.ของขลังเรียกทรัพย์ เมตตา มหานิยม
๙. เซียมซู้ หรือ เซียมซู้ซากิมจี๊ หรือ ฉางฉุเซียมซู้ หรือ
เซียมซู้ซากิมจี๊ หรือ
ฉางฉุ เรียกง่ายๆ แบบไทยๆ เราก็คือ
คางคกสามขา มีตำนานที่มาแตกออกเป็นหลายกระแส บ้างก็ว่ามาจากตำนานเซียนในลัทธิเต๋านามว่า
หลิวไห่ฉาน ท่านได้รับการยกย่องให้เป็นเซียนแห่งการให้ทาน ท่านเป็นชาวเมืองเอี้ยนซาน ในสมัยอู่ใต้ มีนามเดิมว่าหลิวเชา มีฉายาว่าไห่ฉานจื่อ อันแปลว่า คางคกทะเล ท่านรับราชการเป็นขุนนางจนเกิดความเบื่อน่ายในทางโลก จึงหันมามุ่งแนวทางพรต ออกบำเพ็ญเพียร จนได้พบกับเซียน
ฮั่นจงหลี (บางตำนานก็ว่าเป็นเซียน
ลื่อท่งปิน) หนึ่งในโป๊ยเซียน ช่วยชี้แนะมรรคาแห่งเต๋าให้หลิวไห่ฉานสามารถบรรลุมรรคผลจนสำเร็จเป็นเซียน
เซียนหลิวไห่ฉาน มีสัตว์คู่บารมีเป็นคางคกที่มีขาเพียงสามขา คางคกวิเศษตัวนี้จะคาบเหรียญไว้ในปาก เมื่อคางคกสามขากระโดดตามเซียนหลิวไห่ฉานไปที่ใด เงินทองก็ร่วงจากปากคางคกมามากมายไม่มีวันหมด
บางตำนานก็เล่าว่าหลิวไห่ฉาน มีชื่อเดิมว่า
หลิวเจ๋อ เป็นชาวเมืองกว่างหลิง ในยุคราชวงศ์โห้วเหลียง รับราชการเป็นถึงเสนาบดี ต่อมาท่านได้สนทนาธรรมกับนักพรต
เจิ้งหยางจื่อ ซึ่งนำไข่ไก่ ๑๐ ฟองมาวางเรียงซ้อนกันเป็นรูปเจดีย์ โดยมีเหรียญ ๑๐ เหรียญวางคั่นระหว่างไข่ไก่แต่ละฟอง หลิวไห่ฉานร้องเตือนว่า ระวังไข่ไก่จะร่วงแตกลงมา แต่นักพรตกลับหัวเราะแล้วบอกว่า
“ตำแหน่งที่ท่านดำรงอยู่ ต้องพึงระวังยิ่งกว่าไข่ไก่เหล่านี้เสียอีก” คำกล่าวนี้ทำให้หลิวไห่ฉานฉุกใจคิด จึงตัดสินใจลาออกจากราชการ และบวชเป็นพรต ใช้ฉายาว่า
ไห่ฉานจื่อ (คางคกทะเล) ออกเดินทางแสวงหาสัจธรรมไปทั่วแผ่นดินจนได้พบผู้วิเศษช่วยชี้แนะให้ไปบำเพ็ญเพียรที่จงหนานซาน ท่านจึงบรรลุมรรคผลได้ในที่สุด
ยามใดที่เซียนหลิวไห่ฉานแสดงธรรม ก็มักจะนำเอาปริศนาธรรมเรื่องไข่ไก่และเหรียญมาถ่ายทอด ผู้คนจึงได้เล่าขานต่อๆ กันมา จนกลายเป็นเรื่องของการให้พรร่ำรวยและบริจาคทานเงินทองไปในที่สุด
ยังมีตำนานอีกแบบหนึ่งว่า เซียมซู้คางคกสามขานั้นเป็นตัวยาอมตะ กินแล้วไม่เจ็บ ไม่ตาย รักษาโรคได้สารพัด ทำให้ผู้คนออกตามล่าหาตัวเซียมซู้มากิน บรรดาเซียมซู้ทั้งหลายจึงได้หนีจากโลกมนุษย์ไปอาศัยอยู่บนดวงจันทร์ ต่อมามีชายยากจนผู้หนึ่งนามว่า
