.คนแคระในอียิปต์โบราณโดยปกติแล้วชาวไอยคุปต์มักจะมีแบบแผนการสลักภาพบุคคลได้ออกมาเหมือนกันอย่างกับแกะ.เมื่อได้ลองเพ่งพินิจพิจารณาภาพ “คน” ที่ถูกแสดงเอาไว้ในศิลปะของชาวอียิปต์โบราณไม่ว่าจะบนผนังวิหารหรือแม้แต่ผนังสุสานแล้วเราแทบจะมองไม่เห็นความแตกต่างของบุคคลที่ปรากฏอยู่ในภาพเลยแม้แต่น้อย เสมือนประหนึ่งว่าพวกเขาถูกโคลนนิ่งออกมาเป็นโหลๆยังไงยังงั้น ด้วยลักษณะท่าทางการยืนที่ดูแล้วเหมือนกันไปหมด ศีรษะมองเห็นจากด้านข้าง ลำตัวมองเห็นจากด้านหน้า แขนขามองเห็นจากด้านข้าง ฯลฯ ซึ่งก็ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของศิลปะไอยคุปต์ล่ะนะครับ แต่ถึงกระนั้นเมื่อได้ลองเพ่งมองผนังสุสานของชาวอียิปต์โบราณให้ถ้วนทั่วแล้วก็จะพบว่ามีภาพบุคคลที่ดูแปลกแตกต่างออกไปจาก “มาตรฐาน” ที่พวกเขามักจะสลักเอาไว้บนผนังอยู่เช่นกัน พวกเขาเหล่านั้นคือ “คนแคระ” (
Dwarf) ครับ!!
รูปสลักคนแคระที่มีแขนและขาที่สั้นกว่าปกติเมื่อเทียบกับขนาดของลำตัว.จะว่าไปแล้วคงไม่ใช่เรื่องผิดปกติที่จะมี “คนแคระ” อยู่ในอารยธรรมอียิปต์โบราณด้วยล่ะนะครับ เพราะแท้ที่จริงแล้วคนแคระ ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของร่างกายบางอย่างนั้นมีปรากฏอยู่ทั่วโลกทุกยุคทุกสมัยเลยครับ สิ่งที่น่าสนใจก็คือสำหรับชาวไอยคุปต์แล้ว พวกเขามอง “คนแคระ” กลุ่มนี้อย่างไร จะเหมือนหรือแตกต่างจากมุมมองของพวกเราแค่ไหน ล้อมวงเข้ามาฟังกันเลยครับ
สิ่งหนึ่งที่นักอียิปต์วิทยาค่อนข้างมั่นใจเป็นอย่างมากเกี่ยวกับ “คนแคระ” ก็คือชาวไอยคุปต์ไม่ถือว่าเหล่าคนแคระเป็นคนที่มีความผิดปกติแต่อย่างใดครับ ด้วยเราทราบดีว่าชาวไอยคุปต์มีตำราปาปิรัสทางการแพทย์มากมายหลายม้วน ไม่ว่าจะเป็นปาปิรัสเอ็ดวินสมิธ (
Edwin Smith Papyrus) ซึ่งพูดถึงการผ่าตัดและศัลยกรรม หรือจะเป็นปาปิรัสอีเบอร์ส (
Ebers Papyrus) ที่บรรจุสูตรยาขนานต่างๆเอาไว้ แต่ไม่มีปาปิรัสทางการแพทย์ม้วนใดที่พูดถึงอาการของคนแคระเลย นั่นแปลว่าพวกเขาถือว่าคนแคระก็คือคนปกติธรรมดาสามัญ เพียงแค่ว่ามีรูปร่างที่เล็กกว่าชาวไอยคุปต์ทั่วไปเท่านั้นเองล่ะครับ
