื่อ: 22 มีนาคม 2555 19:36:13
ขออภัยท่านผู้อ่านกระทู้เป็นอย่างสูง  กิมเล้งยังไม่ชำนาญในการตรวจสอบข้อความจากหน้าต่างแสดงตัวอย่าง   รบกวนนาย Mckaforce.  ตรวจสอบและปรับปรุงให้แม่แกด้วย ..... แต่ขณะนี้นายMckaforce  ไปทำธุรเกี่ยวกับกิจการของแกที่ กทม. พรุ่งนี้น่าจะกลับเน้อ
5478  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / หญิงนครโสภิณี เมื่อ: 22 มีนาคม 2555 19:20:04
หญิงโสภิณี
                “โสภิณี”   หรือ    “โสเภณี”       พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕      นิยามไว้ว่า หญิงค้าประเวณี (ย่อมาจาก นครโสภิณี)     ส่วนพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ฉบับ พ.ศ. ๒๔๙๓     ให้นิยามว่า  “หญิงงามเมือง.  หญิงคนชั่ว”      ภาษาถิ่นอีสานเรียก "หญิงแม่จ้าง"   และโดยทั่ว ๆ ไปเราจะเข้าใจกันว่ามีความหมายนัยเดียวกับ  นางคณิกา   นั่นเอง  ส่วนภาษาปากเช่นอีตัว ฯลฯ  เราท่านก็ทราบกันดีอยู่แล้ว จึงไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้
               อาชีพโสเภณีปรากฏมีมาแต่ครั้งสมัยพุทธกาล   ในสมัยนั้นอาชีพโสเภณีเป็นอาชีพที่มีเกียรติ   สังคมให้การยกย่องอย่างมาก   ผู้ที่จะเป็นโสเภณีได้ต้องได้รับแต่งตั้งจากพระราชาแล้วเท่านั้น       ในพุทธประวัติได้กล่าวถึงนางคณิกาหรือโสเภณีไว้ท่านหนึ่ง    ท่านผู้นี้ได้นางอุตราเป็นกัลยาณมิตร     นางได้ฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า   จนสำเร็จเป็นอริยบุคคล   ตั้งอยู่แล้วในโสดาปัตติผล  



                   หญิงโสเภณีที่ปรากฏในพุทธประวัติท่านนั้น  มีชื่อว่านางสิริมา             นางสิริมาอาศัยอยู่ในกรุงราชคฤห์ซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นมคธในสมัยนั้น     นางเป็นบุตรสาวของนางสาลวดีผู้ซึ่งเป็นหญิงโสเภณี      และเป็นน้องสาวของหมอชีวกโกมารภัจจ์   (ซึ่งเป็นแพทย์ ประจำพระองค์ของพระเจ้าพิมพิสาร  และด้วยความที่ท่านเป็นผู้มีศรัทธาเอาใจใส่เกื้อกูลพระสงฆ์มาก  จึงเป็นเหตุให้มีคนมาบวช เพื่ออาศัยวัดเป็นที่รักษาตัวจำนวนมาก จนหมอชีวก ต้องทูลเสนอพระพุทธเจ้าให้ทรงบัญญัติข้อห้ามมิให้รับบวชคนเจ็บป่วยด้วยโรคบางชนิดฯ)  
                   นางสิริมาเป็นผู้มีรูปร่างหน้าตาสวยงามมาก     นางได้รับการฝึกฝนอบรมศิลปะการเป็นนางคณิกาจากนางสาลวดีผู้เป็นมารดาจนมีความฉลาดชำนาญในการคณิกาศิลป์     จึงมีบุรุษทั้งหลายรับนางไปบำเรอและสมสู่ด้วย    โดยจ่ายทรัพย์ให้แก่นางเป็นค่าตอบแทนถึงคืนละ ๕๐ กหาปณะ     (๑ กหาปณะ  มีค่าเท่ากับ ๒๐ มาสก หรือ ๑ ตำลึง คือ ๔ บาท)........ต่อมา นางสิริมาได้ฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจนบรรลุคุณธรรมพิเศษคือโสดาปัตติผล  จึงเลิกอาชีพโสเภณีและประกาศตนเป็นอุบาสิกาผู้มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ  


