[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 มีนาคม 2567 22:56:42 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: มีดไม่ลับก็ไร้คม สมองไม่อบรมก็ไร้ปัญญา  (อ่าน 2921 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5392


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 9.0 MS Internet Explorer 9.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 26 มกราคม 2558 12:41:26 »

.




มีดไม่ลับก็ไร้คม สมองไม่อบรมก็ไร้ปัญญา
ตอน นักโทษประหาร
ผลงานประพันธ์ของ แสง  จันทร์งาม

เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๘ เรา ๓ คน คือ อาจารย์บุพพัณห์ นิมมานเหมินท์ นายกยุวพุทธิกสมาคมเชียงใหม่ ร.อ.เสาร์ สุวิทยาลังการ อนุศาสนาจารย์ประจำค่ายกาวิละและกรรมการยุวพุทธิกสมาคม และข้าพเจ้าได้รับเชิญจากคุณเชาวน์ เจริญพงษ์ ผู้บัญชาการเรือนจำกลางจังหวัดเชียงใหม่ ให้ไปทำการอภิปรายปัญหาข้อข้องใจต่างๆ แก่นักโทษซึ่งมีจำนวน ๙๐๐ คนเศษในเรือนจำนั้น วิธีการอภิปรายของเราเป็นแบบให้นักโทษถามปัญหาแล้วเราช่วยกันตอบ ปรากฏว่านักโทษสนใจถามปัญหากันมาก ปัญหาที่ถามก็มีทุกชนิดแต่เมื่อประมวลดูแล้ว มีเกี่ยวกับเรื่องไสยศาสตร์ เรื่องผี เรื่องกรรม และเรื่องวิปัสสนาเป็นส่วนมาก เราอภิปรายได้เพียง ๔-๕ ปัญหาก็ต้องยุติด้วยเวลา ท่ามกลางความเสียดายของบรรดาผู้ต้องขังทั้งหลาย

ท่านผู้บัญชาการเรือนจำได้เล่าให้เราฟังว่า นักโทษที่อยู่ในเรือนจำนั้น ต้องโทษตั้งแต่ ๑๐ ปีลงมา ถ้ามีนักโทษเกิน ๑๐ ปี ก็ส่งไปกรุงเทพ ฯ ความผิดส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับทรัพย์ ทางการเรือนจำให้อาหารและเสื้อผ้าแก่นักโทษ และมีระเบียบบังคับให้กิน นอน ทำงาน เล่นตามเวลา ภายในเรือนจำมีห้องสมุด มีการเปิดสอนวิชาชั้นประถมศึกษา มัธยมศึกษาและธรรมศึกษาให้แก่นักโทษที่สนใจสมัครเรียน นับว่าทางเรือนจำได้เอาใจใส่ต่อสวัสดิการและการบริการแก่ผู้ต้องขังเป็นอย่างดี ทำให้ผู้ต้องขังมีความสะดวกสบายตามสมควรแก่อัตภาพ

แต่แม้จะมีความสบายกาย นักโทษทุกคนก็หาได้ลืมไม่ว่าตนเป็นผู้ต้องขัง ไร้อิสรภาพซึ่งเป็นยอดปรารถนาของทุกคน ข้าพเจ้าสังเกตเห็นผู้ต้องขังทั้งนั้นมีหน้าตาหม่นหมอง ไร้ราศีขาดแววแห่งความสุขสดชื่น แม้จะยิ้มด้วยความพอใจต่อวาทะของผู้อภิปรายบางท่าน ก็เป็นการยิ้มแหยๆ เฉพาะที่มุมปาก ไม่ใช่การยิ้มอย่างเบิกบานทั่วใบหน้า ทุกคนปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะออกไปให้พ้นจากเนื้อที่ ๒ ไร่เศษแวดล้อมด้วยกำแพงสูงทั้ง ๔ ด้านนั้น อยากออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ภายนอกกำแพงคุก อยากออกไปชมต้นข้าวอันเขียวชอุ่มในทุ่งนาอันกว้างขวางสุดสายตา อยากออกไปดำผุดดำว่ายกระแสธารแห่งอิสรภาพ ซึ่งกำแพงทั้ง ๔ ด้านกั้นไว้ เฉพาะอย่างยิ่ง อยากออกไปสู่อ้อมกอดอันอบอุ่นของภรรยาและบุตร ซึ่งตั้งตาคอยอยู่ทางบ้าน.

เมื่อได้เห็นสภาพของนักโทษแล้ว ข้าพเจ้าเกิดความสงสารอย่างจับใจ สงสารเห็นใจเพื่อนมนุษย์ที่กำลังได้รับความทุกข์ ข้าพเจ้าได้ปรารภกับอาจารย์บุพพัณห์ว่า ถ้าเป็นไปได้เราควรหาทางเข้ามาทำธรรมสงเคราะห์แก่นักโทษเหล่านี้เป็นการประจำ เพราะเขาเหล่านี้เป็นคนป่วยที่กำลังต้องการยาอย่างแท้จริง การเผยแผ่ธรรมในเรือนจำเป็นการยิงลูกศรถูกเป้าหมาย เพราะการเผยแผ่มีจุดประสงค์สำคัญ ทำคนชั่วให้เป็นคนดี เรือนจำอาจถือได้ว่าเป็นที่อยู่ของคนชั่ว ถ้าเราสามารถกลับจิตกลับใจเขาได้แม้เพียง ๔-๕ คน ก็จะเป็นมหากุศลและเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติศาสนาอย่างมาก เราไปเทศน์ไปแสดงปาฐกถาที่อื่นแต่เป็นคนดีๆ มาฟังทั้งนั้น คนเหล่านั้นแม้จะไม่ได้ฟังเทศน์เลย เขาก็จะไม่ทำชั่ว เป็นการวางยาแก่คนไม่ป่วย อาจารย์บุพพัณห์เห็นด้วยและจะติดต่อกับผู้บัญชาการเรือนจำเพื่อดำเนินการต่อไป

ตั้งแต่วันนั้นมา ข้าพเจ้าก็เกิดความสนใจในคนประเภทที่เรียกกันว่านักโทษและเรือนจำ วันหนึ่งเมื่อมีโอกาสจึงได้ไปเยี่ยมเรือนจำมหันตโทษอีกแห่งหนึ่ง และได้พบเห็นสิ่งประหลาดมหัศจรรย์น่าสนใจเหลือล้ำ ยิ่งกว่าที่พบเห็นมาแล้วในเรือนจำกลางเชียงใหม่ ข้าพเจ้าแทบไม่เชื่อว่าสิ่งที่ได้พบเห็นในเรือนจำนั้นเป็นความจริง แต่ข้าพเจ้าก็ขอยืนยันกับท่านผู้อ่านว่า มันเป็นความจริง จริงๆ เพราะเหตุผลบางประการ ข้าพเจ้าจะยังไม่บอกท่านว่าเรือนจำนั้นอยู่ที่ไหน?