ถ้าว่ากันในด้านภาษาอียิปต์โบราณหรือที่เรียกกันว่าอักษรเฮียโร กลิฟฟิคแล้วนั้น ชาวไอยคุปต์เรียกคนแคระว่า “เดเนก” (
dng) หรือไม่ก็ “เนมู” (
nmw) อีกคำหนึ่งที่ใช้ได้เช่นกันก็คือ “ฮู” (
hw) โดยจะมีอักษรภาพทำหน้าที่กำกับความหมาย (
Determinative) เป็นภาพของคนแคระที่มีแขนขาสั้นแต่มีลำตัวเท่ากับชาวไอยคุปต์ปกติทั่วไปปรากฏอยู่ด้านท้ายของคำด้วย
สำหรับการแสดงออกทางศิลปะสำหรับคนแคระนั้น ชาวไอยคุปต์มักจะสลักให้พวกเขามีศีรษะที่ค่อนข้างใหญ่กว่าปกติ มีลำตัวยาวกว่าปกติ ส่วนแขนและขาก็สั้นกว่าปกติ ที่สำคัญก็คือชาวไอยคุปต์จะสลักให้คนแคระมีขาที่โก่งโค้งงอเล็กๆ ด้วยครับ
อักษรอียิปต์โบราณจารึกชื่อของคนแคระนามว่า “เฮด” โดยมีภาพของชายตัวเล็กสลักด้านล่างสุด.ในสังคมของชาวไอยคุปต์นั้น พวกเขาแบ่งคนแคระออกเป็นสองประเภทหลักๆครับ ประเภทแรกคือคนแคระที่เป็นชาวอียิปต์โบราณแท้ๆ ส่วนอีกประเภทหนึ่งเรียกด้วยภาษาสมัยใหม่ว่า “ปิกมี่” (
Pygmy) ซึ่งเป็นกลุ่มคนตัวเล็กที่อาศัยอยู่ทางตอนในของทวีปแอฟริกา และที่สำคัญก็คือบ่อยครั้งที่ฟาโรห์แห่งอียิปต์โบราณส่งคณะสำรวจออกไปยังดินแดนเหล่านี้ก็มักจะมีการนำเอา “ปิกมี่” กลับมาด้วยโดยมีวัตถุประสงค์หลักก็คือนำมาสร้างความรื่นเริงให้กับราชสำนักในบทบาทของ “นักเต้นรำ” นั่นเองครับ
หนึ่งในหลักฐานที่ชัดเจนที่สุดที่แสดงให้เห็นว่าชาวไอยคุปต์เคยนำพาปิกมี่กลับมายังดินแดนของพวกเขาด้วยต้องย้อนกลับไปอ่านบันทึกในรัชสมัยของฟาโรห์เปปิที่ 2 (
Pepi II) แห่งราชวงศ์ที่ 6 ในสมัยราชอาณาจักรเก่าซึ่งครองราชย์อยู่เมื่อราว 2,200 ปีก่อนคริสตกาลครับ ครั้งนั้นข้าราชสำนักนามว่าฮาร์คุฟ (
Harkhuf) พร้อมคณะสำรวจถูกส่งออกไปยังตอนในของแอฟริกา เป็นไปได้ว่าพวกเขาเดินทางไปถึงดินแดนแห่งพันท์ (
Punt) ซึ่งเป็นนครปริศนาที่ยังไม่มีใครทราบว่าอยู่ที่ใด แต่น่าจะอยู่ในบริเวณประเทศโซมาเลีย (
Somalia) โดยบันทึกที่ว่านี้อยู่ในสุสานของฮาร์คุฟคนนี้ล่ะครับ เขาได้จารึกเอาไว้ว่า ครั้งหนึ่งเขาได้เดินทางเข้าไปถึงตอนในของแอฟริกาและได้นำพา “เดเนก แห่งการเต้นรำของพระเจ้า” (
dng of the God’s dances) กลับมาด้วย หลังจากนั้นฟาโรห์เปปิที่ 2 ก็ได้ตอบกลับไปโดยมีใจความสำคัญว่า...
