.เคยมีการสันนิษฐานว่าบุรุษในภาพน่าจะเป็นศิลปินผู้เขียนภาพ คือตัวหนานบัวผัน
แต่ทว่าได้รับการปฏิเสธในเวลาต่อมา ทั้งนี้หนานบัวผันได้แต่งคำบรรยายภาพ
เป็นภาษาล้านนาอันสละสลวย
สมเจตน์ วิมลเกษม ได้แปลถอดความ
จากอักษรล้านนาเป็นภาษาไทย ได้ความว่า
คำอ่านอักษรล้านนา:คำฮักน้อง กูปี้จักเอาไว้ในน้ำก็กลัวหนาว
จักเอาไว้พื้นอากาศกลางหาว ก็กลัวหมอกเหมยซอนดาวลงมาคะลุม
จักเอาไปใส่ในวังข่วงคุ้ม ก็กลัวเจ้าปะใส่แล้วลู่เอาไป
ก็เลยเอาไว้ในอกในใจตัวชายปี้นี้ จักหื้อมันไห้อะฮิอะฮี้
ยามปี้นอนสะดุ้งตื่นเววา…
คำแปล:ความรักของน้องนั้น พี่จะเอาฝากไว้ในน้ำก็กลัวเหน็บหนาว
จะฝากไว้กลางท้องฟ้าอากาศกลางหาว ก็กลัวเมฆหมอกมาปกคลุมรักของพี่ไปเสีย
หากเอาไว้ในวังในคุ้ม เจ้าเมืองมาเจอก็จะเอาความรักของพี่ไป
เลยขอฝากเอาไว้ในอกในใจของพี่ จะให้มันร้องไห้รำพี้รำพันถึงน้อง
ไม่ว่ายามพี่นอนหลับหรือสะดุ้งตื่น
กระซิบรักบันลือโลก “ปู่ม่าน-ย่าม่าน” คืออักษรล้านนาซึ่งเขียนกำกับบรรยายภาพนี้ เคยมีการสันนิษฐานเบื้องต้นคลาดเคลื่อนว่า น่าจะเป็นภาพศิลปินกับคู่รัก แต่เมื่อมีข้อมูลที่เชื่อได้ว่าศิลปินผู้เขียนภาพนี้เป็นศิลปินชาวไทลื้อ นาม “หนานบัวผัน” (ทิดหนานบัวผัน) จึงเกิดคำถามว่า “ภาพกระซิบบันลือโลกนี้เป็นศิลปินกับคู่รักจริงหรือ? “ ภายหลังได้มีคนเรียกขานภาพนี้ว่า “ภาพกระซิบรักบันลือโลก” ทำให้จินตนาการอารมณ์ภาพนี้ถูกขีดกั้นขอบเขตไปบ้าง
สำหรับข้อความที่เขียนกำกับว่า ปู่ม่าน ย่าม่าน หมายถึง คำเรียกผู้ชายพม่า - ผู้หญิงพม่าคู่นี้ สื่อให้เห็นว่าทั้งสองคนเป็นสามีภรรยากัน แล้วการเกาะไหล่กันเป็นธรรมชาติของผู้ชายผู้หญิงที่เป็นสามีภรรยา ถ้ายังเป็นหนุ่มสาวคนในสมัยนั้นจะไม่สามารถถูกเนื้อต้องตัวกันได้ และรูปลักษณะการแต่งกายชี้ชัดไปอีกสอดคล้องกับคำว่า ปู่ม่าน ย่าม่าน ม่านคือพม่า ปู่นี่คือผู้ชาย พ้นวัยเด็กผู้ชายเรียกปู่ พ้นวัยเด็กผู้หญิงเรียกย่า ซึ่งที่จริงออกเสียง "ง่า" ไม่ใช่ปู่ย่าตายาย
