[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
27 เมษายน 2567 03:22:22 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า:  1 [2] 3   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ยังงงกันอยู่เหรอว่า...ทำไมนิพพานเป็นอัต  (อ่าน 34215 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
armageddon
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 8
*

คะแนนความดี: +2/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 229


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #20 เมื่อ: 24 ธันวาคม 2553 08:39:03 »

 ช๊อค ช๊อค ช๊อค

สารีบุตร!

ธรรมทั้งหลาย (สิ่งทั้งหลายทั้งปวง)

มีธรรมชาติแห่งความว่าง (กล่าวคือ):

พวกมันไม่ได้เกิดขึ้นและไม่ได้ดับลง,

พวกมันไม่ได้สะอาดและไม่ได้สกปรก,

ดังนั้น, ในความว่างจึงไม่มีรูป,

ไม่มีเวทนาหรือสัญญา,

ไม่มีสังขารหรือวิญญาณ;

ไม่มีตาหรือหู, ไม่มีจมูกหรือลิ้น,

ไม่มีกายหรือจิต (ใจ);

ไม่มีรูปหรือเสียง, ไม่มีกลิ่นหรือรส,

ไม่มีโผฎฐัพพะ (สิ่งที่มาถูกต้องกาย)

หรือธรรมารมณ์ (อารมณ์ที่เกิดกับใจ).

ไม่มีโลกแห่ง (ผัสสะ คือ) อายตนะ (ภายใน)

(อายตนะภายนอก) หรือวิญญาณ.

ไม่มีอวิชชา, และไม่มีความดับลงแห่งอวิชชา;

ไม่มี (กระแสแห่งเหตุปัจจัยที่นำไปสู่)

ความแก่และความตาย,

และไม่มีความดับลงซึ่งความแก่และความตาย.

ไม่มีความทุกข์

และไม่มีต้นเหตุ (แห่งความทุกข์);

ไม่มีความดับลง (แห่งความทุกข์)

และไม่มีมรรค (ทางให้ถึงซึ่งความดับลงแห่งความทุกข์).

ไม่มีการประจักษ์แจ้งและไม่มีการลุถึง,

เพราะไม่มีอะไรที่จะต้องถูกลุถึง.

 

 

 

พระโพธิสัตว์

ผู้วางใจในโลกุตรปัญญา,

จะมีจิตที่เป็นอิสระจากอุปสรรคสิ่งกีดกั้นนานา

(และ) เพราะจิตของพระองค์เป็นอิสระจากอุปสรรคสิ่งกีดกั้นนานา,

พระองค์จึงไม่มีความกลัวใด ๆ;

(สามารถ) ก้าวล่วงพ้นไปจากมายาหรือสิ่งลวงตาทั้งมวลได้,

(และ) ลุถึงพระนิพพานได้ในที่สุด.

 

 

 

พระพุทธะในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคต ทั้งหมด

ผู้ทรงวางใจในโลกุตรปัญญา

ได้ประจักษ์แจ้งแล้วซึ่งภาวะอันตื่นขึ้นนั้น,

(อันเป็นภาวะ) ที่สมบูรณ์และไม่มีใดอื่นยิ่งกว่า.

ดังนั้น, จงรู้ไว้เถิดว่า โลกุตรปัญญา

เป็นมหามนตร์อันศักดิ์สิทธิ์,

เป็นมนตร์แห่งความรู้อันยิ่งใหญ่,

เป็นมนตร์อันไม่มีมนตร์อื่นยิ่งกว่า,

เป็นมนตร์อันไม่มีมนตร์อ่นใดมาเทียบได้,

ซึ่งจะตัดเสียซึ่งความทุกข์ทั้งปวง.

นี่เป็นสัจจะ(ความจริง),

(และ) เป็นอิสระจากความเท็จ (ทั้งมวล).

 

 ช๊อค ช๊อค ช๊อค
บันทึกการเข้า
armageddon
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 8
*

คะแนนความดี: +2/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 229


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #21 เมื่อ: 24 ธันวาคม 2553 08:42:01 »


 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น

ข้อนั้นข้าพเจ้า ก็ยังบังเกิดความ น่าสงสัยยิ่ง อีกหล่ะ พระเจ้าค่า
   
พระพุทธเจ้า(พระองค์จริง )ได้ทรงสอนเสมอๆ  และทรงสอนให้ข้าพเจ้าถามว่า

 .... พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย..........

ผู้มีวาทะอย่างนี้ ควรเป็นผู้อันเธอทั้งหลาย พึงถามอย่างนี้ว่า

.....ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ก็ปริยายที่นิวรณ์๕ อาศัยแล้วเป็น ๑๐ อย่าง
 ที่โพชฌงค์ ๗ อาศัยแล้วเป็น ๑๔ อย่าง มีอยู่หรือ?

 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น


 หุบปากซะ หุบปากซะ หุบปากซะ
บันทึกการเข้า
armageddon
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 8
*

คะแนนความดี: +2/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 229


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #22 เมื่อ: 24 ธันวาคม 2553 08:52:52 »

 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น

อะไร อะไร ก็ว่าง....
ข้าพเจ้ายังเคลือบแคลง ......

ข้าพเจ้าเลย......เอาพระสูตร พระพุทธเจ้าพระองค์จริง มาให้อ่าน พระเจ้าค่า....

 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น


จูฬสีหนาทสูตร ว่าด้วยเหตุแห่งการบันลือสีหนาท

ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายแล้ว ภิกษุ เหล่านั้นได้ทูลรับสนองพระพุทธพจน์แล้ว.

สมณะ ๔ จำพวก

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะมีในพระศาสนานี้เท่านั้น สมณะที่สองมีในพระศาสนานี้ สมณะที่สามมีในพระศาสนานี้ สมณะที่สี่มีใน พระศาสนานี้ ลัทธิของศาสดาอื่นว่างเปล่าจากพระสมณะผู้รู้ทั่วถึง ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอ จงบันลือสีหนาทโดยชอบอย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้ทีเดียว ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เป็นฐานะที่จะ มีได้แล ที่พวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์ในโลกนี้ พึงกล่าวอย่างนี้ว่า อะไรเป็นความมั่นใจของ พวกท่าน อะไรเป็นกำลังของพวกท่าน พวกท่านพิจารณาเห็นในตนด้วยประการไร จึงกล่าว อย่างนี้ว่า สมณะมีในพระศาสนานี้เท่านั้น สมณะที่สองมีในพระศาสนานี้ สมณะที่สามมีใน พระศาสนานี้ สมณะที่สี่มีในพระศาสนานี้ ลัทธิของศาสดาอื่นว่างเปล่าจากพระสมณะผู้รู้ทั่วถึง ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์ผู้มีวาทะอย่างนี้ อันพวกเธอพึงกล่าวตอบอย่างนี้ว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการ อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้รู้ ผู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสแล้ว มีอยู่ ที่พวกเราเห็นธรรมเหล่านี้ในตน จึงกล่าวอย่างนี้ว่า สมณะมี ในพระศาสนานี้เท่านั้น สมณะที่สองมีในพระศาสนานี้ สมณะที่สามมีในพระศาสนานี้ สมณะที่สี่ มีในพระศาสนานี้ ลัทธิของศาสดาอื่นว่างเปล่าจากพระสมณะผู้รู้ทั่วถึง ธรรม ๔ อย่างเป็นไฉน? ๔ อย่าง คือ ความเลื่อมใสในพระศาสดาของพวกเรา มีอยู่ ความเลื่อมใสในพระธรรมมีอยู่ ความกระทำให้บริบูรณ์ในศีล มีอยู่ ทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต ผู้ประพฤติธรรมร่วมกัน เป็นที่ น่ารัก น่าพอใจ มีอยู่ ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการเหล่านี้แล อันพระผู้มีพระภาค พระองค์นั้น ผู้รู้ ผู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสแล้ว ที่พวกเราเล็งเห็นธรรม เหล่านี้ในตน จึงกล่าวอย่างนี้ สมณะมีในพระศาสนานี้เท่านั้น สมณะที่สองมีในพระศาสนานี้ สมณะที่สามมีในพระศาสนานี้ สมณะที่สี่มีในพระศาสนานี้ ลัทธิของศาสดาอื่นว่างเปล่าจาก พระสมณะผู้รู้ทั่วถึง ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เป็นฐานะที่จะมีได้แล ที่พวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์ พึงกล่าวอย่างนี้ว่า ผู้มีอายุ ผู้ใดเป็นศาสดาของพวกเรา ความเลื่อมใสในศาสดาแม้ของพวกเรา ก็มีอยู่ คำสอนใดเป็นธรรมของพวกเรา ความเลื่อมใสในธรรมแม้ของพวกเรา ก็มีอยู่ ธรรม เหล่าใดเป็นศีลของพวกเรา แม้พวกเราก็กระทำให้บริบูรณ์ในศีลทั้งหลาย ทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต ผู้ประพฤติธรรมร่วมกัน แม้ของพวกเรา ก็เป็นที่น่ารัก น่าพอใจ ผู้มีอายุ ในข้อเหล่านี้ อะไรเป็นข้อที่แปลกกัน อะไรเป็นข้อประสงค์ อะไรเป็นข้อที่กระทำให้ต่างกัน ในระหว่างของ ท่านและของเราดังนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์ ผู้มีวาทะอย่างนี้ อันพวกเธอ พึงกล่าวตอบอย่างนี้ว่า ผู้มีอายุ ความสำเร็จมีอย่างเดียว หรือมีมากอย่าง ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์ เมื่อจะพยากรณ์โดยชอบ พึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า ความสำเร็จมี อย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีมากอย่าง พวกเธอพึงกล่าวอย่างนี้ว่า ผู้มีอายุ ก็ความสำเร็จนั้นเป็นของ ผู้มีราคะ หรือของผู้ปราศจากราคะ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์ เมื่อจะ พยากรณ์โดยชอบ พึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า ความสำเร็จนั้นเป็นของผู้ปราศจากราคะ มิใช่ของผู้มี ราคะ พวกเธอพึงกล่าวอย่างนี้ว่า ความสำเร็จนั้น เป็นของผู้มีโทสะ หรือของผู้ปราศจากโทสะ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์ เมื่อจะพยากรณ์โดยชอบ พึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า ความสำเร็จนั้นเป็นของผู้ปราศจากโทสะ มิใช่ของผู้มีโทสะ พวกเธอพึงกล่าวอย่างนี้ว่า ความ สำเร็จนั้นเป็นของผู้มีโมหะ หรือของผู้ปราศจากโมหะ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์ เมื่อจะพยากรณ์โดยชอบ พึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า ความสำเร็จนั้นเป็นของผู้ปราศจากโมหะ มิใช่ของผู้มีโมหะ พวกเธอพึงกล่าวอย่างนี้ว่า ความสำเร็จนั้นเป็นของผู้มีตัณหา หรือของผู้ ปราศจากตัณหา ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์ เมื่อจะพยากรณ์โดยชอบ พึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า ความสำเร็จนั้นเป็นของผู้ปราศจากตัณหา มิใช่ของผู้มีตัณหา พวกเธอ พึงกล่าวอย่างนี้ว่า ความสำเร็จนั้นเป็นของผู้มีอุปาทาน หรือของผู้ไม่มีอุปาทาน ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย พวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์ เมื่อจะพยากรณ์โดยชอบ พึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า ความ สำเร็จนั้นเป็นของผู้ไม่มีอุปาทาน มิใช่ของผู้มีอุปาทาน พวกเธอพึงกล่าวอย่างนี้ว่า ความสำเร็จนั้น เป็นของผู้รู้แจ้ง หรือของผู้ไม่รู้แจ้ง. ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์ เมื่อจะ พยากรณ์โดยชอบ พึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า ความสำเร็จนั้นเป็นของผู้รู้แจ้ง มิใช่ของผู้ไม่รู้แจ้ง พวกเธอพึงกล่าวอย่างนี้ว่า ความสำเร็จนั้นเป็นของผู้ยินดียินร้าย หรือของผู้ไม่ยินดียินร้าย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปริพาชกอัญญเดียรถีย์ เมื่อจะพยากรณ์โดยชอบ พึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า ความ สำเร็จนั้นเป็นของผู้ไม่ยินดียินร้าย มิใช่ของผู้ยินดียินร้าย. พวกเธอพึงกล่าวอย่างนี้ว่า ความสำเร็จ นั้นเป็นของผู้ยินดีในความเนิ่นช้า มีความเนิ่นช้าเป็นที่มายินดี หรือของผู้ยินดีในความไม่เนิ่นช้า มีความไม่เนิ่นช้าเป็นที่มายินดี ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์ เมื่อจะพยากรณ์ โดยชอบ พึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า ความสำเร็จนั้นเป็นของผู้ยินดีในความไม่เนิ่นช้า มีความไม่เนิ่นช้า เป็นที่มายินดี มิใช่ของผู้ยินดีในความเนิ่นช้า มีความเนิ่นช้าเป็นที่มายินดี.

