พุทธวิธีสอนในพระไตรปิฏก (๕)
ผู้สอน : คุณสมบัติที่พึงประสงค์ ตอนที่ ๔ (๗) ญานาทิสังกิเลสาทิญาณ (ญาณหยั่งรู้เหตุที่ทำให้ญานเป็นต้นเสื่อม หรือเจริญ) อันนี้ตีความง่ายๆ ว่าได้แก่ รู้ปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้การเรียนรู้ล่าช้าหรือเจริญแล้วรู้จักแก้ไขให้หรือหนุนให้ดำเนินก้าวหน้าไปด้วยดี
นอกจากอุปสรรคที่กีดกั้น มิให้เรียนรู้ได้สำเร็จแล้ว ยังมีเงื่อนไขปัจจัยอย่างอื่นอีกด้วยที่คอยถ่วงให้ล่าช้ายิ่งขึ้น ที่ครูผู้สอนจะต้องรู้ให้หมด การแก้ไขจึงจะบรรลุผลโดยเร็ว เช่น คนที่ความจำไม่ดี ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการเรียนนั้น อาจมิใช่เพราะสมองไม่ดีหรือสมรรถนะแห่งมันสมองเสื่อม
แต่อาจเป็นเพราะจิตใจผู้เรียนไม่สงบ เพราะมีปัญหาบางอย่างเข้ามาทับถมก็ได้ เมื่อรู้ว่าเงื่อนไขปัจจัยที่เข้ามาผสมอย่างนี้แล้ว แก้ไขให้ถูกประเด็นปัญหา ผู้เรียนก็สามารถเรียนวิชาที่ต้องท่องจำได้ โดยไม่จำต้องเปลี่ยนไปเรียนวิชาอื่นที่ไม่ต้องท่องจำ เป็นต้น
เคยมีข่าวเด็กหญิงคนหนึ่ง ตอนแรกๆ ก็เรียนหนังสือดี สอบได้เกรด ๓ เกรด ๔ แทบทุกวิชา แต่ต่อมาการเรียนของเธอตกต่ำลง ชอบขาดเรียนบ่อยๆ ครูได้แต่คาดโทษบ้าง ทำโทษบ้าง ก็ไม่ดีขึ้น มีแต่ตกต่ำลง ความทรงจำก็เสื่อมลง สมาธิก็ลดน้อยลง ต่อมาครูได้ทราบข้อเท็จจริงว่า เธอต้องรับภาระเลี้ยงดูแม่ หรือยายก็จำไม่ได้ ผู้พิการ จนไม่มีเวลาทำการบ้านหรือท่องหนังสือ สมาธิในการเรียนของเธอจึงลดลง ผลการเรียนตกต่ำลง เมื่อสังคมได้ช่วยผ่อนเบาภาระเลี้ยงดูบุพการีผู้พิการของเธอบ้างแล้ว เธอก็มีสมาธิในการเรียน ผลการเรียนก็กระเตื้องขึ้นโดยลำดับ
(๘) ปุพเพนิวาสนุสสติญาณ (ญาณหยั่งรู้อดีตชาติ) ครูอย่างพระบรมศาสดาแน่นอนทรงหยั่งรู้อดีตชาติของผู้รับสอน เพราะทรงบรรลุสัพพัญญุตญาณ พระองค์จึงทรงสามารถสอนให้คนเข้าถึงธรรมได้ทุกคนที่ตัดสินพระทัยสอน แต่สำหรับครูทั่วๆ ไป ไม่ต้องเอาถึงขนาดนั้น กำลังภายในในข้อที่ ๘ ตีความง่ายๆ คือรู้พื้นเพเดิม หรือที่ภาษาการศึกษามักจะพูดว่ารู้ประสบการณ์เดิมของผู้เรียน
ประสบการณ์เดิมนี้สำคัญ ถ้าเขามีประสบการณ์หรือมีความ “เสพคุ้น” (ภาษาพระแปลว่า ทำบ่อยๆ จนชิน) ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ก็จะฝังใจอยู่ในเรื่องนั้น และทำตามนั้นโดยไม่รู้ตัวก็มี
นายเกสีคนฝึกม้า มีประสบการณ์เดิมเกี่ยวกับม้า เพราะวันๆ ขลุกอยู่แต่กับการฝึกม้า เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปพบ จะทรงสอนธรรมแก่เขา ทรงรู้ประสบการณ์เดิมของเขาจึงชวนคุยเรื่องม้า (การฝึกม้าครับ ไม่ใช่เรื่องสนามม้า หรือแข่งม้า)
ตรัสถามเขาว่ามีเทคนิคในการฝึกม้าอย่างไร
นายเกสีภูมิใจมากที่ตรัสถามเรื่องที่เขารู้ดี จึงบรรยายวิธีการฝึกม้า ๓ วิธีให้พระพุทธองค์ฟังว่า ใช้วิธีเข้มคือ กวดขันอย่างหนัก ตีได้ก็ตี เพื่อให้หลาบจำบ้าง
ใช้วิธีละมุนละไม ค่อยๆ สอน ค่อยๆ ฝึกบ้าง ใช้ทั้งสองวิธีผสมกันบ้าง แล้วแต่โอกาสเหมาะ
เมื่อถูกถามว่า ถ้าใช้ทั้งสามวิธีแล้วไม่ได้ผล จะทำอย่างไรกับม้าตัวนั้น นายเกสีกราบทูลว่า “ก็ฆ่ามันทิ้งเสีย”
พระพุทธองค์ทรงทราบประสบการณ์เดิมของนายเกสีอย่างนี้แล้ว ก็ทรงปรับวิธีการสอนให้เหมาะแก่ประสบการณ์เดิมและการเรียนรู้ของเขา ความสามารถในด้านนี้แหละครับ นับเป็นกำลังภายในขั้นที่ ๘
