แต่เมื่อขึ้นไปถึงเบสแคมป์แล้วมองเห็นยอดเขาเป็นสีชมพู สีฟ้า สีทอง
ก็รู้สึกประทับใจมาก รู้สึกพอใจที่ได้ทำตามความฝันสำเร็จ
หลังจากนั้นก็เดินทางต่อไปอัฟกานิสถาน ตุรกี เยอรมนี แล้วก็กลับมาที่อินเดีย
ใช้เวลาประมาณปีกว่า พอมาถึงพุทธคยา สถานที่ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้
ก็เปลี่ยนชุดทำตัวเหมือนนักบวชในอินเดีย
ใช้ผ้าสองชิ้นสีครีมมานุ่งห่มเป็นสบงชิ้นหนึ่ง อีกชิ้นหนี่งก็ห่มข้างบน
แล้วก็นั่งสมาธิบ้าง หัดเล่นโยคะบ้าง
พักอยู่ที่วัดทิเบตในบริเวณพุทธคยาประมาณ 1 เดือน
ส่วนใหญ่ก็ใช้เวลานั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์
แล้วก็มีอยู่วันหนึ่งมองดูพระพุทธเมตตาซึ่งเป็นพระประธานของที่นั่น
ก็ฉุกคิดขึ้นมาว่าพระพุทธเจ้าเกิดในพระราชวังสมบูรณ์พร้อมด้วยโลกียสุข
แต่แล้วในที่สุดท่านก็ออกจากพระราชวังเข้าป่าเพื่อแสวงหาทางพ้นทุกข์
ใช้เวลาหลายปีในการค้นหาแล้วก็บรรลุโพธิญาณ ตอนนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่า
สิ่งที่เราแสวงหาคือ
จิตบริสุทธิ์ เหมือนพระจันทร์เต็มดวงลอยอยู่บนฟ้า
แต่มีเมฆหมอกปิดบังทำให้มองไม่เห็นความจริง
ที่เรากำลังสงสัยหรือไม่สบายใจหรือเป็นทุกข์ก็เพราะเราไม่รู้จัก
และไม่สัมผัสจิตบริสุทธิ์ของตัวเอง เราไม่เห็นตัวเอง ไม่รู้จักตัวเอง ก็ได้ข้อคิดว่าสิ่งที่เราแสวงหานี้น่าจะอยู่ในตัวเรา
จิตใจของเราบริสุทธิ์เหมือนพระจันทร์ แต่มีสิ่งสกปรกมาบดบังอยู่
เหมือนเมฆหมอกที่ปิดบังพระจันทร์ ถ้าเมฆหมอกผ่านไปแล้ว
ก็จะเห็นพระจันทร์เต็มดวงสดใส สว่าง สงบ
ตอนนั้นอาจารย์ก็ยังไม่ได้สนใจศึกษาพุทธศาสนา
แต่มีความคิดว่าพระพุทธเจ้าน่าจะบำเพ็ญโยคะมา และจุดเด่นของอินเดียก็คือโยคะ
จึงเดินทางไปที่อาศรมฤาษีเกษี มีคนมากมายเชื่อว่าที่นั่นเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
และมีโยคีปฏิบัติธรรมจำนวนมาก อาจารย์มุ่งไปที่นั่น
ช่วงนั้นคุรุจีผู้เป็นเจ้าสำนักเดินทางไปยุโรป มีแต่อาจารย์ที่เป็นลูกศิษย์ของคุรุจี
ถึงอย่างนั้นอาจารย์ก็เริ่มฝึกนั่งสมาธิและโยคะประมาณ 3 เดือน
ครั้งหนึ่งอาจารย์ก็เริ่มเห็นผลการปฏิบัตินั่งสมาธิกำหนด
แสงสว่างที่หน้าผาก
แล้วก็จิตรวมเกิดสมาธิ ความรู้สึกว่ากายหายไป
สิ่งที่รับรู้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย หายไป
เหลือแต่ตัวรู้ ผู้รู้ อาจารย์เห็นนิมิต แล้วจิตจ้องดูนิมิตที่สวยงาม
เงียบสงบ เห็นออกไปไกลๆ อย่างไม่มีขอบเขต ไม่มีกาย
มีแต่จิตตัวรู้ที่เห็นอยู่ทั่วทิศ
เมื่อออกจากสมาธิแล้วก็ทบทวนความเงียบ ความสุข
