[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
17 มิถุนายน 2568 03:52:40 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

หน้า:  1 ... 8 9 [10] 11   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: พระเครื่อง  (อ่าน 264813 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 13
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2632


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #180 เมื่อ: 15 มกราคม 2567 11:57:39 »



พระปิดตาเนื้อผง-คลุกรัก หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ พระเกจิดังรุ่นเก่า จ.ชลบุรี

ที่มา คอลัมน์โฟกัสพระเครื่อง    มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 - 16 มีนาคม 2566
เผยแพร่ - วันเสาร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ.2566


“พระปิดตา” เป็นพระเครื่องประเภทหนึ่ง ซึ่งมีพุทธศิลปะเป็นเอกลักษณ์ แตกต่างจากพระเครื่องประเภทอื่นๆ จนกลายเป็นความโดดเด่นและได้รับความนิยมอย่างสูง

ลักษณะของพระปิดตา เป็นรูปทรงองค์พระที่ค่อนข้างอวบอ้วน ยกพระหัตถ์ขึ้นปิดพระพักตร์ บางสำนักจะทำเป็นรูปมือ เพิ่มอีก 2 ข้าง เอื้อมไปปิดทวารด้านล่าง (วงการเรียก “โยงก้น”) อีกด้วย

ลักษณะเด่นนับเป็นพระเครื่องที่แสดงถึง “นัย” หรือ “ปริศนาธรรม” แห่งงานพุทธศิลปะอย่างโดดเด่น ยากจะหาพระเครื่องประเภทใดเทียบเทียมได้

ความหมายเบื้องต้นแห่งการปิดตา คือ การปิด “ทวาร” หรือทางเข้าทางออกแห่งอาสวะกิเลสทั้งหลาย ซึ่งเราเชื่อกันว่าร่างกายของมนุษย์ (หรือสัตว์) มี “ทวาร” หมายถึงประตูแห่งการเข้าออก 9 ทาง ได้แก่ ตา 2 จมูก 2 หู 2 ปาก 1 รวมทั้งช่องทางขับถ่ายด้านหน้าและด้านหลังอีก 2

“การปิดกั้นทวารทั้ง 9” เป็นปริศนาธรรมที่กั้นกิเลสจากภายนอกไม่ให้เข้ามาสู่ภายใน เพื่อจุดหมายแห่งการปฏิบัติกรรมฐาน ซึ่งโบราณาจารย์ที่สร้าง “พระปิดตา” (หรือปิดทวาร) ในอดีตจะเป็นพระภิกษุที่ขึ้นชื่อลือเลื่องทางวิปัสสนาธุระทั้งสิ้น

ในกระบวนพระปิดตาแต่โบราณนั้น มีที่ขึ้นชื่อลือเลื่องหลายสำนักด้วยกัน วัสดุมวลสารที่นำมาประกอบเป็นองค์พระ มีทั้งเนื้อชินตะกั่ว เนื้อผงคลุกรัก เนื้อผงใบลาน เนื้อผงมวลสาร เนื้อสัมฤทธิ์ เนื้อเมฆพัด เนื้อเมฆสิทธิ์ เป็นต้น

ที่อยู่ในความนิยมสูงสุด เช่น พระปิดตาหลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ จ.ชลบุรี, พระปิดตาหลวงปู่ไข่ วัดเชิงเลน พระปิดตาแร่บางไผ่ พระปิดตาหลวงปู่ทับ วัดทอง, พระปิดตาหลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง, พระปิดตาหลวงปู่นาค วัดห้วยจระเข้, พระปิดตาหลวงปู่ทับ วัดอนงคาราม, พระปิดตาหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท และอื่นๆ อีกหลายคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงในอดีต

กล่าวได้ว่า พระปิดตาหลวงพ่อแก้ว เป็นพระที่หายากที่สุด และจะเป็นพระปิดตาเนื้อผงคลุกรักที่มีราคาแพงที่สุด เนื่องมาจากประสบการณ์และคำร่ำลือถึงเรื่องเมตตามหานิยม โชคลาภ ค้าขาย และจำนวนพระที่มีจำนวนน้อยมาก ใครมีต่างก็หวงแหน

พระปิดตาหลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ พิมพ์กลาง : ประวัติไม่มีการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร มีเพียงคำบอกเล่าสืบต่อกันมา ซึ่งก็จะเหมือนกับพระสงฆ์ในอดีตอีกหลายรูปที่ไม่มีการบันทึกไว้ เนื่องจากการคมนาคมในพื้นที่ต่างจังหวัดเป็นไปด้วยความยากลำบาก จะมีการบันทึกไว้เพียงพระสงฆ์ที่อยู่ใกล้กับเมืองกรุงหรือพระเถระที่มีสมณศักดิ์สูงเพียงเท่านั้น

มีเพียงคำบอกกล่าวกันต่อๆ มาว่า ท่านเป็นชาวเพชรบุรี และออกธุดงค์มาเรื่อยๆ ผ่านมาหลายจังหวัด จนกระทั่งมาถึงเมืองชลบุรี และปักกลดอยู่ตรงบริเวณที่เป็นวัดเครือวัลย์ ชาวบ้านต่างเลื่อมใสในตัวหลวงพ่อแก้ว จึงนิมนต์ขอให้อยู่จำพรรษาและสร้างวัดเครือวัลย์ ก็เมตตาอยู่จำพรรษาและสร้างวัดเครือวัลย์ขึ้นมา

มีการบอกเล่าถึงการสร้างศาลาการเปรียญว่า ชาวบ้านก็ช่วยกันหาไม้ในป่าและช่วยกันสร้างศาลาการเปรียญขึ้นจนสำเร็จ หลวงพ่อแก้วสร้างพระปิดตาเนื้อผงคลุกรัก เป็นการตอบแทน

ใช้มวลสารจากว่านมงคล 108 ชนิด อาทิ ไม้ไก่กุก กาฝากรัก กาฝากมะยม กาฝากมะขาม ฯลฯ ผสมกับผงอิทธิเจ ผงปถมัง ผงพุทธคุณ นำมาบดเป็นผงแล้วกรอง จากนั้นใช้น้ำรักเป็นตัวประสาน และเม็ดรักซึ่งได้จากต้นรักที่เป็นมงคลนามตำผสมลงไป แล้วกดพิมพ์ออกมาเป็นองค์พระ

ดังนั้น เนื้อองค์พระจะละเอียด นอกจากนี้ มักปรากฏเม็ดสีน้ำตาล สีแดง ซึ่งเกิดจากว่านขึ้นประปราย และหากองค์พระสึกจะเห็นเนื้อในละเอียดเป็นสีน้ำตาลอมดำ

ลักษณะพิมพ์ทรง เป็นรูปสามเหลี่ยมมุมโค้งคล้ายเล็บมือ องค์พระประธานประทับนั่ง ขัดสมาธิราบ พระวรกายอวบอ้วน ยกพระหัตถ์ขึ้นปิดพระเนตร ในลักษณะป้องทั้งพระพักตร์

พระปิดตาเนื้อผงคลุกรักที่ด้านหลังจะมีทั้งหลังแบบและหลังเรียบ แต่ทุกพิมพ์จะหายากมาก

ซึ่งพิมพ์มาตรฐาน อาทิ พิมพ์ใหญ่ พิมพ์กลาง และพิมพ์เล็ก





รูปหล่อเหมือน หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์

มีเรื่องเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่เล่าขานกันหลากหลายเรื่อง เช่น มีลูกศิษย์วัดบางรายไปหลงรักสาว แต่สาวเจ้าไม่เล่นด้วย จึงนำผงของพระปิดตาไปแอบใส่น้ำให้สาวกิน แล้วก็ได้แต่งงานอยู่กินด้วยกัน

ความทราบถึงหลวงพ่อแก้ว จึงประกาศว่าถ้าใครนำพระไปขูดเอาผงใส่น้ำให้ผู้หญิงกิน แล้วไม่รับเลี้ยงดู จะเป็นบ้าแล้วก็สั่งห้ามไว้ เรื่องเมตตามหานิยมนั้นมีมากมาย

จำพรรษาอยู่ที่วัดเครือวัลย์จวบจนมรณภาพ จากปากคำของผู้เฒ่าผู้แก่ ซึ่งได้รับฟังมาจากบิดามารดาอีกทีหนึ่งว่ามรณภาพขณะอายุประมาณ 80 ปี

จากการสืบค้นข้อมูลการสำรวจคณะสงฆ์มณฑลปราจีนบุรี (คณะสงฆ์ฝ่ายภาคตะวันออก) มีการทำบัญชีภิกษุสามเณรศิษย์วัดในเมืองแล แขวงเมืองชลบุรี รัตนโกสินทร์ศก 118 แนบท้ายรายงานจัดการศึกษา การศาสนามณฑลปราจีนบุรี ของพระอมราภิรักขิต (สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์-เจริญ ญาณวรเถร) ระบุว่า “วัดเครือวัลย์ ตำบลหนองต้นโพธิ์ อำเภอเมือง นามเจ้าอธิการ แจ่ม พรรษา 20 อายุ 40 พระ 3 เณร 4”

ความนี้จึงทำให้ทราบว่า ในปี พ.ศ.2442 หลวงพ่อแก้วมรณภาพแล้ว หลวงพ่อแจ่มเป็นเจ้าอาวาสวัดเครือวัลย์อยู่ในปีนั้น •




พระกสิณเนื้อดิน หลวงพ่อพัฒน์ นารโท

พระ-เหรียญกสิณรุ่น 1 หลวงพ่อพัฒน์ วัดใหม่ พระเกจิดังสุราษฎร์ธานี

ที่มา - คอลัมน์โฟกัสพระเครื่อง มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 17 - 23 มีนาคม 2566
เผยแพร่ - วันศุกร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ.2566


“หลวงพ่อพัฒน์ นารโท” อดีตเจ้าอาวาสวัดพัฒนาราม (วัดใหม่) อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี พระเกจิอาจารย์เรืองวิทยาคมที่มีชื่อเสียงโด่งดัง

จัดสร้างวัตถุมงคลและเครื่องรางของขลังที่ล้วนแต่ได้รับความนิยม

วัตถุมงคลที่สร้างขึ้น คือ พระกสิณ มีทั้งเนื้อดินเผา เนื้อผงผสมว่าน และที่เป็นเหรียญ คือ เหรียญกสิณ ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง

พระกสิณ ทำมาจากผงกสิณ ผงที่เกิดจากพระเกจิอาจารย์เขียนอักขระกสิณลงไปบนกระดานชนวนหลายครั้ง แล้วนำมาผสมกับดินเพื่อเป็นพระเครื่องราง

สร้างพระกสิณ จากนิมิตสมาธิ เมื่อสร้างออกมา มีรูปแบบที่ไม่เหมือนใคร รุ่นแรก ปลุกเสกโดยหลวงพ่อพัฒน์ สร้างขึ้นในราวปี พ.ศ.2467-2472

ลักษณะรูปทรงคล้ายหยดน้ำ ด้านหน้าเป็นรูปพระพุทธนั่งสมาธิขัดราบประทับนั่งบนดอกบัว ใต้ดอกบัวเป็นอักขระพระกสิณ รอบองค์พระพุทธมีเส้นรัศมีที่เกิดจากการเข้าพระกสิณ

ด้านหลัง ตรงกลางเป็นอักขระพระกสิณ คล้ายตัว “อ” ล้อมรอบด้วยสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด 3 เส้น ด้านบนมีอักขระยันต์ขอมอุณาโลม ตรงด้านล่าง เขียนคำว่า “วัดใหม่”

ส่งผลให้มีสนนราคาสูงมาก





หลวงพ่อพัฒน์ นารโท

หลวงพ่อพัฒน์ นารโท เกิดในสกุล พัฒนพงศ์ เมื่อวันพุธ เดือน 6 ปีจอ พ.ศ.2405 ที่ตลาดบ้านดอน อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี

เมื่อเยาว์วัยได้ศึกษาอยู่กับพระอาจารย์ผ่อง แห่งวัดพระโยค ศึกษาเล่าเรียนตามเนื้อหาวิชาตามควรแก่วัยและตามภูมิพื้นความรู้ของผู้เป็นอาจารย์

ย่างเข้าวัยหนุ่ม สมรสกับนางละม่อม ต่อมา ภรรยาซึ่งตั้งครรภ์อยู่ได้คลอดบุตรออกมาเป็นผู้หญิง แต่ถึงแก่กรรมภายหลังคลอดได้ไม่นานนัก ให้โทมนัสเสียใจเป็นอันมาก จึงตัดสินใจหันหน้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์

เข้าพิธีอุปสมบทเมื่ออายุ 25 ปี ใน พ.ศ.2430 ที่อุโบสถวัดพระโยค มีพระครูสุวรรณรังษี (มี) เจ้าคณะอำเภอกาญจนดิษฐ์ และเจ้าอธิการ วัดโพธิ์ ต.บ้านตลาดบน (ยึดถือตามรายงานมณฑลชุมพร ร.ศ.119) เป็นพระอุปัชฌาย์, หลวงพ่อกล่อม วัดโพธิ์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และหลวงพ่อขำ วัดบางใบไม้ เป็นพระอนุสาวนาจารย์

ได้รับฉายาว่า “นารโท” จากนั้น อยู่จำพรรษาที่วัดพระโยค เป็นเวลาหลายพรรษา

ชีวิตในร่มกาสาวพัสตร์ สงบเย็นเกื้อกูลความในพระธรรมวินัย พร้อมสร้างคุณูปการหลายประการให้แก่พระศาสนา เอาธุระจัดการ เอาใจใส่ในความประพฤติปฏิบัติของพระสงฆ์ลูกวัด ตลอดจนกิจวัตรทางศาสนาต่างๆ 

สําหรับวัดพัฒนาราม เริ่มสร้างเมื่อ พ.ศ.2439 โดยหลวงพ่อพัฒน์ชักชวนชาวบ้านหักร้างถางพงที่บริเวณวัดเดิมซึ่งเป็นป่าทึบ เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่านานาชนิด อาทิ เสือ หมี ค่าง และงูพิษ จนไม่มีใครกล้าเข้าไปอยู่อาศัย แต่สามารถก่อสร้างกุฏิที่พักสงฆ์ อุโบสถ ศาลาการเปรียญ หอฉัน ในเนื้อที่ 29 ไร่ 3 งาน 10 ตารางวา สำเร็จขึ้นได้ และได้ผูกพัทธสีมาในปี พ.ศ.2444

วัดแห่งนี้ ตั้งอยู่ใน ต.ตลาด อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี ชาวบ้านเรียกชื่อวัดนี้ 2 ชื่อ คือ “วัดใหม่” เนื่องจากเป็นวัดที่สร้างขึ้นหลังวัดอื่นๆ ในย่านตลาดเมืองสุราษฎร์ธานี และคำว่า “วัดใหม่” หลวงพ่อพัฒน์ได้จารึกหลังพระกสิณ ซึ่งท่านได้สร้างขึ้น

อีกชื่อหนึ่งเรียกว่า “วัดพัฒนาราม” ตั้งขึ้นหลังจากหลวงพ่อพัฒน์มรณภาพแล้ว เพื่อเป็นอนุสรณ์ที่เป็นผู้สร้างวัดนี้ขึ้นมา

นอกจากกิจการศาสนาแล้ว ยังได้ส่งเสริมสนับสนุนการศึกษาด้วย โดยจัดตั้งโรงเรียนขึ้นเป็นแห่งแรกอำเภอกาญจนดิษฐ์ เมื่อประมาณ ร.ศ.116 (พ.ศ.2440)

เป็นพระอุปัชฌาย์ และเจ้าคณะแขวงอำเภอบ้านดอนอยู่ประมาณ 4-5 ปี แต่ด้วยความเป็นผู้ไม่ยึดติด จึงได้ลาออกจากตำแหน่งเจ้าคณะแขวงอำเภอเมือง (อำเภอบ้านดอน-เดิม) เมืองไชยา และตำแหน่งอุปัชฌาย์ เพื่อออกไปธุดงค์

ด้านวิทยาคม ได้รับการถ่ายทอดวิชาจากพระเกจิ อาจารย์มากมาย อาทิ พระครูสุวรรณรังษี ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์, หลวงพ่อกล่อม พระกรรมวาจาจารย์ และหลวงพ่อขำ พระอนุสาวนาจารย์ ยังมีพระธุดงค์รูปหนึ่งซึ่งเดินทางมาจากวัดเขาหัวลำภู แห่งเขาพระบาท อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช พระธุดงค์รูปนี้ เรียกขานกันว่า พระอาจารย์สุข

ทั้งนี้ พระอาจารย์สุข ได้เมตตาถ่ายทอดสรรพวิชา ทั้งด้านการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานและวิทยาคม เช่น การลงอักขระอาคมบนแผ่นเงิน แผ่นทอง ตะกรุด ผ้ายันต์ เป็นต้น

ในช่วงบั้นปลายชีวิต มอบภารกิจหน้าที่ของทางวัดไว้กับหลวงพ่อเจียว สิริสุวัณโณ พระภิกษุผู้เป็นน้องชายให้เป็นผู้ดูแล โดยใช้เวลานี้ไปหลบปลีกวิเวก โดยใช้ศาลาที่พักศพในป่าช้าเป็นที่พำนัก ทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ไปกับการ มุ่งมั่นปฏิบัติธรรม บำเพ็ญเพียรภาวนาในพระสัทธรรม

กระทั่งเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2485 หลวงพ่อพัฒน์ บำเพ็ญสมาธิภาวนา ตั้งแต่หัวค่ำ ด้วยความสงบเย็น จนเวลาประมาณ 08.43 น. จึงละสังขารจากไปอย่างสงบ สร้างความเศร้าสลดและความอาลัยแก่ศิษยานุศิษย์ ญาติมิตร และพุทธบริษัทของวัดอย่างสุดซึ้ง

อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง ด้วยมรณภาพในอิริยาบถนั่งสมาธิ และกาลเวลาผ่านไป 6-7 ปี แต่ปรากฏว่าสรีรสังขารไม่เน่าเปื่อย •
บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 13
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2632


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #181 เมื่อ: 03 เมษายน 2567 17:02:27 »



พระกริ่งเจริญพร ยอดนิยม : หลวงพ่อยิด จันทสุวัณโณ วัดหนองจอก จ.ประจวบฯ

ที่มา - คอลัมน์โฟกัสพระเครื่อง  มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 28 เมษายน - 4 พฤษภาคม 2566
เผยแพร่ - วันเสาร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ.2566


“หลวงพ่อยิด จันทสุวัณโณ” หรือ “พระครูนิยุตธรรมสุนทร” วัดหนองจอก ต.ดอนยายหนู อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง

สร้างพระเครื่องวัตถุมงคลและเครื่องรางของขลังไว้มากมายหลายชนิด วัตถุมงคลที่ขึ้นชื่อคือ ปลัดขิก เด่นในด้านเมตตามหานิยม เป็นที่นิยมกว้างขวางในหมู่ทหารและตำรวจ

แต่ที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กันคือ “พระกริ่งเจริญพร”

เคยมีคำกล่าวของบรรดานักนิยมสะสมพระเครื่อง กล่าวไว้ว่า “หากพูดถึงต้นแบบพระกริ่งชินบัญชร ต้องหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ แต่หากกล่าวถึงต้นแบบพระกริ่งเจริญพร ต้องหลวงพ่อยิด วัดหนองจอก”

เมื่อปี พ.ศ.2537 หลวงพ่อยิดอนุญาตให้พระไชยา ปัญญาธโร วัดหนองจอก จัดสร้าง “พระกริ่งเจริญพร พิมพ์อุบาเก็ง” เพื่อหารายได้สมทบทุนการก่อสร้างกุฏิสงฆ์ วัดหนองจอก และก่อสร้างศาลาปฏิบัติธรรม สำนักสงฆ์ไร่เนิน

จัดสร้างมีเนื้อทองคำ 29 องค์ เนื้อเงิน 3,000 องค์ และเนื้อนวะ 5,000 องค์

ทุกองค์ตอกโค้ดและหมายเลขกำกับทุกองค์ เป็นโค้ดหมายเลขไทย ชุดตัวใหญ่ ทุกเนื้อมีโค้ดแยกออกจากกันอย่างชัดเจน ที่ฐานด้านหลังพระกริ่ง มีอักษรไทยเขียนคำว่า “กริ่งเจริญพร ยิด จนฺทสุวณฺโณ”

พระกริ่งชุดนี้ หลวงพ่อยิดปลุกเสกตั้งแต่วันที่ 3-9 กรกฎาคม 2537 รวม 7 วัน ที่วัดหนองจอก

ปัจจุบัน แวดวงพระเครื่องวัตถุมงคลในประจวบคีรีขันธ์ กล่าวได้ว่า พระกริ่งเจริญพร หลวงพ่อยิด เป็นที่นิยมและมีความต้องการสูงจากบรรดานักสะสม และเซียนพระต่างพากันกะเก็งว่าจะได้รับความนิยมสูง

อีกทั้งมีพุทธคุณเด่นทั้งด้านเมตตามหานิยม โชคลาภ และแคล้วคลาด ปลอดภัย ราคาเช่าบูชาจึงขยับสูงขึ้นเรื่อยๆ