(๙) จุตูปปาตญาณ (ญาณหยั่งรู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย) ความหมายเดิมก็คือ มีตาทิพย์มองดูรู้เลยว่า นายคนนี้ นางคนนั้นที่มาเกิดเป็นอย่างนี้ เพราะทำกรรมอะไรไว้ ทำบาปทำบุญไว้มากน้อยเพียงไหน จะแก้ไขโดยการช่วยให้เพิ่มบุญลดบาปได้แค่ไหนเพียงใด นั่นเป็นความสามารถของพระบรมครู
อย่างเรื่องพวกศากยะพระญาติของพระองค์ ทรงรู้ด้วยตาทิพย์ว่าชาติปางก่อนเคยร่วมกันฆ่าสัตว์ตายเป็นเบือ ผลกรรมนั้นทำให้ได้รับผลสนองมาแล้วหลายร้อยชาติ ชาติสุดท้ายเศษกรรมก็จะบันดาลให้ได้รับ นั่นก็คือจะถูกพระเจ้าวิฑูฑภะเชื้อสายของพวกตนทำลายล้าง ขณะที่วิฑูฑภะยาตราทัพเข้ามาจากเขตโกศลรัฐเข้าสู่เขตศากยรัฐ
พระพุทธเจ้าเสด็จไปดัก โดยประทับใต้ต้นไม้เงาโปร่งต้นหนึ่ง วิฑูฑภะเห็นพระพุทธองค์ก็เสด็จไปนมัสการกราบทูลว่า ทำไมพระองค์ไม่เสด็จไปประทับใต้ต้นไม้ที่มีร่มเงาหนากว่า จะได้เย็นสบาย
บังเอิญว่าต้นไม้ต้นที่วิฑูฑภะชี้ไปนั้น อยู่ในเขตแดนโกศลรัฐ พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า “มหาบพิตร ร่มเงาของญาติย่อมร่มเย็นกว่า”
เพียงเท่านี้วิฑูฑภะก็ทราบทันทีว่า พระพุทธองค์เสด็จมาปกป้องพวกศากยะ ด้วยความเกรงพระทัย จึงยกทัพกลับ เพราะพระพุทธองค์ทรงมีจุตูปปาตญาณ จึงทรงทราบชะตากรรมของพวกศากยะ และทรงหาทางผ่อนปรนชั่วคราว แต่กรรมนั้นแก้ไม่ได้ ลบล้างไม่ได้ ใครทำใครได้ ในที่สุดก็ทรงปล่อยให้เป็นไปตามวิถีของมัน ไม่เสด็จไปขอร้องพระเจ้าวิฑูฑภะอีก พวกศากยะจึงถูกวิฑูฑภะยกไปทำลายล้างในที่สุด ที่หลงเหลือจากสงครามครั้งนั้นไม่มากนัก
พวกศากยะจึงหายไปจากประวัติศาสตร์มาแต่บัดนั้น
มาโผล่อีกทีเมื่อจันทร์คุปต์ มหาโจรแย่งชิงบัลลังก์กษัตริย์วงศ์นันทะเมืองปาตลีบุตร สถาปนาตนเป็นพระเจ้าจันทรคุปต์ราชวงศ์เมารยะ ซึ่งอ้างตนว่าสืบเชื้อสายมาจากพวกศากยะพระญาติวงศ์ของพระพุทธเจ้า
ที่พูดกันว่าพระเจ้าอโศกเป็นเชื้อสายศากยะก็เพราะเหตุนี้แหละครับ ก็พระเจ้าอโศกท่านเป็นหลานพระเจ้าจันทรคุปต์นี่ครับ
เมื่อผมเปรยเรื่องนี้ให้เพื่อนคนหนึ่งฟังเขาอุทานว่า “มิน่าล่ะ พระเจ้าอโศกจึงอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาอย่างแข็งขัน ขนาดประกาศพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ” เขาว่าอย่างนั้น
(๑๐) อาสวักขยญาณ (ญาณหยั่งรู้ความสิ้นอาสวะ) อาสวะก็คือกิเลส กิเลสก็คือ สิ่งที่หมักดองอยู่ในจิตสันดานเกาะติดอย่างเหนียวแน่นมากจนแกะไม่ออก
กิเลสมีมากมาย สรุปแล้วมี ๓ ลักษณะคือ อยากได้ อยากเอา อยากกอบโกยมาเพื่อตน ไม่ว่าจะโดยวิธีใดก็ตามนี้ลักษณะหนึ่ง
อยากทำลาย อยากขจัดให้มันพังพินาศฉิบหายไป ไม่ชอบหน้ามันก็สั่งลูกน้องเอาปืนไปยิงทิ้งอะไรอย่างนี้ นี้ลักษณะหนึ่ง
อีกลักษณะหนึ่งโง่เง่าไม่รู้ตามเป็นจริง เชื่อสิ่งใดเข้าใจอย่างใดก็ฝังหัวอยู่อย่างนั้น ไม่รู้ไม่รับฟังอะไรอื่น เช่น เชื่อว่าผู้นี้เป็นอัจฉริยะเป็นคนบริสุทธิ์ ขนาดเยี่ยวยังหอมอะไรทำนองนั้น
ครั้นใครพิสูจน์ให้เห็นว่า ที่แท้มันก็อลัชชีลวงโลก ก็ย่อมเปลี่ยนความเชื่อที่ฝังหัว
อาสวักขยญาณนี้เป็นกำลังกายในชั้นสูงสุดของพระพุทธองค์ด้วยเหตุผลอย่างน้อย ๒ ข้อคือ
