[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 มีนาคม 2567 21:12:00 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สัตว์ปีศาจ แห่งพนาไพรญี่ปุ่น  (อ่าน 8808 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2304


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 02 พฤศจิกายน 2557 17:59:44 »

.


บาคุ สมเสร็จจอมเขมือบฝัน.

สัตว์ปีศาจ แห่งพนาไพรญี่ปุ่น

เมื่อดวงตะวันลาลับดับแสง ความมืดเข้าครอบคลุม ผู้ใดที่เดินย่ำอยู่ในพนาไพรจงรีบเร่งกลับเข้าเรือน เวลาของโลกมืดได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว สิ่งมีชีวิตอีกฟากฝั่งกำลังเปิดประตูข้ามก้าวผ่านมายังโลกมนุษย์

คำเตือนในสมัยโบราณสำหรับผู้ที่เข้าป่าล่าสัตว์ ให้พึงระวังสิ่งเร้นลับที่อาศัยแฝงกายในพนาไพรยามกลางวัน และออกมาปรากฏกายยามค่ำคืนไว้ให้ดี เพราะในป่าน้อยใหญ่มักมีปีศาจอาศัยอยู่ และประเทศที่มีตำนานเรื่องเล่าของภูตผีมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นประเทศญี่ปุ่นนั่นเอง

บาคุ (Baku) สมเสร็จจอมเขมือบฝัน
เด็กๆ ชาวญี่ปุ่นที่ต้องเผชิญกับฝันร้ายสุดพรั่นพรึง เมื่อสะดุ้งตื่นขึ้นก็เกิดความหวาดกลัวจนเก็บอาการไว้ไม่ไหวต้องแสดงออกมาด้วยท่าทางที่สั่นเทา ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี ได้แค่เพียงนอนกอดหมอน และส่งเสียงกระซิบวิงวอนขอร้องว่า “คุณบาคุได้โปรดมากินฝันร้ายของหนูที” เช่นนี้ 3 ครั้งติดต่อกัน หากคำขอสัมฤทธิผล บาคุจะปรากฏกายขึ้นในห้องนอนของหนูน้อยคนนั้น และกัดกินฝันร้ายของเธอจนหมดสิ้น

แต่ทว่า...บาคุมักกินอย่างตะกละตะกลาม เพราะนอกจากฝันร้ายเพียงอย่างเดียว ไม่ทำให้มันอิ่มท้องได้เพียงพอแล้วล่ะก็ มันจะหันไปกินทั้งฝันดี ความหวังของชีวิต และความมุ่งมั่นตั้งใจไปจนหมด กลายเป็นคนที่สูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง

เจ้าบาคุคือตัวอะไรกันแน่ : บาคุ เป็นสัตว์ที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของสัตว์หลายชนิด อันประกอบไปด้วย หมี ช้าง เสือ วัว และแรด โดยมันมีลักษณะลำตัวคล้ายหมี มีจมูกเป็นงวงช้าง มีเท้าคล้ายเท้าเสือ ส่วนหางเป็นหางวัว และมีดวงตาคล้ายตาแรด

จากตำนานโบราณได้กล่าวว่า เมื่อพระเจ้าทรงสร้างสัตว์ทุกชนิดเสร็จสิ้นแล้ว พระองค์ทรงรวบรวมเอาอวัยวะต่างๆ ที่เป็นจุดเด่นและเป็นสิ่งที่ได้เปรียบของสัตว์แต่ละชนิดมารวมกัน และสร้างออกมาเป็นบาคุตัวนี้เอง แต่ก็มีเรื่องเล่าที่แตกต่างกันออกไปโดยกล่าวอ้างว่า บาคุตัวนี้น่าจะเป็นสัตว์ปีศาจที่เคยถูกจารึกในตำนานจีน

มีเรื่องเล่าว่าในสมัยราชวงศ์ถังมีการนำเอาภาพวาดของบาคุไว้ที่หัวนอน เพื่อเป็นการปกป้องคุ้มครองยามหลับ นอกจากนี้ถ้าหากใช้ผ้าห่มที่ทำจากหนังของบาคุจะช่วยรักษาอาการเจ็บป่วย และรอดพ้นจากความอาฆาตพยาบาทจากแรงแค้นของวิญญาณชั่วร้ายทั้งหลาย จึงส่งผลทำให้เจ้าสมเสร็จบาคุกลายเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ประจำราชวงศ์