ย้อนกลับมาที่สังคมไทยกันบ้าง
                  ปัจจุบันอาชีพโสเภณีเป็นอาชีพผิดกฎหมาย  แต่ถึงกระนั้นโสเภณีก็ยังคงมีอยู่ทั้งแบบขนานแท้และดั้งเดิมคือ  ชนิดอยู่ซ่อง  หรือชนิดนางบังเงา      กับแบบใหม่ซึ่งมาในรูปของการให้บริการ  เช่น นางในร้านอาหาร  หรือบริการ อาบ อบ นวด   หรือนางทางโทรศัพท์       กับแบบศิลปินเดี่ยวไร้สังกัดประกอบอาชีพโดยอาศัยช่องทางความก้าวหน้าของสื่ออินเทอร์เน็ต   เป็นต้น
                   ปรากฏหลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดก็ว่าได้ว่าโสเภณีมีมาแล้วแต่ครั้งปลายสมัยกรุงสุโขทัย   ตามหนังสือกฎหมายโบราณ “ลักษณะผัวเมีย”  ซึ่งบัญญัติขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๑๙๐๔    ในรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑  (พระเจ้าอู่ทอง) ปฐมกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา   หรือเมื่อราว ๖๕๐ ปีล่วงมาแล้ว   ในบทที่ ๖ ว่า
   "มาตราหนึ่ง  ชายใดสู่ขอเอาหญิงคนขับรำเที่ยวขอทานเลี้ยงชีวิต  และหญิงนครโสเภณีมาเลี้ยงเป็นเมีย  ทำชั่วเหนือผัวก็ดี  ผัวรู้ด้วยประการใด ๆ  พิจารณาเป็นสัจไซ้  ท่านให้ผจานหญิงชายนั้นด้วยไถนา     ส่วนหญิงอันร้ายให้เอาเฉลวปะหน้า   ทัดดอกฉะบาทั้งสองหูร้อยดอกฉะบาแดงเป็นมาไลยใส่ศีศะใส่คอแล้วให้เอาหญิงนั้นเข้าเทียมแอกข้างหนึ่ง   ชายชู้เข้าเทียมแอกข้างหนึ่ง   ผจานด้วยไถนาสามวัน   ถ้าแลชายผัวมันยังรักเมียมันอยู่มิให้ผจานไซ้   ท่านให้เอาชายผู้ผัวนั้นเข้าเทียมแอกข้างหนึ่ง  หญิงอยู่ข้างหนึ่ง   อย่าให้ปรับไหมชายชู้นั้นเลย”   
                     อย่างไรก็ตามสันนิษฐานได้ว่าสังคมไทยอาจมีโสเภณีมาก่อนหน้านี้เป็นเวลาเนิ่นนานแล้วก็ได้ เพียงแต่ยังไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัด    และยังปรากฎจากคำให้การของขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม  ซึ่งเป็นเชลยศึกครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐  ได้ให้การแก่ฝ่ายพม่าไว้    และทางราชสำนักไทยได้ทำการแปลออกเป็นภาษาไทยภายใต้ชื่อ  "คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม"   (จากเอกสารจากหอหลวง  :  คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทย สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)  ได้กล่าวถึงหญิงนครโสเภณีในสมัยกรุงศรีอยุธยาไว้ว่า  
                   “……มีตลาดบนบกนอกกำแพงพระนครตามชานพระนครบ้าง ตามฝั่งฟากกรุงบ้าง ติดแต่ในรอบบริเวณขนอนใหญ่ทั้ง ๔ ทิศ รอบกรุงเข้ามาจนฟากฝั่งแม่น้ำตามกรุง แลชานกำแพงกรุงนั้นด้วยรวมเป็น ๓๐ ตลาดคือ…ตลาดบ้านจีนปากคลองขุนละครไชย มีหญิงนครโสเภณีตั้งโรงอยู่ท้ายตลาด ๔ โรงรับจ้างทำชำเราแก่บุรุษ ตลาดนี้เป็นตลาดใหญ่ใกล้ทางเรือแลทางบก มีตึกกว้างร้านจีนมาก ขายของจีนมากกว่าของไทย......”