(๑) พระองค์ทรงรู้วิธีขจัดอาสวะกิเลสให้หมดไปจากจิตใจของพระองค์ ได้กลายเป็นผู้สะอาดบริสุทธิ์ จิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์นั้น จะไม่มีความคิดที่จะได้เอามาเพื่อตน ไม่มีความคิดที่จะทำให้ผู้อื่นลำบาก ไม่มีความเชื่อหรือเข้าใจผิด ไม่มีการยึดติดในอะไรผิดๆ การกระทำอะไรทุกอย่างโดยเฉพาะทำหน้าที่เป็นผู้สอนชาวโลกก็จะทำด้วยความรักความปรารถนาดีต่อพวกเขาอย่างแท้จริง
(๒) เหนือสิ่งอื่นใด เมื่อจะทรงสอนให้เขาทำอะไร เป็นอย่างไร พระองค์ทรงทำได้อย่างนั้น เป็นอย่างนั้นมาก่อน พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ ทรงเป็นตัวอย่างที่ดีหรือทรงทำได้ตามที่สอนเขา เมื่อพระองค์มีคุณสมบัติอย่างนี้ งานการสอนคนอื่นก็ประสบสัมฤทธิผลอย่างง่ายดาย
กำลังภายในขั้นที่ ๑๐ นี้ ถ้าเป็นครูธรรมดาๆ ครูที่ยังเป็นปุถุชน (ปุถุชนแปลว่า คนมีกิเลสหนาอยู่ โลภ โกรธ หลง ยังเต็มอัตราศึกอยู่) ก็หมายเอาเพียงว่าความรู้ชัดแจ้งว่าผลสัมฤทธิ์ที่เป็นจุดหมายนั้นคืออะไร เป็นอย่างไร และตนก็สามารถทำผลสัมฤทธิ์นั้น ให้เกิดขึ้นได้จริงๆ
นึกถึงครูสังคม ทองมี สอนเด็กให้วาดภาพจนส่งเข้าประกวดระดับนานาชาติ ขณะรางวัลที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม มากมาย สร้างความอัศจรรย์แก่สังคมชนิดที่ไม่เคยมีใครคิดมาก่อน
เด็กที่ครูสังคมปลุกปั้นขึ้นมานั้น ตรงกับคำพูดที่ว่า “ปั้นดินให้เป็นดาว” จริงๆ คือเป็นเด็กบ้านนอก ที่ด้อยโอกาสทางการศึกษาจริงๆ ที่ใครๆ ประมาทว่าไม่มีสติปัญญาสู้คนในกรุงไม่ได้ แต่ครูสังคม มองเห็นศักยภาพของเด็กเหล่านี้ว่าทุกคนมีศักยภาพที่จะพัฒนาขึ้นมาเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงได้ตรงตามแนวพุทธดำรัสว่าสัตว์ทั้งโลกทั้งปวงเป็นเวไนยสัตว์ (ผู้ที่พึงฝึกฝนอบรมได้)
เมื่องมองเห็นผลสัมฤทธิ์ที่เป็นจุดหมายนี้ชัดเจน ครูสังคมจึงพยายามหาเทคนิควิธีในการปลุกปั้น หล่อหลอมเด็กๆ เหล่านี้ให้พัฒนาตนขึ้นมาจนกลายเป็นศิลปินวาดภาพที่เก่งที่สุด ส่งภาพเข้าประกวดระดับนานาชาติ ประสบชัยชนะจนได้รับรางวัลจำนวนมากมาย นี้คือตัวอย่างของครูที่มีอาสวักขยญาณ (ในความหมายสามัญ) คือ รูว่าผลสัมฤทธิ์ที่เป็นจุดหมายนั้นอยู่ที่ไหน อย่างไร และตนเองก็สามารถผลักดัน หรือกระทำผลสัมฤทธิ์นั้นให้เกิดขึ้นได้
อาจารย์สอนนักยิงธนูคนหนึ่ง เมื่อศิษย์ผู้กระหายวิชามาขอเรียนยิงธนูด้วยก็รู้ทันทีว่า ถ้ารีบสอนให้ศิษย์คนนี้ไม่มีทางเรียนสำเร็จเพราะ “อยากมาก” เกินไป
ผลสัมฤทธิ์ที่เป็นจุดหมายนั้น หาเข้าถึงได้ด้วยความกระหายวิชาไม่ จึงบอกให้ศิษย์กลับบ้าน กลับไปเอาเหาผูกเส้นไหม แล้วนั่งเพ่งทุกวัน เพ่งให้เหานั้นใหญ่ขึ้นๆ เท่ากำปั้นแล้วค่อยกลับมาหาอาจารย์ ศิษย์กลับไปเพ่งเหาจนเหาตายไปหลายสิบตัว ในที่สุดสามารถเพ่งให้เหาโตเท่ากำปั้นได้ จึงกลับไปหาอาจารย์
อาจารย์บอกให้เขากลับบ้านอีก ไปเพ่งเหาตัวเดิมให้เล็กลงเท่าเดิม และให้เพ่งตุ่มน้ำให้เล็กเท่ากำปั้น เขากลับไปทำได้ตามคำสั่ง แล้วไปหาอาจารย์ อาจารย์จึงบอกว่า บัดนี้เธอพร้อมที่จะเรียนวิชายิงธนูแล้ว จึงสอนศิษย์เพียงไม่กี่วันก็สำเร็จ
ถามว่าทำไมจึงสำเร็จเร็วนัก ตอบว่า วิชายิงธนูเป็นเรื่องของการเล็งเป้าและยิงให้ถูกเป้า ถ้าสามารถขยายเป้าได้โตแล้ว การยิงก็ไม่พลาดเป้า ยิงทีไรก็ถูกทุกที ยิ่งกว่าลี้คิมฮวง “เซียวลี้ปวยตอ” (มีดน้อยบินมิพลาดเป้า) เสียด้วยซ้ำ