               สิ่งที่ประทับใจข้าพเจ้าก็คือความกว้างใหญ่ไพศาล
               ของเรือนจำนั้นมันกว้างใหญ่จริงๆ จนมองไม่เห็นกำแพง
               ที่ล้อมอยู่โดยรอบ  และจำนวนนักโทษที่ถูกคุมขัง
               อยู่ภายในเรือนจำนั้น ก็มากมายเหลือคณนา
               ประกอบด้วยคนทุกชาติชั้นวรรณะ เจ้าหน้าที่เรือนจำ
               และผู้คุมก็มีจำนวนมากมายพอๆ กับจำนวนนักโทษ
               ข้าพเจ้าคิดอยู่ในใจว่า มันน่าจะเป็นมหานครแห่งหนึ่ง
               มากกว่าจะเป็นเรือนจำ.

ท่านผู้บัญชาการเรือนจำ ซึ่งเป็นชายผิวคล้ำ ร่างใหญ่ อายุประมาณ ๕๐ ปี ได้อธิบายให้ข้าพเจ้าฟังว่า “นักโทษทุกคนในเรือนจำนี้ ล้วนแต่ต้องคดีอุกฉกรรจ์ที่ต้องประหารชีวิตทั้งสิ้น.”

ข้าพเจ้าถึงกับสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ทราบข้อเท็จจริงอันนี้ พยายามระงับใจให้เป็นปกติ แล้วก็เรียนถามท่านผู้บัญชาการฯ ว่า “นักโทษเหล่านี้ส่วนมากทำความผิดอะไรครับ จึงถูกส่งตัวมาคุมขังที่นี่”

“ผมไม่ทราบและไม่สนใจว่า ใครทำความผิดอะไรมาก่อน” ผู้บัญชาการตอบ แสดงความยิ่งใหญ่อยู่ในน้ำเสียง “มันเป็นหน้าที่ของตำรวจและศาล เมื่อตำรวจจับผู้กระทำความผิดได้ก็ส่งตัวให้ศาลดำเนินคดี เมื่อศาลพิพากษาเสร็จ ตำรวจก็คุมตัวนักโทษมาส่งผม ผมก็คุมขังไว้และจัดการประหารชีวิตตามชอบใจ ถ้าคุณอยากทราบว่าเขาทำผิดอะไรคุณลองไปถามนักโทษคนนั้นดูซิ” ผู้บัญชาการชี้มือไปที่นักโทษคนหนึ่งซึ่งกำลังนั่งถอนหญ้าอยู่ใกล้ๆ

“นี่คุณ คุณทำความผิดอะไรจึงต้องมาถูกขังอยู่ในเรือนจำนี้” ข้าพเจ้าถามด้วยเสียงสุภาพ

นักโทษคนนั้น เงยหน้าขึ้นมองดูข้าพเจ้าดุจเห็นข้าพเจ้าเป็นสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง ดวงตาของเขามีแววขุ่นแสดงว่าไม่พอใจอย่างมาก “คุณเป็นใครมาจากไหน?” เขาถามด้วยเสียงเครียด “ผมไม่ได้ทำความผิดอะไร ผมไม่ใช่นักโทษ ผมไม่ได้เป็นนักโทษ ผมไม่ได้อยู่ในเรือนจำ!” เขาตอบด้วยเสียงดังลั่น

ข้าพเจ้าถึงกับยืนอ้าปากค้าง ด้วยความงงงันต่อพฤติกรรมประหลาดของนักโทษคนนั้น เมื่อไม่รู้จะโต้ตอบอย่างไร จึงหันไปมองดูผู้บัญชาการฯ ด้วยหวังว่าจะได้รับคำชี้แจงเพิ่มเติม อย่างน้อยท่านก็อาจจะบอกข้าพเจ้าว่านักโทษคนนั้นเป็นคนเสียจริตหรืออะไรทำนองนั้น แต่แล้วข้าพเจ้าก็เกือบจะกลายเป็นคนเสียจริตไปเสียเอง เพราะท่านผู้บัญชาการฯ และเจ้าพนักงาน ๔-๕ คนซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ได้หัวเราะเยาะขึ้นพร้อมกันและไม่พูดว่ากระไร ข้าพเจ้าบอกไม่ถูกว่าขณะนั้นรู้สึกอย่างไร ทั้งโกรธทั้งงง ทั้งประหลาดใจระคนกัน.

“เอ นี่นักโทษคนนั้น บ้า หรือว่าท่าน บ้า หรือว่าผมบ้ากันแน่” ข้าพเจ้าโพล่งออกมาด้วยความหัวเสียจนขาดสติสัมปชัญญะ
“บ้าด้วยกันทั้งนั้น” ผู้บัญชาการตอบหน้าตาเฉย

หลังจากเหตุการณ์ประหลาดนั้นแล้ว ท่านผู้บัญชาการก็พาข้าพเจ้าตระเวนชมเรือนจำต่อไป ตลอดระยะทางที่เดินผ่าน ข้าพเจ้าเห็นนักโทษรวมกันทำงานอยู่เป็นกลุ่มๆ กลุ่มละ ๕ คนบ้าง ๖ คนบ้าง  ทุกคนกำลังทำงานอย่างเอาจริงเอาจัง หน้าตาและเนื้อตัวชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ งานที่นักโทษทำก็มีทุกประเภท เช่น บางกลุ่มก็ปลูกผักในสวนของเรือนจำ บางพวกก็เป็นช่างไม้ บางพวกก็เป็นช่างเหล็ก บางพวกก็เป็นช่างทอง บางพวกที่มีความรู้ก็ทำงานเป็นเสมียน บางพวกก็ค้าขายอยู่ในร้านค้าของเรือนจำ ข้าพเจ้ารู้สึกพอใจมากที่ได้เห็นนักโทษทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง จึงได้ถามท่านผู้บัญชาการว่า “ผลประโยชน์ที่ได้จากการทำงานเหล่านั้น ทางเรือนจำแบ่งให้นักโทษบ้างหรือไม่ หรือเอาไว้เป็นของหลวงหมด?”

ผู้บัญชาการตอบว่า “ผลประโยชน์ที่นักโทษทำได้ ตกเป็นสมบัติของนักโทษนั่นเอง ทางเรือนจำไม่เกี่ยวข้องเลย แต่เมื่อเขาถูกประหารชีวิตตายไปแล้วสมบัติของเขาทั้งหมดจะต้องตกเป็นของเรือนจำ แต่ตราบเท่าที่เขายังมีชีวิตอยู่ เขาสามาระจะหาทรัพย์และใช้ทรัพย์ของเขาได้อย่างเต็มที่  เพราะฉะนั้น นักโทษของเราทุกคนจึงตั้งหน้าทำงานด้วยความขยันขันแข็งโดยไม่ต้องบังคับ บางคนทำงานทั้งกลางวันกลางคืนก็มี.”

