15 ธันวาคม 2567 03:31:12
ยินดีต้อนรับคุณ,
บุคคลทั่วไป
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
1 ชั่วโมง
1 วัน
1 สัปดาห์
1 เดือน
ตลอดกาล
เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
หน้าแรก
เวบบอร์ด
ช่วยเหลือ
ห้องเกม
ปฏิทิน
Tags
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
ห้องสนทนา
[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
สุขใจในธรรม
จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
.:::
ปรัชญาแห่งความมีอยู่ เสถียร โพธินันทะ
:::.
หน้า: [
1
]
ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน
หัวข้อ: ปรัชญาแห่งความมีอยู่ เสถียร โพธินันทะ (อ่าน 5108 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 2.0.0.20
ปรัชญาแห่งความมีอยู่ เสถียร โพธินันทะ
«
เมื่อ:
06 กุมภาพันธ์ 2554 16:15:44 »
Tweet
ปรัชญาแห่งความมีอยู่
โดย..
เสถียร โพธินันทะ
เมื่อข้าพเจ้าได้เขียนหนังสือ “
สารัตถปรัชญาพระพุทธศาสนามหายาน
” เพื่อผู้สนใจในวิทยาการจะได้ใช้ศึกษาปรัชญามหายาน หนังสือเล่มนั้นข้าพเจ้าได้บรรยายถึงความเป็นมาของมหายาน และปรัชญามหายาน ๘ นิกายใหญ่ อย่างพอควรแก่ความต้องการในตอนท้าย ก็ได้นำนิกายทางฝ่ายสาวกยาน ๒ นิกาย ซึ่งเคยเจริญในประเทศจีนมาผนวกเข้าด้วย ๒ นิกายนั้น คือ
นิกายสรวาสติวาทิน
และ
นิกายสัตยสิทธิ
ข้าพเจ้าได้เขียน
ปรัชญา
ของนิกายทั้ง ๒ รวบรัด แต่คิดจะทำอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ในหนังสือเล่มใหญ่ชื่อ “
ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา
” และ อีกเล่มหนึ่งชื่อ “
ปริทัศน์แห่งพุทธปรัชญา
” ซึ่งกำลังเขียนอยู่ ได้มีผู้อ่านไต่ถามถึงความละเอียดในปรัชญา
สรวาสติวาทิน
บ่อยครั้ง ข้าพเจ้าจึงแถลงถึงหลักธรรมะข้อสำคัญของนิกายนี้ด้วยบทความชิ้นนี้ แต่พอได้ความ
ในราวพุทธศตวรรษที่ ๓ สังฆมณฑลแห่งอินเดียได้เกิดการแตกแยกนิกายออกถึง ๑๘ นิกาย ในจำนวน ๑๘ นิกายนั้น มีอยู่ ๔ นิกายหรือ ๕ นิกาย ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก ในหน้าประวัติศาสตร์แห่งพระพุทธศาสนา นิกายเหล่านั้น คือ
นิกายมหาสังฆิกะ นิกายเถรวาทิน
นิกายสรวาสติวาทิน นิกายเสาตรันติก แลนิกายวัชชีบุตร
นิกายสรวาสติวาทินมีคุณลักษณะพิเศษประจำของนิกาย คือ
การบูชาอภิธรรมปิฎกเป็นชีวิตจิตใจ