เหล่าไฮ้ มีบุญได้พบเซียมซู้ จึงนำมาเลี้ยงดูแลอย่างดี เซียมซู้จึงทำให้เหล่าไฮ้เปลี่ยนฐานะจากคนเข็ญใจกลายเป็นเศรษฐีมีทรัพย์มหาศาล
ตำนานคางคกสามขานี้มีเยอะมาก โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับดวงจันทร์ ผู้เขียนเห็นว่าสนใจดี จึงพยายามเก็บมาเล่ามากสักหน่อย ลองมาดูตำนานต่อไปกันดีกว่า
จีนโบราณนั้นมีตำนานว่าแต่เดิมมีพระอาทิตย์ถึง ๑๐ ดวง ที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันส่องแสงมายังโลกมนุษย์ แต่แล้วพระอาทิตย์ทั้ง ๑๐ ดวงซึ่งเป็นโอรสของ
เง็กเซียนฮ่องเต้ จักรพรรดิสวรรค์กลับนึกสนุกขึ้นมา พากันมาส่องแสงพร้อมๆ กันทุกดวง ทำให้มนุษย์ สัตว์ และพืชได้รับความเดือดร้อนแสนสาหัส จากแสงอาทิตย์ที่รุมเร้าแผดเผาจนแม่น้ำแห้งขอด ผืนดินแตกระแหง สิ่งมีชีวิตถูกเผาไหม้ตายไปมากมาย
ในยามนั้น
โฮ่วอี้ เทพขมังธนูซึ่งถูกส่งตัวจากสวรรค์มาช่วยเหลือมวลมนุษย์จึงขึ้นไปบนยอดเขาคุนหลุน แล้วยิงดวงอาทิตย์ตกลงมา ๙ ดวง ช่วยโลกให้พ้นภัยร้อนได้ แต่การกระทำครั้งนี้ทำให้เทพเจ้ากริ้วอย่างมาก จึงบัญชาให้โฮ่วอี้และ
ฉางเอ๋อเทพธิดาผู้เป็นภรรยาไม่สามารถกลับขึ้นไปยังสวรรค์ได้อีก ต้องกลายเป็นมนุษย์อาศัยอยู่บนโลกตลอดไป ต่อมาโฮ่วอี้ได้รับยาวิเศษซึ่งกินแล้วจะทำให้กลับสวรรค์ได้ จากเจ้าแม่ชี
หวังหมู่ ฮองเฮาสวรรค์ที่ประทับอยู่ ณ เขาคุณหลุน แต่ทว่าเจ้าแม่ประทานยานี้ให้มาเพียงเม็ดเดียวเท่านั้น หากโฮ่วอี้กินเข้าไปเมื่อได้กลับสวรรค์ ก็ต้องจากภรรยา หากยกให้ภรรยากิน ตนเองก็ต้องอยู่บนโลกมนุษย์อย่างเดียวดาย จึงยังเก็บยานี้ไว้กระทั่งถึงคืนเพ็ญเดือน ๘
(วันไหว้พระจันทร์) ฉางเอ๋อซึ่งทนอยู่ในสภาพมนุษย์ธรรมดาไม่ได้ จึงแอบกินยาวิเศษเข้าไปทำให้ร่างกายของนางเบาและล่องลอยขึ้นไปอยู่บนดวงจันทร์ ส่วนโฮ่วอี้นั้นภายหลังถูก
เผิงหมงลูกศิษย์ของตนเองลอบทำร้ายจนตายด้วยความริษยา (บางตำนานเล่าว่าฉางเอ๋อจำใจต้องกินยาวิเศษเพื่อหลบหนีจากเผิงหมงที่มาชิงยาวิเศษ)
ตำนานทั่วไปจนเล่ากันว่าฉางเอ๋อต้องอยู่บนดวงจันทร์ด้วยความเงียบเหงา เพราะบนนั้นมีเพียงผู้เฒ่าตัดไม้และกระต่ายน้อยที่คอยตำยาเท่านั้น แต่ก็มีบางตำนานเล่าว่า เมื่อฉางเอ๋ยขึ้นไปถึงบนดวงจันทร์ ผลจากการกินยาวิเศษนอกจากทำให้ตัวเบาแล้วยังมีอาการข้างเคียงคือ เธอได้อาเจียนออกมาเป็นกระต่ายตัวหนึ่ง และคางคกสามขาอีกตัวหนึ่ง