ข้าพเจ้าถามขึ้นว่า “ที่เรือนจำกลางเชียงใหม่เขามีการให้อาหารตามเวลา มีการให้เครื่องนุ่งห่ม ผมอยากทราบว่าที่เรือนจำนี้มีการให้อาหารและเสื้อผ้าหรือไม่?”

“ไม่มี” ผู้บัญชาการฯ ตอบ “เราไม่ให้เสื้อผ้าหรืออาหารแก่นักโทษ เพราะนักโทษแต่ละคนมีสิทธิหาเองได้ ทำงานได้ ทางเรือนจำเลยปล่อยให้ทุกคนช่วยตัวเอง แต่ทุกคนก็มีพออยู่กิน มีบางรายเหมือนกันที่เกียจคร้านหรือไร้ความสามารถ ไม่อยากทำงาน ไปเที่ยวขโมยหรือปล้นสะดมหรือฉ้อโกงเอาทรัพย์ของนักโทษคนอื่นมาเลี้ยงชีวิต”
“มีการปล้นกันภายในเรือนจำนี้ด้วยหรือครับ?” ข้าพเจ้าถามด้วยความประหลาดใจ
“มี” ผู้บัญชาการตอบ “มีการปล้นกันทุกวัน มีการทะเลาะวิวาทกันทุกวัน มีการตีรันฟังแทงกันตายทุกวัน”
“แล้วทางการเรือนจำจัดการอย่างไรกับนักโทษใจร้ายที่ฆ่าเพื่อนนักโทษตายในเรือนจำ?” ข้าพเจ้าถาม
“ไม่ทำอะไร” ผู้บัญชาการฯ ตอบ คล้ายกับไม่เห็นว่าการฆ่ากันตายเป็นเรื่องร้ายแรง “ปล่อยให้เขาทำตามสบาย เพราะนักโทษทุกคนในเรือนจำนี้มีโทษถึงตายทุกคนอยู่แล้ว สักวันหนึ่งทุกคนจะต้องถูกประหารชีวิต ฉะนั้น แม้จะทำความผิดในระหว่างหรือไม่ทำ ทุกคนก็จะต้องถูกประหารชีวิตอยู่ดี ดีเสียอีกที่เขาจัดการประหารชีวิตกันเองโดยไม่ให้เจ้าหน้าที่เพชฌฆาตเรือนจำต้องลำบาก.!”



โปรดติดตามตอนต่อไป

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20 ธันวาคม 2559 14:26:17 โดย กิมเล้ง » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5392


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 20 ธันวาคม 2559 14:32:44 »




มีดไม่ลับก็ไร้คม สมองไม่อบรมก็ไร้ปัญญา
ตอน นักโทษประหาร (ต่อ)
ผลงานประพันธ์ของ แสง  จันทร์งาม

ข้าพเจ้ามองดูหน้าท่านผู้บัญชาการเรือนจำด้วยความงุนงง พลางคิดในใจว่าเรือนจำนี้ช่างโหดร้ายทารุณป่าเถื่อนเสียเหลือเกิน ผู้บัญชาการเรือนจำเองก็ช่างใจไม้ไส้ระกำเห็นชีวิตของคนเป็นชีวิตของมดปลวกไปได้ แต่มิได้พูดออกมาด้วยวาจา เพียงแต่เดินตามผู้บัญชาการฯ และคณะต่อไปอย่างเงียบๆ

“คุณอยากจะดูการประหารชีวิตนักโทษไหมละ?” ผู้บัญชาการถาม ข้าพเจ้าเกิดความกระอักกระอ่วนใจขึ้นมาทันที เพราะใจหนึ่งเกิดอยากรู้อยากเห็นแต่ใจหนึ่งเกิดความสังเวชสลดใจไม่อยากเห็นเพื่อนมนุษย์ถูกตัดคอต่อหน้าต่อตา กลัวจะเกิดเป็นลม เพราะตกใจว่าถ้าวิธีการประหารชีวิตไม่แสดงความโหดร้ายทารุณเกินไป ก็จะไปดูประดับความรู้เสียบ้าง เพื่อแน่แก่ใจจึงถามผู้บัญชาการฯ ดู “ทางเรือนจำประหารนักโทษโดยวิธีใด?”

“ทุกชนิด” ผู้บัญชาการฯ ตอบ “ใช้ปืนยิงบ้าง ใช้มีดแทงให้ตายบ้าง ใช้ค้อนทุบกะโหลกศีรษะบ้าง แขวนคอบ้าง บังคับให้ดื่มยาพิษบ้าง ปล่อยสัตว์ร้ายให้กัดตายบ้าง กดคอให้จมน้ำตายบ้าง ให้ล้อเหล็กขนาดใหญ่บดตัดคอให้ตายบ้าง บางทีก็ให้เจ้าหน้าที่ทรมานโดยตัดแข้งขาตีนมือเนื้อหนักออกทีละน้อยๆ จนตายไปเอง”

ข้าพเจ้าถึงกับเหงื่อแตกพลัก ด้วยความสะดุ้งตกใจกลัวต่อวิธีการประหารชีวิตอันทารุณโหดร้ายที่ผู้บังชาการฯ บรรยายให้ฟัง “ผมไม่ดูละครับ” ข้าพเจ้าบอกผู้บัญชาการฯ “เพียงแต่ได้ยินท่านเล่าวิธีการให้ฟังเท่านั้น ผมก็แทบทนฟังไม่ไหวแล้ว ถ้าไปเห็นจริงๆ ผมเป็นลมแน่”

“รู้สึกว่าคุณขวัญอ่อนมาก” ผู้บัญชาการฯ กล่าวยิ้มๆ “ถ้าคุณกลายเป็นนักโทษและจะถูกประหารชีวิตแบบนั้นบ้าง คุณจะรู้สึกอย่างไร?”

“ผมก็คงช็อคตายก่อนถูกประหารจริงๆ” ข้าพเจ้าตอบ  ผู้บัญชาการฯ หันไปมองดูเจ้าหน้าที่เรือนจำที่ยืนข้างๆ แล้วก็ยิ้มอย่างมีนัย ทำให้ข้าพเจ้าหวาดระแวงอย่างไรชอบกล

เราได้เดินผ่านนักโทษกลุ่มหนึ่ง ซึ่งกำลังนั่งล้อมวงเสพสุราและร้องเพลงกันอยู่อย่างสนุกสนาน “เขาทำอะไรกันครับ?” ข้าพเจ้าถามท่านผู้บัญชาการฯ

“เขากำลังฉลองสมาชิกใหม่ วันนี้ตำรวจนำนักโทษเข้ามาส่งเรือนจำหลายคน พวกนี้คงสามารถดึงนักโทษใหม่บางคนมาเป็นสมาชิกได้ จึงดีอกดีใจและฉลองกันเป็นการใหญ่ เหตุการณ์เช่นนี้เป็นของธรรมดาในเรือนจำของเรา นักโทษทุกกลุ่มต่างปรารถนาอยากได้นักโทษใหม่มาร่วมคณะมาช่วยการงานของคณะ มีการวิ่งเต้นหาสมาชิกใหม่กันทั่วไป”

เดินต่อไปอีกไม่นาน ข้าพเจ้าก็ได้พบกับภาพตรงกันข้ามกับภาพที่เพิ่งเห็นมา คือนักโทษกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งล้อมวงส่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าสมเพชเวทนาท่ามกลางวงนั้นมีชายคนหนึ่งกำลังนอนนิ่งอยู่ มีผ้าห่มคลุมตั้งแต่เข่าขึ้นไปจนถึงศีรษะ ข้าพเจ้าเดินเข้าไปใกล้แล้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ?”