ปรากฏว่านิกายนี้มีอภิธรรมปิฎกอันสมบูรณ์ของตนเอง แตกต่างจากอภิธรรมปิฎกฉบับบาลีของฝ่ายเถรวาทิน ภาษาที่ใช้เขียนพระธรรมวินัยของนิกายนี้ ได้เลือกใช้ภาษาสํสกฤตระคน อภิธรรมปิฎกของสรวาสติวาทิน เรียกว่า “
ษัฏปาทาภิธรรม
” มีอยู่ ๖ ปกรณ์ คือ
๑. อภิธรรมสังคีติบรรยายของพระสารีบุตร
๒. อภิธรรมสกันธปาทศาสตร์ของพระโมคคัลลานะ
๓. อภิธรรมบัญญัติปาทศาสตร์ของพระกัจจายนะ
๔. อภิธรรมวิญญาณกายปาทศาสตร์ ของพระเทวศรมัน
๕ อภิธรรมปกรณปาทศาสตร์พระวสุมิตร
๖. อภิธรรมธาตุกายปาทศาสตร์ของพระวสุมิตร
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 2.0.0.20
Re: ปรัชญาแห่งความมีอยู่ เสถียร โพธินันทะ
«
ตอบ #1 เมื่อ:
06 กุมภาพันธ์ 2554 16:25:41 »
ปรัชญาแห่งความมีอยู่ เสถียร โพธินันทะ
ไม่ปรากฏว่า
ท่านผู้ใดเป็นต้นกำเนิดของสรวาสติวาทิน
แต่เป็นการแน่นอนที่ว่า นิกายนี้เป็นกิ่งแยกออกมาจาก
นิกายเถรวาทิน
ซึ่งเป็นนิกาย
บูชาภาษาบาลี
อายุกาลของนิกายนี้ยังเป็นที่ไม่ตกลงกันแน่นอน ใน
ปกรณ์ฝ่ายธิเบต
กล่าวว่า
เมื่อพุทธปรินิพพาน ๑๑๖ ปี เหล่าภิกษุสงฆ์ได้ใช้ภาษา ๙ ภาษา ในการบอกธรรมวินัย
เป็นเหตุให้พระพุทธศาสนาแตกเป็น
๔ นิกาย
คือสงฆ์พวกหนึ่งใช้
ภาษาสํสกฤต
พวกนี้เป็นสงฆ์สืบเนื่องมาแต
่พระราหุล
เรียกว่าพวกสรวาสติวาทิน แต่ในปกรณ์สํสกฤต ชื่อ
“เภทธรรมติจักรศาสตร์”
แต่งโดยพระวสุมิตร ในราวพุทธศตวรรษที่ ๔ กล่าวว่านิกายนี้ แตกจากเถรวาทินราวต้นพุทธศตวรรษที่ ๓และบูชา
พระกัจจายนะ
ในฐานะเป็น
อภิธรรมาจารย์
อย่างไรก็ดีมูลเหตุสำคัญที่ทำให้สงฆ์หมู่หนึ่งแยกไปจากเถรวาทิน ก็คือ สงฆ์หมู่นี้มีความเห็นในหลักธรรมบางประการ ขัดกับฝ่ายเถรวาทิน และสงฆ์หมู่นี้ต้องการจะยกย่อง
อภิธรรมปิฎก
ขึ้นให้เป็นพิเศษ จึงแยกออกไปตั้ง
เป็นนิกายใหม่มีชื่อว่า “
สรวาสติวาทิน
” แปลว่า “
วาทะที่กล่าวสิ่งทั้งปวงมีอยู่
”
ในคัมภีร์กถาวัตถุเรียกนิกายนี้ว่า “
สัพพัตถิกวาท
” ซึ่งแปลอย่างเดียวกัน ในที่มาบางแห่งเรียกนิกายนี้ว่า “
เหตุวาท
"
ในหนังสือของ
ศาสตราจารย์นลินักษทัตต์
ชาวอินเดียกล่าวสันนิษฐานว่า นิกายสรวาสติวาทิน น่าจะแยกออกมาจากนิกายมหิสาสกะ และว่านิกายมูลสรวาสติวาทิน
ต่างกับ
นิกายสรวาสติวาทิน ซึ่งเกิดในตอนหลัง
ความเจริญของนิกายนี้ เป็นไปอย่างกว้างขวาง ทำให้นิกายอื่นหมดรัศมีลงไป นิกายเถรวาทินเองก็ถูกอิทธิพลของนิกายนี้ข่มจนอับแสง สรวาสติวาทินได้แพร่หลายตลอดไปทั่วอินเดียภาคเหนือ มีแคว้นคันธาระ.กาศมีระ อุทยาน มถุรา ฯลฯ และจากดินแดนเหล่านี้ นิกายนี้ได้ขยายตัวแพร่เข้าสู่อาเซียกลาง จากอาเซียกลางก็ได้