ภาพ “ปู่ม่าน-ย่าม่าน” เป็นภาพชายหนุ่มเกาะไหล่หญิงสาวและป้องมือกระซิบขณะที่หญิงสาวแสดงอาการรับรู้นัยยะและประทับใจด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มบนใบหน้า ภาพวาดนี้ศิลปิน “หนานบัวผัน” ได้ตั้งชื่อภาพด้วยเจตนารมณ์แสดงออกถึงมนต์ขลังของวัฒนธรรมการแต่งกายแบบพม่าที่ทรงอิทธิพลต่อคนล้านนาในสมัยนั้น จึงมีการเขียนอักษรล้านนาด้วยสีขาวกำกับไว้ด้านบนภาพว่า “ปู่ม่าน-ย่าม่าน” ซึ่งการเขียนภาพนอกกรอบเรื่องชาดกนี้แสดงท่าทางการเกาะไหล่กระซิบหยอกล้อกับคู่รักในที่แจ้ง และลักษณะการจับไหล่สตรีในที่แจ้งสมัยเมื่อร้อยกว่าปีนั้นบ่งบอกความเป็นสามี-ภรรยาชัดเจน ดังนั้น ภาพดังกล่าวจึงหาใช่การกระซิบกระซาบเล้าโลมบอกรักของหนุ่มสาวดังที่มีการแปลความหมายหรือสรรค์สร้างนำความงดงามของถ้อยคำด้านวรรณกรรมล้านนาเปรียบเปรยบรรยายความงดงามของภาพ (ภายหลัง) ในแนวทางโน้มเอียงเป็นรูปแบบของภาพตามเจตนารมณ์ของศิลปินและอาจเป็นการก้าวล้ำวิถีวัฒนธรรมอันงดงามของชาวน่านในอดีตสู่ทิศทางไม่เหมาะสมได้ปู่ม่านกับรอยสัก ซึ่งเป็นที่นิยมของชาวล้านนาในอดีต
ค่านิยมการสักของชาวล้านนาสมัยโบราณผู้ชายแถบล้านนา แพร่ น่าน นิยมสักลายตามร่างกาย ตั้งแต่ขา สักเลยสูงขึ้นไปถึงพุงและเอว
โดยมีความเชื่อว่านอกจากจะเป็นเครื่องรางของขลังแล้ว ยังต้องการอวดความเป็นชาย เป็นคนกล้า ให้ผู้หญิงเห็น
ว่าตนเป็นผู้มีความอดทน เข้มแข็ง สามารถเป็นผู้นำครอบครัวได้ เล่ากันว่า ใครที่มีรอยสัก เวลาไปจีบสาว
จะต้องถลกโสร่งขึ้นสูงเพื่อให้สาวๆ เห็นรอยสักอย่างเด่นชัด และผู้ชายที่ไม่ได้สักลาย ผู้หญิงจะไม่ให้อาบน้ำ
ร่วมท่าด้วย เพราะถือว่าไม่ได้เป็นชายชาตรีอย่างเต็มตัว ผู้หญิงสมัยก่อนจะดูการสักขาของผู้ชาย ถ้ายิ่งสักมาก
ลวดลายละเอียดมาก และยิ่งสักสูงขึ้นไปถึงเนื้ออ่อนๆ ตรงขาหนีบ แสดงว่าผู้ชายคนนั้นยิ่งมีความแข็งแกร่ง
มีความอดทนสูงมาก
การสักลายรูปสัตว์เป็นไปตามความเชื่อเช่น ตัวลิงลม ตัวมอม นกร้าย ซึ่งมีความเชื่อว่า
สักตัวมอมจะทำให้มีพลังมีความแข็งแรง สักลิงลมจะทำให้แคล่วคล่องว่องไว สักนกร้ายจะทำให้เก่งกล้าสามารถ
ส่วนลักษณะการสักนั้น จะมีการสักขาเป็น ๒ แบบคือ สักตั้งแต่ใต้เข่า คลุมเข่าขึ้นมาถึงขาส่วนบน เรียกว่า สักขายาว
ส่วนอีกแบบหนึ่งคือ การสักเพียงแค่เหนือเข่าขึ้นมาจนถึงขาส่วนบน เรียกการสักแบบนี้ว่า สักขาก้อม
ตามที่ได้สอบถามผู้อาวุโส