ทิฏฐิ ๒

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทิฏฐิ ๒ อย่างเหล่านี้ คือภวทิฏฐิ และวิภวทิฏฐิ ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง เป็นผู้แอบอิงภวทิฏฐิเข้าถึงภวทิฏฐิ หยั่งลงสู่ ภวทิฏฐิสมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าเป็นผู้ยินร้ายต่อวิภวทิฏฐิ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือ พราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง เป็นผู้แอบอิงวิภวทิฏฐฺ เข้าถึงวิภวทิฏฐิ หยั่งลงสู่วิภวทิฏฐิ สมณะ หรือพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าเป็นผู้ยินร้ายต่อภวทิฏฐิ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์ เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ย่อมไม่รู้ทั่วถึงความเกิด ความดับ คุณ โทษ และการถ่ายถอนแห่งทิฏฐิ ๒ อย่างเหล่านี้ตามความเป็นจริง สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ยังมีราคะ ยังมีโทสะ ยังมีโมหะ ยังมีตัณหา ยังมีอุปาทาน ไม่ใช่ผู้รู้แจ้ง ยังยินดีและยินร้าย เป็นผู้ยินดีในความเนิ่นช้า มีความ เนิ่นช้าเป็นที่มายินดี พวกเขาย่อมไม่หลุดพ้นจากชาติ ชรา มรณะ ความโศก ความร่ำไร ทุกข์กาย ทุกข์ใจ และความคับแค้นทั้งหลาย เรากล่าวว่า ย่อมไม่หลุดพ้นจากทุกข์ สมณะหรือพราหมณ์ เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ย่อมรู้ทั่วถึงความเกิด ความดับคุณ โทษ และการถ่ายถอนแห่งทิฏฐิ ๒ อย่าง เหล่านี้ ตามความเป็นจริง สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น เป็นผู้ปราศจากราคะ ปราศจากโทสะ ปราศจากโมหะ ปราศจากตัณหา ปราศจากอุปาทาน เป็นผู้รู้แจ้ง เป็นผู้ไม่ยินดีและยินร้าย มีความ ยินดีในความไม่เนิ่นช้า มีความไม่เนิ่นช้าเป็นที่มายินดี พวกเขา ย่อมหลุดพ้นจากชาติ ชรา มรณะ ความโศก ความร่ำไร ทุกข์กาย ทุกข์ใจ และความคับแค้นทั้งหลาย เรากล่าวว่า ย่อมหลุดพ้นไปจากทุกข์.

อุปาทาน ๔

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุปาทาน ๔ อย่างเหล่านี้. ๔ อย่างเป็นไฉน? คือ กามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน สีลัพพัตตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง ปฏิญาณลัทธิว่ารอบรู้อุปาทานทุกอย่าง แต่พวกเขาย่อมไม่บัญญัติ ความรอบรู้อุปาทานทุกอย่าง โดยชอบ คือ ย่อมบัญญัติความรอบรู้กามุปาทาน ไม่บัญญัติความรอบรู้ทิฏฐุปาทาน ไม่บัญญัติ ความรอบรู้สีลัพพัตตุปาทาน ไม่บัญญัติความรอบรู้อัตตวาทุปาทาน. ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร? เพราะสมณพราหมณ์เหล่านั้นไม่รู้ทั่วถึงฐานะ ๓ ประการเหล่านี้ ตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น พวกเขา จึงปฏิญาณลัทธิว่ารอบรู้อุปาทานทุกอย่าง แต่พวกเขา ไม่บัญญัติความรอบรู้อุปาทาน ทุกอย่างโดยชอบ คือย่อมบัญญัติความรอบรู้กามุปาทาน ไม่บัญญัติความรอบรู้ทิฏฐุปาทาน ไม่บัญญัติ ความรอบรู้สีลัพพัตตุปาทาน ไม่บัญญัติความรอบรู้อัตตวาทุปาทาน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง ปฏิญาณลัทธิว่ารอบรู้อุปาทานทุกอย่าง แต่พวกเขา ไม่บัญญัติความรอบรู้ อุปาทานทุกอย่างโดยชอบ คือย่อมบัญญัติความรอบรู้กามุปาทาน บัญญัติความรอบรู้ทิฏฐปาทาน ไม่บัญญัติความรอบรู้สีลัพพัตตุปาทาน ไม่บัญญัติความรอบรู้อัตตวาทุปาทาน ข้อนั้นเพราะเหตุ อะไร? เพราะสมณพราหมณ์เหล่านั้น ไม่รู้ทั่วถึงฐานะ ๒ ประการเหล่านี้ ตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงปฏิญาณลัทธิว่ารอบรู้อุปาทานทุกอย่าง แต่พวกเขา ไม่บัญญัติความรอบรู้ อุปาทานทุกอย่างโดยชอบ คือ ย่อมบัญญัติความรอบรู้กามุปาทาน บัญญัติความรอบรู้ทิฏฐุปาทาน บัญญัติความรอบรู้สีลัพพัตตุปาทาน ไม่บัญญัติความรอบรู้อัตตวาทุปาทาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง ปฏิญาณลัทธิว่ารอบรู้อุปาทานทุกอย่าง แต่พวกเขา ไม่บัญญัติความ รอบรู้อุปาทานทุกอย่างโดยชอบ คือย่อมบัญญัติความรอบรู้กามุปาทาน บัญญัติความรอบรู้ทิฏฐุปาทาน บัญญัติความรอบรู้สีลัพพัตตุปาทาน ไม่บัญญัติความรอบรู้อัตตวาทุปาทาน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร? เพราะสมณพราหมณ์เหล่านั้น ไม่รู้ทั่วถึงฐานะอย่างหนึ่งนี้ตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น พวกเขา จึงปฏิญาณลัทธิว่ารอบรู้อุปาทานทุกอย่าง แต่พวกเขา ไม่บัญญัติความรอบรู้อุปาทานทุกอย่าง โดยชอบ คือย่อมบัญญัติความรอบรู้กามุปาทาน บัญญัติความรอบรู้ทิฏฐุปาทาน บัญญัติความรอบรู้ สีลัพพัตตุปาทาน ไม่บัญญัติความรอบรู้อัตตวาทุปาทาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความเลื่อมใสในศาสดาใด ความเลื่อมใสนั้น เราไม่กล่าวว่า ไปแล้วโดยชอบ ความเลื่อมใสในธรรมใด ความ เลื่อมใสนั้น เราไม่กล่าวว่า ไปแล้วโดยชอบ ความกระทำให้บริบูรณ์ในศีลใด ข้อนั้น เราไม่ กล่าวว่า ไปแล้วโดยชอบ ความเป็นที่รักและน่าพอใจในหมู่สหธรรมิกใด ข้อนั้น เราไม่กล่าวว่า ไปแล้วโดยชอบ ในธรรมวินัยเห็นปานนี้แล ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร? ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะ ข้อนั้น เป็นความเลื่อมใสในธรรมวินัยที่ศาสดากล่าวชั่วแล้ว ประกาศชั่วแล้ว มิใช่สภาพนำออก จากทุกข์ ไม่เป็นไปเพื่อความสงบ มิใช่อันผู้รู้เองโดยชอบประกาศไว้.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นแล เป็นผู้มีวาทะว่า รอบรู้อุปาทานทุกอย่าง ปฏิญาณอยู่ ย่อมบัญญัติความรอบรู้อุปาทานทุกอย่างโดยชอบ คือ ย่อม บัญญัติความรอบรู้กามุปาทาน ย่อมบัญญัติความรอบรู้ทิฏฐุปาทาน ย่อมบัญญัติความรู้สีลัพพัตตุปาทาน ย่อมบัญญัติความรอบรู้อัตตวาทุปาทาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความเลื่อมใสในศาสดาใด ความเลื่อมใสนั้น เรากล่าวว่า ไปแล้วโดยชอบ ความเลื่อมใสในธรรมใด ความเลื่อมใสนั้น เรา กล่าวว่า ไปแล้วโดยชอบ ความกระทำให้บริบูรณ์ในศีลใด ข้อนั้น เรากล่าวว่า ไปแล้วโดยชอบ ความเป็นที่รักและน่าพอใจในหมู่สหธรรมิกใด ข้อนั้น เรากล่าวว่า ไปแล้วโดยชอบ ในพระธรรมวินัยเห็นปานนี้แล ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร? ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะข้อนั้น เป็นความเลื่อมใส ในธรรมวินัยอันศาสดากล่าวดีแล้ว ประกาศดีแล้ว เป็นสภาพนำออกจากทุกข์ เป็นไปเพื่อความ สงบอันท่านผู้รู้เองโดยชอบประกาศแล้ว.

เหตุเกิดอุปาทานเป็นต้น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง อุปาทาน ๔ เหล่านี้ มีอะไรเป็นต้นเหตุ มีอะไรเป็นเหตุ เกิด มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด? อุปาทาน ๔ เหล่านี้ มีตัณหาเป็นต้นเหตุ มีตัณหาเป็นเหตุเกิด มีตัณหาเป็นกำเนิด มีตัณหาเป็นแดนเกิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตัณหานี้เล่า มีอะไรเป็นต้นเหตุ มีอะไรเป็นเหตุ เกิดมีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด? ตัณหามีเวทนา เป็นต้นเหตุ มีเวทนาเป็นเหตุเกิด มีเวทนาเป็นกำเนิด มีเวทนาเป็นแดนเกิน ดูกรภิกษุทั้งหลาย เวทนานี้เล่า มีอะไรเป็นต้นเหตุ มีอะไรเป็นเหตุเกิด มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด? เวทนามีผัสสะเป็นต้นเหตุ มีผัสสะเป็นเหตุเกิด มีผัสสะเป็นกำเนิด มีผัสสะเป็นแดนเกิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผัสสะนี้เล่า มีอะไรเป็นต้นเหตุ มีอะไรเป็นเหตุเกิด มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด? ผัสสะมีสฬายตนะเป็นต้นเหตุ มีสฬายตนะเป็นเหตุเกิด มีสฬายตนะ เป็นกำเนิด มีสฬายตนะเป็นแดนเกิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย สฬายตนะนี้เล่า มีอะไรเป็นต้นเหตุ มีอะไรเป็นเหตุเกิด มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด? ดูกรภิกษุทั้งหลาย สฬายตนะ มีนามรูปเป็นต้นเหตุ มีนามรูปเป็นเหตุเกิด มีนามรูปเป็นกำเนิด มีนามรูปเป็นแดนเกิด ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย นามรูปนี้เล่า มีอะไรเป็นต้นเหตุ มีอะไรเป็นเหตุเกิด มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด? นามรูปมีวิญญาณเป็นต้นเหตุ มีวิญญาณเป็นเหตุเกิด มีวิญญาณเป็นกำเนิด มีวิญญาณ เป็นแดนเกิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย วิญญาณนี้เล่า มีอะไรเป็นต้นเหตุ มีอะไรเป็นเหตุเกิด มีอะไร เป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด? วิญญาณมีสังขารเป็นต้นเหตุ มีสังขารเป็นเหตุเกิด มีสังขาร เป็นกำเนิด มีสังขารเป็นแดนเกิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขารนี้เล่า มีอะไรเป็นต้นเหตุ มีอะไร เป็นเหตุเกิด มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด? สังขารมีอวิชชาเป็นต้นเหตุ มีอวิชชา เป็นเหตุเกิด มีอวิชชาเป็นกำเนิด มีอวิชชาเป็นแดนเกิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อใดแล ภิกษุ ละอวิชชาได้แล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว เมื่อนั้น ภิกษุนั้น เพราะสำรอกอวิชชาเสียได้เพราะวิชชา บังเกิดขึ้น ย่อมไม่ถือมั่นกามุปาทาน ย่อมไม่ถือมั่นทิฏฐุปาทาน ย่อมไม่ถือมั่นสีลัพพัตตุปาทาน ย่อมไม่ถือมั่นอัตตวาทุปาทาน เมื่อไม่ถือมั่น ย่อมไม่สะดุ้ง เมื่อไม่สะดุ้ง ย่อมปรินิพพานเฉพาะตน นั่นเทียว เธอย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อ ความเป็นอย่างนี้ มิได้มี ดังนี้.

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นมีใจชื่นชม ยินดีภาษิตของพระผู้มีพระภาค แล้วแล.


  หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หุบปากซะ


 หุบปากซะ
บันทึกการเข้า
armageddon
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 8
*

คะแนนความดี: +2/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 229


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #23 เมื่อ: 24 ธันวาคม 2553 11:07:46 »

อ้างอิง ปารามิตตาสูตร

ไม่มีอวิชชา, และไม่มีความดับลงแห่งอวิชชา;

ไม่มี (กระแสแห่งเหตุปัจจัยที่นำไปสู่)

ความแก่และความตาย,

และไม่มีความดับลงซึ่งความแก่และความตาย.

ไม่มีความทุกข์

และไม่มีต้นเหตุ (แห่งความทุกข์);

ไม่มีความดับลง (แห่งความทุกข์)

และไม่มีมรรค (ทางให้ถึงซึ่งความดับลงแห่งความทุกข์).

ไม่มีการประจักษ์แจ้งและไม่มีการลุถึง,

เพราะไม่มีอะไรที่จะต้องถูกลุถึง.



  หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น

แหม...แหม....แหม....ปารมิตตาสูตร

อะไรอะไร....ของศาสดาท่าน .....ก็ว่างเสียหมด
ว่างเปล่า....จากความรู้ทั่วถึง
ว่างเปล่า....จากการไม่รู้เรืองความเกิด...ดับ
ว่างเปล่า....จากจากการไม่รู้เรื่อง ผู้ยินดี...ยินร้าย
ว่างเปล่า....

ไม่มีอวิชชา และความดับลงแห่งอวิชชา

อะไรๆ ก็ว่าง....

แถม.....ไม่มีมรรค ซะด้วย

วาทะของท่าน ..... ชักจะคล้ายๆ กับ กับวาทะนี้  เลย

ไม่เนื่องด้วยวิถี ......ไม่เนื่องด้วยวิธีการ 
ไม่อะไร...กับอะไร.........นิพพานอยู่แว๊วววววววววว.....



 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น

นี่ก็เป็น อภินิหารย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ .... ของ จูฬสิงหนาทสูตร

จูฬสิงหนาทสูตร สามารถลอกเปลือก แหวก  วาทะ ว่าง...ว่าง....และก็....ว่าง   ของท่านได้
ให้เห็นสภาวะธรรมที่แท้จริงของ ...วาทะ ท่าน



 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น
 หุบปากซะ หุบปากซะ หุบปากซะ



บันทึกการเข้า
เจ้าทึ่ม
one for all, all for one
นักโพสท์ระดับ 5
*****

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 41


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #24 เมื่อ: 24 ธันวาคม 2553 23:05:48 »

เจ้าทึ่มขอนอบน้อมแด่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บรรพบุรุษ ครูบาอาจารย์ มิตรสหาย ตลอดจนทีมงานร่วมอุดมการณ์ทุกท่าน หากความเห็นนี้จะเป็นประโยชน์ต่อท่านบ้างก็ขออุทิศบุญกุศลนี้ให้แก่ท่านทั้งหลายผู้ได้นำไปใช้ประโยชน์ตลอดจนผู้ที่เจ้าทึ่มได้กล่าวนอบน้อมไว้ข้างต้นนั้นเทอญ

กราบคารวะท่าน armageddon และท่าน WangJai ที่เคารพอย่างสูง

เจ้าทึ่มขอขอบพระคุณท่านทั้งสองที่กรุณาส่งเสริมให้เจ้าทึ่มได้ใช้วิบากให้ผ่านพ้นไปหลายส่วน ถือเป็นผู้มีพระคุณยิ่งสำหรับเจ้าทึ่ม ขออานิสงค์นี้ได้ส่งผลให้ท่านทั้งสองมีดวงตาเห็นธรรมและตรงต่อนิพพานยิ่งๆขึ้นไปเทอญ

ผ่านการปฎิบัติด้วยกายวาจาและพิจารณาโดยแยบยลด้วยใจ ธรรมะทั้งหลายย่อมกระจ่างชัดแล้วในใจของเราท่านทั้งหลาย เราจะตำหนิกันและกันไปใย

จำเป็นด้วยหรือที่ "ความถูกต้องของท่าน" จะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐาน "ความผิดของผู้อื่น"

จำเป็นด้วยหรือที่ "ความถูกต้องของผู้อื่น" จะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐาน "ความผิดของท่าน"

ท่านไม่สามารถ "ถูก" ได้ในขณะที่ผู้อื่น "ถูก" ด้วยเลยกระนั้นหรือ

หากผู้อื่น "ผิด" แล้วเราจะต้องทำลายเขาให้ย่อยยับไปกับตาเลยกระนั้นหรือ

หากตัวเรา "ผิด" บ้างเล่า เราสมควรถูกทำลายให้ย่อยยับไปด้วยหรือไม่

ความเข้าใจทั้งหลายจะตรงได้ต้องผ่าน "การปฏิบัติทั้งกายวาจาใจ" สิ่งที่ได้จากการปฏิบัติก็คือความจริงที่เกิดขึ้นจากมุมมองของผู้ปฏิบัติ หากตัวเราไม่ได้ปฏิบัติอย่างเขาเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเขากล่าวเท็จ

หากตัวท่าน "เชื่อ" ใน "กาลามสูตร" แล้วไซร้ ท่านจะบอกได้หรือไม่ว่า "ตนเองเชื่อเพราะอะไร"

ท่านเชื่อกาลามสูตรเพราะเขียนไว้ในสิ่งที่เรียกว่าพระไตรปิฎกใช่หรือไม่
ท่านเชื่อกาลามสูตรเพราะพิจารณาตามตรรกะแล้วเห็นด้วยใช่หรือไม่
ท่านเชื่อกาลามสูตรเพราะเป็นคำกล่าวของครูอาจารย์ใช่หรือไม่
ท่านเชื่อกาลามสูตรเพราะท่านรู้สึกชอบและเห็นด้วยใช่หรือไม่
...แล้วการ "เชื่อ" แบบนี้...
ตรงตามหลักกาลามสูตรที่ท่าน "เชื่อ" หรือไม่

หากตัวท่าน "เชื่อ" ใน "พระไตรปิฎกและพระสูตร" ทั้งหลายแล้วไซร้ ท่านจะบอกได้หรือไม่ว่า "ตนเองเชื่อเพราะเหตุใด"

ท่านเชื่อเพราะพิจารณาตามตรรกะแล้วเห็นด้วยใช่หรือไม่
ท่านเชื่อเพราะเป็นคำกล่าวของครูอาจารย์ใช่หรือไม่
ท่านเชื่อเพราะท่านรู้สึกชอบและเห็นด้วยใช่หรือไม่
...แล้วการ "เชื่อ" แบบนี้...
ตรงตามหลักกาลามสูตรที่ท่าน "เชื่อ" หรือไม่
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24 ธันวาคม 2553 23:30:15 โดย เจ้าทึ่ม » บันทึกการเข้า

น้อมคารวะบรรพบุรุษครูบาอาจารย์และทีมงาน
armageddon
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 8
*

คะแนนความดี: +2/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 229


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #25 เมื่อ: 24 ธันวาคม 2553 23:29:15 »

เจ้าทึ่มขอนอบน้อมแด่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บรรพบุรุษ ครูบาอาจารย์ มิตรสหาย ตลอดจนทีมงานร่วมอุดมการณ์ทุกท่าน หากความเห็นนี้จะเป็นประโยชน์ต่อท่านบ้างก็ขออุทิศบุญกุศลนี้ให้แก่ท่านทั้งหลายผู้ได้นำไปใช้ประโยชน์ตลอดจนผู้ที่เจ้าทึ่มได้กล่าวนอบน้อมไว้ข้างต้นนั้นเทอญ

กราบคารวะท่าน armageddon และท่าน WangJai ที่เคารพอย่างสูง

เจ้าทึ่มขอขอบพระคุณท่านทั้งสองที่กรุณาส่งเสริมให้เจ้าทึ่มได้ใช้วิบากให้ผ่านพ้นไปหลายส่วน ถือเป็นผู้มีพระคุณยิ่งสำหรับเจ้าทึ่ม ขออานิสงค์นี้ได้ส่งผลให้ท่านทั้งสองมีดวงตาเห็นธรรมและตรงต่อนิพพานยิ่งๆขึ้นไปเทอญ

ผ่านการปฎิบัติด้วยกายวาจาและพิจารณาโดยแยบยลด้วยใจ ธรรมะทั้งหลายย่อมกระจ่างชัดแล้วในใจของเราท่านทั้งหลาย เราจะตำหนิกันและกันไปใย

จำเป็นด้วยหรือที่ "ความถูกต้องของท่าน" จะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐาน "ความผิดของผู้อื่น"

จำเป็นด้วยหรือที่ "ความถูกต้องของผู้อื่น" จะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐาน "ความผิดของท่าน"

ท่านไม่สามารถ "ถูก" ได้ในขณะที่ผู้อื่น "ถูก" ด้วยเลยกระนั้นหรือ

หากผู้อื่น "ผิด" แล้วเราจะต้องทำลายเขาให้ย่อยยับไปกับตาเลยกระนั้นหรือ

หากตัวเรา "ผิด" บ้างเล่า เราสมควรถูกทำลายให้ย่อยยับไปด้วยหรือไม่

ความเข้าใจทั้งหลายจะตรงได้ต้องผ่าน "การปฏิบัติทั้งกายวาจาใจ" สิ่งที่ได้จากการปฏิบัติก็คือความจริงที่เกิดขึ้นจากมุมมองของผู้ปฏิบัติ หากตัวเราไม่ได้ปฏิบัติอย่างเขาเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเขากล่าวเท็จ

หากตัวท่าน "เชื่อ" ใน "กาลามสูตร" แล้วไซร้ ท่านจะบอกได้หรือไม่ว่า "ตนเองเชื่อเพราะอะไร"

ท่านเชื่อกาลามสูตรเพราะเขียนไว้ในสิ่งที่เรียกว่าพระไตรปิฎกใช่หรือไม่
ท่านเชื่อกาลามสูตรเพราะพิจารณาตามตรรกะแล้วเห็นด้วยใช่หรือไม่
ท่านเชื่อกาลามสูตรเพราะเป็นคำกล่าวของครูอาจารย์ใช่หรือไม่
ท่านเชื่อกาลามสูตรเพราะท่านรู้สึกชอบและเห็นด้วยใช่หรือไม่
...แล้วการ "เชื่อ" แบบนี้...
ตรงตามหลักกาลามสูตรที่ท่าน "เชื่อ" หรือไม่

ท่านเชื่อข้อความในพระไตรปิฎกเพราะเหตุใด
ท่านเชื่อเพราะพิจารณาตามตรรกะแล้วเห็นด้วยใช่หรือไม่
ท่านเชื่อเพราะเป็นคำกล่าวของครูอาจารย์ใช่หรือไม่
ท่านเชื่อเพราะท่านรู้สึกชอบและเห็นด้วยใช่หรือไม่
...แล้วการ "เชื่อ" แบบนี้...
ตรงตามหลักกาลามสูตรที่ท่าน "เชื่อ" หรือไม่


คุณเจ้าทึ่มครับ

ผมคงไปส่งเสริมให้คุณใช้วิบากไม่ได้
หรือไปส่งเสริมให้คุณได้รับวิบากใดๆ ก็ไม่ได้
วิบาก เป็นของคุณเอง
เกิดจากอวิชชา กิเลศตัณหาของคุณเอง
คุณมีกรรมเป็นของคุณเอง
เพราะความทึ่มอันเป็นอวิชชาของคุณเอง
กรรมของคุณ  ที่ทำให้พบวิบาก หรือใช้วิบาก
กรรมคุณก่อเอง คุณรับเอง

ฉะนั้น คำอำนวยพรของคุณ ขอให้เก็บไว้ใช้เองเถิด


ธรรมะ ที่เพี้ยนๆของคุณ ที่ไปยกมาแสดง
ที่ขัดต่อพระไตรปิฎก
คุณจะประจักษ์แก่ใจคุณแค่ไหน
มันก็เพี้ยนอยู่ดี
ที่ยกตัวอย่าง มนุษย์เนรยิโก มนุษย์สเปโต
มนุษย์ เดียรฉานโน ก็ประจักษ์ ในธรรมะของตน

แต่มนุษย์เทโว
ก็ประจักษ์ในธรรมะในใจตน เช่นกัน

ถ้าคุณไม่รู้จัก ว่าอะไรคือผิด
ไม่รู้จัก ว่าอะไรคือถูก
อะไรคือธรรมะที่ประจักษ์ ของพระอริยะ
ว่าต่างกับ มนุษย์ เดรฉานโน
คุณก้ยังมืดมาก