ข้ามไปประเทศจีนในพุทธศตวรรษที่ ๖ เป็น
ยุคที่นิกายนี้รุ่งโรจน์ที่สุด
ได้มีการร้อยกรองอรรถกถาแห่งพระไตรปิฎก กับการแต่งปกรณ์วิเศษต่าง เกี่ยวกับ
หลักปรัชญา
ของนิกายนี้โดยคณาจารย์ผู้มีชื่อเสียง ภายใต้
ความอุปถัมภ์ของพระเจ้ากนิษกะมหาราชกษัตริย์ชาติง้วนสี
ซึ่งกำลังดำรงอำนาจปกครองอินเดียภาคเหนือ อภิธรรมปิฎกของนิกายนี้ ตลอดจนคัมภีร์ปกรณ์วิเศษที่สำคัญหลายสิบปกรณ์ ได้มีการแปลเป็นภาษาจีนตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๙ จนถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๑ ส่วน
วินัยปิฎก สุตตันตปิฎก
ก็มีผู้แปลถ่ายออกเป็นภาษาจีนเป็นส่วนมากแล้วเช่นเดียวกัน การที่จะศึกษาหลักธรรมของนิกายนี้ให้ละเอียด จึงจำเป็นต้องศึกษาจาก
คัมภีร์ภาษาจีน
ทั้งนี้เพราะ
ฉบับสํสกฤตได้สาปสูญ
ไปแล้วเป็นส่วนมาก
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 2.0.0.20
Re: ปรัชญาแห่งความมีอยู่ เสถียร โพธินันทะ
«
ตอบ #2 เมื่อ:
06 กุมภาพันธ์ 2554 16:33:39 »
ปรัชญา
นิกายนี้ มีหลักปรัชญาว่าด้วย “
ความมีอยู่แห่งสิ่งทั้งหลาย
” คือ “
สรฺวมฺ อสฺติ
” เป็นหัวใจสำคัญ นิกายนี้ถือว่า
สิ่งทั้งหลายไม่ว่า
สังขตะ
ก็ดี
อสังขตะ
ก็ดี ย่อมมีสภาวะที่มีอยู่ด้วยตัวของมันเองตลอดกาล ทั้ง ๓
คือ มีอยู่ ดำรงอยู่ตลอดอดีตกาล ปัจจุบันกาล อนาคตกาล ตัวอย่างนามกับรูปซึ่งเป็นสังขตธรรม ก็มีสภาพเที่ยงคงที่
ตลอดกาลทั้ง ๓
ความเกิดดับเป็นเพียง
อาการ
ของธรรมนั้น ๆ เท่านั้น
กิริยาคุณ
ของธรรมหนึ่ง หากยังมิได้ปรากฏอาการออกมา เรียกว่ายังเป็นสิ่งที่มิได้มาถึง คือ เป็น
อนาคตกาล
ในขณะที่กิริยาคุณของธรรมนั้น ๆ
ปรากฏอาการ
ออกมาเรียกว่า เป็น
ปัจจุบัน
แล้วมีกิริยาคุณอันปรากฏอาการออกมาแล้วนั้นดับไป เรียกว่า
อดีตกาล
ฉะนั้นจึงเห็นได้ว่า
ตัวสภาพธรรม
มีนามกับรูปเป็นต้น นั้นเที่ยง มีอยู่ตลอดแต่อาการกิริยาคุณของมันต่างหากที่เกิดดับยักย้ายไป
ตัวสภาวธรรม
ของนามรูป จักได้พลอยเกิดดับไปก็หาไม่ เหตุผลของนิกายนี้ก็คือ
๑. ทำกรรมใดไว้ย่อมมีวิบากของกรรมนั้น แต่กรรมซึ่งจักให้ผลเป็นวิบากนั้น เหตุกับผลจะมีขึ้นในขณะเดียวกันไม่ได้ ฉะนั้น ต้องมี
กรรมสภาวะ
ที่เป็นเหตุอยู่ในอดีต จึงสามารถให้ผลวิบากในปัจจุบันได้ แสดงว่าอดีตต้องมีอยู่ ถ้าอดีตกรรมไม่ดำรงอยู่ไซร้ ปัจจุบันนี้
เป็นวิบาก
ก็มีไม่ได้.