ไทหล่ม ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ที่ได้ทำการสักขามานั้น ท่านเล่าเกร็ดการสักให้ฟังว่า
เวลาต้องการจะสักจะเดินทางร่วมกันไปกับเพื่อนหลายคนเพื่อไปสักที่บ้านหมอสัก ซึ่งจะคิดค่าสักขาข้างละ ๑๐ บาท
หมอสักจะใช้เหล็กแหลมยาวแต้มน้ำหมึกดำจิ้มสักลงไปที่ขาเป็นลวดลายตามที่กำหนด เป็นที่เจ็บปวดมาก
ถึงกับต้องกินฝิ่นเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดไปด้วย การสักขาแต่ละข้างจะใช้เวลาประมาณ ๑-๒ วัน
ตอนสักเสร็จใหม่ขาจะบวมมาก แล้วต้องเว้นห่างกัน ๑๕ วันถึงจะกลับมาสักขาอีกข้างได้
การสักขาลายเริ่มเสื่อมความนิยมลง เมื่อดินแดนลาวตกอยู่ในการปกครองของสยามและมีข้าราชการจากสยาม
ขึ้นไปปกครองตามหัวเมืองต่างๆ และได้ปลูกฝังค่านิยมใหม่ๆ ไปด้วย จนได้มีการเลิกนิยมการสักขาลายไป
เมื่อประมาณราวๆ สงครามโลกครั้งที่ ๒ (*
ไทหล่ม เป็นคนเชื้อสายลาวที่มีต้นกำเนิดอยู่ทางดินแดนล้านช้าง เมืองหลวงพระบาง)
...
อ้างอิง : ไทหล่มและลาวพุงขาว !! ดร.วิศัลย์ โฆษิตานนท์ wison_k@hotmail....
ชาวล้านนานิยมสูบบุหรี่มานานแล้ว แต่ไม่ปรากฏชัดเจนว่ามีมาตั้งแต่สมัยใด
มูลี มูลี หมายถึง บุหรี่ คือยาสูบที่ใช้ใบตอง เป็นต้น พันให้เป็นมวนเพื่อใช้จุดไฟสูบรมควัน
ส่วนสำคัญของมูลี มีสองส่วนคือ ใบยาสูบหั่นฝอย กับวัสดุที่ใช้หุ้มยาเส้นนั้นให้เป็นแท่งเพื่อสะดวกในการจุดสูบ
วัสดุที่ชาวล้านนานิยมใช้พันใบยาสูบหั่นฝอยได้แก่ตองกล้วย (ใบกล้วย) และกาบหมาก ทั้งนี้ นิยมใช้ใบแห้งของกล้วยตีบ และกล้วยอ่อง(หรือกล้วยน้ำว้า) โดยชาวบ้านจะเลือกฉีกเอาใบกล้วยที่มีสภาพดีนำไปตากแดดพอให้คลี่ออกได้ง่าย แล้วตัดให้เป็นแผ่นขนาดกว้างประมาณ ๑๐ เซนติเมตร ยาวประมาณ ๑๕ เซนติ ใช้เตารีดร้อนนาบใบตองนั้นให้แห้ง หรืออาจใช้ปีบคว่ำบนเตาอั้งโล่แล้วเอาตองกล้วยอ่อนพันรอบๆ ภายนอกปีบไฟ จะช่วยให้ตองอ่อนแห้งได้ บางคนจะคั่วทรายให้ร้อน กรอกใส่ถุงผ้าขนาดส้มโอ ผูกปากให้เรียบร้อย เอาทาบตองอ่อน เสร็จแล้วม้วนรวมเข้าไว้ หรือจะใช้กรรไกรตัดเจียนขอบให้เรียบร้อย เสร็จแล้วนำมาพันเข้าด้วยกันให้เป็นม้วน ใบตองชนิดนี้จะให้ความหอมแก่บุหรี่ได้อีกด้วย