“สมาชิกของเราคนหนึ่งเพิ่งถูกประหารชีวิต” นักโทษคนหนึ่งตอบทั้งน้ำตานองหน้า “เขาเป็นคนดีและขยันขันแข็งมาก เราทุกคนรักและเสียดายเขาที่มาด่วนถูกประหารชีวิตเสีย เราได้สูญเสียแขนขวาของเราไปเสียแล้ว...” ว่าแล้วเขาก็ร้องไห้คร่ำครวญต่อไป

“เขาถูกประการชีวิตโดยวิธีใด?” ข้าพเจ้าถาม

“โดยวิธีถูกตัดคอ” ชายคนเดิมตอบ เขาค่อยๆ เลิกผ้าคลุมออกจาหน้าของศพเผยให้เห็นหัวที่ขาดจากไหล่กลิ้งอยู่ต่างหากจากลำตัว มีเลือดนองอยู่บนพื้นและจับเกรอะตามหน้าและตามลำตัว “ขณะที่เขากำลังนั่งคุยกับเราอยู่อย่างสนุกสนานนั่นเอง เพชฌฆาตคนหนึ่งก็ถือดาบอันคมกริบวิ่งมาฟาดฟันลงไปที่คอของเขาสุดแรง ทำให้ศีรษะของเขากระเด็นตกไป เราต้องเก็บเอาศีรษะของเขามาเก็บไว้ที่เดิมแล้วก็เอาผ้าคลุมอย่างเห็นอยู่นี้”

“การปล่อยปละละเลยเช่นนี้ ท่านไม่กลัวนักโทษแหกคุกหรือ?”

ผู้บัญชาการเรือนจำหัวเราะดังยิ่งขึ้น แล้วตอบว่า “ไม่กลัว ผมจะบอกเหตุผลว่าทำไมไม่กลัว ประการแรกเพราะว่า ไม่มีใครอยากจะออกไปจากเรือนจำนี้ แทบทุกคนพอตกเข้ามาอยู่ในเรือนจำนี้ก็สนุกสนานเพลิดเพลินจนไม่อยากจากไป ทุกคนอยากอยู่ที่นี่ อยากถูกประการชีวิตและตายที่นี่ นั่นเป็นเหตุผลสำคัญที่สุด เหตุผลอีกประการหนึ่ง ที่ผมไม่กลัวว่านักโทษจะหนี อยู่ที่โน่น ผมจะพาคุณไปดูเดี๋ยวนี้”

ท่านผู้บัญชาการฯ ได้จูงแขนข้าพเจ้าพาไปยังหอคอยสูงหลังหนึ่ง เราเดินตามบันไดขึ้นไปจนถึงยอดหอคอยแล้ว ผู้บัญชาการฯ ก็ชี้มือให้ข้าพเจ้าดูสิ่งหนึ่ง พอเห็นสิ่งนั้นข้าพเจ้าก็เห็นด้วยกับผู้บัญชาการฯ ทันทีว่าทำไมท่านจึงไม่กลัวนักโทษจะแหกคุก!

สิ่งที่มีอยู่ข้างหน้าข้าพเจ้า คือกำแพงสูงใหญ่ที่ล้อมรอบเรือนจำอยู่ถึง ๓ ชั้น มีช่องว่างระหว่างกำแพงกว้างประมาณ ๓๐ เมตร กำแพงทั้ง ๓ มีความหนาและความสูงไม่เท่ากันและสร้างด้วยวัสดุต่างๆ กัน คือกำแพงชั้นในเป็นกำแพงก่อด้วยอิฐแต่ไม่มีการโบกปูน จึงมองเห็นแผ่นอิฐ เรียงกันเป็นก้อนๆ กำแพงอิฐมีความหนาประมาณ ๖ ฟุตและสูงประมาณ ๑๐ ฟุต กำแพงชั้นกลางมีสีเทาแก่เพราะสร้างด้วยแผ่นหินขนาดใหญ่ทั้งนั้น ท่านผู้บัญชาการบอกข้าพเจ้าว่า กำแพงหินกว้างและสูงกว่ากำแพงอิฐ ๒ เท่า กำแพงชั้นนอกสูงแลดูเป็นสีดำทะมึนตลอด มีความกว้างและความสูงมากกว่ากำแพงหิน ๒ เท่า เพราะฉะนั้นจึงเป็นกำแพงขอบนอกที่มั่นคงแข็งแรงที่สุด ข้าพเจ้าได้ถามท่านผู้บัญชาการฯ ว่า “กำแพงชั้นนอกทำด้วยอะไร?”

“ทำด้วยเหล็กทั้งแท่ง!” ท่านผู้บัญชาการฯ ตอบ

“มิน่าเล่า ถึงไม่มีใครคิดจะหลบหนี” ข้าพเจ้าพูดขึ้นมาอย่างลอยๆ ทันใดนั้นข้าพเจ้าก็เหลือบไปเห็นนักโทษหลายต่อหลายคน กำลังใช้ท่อนไม้ขนาดกลางทุบต่อยและกระทุ้งกำแพงอิฐอยู่อย่างขะมักเขม้น  “เอ๊ะ นั่นเขาทำอะไรกัน?” ข้าพเจ้าถามด้วยความประหลาดใจ

“เขากำลังจะเจาะกำแพงหลบหนี” ผู้บัญชาการฯ ตอบน้ำเสียงเป็นปกติคล้ายกับเห็นว่าการแหกคุกเป็นเรื่องเล็ก

“แล้วทำไมท่านจึงปล่อยให้เขาทำ? ทำไมท่านไม่จับกุมหรือห้ามปราม?”