นับเป็นวัตถุมงคลอีกรุ่น ที่ควรค่าแก่การเช่าบูชา





หลวงพ่อยิด จันทสุวัณโน

มีนามเดิมว่า ยิด ศรีดอกบวบ เกิดเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2476 บิดา-มารดาชื่อ นายแก้วและนางพร้อย ศรีดอกบวบ

อายุ 9 ขวบ บรรพชาในวัดบ้านเกิด ฝึกปฏิบัติสมาธิ ศึกษาอักขระเลขยันต์ ศึกษาพระปริยัติธรรม กระทั่งอายุ 14 ปี จึงสึกออกมาช่วยครอบครัวหาเลี้ยงชีพ

อายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ เข้าพิธีอุปสมบท โดยมีหลวงปู่อินทร์ วัดยาง เป็นพระอุปัชฌาย์ และพระอธิการหวล เป็นพระอนุสาวนาจารย์

ฝากตัวเป็นศิษย์กับหลวงปู่ศุข วัดโตนดหลวง เพื่อศึกษาวิทยาคมเพิ่มเติม และยังได้ออกธุดงค์ไปตามสถานที่วิเวกต่างๆ ในหลายพื้นที่ รวมทั้งได้เดินเท้าเข้าไปในฝั่งประเทศพม่า เป็นต้น

จนกระทั่งปี พ.ศ.2487 บิดาล้มป่วย จึงเดินทางกลับมา ลาสิกขาออกมาดูแล และแต่งงานมีครอบครัว

ท้ายที่สุด เมื่อบิดา-มารดาถึงแก่กรรมในปี พ.ศ.2518 จึงได้เข้าพิธีอุปสมบทอีกครั้ง ที่วัดเกาะหลัก มีเจ้าคณะจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ขณะนั้นเป็นพระอุปัชฌาย์

อยู่จำพรรษาเป็นพระลูกวัดที่วัดทุ่งน้อย อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์

ต่อมาชาวบ้านหนองจอก ต.ดอนยายหนู ทราบข่าวจึงยกที่ดินให้จำนวน 21 ไร่ 2 งาน เป็นพื้นที่ป่า เพื่อให้สร้างวัดขึ้น

ได้รับความศรัทธาจากนายทหาร ตำรวจ ข้าราชการ ประชาชน เป็นจำนวนมาก ที่เข้ามาขอรับวัตถุมงคล อาทิ ตะกรุด พระเครื่อง ปลัดขิก เนื่องจากเชื่อกันว่า วัตถุมงคลมีพุทธคุณโดดเด่นรอบด้าน เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในวงการพระเครื่อง

วัตรปฏิบัติ ใน 1 ปี หลวงพ่อยิดจะสรงน้ำปีละครั้งเท่านั้น โดยอนุญาตให้ญาติโยมที่เลื่อมใสศรัทธา ใช้แปรงทองเหลืองที่ใช้ขัดเหล็ก ขัดตามตัว แขนขาของท่าน แต่แปรงทองเหลืองไม่ได้ระคายผิวหนังแม้แต่น้อย หลังจากขัดตัวให้ท่านแล้วเสร็จ หลวงพ่อยิดจะมอบวัตถุมงคลให้นำไปบูชากันอย่างทั่วถึง

สำหรับปัจจัยที่ได้รับจากการบริจาค จะนำไปสมทบทุนการศึกษา ทำนุบำรุงศาสนา สังคมและชุมชน จนกลายเป็นประเพณีถือปฏิบัติของหลวงพ่อยิด

แต่ด้วยสังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยง จึงมรณภาพลงอย่างสงบ เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2538 สิริรวมอายุ 71 ปี พรรษา 30

แม้จะมรณภาพลง แต่ด้วยความศรัทธาของพุทธศาสนิกชน ชาวบ้านในพื้นที่จึงได้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิพระครูนิยุตธรรมสุนทร (หลวงพ่อยิด จันทสุวัณโณ) เพื่อบำรุง บูรณะและปฏิสังขรณ์ศาสนสถาน เป็นทุนภัตตาหาร การศึกษา และพยาบาล พระภิกษุ สามเณร ทุนการศึกษาแก่เด็กนักเรียน นักศึกษาที่เรียนดี แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์

ส่งเสริมและสนับสนุนในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาและดำเนินการเพื่อสาธารณประโยชน์

แต่ละปีจะมีการนำดอกผลบริจาคให้กับสาธารณะมาโดยตลอด มอบเป็นทุนการศึกษาให้แก่เด็กนักเรียนที่เรียนดี แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ สงเคราะห์ผู้สูงอายุ บำรุงการศึกษาให้แก่พระภิกษุ สามเณร ที่เล่าเรียนพระธรรมวินัย พร้อมทั้งบำรุงซ่อมแซมถาวรวัตถุวัดหนองจอก ค่าบำรุงการศึกษานักเรียนในเขตอำเภอกุยบุรี จำนวนทั้งสิ้น 26 โรงเรียน

นอกจากนี้ ยังปรับปรุงศาลาอเนกประสงค์หมู่บ้านหนองจอก มอบเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นสื่อการเรียนการสอนให้ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ค่าอาหารเสริมให้นักเรียน ปรับปรุงห้องสมุดโรงเรียน สนับสนุนงบประมาณในการจัดทำโครงการพัฒนายกระดับคุณภาพกระบวนการจัดการเรียนรู้ เป็นต้น •




เหรียญหนุมานแบกพระสาวก

เหรียญหนุมานแบกพระสาวก พระโมคัลลานะ-พระสารีบุตร หลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม

ที่มา - คอลัมน์โฟกัสพระเครื่อง มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 5 - 11 พฤษภาคม 2566
เผยแพร่ - วันเสาร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ.2566


พระอุปัชฌาย์คง หรือหลวงพ่อคง ธัมมโชโต อดีตเจ้าอาวาสวัดบางกะพ้อม อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม

เป็นพระเกจิอาจารย์ลุ่มแม่น้ำแม่กลองอีกรูปที่วัตรปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาไม่แพ้หลวงพ่อแก้ว พรหมสโร วัดพวงมาลัย

วัตถุมงคลโดยเฉพาะเหรียญปั๊มรุ่นแรกปี พ.ศ.2484 นับว่ายอดเยี่ยม จัดอยู่ในชุดเบญจภาคีเหรียญยอดนิยม

เหรียญปั๊มอีกเหรียญที่นิยมมากเช่นกัน คือ เหรียญปาดตาล พ.ศ.2486 ก็เป็นเสาะแสวงหา

ส่วนประเภทเหรียญหล่อก็เป็นที่นิยมกันมาก เพราะสมัยโบราณคนท้องถิ่นนิยมเหรียญหล่อมากกว่าเหรียญปั๊ม

สร้างแจกชาวบ้านและลูกศิษย์อยู่หลายรุ่น ที่ได้รับความนิยมอย่างยิ่ง คือ เหรียญหล่อหนุมานแบกพระสาวก

สร้างช่วงประมาณปี 2484-2485 ในยุคสงครามอินโดจีน เป็นเนื้อทองผสมแก่ทองเหลือง จำนวนการสร้างไม่ได้บันทึกไว้

เหรียญหนุมานแบกพระสาวก ลักษณะเป็นเหรียญรูปทรงรี มีรูปพระพุทธเจ้าปางประทานพร มีรูปพระโมคัลลานะ-พระสารีบุตร พระอัครสาวกอยู่ด้านซ้ายและด้านขวา ด้านล่างลงมามีรูปหนุมานกางแขนแบกพระอัครสาวกไว้อีกที ส่วนพระบาทของพระพุทธองค์ชิดติดกับศีรษะหนุมาน

ด้านหลังเป็นรูปยันต์ เม อะ มะ อุ และยันต์ นะ มะ พะ ทะ เด่นทางด้านเมตตามหานิยม แคล้วคลาด มีประสบการณ์มากมายมาตั้งแต่อดีต

เหรียญหล่อพิมพ์นี้ หลวงพ่อคง เคยปรารภว่า หนุมานเป็นลูกลมและมีอิทธิฤทธิ์มาก

ปัจจุบันหายากพอสมควร สนนราคาค่อนข้างสูง ของปลอมเลียนแบบก็มีอยู่มาก ถ้าจะเช่าหาควรศึกษาให้ดี


 

หลวงพ่อคง ธัมมโชโต

หลวงพ่อคง ธัมมโชโต เกิดในสกุล จันทร์ประเสิรฐ เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2407 ณ ต.บางสำโรง อ.บางคนที จ.สุมทรสงคราม

บิดา-มารดา ชื่อ นายเกตุ และนางทองอยู่ จันทร์ประเสิรฐ

เล่ากันว่าท่านเกิดในเรือนแพ ซึ่งมีความเชื่อกันว่า ถ้าใครถือกำเนิดในห้องเล็กที่ใต้เรือนแพ จะต้องเป็นผู้ชายและครองสมณเพศเป็นพระภิกษุตลอดชีวิต โดยบิดา-มารดาซื้อเรือนนี้มาอีกทอดหนึ่ง

พออายุได้ 12 ปี บรรพชาที่วัดเหมืองใหม่ อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม เพื่อศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรม ระหว่างเป็นสามเณรมีความสนใจในวิชาเมตตามหานิยม

กระทั่งอายุได้ 19 ปี ลาสิกขาเพื่อไปช่วยครอบครัวประกอบอาชีพ

ครั้นเมื่อมีอายุครบ 20 ปี เข้าพิธีอุปสมบท ณ วัดเหมืองใหม่ เมื่อวันศุกร์ ขึ้น 6 ค่ำ เดือนสิงหาคม 2427 มีพระอาจารย์ด้วง เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอธิการจุ้ย เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอธิการทิม วัดเหมืองใหม่ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า ธัมมโชโต แปลว่า ผู้รุ่งเรืองในธรรม

จำพรรษาอยู่ที่วัดเหมืองใหม่ คอยอุปัฏฐากรับใช้พระอุปัชฌาย์ ด้วยอุปนิสัยที่รักการศึกษาเล่าเรียน ศึกษาเล่าเรียนทั้งทางคันถธุระ วิปัสสนาธุระกับพระอุปัชฌาย์เป็นพื้นฐาน ต่อมาได้ไปศึกษากับพระเถระชื่อดังในยุคนั้นอีกหลายรูป

ได้ศึกษาคัมภีร์มูลกัจจายน์ ซึ่งเป็นตำราเรียนบาลีไวยากรณ์ในสมัยโบราณ กับอาจารย์นก ซึ่งเป็นอุบาสกในละแวกนั้นเป็นเวลา 13 ปี จนมีความคล่องแคล่วสามารถแปลธรรมบทตลอดจนคัมภีร์ต่างๆ ได้

นอกจากนี้ ยังสนใจการศึกษาวิทยาคม โดยร่ำเรียนกับพระเกจิชื่อดัง เริ่มแรกศึกษาคัมภีร์นี้กับพระอาจารย์ด้วง ซึ่งท่านเชี่ยวชาญการลบผงวิเศษ เป็นที่นับถือในสมัยนั้นต่อมาเล่าเรียนกับหลวงพ่อตาด วัดบางวันทอง พระเถระผู้ที่มีวิทยาคมอันแก่กล้า โดยเฉพาะวิชานะปัดตลอด

อีกทั้งยังได้ไปศึกษากับหลวงพ่อหรุ่น วัดช้างเผือก ผู้เชี่ยวชาญในพระกัมมัฏฐาน

ในพรรษา 19 เกิดอาพาธ จึงหยุดพักผ่อน หันมาสอนสมถะกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐานลูกศิษย์ลูกหา

เอาใจใส่การดูแลก่อสร้างเสนาสนะ เนื่องจากมีฝีมือในเชิงช่าง ในเบื้องต้นซ่อมแซมพอไตรที่มีสภาพชำรุดทรุดโทรมให้มีสภาพที่ดีขึ้น พร้อมกันนั้นก็ปั้นพระป่าเลไลย์ด้วยมือ

จนกระทั่งพรรษาที่ 21 ในปี พ.ศ.2448 ชาวบ้านใน ต.บางกะพ้อม อาราธนามาเป็นเจ้าอาวาส ซึ่งในขณะนั้นวัดบางกะพ้อมไม่มีสมภารปกครองวัด และวัดก็อยู่ในสภาพที่ชำรุดทรุดโทรม

ฟื้นฟูบูรณปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุภายในวัด ซึ่งชำรุดทรุดโทรม ด้วยท่านมีฝีมือในการพัฒนาเป็นทุนเดิม จึงทำให้การสร้างความเจริญให้แก่วัดสำเร็จลุล่วงในเวลาอันสั้น

พ.ศ.2464 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะตำบลบางกะพ้อม และแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์

แม้จะมีภาระงานปกครองวัด แต่ในเดือน 4 ของทุกปี จะไปปักกลดในป่าช้าข้างวัดเป็นเวลาราว 1 เดือน เรียกกันว่า รุกขมูลข้างวัด ชำระจิตใจให้สะอาด หลังจากยุ่งกับเรื่องราวทางโลกเกือบตลอดทั้งปี

ช่วงบั้นปลายชีวิตอาพาธด้วยโรคชรา เนื่องจากมีงานอยู่หลายอย่างต้องทำ ด้วยเป็นกิจของสงฆ์ ทั้งงานการสร้างพระพุทธรูป การสร้างวัตถุมงคล ทำให้ไม่มีเวลาพักผ่อน

เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2486 ขณะนั่งร้านเพื่อตกแต่งพระขนงพระพุทธรูปประธานองค์ใหม่ เมื่อสวมพระเกตุพระประธานแล้วเสร็จ ก็เกิดอาการหน้ามืด คล้ายจะเป็นลม แต่มีสติดี เอามือประสานในอิริยาบถนั่งสมาธิจนหมดลมถึงแก่มรณภาพในอาการอันสงบ

คณะศิษย์เห็นท่านนั่งอยู่นาน จึงประคองร่างลงมาจากนั่งร้าน จึงรู้ว่ามรณภาพไปแล้ว

สิริอายุ 78 ปี พรรษา 58 •




   
พระสมเด็จฐานสิงห์ หลวงปู่นะ (หน้า)

   
พระสมเด็จฐานสิงห์ หลวงปู่นะ (หลัง)

พระสมเด็จฐานสิงห์ หลวงปู่นะ ฐิตปัญโญ วัดหนองบัว จ.ชัยนาท

ที่มา - คอลัมน์โฟกัสพระเครื่อง มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 12 - 18 พฤษภาคม 2566
เผยแพร่ - วันเสาร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ.2566


พระครูปทุมชัยกิจ หรือ หลวงปู่นะ ฐิตปัญโญ เจ้าอาวาสวัดปทุมธาราม (หนองบัว) ต.หนองบัว อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท จะมีอายุครบรอบ 103 ปี ศิษย์ผู้ใกล้ชิดและผู้เลื่อมใส จะได้ร่วมกันจัดงานมุทิตาจิตฉลองอายุวัฒนมหามงคล เป็นประจำทุกปี

เป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดังอีกรูป ทายาทศิษย์พุทธาคมสายหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท

ในปี พ.ศ.2531 อนุญาตให้ทางวัดจัดสร้าง “พระสมเด็จฐานสิงห์ หลังรูปเหมือนหลวงปู่นะ (โรยผงตะไบ)” เพื่อหารายได้สมทบทุนบูรณะอุโบสถ

ลักษณะขององค์พระ เป็นพระเนื้อผงพุทธคุณ ด้านหน้าองค์พระ ตรงกลางเป็นรูปนูนพระพุทธรูปนั่งสมาธิบนฐาน 3 ชั้น มีซุ้มครอบแก้ว ฐานชั้นล่างสุด เป็นฐานขาสิงห์ ฝังพระธาตุ 1-3 เม็ด และเส้นเกศาหลวงปู่นะ

ส่วนด้านหลังองค์พระ ตรงกลางเป็นลายเส้นรูปเหมือนนั่งสมาธิเต็มองค์อยู่บนอาสนะ รอบรูปเหมือน มีอักขระขอม นะโมพุทธายะ และด้านล่างเขียนว่า “หลวงพ่อนะ วัดปทุมธาราม (หนองบัว)” พร้อมโรยผงตะไบที่รูปหลวงปู่นะ

พระสมเด็จฐานสิงห์ หลังรูปเหมือนหลวงปู่นะ (โรยผงตะไบ) รุ่นนี้ ปลุกเสกเดี่ยวตลอดไตรมาส (3 เดือน) และเนื้อพระผสมผงพุทธคุณที่นำมาจากพระเกจิอาจารย์ชื่อดังหลายรูป

สำหรับพระสมเด็จฐานสิงห์ ด้วยความที่มีพลังจิตที่แก่กล้า เจตนาการจัดสร้างที่บริสุทธิ์ พุทธคุณจึงโดดเด่นรอบด้าน

ผู้ที่มีพระสมเด็จฐานสิงห์รุ่นนี้ ต่างมีประสบการณ์มากมาย บางรายบูชาแล้วได้โชคลาภเป็นประจำ

นับเป็นพระดีอีกรุ่นหนึ่งของจังหวัดชัยนาท





หลวงปู่นะ ฐิตปัญโญ  มีนามเดิมว่า โฉม เหล่ายัง เกิดเมื่อวันพุธที่ 6 ธันวาคม 2459 ที่บ้านขุนแก้ว ต.ดงขวาง อ.หนองขาหย่าง จ.อุทัยธานี เป็นบุตรคนที่ 2 ในจำนวน 9 คน ของนายแจกและนางตี่ เหล่ายัง ครอบครัวประกอบอาชีพเกษตรกรรม

ในวาระแรกเกิด บิดา-มารดาตั้งชื่อให้ว่า “โฉม” ต่อมาเมื่ออายุ 5-6 ขวบ หมอเป้ซึ่งเป็นหมอแผนโบราณ และเป็นผู้มีความรู้ทางด้านโหราศาสตร์ด้วย เห็นว่าเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่เป็นประจำ จึงได้เปลี่ยนชื่อใหม่ว่า “นะ” อันเป็นมงคลนาม

ส่วนนามสกุล “เหล่ายัง” ต่อมาภายหลังเปลี่ยนเป็น “นาคพินิจ”

อายุครบ 21 ปีบริบูรณ์ เข้าพิธีอุปสมบท ที่พัทธสีมา วัดราษฎร์นิธิยาวาส (ดอนปอ) ต.บ่อแร่ อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2480

โดยมีพระครูวิจิตรชัยการ (หลวงพ่อเคลือบ) วัดบ่อแร่ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอาจารย์ชั้น เป็นพระกรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์สำเนียง เป็นพระอนุสาวนาจารย์

ศึกษาพระปริยัติธรรมด้วยความตั้งใจ พ.ศ.2481 สอบได้นักธรรมชั้นตรี จากสำนักเรียนวัดราษฎร์นิธิยาวาส (ดอนปอ) พ.ศ.2483 เดินทางไปศึกษาต่อในสำนักเรียนวัดหนองแฟบ อ.หนองขาหย่าง จ.อุทัยธานี สอบได้นักธรรมชั้นโท

พ.ศ.2485 ได้ไปจำพรรษาที่วัดปทุมธาราม (หนองบัว) และในปี พ.ศ.2487 สามารถสอบได้สอบนักธรรมชั้นเอก

ขณะศึกษานักธรรม มีโอกาสศึกษาวิชาการแพทย์แผนโบราณกับพระอาจารย์ศรี วัดหนองแฟบควบคู่ไปด้วย จนมีความรู้ความชำนาญการใช้สมุนไพรรักษาโรคภัยไข้เจ็บทั่วไปด้วย

ด้วยความเป็นพระหนุ่มที่ทรงความรู้ วิทยฐานะนักธรรมชั้นเอก จึงมีความคิดก่อตั้งสำนักเรียนขึ้นมาใหม่ หลังจากซบเซาขาดหายไปนาน โดยรับหน้าที่เป็นผู้สอนเองทุกชั้น ตั้งแต่นักธรรมชั้นตรี โท และเอก จึงมีลูกศิษย์ที่เป็นพระภิกษุบริหารกิจการคณะสงฆ์อยู่ในเวลานี้หลายจังหวัด

ระหว่างนั้นหันมาให้ความสนใจศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณเพิ่มเติม และเรียนวิทยาคม เลขยันต์พันคาถาควบคู่กันไป จากตำราที่พระปลัดปั่น เจ้าอาวาสรูปที่ 9 ได้รับมอบจากหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า และพระปลัดปั่น มอบตำราของหลวงปู่ศุขให้

ศึกษาเรียนรู้สรรพวิชาจากในตำราทั้งหมด จนมีความรู้แตกฉานในวิทยาคมอย่างดี เป็นที่พึ่งของชาวบ้านที่เจ็บไข้ได้ป่วย ช่วยเหลือปัดเป่าทุกข์เหล่านั้นด้วยความเมตตา

ด้านงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา จัดเทศนาธรรมเป็นประจำในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ชักชวนประชาชนให้ร่วมทำบุญตักบาตร ฟังเทศน์ เวียนเทียนรอบอุโบสถ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา อีกทั้งเป็นครูสอนพระธรรมวินัย สำนักเรียนวัดปทุมธาราม (หนองบัว) เป็นครูสอนการปฏิบัติธรรมวิปัสสนากัมมัฏฐานแก่พระภิกษุ-สามเณร ตลอดจนประชาชนทั่วไป