ประสบการณ์ในสมาธิกับความสุขที่ผ่านมาในชีวิต ก็เปรียบเทียบกันไม่ได้
ภายหลังเมื่อบวชพระแล้ว ก็พบภาษิตที่ว่า “นัตถิ สันติ ปะรัง สุขัง” ความสุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี
ซึ่งอาจารย์เข้าใจในความหมายอย่างชัดเจน คิดว่าชีวิตก็น่าจะมีหน้าที่
เพื่อทำสิ่งนี้ คือการเจริญกรรมฐานหรือว่าทำสมาธิ
ช่วงนั้นชีวิตประจำวันของอาจารย์เริ่มจากนั่งสมาธิ เล่นโยคะ
เล่นลมปราณอะไรต่างๆ ไปทั้งวัน โดยค่อนข้างจะทุ่มเท
ปฏิบัติมากพอสมควร พอคุรุจีกลับมาลูกศิษย์ชาวต่างชาติ
ก็โฆษณาว่าคุรุจีนี่เป็นโยคีที่เก่งมาก
เราจึงมีศรัทธา พออาจารย์เห็นคุรุจีครั้งแรกก็รู้สึกประทับใจมาก
ไม่คิดว่าจะมีมนุษย์คนหนึ่งทำให้เรารู้สึกประทับใจได้อย่างนี้
คุรุจีเป็นคนแรกที่ทำให้รู้สึกว่าถ้าเราแก่ก็อยากน่าเลื่อมใสศรัทธาอย่างนี้
ตอนนั้นก็ตั้งใจว่าจะอยู่อินเดียตลอดชีวิต แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้ต่อวีซ่า
และให้ออกจากประเทศภายใน 15 วัน
จากนั้นก็มีพระชาวฝรั่งเศสแนะนำอาจารย์ว่า
ให้มาบวชพระที่วัดเบญจมบพิตรฯ ประเทศไทย
ถ้าบวชพระแล้วก็ปฏิบัติธรรมได้ ไม่ต้องห่วงเรื่องปัจจัยสี่
ตอนนั้นเป็นช่วงปลายปี พ.ศ.2517
อาจารย์เดินทางมาเมืองไทยเพื่อบรรพชาเป็นสามเณร
และเริ่มเรียนภาษาไทย พออยู่ได้พักหนี่งก็อยากจะปฏิบัติธรรม
พระฝรั่งที่นั่นจึงพาไปภาคใต้เพื่อแสวงหาที่ปฏิบัติ
แต่ก็ยังไม่เจอสถานที่ที่อยากอยู่ ก่อนจะไปที่วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี
ทำให้ได้พบ
หลวงพ่อชา สุภัทโท แล้วอาจารย์ก็อุปสมบทที่นั่นเมื่อ พ.ศ.2518
ช่วงแรกจิตใจของอาจารย์ก็คิดว่าสักวันหนึ่งจะกลับไปญี่ปุ่น
แต่หลังจากปฏิบัติมาเรื่อยๆ จนครบ 5 พรรษา
แล้วก็อยากจะตั้งใจปฏิบัติโดยเน้นการนั่งสมาธิ
แล้วในที่สุดก็เข้าห้องกรรมฐานอยู่ 2 ปี ช่วงนั้นก็เน้นเจริญสติปัฏฐานสี่
เช่น พิจารณากายนั่ง พิจารณาทุกขเวทนา โดยมีศรัทธามั่นคงว่า
การเจริญสติปัฏฐานสี่เป็นหัวใจสำคัญในพระพุทธศาสนา ตามที่พระพุทธเจ้ายืนยันว่า
การเจริญสติปัฏฐานสี่เท่านั้น
ที่จะทำให้
จิตใจบริสุทธิ์ได้ เมื่อเข้าใจการปฏิบัติธรรมแล้ว
อาจารย์ก็คิดว่าจะเป็นพระในพระพุทธศาสนาตลอดไป
นำมาแบ่งปันโดย.. ขบถฟันน้ำนม: http://www.prachathon.org/forum/index.php?topic=3473.msg16995;topicseen#msg16995คัดลอกมาจาก... :http://www.watsunan.orgขอกราบขอบพระคุณที่มาของรูปภาพทุกแหล่ง :http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=33483อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