ความถูกต้องของมนุษย์ เดรฉานโน ที่คิดว่าตนเองถูกต้อง
ไม่มีมนุษย์เทโว คนไหน ที่เห็นสภาวะธรรมเยี่ยงนั้นถูกต้อง

นี่คือความเห็นถูก เห็นผิด ตามความจริง

ไม่ใช่เดียรถีย์ ที่ไม่เห็นความถูก ไม่เห็นความผิด
ตามความเป็นจริง

 ตกหลุมรัก


บันทึกการเข้า
เจ้าทึ่ม
one for all, all for one
นักโพสท์ระดับ 5
*****

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 41


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #26 เมื่อ: 24 ธันวาคม 2553 23:34:31 »

ฮ่าๆๆๆ
ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบพระคุณอย่างสูง

แล้วเมื่อไหร่จะตอบคำถาม

"ท่านเชื่อข้อความในพระไตรปิฎกเพราะเหตุใด"
"ท่านเชื่อกาลามสูตรเพราะเหตุใด"

กราบคารวะท่าน armageddon

เจ้าทึ่มขอนอบน้อมแด่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บรรพบุรุษ ครูบาอาจารย์ มิตรสหาย ตลอดจนทีมงานร่วมอุดมการณ์ทุกท่าน หากความเห็นนี้จะเป็นประโยชน์ต่อท่านบ้างก็ขออุทิศบุญกุศลนี้ให้แก่ท่านทั้งหลายผู้ได้นำไปใช้ประโยชน์ตลอดจนผู้ที่เจ้าทึ่มได้กล่าวนอบน้อมไว้ข้างต้นนั้นเทอญ

บันทึกการเข้า

น้อมคารวะบรรพบุรุษครูบาอาจารย์และทีมงาน
phonsak
นักโพสท์ระดับ 8
***

คะแนนความดี: +1/-2
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 306


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #27 เมื่อ: 24 ธันวาคม 2553 23:40:40 »

armageddon ชอบมองคนอื่นเป็นเดียรถีย์ เป็นเดรัจฉาน  เห็นว่าความเห็นของคนอื่นผิด  แต่ของตนเองถูกต้อง   

มองไกลตัวไปหรือเปล่าน้องarmageddon   เมื่อไรมองเห็นว่าตัวเองเป็นเป็นเดียรถีย์ เป็นเดรัจฉาน  และเห็นว่าความเห็นของตนเองเป็นมิจฉาทิฏฐิ  เมื่อนั้นเธอจะพบเรา

 ขำ ขำ ขำ
บันทึกการเข้า
armageddon
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 8
*

คะแนนความดี: +2/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 229


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #28 เมื่อ: 24 ธันวาคม 2553 23:42:44 »

เจ้าทึ่มขอนอบน้อมแด่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บรรพบุรุษ ครูบาอาจารย์ มิตรสหาย ตลอดจนทีมงานร่วมอุดมการณ์ทุกท่าน หากความเห็นนี้จะเป็นประโยชน์ต่อท่านบ้างก็ขออุทิศบุญกุศลนี้ให้แก่ท่านทั้งหลายผู้ได้นำไปใช้ประโยชน์ตลอดจนผู้ที่เจ้าทึ่มได้กล่าวนอบน้อมไว้ข้างต้นนั้นเทอญ

กราบคารวะท่าน armageddon และท่าน WangJai ที่เคารพอย่างสูง

เจ้าทึ่มขอขอบพระคุณท่านทั้งสองที่กรุณาส่งเสริมให้เจ้าทึ่มได้ใช้วิบากให้ผ่านพ้นไปหลายส่วน ถือเป็นผู้มีพระคุณยิ่งสำหรับเจ้าทึ่ม ขออานิสงค์นี้ได้ส่งผลให้ท่านทั้งสองมีดวงตาเห็นธรรมและตรงต่อนิพพานยิ่งๆขึ้นไปเทอญ

ผ่านการปฎิบัติด้วยกายวาจาและพิจารณาโดยแยบยลด้วยใจ ธรรมะทั้งหลายย่อมกระจ่างชัดแล้วในใจของเราท่านทั้งหลาย เราจะตำหนิกันและกันไปใย

จำเป็นด้วยหรือที่ "ความถูกต้องของท่าน" จะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐาน "ความผิดของผู้อื่น"

จำเป็นด้วยหรือที่ "ความถูกต้องของผู้อื่น" จะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐาน "ความผิดของท่าน"

ท่านไม่สามารถ "ถูก" ได้ในขณะที่ผู้อื่น "ถูก" ด้วยเลยกระนั้นหรือ

หากผู้อื่น "ผิด" แล้วเราจะต้องทำลายเขาให้ย่อยยับไปกับตาเลยกระนั้นหรือ

หากตัวเรา "ผิด" บ้างเล่า เราสมควรถูกทำลายให้ย่อยยับไปด้วยหรือไม่

ความเข้าใจทั้งหลายจะตรงได้ต้องผ่าน "การปฏิบัติทั้งกายวาจาใจ" สิ่งที่ได้จากการปฏิบัติก็คือความจริงที่เกิดขึ้นจากมุมมองของผู้ปฏิบัติ หากตัวเราไม่ได้ปฏิบัติอย่างเขาเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเขากล่าวเท็จ

หากตัวท่าน "เชื่อ" ใน "กาลามสูตร" แล้วไซร้ ท่านจะบอกได้หรือไม่ว่า "ตนเองเชื่อเพราะอะไร"

ท่านเชื่อกาลามสูตรเพราะเขียนไว้ในสิ่งที่เรียกว่าพระไตรปิฎกใช่หรือไม่
ท่านเชื่อกาลามสูตรเพราะพิจารณาตามตรรกะแล้วเห็นด้วยใช่หรือไม่
ท่านเชื่อกาลามสูตรเพราะเป็นคำกล่าวของครูอาจารย์ใช่หรือไม่
ท่านเชื่อกาลามสูตรเพราะท่านรู้สึกชอบและเห็นด้วยใช่หรือไม่
...แล้วการ "เชื่อ" แบบนี้...
ตรงตามหลักกาลามสูตรที่ท่าน "เชื่อ" หรือไม่

ท่านเชื่อข้อความในพระไตรปิฎกเพราะเหตุใด
ท่านเชื่อเพราะพิจารณาตามตรรกะแล้วเห็นด้วยใช่หรือไม่
ท่านเชื่อเพราะเป็นคำกล่าวของครูอาจารย์ใช่หรือไม่
ท่านเชื่อเพราะท่านรู้สึกชอบและเห็นด้วยใช่หรือไม่
...แล้วการ "เชื่อ" แบบนี้...
ตรงตามหลักกาลามสูตรที่ท่าน "เชื่อ" หรือไม่


คุณเจ้าทึ่มครับ
ความทึ่มเป็นอวิชชา
ทำคุณให้ไม่รู้จักกาลามาสูตร
ที่คุณถามมา นั่นก็แสดงความทึ่มพอสมควรแก่ฐานะของคุณ

ให้คุณกลับไป ศึกษากาลามะสูตรให้ดีก่อน
ที่จะมาถาม
ให้ไปอ่าน วรรคสุดท้าย ให้เข้าใจเสียก่อน
แล้วจะรู้ว่า

เหตุใด พระพุทธเจ้า กล่าวกาลามะสูตร กับชาวกาลามะ
แต่ไม่มีชาวกาลามะสักคน ที่สงสัย
หรือไม่เชื่อพระพุทธองค์
ชาวกาลามะเหล่านั้น เข้าถึงโสดาบันผล
เพราะเชื่อพระพุทธองค์

ทั้งๆที่ในสูตรนั้น
กล่าวว่า อย่าเชื่อๆๆๆๆๆๆๆ

ความทึ่มของคุณ จึงอ่านกาลามาสูตร ได้แค่พิ้นผิวเท่านั้น

และความเห็นผิด ความเห็นเพี้ยนๆ ของคุณ
ที่ได้ชี้ไปแล้ว
นั่นแหละ คือสิ่งที่สมควรทำลายให้ย่อยยับ

ไม่ใช่แค่กล่าววาทะ
อย่างเช่น ไม่เนื่องด้วยวิธีการ ไม่เนื่องด้วยวิถี
นิพพานอยู่แว๊ววววววววว

แล้วคิดว่านั่นคือนิพพาน

นั่นคือ วาทะเดียรถีย์ ที่ไม่มีมรรค
เพราะความทึ่ม ความไม่รอบรู้ ที่จะแสดงธรรม

กลับไปสำนึกกรรม ตระหนักในกรรมให้ได้ก่อน
วิบากคุณ คุณก่อเอง
คุณย่อมเป็นไปตามกรรมคุณเอง
ไม่มีใครสร้างให้คุณ รับกรรมเอง ใช้วิบากไปเองครับ

 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น




บันทึกการเข้า
armageddon
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 8
*

คะแนนความดี: +2/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 229


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #29 เมื่อ: 24 ธันวาคม 2553 23:53:30 »

armageddon ชอบมองคนอื่นเป็นเดียรถีย์ เป็นเดรัจฉาน  เห็นว่าความเห็นของคนอื่นผิด  แต่ของตนเองถูกต้อง   

มองไกลตัวไปหรือเปล่าน้องarmageddon   เมื่อไรมองเห็นว่าตัวเองเป็นเป็นเดียรถีย์ เป็นเดรัจฉาน  และเห็นว่าความเห็นของตนเองเป็นมิจฉาทิฏฐิ  เมื่อนั้นเธอจะพบเรา

 ขำ ขำ ขำ

 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น

ฮ่าๆๆๆ
ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบพระคุณอย่างสูง

แล้วเมื่อไหร่จะตอบคำถาม

"ท่านเชื่อข้อความในพระไตรปิฎกเพราะเหตุใด"
"ท่านเชื่อกาลามสูตรเพราะเหตุใด"

กราบคารวะท่าน armageddon

เจ้าทึ่มขอนอบน้อมแด่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บรรพบุรุษ ครูบาอาจารย์ มิตรสหาย ตลอดจนทีมงานร่วมอุดมการณ์ทุกท่าน หากความเห็นนี้จะเป็นประโยชน์ต่อท่านบ้างก็ขออุทิศบุญกุศลนี้ให้แก่ท่านทั้งหลายผู้ได้นำไปใช้ประโยชน์ตลอดจนผู้ที่เจ้าทึ่มได้กล่าวนอบน้อมไว้ข้างต้นนั้นเทอญ



 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น

เห็นเดียรรัจฉาน ก็ต้องบอกว่าเดียรัจฉาน
เห็นเดียรถีย์ ก็ต้องบอกว่าเดียรถีย์
เห็นมารพลศักดิ์ แถไถมา
ก็ต้องบอก ว่าแถไปแถมา
นี่คือเห็นตามความเป็นจริง โดยไม่มีสิ่งปิดบังอำพราง

 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น

บันทึกการเข้า
เจ้าทึ่ม
one for all, all for one
นักโพสท์ระดับ 5
*****

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 41


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #30 เมื่อ: 24 ธันวาคม 2553 23:59:51 »

กราบคารวะท่าน armageddon

"ท่านเชื่อข้อความในพระไตรปิฎกเพราะเหตุใด"
"ท่านเชื่อกาลามสูตรเพราะเหตุใด"

คำถามนี้ตอบไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะ เอาไว้แค่นี้ก็แล้วกัน
ราตรีสวัสดิ์จ้า

เจ้าทึ่มขอนอบน้อมแด่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บรรพบุรุษ ครูบาอาจารย์ มิตรสหาย ตลอดจนทีมงานร่วมอุดมการณ์ทุกท่าน หากความเห็นนี้จะเป็นประโยชน์ต่อท่านบ้างก็ขออุทิศบุญกุศลนี้ให้แก่ท่านทั้งหลายผู้ได้นำไปใช้ประโยชน์ตลอดจนผู้ที่เจ้าทึ่มได้กล่าวนอบน้อมไว้ข้างต้นนั้นเทอญ
บันทึกการเข้า

น้อมคารวะบรรพบุรุษครูบาอาจารย์และทีมงาน
armageddon
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 8
*

คะแนนความดี: +2/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 229


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #31 เมื่อ: 25 ธันวาคม 2553 00:05:07 »

กราบคารวะท่าน armageddon

"ท่านเชื่อข้อความในพระไตรปิฎกเพราะเหตุใด"
"ท่านเชื่อกาลามสูตรเพราะเหตุใด"

คำถามนี้ตอบไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะ เอาไว้แค่นี้ก็แล้วกัน
ราตรีสวัสดิ์จ้า