ด้านการพัฒนาวัด นับตั้งแต่ท่านดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดปทุมธารามเป็นต้นมา ทำการพัฒนาวัดจนเจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นลำดับ ด้วยการสร้างศาลาการเปรียญ โครงสร้างชั้นล่างเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก ชั้นบนเป็นไม้ หลังคาเป็นกระเบื้องเกร็ด, สร้างอุโบสถหลังใหม่แทนหลังเก่าที่ชำรุดทรุดโทรม, สร้างฌาปนสถานแบบมาตรฐาน พร้อมเตาเผาอย่างดี, สร้างอาคารปริยัติธรรมภิกษุ-สามเณร ลักษณะทรงไทย คอนกรีตเสริมเหล็ก

นอกจากนี้ ยังสร้างวิหารหลวงปู่ศุข 1 หลัง ลักษณะทรงไทยก่ออิฐถือปูน ช่อฟ้า ใบระกา หน้าบัน ลายใบเทศ ประดับด้วยกระจก

ด้านวัตถุมงคล อาทิ ใบพลูใจเดียว, เหรียญนารายณ์ทรงครุฑ, สมเด็จบัวไขว้ข้างอุ เป็นต้น ล้วนแต่ได้รับความนิยมจากสาธุชน
 
พ.ศ.2493 เป็นเจ้าอาวาสวัดปทุมธาราม

พ.ศ.2495 เป็นเจ้าคณะตำบลบ่อแร่-หนองขุ่น เขต 2

พ.ศ.2501 เป็นพระอุปัชฌาย์

ลำดับสมณศักดิ์ พ.ศ.2501 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ชั้นตรี ในราชทินนามที่ “พระครูปทุมชัยกิจ”

พ.ศ.2514 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรเจ้าอาวาสวัดราษฎร์ ชั้นโท ในราชทินนามเดิม

ด้วยสังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยง กลางดึกคืนวันที่ 10 มีนาคม 2563 หลวงปู่นะมีอาการหัวใจหยุดเต้น คณะศิษย์รีบนำส่งโรงพยาบาลชัยนาทนเรนทร คณะแพทย์พยายามยื้ออาการสุดความสามารถ แต่ด้วยความชราภาพ จึงมรณภาพอย่างสงบในเวลา 05.30 น. วันที่ 10 มีนาคม 2563

สิริอายุ 104 ปี พรรษา 83 •




พระหลวงปู่ทวด วัดสะแก

หลวงปู่ทวดผงกัมมัฏฐาน หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก พระนครศรีอยุธยา

ที่มา - คอลัมน์โฟกัสพระเครื่อง  มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 19 - 25 พฤษภาคม 2566
เผยแพร่ - วันเสาร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ.2566


สําหรับหลวงปู่ทวด เป็นพระสงฆ์ที่มีผู้เลื่อมใสศรัทธามากที่สุดรูปหนึ่ง มีการสร้างพระหลวงปู่ทวดในทุกภูมิภาค

ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ได้แก่ พระหลวงปู่ทวดของวัดช้างให้ จ.ปัตตานี สร้างขึ้นโดยพระอาจารย์ทิม ธัมมธโร

แต่ยังมีพระหลวงปู่ทวดอีกวัดหนึ่ง ซึ่งมีความนิยมสูงและสนนราคาค่อนข้างสูงเอาการ คือ พระหลวงปู่ทวด วัดสะแก จ.พระนครศรีอยุธยา ที่ปลุกเสกโดย “หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ” อดีตพระเกจิที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ซึ่งเป็นศิษย์สายวัดพระญาติการาม

หลวงปู่ดู่มีความเคารพนับถือหลวงปู่ทวดมาก และมักจะเรียกว่าอาจารย์เสมอๆ เล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่า เมื่อนั่งกัมมัฏฐาน เวลาติดขัดมีปัญหา หลวงปู่ทวดจะมาปรากฏในนิมิต ช่วยแนะนำตลอด ดังนั้น พระเครื่องที่สร้างจึงเป็นพระหลวงปู่ทวดมากมายหลายรุ่น โดยปลุกเสกเดี่ยวทุกครั้ง

ที่รู้จักกันดี คือ เหรียญเปิดโลก สร้างในปี พ.ศ.2532 มีอยู่หลายเนื้อด้วยกัน ทั้งทองคำ เงิน ทองแดง เนื้อตะกั่ว

ส่วนในอีกรุ่นที่เป็นพระเนื้อผงกัมมัฏฐาน ซึ่งสร้างมานานแล้ว สนนราคายังไม่สูงมากนัก หลวงปู่ดู่ที่สร้างในระยะแรกแจกอย่างเดียว จึงไม่ค่อยได้พิถีพิถันเรื่องพิมพ์ทรง

พิมพ์พระหลวงปู่ทวด ด้วยเนื้อผงสีขาวเก็บไว้พิมพ์ละไม่มากนักในแต่ละครั้ง เวลาลูกศิษย์หรือผู้เคารพไปกราบขอขึ้นกัมมัฏฐาน จะได้รับมอบพระเนื้อผงขาว 1 องค์ จึงมักเรียกพระเนื้อผงสีขาวทุกพิมพ์ว่า “พระผงกัมมัฏฐาน”

ด้านหลังบางองค์จะปั๊มตรายางสีน้ำเงินเป็นรูปกงจักร ตรงกลางเป็นตัวอักษร พ. ซึ่งหมายถึง พรหมปัญโญ

พระผงดังกล่าว ค้นพบภายในกุฏิหลวงปู่ดู่หลังมรณภาพแล้ว และกรรมการวัดได้รวบรวมปั๊มตรายางไว้ จากนั้นจึงนำออกมาให้เช่า





หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ถือกำเนิดในสกุล “หนูศรี” เกิดวันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม 2447 ตรงกับวันวิสาขบูชา ที่บ้านข้าวเม่า อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นบุตรของนายพุดและนางพ่วง หนูศรี

มารดาถึงแก่กรรมตั้งแต่ยังเป็นทารก ต่อมาบิดาจากไปเมื่ออายุเพียง 4 ขวบ จึงอาศัยอยู่กับยาย โดยมีพี่สาวเป็นผู้ดูแล เริ่มศึกษาเล่าเรียนที่วัดกลางคลองสระบัว วัดประดู่ทรงธรรม และวัดนิเวศน์ธรรมประวัติ

อายุ 21 ปี บรรพชาอุปสมบทที่วัดสะแก อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติการาม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ หลวงพ่อฉาย วัดกลางคลองบัว เป็นพระอนุสาวนาจารย์

พรรษาแรก ศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดประดู่ทรงธรรม ซึ่งสมัยนั้นเรียกว่าวัดประดู่โรงธรรม กับเจ้าคุณเนื่อง, พระครูชม และหลวงพ่อรอด (เสือ) เป็นต้น

ด้านการปฏิบัติพระกัมมัฏฐาน ศึกษากับหลวงพ่อกลั่น และหลวงพ่อเภา ซึ่งมีศักดิ์เป็นอา รวมทั้งตำรับตำราที่มีอยู่ จากชาดกบ้าง ธรรมบทบ้าง และเดินทางไปหาความรู้เพิ่มเติมจากพระอาจารย์อีกหลายท่านที่ จ.สุพรรณบุรี และสระบุรี

พรรษาที่ 3 เดินธุดงค์จากอยุธยามุ่งตรงสู่สระบุรี กราบนมัสการพระพุทธฉาย และรอยพระพุทธบาท จากนั้นไปยังสิงห์บุรี สุพรรณบุรี กาญจนบุรี ใช้เวลาประมาณ 3 เดือน กระทั่งอาพาธด้วยโรคเหน็บชาจึงพักธุดงค์

ทั้งนี้ ตัดสินใจไม่รับกิจนิมนต์นอกวัด ตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ.2490 และถือข้อวัตรฉันอาหารมื้อเดียวมาตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ.2500 ต่อมาภายหลังในปี พ.ศ.2525 ศิษย์ต้องกราบนิมนต์ให้ท่านฉัน 2 มื้อ

ปีหนึ่งๆ จะออกมาเพื่อลงอุโบสถเพียง 3 ครั้งเท่านั้น คือ วันเข้าพรรษา วันออกพรรษา และวันโมทนากฐิน

เป็นแบบอย่างของผู้มักน้อยสันโดษ ใช้ชีวิตเรียบง่าย มีผู้ปวารณาจะถวายเครื่องใช้และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้ ส่วนใหญ่จะปฏิเสธ คงรับไว้บ้างเท่าที่เห็นว่าไม่เกินเลย อันจะเสียสมณสารูป และใช้สอยพอให้ผู้ถวายเกิดความปลื้มปีติ ก่อนยกให้เป็นของสงฆ์ส่วนรวม ข้าวของต่างๆ ที่เป็นสังฆทาน ถึงเวลาเหมาะควรท่านก็จะระบายออก จัดสรรไปให้วัดต่างๆ ที่อยู่ในชนบทและยังขาดแคลน

ให้ความสำคัญอย่างมากในเรื่องของการปฏิบัติสมาธิภาวนา ถึงกับเมตตาให้ใช้ห้องส่วนตัวที่จำวัดเป็นที่รับรองสานุศิษย์และผู้สนใจได้ใช้เป็นที่ปฏิบัติธรรม

หากลูกศิษย์คนใดสนใจขวนขวายในการปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง ก็จะส่งเสริม สนับสนุน และให้กำลังใจ ที่สำคัญจะไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์การปฏิบัติธรรมของสำนักอื่นในเชิงลบหลู่ หรือเปรียบเทียบดูหมิ่น

นอกจากความอดทนอดกลั้นอันเป็นเลิศ ยังเป็นแบบอย่างของผู้ไม่ถือตัว วางตัวเสมอต้นเสมอปลาย ไม่ยกตนข่มผู้อื่น

ด้านวัตถุมงคล มิได้ตั้งตัวเป็นเกจิอาจารย์ สร้างหรืออนุญาตให้สร้างพระเครื่อง ด้วยเห็นประโยชน์ เนื่องจากบุคคลจำนวนมากยังขาดที่ยึดเหนี่ยวทางใจ เคยปรารภว่า “ติดวัตถุมงคล ก็ยังดีกว่าที่จะให้ไปติดวัตถุอัปมงคล”

พระเครื่องบูชาที่อธิษฐานจิตปลุกเสกให้แล้วปรากฏผลแก่ผู้บูชาในด้านต่างๆ เป็นเพียงผลพลอยได้ แต่กุศโลบายที่แท้จริงคือ มุ่งหวังให้เป็นเครื่องมือในการปฏิบัติภาวนา มีพุทธานุสติ เป็นต้น

รับแขกโปรดญาติโยมไม่ขาดมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2500 จนปลายปี พ.ศ.2532 สุขภาพจึงทรุดโทรมลง แต่ใช้ความอดกลั้นอย่างสูง แม้จะมีโรคมาเบียดเบียนอย่างหนัก ก็สู้ออกโปรดญาติโยมเหมือนไม่เป็นไร บางครั้งถึงขนาดที่ต้องพยุงตัวเอง ก็ยังไม่เคยปริปากให้ใครต้องกังวล

เมื่อวันอังคารที่ 17 มกราคม 2533 จึงมรณภาพลงอย่างสงบ ด้วยโรคหัวใจ สิริอายุ 85 ปี พรรษา 65


4
บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 13
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2632


ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 123.0.0.0 Chrome 123.0.0.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #182 เมื่อ: 09 เมษายน 2567 13:56:24 »


พระกริ่งสุจิตโต

มงคล ‘พระกริ่งสุจิตโต’ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์

ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 26 พฤษภาคม - 1 มิถุนายน 2566
คอลัมน์ - โฟกัสพระเครื่อง
เผยแพร่ - วันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ.2566


สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (ม.ร.ว.ชื่น นพวงศ์ สุจิตโต) เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 13 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดบวรนิเวศวิหาร

ทรงเป็นพระราชอุปัชฌายาจารย์ เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จออกผนวชในปี พ.ศ.2499

เมื่อปี พ.ศ.2487 ครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่สมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ มีพระชนมายุครบ 6 รอบ

พลตรีพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภานุพันธุ์ยุคล ทรงจัดหล่อพระกริ่งขึ้นที่หน้าพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร ในวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ.2487 ตั้งพิธีสวดพุทธาภิเษกในพระอุโบสถ ณ เวลา 09.08 น. สมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ ทรงจุดเทียนชัยแล้วสวดมนต์ จบแล้วมีการสวดภาณวาร พุทธาภิเษกต่อ เวลา 13.51 น. พระกริ่งที่หล่อคราวนี้เป็นครั้งแรกในสมัยที่ทรงครองวัด ทรงมีพระประสงค์ให้เรียกว่า “พระกริ่งสุจิตโต” ตามพระนามฉายา

แต่ในสังคมพระเครื่องก็มักจะเรียกกันติดปากว่า “พระกริ่งบัวรอบ วัดบวร” เนื่องจากพุทธลักษณะของพระกริ่งรุ่นนี้ มีฐานเป็นกลีบบัวรอบฐานพระ การบรรจุเม็ดกริ่ง โดยการคว้านก้นเป็นโพรง บรรจุเม็ดกริ่ง แล้วปะก้นด้วยแผ่นทองแดงบัดกรีด้วยตะกั่ว ก้นมักเป็นแอ่งบุ๋มตรงกลาง จำนวนการสร้างประมาณ 300 องค์

เป็นพระกริ่งที่หายาก เนื่องจากจำนวนการสร้างน้อย และเป็นที่หวงแหน ปัจจุบันสนนราคาสูง




สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ มีพระนามเดิมว่า ม.ร.ว.ชื่น นพวงศ์ ทรงเป็นโอรสของหม่อมเจ้าถนอมกับหม่อมเอม นพวงศ์ ประสูติเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ.2415 ตรงกับวันศุกร์ แรม 7 ค่ำ เดือน 12 ปีวอก จุลศักราช 1234

ทรงเป็นพระนัดดาของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นมเหศวรศิวลาส (พระองค์เจ้านพวงศ์ วรองค์อรรคมหามกุฎ ปรมุตมราโชรส และทรงเป็นพระราชนัดดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

เมื่อครั้งเยาว์วัยทรงศึกษากับครูชมที่วังของพระชนก มีพระนิสัยโน้มเอียงในทางพระศาสนา กล่าวคือ ได้ตามเสด็จกรมหมื่นมเหศวรศิววิลาส ไปวัดอยู่เสมอ จึงทำให้ต่อมาได้บรรพชา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร โดยพระพรหมมุนี (เหมือน สุมิตโต) วัดบรมนิวาส เป็นพระอุปัชฌาย์

ต่อมาเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2435 ทรงผนวช ณ วัดมกุฏกษัตริยาราม โดยพระพรหมมุนี (แฟง กิตฺติสาโร) วัดมกุฏกษัตริยาราม เป็นพระอุปัชฌาย์ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ครั้งทรงดำรงพระยศเป็นกรมหมื่นวชิรญาณวโรรส ทรงเป็นพระกรรมวาจาจารย์ มีพระนามฉายาว่า สุจิตฺโต

ทรงได้รับพระราชทานแต่งตั้งเลื่อนสมณศักดิ์ และสถาปนาสมณศักดิ์เป็นลำดับ ดังนี้

พ.ศ.2439 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ที่พระสุคุณคณาภรณ์

พ.ศ.2446 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เสมอพระราชาคณะชั้นเทพ ที่พระญาณวราภรณ์ ได้รับพระราชทานตาลปัตรพื้นแพรปักทองเป็นพระเกียรติยศ

พ.ศ.2451 สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่พระญาณวราภรณ์ ได้ถวายพระพรลาออกจากสมณศักดิ์ด้วยมีประสงค์จะลาสิกขา แต่ด้วยความอาลัยในสมณเพศ จึงได้ยับยั้งตั้งพระทัยบำเพ็ญสมณธรรมต่อไป

พ.ศ.2454 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ที่พระญาณวราภรณ์ดังเดิม

พ.ศ.2455 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เสมอพระราชาคณะชั้นธรรม ในราชทินนามเดิม

พ.ศ.2464 ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาให้ดำรงสมณศักดิ์เสมอพระราชาคณะชั้นธรรมพิเศษ

พ.ศ.2471 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาให้เป็นสมเด็จพระราชาคณะ มีพระราชทินนามตามจารึกในสุพรรณบัฏว่า สมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ ตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต

พ.ศ.2488 คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ประกาศสถาปนาสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ เป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ในราชทินนามเดิม

พ.ศ.2493 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โปรดเกล้าฯ ประกาศเฉลิมพระนามสมเด็จพระสังฆราชเจ้าให้เต็มพระเกียรติยศตามราชประเพณี เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2493

พ.ศ.2499 ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ประกาศสถาปนาสมณศักดิ์ และฐานันดรศักดิ์ เป็นสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์

ทรงปกครองวัดบวรนิเวศวิหาร ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดและมีการก่อสร้างสิ่งใหม่ๆ ขึ้นหลายครั้งและหลายสิ่ง เช่น สร้างหอสมุดของวัดขึ้นเมื่อ พ.ศ.2497 สร้างตึกสถานศึกษาของสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย เมื่อ พ.ศ.2498 สร้างตึกอุทิศนภวงศ์ด้วยทุนไวยาวัจกรส่วนพระองค์ สร้างตึกสามัคคีธรรมทาน ซึ่งเป็นโรงเรียนพระปริยัติธรรมของวัดด้วยทุนที่เหลือจากการบำเพ็ญกุศลฉลองชนมายุ 60 ปี

ทรงประพันธ์หนังสือไว้หลายเรื่อง เช่น ศาสนาโดยประสงค์ พระโอวาทธรรมบรรยาย ตายเกิดตายสูญ ทศพิธราชธรรม พุทธศาสนคติ ทรงชำระพระไตรปิฎกสยามรัฐ ฉบับพิมพ์ 2470 เล่ม 25-26 ทรงชำระอรรถกถาชาดกที่สมเด็จพระศรีสวรินทราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า โปรดให้ชำระ พิมพ์ขึ้นเมื่อ พ.ศ.2467

สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2501 พระชนมายุ 86 พรรษา พรรษา 66

พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระเมรุสำหรับถวายพระเพลิง ณ สุสานหลวง วัดเทพศิรินทราวาส

และต่อมาได้พิธีพระราชทานเพลิงพระศพ เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2503 •




พระปิดตาเนื้อผงคลุกรัก หลวงปู่ไข่

‘พระกลีบบัวอรหัง’ ที่ระลึกอายุวัฒนมงคล หลวงปู่ไข่ วัดเชิงเลน

ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 9 - 15 มิถุนายน 2566
คอลัมน์ - โฟกัสพระเครื่อง
เผยแพร่ - วันเสาร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ.2566


“หลวงปู่ไข่ อินทสโร” วัดบพิตรพิมุขวรวิหาร (วัดเชิงเลน) แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ อดีตพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง มีพลังจิตที่เข้มขลัง นามขจรขจายไปไกล

ชื่อเสียงโด่งดังมาหลายทศวรรษ ในฐานะพระเกจิอาจารย์ผู้สร้างพระปิดตา เนื้อผงคลุกรัก ที่มากด้วยพุทธคุณ

นอกจากนี้ ยังจัดสร้างวัตถุมงคล เครื่องราง เช่น ตะกรุด ผ้าประเจียด และรูปถ่าย เป็นต้น

สำหรับวัตถุมงคลที่ได้รับความนิยม มีราคาเช่าบูชากันสูงมาก โดยเฉพาะ “พระกลีบบัวอรหัง”

ประมาณปี พ.ศ.2470 ลูกศิษย์ขออนุญาตจัดสร้างเหรียญเป็นที่ระลึกและแจกในงานทำบุญอายุ ซึ่งก็เป็นที่นิยมและหายากที่สุดของเหรียญพระเกจิอาจารย์ และมีราคาสูงมาก

นอกจากพระปิดตาเนื้อผงคลุกรักและเหรียญแล้ว ยังมีพระเครื่องเนื้อดินเผาเคลือบ ที่เรียกกันว่า พระกลีบบัวอรหัง ซึ่งวัดเชิงเลนและลูกศิษย์ได้ขออนุญาตจัดสร้างขึ้นด้วยเช่นกัน

พระกลีบบัวอรหัง เป็นพระเครื่องพิมพ์ทรงเป็นรูปหยดน้ำ ด้านหน้าตรงกลางเป็นรูปพระพุทธรูปปางสมาธิ ประทับนั่งบนอาสนะบัวคว่ำบัวหงาย ล่างสุดเป็นตัวอักขระขอมอ่านได้ว่า “อรหัง”

ด้านหลังบนสุดเป็นยันต์อุณาโลม ตรงกลางเป็นยันต์พระเจ้าห้าพระองค์ ผูกเป็นยันต์ตามช่องเป็นภาษาขอม

พระกลีบบัวอรหัง จัดสร้างเป็นจำนวนมาก เพื่อให้พอแจกแก่ผู้ที่เลื่อมใสศรัทธา

ปัจจุบัน ยังพอหาได้ เนื่องจากสมัยก่อน มีจำนวนมาก หาได้ไม่ยาก และไม่ค่อยมีใครรู้จักกันแพร่หลายนัก