“ไม่” ผู้บัญชาการตอบหน้าตาเฉย “นักโทษทุกคนมีสิทธิที่แหกคุกได้ เราไม่ห้ามปรามแต่อย่างใด เพราะมีน้อยคนเหลือเกินที่คิดจะแหกคุก คุณลองคิดดูซิในเรือนจำมีนักโทษตั้งเท่าไร แต่คุณก็เห็นแล้ว ว่ามีนักโทษเพียงไม่กี่คนที่กำลังเจาะกำแพง อีกอย่างหนึ่งกำแพงของเราก็แข็งแรงมากยากที่จะเจาะทะลุได้ นักโทษส่วนมากมักจะเลิกล้มความพยามยามเสียในระหว่าง แม้จะพ้นกำแพงอิฐไปได้ก็ติดที่กำแพงหิน คุณดูที่ฐานกำแพงหินนั่นซิ”

ข้าพเจ้ามองดูตามมือผู้บัญชาการฯ ไปยังกำแพงหินและได้เห็นนักโทษ ๒-๓ คนซึ่งรอดพ้นจากกำแพงอิฐมาได้ กำลังเอาขวานเจาะกำแพงหินอยู่อย่างขะมักเขม้น “แล้วนักโทษอื่นๆ ทำไมไม่ออกมาตามช่องที่เขาเจาะไว้เล่า จะได้ช่วยกันเจาะกำแพงหินต่อไป” ข้าพเจ้าถาม

ผู้บัญชาการฯ ตอบว่า “ผมบอกคุณแล้วว่าไม่มีใครคิดอยากจะออกไปจากเรือนจำและยิ่งกว่านั้น ช่องแต่ละช่องที่นักโทษเจาะสำเร็จนั้น เราจะจัดการปิดให้ดีเหมือนเดิมทันทีที่นักโทษคนนั้นลอดออกมาพ้น ฉะนั้นถ้าใครอยากออกก็ต้องเจาะช่องใหม่สำหรับตนเอง เจาะให้กันไม่ได้ ฉะนั้นนักโทษคนหนึ่ง จึงเจาะช่องได้สำหรับตนคนเดียวเท่านั้น”

“มีนักโทษคนใด สามารถเจาะทะลุกำแพงหินบ้างไหม?”

“มีเหมือนกัน แต่น้อยเต็มที ถ้าคุณมองดูที่ฐานกำแพงเหล็กคุณจะเห็นนักโทษหัวเห็ดเพียงคนหรือสองคนเท่านั้น โน่นยังไงละ คนหนึ่งเพิ่งหลุดออกไปได้จากกำแพงหิน”

ข้าพเจ้ามองตามมือท่านผู้บัญชาการไปที่ฐานกำแพงเหล็ก และเห็นนักโทษผู้มีร่างล่ำสันบึกบึนคนหนึ่งกำลังใช้ขวานฟันกำแพงเหล็กอยู่อย่างเหนื่อยอ่อน ขวานของเขารู้สึกว่าเต็มไปด้วยประกายแวววับ ทุกครั้งที่เขายกขึ้นฟันมันจะสะท้อนแสงแวววาวเข้านัยน์ตาของเรา จนเราต้องหลับตา ข้าพเจ้านึกชมความอุตสาหะวิริยะของนักโทษหัวเห็ดคนนั้นอยู่ในใจ และภาวนาขอให้เขาออกไปให้ได้

“เคยมีนักโทษเจาะกำแพงเหล็กออกไปได้บ้างไหมครับท่านผู้บัญชาการฯ”

“มีเหมือนกัน แต่น้อยเต็มที ในหมื่นหรือแสนคนจะมีสักคนหนึ่ง เท่าที่ผมอ่านดูในประวัติของเรือนจำนั้น เมื่อประมาณ ๒๕๐๐ ปีมาแล้ว มีนักโทษสำคัญคนหนึ่งแหกคุกออกไปได้สำเร็จ และพาเอานักโทษอื่นๆ ออกไปด้วยเป็นจำนวนมาก แต่หลังจากนั้นมาก็ไม่เคยมีการแหกคุกเป็นการใหญ่เช่นนั้นอีก”

“ถ้าสมมติว่ามีนักโทษแหกคุกออกไปสำเร็จ ทางเรือนจำติดตามไปจับเขานำมาขังไว้ในเรือนจำอีกหรือไม่ครับ” ข้าพเจ้าถามต่อไป

“ไม่” ผู้บัญชาการตอบ “เราปล่อยให้เขาไปเลย เราถือว่าเขามีความสามารถเป็นวีรบุรุษ สมควรจะได้รับอิสรภาพ  ยิ่งกว่านั้น เรายังให้สิทธิพิเศษแก่เขาอีกด้วย”

“สิทธิอะไรครับ?” ข้าพเจ้าถามด้วยความสนใจ

“สิทธิที่จะเข้าออกเรือนจำได้ตามชอบใจทุกเวลา ถ้าเขาอยากจะกลับเข้ามาในเรือนจำเพื่อชักชวนเพื่อนนักโทษให้แหกคุก หรือแนะนำวิธีเจาะกำแพงที่ได้ผลแก่นักโทษอื่นๆ ก็อาจจะทำได้ตามชอบใจ คุณเดินตามผมมาทางนี้”

ข้าพเจ้าเดินตามผู้บัญชาการฯ ไปอย่างว่าง่าย เราได้มาถึงนักโทษกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งล้อมวงฟังชายคนหนึ่งพูดอยู่ใต้ต้นไม้ ชายประหลาดคนนั้นยืนอยู่ท่ามกลางวงแล้วพูดด้วยเสียงอันดังว่า “ตื่นเถิดพี่น้องทั้งหลาย อย่ามัวหลับใหลอยู่เลย อย่าลืมว่าท่านเป็นนักโทษประหารกำลังถูกขังอยู่ในกำแพงถึง ๓ ชั้น สักวันหนึ่งเพชฌฆาตจะมาลากคอท่านไปประหารชีวิต รีบลุกขึ้นแล้วแหกคุกหนีไปเสียก่อนที่จะถึงเวลานั้น...”

ชายคนนั้นพรรณนาโทษของเรือนจำต่อไปอีกมากมาย ซึ่งล้วนแต่เป็นความจริง แต่ข้าพเจ้าสังเกตเห็นว่ามีนักโทษน้อยคนที่ตั้งใจฟังวาทะของเขา ส่วนมากหันหน้าไปคุยกันเสียบ้าง หลับเสียบ้าง ยิ่งกว่านั้นบางคนยังหัวเราะเยาะเขาและตะโกนคัดค้านเขาเป็นครั้งคราว แต่ชายคนนั้นก็ใจเย็นอย่างน่าอัศจรรย์ เขามิได้แสดงอาการโกรธเคืองหรือพูดจาโต้ตอบผู้ก่อกวนเหล่านั้นแต่อย่างใด