                 จึงเป็นอันยืนยันได้ว่า เมืองไทยเรามีหญิงโสเภณีมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยแล้วอย่างแน่นอน  และได้มีตลอดเรื่อยมาจนถึงในสมัยกรุงศรีอยุธยา  กรุงธนบุรี  และกรุงรัตนโกสินทร์  
                          ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์    สุนทรภู่ซึ่งเกิดหลังจากตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ได้ ๔ ปี  และต่อมาได้เข้ารับราชการเป็นกวีในราชสำนักพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย   เมื่อสิ้นรัชกาลได้ออกบวชเป็นเวลา  ๒๐ พรรษา   ท่านได้กล่าวถึงหญิงโสเภณีไว้ในนิราศภูเขาทองซึ่งแต่งขณะบวชเป็นพระภิกษุ  และขณะเดินทางไปนมัสการเจดีย์ภูเขาทองที่กรุงเก่า (จังหวัดพระนคร
ศรีอยุธยาในปัจจุบัน)  เมื่อเดือนสิบเอ็ด ปีชวด  (พ.ศ. ๒๓๗๑)  ความว่า
                        มาจอดท่าหน้าวัดพระเมรุข้าม         ริมอารามเรือเรียงเคียงขนาน
                        บ้างขึ้นล่องร้องลำเล่นสำราญ         ทั้งเพลงการเกี้ยวแก้กันแซ่เซ็ง
                        บ้างฉลองผ้าป่าเสภาขับ               ระนาดรับรัวคล้ายกับนายเส็ง
                       โคมรายแลอร่ามเหมือนสำเพ็ง         เมื่อคราวเคร่งก็มิใคร่จะได้ดู
   
                เหตุเพราะในสมัยนั้นซ่องส่วนมากมักจะแขวนโคมสีเขียวไว้เป็นสัญลักษณ์ที่หน้าซ่องให้เป็นที่สังเกตของเหล่านักเที่ยวหญิง     และอีกประการสำเพ็งเป็นแหล่งของโรงหญิงโสเภณีในครั้งอดีต   จนกลายเป็นที่มาของชื่อ “ผู้หญิงสำเพ็ง”   หรือ “หญิงหยำฉ่า”   ซึ่งใช้เป็นคำแสลงเรียกหญิงโสเภณีจนถึงทุกวันนี้
               ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าว่า ในสมัยรัชกาลที่ ๕ และรัชกาลที่ ๖ หญิงโสเภณีสมัยนั้นชาวบ้านทั่ว ๆ ไปเรียกว่า “หญิงคนชั่ว”   เป็นส่วนมาก     แต่บางทีก็เรียกว่า  “หญิงโคมเขียว”   ส่วนซ่องก็เรียกว่า “โรงหญิงคนชั่ว”  หรือ “โรงหญิงโคมเขียว”
              เมื่อพูดถึงโคมเขียว  ก็ขออธิบายลักษณะของโคมไว้เสียด้วยว่า    ตัวโคมก็มีรูปร่างเหมือนโคมธรรมดานี่เอง  แต่ทาสีเขียวหรือใช้กระจกสีเขียว  ข้างในมีหลอดไฟฟ้าหรือบางแห่งที่ไม่ได้ใช้ไฟฟ้าก็ใ     ช้ตะเกียงแทน  พอตกค่ำเปิดไฟฟ้าหรือจุดตะเกียงให้แสงเพื่อให้ไฟเป็นที่สังเกตของบรรดานักเที่ยวทั้งหนุ่มและไม่หนุ่มทั้งหลาย
ขุนวิจิตรมาตรา  หรือ “กาญจนาคพันธ์”   ได้บรรยายถึงสภาพผู้หญิงโคมเขียวที่ตรอกเต๊าในยุคสมัยนั้นไว้ดังนี้        
                     “ในตรอกเต๊านี้ เป็นห้องแถวยาวติดต่อกันไปตลอดตรอก ทุกห้องแขวนโคมเขียวไว้หน้าห้องเป็นแถว และเวลาก่อนค่ำ จะเห็นพวกโสเภณีเขาจุดธูปราว กำมือหนึ่ง (ราวสัก ๒๐ ดอก) มาลนที่ใต้โคมเขียวหน้าห้อง ข้าพเจ้าเคยถามเขาว่าลนทำไม เขาบอกว่าลนให้มีแขกเข้ามามากๆ พวกนี้ราคาอยู่ใน ๖ สลึงหรือสองบาท”    
             ส่วนค่าบริการมีหลายอัตราเช่นเดียวกับสมัยนี้คือ   ราคาต่ำสุดชนิดกระจอกงอกง่อยก็เพียง ๒ สลึงเท่านั้น   และราคาอย่างสูงก็เพียง ๑ บาท       ราคาที่บอกไว้นี้เป็นอัตราของหญิงคนชั่วไทยและจีน   หากเป็นหญิงคนชั่วฝรั่งและญี่ปุ่นราคาบริการก็สูงขึ้นไปอีกคือชั่วคราว ๒ บาท  เหมาตลอดคืน ๔ บาท

 