เจ้าทึ่มขอนอบน้อมแด่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บรรพบุรุษ ครูบาอาจารย์ มิตรสหาย ตลอดจนทีมงานร่วมอุดมการณ์ทุกท่าน หากความเห็นนี้จะเป็นประโยชน์ต่อท่านบ้างก็ขออุทิศบุญกุศลนี้ให้แก่ท่านทั้งหลายผู้ได้นำไปใช้ประโยชน์ตลอดจนผู้ที่เจ้าทึ่มได้กล่าวนอบน้อมไว้ข้างต้นนั้นเทอญ


คุณเจ้าทึ่ม นี่ทึ่มสมชื่อ
กระทู้ข้างบน ที่พูดเรืองกาลามาสูตร
นั่นแสดงคำตอบเสร็จสิ้น สนิท ไปเรียบร้อยแล้ว
รวมทั้งคำตอบของ พวกกาลามะชนทั้งปวง
ที่เหตุใด เชื่อพระพุทธองค์

ทั้งๆที่ กาลามาสูตร กล่าวว่า อย่าเชื่อๆๆๆๆ

ทึ่มชมัด  ช๊อค


ก่อนนอน ก็ฝากภาษิต
วัวเห็นแกหญ้า ขี้ข้าเห็นแก่นอน
ไปนอนฝันดีนะครับ

 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น
บันทึกการเข้า
เจ้าทึ่ม
one for all, all for one
นักโพสท์ระดับ 5
*****

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 41


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #32 เมื่อ: 25 ธันวาคม 2553 10:33:13 »

กราบคารวะท่าน armageddon

เจ้าทึ่มถามถึง "ตัวท่าน"
ไม่ได้ถามถึง "พวกกาลามะชนทั้งปวง"

"ท่านเชื่อข้อความในพระไตรปิฎกเพราะเหตุใด"
"ท่านเชื่อกาลามสูตรเพราะเหตุใด"

การถกธรรมะนั้น หากมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดและปรับความเข้าใจเพื่อประโยชน์แก่กันและกันแล้ว เราก็ควรตอบในสิ่งที่เราได้รับการถามด้วยใจซื่อตรง ชัยชนะจะเกิดแก่เราได้ก็ต่อเมื่อเราได้พัฒนาความเห็นของตัวเราให้ตรงขึ้น ไม่เกี่ยวกับการกระทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเดือดดาลหรือเจ็บช้ำน้ำใจแต่ประการใด เมื่อเราถกธรรมะแล้วพบว่าใจเราไม่ปลอดโปร่ง นั่นแสดงว่าเรายังไม่เข้าใจในสิ่งที่ตนกล่าวออกไป เรายังมีการบ้านต้องทำต่อ เราก็เพียงแต่กลับไปพิจารณา ทดลองปฏิบัติต่อไปจนเข้าใจ...ก็เท่านั้นเอง

หากเราปรารถนาจะทำร้ายกันและกันแล้วก็ทำได้หลายประการ ไม่จำเป็นต้องพาดพิงถึงพระธรรมใดๆ ท่านปรารถนาจะทำร้ายเจ้าทึ่มใช่หรือไม่ ? หากเป็นเช่นนั้นก็ถือว่าท่านได้ประกาศเจตนารมณ์ไปเรียบร้อยแล้ว ไม่จำเป็นต้องพาดพิงถึง "กาลามสูตร" หรือ "ปรัชญาปารมิตา" ต่อไปอีก

เจ้าทึ่มขอนอบน้อมแด่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บรรพบุรุษ ครูบาอาจารย์ มิตรสหาย ตลอดจนทีมงานร่วมอุดมการณ์ทุกท่าน หากความเห็นนี้จะเป็นประโยชน์ต่อท่านบ้างก็ขออุทิศบุญกุศลนี้ให้แก่ท่านทั้งหลายผู้ได้นำไปใช้ประโยชน์ตลอดจนผู้ที่เจ้าทึ่มได้กล่าวนอบน้อมไว้ข้างต้นนั้นเทอญ
บันทึกการเข้า

น้อมคารวะบรรพบุรุษครูบาอาจารย์และทีมงาน
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 8.0.552.224 Chrome 8.0.552.224


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #33 เมื่อ: 25 ธันวาคม 2553 11:10:48 »


เวรกรรม

ดริฟกันสนั่นเมือง



บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
armageddon
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 8
*

คะแนนความดี: +2/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 229


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #34 เมื่อ: 25 ธันวาคม 2553 15:18:07 »

กราบคารวะท่าน armageddon

เจ้าทึ่มถามถึง "ตัวท่าน"
ไม่ได้ถามถึง "พวกกาลามะชนทั้งปวง"

"ท่านเชื่อข้อความในพระไตรปิฎกเพราะเหตุใด"
"ท่านเชื่อกาลามสูตรเพราะเหตุใด"

การถกธรรมะนั้น หากมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดและปรับความเข้าใจเพื่อประโยชน์แก่กันและกันแล้ว เราก็ควรตอบในสิ่งที่เราได้รับการถามด้วยใจซื่อตรง ชัยชนะจะเกิดแก่เราได้ก็ต่อเมื่อเราได้พัฒนาความเห็นของตัวเราให้ตรงขึ้น ไม่เกี่ยวกับการกระทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเดือดดาลหรือเจ็บช้ำน้ำใจแต่ประการใด เมื่อเราถกธรรมะแล้วพบว่าใจเราไม่ปลอดโปร่ง นั่นแสดงว่าเรายังไม่เข้าใจในสิ่งที่ตนกล่าวออกไป เรายังมีการบ้านต้องทำต่อ เราก็เพียงแต่กลับไปพิจารณา ทดลองปฏิบัติต่อไปจนเข้าใจ...ก็เท่านั้นเอง

หากเราปรารถนาจะทำร้ายกันและกันแล้วก็ทำได้หลายประการ ไม่จำเป็นต้องพาดพิงถึงพระธรรมใดๆ ท่านปรารถนาจะทำร้ายเจ้าทึ่มใช่หรือไม่ ? หากเป็นเช่นนั้นก็ถือว่าท่านได้ประกาศเจตนารมณ์ไปเรียบร้อยแล้ว ไม่จำเป็นต้องพาดพิงถึง "กาลามสูตร" หรือ "ปรัชญาปารมิตา" ต่อไปอีก

เจ้าทึ่มขอนอบน้อมแด่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บรรพบุรุษ ครูบาอาจารย์ มิตรสหาย ตลอดจนทีมงานร่วมอุดมการณ์ทุกท่าน หากความเห็นนี้จะเป็นประโยชน์ต่อท่านบ้างก็ขออุทิศบุญกุศลนี้ให้แก่ท่านทั้งหลายผู้ได้นำไปใช้ประโยชน์ตลอดจนผู้ที่เจ้าทึ่มได้กล่าวนอบน้อมไว้ข้างต้นนั้นเทอญ


 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น

สำนวนขอคารวะนั้น ให้เก็บไว้เองเถิดครับ
อย่าพูดให้เปลืองพลังงาน เสียประโยชน์เปล่าๆ

แค่ปากพุดเท่านั้น มันไม่ได้กลั่นออกมาจากใจ
พูดออกมาเป็นสิ่งที่ไร้ประโยน์

กาลามาสูตร ก็สอนให้เห็นสิ่ง ที่มีประโยชน์ และไร้ประโยน์ ได้ง่ายๆๆ
ฉะนั้น เก็บคำพูดปากเปล่าๆ ที่ไม่ได้กลั่นออกมาจากใจ
เอาไปเถิดครับ

เมื่อคุณเจ้าทึ่ม ยังอ่านไม่เข้าใจ ว่าทำไม ถึงเชื่อกาลามาสูตร
และคำตอบ ก็บอกแล้ว ว่าคนทั้งหมด ชาวกาลามะทั้งหมด ที่เชื่อพระพุทธเจ้า ที่เชื่อโดยกาลามาสูตร นั้นเห็นเช่นไร
แม้ชาวกาลามะจะเห็นได้เพียงไม่มาก อย่างน้อยๆ ก็ได้เห้นพระธรรม จนถึงโลกุตรธรรม กันถ้วนหน้า


คุณเจ้าทึ่ม ก็ยังทึ่มสมฐานานุภาพเสียจริงๆ ทึ่มอมตะจริงๆ

ข้าพเจ้า ก็จะตอบท่านเจ้าทึ่ม ว่า
ความเชื่อที่ข้าพเจ้าเชื่อ
เชื่อ ในกาลามาสูตร เพราะเห็นอย่างเดียวกัน รู้อย่างเดียวกัน เชื่ออย่างเดียวกัน  และเข้าใจอย่างเดียวกัน
ในสัจธรรมอันเดียวกัน   ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ในกาลามาสูตร
และเป็นความเชื่อด้วยความแผ่ไพบูลย์ อันโล่งโปร่งทั้งสิบทิศ ของใจ
ไม่มีอะไรที่สะดุดด้วยความไม่เข้าใจ

นั่นคือผล ของ กาลามาสูตร ที่เข้าถึงใจ
อันเป็นความเห็นเดียวกัน รู้เดียวกัน เข้าใจเดียวกัน
เป็นผลของกาลามาสูตร

คุณเจ้าทึ่มเอ๋ย
คำแนะนำ อันวิปริต ของคุณ ที่จะมาแนะนำ ให้ทำร้ายกัน โดยไม่อาศัยพระธรรม
เป็นข้อเสนออันมืดบอด ทึ่มสมฐานะคุณโดยแท้

การทำร้ายกัน โดยไม่อาศัยธรรมะ
นั่นเป็นวิสัย ของมนุษย์เดียรัจฉาน  มนุษย์สเปโต มนุษย์เนรยิโก

มนุษย์ภูโต ธรรมดาๆ ยังยอมรับข้อเสนอของคุณที่ให้ทำร้ายกัน โดยไม่มีพระธรรมเลย  ยังยอมรับไม่ได้
คำเสนอของคุณที่ไม่อ้างอิงพระไตรปิฎก ไม่อ้างอิงพระธรรม  ช่างวิปริตทึ่มสมฐานานุภาพ ของคุณจริงๆ

ถ้าเห็นว่า เป็นการติเตียน เป็นการตำหนิ
นั่นก็เป็นมิจฉาทิฎฐิ ของคุณเอง

เพราะสภาวะที่ไม่อาจเลือกเฟ้นพระธรรมในข้อความที่โพสต์ได้

สิ่งที่ทำ ก็คือ ทำลายอวิชชา ความหลงผิด
เป็นทิฎฐิอันวิปริต ของคุณทึ่ม

ถ้าคุณเห้นว่า การยกพระธรรมมาชี้ความเห็นอันวิปริตของคุณ  มาทำลายอวิชชาของคุณทึ่ม เป็นการทำร้ายคุณทึ่ม

นั่นก็แสดงสภาวะ มนุษย์สามประเภท ที่ไม่เห็นธรรมะ
ไม่ได้ประโยชน์ อะไรจากธรรมะ
คือไม่รู้จักสิ่งที่เป็นประโยชน์ และไม่เป็นประโยชน์
อย่างกาลามาสูตร กล่าวไว้เลย

ที่มชมัด
 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น



บันทึกการเข้า
WangJai
นักโพสท์ระดับ 5
*****

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 34


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 3.0.13 Firefox 3.0.13


ดูรายละเอียด
« ตอบ #35 เมื่อ: 25 ธันวาคม 2553 16:01:12 »

กราบคารวะท่าน armageddon

เจ้าทึ่มถามถึง "ตัวท่าน"
ไม่ได้ถามถึง "พวกกาลามะชนทั้งปวง"

"ท่านเชื่อข้อความในพระไตรปิฎกเพราะเหตุใด"
"ท่านเชื่อกาลามสูตรเพราะเหตุใด"

การถกธรรมะนั้น หากมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดและปรับความเข้าใจเพื่อประโยชน์แก่กันและกันแล้ว เราก็ควรตอบในสิ่งที่เราได้รับการถามด้วยใจซื่อตรง ชัยชนะจะเกิดแก่เราได้ก็ต่อเมื่อเราได้พัฒนาความเห็นของตัวเราให้ตรงขึ้น ไม่เกี่ยวกับการกระทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเดือดดาลหรือเจ็บช้ำน้ำใจแต่ประการใด เมื่อเราถกธรรมะแล้วพบว่าใจเราไม่ปลอดโปร่ง นั่นแสดงว่าเรายังไม่เข้าใจในสิ่งที่ตนกล่าวออกไป เรายังมีการบ้านต้องทำต่อ เราก็เพียงแต่กลับไปพิจารณา ทดลองปฏิบัติต่อไปจนเข้าใจ...ก็เท่านั้นเอง