นี่ก็คือที่มาของการมีคางคกสามขาอยู่บนดวงจันทร์และตำนานนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งในที่มาของการไหว้พระจันทร์ด้วยคือ เมื่อถึง ๑๕ ค่ำเดือน ๘ วันเทพธิดาฉางเอ๋อจะปรากฏกายออกมา ผู้คนจึงพากันสักการบูชาขอพรให้มีความงามและเยาว์วัยเช่นเดียวกับฉางเอ๋อ
อีกตำนานหนึ่ง ซึ่งก็คือเรื่องของคนตัดไม้ที่อยู่บนดวงจันทร์นั่นแหละ ชายผู้นี้มีนามว่า
อู๋กัง ชาวเมืองชีเหอ มีความใฝ่ฝันอยากเป็นเซียนจึงไปแสวงหาวิธีที่จะเป็นเซียนให้ได้ ทิ้งให้นาง
หยวนฟูผู้เป็นภรรยาอยู่อย่างเปล่าเปลี่ยว นางจึงลักลอบเป็นชู้กับ
ป๋อหลิง ซึ่งป๋อหลิงคนนี้ก็ไม่ธรรมดา เป็นถึงหลานชายของเทพ
เหยียนตี้ และมีบุตรด้วยกันถึง ๓ คนคือ
กู๋, ซู และ
เหยียน เมื่ออู๋กังกลับมาบ้านทราบความเข้า ด้วยความแค้นที่ถูกหยามจึงฆ่าป๋อหลิงชายชู้จนตายระบายแค้น แต่การกระทำของเขาทำให้เหยียนตี้กริ้วขึ้นมา จึงจับเขาไปไว้บนดวงจันทร์ และให้ทำหน้าที่โค่นต้นกุ้ย
(ต้นอบเชย) ขนาดยักษ์เป็นการชดใช้ความผิด ถ้าโค่นสำเร็จเมื่อไหร่ เมื่อนั้นจึงจะได้รับอิสรภาพ แต่อบเชยยักษ์ต้นนี้โค่นเท่าไหร่ก็ไม่ล้ม เพราะทุกครั้งที่เหวี่ยงขวานฟันลงไป เนื้อไม้เปลือกไม้ก็จะงอกใหม่มาปิดแผลเดิมอย่างรวดเร็ว อู๋กังจึงต้องตัดไม้อยู่เช่นนั้นตลอดมา
นางหยวนฟูรู้สึกสำนึกผิด จึงได้ส่งบุตรของนางขึ้นไปอยู่เป็นเพื่อน โดยเมื่อบุตรชื่อกู๋ ขึ้นไปอยู่บนดวงจันทร์ ก็กลายร่างเป็นคางคกสามขา ส่วนบุตรชื่อซูกลายร่างเป็นกระต่ายขาว ส่วนเหยียนนั้นไม่ได้มีการกล่าวถึงไว้
ตำนานเกี่ยวกับดวงจันทร์ของชาวจีนนั้นมีแตกแขนงแยกย่อยเสริมแต่งกันมากมาย ที่ผู้เขียนนำมาเล่านี้ก็คงแตกต่างจากตำนานจากแหล่งอื่นไปบ้าง ขอให้อ่านกันแบบนิทานก็แล้วกัน เพราะเรื่องเล่าแบบปากต่อปากมานานเป็นพันปีในหลากหลายท้องถิ่นนั้นย่อมเปลี่ยนแปรไปตามกาลเวลา
ขอย้อนกลับมาถึงการให้คุณของคางคกสามขา
เซียมซู้นั้นนิยมนำมาตั้งไว้ในบ้าน หน้าบ้านหรือที่เก็บเงิน เพื่อความเจริญรุ่งเรือง โชคลาภ เรียกทรัพย์สินเงินทอง โดยการจัดวางนั้นก็ควรวางให้ต้องตรงตามหลักฮวงจุ้ยด้วยจึงจะได้ผลดี กล่าวกันว่าตัวเซียมซู้นี้ไม่ถึงขึ้นเป็นของขลังศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นสิ่งเสริมฮวงจุ้ยในบ้านหรือสถานประกอบการให้มั่นคงขึ้นได้
จาก หนังสือต่วย'ตูน ฉบับพิเศษ โดย "เตียวกง"