               สำหรับโรงหญิงคนชั่วสมัยโน้นที่มีชื่อคนชอบไปเที่ยวกันมาก ก็ได้แก่ที่ ตรอกเต๊า    โรงคุณแม่แฟง   โรงคุณแม่กลีบ  โรงคุณแม่เต๊า   ตรอกเจ้าสัวเนียม   ตรอกเว็จขี้หรือตรอกอาจม  ตรอกโรงโคม   หลังวัดสามจีน
                กล่าวถึงคุณยายแฟง      หลายท่านต้องได้เคยคุ้นหูและได้รู้ประวัติของแกมาบ้างแล้วพอสมควร   แกมีเงินที่ได้จากอาชีพเจ้าสำนักหญิงคนชั่วเป็นจำนวนมาก  จึงเอาเงินที่ได้มาไปสร้างวัด    ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า “วัดใหม่ยายแฟง”    เป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ     ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  (รัชกาลที่ ๔)  ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ  พระราชทานนามวัดเสียใหม่ว่า  “วัดคณิกาผล”   มีความหมายว่า   วัดที่สร้างจากผลของนางคณิกา       ไว้โอกาสต่อไปจะรวบรวมเรื่องราวของแกมาเล่าสู่กันฟัง
 
              ทีนี้มาพูดถึงโรคภัยไข้เจ็บที่ได้จากการไปเที่ยวหญิงคนชั่ว   ปรากฏว่าคนสมัยนั้นเป็นกามโรคกันมาก ยาสมัยใหม่ไม่มีรักษา   เป็นกันทีก็ต้มยากินกันเป็นสิบ ๆ หม้อ   หรือเป็นปีบ ๆ   โรคก็ไม่หายกลายเป็นโรคเรื้อรังติดลูกติดเมียกันงอมแงม  นับว่าเป็นโรคติดต่อที่ร้ายแรงมากในสมัยนั้น      ตามสถิติของกรมสุขาภิบาลกระทรวงมหาดไทย  เมื่อสมัยรัชกาลที่ ๖    ปรากฎพวกผู้ชายในพระนครเป็นกามโรคกันมากถึงร้อยละ ๗๕   ทีเดียว


ขอบคุณที่กรุณาติดตาม โอกาสหน้าจะรวบรวมสาระน่ารู้มาฝาก   พบกันใหม่ค่ะ   เย้  เย้





ที่มา :   - เทพชู  ทับทอง. “กรุงรัตนโกสินทร์เมื่อ ๒๐๐ ปี”  กรุงเทพฯ.  
           - พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕
           - พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ :  พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)   พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต)
           - สุนทรภู่ : นิราศภูเขาทอง
           - http://www.larnbuddhism.com/atatakka/tere/tere26.html
           - http://www.oknation.net/blog/print.php?id=307948
           - (Wikipedia®) สารานุกรมเสรี
5479  นั่งเล่นหลังสวน / สยาม ในอดีต / คุณยายทวดนักเรียนนอกคนแรกของประเทศไทย เมื่อ: 21 มีนาคม 2555 16:52:16
คุณยายทวดนักเรียนนอกคนแรกของประเทศไทย


           จากหนังสือ “ประวัติการแพทย์มิชชันนารี่ในประเทศไทย”   ทำให้ได้ทราบว่าในอดีตก็เคยมีผู้หญิงไทยได้ไปเรียนเมืองนอกเมืองนากันมาแล้ว ตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4)   
           ในขณะนั้น มิชชันนารีอเมริกัน   ซึ่งส่วนใหญ่มักมีผู้สำเร็จการศึกษาวิชาการแพทย์รวมอยู่ด้วย  ได้ทำการรักษาคนไข้   จ่ายยา และแจกพระคัมภีร์ไปในคราวเดียวกัน   ทั้งนี้ เพื่อให้ชาวบ้านได้เกิดความสนใจและหันมานับถือคริสต์ศาสนาตามอย่างตน    คนไทยนิยมเรียกมิชชันนารีกลุ่มนี้ว่า “หมอสอนศาสนา”   ดังนั้น ที่เป็นหมอจริงๆ ก็มี เช่น แดน บีช บรัดเลย์ หรือหมอบรัดเลย์ ที่เราคุ้นเคยชื่อนี้อยู่จนทุกวันนี้        แดน บีช บรัดเลย์ เป็นชาวเมืองมาร์เซลลัส (Marcellus)  สำเร็จวิชาการแพทย์จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก  สหรัฐอเมริกา  ได้เข้ามาทำงานกับคณะหมอสอนศาสนาสมัยรัชกาลที่ 3   และได้เสียชีวิตเมื่อปี พ.ศ. 2416  ในสมัยรัชกาลที่ 5              หรือมิชชันนารีกลุ่มนี้ที่ไม่ได้เป็นหมอแต่คนไทยก็เรียกว่าหมอ     เช่น หมอสมิธ   หมอแมททูน  เป็นต้น
   เกริ่นนำเรื่องมาเสียเนิ่นนาน  กิมเล้ง กำลังจะบอกว่า ศาสนาจารย์แมททูนหรือมัตตูน   ผู้นี้เองที่เป็นผู้นำเด็กหญิงไทยคนหนึ่งให้ได้มีโอกาสเดินทางไปศึกษาที่อเมริกา     ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่  4        ศาสนาจารย์แมททูนได้ตั้งชื่อเด็กหญิงคนนี้ว่า “แอสเทอร์”  คนไทยเรียกแบบไทย ๆ ว่า “นางเต๋อ”   เพราะชื่อ “แอสเทอร์” เป็นชื่อฝรั่ง ออกเสียงยาก