ความเชื่ออันเกี่ยวเนื่องกับภาพวาดนี้ ญี่ปุ่นเองก็นำมาใช้ในช่วงสมัยมุโรมาชิ นิยมวาดรูปบาคุไว้บนเตียงที่จัดตั้งศพผู้ตาย โดยให้ทำหน้าที่เป็นยันต์คุ้มกันดวงวิญญาณ ต่อมาในสมัยเอโดะ มีการขยายความเชื่อนี้ นั่นก็คือ มีการขายหมอนที่มีรูปบาคุ พวกเขาเชื่อกันว่ามันสามารถช่วยป้องกันฝันร้ายได้


คาชา (Kasha) ม้านรกชิงวิญญาณ.

คาชา (Kasha) ม้านรกชิงวิญญาณ [/b]
จากบันทึกโบราณได้เขียนถึงรูปพรรณของคาชาไว้แตกต่างกันออกไป ว่ามีรูปลักษณ์เป็นสัตว์ประหลาดที่อาศัยอยู่ในนรก เช่นเดียวกับพวกยักษ์และอสูร ปรากฏกายในงานจิตรกรรมสมัยคามาคุระ เป็นภาพสัตว์ที่ขึ้นมาจากนรก คอยฉุดรั้งดวงวิญญาณให้ดิ่งลงต่ำสู่อบายภูมิ ทำให้ได้รับทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส

คาชา มักปรากฏขึ้นเมื่อมีการจัดงานศพ หรือช่วงเวลาที่กำลังเคลื่อนย้ายศพ เมื่อใดก็ตามที่บังเกิดฟ้าผ่าฟาดลงยังพื้นพสุธา คาชาจะปรากฏกายขึ้นพร้อมลูกไฟที่รายล้อมร่าง แต่ในบางครั้งมันก็อาจมาในรูปแบบอื่นๆ เช่น กลุ่มก้อนเมฆที่มืดมิด พร้อมกับลมพายุที่กระโชก เพื่อใช้ลมนี้หอบเอาศพขึ้นสู่ท้องฟ้าที่มืดทะมึนแล้วหายไป

เนื่องจากคาชาถูกเรียกว่าสัตว์ประหลาด การบอกเล่ารูปลักษณ์จึงมีลักษณะที่แตกต่างกันไป แล้วแต่จิตรกรจะสร้างสรรค์ขึ้น ส่วนมากพบว่าถูกวาดออกมาในรูปแบบของสัตว์สี่เท้า อย่างม้า กระทิง หรือแม้กระทั่งแมว

ในอีกมุมหนึ่งก็มีเรื่องเล่ากันว่า เมื่อนักบุญนามว่า เนะโย ได้พบกับคาชา มันมาตามตัวท่านไปพิพากษาในนรก ท่านได้อ้อนวอนขอร้องว่า ขอเวลามีชีวิตอยู่อีก 1 ปี เพื่อศึกษาพระธรรม ซึ่งก็ได้ตามที่ขอร้อง มันปล่อยตัวท่านและให้ใช้ชีวิตได้อีก 1 ปี

เจ้าม้านรกตัวนี้มีอิทธิพลทางศาสนาอย่างมาก เพราะบางครั้งก็ถูกยกย่องให้เป็นตัวแทนจากนรก ที่ทำหน้าที่ตัดสินว่าดวงวิญญาณและร่างกาย ที่กลายเป็นซากศพนี้เป็นของคนคนเดียวกันหรือไม่ จนกลายเป็นความเชื่อที่ว่าการพิพากษาหลังความตาย ที่จะนำไปสู่การ ตัดสินโทษของผู้ตาย อีกทั้งยังมีหน้าที่อันโหดร้าย คือ การฉุดลากวิญญาณลงสู่อบายภูมิ แต่ดวงวิญญาณก็จะได้รับการช่วยเหลือจากพุทธองค์ จึงเป็นนัยที่คนโบราณต้องการจะสื่อให้คนเป็นที่ยังมีชีวิตอยู่ดำรงตนไปตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา เพื่อที่จะหลุดพ้นจากขุมนรก และจะได้ไม่ต้อง เผชิญหน้ากับสัตว์นรกอย่างคาชา


ซึชิกุโมะ แมงมุมยักษ์สุดโหด.