เขาเอามือควานลงไปในถุงซึ่งวางอยู่บนพื้นข้างๆ แล้วหยิบเอาขวานเล่มหนึ่งขึ้นมา เขาชูขวานไปรอบๆ แล้วพูดขึ้นว่า “พี่น้องทั้งหลาย! นี่คือขวนหินสำหรับเจาะกำแพงอิฐท่านผู้ใดอยากจะได้รับอิสรภาพ โปรดเอาขวานนี้ไปเจาะกำแพงอิฐ ข้าพเจ้ายินดีจะมอบขวานนี้ให้แก่ท่านฟรี”  พูดแล้วเขาก็ชูขวานนั้นไปรอบๆ แต่ปรากฏว่าไม่มีนักโทษคนใดแสดงความสนใจในขวานของเขาเลย นักโทษคนหนึ่งได้ตะโกนขึ้นว่า “เดี๋ยวนี้เป็นสมัยจรวดแล้ว เราไม่ต้องการขวานหิน เชิญท่านนำไปแจกคนสมัยหินของท่านเถิด”

โดยมิได้คำนึงต่อคำเยาะเย้ยของนักโทษคนนั้น ชายผู้ใจเย็นยังคงชูขวานต่อไปอีกจนกระทั่งมีนักโทษคนหนึ่งยืนขึ้นเดินไปรับขวานจากเขา นักโทษคนนั้นหยิบขวานมาลูบคลำพิจารณาดูอยู่หน่อยหนึ่ง แล้วก็โยนกลับคืนไปให้เจ้าของพลางพูดว่า “มันหนักเกินไป แบกไม่ไหว”

ชายผู้หวังดีหยิบเอาขวานหินเล่มนั้นมาเก็บไว้ แล้วล้วงเอาขวานอีกเล่มหนึ่งออกมาจากถุง ยกชูไปรอบๆ พลางพูดว่า “พี่น้องทั้งหลาย นี้คือขวานเหล็ก ใช้สำหรับเจาะกำแพงชั้นกลาง คือกำแพงหิน ผู้ใดต้องการข้าพเจ้ายินดีจะให้โดยไม่คิดมูลค่าแต่อย่างใด เชิญรับเอาไปเถิด” เขาส่งขวานไปรอบๆ ด้วยสายตาแสดงความวิงวอน แต่ไม่ปรากฏว่ามีใครรับเอา

เขาวางขวานเหล็กลงไว้แล้ว แล้วล้วงเอาขวานเล่มใหม่ขึ้นมา เขาชูไปรอบๆ ตามเคยพลางกล่าวว่า “พี่น้องทั้งหลายกำแพงเหล็กชั้นนอกอาจจะหนาและสูง แต่ท่านไม่ต้องท้อใจ นี้คือขวานพิเศษสำหรับเจาะกำแพงเหล็ก ถ้าท่านดูให้ดีท่านจะเห็นว่า คมของขวานนี้ทำด้วยเพชรโปรดดูด้วยตาของท่านเอง” เขาได้หยิบเอาเหล็กมาท่อนหนึ่ง แล้วก็เอาขวานนั้นฟันให้ดูเป็นตัวอย่าง ปรากฏว่าขวานจ้วงฟันเพียงครั้งเดียวท่อนเหล็กนั้นก็ขาดกระเด็น แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครสนใจจะรับเอาขวานนั้น  ชายผู้ใจเย็นก็รวบรวมขวานใส่ในถุง ยกถุงขึ้นแบกบนบ่าแล้วก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังนักโทษกลุ่มอื่นต่อไป ท่ามกลางเสียงหัวเราะเยาะของนักโทษกลุ่มนั้น

ขณะนั้นเป็นเวลาเกือบ ๑๑.๐๐ น. ซึ่งเป็นเวลาที่ข้าพเจ้าจะต้องกลับ เพราะมีนัดรับประทานอาหารกลางวันกับเพื่อน ข้าพเจ้าขอบคุณท่านผู้บัญชาการฯ แล้วก็กล่าวคำอำลา

“คุณยังจะกลับไม่ได้” ผู้บัญชาการฯ พูดขึ้นด้วยท่าทางขึงขัง ทำให้ข้าพเจ้าประหลาดใจไม่น้อย ใจหนึ่งคิดว่าท่านผู้บัญชาการฯ อาจจะชวนให้รับประทานอาหารกลางวันด้วย แต่เพื่อแน่ใจจึงถามดู “ทำไมละครับ?”

“กฎของเรือนจำมีอยู่ว่า ทุกคนที่เข้ามาในเรือนจำของเรา ต้องกลายเป็นนักโทษประหารของเราด้วย เพราะฉะนั้นเวลานี้คุณได้กลายเป็นนักโทษของเราเสียแล้ว”

ข้าพเจ้ารู้สึกตกใจและงุนงงดุจถูกตีที่ศีรษะ แต่ก็ยังอุ่นใจอยู่ว่าผู้บัญชาการคงจะล้อเล่นสนุกๆ มากกว่า จึงกล่าวว่า “ท่านผู้บัญชาการฯ อย่าล้อผมเล่นเลยน่า ผมจะต้องรีบไปพบเพื่อนตามนัด”

“คุณจะไม่มีหวังไปพบเพื่อนได้ตามนัดโดยเด็ดขาด” ผู้บัญชาการฯ พูดพลางหัวเราะอย่างผู้มีชัย  ท่านได้หันไปมองดูเจ้าหน้าที่เรือนจำอย่างมีนัย แล้วทันใดนั้นเจ้าหน้าที่ผู้มีร่างกำยำ ๒ คน ก็ตรงเข้ามาขนาบข้างซ้ายขวาของข้าพเจ้า และยึดแขนไว้อย่างมั่นคง

ถ้าสามารถมองเห็นตัวเองในขณะนั้น ใบหน้าของข้าพเจ้าคงขาวซีดด้วยความตกใจกลัวสุดขีด เพราะการกระทำของผู้บัญชาการตอนนี้บอกว่าเอาจริงแน่นอน

“คุณไม่เชื่อหรือว่าผมพูดจริง” ผู้บัญชาการพูดขึ้น “ถ้าไม่เชื่อผมจะพาไปดูอะไรบางอย่าง” ว่าแล้วก็ออกเดินทันที ข้าพเจ้าก็ถูกเจ้าหน้าที่ฉุดให้เดินตามไปด้วย เราได้มาถึงตึกใหญ่หลังหนึ่ง ผู้บัญชาการสั่งให้เราหยุดอยู่ที่ประตู เมื่อประตูถูกเปิดออก ข้าพเจ้ามองเข้าไปข้างใน ก็ได้พบภาพที่ไม่เคยนึกเคยฝันว่าจะได้พบในเรือนจำ ภายในตึกนั้นเต็มไปด้วยพระภิกษุสามเณร พระราชามหากษัตริย์ ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี นายพล มหาเศรษฐี และบุคคลชั้นสูงอีกมากมาย!