หลวงปู่ไข่ อินทสโร วัดเชิงเลน

อัตโนประวัติ เป็นชาวแปดริ้ว เกิดเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2400 ที่ ต.ท่าไข่ อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา บิดา-มารดาชื่อ นายกล่อมและนางบัว จันทร์สัมฤทธิ์

อายุ 6 ขวบ บิดานำไปฝากกับหลวงพ่อปาน วัดโสธรฯ เพื่อให้เรียนหนังสือ ต่อมาจึงได้บวชเป็นสามเณร ฝึกหัดเทศน์จนมีชื่อเสียงในทางเทศน์มหาชาติ เมื่อหลวงพ่อปาน มรณภาพลง เดินทางไปอยู่กับพระอาจารย์จวง วัดน้อย อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี

เมื่ออายุ 15 ปี พระอาจารย์จวง มรณภาพลง จึงเดินทางมาจำพรรษาอยู่ที่วัดหงษ์รัตนาราม เขตบางกอกใหญ่ เรียนพระปริยัติธรรมอยู่ 3 ปี แล้วจึงย้ายไปอยู่กับพระอาจารย์เอี่ยม วัดลัดด่าน จ.สมุทรสงคราม

จนอายุครบบวช เข้าพิธีอุปสมบทที่วัดลัดด่าน โดยมีพระอาจารย์เนตร วัดบ้านแหลม สมุทรสงคราม เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอาจารย์เอี่ยม วัดลัดด่าน เมืองสมุทรสงคราม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์ภู่ วัดบางกะพ้อม เมืองสมุทรสงคราม เป็นพระอนุสาวนาจารย์

หลังจากนั้น ได้เรียนวิปัสสนากัมมัฏฐานกับพระอาจารย์รูปหนึ่งที่เมืองกาญจน์ แล้วจึงกลับมาอยู่ที่วัดลัดด่านอีกครั้งหนึ่ง ออกธุดงค์เป็นประจำทุกปี เวลาท่านธุดงค์ผ่านไปทางใด ถ้ามีผู้คนทุกข์ยากหรือเจ็บไข้ได้ป่วย ก็ช่วยรักษาให้หายโดยตลอด เกียรติคุณจึงเป็นที่รู้จัก จนมาถึงกรุงเทพฯ จึงมีผู้มานิมนต์ให้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดบางยี่เรือ 1 พรรษา แล้วท่านก็ออกธุดงค์ไปในป่าอีก

ต่อมา เดินทางเข้ากรุงเทพฯ และเห็นว่าวัดบพิตรพิมุขฯ (วัดเชิงเลน) เป็นวัดที่เงียบสงบดี จึงได้เข้ามาจำพรรษามาตลอดมา

ระหว่างจำพรรษาปฏิบัติธรรมและสร้างการกุศลหลายประการ อาทิ สอนพระกรรมฐานแก่บรรพชิตและฆราวาส ช่วยอนุเคราะห์แก่ผู้เจ็บไข้ได้ทุกข์ บริจาคทรัพย์ส่วนตัวและชักชวนบรรดาศิษย์และผู้ที่คุ้นเคยให้มาร่วมการทำบุญ เช่น สร้างพระพุทธปฏิมา

ซ่อมพระพุทธรูปของเก่าที่ชำรุดหักพังให้ดีขึ้น สร้างพระไตรปิฎก โดยลงมือจารใบลานด้วยตนเองบ้าง ให้ช่างจารขึ้นบ้าง ซ่อมแซมกุฏิที่ชำรุดทรุดโทรมให้ดีขึ้น สร้างกุฏิเป็นห้องแถวไม้ขึ้นอีกหลายกุฏิ ทั้งได้สร้างถนน สระน้ำ ถังรับน้ำฝน

ด้านวัตถุมงคล จัดสร้างพระเครื่อง พระปิดตาและเหรียญรูปเหมือน ซึ่งปัจจุบันเป็นพระที่หายากมาก นอกจากนี้ ยังมีพระกลีบบัวอรหัง ซึ่งสร้างไว้เป็นจำนวนมากในประมาณปี พ.ศ.2470

เป็นพระที่สมถะสันโดษ อีกทั้งยังมีชื่อเสียงด้านการเทศน์มหาชาติ มีความสามารถทางแพทย์แผนโบราณ ศิษย์มีทั้งไทย จีน และชาวซิกข์ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยมักจะมาหาให้ช่วยรักษา ซึ่งก็จะช่วยรักษาทุกครั้ง ไม่เคยแบ่งแยกชาติ ศาสนา เชื้อตระกูล

ราวปี พ.ศ.2470 เตรียมบาตร กลด และย่าม เพื่อจะออกธุดงค์ แต่บรรดาศิษย์ทั้งหลายปรึกษาหารือกันว่า ชราภาพมากแล้ว จึงได้นิมนต์ยับยั้งไว้ โดยขอให้อยู่สอนวิปัสสนากรรมฐานต่อไป

ต่อมาเริ่มอาพาธด้วยโรคชรา ครั้นวันที่ 16 มกราคม 2475 เวลา 13.25 น. ถึงแก่มรณภาพลงอย่างสงบ สิริอายุ 74 ปี พรรษา 54

เล่ากันว่าก่อนเวลาที่จะมรณภาพ ข่มความทุกข์เวทนาอยู่ในเวลานั้น ให้หายไปได้ ประดุจบุคคลที่ไม่มีอาการเจ็บป่วยใดๆ แล้วขอให้ศิษย์ที่พยาบาลอยู่ ประคองตัวให้ลุกขึ้นนั่ง และให้จุดธูปเทียนบูชาพระ เมื่อกระทำนมัสการเสร็จแล้ว ก็เจริญสมาธิสงบระงับจิต เงียบเป็นปกติอยู่ประมาณ 15 นาที จนหมดลมหายใจ

ถึงวาระสุดท้ายศิษย์ผู้คอยเฝ้าพยาบาลอยู่ จึงประคองตัวให้นอนราบลง •



4
บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 13
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2632


ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 123.0.0.0 Chrome 123.0.0.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #183 เมื่อ: 10 เมษายน 2567 15:36:44 »


เหรียญรัตโต หลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ

เหรียญหล่อรูปใบโพธิ์ หลวงพ่อดำ อินทสโร วัดตาลบำรุงกิจ ราชบุรี

ที่มา - คอลัมน์โฟกัสพระเครื่อง มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 23 - 29 มิถุนายน 2566
เผยแพร่ - วันอาทิตย์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ.2566


“หลวงพ่อดำ อินทสโร” วัดตาลบำรุงกิจ ต.สี่หมื่น อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี พระเถราจารย์ยุคเก่าราชบุรี มีชื่อเสียงโด่งดัง และลูกศิษย์ลูกหามากมาย มิใช่เฉพาะเมืองราชบุรีเท่านั้น

วัตถุมงคลเป็นที่นิยมสูงเป็นอันดับต้น ทำให้มีชื่อเสียงโด่งดังมาก

วัตถุมงคลยุคแรก ทำเครื่องรางตะกรุด ครั้นเมื่อผู้ได้รับนำไปมีประสบการณ์จนเป็นที่กล่าวขวัญ ทำให้โด่งดังมาก มีชาวบ้านแห่มาขออยู่เป็นประจำ

แต่ที่มีชื่อเสียงมาก คือ เหรียญหล่อเนื้อทองเหลือง รูปหัวใจหรือรูปใบโพธิ์ เป็นเหรียญหล่อพระเกจิที่เก่าแก่ที่สุดอีกเหรียญ

สร้างในปี พ.ศ.2459 ลักษณะเป็นเหรียญหล่อโบราณ มีหูห่วง ด้านหน้า ตรงกลางเป็นรูปเหมือนนั่งเต็มองค์ ห่มจีวรแบบลดไหล่ พาดผ้าสังฆาฏิ มีช่อมะกอกผูกด้วยโบด้านล่าง ใต้รูปเหมือน มีตัวเลขไทย “๒๔๕๙” ระบุปีที่สร้าง

ด้านหลัง เป็นอักขระขอมอ่านได้ว่า “อะ สัง วิ สุ โล ปุ สะ พุ ภะ ติ หัง จะ โต โล ทิ นัง พุท ธัง สัง มิ อินทสโร นะ ปะ ตะ กะ สะ”

มีคนเข้าไปขอกันมาก จนเหรียญหล่อหมด เป็นเหรียญพิเศษที่หายากยิ่ง ผู้มีไว้ครอบครองต่างหวงแหน




หลวงพ่อดำ อินทสโร

เกิดวันอาทิตย์ เดือนอ้าย ปีขาล ตรงกับปี พ.ศ.2385 ที่บ้านคลองบางป่าใต้ ราชบุรี บิดาชื่อ นายปลิก มารดาชื่อ นางเหม

เป็นคนผิวดำ มารดาจึงเรียกท่านว่า “ดำ” ท่านเป็นคนนิสัยใจคอกล้าหาญมาแต่เด็ก พออายุสมควรเล่าเรียน บิดาจึงนำไปฝากเรียนหนังสือไทยและขอมที่สำนักวัดตาล

เนื่องจากพระอาจารย์เล็ก เป็นญาติทางบิดา เป็นครูที่ดุมาก กวดขันนักเรียนจนเป็นที่เกรงกลัว แต่เนื่องจากเป็นคนที่มีความตั้งใจสูงชอบศึกษาเล่าเรียน มีความอุตสาหะเล่าเรียนด้วยความขยัน ทำให้เกิดเมตตาจิตถ่ายทอดวิชาความรู้ต่างๆ ให้ จนมีความรู้แตกฉาน

เมื่ออายุได้ 16 ปี จึงได้บรรพชา และศึกษาพระปริยัติธรรมจนอายุครบบวชในปี พ.ศ.2405 เข้าพิธีอุปสมบท ที่พัทธสีมาวัดตาลบำรุงกิจ มีพระครูอภัยมงคล (แดง) วัดจันทคาม เป็นพระอุปัชฌาย์, พระสมุห์ทอง วัดท่าสุวรรณ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์เล็ก วัดตาลบำรุงกิจ เป็นพระอนุสาวนาจารย์

ต่อมา จึงได้ออกธุดงค์และไปปริวาสธุดงค์กับพระอาจารย์อ้น วัดบางจาก อัมพวา โดยออกธุดงค์ไปทั่วประเทศคราวละ 2-3 ปี ได้พบพระอาจารย์เก่งๆ ในป่าลึก และได้รับถ่ายทอดวิชาต่างๆ มากมาย

นอกจากนี้ ยังเสาะหาตำราเก่าๆ เอามาศึกษาฝึกฝนด้วยตัวเอง ระหว่างที่ได้ธุดงค์ไปนั้น ไปถึงไหนหากมีเหตุให้ต้องช่วยเหลือชาวบ้านได้ ก็ช่วยอย่างเต็มกำลังเรื่อยไป จนเกิดความศรัทธาเลื่อมใส และก่อสร้างวัดต่างๆ ณ จุดที่ธุดงค์ผ่านเรื่อยไป

จนกระทั่งมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไป

พรรษาที่ 8 เจ้าอาวาสวัดตาลบำรุงกิจ ว่างลง ชาวบ้านและคณะสงฆ์เห็นควรนิมนต์ขึ้นเป็นเจ้าอาวาส ซึ่งขณะนั้นวัดทรุดโทรมลงไปมาก จึงรับนิมนต์และได้จัดการบูรณะปฏิสังขรณ์วัดอย่างสุดความสามารถ จนวัดมีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา

วัดตาลบำรุงกิจ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำแม่กลอง เลขที่ 76 หมู่ 1 ต.สี่หมื่น อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี เป็นวัดเก่าแก่

มีคำบอกเล่าสืบต่อกันมาว่า นางตาล สร้างถวายเพื่อบำรุงพระศาสนา โดยบริจาคทรัพย์และที่ดิน วัดจึงตั้งชื่อวัดว่า วัดตาลบำรุง หรือเรียกสั้นๆ ว่าวัดตาล

ในอดีตมีชื่อเรียกหลายอย่าง เช่น วัดตาลล้อม เนื่องจากตั้งอยู่บนเนินดินสูงมีต้นตาลรอบวัด หรือเรียกชื่อตามหมู่บ้านว่าวัดตาลสี่หมื่น

สมัยพระครูโสภณกิจจารักษ์ หรือหลวงพ่อเชย เจ้าอาวาสรูปถัดมา เห็นว่าชื่อห้วนเกินไป จึงเติมคำว่า “กิจ” เป็นวัดตาลบำรุงกิจ จนถึงปัจจุบัน

สิ่งปลูกสร้างที่สำคัญของวัดประกอบด้วย มณฑป หรือชาวบ้านเรียกวิหารไห ลักษณะชั้นล่างเป็นไหโบราณก่อเป็นรูปภูเขา ชั้นบนเทคอนกรีต ปูพื้นด้วยหินอ่อน เป็นที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลอง และพระพุทธรูปหลวงพ่อบ้านแหลม วิหารแบบทรงไทยโบราณไม่มีลวดลาย ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางปราบพญาชมพูทวีป (ปางรัตนโกสินทร์) หน้าตักกว้าง 80 นิ้ว สูง 120 นิ้ว ประดิษฐานอยู่ ตรงข้ามแม่น้ำมีวัดราชคามตั้งอยู่

ด้วยความเป็นที่เลื่อมใสศรัทธา ครั้นเมื่อขอความร่วมมือจากชุมชน ชาวบ้านจะมาร่วมงานด้วยความเต็มใจ

อายุ 40 ปี ได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์ พ.ศ.2425 เจ้าคณะตำบล ตามลำดับ จึงมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย คนทางหัวเมืองใกล้เคียง เช่น สมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรี กาญจนบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม ต่างก็มาเรียนวิชาจากท่านเสมอ

ปกครองวัดเรื่อยมา จนถึงแก่มรณภาพ ในปี พ.ศ.2475 ด้วยโรคชรา สิริอายุ 90 ปี พรรษา 70 •





เหรียญรัตโต พ.ศ.2516 วัตถุมงคลหลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ จ.เพชรบุรี

เหรียญรัตโต พ.ศ.2516 วัตถุมงคลหลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ จ.เพชรบุรี

ที่มา - คอลัมน์โฟกัสพระเครื่อง มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 30 มิถุนายน - 6 กรกฎาคม 2566
เผยแพร่ - วันศุกร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ.2566


“หลวงพ่อแดง รัตโต” หรือ “พระครูญาณวิลาศ” วัดเขาบันไดอิฐ อ.เมือง จ.เพชรบุรี ยอดพระเกจิผู้มีชื่อเสียง ไม่เพียงแต่ในเพชรบุรีเท่านั้น

สร้างวัตถุมงคลไว้หลายชนิด ในวาระและโอกาสต่างๆ เป็นที่นิยมและเสาะหากันอย่างแพร่หลาย

หลังสร้างเหรียญรุ่นแรกจนได้รับความนิยมแล้ว ยังมีเหรียญรูปเหมือนอีกรุ่นที่ยอดฮิต

ได้แก่ เหรียญรัตโต อันเป็นนามฉายา

จัดสร้างในปี พ.ศ.2516 โดยคณะศิษย์ผู้ใกล้ชิด ได้รับการออกแบบจากกองกษาปณ์ กรมธนารักษ์ มีความสวยงาม โดยใช้นวัตกรรมสมัยใหม่

แต่การสร้างในครั้งนั้น มีจำนวนที่ไม่เพียงพอ ถัดมาในปี พ.ศ.2517 จึงสร้างขึ้นอีกครั้ง หรือที่เรียกกันว่าปั๊มครั้งที่สอง

การสร้างเหรียญรัตโต ในปี พ.ศ.2516 มีจำนวน 3,400 เหรียญ เป็นเนื้อเงิน 400 เหรียญ เนื้อทองแดงรมดำ 3,000 เหรียญ

ลักษณะเป็นเหรียญกลมรูปไข่ มีหูในตัว ด้านหน้ามีรูปเหมือนหันข้างแบบครึ่งองค์ กึ่งกลางด้านซ้ายรูปเหมือน เขียนอักษรคำว่า “รตฺโต” บรรทัดถัดลงมา เขียนคำว่า “พระครูญาณวิลาศ” และบรรทัดล่างสุด เขียนคำว่า “(หลวงพ่อแดง)”

ด้านหลัง ตรงกลางเป็นอักขระยันต์ มีขีด 2 ขีดเป็นรูปวงรีล้อมรอบอักขระยันต์ ด้านล่างใต้ยันต์ เป็นตัวเลขไทย “๒๕๑๖” ซึ่งหมายถึงปี พ.ศ.ที่สร้าง ส่วนนอกวงรีมีอักขระล้อมรอบอีกชั้นหนึ่ง

ปัจจุบันค่อนข้างหายาก





หลวงพ่อแดง รัตโต

อัตโนประวัติ เกิดในสกุล อ้นแสง ที่บ้านสามเรือน หมู่ที่ 4 ต.บางจาก อ.เมือง จ.เพชรบุรี เมื่อวันพุธขึ้น 2 ค่ำ เดือน 11 พ.ศ.2422 บิดาชื่อนายแป้น มารดาชื่อนางนุ่ม อ้นแสง มีพี่น้องรวมกัน 12 คน ท่านเป็นคนที่ 5

วัยเด็กช่วยพ่อแม่ทำไร่ทำนา ไม่มีโอกาสร่ำเรียนหนังสือ

ครั้นถึงวัยหนุ่ม พ่อแม่หวังจะให้บวชเรียน จึงพาไปฝากกับพระอาจารย์เปลี่ยน วัดเขาบันไดอิฐ

อายุ 22 ปี เข้าพิธีอุปสมบท ที่วัดเขาบันไดอิฐ ต.ไร่ส้ม อ.เมือง จ.เพชรบุรี มีพระครูญาณวิสุทธิ วัดแก่นเหล็ก อ.เมือง จ.เพชรบุรี เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า รัตโต

เคร่งครัดต่อพระวินัยและปฏิบัติต่อพระอาจารย์เป็นอย่างดี พระอาจารย์เปลี่ยนจึงเมตตสอนวิชาการวิปัสสนา และวิธีนั่งปลงกัมมัฏฐานให้ รวมถึงถ่ายทอดวิทยาคมให้อย่างไม่ปิดบัง

เหตุนี้ทำให้มีความปีติเพลิดเพลินในการศึกษาวิชาความรู้ ยิ่งนานวันก็ยิ่งสำนึกในรสพระธรรม ไม่มีความคิดลาสิกขาแต่อย่างใด จึงกลายเป็นพระปฏิบัติดีที่มีอาวุโสสูงสุด

กระทั่งพระอาจารย์เปลี่ยนมรณภาพลง จึงรับหน้าที่เป็นสมภารวัดเขาบันไดอิฐแทน ตั้งแต่ปี พ.ศ.2461 เป็นต้นมา และแม้จะได้เป็นสมภารซึ่งต้องมีภารกิจมาก แต่ท่านก็ยังปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิในถ้ำเพื่อแสวงหาวิมุตติภาวนาทุกวัน

ไม่เคยอวดอ้างในญาณสมาธิใดๆ แต่ผลของความศักดิ์สิทธิ์ในเลขยันต์เป่ามนต์ได้สำแดงออกมาให้ประจักษ์ว่าคุ้มครองป้องกันภัยได้

มีเรื่องเล่ากันมาว่า ระหว่าง พ.ศ.2477-2480 เวลานั้นเกิดโรคระบาดสัตว์ วัวควายเป็นโรคปากเท้าเปื่อยที่ติดต่อร้ายแรง พากันล้มตาย สัตว์แพทย์ก็ไม่มี ต้องขอให้ทางการมาช่วยฉีดยา ราษฎรจึงพากันไปหาหลวงพ่อให้ช่วยปัดเป่าป้องกันโรคระบาดสัตว์ให้

จึงปลุกเสกลงเลขยันต์ในผืนผ้ารูปสี่เหลี่ยมเล็กๆ แจกให้ชาวบ้านที่เลี้ยงวัวควายนำไปผูกปลายไม้ปักไว้ที่คอกสัตว์ ปรากฏว่า คอกสัตว์ที่ปักผ้าประเจียดยันต์หลวงพ่อแดงไม่ตาย ทุกบ้านในตำบลใกล้เคียงวัดเขาบันไดอิฐ เมื่อรู้กิตติศัพท์จึงพากันมาขอยันต์หลวงพ่อแดงทุกวันมิได้ขาด

กระทั่งเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 คือ มหาสงครามเอเชียบูรพา เมืองเพชรบุรีมีระเบิดลงทุกวันทำลายสถานีรถไฟ สะพานข้ามแม่น้ำ บ้านเรือน โรงเรียนต้องสั่งปิด ข้าราชการไม่ได้ไปทำงาน ทุกหน่วยราชการปิดหมด

และปรากฏเรื่องเป็นที่ฮือฮาว่า บ้านคนที่มีผ้ายันต์หรือเหรียญหลวงพ่อแดง กลับไม่ได้รับอันตรายใดๆ

เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2502 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร ในราชทินนามที่ พระครูญาณวิลาศ

เป็นพระใจดีมีเมตตาสูง และอารมณ์ดีเสมอ ไม่ชอบดุด่า ว่าใคร โดยเฉพาะคำหยาบคายถึงพ่อแม่ ท่านห้ามขาด เพราะทุกคนเขาก็มีพ่อมีแม่ การด่าถึงบุพการีทำให้ความดีงามเสื่อมถอย ถึงห้อยพระ พระท่านก็ไม่คุ้มครอง