๒. วิญญาณความรู้ทางอายุตนะภายในทั้ง ๖ จักปรากฏมีขึ้นได้
ก็ต้องอาศัยวิสัยภายนอก ๖ มาเป็นอารมณ์
เช่น จักขุวิญญาณ จะเกิดขึ้นก็ต้อง
อาศัยรูปารมณ์ภายนอกมาเป็น
ปัจจัย
มโนวิญญาณจะมีขึ้นก็ต้องอาศัยธรรมารมณ์เป็นปัจจัย ก็ธรรมารมณ์นั้น มีทั้งที่เป็นอดีต ปัจจุบัน อนาคต
ถ้าไม่มี
สภาวธรรมที่ดำรงอยู่ตลอดกาลทั้ง ๓
ไซร้ มโนวิญญาณก็จักมีขึ้นหาไม่ได้
ทั้งนี้เพราะมโนวิญญาณ
จักเสพอารมณ์
ที่เป็นอดีตอยู่
ให้เสพ จึงบังเกิด
เป็นอดีตธรรมารมณ์ได้.
อาศัยเหตุผลดั่งนี้ จึงลงมติว่า มีสภาวธรรมทั้ง ๓ โดยตลอด สภาวธรรมตัวปรมัตถ์ของรูปนาม ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ นั้นมีคงที่อยู่ตลอดไป ทั้งในอดีต ปัจจุบัน อนาคต
ส่วนความเกิดดับสืบสันตตินั้น
เป็นอาการกิริยาภายนอก
ของสภาวธรรมเท่านั้นเอง
ตัวสภาพธรรมปรมัตถ์แห่งนามรูป
จักพลอยเกิดดับไปด้วยก็หามิได้
สรวาสติวาทินไม่ยอมเห็นด้วยกับคติที่ว่า สิ่งที่เป็นอดีตย่อมดับไปแล้ว ปัจจุบันเท่านั้น ชื่อว่ามีอยู่ แต่ก็กำลังดับไปเป็นอดีตเหมือนกัน ส่วนอนาคตนั้นยังชื่อว่ายังไม่เกิดมีขึ้น อันเป็น
คติธรรม
ของฝ่ายเถรวาทินเลย สรวาสติวาทินถือว่าทุกสิ่งมีสภาวะในตัวของมันเอง ซึ่งคงอยู่ตลอดไปไม่ยักย้ายแปรเปลี่ยน เช่น
รูปธาตุ
เมื่อทอนลงไป
ก็มีปรมาณูเป็นวัตถุสุดท้าย
ซึ่งดำรงอยู่อย่างแท้จริง
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 2.0.0.20
Re: ปรัชญาแห่งความมีอยู่ เสถียร โพธินันทะ
«
ตอบ #3 เมื่อ:
06 กุมภาพันธ์ 2554 16:40:26 »
คณาจารย์แห่งสรวาสติวาทินได้มีมติเกี่ยวกับความมีอยู่แบ่งออกเป็น ๔ มติใหญ่ คือ
:
๑. มติของ
อาจารย์ธรรมตาระ
กล่าวว่า สภาวธรรมทั้งหลายมีความต่างกัน
โดยลักษณะประเภท
เช่นเดียวกับทองรูปพรรณ ที่ทำเป็นสายสร้อย ตุ้มหู กำไล แหวน เข็มขัด อันมีลักษณะต่าง ๆ กัน ลักษณะนี้บางทีก็ดับหายไปเป็นอดีต และเกิดใหม่ในปัจจุบันในร่างใหม่ เปรียบการยุบสร้อยทองลงทำเป็นกำไลมือ
แต่ทั้งนี้ ธาตุเนื้อทองนั้นเป็นเนื้ออันเดียวกัน ไม่ว่าเรา
จะยุบมันแล้ว ทำใหม่อีกสักกี่ร้อยครั้ง
แสดงว่า
สภาวธรรม
จะต้อง
มีอยู่
ตลอดกาลทั้ง ๓
๒. มติของ