อีกหนึ่งบทบาทของคนแคระในอียิปต์โบราณก็คือเป็นนักดนตรี.“ขอให้เจ้า (ฮาร์คุฟ) เร่งขึ้นเหนือมาโดยไว และจงนำเอาปิกมี่มากับเจ้าด้วย เพื่อเต้นรำถวายแด่เทพเจ้าและสร้างความสำราญใจให้กับกษัตริย์แห่งอียิปต์บนและอียิปต์ล่าง ‘เนเฟอร์คาเร’ (
Neferkare) (พระนามของเปปิที่ 2) เมื่อปิกมี่ลงเรือมากับเจ้า ให้แต่งตั้งคนที่เชื่อใจได้คอยดูแลปิกมี่เหล่านั้นทั้งสองข้างของเรือ ดูแลไม่ให้พวกเขาตกลงไปในน้ำ ถ้าเจ้านำพาปิกมี่มาได้โดยปลอดภัย ข้าจะตกรางวัลให้กับเจ้าอย่างงามเสียยิ่งกว่าที่เคยเกิดขึ้นในรัชสมัยของฟาโรห์องค์ก่อนเสียอีก”
ข้อความโต้ตอบระหว่างฟาโรห์เปปิที่ 2 กับฮาร์คุฟแสดงให้เห็นว่าคนแคระหรือปิกมี่นั้นส่วนหนึ่งมีบทบาทหลักในฐานะนักเต้นรำซึ่งสร้างความสำราญใจให้ทั้งกษัตริย์และเทพเจ้าของชาวไอยคุปต์ ว่าแต่ถ้าเราวิเคราะห์จากหลักฐานอื่นๆ บ้างล่ะ เราจะพบเห็นบทบาทใหม่ของคนแคระในอารยธรรมอียิปต์โบราณอีกหรือไม่ คงต้องมาดูที่การแสดงออกทางศิลปะของพวกเขาครับ
ส่วนใหญ่แล้ว หลักฐานเกี่ยวกับคนแคระในอียิปต์โบราณนั้นมักจะปรากฏให้เห็นในศิลปะสมัยราชอาณาจักรเก่ามากกว่าสมัยอื่นๆครับ ไม่ว่าจะเป็นจากภาพสลักบนผนังก็ดี หรือรูปสลักแบบลอยตัวต่างๆก็ดี ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทนอกเหนือจากการเป็น “นักเต้นรำของพระเจ้า” ไม่ว่าจะเป็นผู้ดูแลด้านผ้าลินินหรือแม้แต่ช่างทำเครื่องประดับ แสดงให้เห็นว่าความแปลกประหลาดทางร่างกายของพวกเขาแทบจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำงานเลยครับ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนแคระอีกมากมายที่ได้รับตำแหน่งเป็นถึงขุนนางชั้นสูง อีกทั้งยังมีบทบาทที่น่าสนใจในราชสำนักอียิปต์โบราณอีกด้วย
บทบาทสำคัญที่สุดของคนแคระคือการเป็นนักเต้นรำ.คนแคระชั้นสูงท่านแรกที่อยากแนะนำให้รู้จักมาจากสมัยฟาโรห์คูฟู (
Khufu) เจ้าของพีระมิดองค์มหึมาที่สุดในอียิปต์โบราณที่นครสุสานกิซ่า คนแคระท่านนี้ชื่อ “เซเนบ” (
Seneb) ครับ สิ่งหนึ่งที่ทำให้เรารู้จักเซเนบเป็นอย่างดีก็คือรูปสลักที่ค้นพบจากสุสานของเขาในช่วงปี ค.ศ. 1925 ที่กิซ่า ปัจจุบันเก็บรักษาเอาไว้ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ ณ กรุงไคโร รูปสลักชิ้นนี้นอกจากจะแสดงให้เห็นภาพของคนแคระแล้ว ยังแฝงไปด้วยความอบอุ่นของครอบครัวของเขาอีกด้วยครับ
คนแคระท่านที่สองที่อยากนำพาไปทำความรู้จักก็คือ “เพเรนิอังค์” (
Pereniankh) ครับ คนแคระท่านนี้เรียกได้ว่ามีความพิเศษมากกว่าคนแคระท่านอื่นๆ ก็ด้วยว่าในสุสานของเขามี “มัมมี่” ที่ช่วยยืนยันความเป็นคนแคระของเขาอยู่ด้วยนั่นเองครับ!!