ซึชิกุโมะ (Tsu-chigumo) แมงมุมยักษ์สุดโหด
คำว่า ซึชิกุโมะ แปลตามตัวอักษรญี่ปุ่นมีความหมายว่า “แมงมุมโสโครก” เจ้าซึชิกุโมะนี้มีใบหน้าคล้ายยักษ์ บ้างก็ว่ามีหัวคล้ายเสือโคร่ง มีแขนขาใหญ่ยักษ์ครบทั้งแปดขาเยี่ยงแมงมุม มัน สวมใส่ชุดยูคาตะขนาดใหญ่ น่าแปลกมากว่ามันใส่ได้อย่างไร เป็นประเด็นที่น่าสงสัยว่า มันเป็นพวกยักษ์แปลงกายมา หรือแมงมุมยักษ์ที่จำศีลจนตบะแก่กล้ากันแน่ พวกมันอาศัยอยู่ในภูเขาลึก มักดักจับนักเดินทางกินเป็นอาหาร

เรื่องราวของมันชัดเจนขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 14 เรื่องเล่านี้ถูกแบ่งออกเป็น 2 เรื่อง เรื่องแรกเจ้าแมงมุมปรากฏกายขึ้นกลางเมืองหลวง เนื้อหาใจความว่า ในช่วงสมัยเฮอัน ท่านโชกุนมินาโมโตะ โยริมิซึ ป่วยหนักรักษาอย่างไรก็ไม่หายดีเสียที ขนาดทำพิธีปัดรังควานก็ไม่หาย กลางดึกคืนหนึ่งเกิดปรากฏมีพระสงฆ์รูปร่างสูงใหญ่รูปหนึ่ง ปรากฏกายขึ้นในห้องนอนของท่าน พระรูปนั้นเดินตรงเข้ามาหาท่านโยริมิซึพร้อมปล่อยใยแมงมุมใส่ทันที

ท่านตกใจสะดุ้งตื่นขึ้นจึงฉวยดาบขึ้นฟัน ผู้ดูแลได้ยินเสียงดังจึงรีบรุดเข้ามาดู พบรอยเลือดหยดเป็นทางยาว จึงได้เกณฑ์ข้ารับใช้ออกเดินทาง ตามรอยเลือดนั้นไปถึงเนินดินที่คาดกันว่าเป็นรังของมัน ทั้งหมดลงมือขุดดิน พลันมีแมงมุมตัวใหญ่ยักษ์โผล่ขึ้นพ่นใยออกมาหมายทำร้าย แต่ทุกคนได้ช่วยกันฟันแทง จนในที่สุดมันก็ตาย และท่านโชกุนก็หายเป็นปกติ

เรื่องที่สองมีอยู่ว่า ท่านโชกุนโยริมิซึได้นำกำลังกองทหารเดินทางเข้าป่า เพื่อลาดตระเวนแถบภูเขาทางทิศเหนือในจังหวัดเกียวโตในปัจจุบัน ท่านและกองกำลังได้พบกับหัวกะโหลกบินได้นับร้อยหัว บินหายไปในป่า ท่านรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง จึงได้เร่งฝีเท้าติดตามไป ทำให้ท่านได้พบกับดวงวิญญาณที่มีสีหน้าทุกข์ทรมานนับร้อยนับพันที่เนินดิน ตอนนั้นใกล้พลบค่ำ ท่านจึงตัดสินใจเดินทางกลับไปยังที่พัก และกลับมาใหม่ในเวลาเช้าตรู่