มรณภาพอย่างสงบ เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2517 สิริอายุ 96 ปี พรรษา 74

ก่อนสิ้นลม ได้ฝากฝังกับพระปลัดบุญส่ง ธัมมปาโล รองเจ้าอาวาสขณะนั้น ว่า “เมื่อฉันหมดลมหายใจแล้วอย่าเผา ให้เก็บร่างฉันไว้ที่หอสวดมนต์ และให้เอาเหรียญที่ปลุกเสกรุ่น 1 ใส่ปากไว้พร้อมเงินพดด้วง 1 ก้อน ส่วนนี้ฉันเอาไปได้ และให้เอาขมิ้นมาทาตัวฉันให้เหลืองเหมือนทองคำ”

พระปลัดบุญส่ง รับปากและได้ทำตามประสงค์ไว้ทุกประการ

ทุกวันนี้ ยังเป็นที่เคารพศรัทธาของชาวจังหวัดเพชรบุรี รวมทั้งผู้มีจิตศรัทธาไม่เสื่อมคลาย •





เหรียญหลวงปู่แจ้ง รุ่น ร.ศ.๒๑๒

เหรียญรุ่น ร.ศ.๒๑๒ หลวงปู่แจ้ง วัดประดู่ พระเกจิชื่อดัง-อัมพวา

ที่มา - คอลัมน์โฟกัสพระเครื่อง มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 7 - 13 กรกฎาคม 2566
เผยแพร่ - วันเสาร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ.2566


“หลวงปู่แจ้ง ปุณณจันโท” อดีตเจ้าอาวาสรูปที่ 4 ของวัดประดู่ อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม

เล่ากันว่า หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน ก็เคยธุดงค์มาต่อวิชาด้วย ถือเป็นเครื่องยืนยันถึงเจ้าอาคมเป็นอย่างดี

สำหรับวัตถุมงคลเท่าที่ทราบ เป็นประเภทเครื่องรางส่วนใหญ่ ทั้งเชือกคาดเอว (ตะขาบไฟไส้หนุมาน) มีดหมอ พระเนื้อดิน และน้ำมนต์

สำหรับเหรียญหลวงปู่แจ้ง รุ่น ร.ศ.๒๑๒ สร้างขึ้นก่อนปี พ.ศ.2536

ลักษณะเป็นเหรียญรูปไข่แบบมีหูในตัว สร้างขึ้นหลังจากท่านละสังขารมานานแล้ว แต่ได้พระเกจิอาจารย์ที่โด่งดังในสมัยนั้นร่วมปลุกเสกมากมาย เหรียญสร้างด้วยเนื้อทองคำ เนื้อเงิน และเนื้อทองแดง จำนวนการสร้างไม่ได้มีการจดบันทึกไว้

ลักษณะเป็นเหรียญกลมรูปไข่ มีหูห่วง ด้านหน้า เป็นรูปเหมือนครึ่งองค์ ห่มจีวรลดไหล่พาดผ้าสังฆาฏิ มีอักขระภาษาไทยเขียนว่า “หลวงพ่อแจ้ง วัดประดู่” ที่เหรียญมีการตอกโค้ด อุณาโลม

ด้านหลัง มีอักขระยันต์ อ่านได้ว่า “นะโมพุทธายะ อะระหัง” บนสุดมีตัวอุนาโลม ใต้อักขระยันต์มีอักขระภาษาไทยเขียนว่า “ร.ศ.๒๑๒” ซึ่งตรงกับปี พ.ศ.2536

ปรากฏว่าได้รับความนิยมอย่างมาก ถึงแม้จะเป็นเหรียญตาย ที่สร้างหลังมรณภาพไปแล้วก็ตาม

สําหรับวัดประดู่ เป็นวัดโบราณ สันนิษฐานว่าคงสร้างในราวปลายกรุงศรีอยุธยา ประมาณปี พ.ศ.2320 จากการค้นคว้าพอจะถือได้ว่าเป็นวัดที่เก่าแก่วัดหนึ่งในย่านจังหวัดสมุทรสงคราม

ตามประวัติอดีตเจ้าอาวาสที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในสมัยที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสต้นมาที่วัด คือ หลวงปู่แจ้ง ซึ่งเป็นเจ้าอาวาส มีผู้รู้ได้บันทึกเหตุการณ์ครั้งนั้นไว้ว่า

ในหลวงรัชกาลที่ 5 พระองค์ท่านได้เสด็จประพาสต้นทางน้ำ เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ.2447 โดยเรือพระที่นั่งผ่านคลองหน้าวัดประดู่ และทรงแวะทำครัวเสวย และพระกระยาหารเช้า พระองค์ทรงนึกแปลกพระทัยว่า เพราะเหตุใดชาวบ้านจึงได้มาชุมนุมกัน ณ ที่ศาลาท่าน้ำกันมาก จึงตรัสให้สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพไปสอบถามพวกชาวบ้านที่มาชุมนุมกัน

จึงได้ความว่าเจ้าอาวาสวัดนี้ เป็นพระที่มีวิชาอาคมสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ และที่เลื่องชื่อที่สุดก็คือน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ บุคคลใดที่โดนผีเข้าหรือโดนคุณไสยถ้าได้มารับน้ำมนต์แล้วจะได้ผลทุกรายไป ผีตัวใดก็ไม่อาจทนอยู่ได้

ส่วนยาศักดิ์สิทธิ์นั้นก็เช่นกัน ทำขึ้นจากใบมะกาใช้คู่กับน้ำมนต์ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงทราบความจากสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพแล้ว พระองค์ท่านก็เสด็จออกจากวัดประดู่

จากนั้นมาไม่นาน ก็ได้รับนิมนต์เข้าไปในพระราชวัง เพื่อรักษาพระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นภูธเรศดำรงค์ศักดิ์

เมื่อถวายการรักษาเสร็จจนมีพระอาการดีขึ้น ทำให้ทรงเลื่อมใสในความสามารถ ก่อนจะลากลับจึงพระราชทานเครื่องอัฐบริขาร เตียงบรรทม เก๋งเรือ ปิ่นโต ฯลฯ เป็นที่ระลึก




หลวงปู่แจ้ง ปุณณจันโท


พระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ 5 เสด็จมายังวัดประดู่ ตามประวัติศาสตร์นั้น พระองค์ทรงถวายเครื่องราชศรัทธาที่น่าสนใจไว้แก่วัดอีกหลายชิ้น

จึงได้รวบรวมสิ่งของที่ได้พระราชทานเหล่านั้นจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์เครื่องราชศรัทธา รัชกาลที่ 5 เพื่อเก็บดูแลรักษาสิ่งของเหล่านี้ให้ทรงคุณค่าอยู่ตราบนานเท่านาน และเพื่อให้คนรุ่นลูกรุ่นหลานได้ชมได้ศึกษา รวมถึงร่วมกันอนุรักษ์ให้คงอยู่กับชาววัดประดู่ตลอดไป

ตามประวัติเล่ากันว่า หลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว ได้เรียนทางแพทย์แผนโบราณ มีดหมอปราบภูตผีปีศาจ ทางมหาประสาน เชือกคาดชื่อตะขาบไฟหรือไส้หนุมาน มาจากหลวงพ่อแจ้ง วัดประดู่ นี่เอง

รักษาคนด้วยตัวยาสมุนไพรเพียงไม่กี่ชนิด คือ ใบมะกากับข่าพร้อมคาถาเสก และต้มยาให้กิน

นอกจากยาใบมะกากับข่าเสกแล้ว สิ่งที่ขึ้นชื่อเมื่อเอ่ยถึงอีกอย่างหนึ่งก็คือ “น้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์”

เล่ากันว่า เมื่อรดใครแล้วหายจากโรคทุกคน ไม่ว่าจะถูกคุณไสย ลมเพลมพัด เป็นบ้าเสียสติอย่างไร เมื่อมารดน้ำมนต์ที่วัดประดู่กลับไปแล้วหายทุกคน

มีเรื่องเล่าว่า ครั้งหนึ่ง หลวงปู่แจ้งรับอาราธนาเข้าไปในวัง เมื่อเดินเข้าไปถึงที่ประตูวัง ประกอบกับท่านห่มจีวรเก่าๆ ทำให้ทหารยามที่ยืนเฝ้าปากประตูไม่ยอมให้ท่านเข้า จึงบอกว่าในหลวงรัชกาลที่ 5 นิมนต์ จะเข้าไปสวดมนต์ ท่านว่า “ในหลวงนิมนต์ฉันมา ฉันจะเข้าไปสวดมนต์ ดูสิฉันยังเตรียมพัดมาด้วยเลย” พร้อมทั้งเปิดพัดให้ดู ทหารยามถึงกับตกตะลึง เพราะตาลปัตรที่หลวงปู่ถือ เป็นตาลปัตรมีตราประจำพระองค์ (พัดปักดิ้นทองตราพระนารายณ์ทรงครุฑ) ทหารยามคนนั้นจึงต้องรีบนำหลวงปู่ไปส่งถึงด้านใน

เมื่อไปถึงจึงสำนึกตัวเป็นพระผู้น้อย จึงขึ้นนั่งบนอาสนะหลังสุด สังฆการีเห็นเข้าก็กราบบังคมทูลให้ทรงทราบ ในหลวงรัชกาลที่ 5 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ขึ้นไปนั่งอันดับสองรองจากสมเด็จพระสังฆราช แต่ก็ได้นั่งหน้าสมเด็จพระราชาคณะหลายรูป

คาดว่ามรณภาพช่วงปี พ.ศ.2465-2472 สำหรับอัฐินั้น วัดประดู่ยังเก็บรักษาไว้จนถึงทุกวันนี้

น่าเสียดายที่ไม่มีการจดบันทึกประวัติไว้อย่างชัดเจน มีแต่เพียงคำบอกเล่าสืบต่อกันมาเท่านั้น •


4
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10 เมษายน 2567 15:39:28 โดย ใบบุญ » บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 13
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2632


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #184 เมื่อ: 16 เมษายน 2567 17:14:30 »


พระเครื่อง ‘ชุดกิมตึ๋ง’ พระสี่กร-พระมอญแปลง-พระประคำรอบ-พระปรกชุมพล

พระเครื่อง ‘ชุดกิมตึ๋ง’ พระสี่กร-มอญแปลง ประคำรอบ-ปรกชุมพล

ที่มา -  คอลัมน์โฟกัสพระเครื่อ งมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 14 - 20 กรกฎาคม 2566
เผยแพร่ - วันเสาร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ.2566



จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นอีกพื้นที่ที่มีการค้นพบพระพิมพ์เป็นจำนวนมาก มีพุทธลักษณะที่หลากหลาย มีการตั้งชื่อเรียกเป็นเอกลักษณ์แตกต่างไปจากที่พบในแหล่งอื่นทั่วไป

ที่รู้จักกันมากที่สุด ได้แก่ พระพิมพ์ภาพพระพุทธรูปปางสมาธิหรือปางมารวิชัยประทับในซุ้มเรือนแก้ว ที่เรียกว่า พระขุนแผน ซึ่งใช้ชื่อตัวละครเอกในวรรณคดีพื้นบ้านเรื่อง ขุนช้างขุนแผน กำหนดเรียก และรู้จักกันในฐานะพระพิมพ์ที่มีชื่อเสียงในด้านเมตตามหานิยม

สำหรับ “พระชุดกิมตึ๋ง” เป็นพระพิมพ์อีกหนึ่งของสุพรรณบุรีที่มีชื่อเรียก และพิมพ์ทรงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ


พระเครื่องชุดกิมตึ๋ง ประกอบด้วยพระ 4 องค์ คือ พระสี่กร พระมอญแปลง พระประคำรอบ และพระนาคปรก หรือพระปรกชุมพล รวมเป็นสี่องค์

พระชุดนี้เป็นพระกรุที่ถูกพบที่วัดพลายชุมพล ซึ่งเป็นวัดร้างอยู่ติดกับเขตวัดพระรูป มีซากพระเจดีย์ที่พังทลายลงมานานแล้ว ตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ.2446 ไม่มีใครทราบว่าพระเจดีย์องค์นี้มีรูปทรงอย่างไร เหลือแต่ฐานซึ่งกว้างมากประมาณ 50 เมตร นับว่าเป็นพระเจดีย์องค์ใหญ่องค์หนึ่งทีเดียว บริเวณรอบฐานพระเจดีย์ในปี พ.ศ.2446 มีพระเครื่องเนื้อดินเผาอยู่ปะปนกับเศษอิฐกองอยู่เต็มไปหมด
 
ในช่วงนั้นไม่ค่อยมีคนสนใจกันนัก บ้างก็เห็นว่าเป็นของวัด ไม่ควรนำมาไว้ที่บ้าน และอีกอย่างหนึ่งคือ พระมีมากมายกองอยู่เต็มไปหมด

ต่อมามีพวกนักเที่ยว พวกวัยรุ่นคะนองสมัยนั้น เมื่อผ่านมา ต่างก็หยิบพระไปคนละองค์สององค์ บ้างก็เอาผูกกับผ้าคาดแขนไว้ บ้างก็อมไว้ในปาก แล้วไปเที่ยวตามถิ่นต่างๆ และเกิดกระทบกระทั่งกับเจ้าถิ่น เกิดมวยหมู่ ตะลุมบอนกัน ทั้งมีดทั้งไม้

ปรากฏว่าคนที่เอาพระกรุนี้ไปด้วย ไม่มีใครเลือดตกยางออก ส่วนคนที่ไม่ได้เอาพระติดตัวไป ปรากฏว่าได้เลือดทั้งสิ้น

หลังจากนั้น จึงทำให้ชื่อเสียงของพระกรุนี้โด่งดังไปทั่ว และมีประสบการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะด้านอยู่ยงคงกระพัน เป็นที่เลื่องลือกันไปทั่ว พระกรุนี้จึงเริ่มถูกตามเก็บ จนร่อยหรอไปเรื่อยๆ จนหมดไปในที่สุด

พระกรุชุดดังกล่าว มีรูปพรรณสัณฐานใกล้เคียงกัน มี 4 พิมพ์ ตามที่ได้กล่าวมา คือ พระสี่กร พระมอญแปลง พระประคำรอบ และพระปรกชุมพล

“พระสี่กร” พิมพ์ทรงคล้ายผลมะปรางผ่าซีก สูงประมาณ 3.5 เซนติเมตร ยอดบนค่อนข้างแหลมกว่าทุกองค์ องค์พระประธานประทับนั่งแสดงปางมารวิชัย พระเกศสูงชะลูด พระพักตร์เลือนไม่ปรากฏรายละเอียด พระกรทั้งสองข้างเป็นคู่ตามชื่อเรียก เนื้อองค์พระส่วนมากหนึกแน่นและแกร่ง มีเม็ดทรายน้อย

“พระมอญแปลง” พิมพ์ทรงจะคล้ายผลมะปรางผ่าซีก มีทั้งพิมพ์ใหญ่ ความสูง 4-4.5 เซนติเมตร และพิมพ์เล็ก สูง 3 เซนติเมตร องค์พระแสดงปางมารวิชัย ขัดสมาธิเพชร มีทั้งเนื้อละเอียดและเนื้อหยาบ ไม่แน่นและแกร่งเท่าพระสี่กร

“พระประคำรอบ” พิมพ์ทรงคล้ายผลมะปรางผ่าซีก แต่ค่อนข้างกลมกว่าทุกพิมพ์ องค์พระแสดงปางมารวิชัย อยู่ในซุ้มเรือนแก้ว มีลักษณะคล้ายดอกจิก รอบซุ้มมีเม็ดกลมลักษณะเป็นลูกประคำ ตามชื่อเรียก

“พระนาคปรก” หรือ “ปรกพลายชุมพล” พิมพ์ทรงจะคล้ายผลมะปรางผ่าซีกเช่นกัน มีทั้งพิมพ์ใหญ่และพิมพ์เล็ก องค์พระประทับนั่งแสดงปางสมาธิ เศียรพญานาค 7 ตัวแผ่พังพานอยู่เบื้องหลัง พิมพ์ใหญ่เนื้อหยาบ ส่วนพิมพ์เล็กเนื้อค่อนข้างละเอียด

พิมพ์ด้านหลังพระชุดกิมตึ๋ง ทั้ง 4 องค์ มีลักษณะมนและขรุขระเล็กน้อย บางองค์มีรอยหยิบด้วยมือ บางองค์เป็นลายมือ

พระชุดนี้เป็นที่นิยมกันมากในสุพรรณบุรี ต่างก็เสาะกันมากและพยายามหาให้ครบ 4 องค์ และเรียกกันในสมัยนั้นว่า “พระชุดพลายชุมพละ”

ต่อมาพระเครื่องชุดนี้แพร่หลายเข้ามาสู่เมืองกรุง และได้รับความนิยมกันมากเช่นกัน และก็มีผู้ตั้งชื่อกันใหม่ว่า “พระชุดกิมตึ๋ง” แต่ก็สืบค้นไม่ได้ว่าใครเป็นคนตั้งชื่อนี้ “กิมตึ๋ง” เป็นชื่อที่มีความเป็นมาอย่างไร

สืบสาวราวเรื่อง พบว่าในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 มีการจัดประกวดโต๊ะหมู่บูชา อันประกอบด้วย ชุดถ้วยกระเบื้องเคลือบ และชุดกระเบื้องเคลือบที่ได้รับรางวัล มีชื่อเสียงได้รับคำยกย่องว่าสวยงามมาก คือ ชุดกิมตึ๋ง ซึ่งเป็นเครื่องถ้วยที่พระยาโชฏึกราชเศรษฐี ได้สั่งนำเข้ามาจากประเทศจีน มาจำหน่ายในประเทศไทย ถ้วยที่ส่งมาใต้ก้นประทับตราว่า “กิมตึ๋ง-ฮกกี่” แปลว่าเครื่องหมายอันวิเศษอย่างเต็มที่

ถ้วยที่ส่งมาชุดนี้ ส่งมาเป็นชุด 4 ใบ อาจจะเป็นเพราะพอดีกับพระชุดพลายชุมพลมี 4 องค์พอดี และมีคุณวิเศษอยู่ด้วย จึงกลายมาเป็นชื่อเรียกพระชุดนี้ในเวลาต่อมาว่า “พระชุดกิมตึ๋ง” และเรียกกันมาจนทุกวันนี้

ส่วนชื่อกรุนั้น วัดพลายชุมพลซึ่งเป็นวัดร้างติดกับวัดพระรูป จนกลายมาเป็นกรุวัดพระรูปไปโดยปริยาย

บรรดานักนิยมสะสมพระเครื่อง ให้ความเห็นว่า พระชุดกิมตึ๋งอาจไม่สวยงามนัก เนื่องจากเป็นศิลปะแบบนูนต่ำตื้น แต่ก็เป็นเอกลักษณ์ของพระกรุดังกล่าว แต่คุณวิเศษที่เลื่องกันมากในด้านอยู่ยงคงกระพัน จนเป็นที่ยอมรับ และนิยมในหมู่ผู้ที่สะสมในสมัยก่อนเป็นอย่างมาก ถึงขนาดมีคำกล่าวว่า ถ้าเอาพระสมเด็จวัดระฆัง มาแลกกับพระชุดกิมตึ๋งทั้งชุด รับรองว่าเจ้าของพระชุดกิมตึ๋ง ต้องไม่ยอมอย่างแน่นอน

อีกประการหนึ่ง พระชุดนี้มีทั้งหมด 4 องค์ เวลานำมาห้อยคอ จึงมักนำพระมาเพิ่มอีกองค์หนึ่ง จะได้ครบ 5 องค์ และมักจะนิยมนำพระขุนแผนไข่ผ่ามาห้อยไว้ตรงกลาง เป็นอันครบ 5 องค์ •





พระลีลาทุ่งเศรษฐีหลวงพ่อนารถ

พระปางลีลาทุ่งเศรษฐี หลวงพ่อนารถ นาคเสโน วัดศรีโลหะฯ จ.กาญจนบุรี

ที่มา - คอลัมน์โฟกัสพระเครื่อง มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 21 - 27 กรกฎาคม 2566
เผยแพร่ - วันศุกร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ.2566



“พระครูโสภณประชานารถ” หรือ “หลวงพ่อนารถ นาคเสโน”  วัดศรีโลหะราษฎร์บำรุง หมู่ 1 ต.ท่าม่วง อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี พระเกจิอาจารย์ชื่อดังอีกรูปของเมืองกาญจน์

วิทยาคมไม่เป็นสองรองใครในยุคนั้น วัตถุมงคลได้รับความนิยมแทบทุกชนิด แต่บางอย่างหาชมของแท้ได้ยากยิ่ง

โดยเฉพาะ “พระลีลาทุ่งเศรษฐี” สร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2499 จนถึงปี พ.ศ.2508

ลักษณะเป็นพระยืนปางลีลาทุ่งเศรษฐี โดยหลวงพ่อนารถ ผสมเนื้อและกดพิมพ์เองที่วัด โดยจะทยอยสร้างเรื่อยๆ ดังนั้น เนื้อพระจะมีสีอ่อนหรือเข้มแตกต่างกันไปตามแต่ส่วนผสมของมวลสารในครกนั้นๆ