เพเรนิอังค์มีชีวิตอยู่ในช่วงราชอาณาจักรเก่าเช่นเดียวกับคนแคระเซเนบ เป็นไปได้ว่าเขารับใช้อยู่ในรัชสมัยของฟาโรห์แห่งราชวงศ์ที่ 5 หรือ 6 สุสานของเพเรนิอังค์ตั้งอยู่ที่กิซ่า ใกล้เคียงกับสุสานของเซเนบนั่นทำให้นักอียิปต์วิทยาบางท่านเสนอว่าบางทีเซเนบและเพเรนิอังค์อาจจะเป็นญาติทางสายเลือดของกันและกันก็เป็นได้ครับ
รูปสลักของคนแคระนามว่าเซเนบ นั่งเคียงข้างภรรยาของเขาโดยมีลูกสองคนยืนอยู่ด้านล่าง.มัมมี่ของเพเรนิอังค์ทำให้ทราบว่าเขาสิ้นลมเมื่ออายุราว 40 ปี กระดูกของเพเรนิอังค์แสดงให้เห็นว่าเขามีแขนขาที่สั้นผิดปกติจริง ซึ่งก็สอดคล้องกับรูปสลักของเขาทุกอย่าง นี่จึงถือเป็นความน่าทึ่งอย่างหนึ่งของศิลปะอียิปต์โบราณเลยก็ว่าได้ครับที่ช่างศิลป์ได้ทำการถ่ายทอดร่างกายที่แท้จริงของเพเรนิอังค์ออกมาไว้ที่รูปสลักได้อย่างชัดเจน
หลายๆท่านอาจจะอยากยกมือถามว่า นอกจากคนแคระในสมัยราชอาณาจักรเก่าอย่างเซเนบและเพเรนิอังค์แล้ว ช่วงสมัยอื่นๆของอียิปต์โบราณมีภาพคนแคระปรากฏอยู่อีกหรือไม่ คำตอบอยู่ที่บุรุษนามว่า “ดเจโฮ” (
Djeho) ซึ่งเป็นคนรับใช้อยู่ในบ้านของชนชั้นสูงท่านหนึ่งครับ
ดเจโฮมีชีวิตอยู่ในช่วงราชวงศ์ที่ 30 รัชสมัยของฟาโรห์เนคทาเนโบที่ 2 (
Nectanebo II) ซึ่งครองราชย์อยู่ในช่วงประมาณ 360 ปีก่อนคริสตกาล ภาพสลักของดเจโฮความสูงราว 120 เซนติเมตรในลักษณะหันข้าง แขนและขาของเขาสั้นและตันผิดปกติ ตามแบบฉบับของคนแคระปรากฏให้เห็นชัดเจนบนฝาโลงศพของเขาเอง นักอียิปต์วิทยาเสนอว่าความสูงนี้เป็นขนาด “เท่าตัวจริง” ของดเจโฮด้วยครับ
นอกจากชนชั้นสูงแล้ว ชาวไอยคุปต์ยังมีเทพเจ้าที่อยู่ในร่างของคนแคระด้วยนะครับ ซึ่งเทพเจ้าที่เชื่อว่าหลายๆท่านอาจจะรู้จักกันดีองค์หนึ่งก็คือเทพเจ้า “เบส” (
Bes) ครับ เบสเป็นเทพคนแคระที่ดูแลเกี่ยวกับเรื่องของการคลอดบุตร คอยช่วยดูแลบ้าน ดูแลเด็กทารก อาจจะมีหน้าตาที่น่ากลัวสักหน่อย แต่ก็เพื่อใช้ขับไล่สิ่งชั่วร้ายต่างๆให้ออกไปจากชาวไอย–คุปต์นั่นเองครับ
อีกหนึ่งเทพเจ้าคนแคระเช่นกันแต่อาจจะรู้จักกันน้อยกว่าก็คือเทพ “พทาห์” (