อาจารย์ศรีโฆษะ
กล่าวว่า สภาวธรรมทั้งหลายมีอยู่ตลอด ๓ กาล เหมือนดั่งบุรุษผู้หนึ่งมีบุตรหลายคน ในขณะที่เขาได้เห็นบุตรคนใดคนหนึ่ง ความรักบุตรคนนั้นย่อมปรากฏชัดขึ้น แต่มิได้หมายความว่า ความรักในบุตรคนอื่น ๆ ของเขาในขณะนั้นไม่มี ความรักในบุตรคนอื่น ๆ ของเขา
ยังคงมีอยู่ในจิตใต้สำนึกแต่มิได้ปรากฏออกชัดเท่านั้นอดีต ปัจจุบัน อนาคต ก็มีอุปมัยเช่นกัน ย่อมมีอยู่ร่วมกัน
แต่ธรรมใด
ปรากฏชัดมาก ธรรมอื่นสงบอยู่
แต่กล่าวไม่ได้ว่า
ไม่มี
ฉะนั้น ปรากฏการณ์แห่งธรรมจึงต้องมีอยู่ทั่วไปใน ๓ กาล จะห่างกันที่ปรากฏการณ์
๓. แต่ของ
อาจารย์วสุมิตร
ว่า อาศัยสถานะที่แตกต่างกัน จึงทำให้มีอดีต ปัจจุบัน อนาคต แต่
แก่นของธรรม
ทั้งหลายนั้น หาได้เป็นอดีต ปัจจุบัน อนาคตไม่ เช่นเดียวกับเราเทน้ำใส่ลงในแก้ว เราเทน้ำใส่ลงในหม้อ น้ำก็มีลักษณะ
ไปตามลักษณะ
ของแก้วและของหม้อ แต่
ความเป็น
น้ำหรือ
ความเป็นธรรมนั้น ๆ
คงไม่บุบสลาย
ไปตามสถานะ
นั้น ๆ เลย
๔. แต่ของ
อาจารย์พุทธเทวะ
ว่า อาศัยการ
เปรียบเทียบ
จึงทำให้เห็นว่า มีอดีต ปัจจุบัน อนาคต เช่นอาศัยอดีตจึงมีปัจจุบัน อาศัยปัจจุบันจึงมีอนาคต แต่แท้จริง
แก่นแห่งธรรม
ทั้งหลาย หาได้เกิดดับเปลี่ยนแปลง
ตามความเปรียบเทียบนั้นเลย อุปมาดั่งสตรีผู้หนึ่งย่อมดำรงภาวะความเป็น
ภริยาของสามี และดำรงภาวะความเป็นมารดาของบุตรธิดา ดำรงภาวะเป็นคุณยายของหลาน ฯลฯ แต่ก็เป็นสตรี
คนเดียวกัน
นั้นเอง
ใน
คัมภีร์บาลีกถาวัตถุ
ได้มีข้อโต้แย้งของอาจารย์ฝ่ายเถรวาทิน ที่มีต่อฝ่ายสรวาสติวาทิน
อันเป็นปรวาทีทำนองว่า ฝ่ายปรวาทิน ถือว่า
ขันธ์ทั้งหลายในกาลทั้ง ๓ ย่อมไม่ละสภาวะแห่งขันธ์ โดยยก
บาลีพุทธวจนะ
ขึ้นยืนยันว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูปสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งเป็นอดีต, ปัจจุบัน, อนาคต เป็นภายใน, ภายนอก, หยาบ, ละเอียด, เลว, ประณีต, อยู่ใกล้, ทั้งสิ้น ฯลฯ
ชื่อว่า