แทนที่จะเสียเวลากับการสอนให้จับคันธนู ยิงธนู อาจารย์ก็ใช้เวลากับการฝึกศิษย์เพ่งกสิณจนสามารถมองอะไรใหญ่โตได้ ย่อให้เล็กได้ นี่แหละครับกำลังภายในชั้นสุดท้ายของครู ที่มา : พุทธวิธีสอนในพระไตรปิฏก (๕) ผู้สอน : คุณสมบัติที่พึงประสงค์ ตอนที่ ๔ โดย ศาสตราจารย์ (พิเศษ) เสฐียรพงษ์ วรรณปก หนังสือมติชนสุดสัปดาห์ หน้า ๖๗ ฉบับที่ ๑๙๑๖ ประจำวันที่ ๕-๑๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๐
พุทธวิธีสอนในพระไตรปิฏก (๖)
ผู้สอน : คุณสมบัติที่พึงประสงค์ ตอนที่ ๕
ข.ปฏิสัมภิทา ตามศัพท์แปลว่า ปัญญาแตกฉาน
พอได้ยินคำแปลว่า “แตกฉาน” มันทำให้เกิดภาพกระจ่างขึ้นมาทันที จะต้องเป็นความรู้ที่กระจายไปวงกว้าง
ความรู้ที่กว้างขวางดุจดินฟ้ามหาสมุทร ความรู้เล็กๆ น้อยๆ รู้งูๆ ปลาๆ ไม่นับเป็นความรู้แตกฉาน
ความรู้แตกฉานมี ๘ ประการ คือ
(๑) อรรถปฏิสัมภิทา (แตกฉานในอรรถ)
อรรถะ มีความหมาย ๒ ประการ คือ
-เนื้อความ หรือความหมายของหัวข้อธรรม หรือเรื่องราวต่างๆ เช่น พอเห็นคำปุ๊บก็รู้ความหมาย สามารถแยกแยะอธิบายได้เป็นฉากๆ ไม่ว่าจะอธิบายโดยรากศัพท์ที่ไปที่มาทางไวยากรณ์ ว่าคำคำนี้เป็นรากศัพท์มาจากธาตุอะไร ปัจจัยอะไร เป็นคำประเภทใดในทางไวยากรณ์ หรือไม่ว่าจะในด้านการตีความ อธิบายความว่า ถ้าแปลตามคำศัพท์แล้วแปลอย่างนี้ แต่ถ้าแปลเอาความหมายที่แท้จริง หมายถึงอย่างนี้ หรือไม่ว่าในแง่ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของคำว่าคำนี้ เดิมที่ใช้ในความหมายอะไร ปัจจุบันนิยมใช้ในความหมายอะไรบ้าง ฯลฯ อะไรเป็นต้นเหล่านี้ รู้หมด เรียกว่า มีความแตกฉานในอรรถ ในความหมายหนึ่ง
ขอยกตัวอย่างเมื่อเห็นคำว่า นาค คำเดียว ผู้ที่แตกฉานในอรรถก็จะบอกทันทีว่าในแง่นิรุกติศาสตร์ คำว่า นาค
-แปลว่า เหมือนภูเขา (ใหญ่ หรือมั่นคงดุจภูเขา)
-แปลว่า ไม่ไป ไม่เคลื่อนไหว หรือมั่นคง
-แปลว่า ไม่มีใครประเสริฐเท่า หรือผู้ประเสริฐ
และรู้ในแง่ที่เป็นความหมายทั่วไป คำว่า นาค แปลว่างูใหญ่ก็ได้ แปลว่าช้างก็ได้ แปลว่าผู้ประเสริฐก็ได้ (ความหมายหลังนี้คือ พระอรหันต์) โดยรู้วิธีอธิบายความหมาย หรือขยายความให้คนเข้าใจแจ่มแจ้ง เช่น สิ่งใดที่ใหญ่ๆ เรียกว่านาคได้ เพราะฉะนั้น งูใหญ่ที่สุดก็เรียกว่า นาค ช้างซึ่งเป็นสัตว์ใหญ่ที่สุดก็เรียกว่านาค สิ่งใดใหญ่มักจะมั่นคง ไม่เคลื่อนไหว ถ้าเป็นคุณสมบัติของจิต ผู้ใดมีจิตไม่หวั่นไหว มีจิตมั่นคง ผู้นั้นก็เรียกว่านาค เป็นคนประเสริฐที่สุดที่พึงหาได้
พระอรหันต์ผู้หมดกิเลสแล้วเท่านั้นจึงจะนับว่าเป็นคนมีจิตใจมั่นคงไม่หวั่นไหวจริงๆ คนอื่นนอกจากนี้จิตย่อมหวั่นไหววอกแวกได้เป็นครั้งคราวหรือบ่อยๆ เพราะเหตุนั้นคำว่า นาคจึงหมายถึงพระอรหันต์ในอีกความหมายหนึ่งได้
อย่างนี้เรียกว่า แตกฉานในการอธิบายความ จากนั้นก็อาจจะโยงให้เห็นความเป็นมาของคำในแง่ประวัติ เช่น มีนาค (งูใหญ่ที่มีฤทธิ์) ตัวหนึ่งเกิดความเลื่อมใสพระพุทธศาสนา อยากบวช จึงปลอมเป็นมนุษย์มาบวช
ครั้นต่อมาความลับถูกเปิดเผย พระพุทธองค์ตรัสห้ามสัตว์เดียรัจฉานบวช
ในธรรมเนียมการบวชพระ จึงมีคำถามผู้มาขอบวชว่า ท่านเป็นมนุษย์หรือเปล่า เพื่อให้แน่ใจว่ามิใช่สัตว์เดียรัจฉานผู้มีสัมฤทธิ์ปลอมมาบวชและรู้ประวัติสืบต่อไป