หากเราปรารถนาจะทำร้ายกันและกันแล้วก็ทำได้หลายประการ ไม่จำเป็นต้องพาดพิงถึงพระธรรมใดๆ ท่านปรารถนาจะทำร้ายเจ้าทึ่มใช่หรือไม่ ? หากเป็นเช่นนั้นก็ถือว่าท่านได้ประกาศเจตนารมณ์ไปเรียบร้อยแล้ว ไม่จำเป็นต้องพาดพิงถึง "กาลามสูตร" หรือ "ปรัชญาปารมิตา" ต่อไปอีก

เจ้าทึ่มขอนอบน้อมแด่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บรรพบุรุษ ครูบาอาจารย์ มิตรสหาย ตลอดจนทีมงานร่วมอุดมการณ์ทุกท่าน หากความเห็นนี้จะเป็นประโยชน์ต่อท่านบ้างก็ขออุทิศบุญกุศลนี้ให้แก่ท่านทั้งหลายผู้ได้นำไปใช้ประโยชน์ตลอดจนผู้ที่เจ้าทึ่มได้กล่าวนอบน้อมไว้ข้างต้นนั้นเทอญ


เจ้าทึ่มเอ๋ย อย่างเจ้านี้ไม่ใช่แค่ทึ่มธรรมดาซะแล้ว
แต่ว่า โค-ตะ-ระ-ทึ่ม เลยละ

เจ้าไม่รู้ว่าการแสดงความศรัทธาใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั้น
ไม่ใช่แค่มากล่าวคำ ขอนอบน้อม ฯ เพื่อปกป้องอัตตาตัวเอง
แต่ด้วยการเชื่อใจ ไว้ใจ วางใจ ในธรรมที่พระองค์ทรงสั่งสอน

แม้ว่าเจ้าจะออกมาแสดงความนอบน้อมถ่อมตน ด้วยการกล่าวคำคารวะ หรือกล่าวคำนอบน้อม ฯ
แต่การเสแสร้งด้วยเอาความคิดมิจฉาทิฏฐิแบบทึ่มๆ มาใช้
จึงไม่อาจปกปิดตัวตนแท้จริงของเจ้าได้ ว่าเจ้านั้นสำคัญตนขนาดไหน
 
ชาวกาลามะ เมื่อได้ฟังธรรมจากพระพุทธองค์ก็ยอมละวางทิฏฐิของตัวเอง
เชื่อตามพระพุทธเจ้าด้วยศรัทธาอย่างถึงใจ

แต่เจ้าทึ่มผู้กล่าวคำขอนอบน้อมแด่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ฯ อยู่ทุกกระทู้
ยังคิดที่จะลองผิดลองถูกด้วยการเอามิจฉาทิฏฐิของตนเองมาพัฒนาความยึดมั่นในตนเองอีก
เพราะว่าเจ้านั้นทึ่มสมชื่อเสียจริงๆ
จึงไม่เห็นว่าธรรมเหล่าใดเป็นอกุศล ธรรมเหล่าใดมีโทษ เป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์อย่างบริบูรณ์ ฯ
เจ้าจึงยึดมั่นถือมั่นในความคิดและวิธีการของตนเองอย่างเหนียวแน่น

เมื่อเจ้ายังต้องการความเข้าใจ นั่นยิ่งทำให้เจ้าห่างไกลจากสิ่งนั้น
ขณะถูกกระทบเจ้าคิดแต่ว่าตัวเองถูกทำร้ายให้เจ็บช้ำน้ำใจ
ไหลตามความคิดมิจฉาทิฏฐิจนมาร้องโอดครวญ
ไม่อาจนำความเข้าใจในสัมมาทิฏฐิมาใช้ได้เลย

กราบบูชาพระคุณพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ขออานิสงส์นี้ถึงแก่เจ้าทึ่ม ขอให้เจ้าทึ่มได้ดวงตาเห็นธรรม หายทึ่มจากมิจฉาทิฏฐิด้วยเถิด
บันทึกการเข้า
WangJai
นักโพสท์ระดับ 5
*****

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 34


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 3.0.13 Firefox 3.0.13


ดูรายละเอียด
« ตอบ #36 เมื่อ: 25 ธันวาคม 2553 16:05:39 »


เกสปุตตสูตร (กาลามสูตร)
ว่าด้วย ข้อห้ามมิให้เชื่อโดยอาการ ๑๐ อย่าง
พระไตรปีฎกภาษาไทย ฉบับหลวง พ.ศ. ๒๕๒๕
เล่ม ๒๐ ข้อ ๕๐๕ หน้า ๑๗๙ - ๑๘๔

{น.๑๗๙}[๕๐๕]  สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปในโกศลชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จถึงนิคมของพวกกาลามะ ชื่อว่าเกสปุตตะ พวกชนกาลามโคตรชาวเกสปุตตนิคม ได้สดับข่าวมาว่า พระสมณโคดมศากยบุตรทรงผนวชจากศากยสกุลแล้ว เสด็จมาถึงเกสปุตตนิคม โดยลำดับ

ก็กิตติศัพท์อันงามของพระสมณโคดมพระองค์นั้นแล ขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์... ทรงเบิกบานแล้ว ทรงจำแนกธรรม พระองค์ทรงทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลกให้แจ้งชัด ด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม พระองค์ทรงแสดงธรรมไพเราะในเบื้องต้น ไพเราะในท่ามกลาง ไพเราะในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ก็การได้เห็นพระอรหันต์ทั้งหลาย เห็นปานนั้น ย่อมเป็นความดีแล

ครั้งนั้น ชนกาลามโคตร ชาวเกสปุตตนิคมได้เข้าไปเฝ้าผู้มีพระภาคเจ้าจนถึงที่ประทับ บางพวกถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง บางพวกได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง บางพวกนั่งประนมมือไปทางพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง บางพวกประกาศชื่อและโคตรแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง บางพวกนั่งเฉยๆ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

เมื่อต่างก็นั่งลงเรียบร้อยแล้ว จึงได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า พระเจ้าข้า มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งมายังเกสปุตตนิคม สมณพราหมณ์พวกนั้น พูดประกาศแต่เฉพาะวาทะของตัวเท่านั้น ส่วนวาทะของผู้อื่นช่วยกันกระทบกระเทียบ ดูหมิ่น พูดกด ทำให้ไม่น่าเชื่อ พระเจ้าข้า มีสมณพราหมณ์อีกพวกหนึ่งมายังเกสปุตตนิคม ถึงพราหมณ์พวกนั้น ก็พูดประกาศแต่เฉพาะวาทะของตนเท่านั้น ส่วนวาทะของผู้อื่นช่วยกันกระทบกระเทียบ ดูหมิ่น พูดกด ทำให้ไม่น่าเชื่อ พระเจ้าข้า พวกข้าพระองค์ยังมีความเคลือบแคลงสงสัย ในสมณพราหมณ์เหล่านั้นอยู่ทีเดียวว่า ท่านสมณพราหมณ์เหล่านั้น ใครพูดจริง ใครพูดเท็จ

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ก็ควรแล้วที่ท่านทั้งหลายจะเคลือบแคลงสงสัย และท่านทั้งหลายเกิดความเคลือบแคลงสงสัยในฐานะที่ควรแล้ว มาเถิดท่านทั้งหลาย
ท่านทั้งหลายอย่าได้เชื่อถือตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา อย่าได้เชื่อถือ ตามถ้อยคำสืบๆ กันมา อย่าได้เชื่อถือ โดยตื่นข่าวว่าได้ยินอย่างนี้ {น.๑๘๐}อย่า ได้เชื่อถือ โดยอ้างตำรา อย่าได้เชื่อถือโดยเดาเอาเอง อย่าได้เชื่อถือโดยคาดคะเน อย่าได้เชื่อถือโดยความตรึกตามอาการ อย่าได้เชื่อถือโดยชอบใจว่าต้องกันกับทิฏฐิของตัว อย่าได้เชื่อถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้ อย่าได้เชื่อถือ โดย ความนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา

เมื่อใดท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นอกุศล ธรรมเหล่านี้มีโทษ ธรรมเหล่านี้ผู้รู้ติเตียน ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้ บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์ เมื่อนั้นท่านทั้งหลายควรละธรรมเหล่านั้นเสีย

ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน?
ความโลภ เมื่อเกิดขึ้นในภายในบุรุษย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ หรือเพื่อสิ่งไม่ เป็นประโยชน์
   พวกชนกาลามโคตร ต่างกราบทูลว่า เพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ พระเจ้าข้า
พ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ก็บุคคลผู้โลภ ถูกความโลภครอบงำ มีจิตอันความโลภ กลุ้มรุมนี้ ย่อมฆ่าสัตว์ก็ได้ ลักทรัพย์ก็ได้ คบชู้ก็ได้ พูดเท็จก็ได้ สิ่งใดเป็นไปเพื่อสิ่ง ไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์สิ้นกาลนาน บุคคลผู้โลภย่อมชักชวนผู้อื่นเพื่อความเป็นอย่างนั้นก็ได้
กา. จริงอย่างนั้น พระเจ้าข้า

พ. ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน?
ความโกรธเมื่อเกิดขึ้นในภายในบุรุษ ย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ หรือเพื่อสิ่งไม่ใช่ประโยชน์?
   กา. เพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ พระเจ้าข้า
พ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ก็บุคคลผู้โกรธ ถูกความโกรธครอบงำ มีจิตอันความ โกรธกลุ้มรุมนี้ ย่อมฆ่าสัตว์ก็ได้ ลักทรัพย์ก็ได้ คบชู้ก็ได้ พูดเท็จก็ได้ สิ่งใดเป็นไปเพื่อ สิ่งไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์สิ้นกาลนาน บุคคลผู้โกรธย่อม ชักชวนผู้อื่นเพื่อความเป็นอย่างนั้นก็ได้
กา. จริงอย่างนั้น พระเจ้าข้า

พ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน?
ความหลงเมื่อเกิดขึ้นในภายในบุรุษ ย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ หรือเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์?
   กา. เพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ พระเจ้าข้า
พ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ก็บุคคลผู้หลง ถูกความหลงครอบงำ มีจิตอันความหลงกลุ้มรุมนี้ ย่อมฆ่าสัตว์ก็ได้ ลักทรัพย์ก็ได้ คบชู้ก็ได้ พูด เท็จก็ได้ สิ่งใดเป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์สิ้นกาลนาน บุคคล ผู้หลงย่อมชักชวนผู้อื่นเพื่อความเป็นอย่างนั้นก็ได้
กา. จริงอย่างนั้น พระเจ้าข้า

{น.๑๘๑}พ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย  ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน? ธรรมเหล่านี้เป็นกุศลหรืออกุศล?
   กา. เป็นอกุศล พระเจ้าข้า
พ. มีโทษหรือไม่มีโทษ?
กา. มีโทษ พระเจ้าข้า
พ. ท่านผู้รู้ติเตียนหรือท่านผู้รู้สรรเสริญ?
กา. ท่านผู้รู้ติเตียน พระเจ้าข้า
พ. ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์  เพื่อทุกข์หรือหาไม่ ในข้อนี้ท่านทั้งหลายมีความเห็นอย่างไร?
กา.ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์ ในข้อนี้ข้าพระองค์ทั้งหลายมีความเห็นเช่นนี้

พ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย เราได้กล่าวคำใดไว้ว่า ดูกรกาลามชนทั้งหลาย มาเถอะท่านทั้งหลาย
 ท่าน ทั้งหลาย อย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟัง.....อย่าได้ยึดถือโดยนับถือว่าสมณะ นี้เป็นครูของเรา  เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ได้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นอกุศล  ธรรมเหล่านี้มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้ติเตียน  ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้ สมบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์ เมื่อนั้นท่านทั้ง หลายควรละธรรมเหล่านั้นเสีย
เพราะอาศัยคำที่เราได้กล่าวไว้แล้วนั้น เราจึงได้กล่าวไว้ดังนี้

ดูกรกาลามชนทั้งหลาย มาเถอะท่านทั้งหลาย
 ท่าน ทั้งหลายอย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา.....อย่าได้ยึดถือโดยความ นับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา เมื่อใดท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ  ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้สรรเสริญ  ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้ บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อสุข เมื่อนั้นท่านทั้งหลายควรเข้าถึงธรรมเหล่านั้นอยู่

ดูกรกาลามชนทั้งหลาย  ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน?
ความไม่โลภเมื่อเกิดขึ้นในภายในบุรุษ ย่อมเกิดเพื่อประโยชน์ หรือเพื่อสิ่งไม่ เป็นประโยชน์?
   กา. เพื่อประโยชน์ พระเจ้าข้า
พ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ก็บุคคลผู้ไม่โลภ ไม่ถูกความโลภครอบงำ มีจิตไม่ถูกความโลภกลุ้มรุมนี้  ย่อมไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่คบชู้ ไม่พูด เท็จ สิ่งใดย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขสิ้นกาลนาน บุคคลผู้ไม่โลภ ย่อมชักชวนผู้อื่นเพื่อความเป็นอย่างนั้น.
{น.๑๘๒}กา. จริงอย่างนั้นพระเจ้าข้า