เท่าที่พบเห็นสามารถแยกเนื้อพระออกเป็น 2 เนื้อ คือ เนื้อสีขาวอมชมพู (แก่ผง) และเนื้อสีน้ำตาลเข้ม (แก่ว่าน) โดยองค์พระมีทั้งที่ทาทอง และไม่ทาทอง

ในพระชุดนี้ สันนิษฐานว่าหลวงพ่อนารถฝังตะกรุดไว้ทุกองค์ (บางองค์จะเห็นตะกรุดโผล่ออกมาให้เห็น)

ด้านหน้า เป็นรูปพระพุทธปางลีลาทุ่งเศรษฐี บนฐานบัวหงาย องค์พระมีเส้นรอบพิมพ์ ที่ยอดขององค์พระมีการติดชันโรงเสกของหลวงพ่อ ในบางองค์จะมีการทาบรอนซ์ทอง

ด้านหลัง เรียบ ไม่มีอักขระยันต์ใดๆ

พุทธคุณโดดเด่นด้านมหาอุด คงกระพันชาตรี ปืนผาหน้าไม้ มีดหอกของแหลมไม่ระคายผิว ซึ่งผู้ที่มีวัตถุมงคลต่างมีประสบการณ์มากมาย

ได้รับความนิยมสูงและนับวันจะหายาก





หลวงพ่อนารถ นาคเสโน


เดิมท่านมีชื่อว่า นารถ เพิ่มบุญ เกิดเมื่อวันศุกร์ ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 10 ปีฉลู ตรงกับวันที่ 4 ตุลาคม 2444 ที่ที่บ้านหมู่ 1 ต.หุน้ำส้ม อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี บิดา-มารดาชื่อ นายพิมพ์ และนางสมบุญ เพิ่มบุญ ครอบครัวประกอบอาชีพทำนา

เป็นเด็กที่มีความเฉลียวฉลาด ได้รับการศึกษาขั้นต้นที่โรงเรียนศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี แต่ด้วยที่ฐานะทางบ้านยากจน พอเรียนจนมีความรู้พออ่านออกเขียนได้ จึงออกมาช่วยบิดามารดาทำนาปลูกข้าว เลี้ยงครอบครัว

พ.ศ.2473 อายุครบ 29 ปี เข้าพิธีอุปสมบท ที่พัทธสีมาวัดศรีโลหะราษฎร์บำรุง เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 10 กรกฎาคม 2473 มีพระวิสุทธิรังษี (เปลี่ยน) วัดไชยชุมพลชนะสงคราม เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูยติวัตรวิบูล (พรต)  วัดศรีโลหะราษฎร์บำรุง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระปลัดจู วัดไชยชุมพลชนะสงคราม เป็นพระอนุสาวนาจารย์

ได้รับฉายาว่า “นาคเสโน”

จำพรรษาอยู่ศึกษาวิชาอาคมกับหลวงพ่อพรต และเรียนพระปริยัติธรรมที่วัดศรีโลหะราษฎร์บำรุง พ.ศ.2488 สามารถสอบนักธรรมชั้นตรี-โท-เอก ตามลำดับ

นอกจากนี้ ยังเดินทางไปศึกษาอาคมกับหลวงพ่อเปลี่ยน วัดไชยชุมพลชนะสงคราม ในด้านวิปัสสนากัมมัฏฐาน และไปศึกษาเพิ่มเติมจากหลวงพ่อนาก  วัดท่าน้ำตื้น

ด้วยความศรัทธาในการศึกษาหาความรู้ จึงเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อไปศึกษากับหลวงพ่อสด จันทสโร วัดปากน้ำ เกี่ยวกับวิปัสสนากัมมัฏฐาน และวิชชาธรรมกาย โดยไปเรียนวิชาด้วยถึง 2 ครั้ง 2 ครา

ในส่วนของอาจารย์ที่เป็นฆราวาส ไปศึกษาวิชาในทางแก้คุณไสยจากคุณแม่มูล และจากนายคำ สุขอุดม ศึกษาวิชาคงกระพัน และแก้คุณไสย จากนายขัน ศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณจากนายหมุน ศึกษาตำรายาเกี่ยวกับโรคไตจากนางเลียบ

พ.ศ.2494 ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดศรีโลหะฯ ว่างลง ชาวบ้านจึงได้นิมนต์ขึ้นเป็นเจ้าอาวาส และพัฒนาวัดจนเจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นลำดับ

เป็นพระเถระที่มีบุคลิกเรียบร้อย พูดจาฟังง่าย เมตตาสูง และสิ่งหนึ่งที่ทำเป็นประจำไม่เคยขาด คือ การนั่งวิปัสสนากรรมฐาน

ครั้งที่ยังมีพรรษาน้อย ชอบออกท่องธุดงค์ ศึกษาวิทยาคมต่างๆ ได้รู้จักและเป็นศิษย์กับครูบาอาจารย์ที่มีชื่อเสียงหลายท่าน

เชื่อกันว่า เป็นพระที่เก่งกล้าวิชาอาคมด้วยกันหลายแขนง โดยเฉพาะด้านวิปัสสนากัมมัฏฐาน วิชาคงกระพัน และวิชาแก้คุณไสย

ปี พ.ศ.2519 หลวงพ่อนารถ พร้อมลูกศิษย์ขุดพบตะกั่วเก่า (ตะกั่วพันปี) จาก อ.ศรีสวัสดิ์ จำนวนหลายตัน หลอมเทเป็นก้อนขนาดเล็ก ลักษณะคล้ายกับฝาขนมครก มีสนิมแดงเกาะอยู่ทั่วก้อนตะกั่ว เป็นตะกั่วชนิดเดียวกันกับพระท่ากระดาน กรุเก่า

เข้าใจว่า น่าจะเป็นตะกั่วที่หลอมเทไว้ทำพระท่ากระดานในสมัยโบราณยุคอู่ทอง ด้วยสถานที่ขุดพบ เป็นบริเวณเดียวกับที่พบกรุพระท่ากระดาน และภายในกรุที่ขุดพบพระท่ากระดาน ยังพบก้อนตะกั่ว ซึ่งมีลักษณะเดียวกัน ลงอักขระขอมโบราณ กำกับไว้บนก้อนตะกั่วบรรจุไว้ด้วยกันอีกจำนวนหนึ่ง

พ.ศ.2519-2520 นำตะกั่วเก่าที่ขุดได้ มาจัดสร้างพระเครื่องออกจำหน่าย เพื่อเป็นทุนในการสร้างโบสถ์ และอีกส่วนหนึ่งจัดเป็นทุนให้ชาวบ้านนำไปบูรณะวัดในเขต อ.ศรีสวัสดิ์

ทั้งนี้ การสร้างพระเครื่องนั้น จะใช้ตะกั่วเก่ามารีด แล้วกดเป็นพิมพ์พระ (ไม่มีการหลอมตะกั่ว) ส่วนใหญ่เป็นรูปพิมพ์เลียนแบบพระท่ากระดาน ยุคเก่า พิมพ์รูปแบบอื่นมีบ้าง แต่ไม่มากนัก

ลำดับงานปกครอง พ.ศ.2498 เป็นพระอุปัชฌาย์

ลำดับสมณศักดิ์ พ.ศ.2507 ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระครูชั้นประทวน

พ.ศ.2511 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูชั้นสัญญาบัตรชั้นตรีที่ พระครูโสภณประชานารถ

พ.ศ.2515 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโท ในราชทินนามเดิม

มรณภาพโดยอาการสงบจากโรคชรา เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2530

สิริอายุ 86 ปี พรรษา 57 •





เหรียญเสมาหลวงปู่รอด

เหรียญเสมาเนื้อฝาบาตร หลวงปู่รอด วัดบางน้ำวน พระเกจิชื่อดังสมุทรสาคร

ที่มา - คอลัมน์โฟกัสพระเครื่อง มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 28 กรกฎาคม - 3 สิงหาคม 2566
เผยแพร่ - วันศุกร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ.2566

 
“หลวงปู่รอด พุทธสัณโฑ” วัดบางน้ำวน ต.บางโทรัด อ.เมือง จ.สมุทรสาคร พระเกจิอาจารย์ที่เก่งกล้าวิทยาคมอีกรูป

สร้างวัตถุมงคลและเครื่องรางของขลังเอาไว้หลายรุ่น เช่น ตะกรุดโทน เหรียญหล่อเหรียญปั๊มรุ่นแซยิด เหรียญหล่อพิมพ์พนมมือ เหรียญปั๊มพิมพ์เสมาอัลปาก้า เป็นต้น

ล้วนได้รับความเลื่อมใส นิยมนำไปคล้องคอติดตัว เพื่อความเป็นสิริมงคล

ที่ได้รับความนิยมสูง คือ เหรียญเสมา พ.ศ.2482 เนื้อฝาบาตรช้อนส้อม ที่ระลึกในงานฉลองสมณศักดิ์พระครูฐานานุกรมในปี พ.ศ.2482 อาจารย์เทพย์ สาริกบุตร เป็นผู้รับมอบหมายและดำเนินการสร้าง

ลักษณะเป็นเหรียญเสมา มีลวดลายกนก ตรงกลางเป็นรูปเหมือนครึ่งองค์ หันหน้าตรง ห่มจีวรลดไหล่ ด้านล่างเป็นอักษรภาษาไทยว่า “พระครูรอด”

ด้านหลังเป็นอักขระภาษาขอมสี่แถว อักขระภาษามอญหนึ่งแถว อ่านได้ว่า “อะระหัง สัยยะ ยาวะเท อุเย อะเย เวี่ยเปี๊ยเที่ยจะ”

กล่าวขานกันว่าผู้ใดพกพาอาราธนาติดตัวว่าจะรอดพ้นจากภัยพิบัตินานัปการ ดลบันดาลให้มีความสุข ความเจริญ อายุยืนยาวนาน

ปัจจุบันนับเป็นที่นิยมและหายาก




หลวงปู่รอด พุทธสัณโฑ

อัตโนประวัติ เกิดเมื่อวันพุธ ขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 ปีกุน พ.ศ.2406 ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 4 บิดา-มารดา ชื่อ นายทองดี และนางเกษม บุญส่ง มีเชื้อสายรามัญ

ช่วงเยาว์วัย บิดา-มารดา นำมาฝากหลวงปู่แค เจ้าอาวาสวัดบางน้ำวน ให้เลี้ยงดู เนื่องจากเป็นเด็กที่เลี้ยงยาก อ่อนแอ เป็นเด็กขี้โรค จึงยกให้เป็นบุตรบุญธรรมหลวงปู่แค ตั้งแต่นั้นมาก็หายจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ หลวงปู่แคจึงตั้งชื่อให้ว่า “รอด”

อายุ 12 ปี เข้าพิธีบรรพชา ตรงกับปี พ.ศ.2418 ศึกษาพระปริยัติธรรม พร้อมทั้งศึกษาวิชาอาคม และวิชาวิปัสสนากัมมัฏฐานจากหลวงปู่แค

อายุครบ 20 ปี เข้าพิธีอุปสมบท โดยมีพระอธิการแค เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอาจารย์แจ้ง วัดใหญ่บ้านบ่อ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์ปั้น วัดใหญ่บ้านบ่อ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “พุทธสัณโฑ”

เรียนและฝึกวิปัสสนารวมถึงพุทธาคมจากพระอุปัชฌาย์ หลังหลวงปู่แคมรณภาพลง ได้รับการสนับสนุนจากชาวบ้านและคณะสงฆ์ขึ้นเป็นเจ้าอาวาสสืบแทน

สําหรับวัดบางน้ำวน ตั้งอยู่เลขที่ 81 หมู่ที่ 4 ต.บางโทรัด อ.เมือง จ.สมุทรสาคร สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย มีที่ดินตั้งวัดจำนวน 54 ไร่ 1 งาน 74 ตารางวา ได้รับหนังสือรับรองสภาพวัด เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2528 โดยกรมการศาสนา

ตั้งอยู่ใกล้กับถนนสายธนบุรี-ปากท่อ ก.ม.ที่ 40 จากกรุงเทพฯ อยู่ทางซ้ายมือ มีถนนเชื่อมต่อถึงวัดระยะทางประมาณ 1,600 เมตร บริเวณหน้าวัดติดกับคลอง ซึ่งเป็นแม่น้ำสามสายมาบรรจบกัน

วัดแห่งนี้ เป็นวัดเล็กๆ สร้างขึ้นประมาณปี พ.ศ.2357 สร้างขึ้นโดยการนำของสามเณรและชาวมอญ ที่อพยพโยกย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่ตำบลนี้ เพื่อใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติศาสนกิจของสงฆ์ ให้ชาวบ้านได้ทำบุญสุนทาน เป็นแหล่งบวชเรียนและศึกษาวิชาความรู้ของบุตรหลานชาวมอญ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาในสมัยพระอาจารย์แค เมื่อปี พ.ศ.2407 และผูกพัทธสีมาในปีเดียวกัน

ในอดีตวัดบางน้ำวน บริเวณหน้าวัดจะมีน้ำวนที่เชี่ยวกราก ผู้ใดที่ไม่รู้จักร่องน้ำในการเดินเรือ เรือจมกันมาหลายต่อหลายลำแล้ว จนกลายเป็นที่มาของชื่อวัด

ด้วยวัตรปฏิบัติเป็นที่เลื่อมใสของชาวบ้าน ต่างพากันมาช่วยเป็นกำลังในการบูรณปฏิสังขรณ์ วัดวาอารามจนเจริญรุ่งเรือง เป็นลำดับ ถึงความเจริญจะเข้าสู่วัดบางน้ำวนแล้ว ท่านก็ยังมีเมตตาช่วยเหลือพัฒนาวัดต่างๆ ด้วย เช่น วัดบางกระเจ้า วัดบางสีคต วัดนาโคก วัดบางลำพู วัดบางจะเกร็ง วัดเจริญสุขาราม ฯลฯ

นอกจากหลวงปู่รอดช่วยพัฒนาวัดวาอารามอื่นๆ แล้ว ยังช่วยพัฒนาในด้านการศึกษา จัดการเรียนการสอนพระปริยัติธรรม และยังสร้างโรงเรียนประชาบาลไว้ให้กุลบุตร กุลธิดาได้ศึกษาเล่าเรียนกัน โดยมีชื่อของโรงเรียนว่ารอดพิทยาคม เพื่อเป็นอนุสรณ์

ออกธุดงค์ไปยังประเทศพม่าเป็นเวลาหลายปี ผ่านไปเมืองเมาะลำเลิง ซึ่งเป็นตระกูลกำเนิดปู่ย่าตายาย จากนั้นผ่านเมืองย่างกุ้ง ข้ามมาระนอง เข้าเมืองกาญจน์

ระหว่างออกธุดงค์นั้น ได้ศึกษาเล่าเรียนวิชาเมตตามหานิยม วิชาคงกระพันชาตรี วิชาทำผ้ายันต์บังไพร วิชาทำธงไม่ให้ฝนตก วิชาเสกของหนักให้เบา วิชาแพทย์แผนโบราณ จากคณาจารย์ชาวมอญ พม่า กะเหรี่ยง

อีกทั้งสนใจเรื่องสมุนไพรเป็นพิเศษ จึงจดจำตำรายาทุกชนิดได้อย่างแม่นยำ

เมื่อเข้าสู่วัยชรา ชาวบ้านจึงขอร้องให้โปรดญาติโยมประจำที่วัดและได้ตั้งกฎระเบียบทำวัตรปฏิบัติธรรมของวัดบางน้ำวน คือ จากสองทุ่มถึงสี่ทุ่มทุกคืน จนเป็นกิจวัตรของวัดบางน้ำวน และมีการตีกลอง ระฆังย่ำค่ำจนถึงปัจจุบัน

ลำดับงานปกครอง พ.ศ.2437 เป็นเจ้าอาวาสวัดบางน้ำวน

พ.ศ.2447 เป็นเจ้าอธิการ (เจ้าคณะตำบล)

พ.ศ.2452 เป็นพระอุปัชฌาย์สามัญ

ลำดับสมณศักดิ์ พ.ศ.2482 เป็นพระครูชั้นประทวน และพระครูกรรมการศึกษา

มรณภาพเมื่อเวลา 00.20 น.วันจันทร์ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 12 พ.ศ.2487

สิริอายุ 81 ปี พรรษา 61 •

 

4
บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 13
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2632


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #185 เมื่อ: 17 เมษายน 2567 18:06:38 »


เหรียญหลวงพ่อหรุ่น

เหรียญรุ่นแรก พ.ศ.2460 หลวงพ่อหรุ่น วัดช้างเผือก พระเกจิดัง สมุทรสงคราม

ที่มา - คอลัมน์โฟกัสพระเครื่อง มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 4 - 10 สิงหาคม 2566
เผยแพร่ - วันอาทิตย์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ.2566


กาลสมัยผ่านมาลุ่มน้ำแม่กลองถือเป็นแหล่งสรรพวิชา มากด้วยพระเกจิอาจารย์ นับเนื่องจากอดีตถึงปัจจุบัน ไม่เคยขาดหาย

แต่ถ้าให้กล่าวถึงพระเกจิอาจารย์ที่เป็นจุดหมายปลายทางของพระธุดงค์สมัยก่อน วัดช้างเผือก ถือเป็นแหล่งรวมพระธุดงค์มากมายหลายรูป

เนื่องจากมีพระเกจิอาจารย์ผู้มากวิชาโดดเด่น ด้านการทำน้ำมนต์ และวิชามหาอุตม์ นั่นก็คือ พระอธิการรุฬ หรือหลวงพ่อหรุ่นนั่นเอง

“หลวงพ่อหรุ่น พุทธสโร” วัดช้างเผือก อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม

ช่วงบั้นปลายชีวิต จัดสร้างวัตถุมงคลที่ระลึกและแจกให้ผู้ที่มาร่วมบุญ ทุกรุ่นล้วนแต่ได้รับความนิยม

“เหรียญรุ่นแรก” ได้รับความนิยมอย่างสูงไปด้วย

สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2460 เพื่อแจกในงานศพของท่านเอง มีพระเกจิชื่อดังสมัยนั้นปลุกเสกเป็นจำนวนมาก อาทิ หลวงพ่อคง ธัมมโชโต วัดบางกระพ้อม, หลวงพ่อบ่าย ธัมมโชโต วัดช่องลม, หลวงพ่อแก้ว พรหมสโร วัดพวงมาลัย, หลวงพ่อช่วง อินทโชติ วัดปากน้ำ, หลวงพ่อใจ อินทสุวัณโณ วัดเสด็จ และลูกศิษย์อีกเป็นจำนวนมาก

มีเนื้อเงินและเนื้อทองแดง สร้างน้อยมาก

ด้านหน้า ขอบเหรียญมีลายกนก ตรงกลางมีรูปเหมือนนั่งขัดสมาธิเต็มองค์ห่มจีวรลดไหล่ พาดสังฆาฎิ มีอาสนะรองรับ ระบุปี “พ.ศ.๒๔๖๐”

ด้านหลัง ด้านบนสุด เขียนคำว่า “วัดช้าง” ถัดลงมาเป็นยันต์ ความว่า “อะระหัง อะสัง วิสุโล ปุสะพุภะ”

แม้จะเป็นเหรียญตาย แต่ก็หายาก





หลวงพ่อหรุ่น พุทธสโร

อัตโนประวัติ เกิดเมื่อปี พ.ศ.2372 ที่บ้านไผ่ขวาง อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี บิดาชื่อ นายรุ่ง มารดาชื่อ นางล้อม มีอาชีพทำนาและค้าขาย

ครอบครัวฝ่ายมารดาเป็นชาวบางช้าง จ.สมุทรสงคราม บ้านใกล้กับวัดบางจาก เป็นญาติกับหลวงพ่ออ้น วัดบางจาก ศิษย์สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) วัดระฆังโฆสิตาราม

ต่อมาบิดาได้นำไปฝากเรียนหนังสือไทยและขอม ที่สำนักวัดประตูสาร มีพระอาจารย์ภู่เป็นครู เรียนจนจบอ่านออกเขียนได้

พ.ศ.2492 อายุครบบวช จึงเข้าพิธีอุปสมบทที่วัดประตูสาร มีพระอาจารย์ภู่ วัดประตูสาร เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ดี กับพระอาจารย์อ่วม วัดไทร เป็นพระคู่สวด ได้รับฉายาว่า พุทธสโร

ศึกษาพระปริยัติธรรม ท่องบทสวดมนต์จนจบ จำพระปาฏิโมกข์แม่นยำ ซึ่งถือว่าหาอาจารย์ที่แคล่วคล่องในระดับนี้ได้ยากมากสมัยนั้น

นอกจากนี้ ยังสนใจเรื่องธุดงควัตร จึงไปศึกษากับพระอาจารย์แสวง วัดบางปลาม้า ออกธุดงค์ไปหลายแห่งฝึกพลังจิตจนแก่กล้า

พรรษาที่ 6 เดินทางมาในงานศพนางแจ่ม ซึ่งเป็นยายที่บ้านใกล้วัดบางจาก จึงได้รู้จักกับพระอุปัชฌาย์เอี่ยม วัดบางจาก

หลวงพ่อเอี่ยม จึงชวนให้มาอยู่ด้วยกัน ต่อมาบิดาเสียชีวิตลง มารดาจึงชวนกันอพยพกลับมาอยู่ที่บางจาก ก็เลยมาจำพรรษาที่วัดบางจาก