รูปขันธ์ ฯลฯ” พุทธภาษิตนี้แสดงให้เห็นอยู่ชัด ๆ ว่า รูปขันธ์ที่ดำรงสภาวะ ความเป็นรูปขันธ์ของมันตลอดกาลทั้ง ๓ พระพุทธองค์จึงดำรัสว่า รูปสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งเป็นอดีต, ปัจจุบัน, อนาคต ฯลฯ ดั่งนี้ ฝ่ายเถรวาทินแย้งขึ้นว่า ฝ่ายปรวาทีตีความพระพุทธภาษิตผิดไป อดีตดับไปแล้ว แปรไปแล้ว อนาคตยังไม่เกิดขึ้น ยังไม่ปรากฏ ขอถามท่านปรวาทีหน่อยเถอะว่า ปัจจุบันคืออะไร ? ฝ่ายปรวาทีตอบว่า
ปัจจุบันคือสิ่งยังไม่ดับ
ยังไม่ไปปราศ ยังไม่แปร ยังตั้งอยู่ ฝ่ายเถรวาทินสอดขึ้นว่า ถ้าเช่นนั้น อดีตก็ดี อนาคตก็ดี
ที่ท่านถือว่า
มีอยู่
ก็มิกลายเป็นปัจจุบัน
ไปด้วยหรือ ?
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 2.0.0.20
Re: ปรัชญาแห่งความมีอยู่ เสถียร โพธินันทะ
«
ตอบ #4 เมื่อ:
06 กุมภาพันธ์ 2554 16:50:04 »
อนึ่ง
ถ้าท่านปรวาทีถือว่า
รูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร, วิญญาณ มีอยู่ตลอดกาลทั้ง ๓ ไซร้ รูป ฯลฯ อดีตก็จะไม่อาจละความเป็นรูปที่เป็นอดีต ซึ่งกำลังเป็นอดีต แม้รูป ฯลฯ อนาคต ก็เช่นกัน ทั้งนี้เพราะท่านถือว่ามันมีอยู่ตลอดทั้ง ๓ กาล
ที่ฝ่ายปรวาทียกอุปมาว่า
เหมือนผ้าขาวผืนหนึ่ง ถูกนำไปย้อมสีดำ ผ้านั้นละความเป็นของขาว สู่ความเป็นของดำ
แต่ยังไม่ละความเป็นผ้า ฉันใด
ขันธ์ทั้งหลายย่อมเป็นทั้งอดีต, ปัจจุบัน, อนาคตได้ แต่ไม่ละความเป็นขันธ์ในกาลทั้งปวง แม้ฉันนั้น อนึ่ง ท่านสกวาทีจักแยกความขาวกับผ้าไม่ออกฉันใด อดีตกับรูป, ปัจจุบันกับรูป, อนาคตกับรูป, ก็ไม่สามารถจะแยกออกจากกันได้ ฝ่ายเถรวาทีแย้งว่า ถ้าเช่นนั้น ผ้าขาวก็ไม่ควรไม่อาจละความขาวได้ด้วยซิ เหตุไฉนจึงละความขาวได้ด้วยเล่า ?
อนึ่ง การที่ท่านปรวาทีกล่าวว่า ขันธ์ไม่ละความเป็นขันธ์ใน ๓ กาล ท่านก็ชื่อว่ากำลังรับว่าขันธ์นี้เป็นของเที่ยง คงทน
ค้านพระพุทธพจน์ที่ว่า
รูปํ อนิจฺจํ
เป็นต้น อนึ่ง พระนิพพานย่อมไม่ละความเป็นนิพพานตลอดกาลทั้ง ๓ พระนิพพานจึงเป็นของเที่ยง ถ้าขันธ์ทั้งหลายไม่ละความเป็นขันธ์ตลอดกาลทั้ง ๓ ขันธ์ก็เป็นเหมือนพระนิพพาน
อนึ่งที่ท่านถือว่าสิ่งทั้งหลายมีอยู่ตลอดกาลทั้ง ๓ ไซร้ กิเลสของพระอรหันต์ในอดีตมีอยู่ แต่มาในปัจจุบัน ท่านบรรลุอรหัตผลแล้ว พระอรหันต์นั้นก็ยังนับว่าประกอบด้วยกิเลสที่เป็นอดีตอยู่อีกซี ?