พ.  ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน?
ความไม่โกรธเมื่อเกิดขึ้นในภายในบุรุษ ย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ หรือเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์?
   กา. เพื่อเป็นประโยชน์ พระเจ้าข้า
พ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ก็บุคคลผู้ไม่โกรธ ไม่ถูกความโกรธครอบงำ มีจิตไม่ถูกความโกรธกลุ้มรุมนี้ ย่อมไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่คบชู้ ไม่ พูดเท็จ สิ่งใดย่อมเป็นไปเพื่อเป็นประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขสิ้นกาลนาน บุคคลผู้ไม่โลภ ย่อมชักชวนผู้อื่นเพื่อความเป็นอย่างนั้น
กา. จริงอย่างนั้นพระเจ้าข้า

พ.  ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน?
ความไม่หลงเมื่อเกิดขึ้นในภายในบุรุษ ย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ หรือเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์?
   กา. เพื่อประโยชน์ พระเจ้าข้า
พ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ก็บุคคลผู้ไม่หลง ไม่ถูกความหลงครอบงำ มีจิตไม่ถูกความหลงกลุ้มรุมนี้ ย่อมไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่คบชู้ ไม่พูด เท็จ สิ่งใดเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขสิ้นกาลนาน บุคคลผู้ไม่หลง ย่อมชักชวนผู้อื่นเพื่อความเป็นอย่างนั้น
กา. จริงอย่างนั้นพระเจ้าข้า

พ.  ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน?  ธรรมเหล่านี้เป็นกุศลหรืออกุศล?
   กา. เป็นกุศล พระเจ้าข้า
พ. มีโทษหรือไม่มีโทษ?
กา. ไม่มีโทษ พระเจ้าข้า
พ. ท่านผู้รู้ติเตียนหรือท่านผู้รู้สรรเสริญ?
กา. ท่านผู้รู้สรรเสริญ พระเจ้าข้า
พ.  ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว  เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล  เพื่อความสุขหรือหาไม่ ในข้อนี้ท่านทั้งหลายมีความเห็นอย่างไร?
กา. ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข ในข้อนี้ข้าพระองค์ทั้งหลายมีความเห็นเช่นนี้

{น.๑๘๓} พ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย เราได้กล่าวคำใดไว้ว่า  ดูกรกาลามชนทั้งหลาย มาเถอะท่านทั้งหลาย
ท่านทั้งหลายอย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา อย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำที่สืบๆ กันมา อย่าได้ยึดถือโดยตื่นข่าวว่าได้ยินว่าอย่างนี้  อย่าได้ยึดถือโดยอ้างตำรา อย่าได้ยึดถือโดยคาดคะเน อย่าได้ยึดถือโดยตรึกตามอาการ อย่าได้ยึดถือโดยชอบ ใจว่าต้องกันกับทิฏฐิของตน อย่าได้ยึดถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรเชื่อได้ อย่าได้ยึดถือโดยความนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้สรรเสริญ ธรรมเหล่านี้ใครสมาทาน ให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรเข้าถึงธรรมเหล่านั้นอยู่
เพราะอาศัยคำที่เราได้กล่าวไว้แล้วนั้น  เราจึงได้กล่าวไว้ดังนี้

ดูกรกาลามชนทั้งหลาย อริยสาวกนั้นปราศจากความโลภ ปราศจากความพยาบาท ไม่หลงแล้วอย่างนี้ มีสัมปชัญญะ มีสติมั่นคง มีใจประกอบด้วยเมตตา  แผ่ไปตลอดทิศหนึ่งอยู่ ทิศที่ ๒ ทิศที่ ๓ ทิศที่ ๔ ก็เหมือนกัน ตามนัยนี้ ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง แผ่ไปตลอดโลก ทั่วสัตว์ทุกเหล่า ในที่ทุกสถาน ด้วยใจ อันประกอบด้วยเมตตาอันไพบูลย์ ถึงความเป็นใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่ มีใจประกอบด้วยกรุณา... มีใจประกอบด้วยมุทิตา... มีใจประกอบด้วยอุเบกขา แผ่ไปตลอดทิศหนึ่งอยู่ ทิศที่ ๒ ทิศที่ ๓ ทิศที่ ๔ ก็เหมือนกัน ตามนัยนี้  ทั้งเบื้องบน  เบื้องล่าง  เบื้องขวาง  แผ่ไปตลอดโลก  ทั่วสัตว์ทุกเหล่า ในที่ทุกสถาน ด้วยใจอันประกอบด้วยอุเบกขาอันไพบูลย์ ถึง ความเป็นใหญ่ หาประมาณมิได้  ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่ 

ดูกรกาลามชนทั้งหลาย  อริยสาวกนั้นมีจิตไม่มีเวรอย่างนี้  มีจิต ไม่มีความเบียดเบียนอย่างนี้  มีจิตไม่เศร้าหมองอย่างนี้ มีจิตผ่องแผ้วอย่างนี้ ย่อมได้รับความอุ่นใจ ๔ ประการ ในปัจจุบันว่า

    ก็ถ้าปรโลกมีจริง ผลวิบากของกรรมทำดีทำชั่วมีจริง เหตุนี้เป็น เครื่องให้เราเมื่อแตกกายตายไป จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ดังนี้ ความอุ่นใจ ข้อที่ ๑ นี้ พระอริยสาวกนั้นได้แล้ว
    ก็ถ้าปรโลกไม่มี ผลวิบากของกรรมทำดีทำชั่วไม่มี เราไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน ไม่มีทุกข์เป็นสุข บริหารตนอยู่ในปัจจุบัน ดังนี้ ความอุ่นใจข้อที่ ๒ นี้ พระอริยสาวกนั้นได้แล้ว
    ก็ถ้าเมื่อบุคคลทำอยู่ ชื่อว่าทำบาป เราไม่ได้คิดความชั่วให้แก่ใคร ๆ  ไหนเลยทุกข์จักมาถูกต้องเรา ผู้ไม่ได้ทำบาปกรรมเล่า ดังนี้ ความอุ่นใจในข้อที่ ๓ นี้ พระอริยสาวกนั้นได้แล้ว
    ก็ถ้าเมื่อบุคคลทำอยู่ ไม่ชื่อว่าทำบาป เราก็ได้พิจารณาเห็นตนว่า เป็นคนบริสุทธิ์แล้วทั้งสองส่วน ดังนี้ ความอุ่นใจในข้อที่ ๔ นี้ พระอริยสาวกนั้นได้แล้ว

ดูกรกาลามชน{น.๑๘๔}ทั้งหลาย  อริยสาวกนั้นมีจิตไม่มีเวรอย่างนี้ มีจิตไม่มีความเบียดเบียนอย่างนี้ มีจิตใจไม่เศร้าหมองอย่างนี้ มีจิตผ่องแผ้วอย่าง นี้ ย่อมได้รับความอุ่นใจ ๔ ประการนี้แลในปัจจุบัน

กา. ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้อนี้เป็นอย่างนั้น ข้าแต่พระสุคต ข้อนี้ เป็นอย่างนั้น ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ พระอริยสาวกนั้น มีจิตไม่มีเวรอย่างนี้ มี จิตไม่มีความเบียดเบียนอย่างนี้ มีจิตไม่เศร้าหมองอย่างนี้  มีจิตผ่องแผ้วอย่างนี้ ท่านย่อมได้ความอุ่นใจ ๔ ประการในปัจจุบัน...

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก  ฯลฯ ขอพระองค์โปรดทรงจำพวกข้าพระองค์ว่า เป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป


http://www.navy.mi.th/newwww/code/special/budham/tp/tp200366.htm
บันทึกการเข้า
WangJai
นักโพสท์ระดับ 5
*****

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 34


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 3.0.13 Firefox 3.0.13


ดูรายละเอียด
« ตอบ #37 เมื่อ: 25 ธันวาคม 2553 16:13:28 »

บทสรรเสริญ พระพุทธคุณ

อิติปิ โส ภะคะวา ( เพราะเหตุอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ) อะระหัง ( เป็นผู้ไกลจากกิเลส ) สัมมาสัมพุทโธ ( เป็นผู้ตรัสรู้ชอบโดยพระองค์เอง ) วิชชาจะระณะสัมปันโน ( เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ ) สุคะโต ( เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี ) โลกะวิทู ( เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง ) อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ ( เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้ อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า ) สัตถา เทวะมนุสสานัง ( เป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ) พุทโธ ( เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม ) ภะคะวาติ. ( เป็นผู้มีความเจริญจำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์ ดังนี้ )

บทสรรเสริญ พระธรรมคุณ

สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ( พระธรรม เป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ) สันทิฏฐิโก ( เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติ พึงเห็นได้ด้วยตนเอง ) อะกาลิโก ( เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล ) เอหิปัสสิโก ( เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกะผู้อื่นว่า ท่านจงมาดูเถิด ) โอปะนะยิโก ( เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว ) ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ. ( เป็นสิ่งที่ผู้รู้ พึงรู้ได้เฉพาะตน ดังนี้ ฯ )

บทสรรเสริญ พระสังฆคุณ

สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ( สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฏิบัติดีแล้ว ) อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ( สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฏิบัติตรงแล้ว ) ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ( สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์แล้ว ) สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ( สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฏิบัติสมควรแล้ว ) ยะทิทัง ( ได้แก่บุคคลเหล่านี้คือ ) จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา ( คู่แห่งบุรุษสี่คู่ นับเรียงตัวได้แปดบุรุษ ) เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ( นั่นแหละ สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ) อาหุเนยโย ( เป็นผู้ควรแก่สักการะที่เขานำมาบูชา ) ปาหุเนยโย ( เป็นผู้ควรแก่สักการะที่จัดไว้ต้อนรับ ) ทักขิเณยโย ( เป็นผู้ควรรับทักษิณาทาน ) อัญชะลีกะระณีโย ( เป็นผู้ที่บุคคลทั่วไปควรทำอัญชลี ) อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ. ( เป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ดังนี้ )

http://th.wikisource.org/wiki/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B8%AA%E0%B8%AF
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 2.0.0.20 Firefox 2.0.0.20


ดูรายละเอียด
« ตอบ #38 เมื่อ: 25 ธันวาคม 2553 17:19:41 »



อนุโมทนาสาธุธรรม อันเป็นสัจจธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าค่ะ น้องๆ สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
บันทึกการเข้า
phonsak
นักโพสท์ระดับ 8
***

คะแนนความดี: +1/-2
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 306


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #39 เมื่อ: 26 ธันวาคม 2553 17:26:23 »

อ้างถึง
ความจริงแล้วคือการยอมรับโดยนัยว่า "อัตตา" นั้นมีธรรมชาติแห่ง "ความแปรปรวน ความไม่เที่ยง"
มิฉะนั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องไปเรียกมันว่า "อมตะ" ตัวอย่างเช่น

"จิต" นั้นมีธรรมชาติแห่งการ "แปรเปลี่ยน"  
บางท่านจึงเรียกสภาวะที่มันอยู่ได้นานโดยไม่แปรเปลี่ยนว่าเป็น "จิตอันบริสุทธิ์ เป็นอมตะ เป็นนิจนิรันดร์"
จุดประสงค์ที่ใช้คำพูดเช่นนั้นก็เพื่อ "หลีกเลี่ยงภาวะสุดโต่งข้างใดข้างหนึ่ง"
ไม่ให้ยึดอย่างสุดโต่งว่า "จิตเป็นอนัตตา"
เนื่องจากนักปฏิบัติธรรมบางท่านเมื่อฝึกมากเข้าก็อาจเผลอไปยึด "อนัตตา" เข้าเป็นตัวเป็นตน
ตั้งหน้าตั้งตาบำเพ็ญทุกขกิริยาเพียงอย่างเดียวเพื่อละอัตตา
ถือเป็น "อัตตกิละมะถานุโยโค" เป็นภาวะสุดโต่งอย่างหนึ่งที่ตรงข้ามกับ "กามะสุขัลลิกานุโยโค"
สิ่งนี้แลที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสเตือนปัญจวคีย์ไว้ในธัมมะจักรกัปปะวตนสูตร
พวกเราควรเข้าใจให้ตรงว่า "จิตนั้นเป็นได้ทั้งอนัตตาและอัตตา...และไม่ควรยึดเป็นสรณะทั้งคู่"