ต่อมานักปราชญ์ไทยได้แต่งเพิ่มเติมว่า นาคนั้นเสียใจมากที่ต้องออกจากพระศาสนา จึงกราบทูลขอพระพุทธเจ้าว่า ถ้าต่อไปภายหน้า ใครมาขอบวชขอให้เรียกผู้นั้นว่า “นาค” เถิด พระพุทธองค์ก็ทรงประทานอนุญาต ตั้งแต่นั้นมาผู้กำลังจะบวชเรียกชื่อว่า “นาค” กันทุกคน
อย่างนี้เรียกว่า รู้ความเป็นมาของคำว่านาคตั้งแต่ต้นจนปัจจุบัน
เล่าขานกันมานานว่า ครูที่แตกฉานจริงๆ คนหนึ่งคือ พระยาอนุมานราชธน ท่านเป็นพหูสูตรู้แทบทุกเรื่อง เวลาเข้าสอน ท่านจะสอนแบบจุดประกายความคิดแก่ศิษย์ ท่านจะถามว่า วันนี้ใครสงสัยอะไร เมื่อใครสักคนยกคำถามขึ้นมาสักคำถามหนึ่ง ท่านก็จะอธิบายเชื่อมโยงไปเรื่องต่างๆ ฟังเพลินและได้ความรู้ความเข้าใจ นี่คือตัวอย่างของผู้สอนที่แตกฉานในอรรถ
- ผล เช่น มองเห็นอะไรบางอย่างแล้วสามารถบอกได้ว่าผลจะเป็นอย่างไร ยกตัวอย่างที่จัดเจนเรื่องหนึ่งคือ มโหสถบัณฑิต สมัยยังเด็ก ในหมู่บ้านที่มโหสถอยู่ มีเหยี่ยวโฉบเอาเนื้อที่ชาวบ้านตากไว้เสมอ ชาวบ้านวิ่งไล่เหยี่ยวสะดุดตอไม้บ้าง ก้อนดินบ้าง ล้มได้รับบาดเจ็บไปตามๆ กัน และไม่สามารถไล่ทันเหยี่ยวมันด้วย
มโหสถเห็นผลที่เกิดขึ้นคือ ชาวบ้านหัวร้างข้างแตก ถูกหนามตำเท้า จึงโยงไปหาเหตุที่แท้จริงว่ามันมาจากไหน ในที่สุดก็รู้ว่า เหตุที่แท้จริงคือ ชาวบ้านไม่ได้ดูทางที่วิ่งไป มัวแต่แหงนดูเหยี่ยวบนท้องฟ้า มันก็ต้องสะดุดตอไม้ล้มเป็นธรรมดา
วันต่อมาเมื่อเหยี่ยวโฉบเอาเนื้ออีก มโหสถจึงวิ่งไล่ โดยมองตามเงาเหยี่ยวบนพื้นดิน ไม่แหงนหน้าขึ้นบนท้องฟ้า เมื่อไล่ทันเงาเหยี่ยวแล้ว ก็หยุดแหงนหน้าขึ้นตะโกนไล่ด้วยเสียงดัง เหยี่ยวตกใจ เผลอปล่อยชิ้นเนื้อลงสู่พื้นดิน ชาวบ้านก็ได้ชิ้นเนื้อคืน
เพราะการรู้ผลเชื่อมโยงไปหาเหตุของมโหสถด้วยประการฉะนี้
(๒) ธัมมปฏิสัมภิทา (แตกฉานในธรรม) โดยมีความหมาย ๒ ประการ คือ
- ธรรมะ หรือหลักการหรือคำสอนต่างๆ ก็รู้กันจนแตกฉาน ยกตัวอย่าง เช่น ครูมีหน้าที่สอนคน จะรู้ว่า ธรรมะประเภทใดควรสอนใคร เช่น เวลาให้กรรมฐานแก่ศิษย์ไปปฏิบัติก็ต้องดูว่า ศิษย์คนไหนมีราคจริตมาก คนไหนมีวิตกจริตมาก คนไหนมีศรัทธาจริตมาก ธรรมะใดหรือกรรมฐานประเภทใดควรให้แก่ศิษย์ประเภทใด อย่างนี้เป็นต้น เรียกว่าแตกฉานในธรรมเหมือนกัน
- เหตุ เช่น เมื่อเห็นเหตุแล้วสามารถพยากรณ์ผลทันที ว่าจะเกิดผลอย่างไร เช่น เห็นเด็กนักเรียนหนีโรงเรียนเที่ยวตามศูนย์การค้า ตามผับตามบาร์ ไม่สนใจเรียน ชอบคบเพื่อนเกเร ชอบยกพวกตีกัน ก็มองทะลุถึงผลเลยว่า เด็กเหล่านี้อนาคตจะเป็นอย่างไร อย่างนี้เรียกว่า ธัมมปฏิสัมภิทา (แตกฉานในเหตุ) เช่นเดียวกัน
ความแตกฉานทั้งในเหตุและผลนี้ เป็นคุณสมบัติทางปัญญาที่ครูพึงมีอย่างยิ่ง
(๓) นิรุตติปฏิสัมภิทา (แตกฉานในภาษา) มีความหมาย ๒ นัย คือ
-มีความรู้ในภาษาต่างๆ ที่จำเป็นในการค้นคว้า หรือถ่ายทอด อาทิ รู้ภาษาบาลี สันสกฤต อังกฤษ ญี่ปุ่น เป็นต้น ครูที่รู้หลายภาษาและแตกฉานด้วย เป็นครูที่เก่งคนหนึ่ง
-รู้เพียงภาษาเดียวหรือสองภาษา แต่รู้ถึงแก่น มีเทคนิควิธีในการอธิบายด้วยการใช้คำที่เหมาะเจาะแจ่มแจ้ง ทำให้ผู้เรียนเข้าใจดี
อย่างนี้เรียกว่า นิรุตติปฏิสัมภิทา เช่นกัน
(๔) ปฏิภาณปฏิสัมภิทา แตกฉานในปฏิภาณ ปฏิภาณ มี ๒ ประการ คือ พูดจาโต้ตอบได้ฉับพลัน เรียกว่าปฏิภาณ แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีก็เรียกว่า ปฏิภาณเหมือนกัน ครูจะต้องมีปฏิภาณ
ทั้ง ๒ ประการนี้ จึงจะทำให้การสอนมีประสิทธิภาพ