อนึ่ง ขันธ์ ๕ ก็ต้องเพิ่มจำนวนขึ้นเป็น
ขันธ์ ๑๕
(กาละx ๕ ขันธ์) ธาตุก็ต้องเพิ่มเป็น
ธาตุ ๕๔
(
กาละ x ๑๘
) พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระเจ้าจักรพรรดิในโลกทั้ง ๓ ก็จักชื่อว่ามีอยู่พร้อมกัน มิกลายเป็นว่า ในโลกนี้มีพระพุทธเจ้า ๓ พระองค์ พระเจ้าจักรพรรดิ ๓ พระองค์พร้อมกันหรือ ?
(
มีพระพุทธภาษิตว่า พระพุทธเจ้า, พระเจ้าจักรพรรดิ
จะเกิดขึ้นในโลก
พร้อมกัน
คราวเดียว
๒ องค์ ไม่ได้
)
ฝ่ายเถรวาทีก็ยกพระพุทธพจน์ขึ้นอ้างว่า พระผัคคุนะทูลถาม
พระศาสดาว่า ตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย, ใจ
ซึ่งเป็นอดีตที่ทำให
้เห็น
รูป
ฯลฯ ธรรมารมณ์นั้นมีอยู่หรือ ? พระศาสดาก็ตรัสตอบว่า
ไม่มี
พระพุทธพจน์ข้อนี้ ท่านปรวาทียอมรับไหมเล่า ? และพระพุทธพจน์อื่น ๆ อีกเป็นอันมาก ที่ตรัสว่ารูป ฯลฯ วิญญาณที่เป็นอดีตล่วงไปแล้ว, ดับไปแล้ว มิได้ตั้งอยู่ ฯลฯ ดังนี้ท่านรับไหมเล่า ? ถ้าท่านรับ ก็ควรเชื่อว่าอดีตไม่มี เพราะล่วงไปแล้ว ปัจจุบันกำลังจะแปรไป ส่วนอนาคตนั้น ก็ยังไม่ปรากฏขึ้นตามคติของเรา
อย่างไรก็ดี
เรื่องนี้เป็น
ปัญหา
ธรรมชั้นสูง
ควรที่จักได้รับการไตร่ตรองโดยละเอียด
http://www.dharma-gateway.com/ubasok/ubasok-main-page.htm
P
ic
s b
y
:
G
o
o
gle
อกาลิโกโฮม
*
ใต้ร่มธรรมดอทเน็ต
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ
บันทึกการเข้า
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์
เพศ:
United Kingdom
กระทู้: 7866
• Big Bear •
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 2.0.157.2
Re: ปรัชญาแห่งความมีอยู่ เสถียร โพธินันทะ
«
ตอบ #5 เมื่อ:
06 กุมภาพันธ์ 2554 19:10:12 »
สาธุ อนุโมทนา อ.ป้าแป๋ม ครับ
บันทึกการเข้า
B l a c k B e a r
: T h e D i a r y
คำค้น:
ปรัชญามหายาน
นิกาย
มติคณาจารย์
สภาพ
สภาวะธรรม
หน้า: [
1
]
ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
กระโดดไป:
เลือกหัวข้อ:
-----------------------------
จากใจถึงใจ
-----------------------------
=> หน้าบ้าน สุขใจ
===> สุขใจ ป่าวประกาศ (ข้อความจากทีมงาน)
===> สุขใจ เสนอแนะ (ข้อความจากสมาชิก)
===> สุขใจ ให้ละเลง (มุมทดสอบบอร์ด)
-----------------------------
สุขใจในธรรม
-----------------------------
=> พุทธประวัติ - ประวัติพระสาวก
===> พุทธประวัติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
===> ประวิติพระอรหันต์ พระสาวก ในสมัยพุทธกาล
===> ประวัติพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ในยุคปัจจุบัน
===> นิทาน - ชาดก
=====> ชาดก พระเจ้า 500 ชาติ
=> ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
===> ธรรมะจากพระอาจารย์