“ทั้งหมดนี้คือนักโทษประหารของผมทั้งสิ้น!” ผู้บัญชาการฯ พูดแล้วมองดูหน้าข้าพเจ้า คล้ายกับจะบอกว่า “คนใหญ่คนโตขนาดนั้นยังตกเป็นนักโทษของผมนับประสาอะไรกับคุณซึ่งเป็นคนธรรมดาๆ คนหนึ่ง”

ข้าพเจ้ารู้สึกหน้ามืดศีรษะหมุนติ้วคล้ายจะเป็นลม จึงทรุดตัวลงนั่งเอามือกุมศีรษะแนบประตูตึกนั่นเอง ขณะที่นั่งหลับตาอยู่นั่นเอง ภาพใบหน้าของภรรยาก็ปรากฏขึ้นมาในห้วงนึก แล้วภาพมารดา พี่น้อง ตลอดถึงลูกศิษย์ที่สอนอยู่เป็นประจำ จิตใจในขณะนั้นวิ่งพล่านกลับไปยังทุกคนและทุกสิ่งที่อยู่เบื้องหลัง เขาเหล่านั้นจะอยู่อย่างไร กินอย่างไร และคิดอย่างไร เมื่อได้ทราบว่าข้าพเจ้าได้กลายเป็นนักโทษประหารชีวิตเสียแล้ว  ขณะที่จิตใจกำลังวิ่งพล่านอยู่นั้น ภาพพุทธสถานก็ปรากฏขึ้นมาในห้วงนึก พร้อมกับจำได้ว่า ในวันศุกร์ที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๐๘ จะต้องไปแสดงปาฐกถาเรื่อง “ตื่นเถิดชาวพุทธ” ประชาชนจำนวนมากที่อยากฟังปาฐกถาจะรู้สึกผิดหวังเพียงไร ถ้าถึงเวลาแล้วไม่มีข้าพเจ้าไปแสดงปาฐกถา พร้อมๆ กันนั้นก็เกิดการตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวขึ้นมาทันที ว่าจะต้องไปแสดงปาฐกถาให้ได้

“ท่านผู้บัญชาการที่รักและคิดถึง” ข้าพเจ้าพูดออกมาคล้ายคนบ้า “ท่านจะเอากับผมอย่างไรก็เอา ผมยอมทั้งนั้น แต่ผมใคร่ขอความกรุณาจากท่านเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย คือขออนุญาตออกไปแสดงปาฐกถาที่พุทธสถานในคืนวันศุกร์ที่ ๒๐ สิงหาคมนี้ ท่านจะอนุญาตหรือไม่?”

ผู้บัญชาการฯ นิ่งคิดอยู่สักครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ตกลง เพื่อประโยชน์ส่วนรวม แต่ผมจะให้เจ้าหน้าที่เรือนจำ ๓ คน ควบคุมคุณไปทุกฝีก้าว”

พระคุณเจ้าและสาธุชนที่เคารพ ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังพูดอยู่นี้ เจ้าหน้าที่ทั้ง ๓ คนจากเรือนจำก็กำลังยืนคุมข้าพเจ้าอยู่ คนที่ยืนทางขวามือของข้าพเจ้าคือเจ้าหน้าที่ทรมานนักโทษให้ตายด้วยวิธีตัดแข้งตัดขา คนที่ยืนทางซ้ายมือนี้คือพนักงานปล่อยสัตว์ร้ายให้กัดนักโทษตาย ส่วนอีกคนหนึ่งที่ยืนถือขวานอยู่ข้างหลังข้าพเจ้านั้น คือเพชฌฆาตผู้ประหารชีวิตนักโทษโดยตรง  หลังจากแสดงปาฐกถาที่นี่เสร็จแล้ว ข้าพเจ้าก็จะถูกนำตัวสู่เรือนจำ และจะถูกประหารชีวิต ณ วันใดวันหนึ่งซึ่งข้าพเจ้าเองก็ไม่มีทางรู้ ข้าพเจ้าขออำลาท่านทั้งหลายไปก่อน...สวัสดี






มีดไม่ลับก็ไร้คม สมองไม่อบรมก็ไร้ปัญญา
ตอน นักโทษประหาร (จบ)
ผลงานประพันธ์ของ แสง  จันทร์งาม

ปริศนา
๑.เรือนจำใหญ่ได้แก่อะไร? ทำไมจึงเรียกว่าเรือนจำ?
๒.นักโทษประหารหมายถึงใคร? ทำไมจึงเรียกว่า นักโทษประหาร?
๓.ข้อที่ว่านักโทษไม่รู้ตัวว่าเป็นนักโทษถูกขังอยู่ในเรือนจำนั้น นั้นหมายความว่าอย่างไร?
๔.ข้อที่ว่านักโทษในเรือนจำรวมกันเป็นกลุ่มๆ ช่วยเหลือกันและกัน แสวงหาสมาชิกมาเข้ากลุ่ม และมีการเฉลิมฉลองเมื่อมีสมาชิกใหม่นั้น หมายความว่าอย่างไร
๕.ตำรวจที่นำนักโทษมาส่งเรือนจำหมายถึงอะไร?
๖.วิธีการประหารชีวิตนักโทษแบบต่างๆ นั้น หมายความว่าอย่างไร?
๗.การที่นักโทษมีเสรีภาพที่จะไปไหนๆ ทำอะไรก็ได้ภายในเรือนจำ และมีเสรีภาพในการทำงานต่างๆ หารายได้นั้น หมายความว่าอย่างไร?
๙.ข้อที่ว่าเมื่อนักโทษถูกประหารชีวิตตายไป ทรัพย์สมบัติของเขา ต้องตกเป็นของเรือนจำนั้นหมายความว่าอย่างไร?
๑๐.กำแพงทั้ง ๓ ชั้นที่ล้อมเรือนจำไว้ หมายถึงอะไร
๑๑.ขวานหิน ขวานเหล็ก และขวานเพชรสำหรับทำลายกำแพงอิฐ กำแพงหิน และกำแพงเหล็ก หมายถึงอะไร
๑๒.นักโทษที่กำลังแหกคุกโดยใช้ขวานทำลายกำแพงอิฐ กำแพงหิน และกำแพงเหล็ก หมายถึงใคร?
๑๓.ทางเรือนจำไม่ห้ามปรามนักโทษที่คิดจะแหกคุกและถ้าแหกคุกได้สำเร็จยังได้รับสิทธิพิเศษให้เข้าออกเรือนจำได้ทุกเวลาให้ชักชวนนักโทษอื่นๆ ให้แหกคุกได้หมายความว่าอย่างไร?
๑๔.บุรุษผู้ยืนโฆษณาชักชวนให้นักโทษแหกคุกและแจกขวานหิน ขวานเหล็ก ขวานเพชร หมายถึงใคร? การที่นักโทษไม่สนใจหมายความว่าอย่างไร?
๑๕.การที่ “ข้าพเจ้า” เข้าไปเยี่ยมเรือนจำ แล้วพลอยถูกจับกลายเป็นนักโทษประหารไปด้วย หมายความว่าอย่างไร?
๑๖.เจ้าหน้าที่ทั้งสามของเรือนจำที่ควบคุม “ข้าพเจ้า” อยู่ทุกฝีก้าวนั้นหมายถึงอะไร?