๑. ด้านความบริสุทธิ์
คุณธรรมสำคัญประการหนึ่งของครูผู้สอนคือ ความบริสุทธิ์ คำนี้แปลได้หลายนัย
-บริสุทธิ์ หมายถึง จิตใจผุดผ่อง ปราศจากราคะ โทสะ โมหะ หรือมีกิเลสเหล่านี้น้อย ความบริสุทธิ์ในแง่นี้หมายเอาจิตใจสะอาด จิตใจสูงส่ง
บริสุทธิ์ หมายถึง ทำได้ตามที่สอนเขา เช่น สอนเขาไม่สูบบุหรี่ ตนก็ไม่สูบบุหรี่ด้วย สอนเขาให้เสียสละ ตนก็เป็นคนเสียสละด้วย
-บริสุทธิ์ หมายถึง ไม่หวังผลประโยชน์ตอบแทนจากการสอน ไม่ใช่สอนเพราะอยากได้เงินค่าสอนมากๆ หรือสอนศิษย์คนนี้ เพราะเป็นลูกคนสำคัญ คนใหญ่คนโต ตนอาจได้อาศัยใบบุญ หรือผลประโยชน์อะไรบางอย่างได้บ้าง
ถ้าผู้สอนมีความบริสุทธิ์ ๓ ประการนี้ การสอนของเขาก็ประสบความสำเร็จ
มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับผู้สอนที่ทำไม่ได้ตามสอนหรือที่ดีแต่สอนคนอื่น “หลวงตาแพรเยื่อไม้” ผู้เป็นนักเขียนเรื่องสั้นชื่อดัง เขียนนิยายอิงธรรมะเรื่องหนึ่งยกเอาหลวงตาพระนักเทศน์เป็นตัวเอก พระนักเทศน์เอกรูปนี้มีความภูมิใจในการเทศน์ของตนมาก เนื่องจากเป็นพระมีคารมคมคาย ไปเทศน์ที่ไหนญาติโยมตามไปฟังเต็มศาลาวัดทุกคราว
คราวหนึ่ง ขณะขึ้นธรรมาสน์เทศน์ เห็นญาติโยมแน่นศาลาวัด หัวใจก็พองโตด้วยปีติที่แฟนๆ มามากหน้าหลายตา หลวงตาขึ้นเทศน์ด้วยความสุข มีความรู้สึกว่าวันนั้นเทศน์ได้ดีเป็นพิเศษ ไม่มีใครแสดงอาการว่าง่วงเหงาหาวนอนเลย ลงจากธรรมาสน์มารับกัณฑ์เทศน์ สายตาก็เหลือบไปเห็นขวานเล่มหนึ่งวางอยู่บนถาดปนกับเครื่องไทยทานอื่นๆ จึงเอ่ยถามว่า “กัณฑ์เทศน์มีขวานด้วยหรือ โยม”
โยมอาวุโสคนหนึ่งกล่าวตอบว่า “ครับ ขวานนี้คมนะครับ ถากอะไรได้ทุกอย่าง นิมนต์เอาไปใช้ในวัด แต่เสียอย่างเดียว...” โยมหยุดแค่นั้น
“เสียอย่างเดียวอะไร โยม”
“มันถากด้ามของมันไม่ได้ ครับ”
ว่าพลางยกถาดกัณฑ์เทศน์ขึ้นถวาย
หลวงตานักเทศน์นั่งรถกลับวัด ครุ่นคิดถึงคำพูดของโยมอยู่นาน “ขวานคม ถากได้สารพัด เสียอย่างเดียว มันถากด้ามของมันไม่ได้ เอ มันว่ากูหรือเปล่าหนอ)
พลันพระนักเทศน์เอกก็สะดุ้งไปทั้งตัว
ช่างด่าได้ล้ำลึกและเจ็บแสบอะไรเช่นนั้น! ที่มา : พุทธวิธีสอนในพระไตรปิฏก (๕) ผู้สอน : คุณสมบัติที่พึงประสงค์ ตอนที่ ๕ โดย ศาสตราจารย์ (พิเศษ) เสฐียรพงษ์ วรรณปก หนังสือมติชนสุดสัปดาห์ หน้า ๖๗ ฉบับที่ ๑๙๑๗ ประจำวันที่ ๑๒-๑๘ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๐
พุทธวิธีสอนในพระไตรปิฏก (๗)
ผู้สอน : คุณสมบัติที่พึงประสงค์ ตอนที่ ๖
๓.ความกรุณา
คุณธรรมด้านสุดท้ายของครู นอกจากความรู้ (ปัญญา) และความบริสุทธิ์แล้วยังมีความกรุณา ความรู้สึกสงสารและคิดช่วยเหลือศิษย์
ความสงสารเป็นเรื่องของจิตใจ ส่วนการช่วยเหลือเป็นเรื่องของกายและวาจา อันเป็นผลมาจากความสงสารคิดช่วยเหลือนั้น
บางครั้ง ศิษย์อาจเห็นว่า การช่วยเหลือของครูเป็นการซ้ำเติม หรือกลั่นแกล้งก็ได้ แท้ที่จริงแล้วอาจเป็นอุบายหนึ่งของการช่วยเหลือศิษย์โดยที่ศิษย์ไม่รู้ (ต่อเมื่อรู้ภายหลังแล้วก็อดยกย่องสรรเสริญครูไม่ได้)
ยอกตัวอย่างสักเรื่องหนึ่ง
ชายหนุ่มคนหนึ่งไปฝากตัวเป็นศิษย์เรียนวิชาฟันดาบกับอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงท่านหนึ่ง ศิษย์คนนี้ไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะเรียนอย่างจริงจัง