ชอบออกธุดงค์แบกกลดเข้าป่าเป็นประจำ ได้ศึกษาพุทธาคม สมุนไพร แพทย์แผนโบราณ จากพระอาจารย์ในป่าลึก ได้รับความรู้ต่างๆ มากมายจนเป็นที่พึ่งของภิกษุ สามเณร และชาวบ้านในแถบนั้น

ต่อมาวัดช้างเผือกว่างเจ้าอาวาสลง ชาวบ้านจึงได้นิมนต์ไปเป็นเจ้าอาวาส ด้วยวัดช้างเผือกในขณะนั้นกำลังชำรุดทรุดโทรมอย่างมาก พอมาอยู่ที่วัดช้างเผือก ก็เริ่มบูรณปฏิสังขรณ์พัฒนาวัดเรื่อยมา มีพระและชาวบ้านมาขอเรียนวิปัสสนากัมมัฏฐานด้วยเป็นจำนวนมาก

เกิดความนิยมในหมู่พระสงฆ์ที่ออกธุดงค์ทั้งหลายว่า ต้องมาปักกลดที่วัดช้างเผือกเพื่อศึกษาวิชาด้วย จนทำให้พื้นที่ของวัดแน่นขนัดไปด้วยกลดจำนวนมาก

นอกจากนี้ ยังมีชาวบ้านมาให้รักษาโรคแทบทุกวัน คนถูกผีเข้าเจ้าสิงก็มาให้รดน้ำมนต์กันจนแน่นวัด จนเป็นที่รู้จักกันทั้งลุ่มน้ำแม่กลอง

ได้รับการถ่ายทอดวิชาทำผงวิเศษ 108 จากหลวงพ่ออ้น วัดบางจาก

หลวงพ่อหรุ่นเป็นพระที่มีเมตตาไม่ปิดบังวิชา ใครมาขอเรียนด้วยก็ยินดีสอนให้ จึงมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย เช่น หลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม, หลวงพ่อหรีด วัดเพลง, หลวงพ่อห่วง วัดท่าใน และหลวงพ่อแช่ม วัดจุฬามณี เป็นต้น

มรณภาพอย่างสงบด้วยโรคชรา เมื่อปี พ.ศ.2458 สิริอายุ 86 ปี พรรษา 66 •




เหรียญหล่อพิมพ์เศียรโล้น หลวงพ่อบ่าย


เหรียญหล่อพิมพ์เศียรแหลม หลวงพ่อบ่าย

เหรียญหล่อโบราณ หลวงพ่อบ่าย วัดช่องลม ยอดพระเกจิลุ่มแม่กลอง

ที่มา - คอลัมน์โฟกัสพระเครื่อง มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 11 - 17 สิงหาคม 2566
เผยแพร่ - วันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ.2566


พระเกจิอาจารย์สายลุ่มน้ำแม่กลอง อาวุโสรองจากหลวงพ่อแก้ว วัดพวงมาลัย คือ “หลวงพ่อบ่าย ธัมมโชโต” วัดช่องลม ต.บ้านปรก อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม วัตถุมงคลได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก

เป็นทั้งน้องและศิษย์ของหลวงพ่อแก้ว วัดพวงมาลัย และเป็นสหธรรมิกที่สนิทสนมกันมากกับหลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม พระเกจิชื่อดังในยุคเดียวกัน

สร้างวัตถุมงคลไว้หลายชนิด ล้วนเป็นที่นิยมและเสาะแสวงหาอย่างสูง อาทิ เหรียญรูปเหมือน และเครื่องรางของขลังต่างๆ

แต่ที่ได้รับความนิยมได้แก่เหรียญหล่อ สร้างปี พ.ศ.2460 คือ “เหรียญหล่อโบราณพิมพ์เศียรโล้น”

เหรียญหล่อพิมพ์เศียรโล้น หลวงพ่อบ่าย 
ลักษณะเป็นรูปใบสาเก หล่อแบบเป้าประกบหน้า-หลัง มีหูในตัว สร้างด้วยเนื้อโลหะผสมแก่ทองเหลือง จำนวนการสร้างไม่ได้มีการจดบันทึกไว้

ด้านหน้า เป็นรูปพระพุทธรูปประทับนั่งปางสมาธิ ห่มจีวรเฉียงพาดสังฆาฏิ มีอาสนะรอง องค์พระมีตัวอุ แทนเกศเปลวเพลิง จึงเป็นที่มาของชื่อพิมพ์ มีรูปพญานาคอยู่ทางด้านซ้าย-ขวา องค์พระ ใต้พญานาค มีอักขระขอม ส่วนด้านล่างใต้อาสนะเป็นตัวอักษร อ่านว่า “วัจชังลม”

ด้านหลัง บนสุดมีอักขระขอมตัวอุ ใต้ตัวอุมีการผูกยันต์หัวใจพญาเสือโคร่ง “ภูภิภุภะ” และอักขระยันต์อื่นๆ

นอกจากนี้ ยังมีอีกเหรียญหล่อโบราณที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน คือ “เหรียญหล่อโบราณพิมพ์เศียรแหลม”

เหรียญดังกล่าว สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2460 เช่นเดียวกัน มีลักษณะเป็นรูปใบสาเก หล่อแบบเป้าประกบหน้า-หลัง มีหูในตัว สร้างด้วยเนื้อโลหะผสมแก่ทองเหลือง

ด้านหน้า เป็นรูปพระพุทธรูปปางสมาธิ ห่มจีวรเฉียงพาดสังฆาฏิ มีอาสนะรอง มีรูปพญานาคอยู่ทางด้านซ้ายและด้านขวาขององค์พระ ใต้พญานาค มีอักขระขอม ส่วนด้านล่างใต้อาสนะเป็นตัวอักษรอ่านว่า “วจชง”

ด้านหลัง บนสุดมีอักขระขอมตัวนะ ใต้ตัวนะมีพระคาถา 4 แถวเรียงลงมา อ่านว่า “กิ ริ มิ ทิ” “กุ รุ มุ ทุ” “เก เร เม เท” “กึ รึ มึ ทึ” ส่วนด้านล่วงสุดเป็นตัวอักษร “อ”

เป็นอีกวัตถุมงคลที่ได้รับความศรัทธาและเชื่อมั่นในพุทธาคม





หลวงพ่อบ่าย ธัมมโชโต

ชีวประวัติ หลวงพ่อบ่าย ได้รับการบันทึกเป็นหลักฐานน้อยมาก แต่เท่าที่สืบค้นมาได้ เกิดเมื่อวันพฤหัสบดี เดือน 8 ปีระกา ตรงกับพุทธศักราช 2404 ที่บ้านครก อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี

เป็นเด็กกำพร้าซึ่งพระอาจารย์เกตุ วัดทองนพคุณ จ.เพชรบุรี พี่ชายหลวงพ่อแก้ว วัดพวงมาลัย ได้นำมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม

เมื่ออายุ 10 ปี ศึกษาภาษาไทยและภาษาบาลีจากพระอาจารย์คล้ำ วัดสวนทุ่ง ก่อนบรรพชาเป็นสามเณร

อายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ อุปสมบทที่วัดทองนพคุณ มีหลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอาจารย์พุก วัดสวนทุ่ง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์เกตุ วัดทองนพคุณ เป็นอนุสาวนาจารย์

อยู่จำพรรษาที่วัดทองนพคุณ จ.เพชรบุรี

ด้านการศึกษาวิทยาคมนั้นเรียนกับหลวงพ่อพุก วัดสวนทุ่ง และพระอาจารย์เกตุ วัดทองนพคุณ อีกทั้งยังได้เรียนเพิ่มเติมจากหลวงพ่อแก้ว วัดช่องลม พร้อมกับเรียนวิปัสสนากัมมัฏฐานและพุทธาคมควบคู่กันไปด้วย ท่านจึงมีความใกล้ชิดกับหลวงพ่อแก้วเป็นอย่างยิ่ง

ปี พ.ศ.2437 ไปธุดงค์ที่จังหวัดสระบุรี เพื่อไปนมัสการพระพุทธบาทและพระพุทธฉาย โดยมีพระภิกษุติดตามไปด้วย 4 รูป คือ อาจารย์ไปล่ พระยา พระพลอย และโยมอุปัฏฐากหนึ่งคน ออกเดินทางในราวเดือน 12

เมื่อไปถึงและนมัสการพระพุทธบาทและพระพุทธฉายแล้ว พักแรมอยู่ประมาณเดือนเศษ ก่อนเดินทางต่อไปที่จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อไปนมัสการพระแท่นดงรัง ในราวเดือน 4 กลางเดือน พักแรมอยู่ที่พระแท่นดงรัง 7 วัน

ครั้นเสร็จภารกิจแล้ว ก็เดินกลับวัดช่องลม การไปธุดงค์ในครั้งนี้เป็นเวลา 4 เดือนเศษ

ขณะนั้นได้เป็นเจ้าอาวาสวัดช่องลม แทนหลวงปู่แก้ว ซึ่งย้ายไปเป็นเจ้าอาวาสวัดพวงมาลัย ในปี พ.ศ.2445

พ.ศ.2470 จึงย้ายที่ตั้งวัดใหม่ เนื่องด้วยทำเลที่ตั้งวัดช่องลม เดิมติดโค้งน้ำของแม่น้ำแม่กลอง ทำให้เกิดน้ำกัดเซาะตลิ่งพังไปทุกปี จนท้ายที่สุดน้ำกัดเซาะพังจวนจะถึงกุฏิ จึงย้ายมาตั้งในพื้นที่ปัจจุบัน

การก่อสร้างหรือการบูรณปฏิสังขรณ์เสนาสนะต่างๆ นั้นไม่เคยบอกใคร ไม่เคยเรี่ยไรนอกวัด เมื่อชาวบ้านรู้ข่าวว่าจะทำอะไร ก็จะมีผู้คนจำนวนมากมายมาร่วมทำบุญ บางรายถวายอิฐบ้าง บางรายถวายไม้บ้าง บางรายถวายกระเบื้องบ้าง บางรายไม่มีทรัพย์ก็เอาแรง บางรายถวายปัจจัยบ้าง สุดแต่ว่าใครมีอะไรก็นำมาตามกำลังศรัทธา

มีความประสงค์จะสร้างพระพุทธฉาย (ถ้ำไห) ซึ่งรับเป็นประธานฝ่ายสงฆ์

ด้วยการบอกบุญกับชาวบ้านขอไหต่างๆ และก่อสร้างโดยพระสงฆ์ ขอร้องให้จางวางสอน (หลวงประดิษฐ์ไพเราะ) เป็นผู้ออกแบบก่อสร้าง และสร้างแพะไว้หน้าถ้ำ 1 ตัว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของหลวงพ่อบ่าย

ต่อมาในปี พ.ศ.2484 เกิดสงครามโลก พวกโจรมิจฉาชีพตัดหัวแพะ และถอดเอาตรีที่ปักยอดเจดีย์ไปเกือบหมด เพื่อหวังทรัพย์ จึงเหลืออยู่แต่ยอดบนๆ ซึ่งปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน

ถือเป็นพระเกจิคณาจารย์ชื่อดังที่มีวิทยาคมเข้มขลังในยุคนั้น ได้รับนิมนต์เข้าร่วมพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคล ในงานหล่อพระรูปสมเด็จพระสังฆราชเจ้า วัดราชบพิธฯ เมื่อปี พ.ศ.2481 และงานพุทธาภิเษกใหญ่แทบทุกงาน

วัตถุมงคลที่จัดสร้างล้วนแต่มีพุทธคุณโดดเด่น เป็นที่ปรารถนา ทั้งประเภทเครื่องรางของขลัง เหรียญหล่อโบราณ พระพิมพ์ พระผง ฯลฯ

มรณภาพลงอย่างสงบ เมื่อวันอาทิตย์ แรม 3 ค่ำ เดือนยี่ ปีมะเส็ง ตรงกับวันที่ 4 มกราคม 2485

สิริอายุ 81 ปี พรรษา 60 •


บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 13
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2632


ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 124.0.0.0 Chrome 124.0.0.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #186 เมื่อ: 18 พฤษภาคม 2567 12:17:28 »



รูปหล่อเหมือน-ลอยองค์ หลวงพ่อโอด วัดจันเสน พระเกจิชื่อดังนครสวรรค์

ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 25 - 31 สิงหาคม 2566
คอลัมน์ - โฟกัสพระเครื่อง
เผยแพร่ - วันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ.2566


“พระครูนิสัยจริยคุณ” หรือ “หลวงพ่อโอด ปัญญาธโร” อดีตเจ้าคณะอำเภอตาคลี และอดีตเจ้าอาวาสวัดจันเสน ต.จันเสน อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ เป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง

ปี พ.ศ.2531 มีความประสงค์จัดสร้างมณฑปใช้เป็นที่บรรจุพระธาตุ ส่วนชั้นล่างจะใช้เป็นที่ประชุมสงฆ์ และเป็นพิพิธภัณฑ์เก็บวัตถุโบราณของเมืองจันเสน

จึงดำริจัดสร้างวัตถุมงคล “รุ่นสร้างมณฑป” เป็นรูปหล่อเหมือนปั๊มลอยองค์ เพื่อหาทุนทรัพย์ในการสร้าง ทั้งหมด 4 เนื้อ คือ เนื้อเงิน เนื้อทองเหลือง เนื้อทองแดง และเนื้อตะกั่ว มีโค้ดตอกทุกเนื้อ

เป็นวัตถุมงคลที่สร้างขึ้นก่อนมรณภาพเพียง 1 ปี

ด้านหน้ารูปหล่อเหมือน มีตัวหนังสือนูน เขียนว่า “พระครูนิสัยจริยคุณ” พร้อมปั๊มอักขระขอมตัวนะ จำนวน 3 ตัว ที่สังฆาฏิด้านหน้า

ด้านหลัง บริเวณใต้ฐานเขียนว่า “วัดจันเสน”

จัดเป็นวัตถุมงคลยอดนิยมที่ชาวปากน้ำโพเสาะแสวงหา





หลวงพ่อโอด ปัญญาธโร

มีนามเดิมว่า วิสุทธิ์ แป้นโต เกิดเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2460 ที่บ้านเลขที่ 103 หมู่ที่ 7 บ้านหัวเขา ต.ตาคลี อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ บิดา-มารดาชื่อ นายชิตและนางต่วน แป้นโต มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันรวม 7 คน

ในช่วงวัยเยาว์ สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนวัดหัวเขา ต.ตาคลี อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ และช่วยครอบครัวประกอบอาชีพ

อายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ เข้าพิธีอุปสมบท เมื่อวันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม 2481 ที่อุโบสถวัดหัวเขา อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ มีพระธรรมไตรโลกาจารย์ (ยอด) วัดเขาแก้ว อ.พยุหะคีรี เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูนิปุณธรรมธร วัดตาคลี เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระครูพิพัทธศีลคุณ วัดหัวเขา อ.ตาคลี เป็นพระอนุสาวนาจารย์

มุ่งมั่นศึกษาพระปริยัติธรรม พ.ศ.2484 สามารถสอบได้นักธรรมชั้นเอก จากสำนักเรียนวัดมหาพฤฒาราม กรุงเทพฯ

ลำดับงานปกครอง พ.ศ.2489 เป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดหนองสีนวล อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์

พ.ศ.2493 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดจันเสน

พ.ศ.2493 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลจันเสน

พ.ศ.2496 เป็นพระอุปัชฌาย์

พ.ศ.2510 เป็นรองเจ้าคณะอำเภอตาคลี

พ.ศ.2516 เป็นเจ้าคณะอำเภอตาคลี

ลำดับสมณศักดิ์ พ.ศ.2500 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรี

พ.ศ.2510 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโท

พ.ศ.2520 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นเอก

พ.ศ.2527 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระครูสัญญาบัตรชั้นพิเศษ ในราชทินนาม พระครูนิสัยจริยคุณ

ด้านการศึกษา เป็นครูสอนนักธรรมของวัดดอน เขตยานนาวา กรุงเทพฯ (ในสมัยที่พระอาจารย์กึ๋น เป็นเจ้าอาวาสวัดดอนฯ) เป็นครูสอนนักธรรม วัดหัวเขา และวัดหนองสีนวล อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ เป็นเจ้าสำนักเรียนวัดจันเสน เป็นกรรมการตรวจประโยคธรรมสนามหลวง เป็นต้น

ศึกษาพุทธาคมจากพระเกจิชื่อดัง คือ หลวงพ่อรุ่ง วัดหนองสีนวล อ.ตาคลี, หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ อ.ตาคลี, หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค อ.ตาคลี และหลวงพ่อเชน วัดสิงห์ อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี

นอกจากนี้ ยังมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับหลวงพ่อรุ่ง วัดหนองสีนวล และหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ สองพระเกจิอาจารย์ชื่อดังของอำเภอตาคลี ในฐานะที่เป็นหลานที่ใกล้ชิด โดยพ่อของหลวงพ่อโอด คือ นายชิต แป้นโต เป็นน้องชายแท้ๆ ของหลวงพ่อรุ่ง และแม่ของนายชิต เป็นพี่สาวแม่ของหลวงพ่อเดิม ดังนั้น หลวงพ่อโอด จึงเรียกหลวงพ่อรุ่ง และหลวงพ่อเดิมว่า “หลวงลุง” ทั้งสองรูป

ด้านการศึกษาพุทธาคม เมื่อท่านกลับจากการเป็นครูสอนนักธรรมที่วัดดอนยานนาวาแล้ว ท่านได้มาอยู่กับหลวงพ่อรุ่ง ที่วัดหนองสีนวล ซึ่งในระยะนี้เองที่ท่านได้ศึกษาวิทยาคมต่างๆ จากหลวงพ่อรุ่ง

ส่วนหลวงพ่อเดิม เดินทางมาที่วัดหนองสีนวลอยู่เป็นประจำ ซึ่งหลวงพ่อโอดได้ศึกษาวิชาต่างๆ ด้วย

ทั้งนี้ จากคำบอกของท่านเองว่ายังมีอาจารย์อยู่อีก 2 รูป คือ หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ ในช่วงปี พ.ศ.2500 เป็นต้นมา ท่านมักไปเยี่ยมหลวงพ่อพรหมเป็นประจำ

พระอาจารย์อีกรูป คือ หลวงพ่อเชน วัดสิงห์ ต.ทับยา อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี ไปอยู่เรียนกับหลวงพ่อเชน เรียนวิชาทำตะกรุด

ด้านวิปัสสนากัมมัฏฐาน เป็นผู้ที่เชี่ยวชาญทางด้านการปฏิบัติมาก ศึกษามาจากหลวงพ่อรุ่ง ต่อมาได้ไปศึกษาต่อที่สำนักวิปัสสนาวัดมหาธาตุฯ กรุงเทพฯ

ระหว่าง พ.ศ.2500 เปิดสำนักสอนวิปัสสนากัมมัฏฐานที่วัดจันเสน โดยเป็นผู้สอนเอง

เป็นพระที่มีเมตตาสูงยิ่ง วันหนึ่งๆ ท่านจะนั่งคอยรับแขกอยู่ทั้งวัน ใครมีเรื่องทุกข์ร้อนใจไปหา ก็จะให้คำแนะนำที่ดีโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ

มรณภาพอย่างสงบ เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2532 สิริอายุ 72 ปี พรรษา 50

ปัจจุบัน สังขารเก็บรักษาไว้ที่ตึกนิสิตสามัคคี วัดจันเสน เปิดให้เข้าไปกราบสักการะทุกวัน

เกียรติคุณความขลังยังเป็นที่กล่าวขวัญสืบมาจนถึงบัดนี้ รวมถึงด้านวัตถุมงคลแทบทุกชนิด ล้วนแต่หายาก •





เหรียญรูปเหมือนรุ่นแรก วัตถุมงคล ‘หลวงปู่สีดา’ พระเกจิดังมหาสารคาม

ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 1 - 7 กันยายน 2566
คอลัมน์ - โฟกัสพระเครื่อง
เผยแพร่ - วันเสาร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ.2566


อดีตพระเกจิอาจารย์ชื่อดังอีกรูปแห่งเมืองมหาสารคาม “พระมงคลสารคุณ” หรือ “หลวงปู่สีดา ปัญญาธโร” สืบปฏิปทาตามต้นแบบของหลวงปู่สร้อย จิตตทันโต แห่งวัดทรงศิลา (วัดบ้านปลาขาว) ต.สันป่าตอง อ.นาเชือก จ.มหาสารคาม ผู้เป็นพระอาจารย์

เคยดำรงตำหน่งเจ้าอาวาสวัดโสมนัสประดิษฐ์ ต.หนองแสง อ.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม และที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอวาปีปทุม

จัดสร้างวัตถุมงคลขึ้นมาหลายรุ่น ที่เป็นสุดยอด คือ “เหรียญรูปเหมือนรุ่น 1 ปี พ.ศ.2513”

จัดสร้างขึ้นในวาระฉลองอายุครบ 49 ปี และได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นเอก ในราชทินนามที่ พระครูมานิตย์ปฏิภาณ