เฉลยปริศนา
๑.เรือนจำใหญ่ได้แก่โลกนี้ทั้งโลก ถ้าพูดอย่างกว้าง หมายถึงภพทั้ง ๓ คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ ซึ่งเป็นแดนเกิดแดนตายของสัตว์ เหตุที่ได้ชื่อว่าเรือนจำก็เพราะเป็นที่กักขังสัตว์ไว้ มิให้บรรลุถึงพระนิพพาน
๒.นักโทษประหารหมายถึงสัตว์ทั้งหลายที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพทั้ง ๓ เหตุที่เรียกว่านักโทษประหาร ก็เพราะว่าสัตว์ทั้งหลายในสามภพ ไม่ว่าจะเกิดในกำเนิดต่ำหรือสูงจะต้องตายทั้งสิ้น
๓.หมายความว่าสัตว์ที่เกิดในสามภพ หารู้สึกตัวไม่ว่าตนติดอยู่ในห้วงทุกข์และจะต้องตาย แต่มัวสนุกสนานเพลิดเพลินอยู่ในภพนั้นๆ จนลืมตัว
๔.หมายความคนในโลกรวมกันอยู่เป็นครอบครัวรักใคร่ช่วยเหลือกันในครอบครัว เมื่อมีคนเกิดขึ้นในครัวก็ดีอกดีใจ ถ้าไม่มีก็พยายามที่จะให้มีทุกวิถีทาง
๕.หมายถึงชาติหรือความเกิด ซึ่งส่งให้สัตว์มาเกิดในภพทั้งสาม
๖.หมายความว่า สัตว์ที่เกิดมาในโลกย่อมประสบความตายโดยวิธีต่างๆ กัน ตายดีตายร้ายบ้าง การตายโดยถูกทรมานให้ตายด้วยการตัดแข้งตัดขา หมายถึงการตายด้วยโรคชรา การตายโดยถูกสัตว์ร้ายกัดตาย หมายถึงการตายด้วยโรคภัยต่างๆ การตายโดยถูกล้อเหล็กบด ถูกบังคับให้ดื่มยาพิษเป็นต้น หมายถึงการตายอุปัทวเหตุต่างๆ
๗.หมายความว่า การตายของสัตว์ย่อมไม่มีนิมิตไม่มีสัญญาณแจ้งให้ทราบล่วงหน้า อาจจะตายเมื่อไรที่ไหนก็ได้ ตายโดยวิธีไหนก็ได้ ไม่มีใครเลือกเวลา สถานที่และวิธีตายของตนได้เลย
๘.หมายความว่าสัตว์ที่เกิดในภพใด ย่อมมีเสรีภาพที่จะเที่ยวไปทำอะไรต่างๆ ในภพนั้น เช่นเกิดเป็นมนุษย์ก็มีสิทธิที่จะไปในโลก และประกอบอาชีพต่างๆ ที่ตนชอบ หารายได้เลี้ยงตนและครอบครัว
๙.หมายความว่า ทรัพย์สมบัติทั้งปวงที่มนุษย์แสวงหารวบรวมไว้นั้นถ้ามนุษย์ทุกคนตายลง ก็จะกลับคืนไปทับถมแผ่นดินตามเดิม
๑๐.กำแพงอิฐชั้นในหมายถึงกรรมดีและชั่วที่เป็นเหตุให้สัตว์เกิดใน ๓ ภพ กำแพงหินชั้นกลางหมายถึงกิเลสหยาบ เช่น โลภ โกรธ หลง อันเป็นเหตุให้สัตว์ทำกรรม กำแพงเหล็กชั้นนอกหมายถึงอวิชชาซึ่งเป็นกิเลสละเอียด ทำลายได้ยากแม้เกิดในพรหมโลกก็ยังมีอวิชชา
๑๑.ขวานหินหมายถึงศีลสำหรับควบคุมกาย วาจา ให้เรียบร้อย ขวานเหล็กหมายถึงสมาธิสำหรับปราบกิเลสหยาบ ขวานเพชรหมายถึงปัญญาซึ่งใช้สำหรับทำลายกิเลสละเอียดคืออวิชชา
๑๒.หมายถึงพุทธบริษัททั้งสี่ ๔ ผู้เห็นภัยในวัฏฏะ ปฏิบัติตามหลักศีล สมาธิ ปัญญาเพื่อทำลายกรรม กิเลสหยาบและกิเลสละเอียด เพื่อความเป็นอิสระจากวัฏฏะ นักโทษที่กำลังทำลายกำแพงอิฐมีมาก เปรียบเหมือนคนที่ปฏิบัติขั้นศีลได้มีมาก นักโทษที่กำลังใช้ขวานเหล็กทำลายกำแพงหินมีน้อยลง เปรียบเหมือนพุทธบริษัทที่ปฏิบัติขั้นสมาธิมีน้อย นักโทษที่ใช้ขวานเพชรทำลายกำแพงเหล็กมีน้อยที่สุด เปรียบเหมือนพุทธบริษัทที่เข้าถึงขั้นปัญญามีน้อย
๑๓.หมายความว่าวัฏฏะไม่เคยกีดกันผู้ที่จะปฏิบัติตามศีลสมาธิปัญญาเพื่อบรรลุพระนิพพาน เมื่อบรรลุพระนิพพานแล้ว จะเทศนาสั่งสอนให้สัตว์ทั้งหลายทำลายวัฏฏะเสียก็อาจทำได้
๑๔.หมายถึงพุทธบริษัทผู้เห็นภัยในวัฏฏะ ปฏิบัติตามศีลสมาธิปัญญาจนบริสุทธิ์หลุดพ้นด้วยตนเอง แล้วสั่งสอนผู้อื่นให้ปฏิบัติตาม การที่นักโทษไม่ค่อยสนใจ เปรียบเสมือนมนุษย์ในโลกที่มัวเพลิดเพลินอยู่กับอารมณ์ของโลก ไม่สนใจในพระพุทธศาสนา ไม่ปฏิบัติตามศีล สมาธิ ปัญญา
๑๕.หมายความว่า ใครๆ ก็ตามที่ไปเกิดในภพทั้ง ๓ แล้วจะต้องตายทั้งสิ้น
๑๖.เจ้าหน้าที่ทรมานสัตว์ โดยการค่อยๆ ตัดอวัยวะต่างๆ ออกทีละน้อย หมายถึงชรา ความแก่ เจ้าหน้าที่ปล่อยสัตว์ร้ายกัดนักโทษให้ตาย หมายถึงพยาธิความเจ็บป่วย เพชฌฆาตผู้ประหารชีวิตนักโทษโดยตรง หมายถึง มรณะความตาย
บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.416 วินาที กับ 31 คำสั่ง

Google visited last this page 19 ธันวาคม 2566 02:56:21