นางเต๋อ  จึงนับเป็นสตรีไทยคนแรกที่มีหลักฐานปรากฎว่าเดินทางไปอเมริกาเมื่อ พ.ศ. 2401   แม่เต๋อ หรือนามเดิม "รอด" เกิดในสกุลพราหมณ์ เมื่อปีมะโรง  ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2387 ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 3  บิดาเป็นพราหมณ์มาจาก ลังกา    มีอาชีพเป็นโหร  มารดาเป็นชาวสวน  นามบิดาและมารดาของแม่เต๋อไม่ปรากฏ     ในปี พ.ศ. 2396  เมื่ออายุ 9 ขวบ  บิดากลับลังกา และตกลงเลิกร้างกับภรรยา ก่อนกลับได้นำบุตรีไปฝากกับหมอและแหม่มแมททูนหรือมัตตูน (Rev. & Mrs.Stevens Mattoon)  มิชชันนารีชาวอเมริกัน    ซึ่งท่านได้เปลี่ยนชื่อ "รอด" เป็น  "เอสเตอร์" (Esther) หรือ "เต๋อ"   ในปี พ.ศ.2401 แหม่มมัตตูน เดินทางไปเยี่ยมญาติที่อเมริกาได้พาท่านซึ่งในขณะนั้นมีอายุ 14 ปี เดินทางไปด้วย

                  เด็กหญิงไทยคนนี้ได้ศึกษาวิชาพยาบาลผดุงครรภ์เป็นเวลา 3 ปี จนมีความรู้ความชำนาญเป็นอย่างดี   จึงเดินทางกลับประเทศไทย    ดังนั้น แอสเทอร์จึงได้ชื่อว่าเป็นพยาบาลผดุงครรภ์แผนปัจจุบันคนแรกของประเทศ    แอสเทอร์หรือนางเต๋อได้รับเชิญให้ไปทำการคลอดบุตรและทำการพยาบาลตามวังเจ้านายและผู้มีบรรดาศักดิ์เป็นประจำ
              สมเด็จกรมพระบาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงเขียนในคำนำหนังสือแจกงานฉลองอายุ 84 ปี ของท่านว่า เป็นผู้มารักษาพยาบาลพระโอรสธิดาและพระนัดดาคลอด มาจนหมดเรี่ยวแรง
   นอกจากนั้น นางเต๋อยังได้เป็นผู้ถวายการอภิบาลแด่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ด้วย
   นางเต๋อ  เป็นต้นตระกูล “ประทีปะเสน”  ซึ่งเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงตระกูลหนึ่งในเวลานี้    นางเป็นคนมีอายุยืนคนหนึ่ง  และได้มีชีวิตอยู่จนถึงอายุ 85 ปี จึงได้ถึงแก่กรรมเมื่อปี พ.ศ. 2472   



ที่มา: เทพชู  ทับทอง. “กรุงรัตนโกสินทร์เมื่อ 200 ปี”  กรุงเทพ.    เอนก นาวิกมูล. "แรกหญิงไทยไปเมืองนอก : เต๋อ ประทีปะเสน," แรกมีในสยาม 4. กรุงเทพฯ : แสงแดด, 2541. หน้า 107 .   วีกิพีเดีย(Wikipedia®) สารานุกรมเสรี
5480  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / Re: ประมวล รหัส ว. - รหัสวิทยุ (โค๊ด ว.) ที่ใช้ติดต่อสื่อสารโดยทั่วไป เมื่อ: 21 มีนาคม 2555 16:10:02
 หัวเราะลั่น
หน้า:  1 ... 272 273 [274] 275
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 1.092 วินาที กับ 26 คำสั่ง