โยงใยที่ซ่อนเร้น (The Hidden Connections) - ฟริตจอฟ คาปร้า
free essay โดย สุมาลี บุญยัง
ภาควิชาชีววิทยา
คณะวิทยาศาสตร์ ม.มหิดล
วิชา Biology 466 Interdisciplinary Approach to Biodiversity
จาก เต๋าแห่งฟิสิกส์ (The Tao of Physics) ผ่าน จุดเปลี่ยนแห่งศตวรรษ (The Turning Point) ด้วย ปัญญาอันไม่ธรรมดา (Uncommon Wisdom) และ ข่ายใยแห่งชีวิต (The Web of Life) จนมาถึง โยงใยที่ซ่อนเร้น (The Hidden Connection) กว่า 30 ปี ที่ผ่านมา ผู้เขียนหรือผู้สำเร็จด้วยการปฏิวัติทางจิตสำนึก อาจมีคำถามอยู่ในใจว่า แล้วอะไรจะเกิดขึ้นกับผู้อ่านหลังจากนี้ การรอคอยหนังสือเล่มต่อไป หรือ เป็นการเริ่มต้นของการผิบานแห่งจิตสำนึกใหม่ ของผู้ที่อ่านจบแล้ว
คำบอกเล่าดีๆจากหนังสือเล่มนี้มีมากมาย หนึ่งในนั้นที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้เห็นคุณค่าของพลังแห่งตัวตนและความสำคัญต่อความหมายของชีวิตคือ “เมื่อมองดูโลกรอบๆตัว เราจะพบว่า เราไม่ได้ถูกโยนเข้าไปในความไร้ระเบียบอย่างสะเปะสะปะ แต่เราเป็นส่วนหนึ่งของระเบียบอันยิ่งใหญ่ เป็นเพลงซิมโฟนีของชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ทุกๆโมเลกุลของร่างกายเรา ครั้งหนึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายอื่นๆ ที่มีมาก่อนหน้านี้ ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต และจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายอื่นๆในอนาคตต่อไป ในแง่นี้ร่างกายของเราจะไม่ตาย แต่จะมีชีวิตต่อไป ครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งนี้เพราะว่าชีวิตจะดำรงอยู่ต่อไป...เราเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล เราอยู่กับจักรวาลเช่นเดียวกับอยู่บ้าน ความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งนี้ทำให้ชีวิตของเรามีความหมายอันลึกซึ้ง” การรู้สึกถึงว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล มันมีความหมายมากมายเกินกว่า แค่การที่เราเป็นเพียงส่วนหนึ่งในนั้น แต่มันคือการเป็นเจ้าของร่วมกันกับสรรพสิ่งบนโลก ที่ต้องที่มีพันธะผูกพันมาพร้อมกับหน้าที่อันสำคัญที่ต้องร่วมรับผิดชอบ ทั้งผลประโยชน์ที่ได้รับอย่างมากมาย และความผิดบาปจากการกระทำต่อโลกและอนาคตอันยั่งยืนของมนุษย์ชาติด้วยกัน
การขยายกรอบโครงทางความคิด ความเข้าใจใหม่ ที่เชื่อมโยงมิติทางชีวภาพ การรับรู้-เรียนรู้ที่ผุดบังเกิดมาจากทฤษฏีแห่งความซับซ้อนไปสู่ขอบเขตมิติทางสังคมซึ่งเกี่ยวโยงกับชีวิตเป็นสำคัญกรอบโครงนี้ช่วยให้เรานำวิธีการเชิงระบบมาใช้กับประเด็นต่างๆ ที่เป็นวิกฤตการณ์แห่งยุคสมัยโลกาภิวัตน์นี้ได้ การวิเคราะห์ระบบชีวิตด้วยมุมมองทั้งสี่ที่เชื่อมโยงกันอยู่คือ รูปแบบ วัตถุ กระบวนการและความหมาย จะสามารถทำให้เรานำความเข้าใจที่เป็นเอกภาพในเรื่องระบบชีวิตมาประยุกต์ใช้กับปรากฏการณ์ในมณฑลทางวัตถุแห่งมิติทางสังคมได้ ดังนั้นเมื่อใดที่วิธีการมองสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตในมณฑลทางสังคม ด้วยแนวความคิดเชิงระบบที่ได้รับการใส่ใจยอมรับจากนักวิทยาศาสตร์ วิศวกร ผู้นำทางการเมือง ธุรกิจ และบุคคลทั่วไป เราจะสามารถจินตนาการได้ถึงอนาคตของโลกาภิวัตน์ชนิดที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงจากปัจจุบัน ทุกอย่างจะเริ่มต้นจากความปรารถนาที่จะเรียนรู้จากธรรมชาติมากกว่าที่จะพยายามควบคุมธรรมชาติ ใช้ธรรมชาติเป็นครูสอนมากกว่าที่จะเป็นเพียงแหล่งของวัตถุดิบ และแทนที่จะปฏิบัติต่อโยงใยแห่งชีวิตว่าเป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่มีอยู่แต่ไม่ลึกซึ้งในความหมาย เราก็จะเข้าสัมผัสได้ถึงความเคารพของสิ่งนี้ในฐานะที่เป็นบริบทแห่งการดำรงอยู่ของเรา