อาจารย์เห็นศิษย์มีความมุ่งมั่นมากก็ถาม (เพื่อให้ระบายความในใจและจะหาโอกาสเตือนสติ) ว่า “เธออยากเรียนวิชาฟันดาบมากหรือ”
“อยากเรียนมากครับ อาจารย์ ผมมุ่งมั่นมา ๔ ปีแล้ว” เมื่อเห็นอาจารย์นั่งนิ่ง ศิษย์ผู้มากไปด้วยความมุ่งมั่น ก็ถามอาจารย์ว่า”อาจารย์ครับ ถ้าผมจะตั้งอกตั้งใจฝึกอย่างจริงจัง จะใช้เวลาสักกี่มากน้อยจึงจะเรียนสำเร็จ”
“๕ ปี” อาจารย์ตอบขรึมๆ
“โอ ทำไมนานขนาดนั้น ถ้าผมจะเพิ่มความมุ่งมั่นขึ้นอีกสักสองเท่าจะใช้เวลากี่ปีครับอาจารย์” ศิษย์ถามอีก
“ถ้ามุ่งมั่นขนาดนั้นก็ต้อง ๑๐ ปี” อาจารย์ตอบเหมือนแกล้ง
เมื่อเห็นศิษย์อึ้ง ทำสีหน้าไม่ค่อยพอใจ อาจารย์จึงว่า การเรียนศิลปวิทยาอะไรก็ตาม ความมุ่งมั่นน่ะจำเป็นต้องมี แต่อย่าอยากมากจนกลายเป็นความกระวนกระวาย ไม่เช่นนั้นจะเรียนไม่สำเร็จ เอาเป็นว่าเธอเริ่มเรียนได้ตั้งแต่บัดนี้ ทำใจให้สบายๆ ทุกอย่างจะดีเอง
ว่าแล้วก็ให้ศิษย์ไปพักผ่อน ตกเย็นมาก็ใช้ศิษย์ตักน้ำใส่ตุ่ม ฝ่าฟืนสำหรับหุงต้ม เสร็จงานนั้นก็ให้ทำงานโน่นนี่เรื่อยไป วันๆ แทบไม่มีเวลาว่าง ศิษย์ก็คิดน้อยใจว่า อาจารย์ไม่เต็มใจรับตนเป็นศิษย์ รับอย่างเสียไม่ได้ รับมาแล้วก็ไม่สอนให้ ทำอย่างนี้เหมือนแกล้งกันชัดๆ แล้วเมื่อไรจะเรียนสำเร็จสักทีล่ะ
ขณะคิดน้อยใจอยู่นี้ ศิษย์กำลังฝ่าฟืนอยู่ เงื้อขวานไปคิดไป อาจารย์ย่องมาข้างหลังอย่างเงียบๆ เอาไม้เคาะหัวดังโป๊ก ศิษย์เอามือคลำหัวป้อยๆ ขณะอาจารย์หัวเราะหึหึเดินผ่านไป
วันต่อมาขณะศิษย์นั่งยองๆ ก่อไฟที่เตาจะต้มน้ำ อาจารย์ก็ย่องมาข้างหลังอย่างเงียบเชียบเช่นเดิม แพ่นกบาลศิษย์อีกโป๊ก แล้วเดินผ่านไป
เหตุการณ์สองครั้งสองคราเกิดขึ้นติดต่อกัน ศิษย์ก็เกิดความตื่นตัวขึ้นแล้วสิครับว่า อาจารย์อาจย่องมาเมื่อใดก็ได้ เวลาทำอะไร ก็มีสติอยู่ตลอดเวลาคอยสังเกตว่าอาจารย์จะแอบมาหรือเปล่า ไม่ได้ทำงานไป เหม่อลอยไปเหมือนที่แล้วๆ มา
วันหนึ่งขณะศิษย์กำลังกวาดพื้นอยู่ อาจารย์ก็ย่องๆ เข้ามาข้างหลัง คราวนี้เธอไม่เหม่อลอยเหมือนคราวก่อนแล้วครับ กำหนดอาการเคลื่อนไหวของอาจารย์ได้ คอยระวังอยู่ พออาจารย์ฟาดไม้หมายแพ่นกบาล ศิษย์ก็หลบวูบ ตีไม่ถูกครับ
อาจารย์ยิ้มพูดว่า “เออ ใช้ได้” แล้วก็เดินผ่านไป
ตั้งแต่วันนั้นมา อาจารย์ก็เริ่มสอนวิชาฟันดาบให้ ไม่ช้าศิษย์ผู้มากไปด้วยความมุ่งมั่นก็ได้สำเร็จการศึกษา ศิลปะการฟันดาบนี้เป็นตัวอย่างของความกรุณาของอาจารย์ที่มีต่อศิษย์
ครูที่มีความกรุณาต่อศิษย์ จะเป็นครูที่มี “องค์คุณของกัลยาณมิตร ๗ ประการ” ตามที่พระบรมศาสดาตรัสไว้คือ
๑.น่ารัก น่าวางใจได้อย่างสนิทสนม อยากเข้าไปหาเพื่อปรึกษาหารือ สอบถามเรื่องวิชาการและอื่นๆ
๒.น่าเคารพ เกิดความรู้สึกอบอุ่นใจที่ได้เข้าไปหา รู้สึกว่าเป็นที่พึ่งพาได้อย่างปลอดภัย
๓.น่ายกย่อง เป็นผู้ทรงภูมิปัญญา มีความสามารถในวิชาการนั้นๆ และในเรื่องอื่นๆ อย่างน่าทึ่ง เป็นความภาคภูมิใจของศิษย์ที่มีความรู้สึกว่ามีอาจารย์เก่ง
๔.รู้จักพูด คอยให้คำแนะนำ ว่ากล่าวตักเตือน เป็นที่ปรึกษาที่ดีรู้ว่าขณะใดควรพูดอย่างใด ให้คำแนะนำประเภทไหน อันนี้รวมถึงความสามารถที่จะสอนที่จะถ่ายทอดอย่างมีประสิทธิภาพด้วย
๕.อดทนต่อถ้อยคำ พร้อมที่จะรับฟังการซักถามต่างๆ ของศิษย์เสมอ ไม่เบื่อหน่าย มีวิญญาณของความเป็นครู รักการสอน การถ่ายทอดวิชาความรู้อย่างแท้จริง