ในการพันมูลีนั้น เริ่มจากการนำตองมูลีที่ม้วนออก มาคลี่บนกระดานโดยเอาด้านบนของใบออกทางด้านนอก นำยาเส้นมาพรมน้ำเล็กน้อยเพื่อมิให้เส้นยาเปราะ หยิบมาเกลี่ยลงบนใบตอง แล้วม้วนให้แน่น โดยให้ทางโคนคือทางปากคาบเล็กกว่าทางด้านปลาย จากนั้นก็ใช้กรรไกรตัดเจียนให้เรียบร้อย ใช้ยางมะตูมหรือยางไม้ชนิดอื่นป้ายพอประมาณแล้วปิดไว้ ทั้งนี้อาจใช้กระดาษสีติดกาวทำเป็นเส้นขนาดประมาณครึ่งเซนติเมตรคาดกลางมวนก็ได้ บ้างก็ใช้ด้ายหรือเศษใบตองผูกกันหลุดก็ได้
ในช่วงที่หนุ่มสาวเจรจาเพื่อเสนอไมตรีกันอยู่นั้น หากสาวเจ้าพอใจชายใดจนกระทั่งถือกันว่าเป็นตัวพ่อตัวแม่ คือคู่หมายกันแล้ว นอกจากหญิงจะทำพลูแหล้ม คือพลูจีบให้หนุ่มแล้ว ก็มักจะมวนบุหรี่ให้ชายนั้นไปสูบอีกด้วย อย่างคำกล่าวที่ว่า “ตะวันนั้นเปนใผมานั่งซีดซี พันมูลีใส่ถงเสื้อ เมื่อใกล้จักเมือ ถงเสื้อพอโล้ง” แปลงว่าวันนั้นมีใครมานั่งอยู่ข้างๆ และสาวก็มวนบุหรี่ใส่กระเป๋าเสื้อให้ด้วย ตอนใกล้จะกลับนั้นบุหรี่ก็มากจนกระเป๋าเสื้อทะลุ
มูลีที่มวนขึ้นมานั้น จะมีทั้งมูลีอยาขื่น และมูลีอยาจาง คือบุหรี่ชนิดที่ใช้ยาฉุนและที่ใช้ยารสอ่อนตามความถนัดของผู้สูบ บ้างก็ชอบมวนขนาดย่อมเพราะสูบได้ถึงใจ แต่ก็มีบ้างที่ต้องการชอบมวนใหญ่เพราะหนักแน่นถึงใจ แต่ก็มีบ้างที่ต้องการเพิ่มรสชาติให้หอมมากขึ้นก็อาจโรย ซีโอย หรือขี้โอย (ขี้โย) ลงเป็นแนวยาวบนยาสูบแล้วจึงมวนในลักษณะของมวนโตและขนาดยาวพิเศษ พบว่าบางคนมวนมูลีขี้โอยยาวถึง ๒๐ เซนติเมตร และที่ส่วนหัวนั้นมีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง ๔ เซนติเมตรก็มี มูลีซีโอยนี้ เวลาสูบอาจมีลูกไฟตกลงมาด้วยก็ได้ กล่าวกันว่าหากพบคนที่เสื้อผ้ามีรอยไหม้เป็นรูเล็กๆ หลายๆ รู แล้วก็เป็นอันแน่ใจได้ว่าผู้นั้นเป็นนักนิยมมูลีซีโอย“แม่หญิงไปกาด” เป็นภาพกลุ่มชายหญิง ที่ข่วงนอกเมือง
ภาพให้แง่คิดทางศิลปะ วิถีการดำรงชีวิต สภาพของสังคม วัฒนธรรมการแต่งกาย และศิลปะการออกแบบลายผ้าของล้านนา
โดยศิลปินได้เขียนใบหน้า ทรงผม และผ้านุ่งแบบชาวไทลื้อ
พระพุทธองค์เสด็จดับขันธ์สู่พระปรินิพพาน บรรดาพระสาวกที่ยังไม่ได้บรรลุมรรคผล
ต่างก็มีความเศร้าโศกเสียใจอาลัยถึงพระบรมศาสดา
"หนานบัวผัน" เขียนภาพแสดงอาการเศร้าเสียใจด้วยการเขียนมุมปากหุบลง