เมื่อท่านเดินทางมาพร้อมกองทหาร กลับพบเจอกับหญิงสาวหน้าตางดงามสุดจะพรรณนา นางใช้ทุกวิถีทางล่อลวงและบ่ายเบี่ยงความสนใจของท่านโชกุนจากเรื่องหัวกะโหลกบิน ท่านโยริมิซึมิได้หลงเชื่อเล่ห์กลใดๆ ท่านใช้ดาบฟันเข้าที่ชุดของเธอ เธอหายวับไปในทันที ทิ้งไว้เพียงรอยเลือดสีขาว

ท่านโชกุนได้ระดมกำลังพลออกตามรอยเลือดนั้นไปจนมาถึงถ้ำขนาดใหญ่ภายในหุบเขาลึก ที่นั่นมีแมงมุมยักษ์ตัวใหญ่มหึมาที่เป็นร่างอันแท้จริงของนางปีศาจ จึงได้บังเกิดเป็นสงครามขนาดย่อมของมนุษย์และปีศาจ ท่านโชกุนได้ตัดหัวปีศาจแมงมุมจนขาดกระเด็นทำให้พบหัวกะโหลกมนุษย์ที่มันจับกินไปถึง 1,990 หัว

เมื่อจ้วงแทงเข้าที่สีข้างก็มีลูกๆของมันร่วงกราวลงพื้นอีกเป็นจำนวนมาก พร้อมทั้งหัวกะโหลกมนุษย์อีก 20 หัว เจ้าแมงมุมตัวนี้กินคนมามากกว่า 2,000 คน ทำให้ดวงวิญญาณของคนตายไม่อาจไปสู่สุคติ จึงวิงวอนขอความช่วยเหลือจากผู้คนที่ผ่านมาพบ และก็สำเร็จที่พวกเขาได้รับการปลดปล่อยโดยท่านมินาโมโตะ โยริมิซึ


จาโกซึบาบ่า นางปีศาจโครงกระดูกงู.

จาโกซึบาบ่า (Jakotsubaba) นางปีศาจโครงกระดูกงูดึกดำบรรพ์

เรื่องของหญิงชราลึกลับที่มีงูพันร่างกาย กล่าวว่ามีต้นตอที่มาจากทางตอนเหนือของประเทศจีน มือขวาของนางถืองูสีฟ้าขนาดใหญ่ และมือซ้ายมีงูสีแดงอีกตัว บ้างก็ว่านางมีงูมากถึง 5 ตัว เล่ากันสืบมาว่า นางเป็นเมียของจาโกเอมอน พญางูยักษ์ 5 หัว

เหตุใดถึงเรียกกันว่า ปีศาจโครงกระดูก เพราะบางตำนานนางถือโครง กระดูกงูยักษ์ไว้แทนการถืองูสีฟ้าและสีแดง ถึงกระนั้นก็ไม่มีคำอธิบายที่แน่ชัด แต่คาดการณ์กันว่าคงมีตัวตนมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว

นางทำหน้าที่เฝ้าสุสานประจำตระกูล ถ้าใครหลงป่าอาจจะพบเจอกับหลุมฝังศพที่มีตราสัญลักษณ์รูปงูและหญิงชรา ชื่อของนางเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ ตามแต่ภาษาท้องถิ่น สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครรู้ถึงที่มาอันแท้จริง เพราะไม่มีจารึกภาพวาดที่ชัดเจนใดๆ ปรากฏทั้งในประเทศจีนและญี่ปุ่นเลย แต่ก็มีการตั้งสันนิษฐานว่าอาจจะเป็นตำนานเรื่องเล่าของชาวจีน ที่ถูกนำมาวาดต่อเติมดัดแปลงให้เนื้อเรื่องดูลึกลับและน่ากลัวมากยิ่งขึ้น

ฉะนั้นถ้าเกิดเดินหลงป่าโดยเฉพาะป่าที่ประเทศญี่ปุ่น จงระวังกันไว้เพราะปีศาจเหล่านี้อาจจะยังหลงเหลือ เพื่อรอคอยอาหารอันโอชะของมันอยู่ก็เป็นได้


โดย : Agari
ทีมงาน นิตยสาร ต่วย'ตูน

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.372 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 27 มีนาคม 2567 01:02:45