สิ่งที่ท้าทายอันสำคัญของศตวรรษนี้ คือการสร้างชุมชนต่างๆ ที่ยั่งยืนทางระบบนิเวศ การออกแบบในหนทางที่เทคโนโลยีและสถาบันทางสังคม โครงสร้างทางวัตถุและโครงสร้างทางสังคม จะไม่แทรกแซงความสามารถในตัวของธรรมชาติเองที่จะค้ำจุนชีวิต หลักการต่างๆของการออกแบบสถาบันในอนาคตของเรา จะต้องสอดคล้องกับหลักการต่างๆ อันเกี่ยวกับการจัดองค์กร ที่ธรรมชาติได้วิวัฒนาการขึ้นมาเพื่อค้ำจุนข่ายใยชีวิต ซึ่งในปัจจุบันก็ยังมีบางส่วนแห่งความหวังใหม่ ที่ไม่ได้ทำให้จินตนาการแห่งโลกใหม่มีแต่ด้านลบของอนาคตต่อความยั่งยืนเท่านั้น ด้วยผลงานของการรวมกลุ่มอุตสาหกรรมเชิงระบบนิเวศ เช่น องค์กรการวิจัยและริเริ่มเพื่อลดของเสียขับออกให้เท่ากับศูนย์ (ZERI) ที่ก่อตั้งโดยผู้ประกอบการธุรกิจชื่อกุนเตอร์ พอลี (Gunter Pauli) ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1990 หรือการออกแบบนวัตกรรมเชิงระบบนิเวศที่น่าประทับใจเช่น การออกแบบอาคารประหยัดพลังงาน การปรับปรุงความสามารถในการเป็นฉนวนความร้อนและการควบคุมอุณหภูมิจาก “หน้าต่างซูเปอร์” (superwindows) การสร้างเมืองนิเวศ (ecocity) การออกแบบพื้นที่ชุมชนที่เรียกว่า “หมู่บ้านใจการเมือง” (urban villages) การสร้างรถยนต์ประหยัดพลังงานและวัตถุดิบการผลิตที่เรียกว่า “ไฮเปอร์คาร์” (hypercars) หรือการมีนโยบายเชิงสนับสนุนโครงการออกแบบเชิงนิเวศ ด้วยการเปลี่ยนแปลงการจัดเก็บภาษี ที่รู้จักกันในชื่อ “การย้ายภาระภาษี” (tax shifting) และนอกจากนี้ด้วยค่านิยมในปัจจุบันของคนบางกลุ่มที่ยึดในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และความยั่งยืนของระบบนิเวศน์ โครงการแนวร่วมซีแอตเทิลขององค์กรพัฒนาเอกชนและประชาสังคมแบบใหม่จึงได้ผุดบังเกิดขึ้น อาทิเช่น Oxfam, Greenpeace, Third world Network เป็นต้น ด้วยจุดมุ่งหมายหลักที่ต้องการให้เกิดการกระจายอำนาจของสถาบันระดับโลกต่างๆไปยังองค์การในระบบที่หลากหลายทั้งส่วนภูมิภาคและระดับนานาชาติ สิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นกำลังและเป็นการสร้างมิติแห่งความหมาย ให้แก่โลกที่เรายืนอยู่นี้ได้มากมายนัก
ด้วย “ความสมเหตุสมผล” ภาพแห่งความหวังที่ว่ามนุษยชาติน่าจะ “เป็นไปได้ที่จะมีโลกอีกแบบ” (Another World Is Possible) และตามถ้อยคำของวาคลาฟ ฮาเวล ผู้เป็นรัฐบุรุษที่ยิ่งใหญ่ของชาวเชค ที่กล่าวโดยย่อว่า “การมีความหวังหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นกับสาระสำคัญของวิธีการสังเกตโลกหรือประเมินสถานการณ์ใดๆ ไม่ใช่ความเชื่อว่าเรื่องราวจะจบลงด้วยดี แต่เป็นความมั่นใจว่า บางสิ่งบางอย่างดูเข้าที่มีเหตุผล ทั้งนี้ไม่ว่าผลจะออกมาเช่นใดก็ตาม”…ในความรู้สึกแล้ว... มันชั่งเป็นความหวังที่ดูเรียบง่ายและสบายใจ อีกทั้งยังเป็นเหมือนการเริ่มต้นแห่งความตั้งใจ ที่จะสร้างให้เกิดภาพของการปฏิวัติจิตสำนึกให้ประทับอยู่ในใจ ให้ได้อย่างสมบูรณ์แบบจริงๆในสักวันหนึ่ง