===> เกร็ดครูบาอาจารย์
=> ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4
=> สมถภาวนา - อภิญญาจิต
=> จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
=> เสียงธรรมเทศนา - เอกสารธรรม - วีดีโอ
===> เอกสารธรรม
===> เสียงธรรมเทศนา
=====> ธรรมะจาก สมเด็จโต
=====> ธรรมะจาก หลวงปู่มั่น
=====> เสียงบทสวดมนต์
=====> เพลงสวดมนต์
=====> เพลงเพื่อจิตสำนึก แด่บุพการี
=====> ธรรมะ มิวสิค (เพลงธรรมทั่วไป)
===> ห้อง วีดีโอ
=> เกร็ดศาสนา
=> กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ
=> ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก
=> บทสวด - คัมภีร์ คาถา - วิชา อาคม
=> พุทธวัจนะ - ภาษิตธรรม
===> พุทธวัจนะ ในธรรมบท
===> พุทธศาสนสุภาษิต
===> คำทำนายภัยพิบัติที่จะเกิด
===> รวมข่าวภัยพิบัติ ทั้งในอดีต และปัจจุบัน
===> รู้ เพื่อ รอด (การเตรียมการ)
=> ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม
===> ฐานข้อมูล มูลนิธิต่าง ๆ ในประเทศไทย (Donation Exchange Center)
-----------------------------
วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ
-----------------------------
=> วิทยาศาสตร์ - จักรวาล - การค้นพบ
===> เรื่องราว จากนอกโลก
=====> ประสบการณ์เกี่ยวกับ UFO
=====> หลักฐาน และ การพิสูจน์ยูเอฟโอ
=====> คลิปวีดีโอ ยูเอฟโอ
=> ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม
=> เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ
===> ร้อยภูติ พันวิญญาณ
=====> ประสบการณ์ ผี ๆ
=======> เรื่องเล่าในรั้วมหาลัย
=====> ประวัติ ต้นกำเนิด ตำนานผี
===> ดูดวง ทำนายทายทัก
===> ไดอะล็อก คือ ดอกอะไร - พลังไดอะล็อก (Dialogue)
===> กระบวนการ NEW AGE
=> เครื่องราง ของขลัง พุทธคุณ
-----------------------------
นั่งเล่นหลังสวน
-----------------------------
=> สุขใจ จิบกาแฟ
=> สุขใจ ร้านน้ำชา
=> สุขใจ ห้องสมุด
===> สุขใจ หนังสือแนะนำ
===> สุขใจ คลังความรู้ลวงโลก
===> สยาม ในอดีต
=> สุขใจ ใต้เงาไม้
=> สุขใจ ตลาดสด
=> สุขใจ อนามัย
=> สุขใจ ไปเที่ยว
=> สุขใจ ในครัว
===> เกร็ดความรู้ งานบ้าน งานครัว
=> สุขใจ ไปรษณีย์
=> สุขใจ สวนสนุก
===> ลานกว้าง (มุมดูคลิป)
===> เวที จำอวด (จำอวดหน้าม่าน)
===> หนังกลางแปลง (ดูหนัง รีวิวหนัง)
===> หน้าเวที (มุมฟังเพลง)
=====> เพลงไทยเดิม
===> แผงลอยริมทาง (รวมคลิปโฆษณาโดน ๆ)
คุณ
ไม่สามารถ
ตั้งกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
ตอบกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความได้
BBCode
เปิดใช้งาน
Smilies
เปิดใช้งาน
[img]
เปิดใช้งาน
HTML
เปิดใช้งาน
กำลังโหลด...