๖.แถลงเรื่องลึกซึ้งได้ มีความสามารถในการอธิบายเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างลึกซึ้ง เรื่องยากๆ อธิบายให้เป็นที่เข้าใจง่ายได้ และเรื่องง่ายๆ บางครั้งก็สามารถอธิบายได้อย่างลึกซึ้งละเอียดพิสดาร
๗.ไม่ชักนำในทางเสียหาย เป็นครูที่ดีจะต้องไม่ชักจูงให้ศิษย์ไปในทางเสียหาย
อันนี้รวมถึงตัวครูมีความประพฤติเป็นแบบอย่างที่ดีงามของศิษย์ด้วย
พระบรมครู หรือครูชั้นยอด ที่เป็นแบบอย่างที่ดีงามของครูทั้งปวง คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อเวไนยสัตว์ทุกถ้วนหน้า พระมหากรุณาธิคุณของพระองค์แสดงออกให้เห็นทางพุทธกิจ ๕ ประการ ซึ่งเห็นได้ชัดว่า วันเวลาแต่ละวันของพระองค์นั้นทรงใช้เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นแทบทั้งสิ้น
พุทธกิจ ๕ ประการนั้นท่านแต่งเป็นคาถาประพันธ์ ดังนี้
ปุพฺพณฺเหร ปิณฺฑปาตญจ สายณฺเห ธมฺมเทสน์
ปโทเส ภิกฺขุโอวาทํ อพฺฒรตฺเต เทว ปญหนํ
ปจฺจูเสว คเต กาเล ภพฺพาภพฺเพ วิ โลกนํ
เช้า เสด็จออกบิณฑบาต บ่าย ทรงแสดงพระธรรมเทศนา
ค่ำ ประทานโอวาทแก่ภิกษุ กลางคืน ทรงตอบปัญหาเทวดา
จวนสว่าง ทรงตรวจดูสัตว์โลก ผู้ที่ควรและไม่ควรโปรด
รายละเอียดของพุทธกิจ ๕ ประการนั้น พระอรรถกถาอาจารย์ท่านอธิบายไว้ ท่านเจ้าคุณพระพุทธโฆษาจารย์ได้เคยนำมาถ่ายทอดอีกทีหนึ่งในหนังสือ “เทคนิคการสอนของพระพุทธเจ้า”
ผมขอถือโอกาสลอกมาลงไว้ดังนี้
๑.ปุเรภัตตกิจ พุทธกิจภาคเช้าหรือภาคก่อนอาหาร ได้แก่ ทรงตื่นพระบรรทมแต่เช้า เสด็จออกบิณฑบาต เสวยแล้วทรงแสดงธรรมโปรดประชาชนในที่นั้นๆ เสด็จกลับพระวิหาร รอให้พระสงฆ์ฉันเสร็จแล้วเสด็จเข้าคันธกุฎี
๒.ปัจฉาภัตตกิจ พุทธกิจภาคบ่ายหรือหลังอาหารระยะที่ ๑ เสด็จออกจากพระคันธกุฎี ทรงโอวาทภิกษุสงฆ์ เสร็จแล้วพระสงฆ์แยกย้ายกันไปปฏิบัติธรรมในที่ต่างๆ พระองค์เสด็จเข้าพระคันธกุฎี ทรงโอวาทภิกษุสงฆ์ เสร็จแล้วพระสงฆ์แยกย้ายกันไปปฏิบัติธรรมในที่ต่าง ๆ พระองค์เสด็จพระคันธกุฎี อาจทรงบรรทมเล็กน้อย แล้วถึงระยะที่ ๒ ทรงพิจารณาตรวจดูความเป็นไปของชาวโลก ระยะที่ ๓ ประชาชนในถิ่นนั้นมาประชุมในธรรมสภาทรงแสดงธรรมโปรด
๓.ปุริมยามกิจ พุทธกิจยามที่ ๑ (ของราตรี) หลังจากพุทธกิจภาคกลางแล้ว อาจทรงสรงสนามแล้วปลีกพระองค์อยู่เงียบๆ พักหนึ่ง จากนั้นพระภิกษุสงฆ์มาเฝ้าทูลถามปัญหาบ้าง ขอกรรมฐานบ้าง ขอให้ทรงแสดงธรรมบ้าง ทรงใช้เวลาตลอดยามแรกนี้ สนองความประสงค์ของพระสงฆ์
๔.มัชฌิมยามกิจ พุทธกิจในมัชฌิมยาม เมื่อพระสงฆ์แยกย้ายไปแล้ว ทรงใช้เวลาที่สองตอบปัญหาพวกเทพเจ้าทั้งหลายที่มาเฝ้า
๕.ปัจฉิมยามกิจ พุทธกิจในปัจฉิมยาม ทรงแบ่งเป็น ๓ ระยะ
ระยะแรก เสด็จดำเนินจงกรมเพื่อให้พระวรกายได้ผ่อนคลาย
ระยะที่ ๒ เสด็จเข้าพระคันธกุฎีทรงพระบรรทมสีหไสยาสน์อย่างมีพระสติสัมปชัญญะ
ระยะที่ ๓ เสด็จประทับนั่งพิจารณาสอดส่องเลือกสรรว่า ในวันต่อไปมีบุคคลผู้ใดที่ควรเสด็จไปโปรดโดยเฉพาะเป็นพิเศษ
เมื่อทรงกำหนดพระทัยไว้แล้ว ก็จะเสด็จไปโปรดในภาคพุทธกิจที่ ๑ คือ ปุเรภัตตกิจ ที่มา : พุทธวิธีสอนในพระไตรปิฏก (๗) ผู้สอน : คุณสมบัติที่พึงประสงค์ ตอนที่ ๖ โดย ศาสตราจารย์ (พิเศษ) เสฐียรพงษ์ วรรณปก หนังสือมติชนสุดสัปดาห์ หน้า ๖๗ ฉบับที่ ๑๙๑๘ ประจำวันที่ ๑๙-๒๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๐