รูปก็คือความว่าง
ความว่างก็คือรูป
แต่รูปก็คือรูป
ความว่างก็คือความว่าง

"สังสารวัฏ" นั้นมีธรรมชาติแห่งการ "แปรเปลี่ยน"
บางท่านจึงเรียกสภาวะที่มันอยู่ได้นานโดยไม่แปรเปลี่ยนว่าเป็น "นิพพาน"
จุดประสงค์ที่ใช้คำพูดเช่นนั้นก็เพื่อชี้ให้สาธุชนเห็นทางเลี่ยง "ภาวะสุดโต่งข้างใดข้างหนึ่ง"
ไม่ให้ยึดอย่างสุดโต่งว่า "นิพพานเป็นอนัตตา"
เนื่องจากนักปฏิบัติธรรมบางท่านเมื่อฝึกมากเข้าก็อาจเผลอไปตั้ง "อนัตตา" เป็นจุดมุ่งหมายสุงสุดในการปฏิบัติธรรม
ถือเป็น "อัตตกิละมะถานุโยโค" เป็นภาวะสุดโต่งอย่างหนึ่งที่ตรงข้ามกับ "กามะสุขัลลิกานุโยโค"
สิ่งนี้แลที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสเตือนปัญจวคีย์ไว้ในธัมมะจักรกัปปะวตนสูตร
พวกเราควรเข้าใจให้ตรงว่า "นิพพานนั้นไม่มีชื่อเรียก...ไม่ว่าจะเป็นอนัตตาหรืออัตตา"

รูปก็คือความว่าง
ความว่างก็คือรูป
แต่รูปก็คือรูป
ความว่างก็คือความว่าง

คำว่า "อัตตา" หรือ "อนัตตา"นั้นเป็นเพียงคำคู่ตรงข้าม
เอาไว้ใช้คู่กันให้เห็น "มัชฌิมาปฏิปทา" เท่านั้น
เป็นเพียง "นิ้ว" ที่ชี้ในทิศตรงข้ามกันให้พวกเรามองเห็นทางเบื้องหน้าเท่านั้น

หากเรายึด "อัตตา" เราก็มองเห็นแต่ดิน
ในกรณีที่เรายึดมั่นในคำพูดมากเกินไปก็เปรียบเสมือนการจ้องมองแต่เพียงนิ้วที่ชี้ลงดิน
...เราไม่มีโอกาสมองเห็นดินด้วยซ้ำไป

หากเรายึด "อนัตตา" เราก็มองเห็นแต่ฟ้า
ในกรณีที่เรายึดมั่นในคำพูดมากเกินไปก็เปรียบเสมือนการจ้องมองแต่เพียงนิ้วที่ชี้ขึ้นฟ้า
...เราไม่มีโอกาสมองเห็นท้องฟ้าด้วยซ้ำไป

เมื่อพวกเรามุ่งมั่นกับการ "ก้มหน้าลงดิน"
ครูบาอาจารย์บางท่านจึง "ชี้ฟ้า" ให้พวกเราได้เงยหน้าขึ้น
จุดมุ่งหมายคือให้เรา "มองเห็นทางเบื้องหน้า"
ไม่ได้ตั้งใจให้เรามองฟ้าหรือมองนิ้วที่ชี้ขึ้นไปบนฟ้าแต่อย่างใด

เมื่อพวกเรามุ่งมั่นกับการ "แหงนหน้าขึ้นมองฟ้า"
ครูบาอาจารย์บางท่านจึง "ชี้ดิน" ให้พวกเราได้ก้มหน้าลง
จุดมุ่งหมายคือให้เรา "มองเห็นทางเบื้องหน้า"
ไม่ได้ตั้งใจให้เรามองดินหรือมองนิ้วที่ชี้ลงไปยังดินแต่อย่างใด
buddhismforliving.weebly.com[/b]

1.  พึงเข้าใจด้วยว่า...พระพุทธเจ้าเป็นผู้ให้นิยามคำว่า อัตตา และอนัตตา ไว้ในอนัตตลักขณะสูตร   ผมไม่ได้เป็นคนให้นิยามแต่อย่างใด

2.  คุณกำลังตีความผิดหลายเรื่อง  ในปรัชญาปารามิตา  จุดมุ่งหมายเพื่อสอนให้เห็นและเพ่งเห็นขันธ์ 5 เป็นความว่างเปล่า จึงจะข้ามพ้นทุกข์ไปได้  ข้อความเต็มๆของพระสูตรบทนี้มีว่า

รูปคือความว่างเปล่า ความว่างเปล่าคือรูป รูปไม่อื่นไปจากความว่างเปล่า ความว่างเปล่าไม่อื่นไปจากรูป  เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณก็ว่างเปล่า

3. คำว่าจิตนั้นมี 2 แบบ 1. จิตที่คิดปรุงแต่ง 2. จิตที่ไม่คิดปรุงแต่ง    

จิตที่คิดปรุงแต่ง ไม่ว่าจะเป็นกุศลหรืออกุศล  มันจะไปสร้างขันธ์ต่างๆของมนุษย์ เทพ พรหม ฯลฯ ขึ้นมา เป็นอายตนะเพื่อเข้าไปอยู่ เมื่อจิตที่ไม่คิดปรุงแต่งเข้าไปอยู่ในขันธ์ หรืออายตนะนั้น  ตัวมันจะพบว่าอายตนะภายในและภายนอกต่างๆที่ปรากฏแก่มัน ล้วนเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง ความทุกข์จึงเกิดขึ้น  เราจึงเรียกภพภูมิและผู้ที่อยู่ในภพภูมินั้นเป็น"อนัตตา"

จิตที่ไม่คิดปรุงแต่ง จริงๆมันก็คิดปรุงแต่งเหมือนกัน เพียงแต่ไม่คิดปรุงแต่งเป็นกุศลเป็นอกุศลเท่านั้น และไม่คิดปรุงแต่งว่านี่เป็นตัวกูของกู  พูดง่ายๆคือ ไม่ยึดติดว่านี่เป็นข้า นี่เป็นของข้าเท่านั้น

คุณยังไม่เข้าใจว่า  พวกเราล้วนเป็นพุทธะ  ขณะนี้พวกเรากำลังฝันอยู่ สรรพสิ่งในความฝัน มันจึงเป็นอนิจจัง เป็นอนัตตา ไม่ใข่ตัวตนและไม่มีตัวตน  เมื่อเรายังไม่ตื่น  เราก็ยังไม่เห็นว่า กูกำลังฝันไปนี่หว่า  ยกเว้นไอ้คนที่ฝันที่เรียกว่า พุทธะ เท่านั้น มันมีตัวตน(อัตตา)

การไปยึดติดว่า นี่เป็นข้า นี่เป็นของข้า แม้ว่าจะน้อยสักเพียงใด จะนำไปสู่ภพภูมิใดภพภูมิหนึ่งในสังสารวัฏฏ์  รูปพรหมและอรูปพรหมต่างๆ ถ้าไม่เข้าใจในจุดนี้  จึงไม่พบพระนิพพาน พระนิพพานเป็นจุดกึ่งกลางระหว่างรูปภพและอรูปภพ ไม่รับกิเลสตัณหาและความสุขของภพภูมิใดทั้งนั้น ไม่รับทั้งรูปและอรูปทั้งนั้น  จึงเกิดธรรมกาย ซึ่งอยู่ตรงกลางระหว่างรูปและอรูป ระหว่างมีและไม่มี

หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

"พระนิพพานอุปมาขนาดเท่าเส้นผม ผู้ที่จะผ่านพ้นในขั้นสุดท้ายไปได้หรอืไม่ได้อยู่เพียงนิดเดียวในการทำจิตตัดจุดนี้ได้หรือไม่เท่านั้น พระพุทธเจ้าตอนที่ท่านจะปรินิพพาน ท่านได้ปรินิพพานไประหว่างรูปฌานและอรูปฌาน เป็นการดับขันธ์ด้วยความบริสุทธิ์เหนือสมมติโดยสิ้นเชิง
/color]"

สำหรับนักวิปัสสนาคงจะไม่ชอบที่ผมพูดแบบนี้ เพราะท่านไม่เน้นฌาน ได้แค่ฌาน 1 ก็พอแล้ว  ผมจึงขอนำคำของหลวงปู่ดูลย์ อตโล มาลงดีกว่า:

หลวงปู่ดูลย์ อตโล

....พระพุทธเจ้า พระองค์ไม่ได้เข้าสู่นิพพานในฌานสมาบัติอะไรที่ไหนหรอก เมื่อพระองค์ออกจากจตุตถฌานแล้ว จิตขันธ์หรือนามขันธ์ ก็ดับพร้อม ไม่มีอะไรเหลือ นั่งคือพระองค์ดับเวทนาขันธ์ ในภาวะจิตตื่น หรือวิถีจิตอันปกติของมนุษย์ ครอบพร้อมทั้งสติ และสัมปชัญญะ ไม่ถูกภาวะอื่นใดมาครอบงำอำพรางให้หลงใหลใดๆ ทั้งสิ้น เป้นภาวะแห่งตนเองอย่างสมบูรณ์ ภาวะนันเรียกว่า มหาสุญญตา หรือจักรวาลเดิม หรือเรียกกว่า นิพพาน อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ......

สรุป

กาเข้านิพพานทำได้โดยการตายแบบมีสติ และสัมปชัญญะ แบบตื่นเต็มที่  ไม่ถูกอารมณ์ใดๆทำให้หลงไหลไปในภพภูมิแห่งภวังคจิต(จิตใต้สำนึก)  อนึ่ง  การอยู่ฌานใดฌานหนึ่งก่อนตาย จะนำไปเกิดเป็นพรหมซึ่งเป็นของสมมุติ  ถ้ามีสติ และสัมปชัญญะ ก็จะไม่หลงไหล ไปเกิดเป็นพรหมชั้นนั้น

....ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาปรินิพพานสูตร

และเข้าปฐมฌานไปจนถึงจตุตถฌานอีก เมื่อออกจากจตุตถฌาน ยังมิได้ทันได้เข้าสู่อากาสานัญจายตนะ พระองค์ก็ปรินิพพานในระหว่างนั้น

ในคำนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากจตุตถฌานในลำดับมา เสด็จปรินิพพาน คือ ในลำดับทั้ง ๒ คือ ในลำดับแห่งฌาน ในลำดับแห่งปัจจเวกขณญาณ.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากฌานแล้ว หยั่งลงสู่ภวังค์ แล้วปรินิพพานในระหว่างนั้น ชื่อว่าระหว่างฌาน ในลำดับ ๒ นั้น. พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากฌานแล้ว พิจารณาองค์ฌานอีก หยั่งลงสู่ภวังค์ แล้วปรินิพพานในระหว่างนั้นนั่นแหละ ชื่อว่าระหว่างปัจจเวกขณญาณ. แม้ทั้ง ๒ นี้ก็ชื่อว่าระหว่างทั้งนั้น. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าเข้าฌานเสด็จออกจากฌาน พิจารณาองค์ฌานแล้วปรินิพพานด้วยภวังคจิต เป็นอัพยากฤตเป็นทุกขสัจจะ. สัตว์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ไม่ว่าพระพุทธเจ้าหรือพระสาวก อย่างต่ำมดดำมดแดง ต้องกระทำกาละด้วยภวังคจิตที่เป็นอัพยากฤต เป็นทุกขสัจทั้งนั้นแล.

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๐ ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาปรินิพพานสูตร


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26 ธันวาคม 2553 20:46:36 โดย phonsak » บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า:  1 [2] 3   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
ทุกข์เพราะไปผูกพันกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลง
ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก
เงาฝัน 7 6539 กระทู้ล่าสุด 08 มิถุนายน 2553 20:28:52
โดย sometime
เยือนถิ่นคนมอญ ย้อนรอยสงกรานต์เมืองสังขละบุรี
สุขใจ ไปเที่ยว
เงาฝัน 2 6098 กระทู้ล่าสุด 05 เมษายน 2553 15:59:10
โดย เงาฝัน
เมื่อเรากลายเป็น “ ของมัน ” พระไพศาล
ธรรมะจากพระอาจารย์
เงาฝัน 0 2041 กระทู้ล่าสุด 12 มกราคม 2554 14:57:09
โดย เงาฝัน
หลักปฏิบัติของลูกที่พึงกระทำต่อพ่อแม่(มาตา)
จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
時々๛कभी कभी๛ 1 2747 กระทู้ล่าสุด 26 มีนาคม 2554 11:41:59
โดย เงาฝัน
ทำไมหมีขั้วโลกต้องพึ่งพาน้ำแข็งทะเล
สุขใจ ห้องสมุด
ฉงน ฉงาย 2 1634 กระทู้ล่าสุด 29 พฤษภาคม 2563 16:39:44
โดย ฉงน ฉงาย
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.963 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 31 มีนาคม 2567 03:09:11