Ptah) ครับ เทพพทาห์คือเทพเจ้าแห่งงานช่างเป็นเทพเจ้าอุปถัมภ์แห่งนครเมมฟิส (
Memphis) บ่อยครั้งเรามักจะพบเทพเจ้าพทาห์ในร่างของบุรุษหัวโล้นในชุดผ้าพันมัมมี่ยืนขาชิดถือคทา แต่บางครั้งเทพเจ้าพทาห์ก็จะได้รับการแสดงออกในร่างของคนแคระเช่นกันครับ (แต่ค่อนข้างน้อยครั้งมากๆเมื่อเทียบกับร่างบุรุษมัมมี่) พทาห์ในร่างคนแคระมักจะเปลือยกาย มีแขนขาสั้น ศีรษะใหญ่ บางครั้งมีปอยผมข้างเดียว (
Sidelock of Youth) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเป็นเด็กด้วย ส่วนใหญ่แล้วเทพเจ้าพทาห์ในร่างคนแคระนั้นมักจะปรากฏในรูปของเครื่องรางให้ชาวไอยคุปต์ได้พกติดตัวไปไหนมาไหนได้โดยสะดวก
ปิกมี่คือของขวัญล้ำค่าที่ฟาโรห์มักจะให้คณะสำรวจของพระองค์นำกลับมายังอียิปต์.พูดถึงคนแคระที่เป็นบุรุษมามากแล้ว หลายๆท่านอาจจะเริ่มสงสัยว่าแล้วอียิปต์โบราณมีคนแคระที่เป็น “สตรี” บ้างหรือไม่ ซึ่งก็แน่นอนครับว่ามี แต่หลักฐานอาจจะน้อยกว่าเมื่อเทียบกับคนแคระที่เป็นบุรุษ หนึ่งในหลักฐานของคนแคระสตรีอยู่ในร่างของมัมมี่ซึ่งนางเสียชีวิตจากการคลอดบุตร โดยที่ยังมีร่างของเด็กทารกปรากฏอยู่ให้เห็นเป็นหลักฐาน ส่วนบทบาทในสังคมของคนแคระหญิงก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าคนแคระชายเท่าใดนักครับ เราทราบว่าคนแคระหญิงเหล่านี้บ้างก็ทำหน้าที่เป็นพยาบาลคอยดูแลเด็กๆ บ้างก็เป็นหมอตำแย (
Midwife) บ้างก็เป็นนักเต้นรำที่คอยสร้างความสุนทรีย์ให้กับชาวไอยคุปต์ไม่ต่างจากคนแคระที่เป็นบุรุษเลยครับ
นอกจากนั้นแล้วชาวไอยคุปต์ยังให้เกียรติกับคนแคระมากๆอีกด้วยครับดังที่ปรากฏในงานเขียนของพวกเขาว่า “จงอย่าเย้ยหยันคนตาบอด อย่ายั่วเย้าคนแคระหรือขัดขาคนพิการ” นั่นแสดงให้เห็นว่าสำหรับชาวไอยคุปต์แล้ว พวกเขาไม่ได้มองว่าคนแคระคือตัวประหลาดแต่อย่างใด มิหนำซ้ำคนแคระยังได้รับการนับถืออย่างสมเกียรติด้วย ไม่เช่นนั้นก็คงจะไม่มีเซเนบ เพเรนิอังค์ ดเจโฮ หรือแม้แต่เทพเจ้าเบสและพทาห์ในร่างของคนแคระหรอก จริงไหมล่ะครับ?
โดย : ณัฐพล เดชขจร
ทีมงาน นิตยสาร ต่วย'ตูน