จัดเป็นเนื้อทองแดง จำนวนสร้างประมาณ 2,000 เหรียญ

ลักษณะคล้ายเหรียญรูปไข่ มีหูห่วง ด้านหน้าเหรียญ ยกขอบเหรียญ ส่วนขอบด้านในเป็นจุดไข่ปลา ตรงกลางเป็นรูปเหมือนครึ่งองค์หันหน้าตรง ด้านขวาโค้งขึ้นไปด้านบนวนไปด้านซ้าย เขียนคำว่า “วัดโสมนัสประดิษฐ์ อ.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม” ใต้รูปเหมือนมีตัวอักษรเขียนคำว่า “หลวงพ่อพระครูมานิตย์ปฏิภาณ”

ด้านหลังเหรียญ เป็นอักขระยันต์นะโม พุทธายะ

จัดเป็นวัตถุมงคลที่หายากและมีราคา ผู้ใดครอบครองต่างหวงแหน





หลวงปู่สีดา ปัญญาธโร

เกิดในสกุล นนทะชัย เมื่อปี 2464 ณ บ้านนาดูน ต.นาดูน อ.นาดูน จ.มหาสารคาม บิดา-มารดา ชื่อ นายเกตุและนางบุญมา นนทะชัย ครอบครัวประกอบอาชีพทำไร่ทำนา

หลังจบการเรียนรู้ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ออกมาช่วยงานครอบครัวหาเลี้ยงชีพด้วยความขยันขันแข็ง

เมื่ออายุ 18 ปี ด้วยความที่มีจิตใจโน้มเอียงเข้าหาธรรม จึงตัดสินใจเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ เข้าพิธีบรรพชา ที่วัดทรงศิลา ต.นาดูน อ.นาดูน จ.มหาสารคาม

กระทั่งอายุครบ 21 ปี เข้าพิธีอุปสมบท ที่พระอุโบสถวัดทรงศิลา มีหลวงปู่สร้อย จิตตทันโต เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอธิการไหม วัดหนองเม็ก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอธิการจันดี วัดหนองเม็ก เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า ปัญญาธโร อันมีความหมายว่า ผู้ทรงไว้ซึ่งปัญญา

เดินทางไปจำพรรษา เพื่อศึกษาพระปริยัติธรรมที่สำนักเรียนวัดสุภโสภณ จ.บุรีรัมย์ สำนักเรียนใหญ่โด่งดังของภาคอีสานตอนใต้

ในปี พ.ศ.2488 สามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรี-โท-เอก ตามลำดับ

ท่านยังศึกษาเพิ่มเติมการอ่านเขียนอักษรลาวเก่าแก่ อักษรขอม พร้อมทั้งบาลี ทำให้มีความรู้ในการอ่านเขียนอักขระเก่าแก่ด้วย

กระทั่งกลับมาจำพรรษาที่วัดนาดูนพัฒนาราม ต.นาดูน อ.นาดูน จ.มหาสารคาม ในช่วงเวลาดังกล่าว หลวงปู่สร้อย วัดทรงศิลา (วัดบ้านปลาขาว) พระอุปัชฌาย์ มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วอีสานตอนกลางและอีสานใต้ ในฐานะพระเกจิและวิปัสสนาจารย์ พร้อมทั้งวิทยาคมรอดพ้น คงกระพัน ขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์เรียนรู้เล่าเรียนวิทยาคม วิปัสสนากัมมัฏฐาน โดยได้เมตตาถ่ายทอดความรู้ให้อย่างไม่ปิดบัง

ลําดับงานปกครอง พ.ศ.2494 เป็นเจ้าอาวาสวัดนาดูนพัฒนาราม

พ.ศ.2497 เป็นเจ้าคณะตำบลนาดูน

พ.ศ.2508 เป็นเจ้าคณะอำเภอวาปีปทุม และเจ้าอาวาสวัดโสมนัสประดิษฐ์

พ.ศ.2545 เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอวาปีปทุม

ลำดับสมณศักดิ์ พ.ศ.2513 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นเอก ในราชทินนามที่ พระครูมานิตปฏิภาณ

พ.ศ.2519 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นพิเศษในราชทินนามเดิม

พ.ศ.2547 ได้รับพระราชทานตั้งสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระมงคลสารคุณ

เคยกล่าวปรารภกับศิษย์ว่า โภคทรัพย์เงินทองไม่ได้มีความจำเป็นต่อสมณเพศ เพราะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยศรัทธาญาติโยม

แม้จะยอมให้คณะศิษย์สร้างรูปบูชาหลายรุ่น แต่พยายามพร่ำสอนญาติโยมสม่ำเสมอว่า อย่ายึดติดพระเครื่องวัตถุมงคลมากเกินไป ให้ยึดเอาพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นหลักในการครองชีวิต

ส่วนข้อธรรมคำสอนที่เน้นสอน คือ เมื่อเกิดมาเป็นคนแล้วจะต้องมีจริยธรรม จึงจะได้ชื่อว่าอารยชน นอกจากนี้ ต้องมีศีล 5 ในหัวใจแล้วชีวิตจะพานพบแต่ความสำราญตลอดกาล

เป็นพระเถระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเอาเคร่งครัดในพระวินัยมาโดยตลอด เป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีอายุพร้อมทั้งพรรษาสูงที่สุดในวงการสงฆ์จังหวัดมหาสารคามในห้วงเวลาดังกล่าว อีกทั้งยังเป็นพระนักพัฒนาสม่ำเสมอที่ปกครองวัดโสมนัสฯ ทำให้วัดเจริญรุ่งเรืองพร้อมทั้งพัฒนาปฏิรูปให้เหมาะสำหรับการบำเพ็ญภาวนา

แม้จะอยู่ในวัยไม้ใกล้ฝั่ง แต่สุขภาพพลานามัยยังแข็งแรงสมบูรณ์ ยังรับกิจนิมนต์เป็นปกติ ร่างกายและจิตใจไม่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติศาสนกิจแต่อย่างใด

จึงเป็นเนื้อนาบุญของชาวมหาสารคามอย่างแท้จริง

แต่ด้วยสังขารไม่เที่ยง ต่อมาจึงมรณภาพลงอย่างสงบ เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2555

สิริอายุ 91 ปี พรรษา 71 •


4-3
บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 13
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2632


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #187 เมื่อ: 01 กรกฎาคม 2567 18:51:29 »


พระกริ่งบาเก็ง วัดเอี่ยมวรนุช

‘พระกริ่งบาเก็ง’ วัดเอี่ยมฯบางขุนพรหม ‘พระอาจารย์ทิม’ เจ้าพิธี

ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 8 - 14 กันยายน 2566
คอลัมน์ - โฟกัสพระเครื่อง
เผยแพร่ - วันอาทิตย์ที่ 10 กันยายน พ.ศ.2566


“พระกริ่งบาเก็ง” เป็นพระกริ่งที่พบในประเทศกัมพูชา บนเขาพนมบาเก็ง จึงมีชื่อเรียกว่า “พระกริ่งบาเก็ง” หรือ “พระกริ่งนอก” เป็นพระกริ่งที่เก่ามาก ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าสร้างมานานเท่าใด พบในประเทศไทยบ้าง ตามกรุวัดต่างๆ แต่จำนวนน้อยมาก

สำหรับพระกริ่งที่สร้างล้อพิมพ์พระกริ่งบาเก็ง ที่สร้างในประเทศไทยนั้น มีของ “พระมงคลราชมุนี (สนธิ์ ยติธโร)” หรือที่ส่วนใหญ่เรียกขานในสมณศักดิ์เดิมว่า “ท่านเจ้าคุณศรี” วัดสุทัศนเทพวราราม สร้างโดยนำพระกริ่งบาเก็งนอกมาถอดพิมพ์ เริ่มสร้างรุ่นลองพิมพ์ใน ประมาณปี พ.ศ.2485 จำนวนไม่มาก

แต่ยังมีพระกริ่งบาเก็งอีกองค์ที่สร้างขึ้นมาและเป็นที่นิยม คือ พระกริ่งบาเก็งวัดเอี่ยมวรนุช ที่พระอาจารย์ทิม วัดช้างให้ เป็นเจ้าพิธี

“พระครูวิสัยโสภณ” หรือ “หลวงปู่ทิม ธัมมธโร” พระเกจิอาจารย์ชื่อดังวัดช้างให้ จ.ปัตตานี ผู้สร้างตำนานพระเครื่องหลวงพ่อทวดที่โด่งดังเป็นที่รู้จักกันทุกวันนี้

ในปี พ.ศ.2506 ได้รับนิมนต์ให้ขึ้นมาช่วยวัดประสาทบุญญาวาสที่ถูกไฟไหม้ ในครั้งนั้น ไปพักที่วัดเอี่ยมวรนุช และทางวัดได้จัดการสร้างวัตถุมงคลเพื่อเป็นที่ระลึกและเพื่อหาทุนมาบูรณะวัดเช่นกัน

พระกริ่งบาเก็ง วัดเอี่ยมวรนุช บางขุนพรหม สร้างโดยการถอดพิมพ์ของพระกริ่งบาเก็งนอก พระอาจารย์ทิมเป็นเจ้าพิธีในการสร้างและปลุกเสก เททองที่วัดเอี่ยมวรนุช เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2506 มีจอมพลประภาส จารุเสถียร เป็นประธานฝ่ายฆราวาส จำนวนสร้างประมาณ 3,000 องค์

เนื้อมวลสาร อาทิ โลหะปลอกกระสุนปืนใหญ่ จากกรรมสรรพาวุธทหารบก ชนวนเก่าพระกริ่งสายวัดสุทัศน์ แผ่นยันต์จากพระเกจิอาจารย์สายใต้ ฯลฯ

เนื้อองค์พระสีเหลืองนวลแซมสีน้ำตาล เทแบบหล่อตันทั้งองค์ แล้วจึงนำมาเจาะสว่านที่ใต้ฐาน บรรจุเม็ดกริ่ง ก่อนอุดด้วยทองชนวน

กล่าวได้ว่า ได้รับความสนใจมาก เป็นที่นิยมรองลงมาจากพระกริ่งของท่านเจ้าคุณศรีสนธ์เท่านั้น



พระอาจารย์ทิม ธัมมธโร

สําหรับพระอาจารย์ทิม เดิมชื่อทิม พรหมประดู่ เกิดเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2455 ที่บ้านนาประดู่ ต.นาประดู่ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี เป็นบุตรของนายอินทอง กับนางนุ่ม พรหมประดู่ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันรวม 6 คน

เมื่ออายุ 9 ขวบ บิดามารดาฝากให้อยู่กับพระครูภัทรกรณ์โกวิท ซึ่งขณะนั้นยังเป็นพระแดง ธัมมโชโต เจ้าอาวาสวัดนาประดู่ซึ่งอยู่ใกล้บ้าน เพื่อเรียนหนังสือที่โรงเรียนวัดนาประดู่ ต่อมาเมื่ออายุได้ 18 ปี ได้บวชเป็นสามเณร จากนั้นก็สึกออกมาช่วยพ่อแม่ทำนา

จนอายุ 20 ปี จึงอุปสมบทที่วัดนาประดู่ โดยจำพรรษาที่วัดนาประดู่ 2 พรรษา แล้วจึงย้ายไปอยู่ที่วัดมุจลินทวาปีวิหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เพื่อศึกษาพระปริยัติธรรม

ต่อมา ย้ายกลับมาเป็นครูสอนพระปริยัติธรรมที่วัดนาประดู่ หลังจากนั้นในปี พ.ศ.2484 ย้ายไปเป็นเจ้าอาวาสวัดราษฎร์บูรณะ (วัดช้างให้) โดยตอนแรกยังคงไปๆ มาๆ ระหว่างวัดช้างให้กับวัดนาประดู่ เพราะยังคงเป็นครูสอนนักธรรมอยู่ที่วัดนาประดู่ด้วย

ช่วงที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่จังหวัดปัตตานี รถไฟสายใต้จากหาดใหญ่ไปสุไหงโก-ลก ต้องขนทหารและสัมภาระผ่านหน้าวัดช้างให้วันละหลายๆ เที่ยวและหลายขบวน ทำให้ประชาชนขวัญเสียหวาดกลัวภัยสงคราม

พระอาจารย์ทิม ต้องรับภาระหนัก คือต้องจัดหาอาหารและที่พักแก่ผู้ที่เดินทางผ่านวัดไม่เว้นแต่ละวัน นับเป็นผู้ทรงคุณธรรมที่มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มาตั้งแต่ต้น

เมื่อครั้งที่ไปอยู่ที่วัดช้างให้ใหม่ๆ นั้น วัดช้างให้อยู่ในสภาพที่ถูกทิ้งร้างทรุดโทรม จึงได้ริเริ่มตกแต่งสถูปที่บรรจุอัฐิหลวงปู่ทวดให้เป็นที่น่าเคารพบูชา

ดำริที่จะสร้างอุโบสถ โดยร่วมกับนายอนันต์ คณานุรักษ์ จัดสร้างพระเครื่องหลวงปู่ทวด โดยทำพิธีปลุกเสกเป็นประธานในพิธีและนั่งปรกด้วยตนเอง ได้ปัจจัยจากผู้มีจิตศรัทธาที่มาเช่าพระเครื่องหลวงปู่ทวดนำมาสร้างพระอุโบสถ และปรับปรุงบริเวณวัดช้างให้

ต่อมาเริ่มอาพาธด้วยโรคมะเร็งที่หลอดอาหารตั้งแต่ พ.ศ.2510 และมรณภาพเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2512

แม้ว่ามรณภาพไปนานแล้ว แต่สิ่งที่สร้างไว้ อาทิ อุโบสถ วิหารสำหรับประดิษฐานหลวงปู่ทวด เพื่อให้พุทธศาสนิกชนมาเคารพสักการะ สถูปที่บรรจุอัฐิธาตุของหลวงปู่ทวดที่ติดกับทางรถไฟสายใต้ กุฏิที่อาศัยของพระเณร กุฏิเจ้าอาวาสวัดช้างให้ ศาลาการเปรียญ ตลอดถึงวัตถุต่างๆ ที่มีอยู่ในวัดช้างให้ โรงเรียนวัดช้างให้หลังคาทรงเรือนไทยเป็นตึก 2 ชั้น ติดกับทางรถไฟหน้าวัด พระเจดีย์องค์ใหญ่ที่ตั้งเด่นตระหง่านอยู่กลางวัดช้างให้ ฯลฯ

ล้วนสำเร็จด้วยความมุมานะของพระครูวิสัยโสภณหรือพระอาจารย์ทิม

นอกจากเหรียญหลวงปู่ทวดแล้ว พระกริ่งบาเก็งวัดเอี่ยมวรนุช บางขุนพรหม ก็เป็นวัตถุมงคลที่ได้รับความนิยมเช่นกัน •




พระกริ่งหลักชัย

พระกริ่งหลักชัย ต้นตำรับ ‘เจ้าคุณศรี’ วัดสุทัศนเทพวราราม

ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 15 - 21 กันยายน 2566
คอลัมน์    - โฟกัสพระเครื่อง
เผยแพร่ - วันอาทิตย์ที่ 17 กันยายน พ.ศ.2566


พระกริ่งเก่าแบบหนึ่งที่ในสมัยก่อนมักเรียกกันว่า “พระกริ่งอุบาเก็ง” เป็นพระกริ่งที่พบในประเทศกัมพูชา ที่เขาพนมบาเก็ง ที่ในประเทศไทยก็พบบ้างเหมือนกัน แต่พบไม่มากนัก

ความเป็นมาของพระกริ่งบาเก็ง ว่ากันว่า คนจีนคงจะสร้างมาบรรจุไว้ที่เขาพนมบาเก็ง เนื่องจากศิลปะของพระกริ่งเป็นแบบศิลปะจีน ซึ่งแตกต่างจากศิลปะของขอม

อย่างไรก็ตาม พระกริ่งรูปแบบพระกริ่งบาเก็งนอก ท่านเจ้าคุณศรี (สนธิ์) วัดสุทัศน์ ได้ถอดแบบสร้างไว้เช่นกัน สร้างไว้หลายรุ่น

“พระมงคลราชมุนี” (สนธิ์ ยติธโร) หรือที่ผู้คนส่วนใหญ่เรียกขานในสมณศักดิ์เดิมว่า “ท่านเจ้าคุณศรี” (สนธิ์) เป็นศิษย์ในสมเด็จพระสังฆราช (แพ) วัดสุทัศนเทพวราราม

สร้างวัตถุมงคลพระเครื่อง และพระกริ่งรุ่นต่างๆ ไว้หลายรุ่น ล้วนได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง

ท่านเจ้าคุณศรี (สนธิ์) ถอดพิมพ์จากพระกริ่งบาเก็งนอกมาสร้าง สังเกตรูปแบบองค์พระ เหมือนกับพระกริ่งบาเก็งนอก กรรมวิธีการสร้างล้วนแต่พิถีพิถันมาก ตามแบบของพระกริ่งสายวัดสุทัศน์ สร้างโดยมีส่วนผสมของเงินบัวยันต์ คือ เงินกลมหรือเงินพดด้วงของเก่า ซึ่งเลือกเอาเฉพาะอันที่ตอกตราดอกบัวและตรายันต์เท่านั้น
 
พระกริ่งบาเก็งรุ่น 1 นั้น ท่านเจ้าคุณศรีฯ ตั้งชื่อว่า “พระกริ่งหลักชัย” สร้างเมื่อวันที่ 29 มหราคม 2487 โดยอาราธนาเจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราช (แพ) เป็นองค์ประธานด้วย ในการผสมเนื้อโลหะ ใช้ชนวนโลหะพระกริ่งรุ่นเก่าๆ ของสมเด็จพระสังฆราชมาผสมกับเงินบัวยันต์ จำนวนที่เทมีทั้งสิ้น 162 องค์ การบรรจุเม็ดกริ่งแบบกริ่งในตัว 2 รู วรรณะของเนื้อในแดงออกชมพูกลับเทาขึ้นประกายเงิน

พระกริ่งรุ่นนี้ มีบางองค์ตอกโค้ดมีไส้ และโค้ดไม่มีไส้ ใต้ฐานลงเหล็กจารโดยท่านเจ้าคุณศรีฯ

ในปีเดียวกัน ยังมีพระกริ่งบาเก็งของท่านเจ้าคุณศรีฯ สร้างอีกครั้ง เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2487 สร้างจำนวน 202 องค์ พิมพ์เดียวกับพระกริ่งรุ่น 1 เนื้อหาก็คล้ายกับรุ่น 1 มาก เพราะใช้ทองชนวนที่เหลือจากการเทรุ่นแรกมาเท แต่ตกแต่งที่ใต้ฐานเพื่อให้แยกออกได้ง่ายขึ้น คือมีการปาดใต้ฐานเว้าเข้าไปที่ด้านหลังเล็กน้อย เป็นที่สังเกตในการแยกรุ่นได้ง่ายขึ้น หลังจากนั้นก็ยังมีการเทพระกริ่งบาเก็งโดยท่านเจ้าคุณศรีฯ อีกหลายรุ่น

จึงกล่าวได้ว่า พระกริ่งบาเก็งของท่านเจ้าคุณศรีฯ มีดีที่ลักษณะองค์พระ ซึ่งมีขนาดกะทัดรัด กรรมวิธีการสร้างดี เนื้อหาโลหะเข้มข้น




พระมงคลราชมุนี (สนธ์ ยติธโร)

นามเดิม สนธิ์ พงศ์กระวี เกิดเมื่อวันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม 2446 ที่ ต.บ้านป่าหวาย กิ่ง อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี บิดา-มารดาชื่อ นายสุขและนาง ทองดี มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 11 คน

อายุ 11 ขวบ บิดาถึงแก่กรรม มารดาจึงนำมาฝากไว้กับพระภิกษุบุญ (หลวงตาบุญ) ซึ่งเป็นญาติที่วัดสุทัศนเทพวราราม คณะ 15 เพื่อให้เล่าเรียนพระปริยัติธรรม ตามคตินิยมที่เล่าเรียนกันในยุคนั้น คือ เริ่มเรียนบาลีไวยากรณ์

อายุ 13 ปี บรรพชาโดยมีพระมงคลราชมุนี (ผึ่ง ปุปฺผโก) เมื่อครั้งยังดำรงสมณศักดิ์เป็นพระครูปลัดสุวัฒนพรหมจริยคุณ ฐานานุกรมในพระพรหมมุนี เป็นพระอุปัชฌาย์

ศึกษาพระปริยัติธรรมจนถึงเดือนเมษายน 2459 ย้ายไปอยู่ที่วัดกลางบางแก้ว อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ในความปกครองของพระพุทธิวิถีนายก เจ้าคณะจังหวัดนครปฐมขณะนั้น

จนถึง พ.ศ.2460 จึงย้ายกลับมาอยู่ที่วัดสุทัศน์ ตามเดิม

พ.ศ.2464 สามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรี

พ.ศ.2465 สอบได้นักธรรมชั้นโท

พ.ศ.2466 เข้าพิธีอุปสมบท โดยมีสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (แพ ติสฺสเทโว) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ พระพรหมมุนี เป็นพระอุปัชฌาย์, พระมงคลราชมุนี (ผึ่ง ปุปฺผโก) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ พระครูปลัดสุวัฒนพรหมจริยคุณ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระพิมลธรรม (นาค สุมนนาโค) เจ้าอาวาสวัดอรุณราชวราราม เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ พระเทพเวที และยังอยู่ที่วัดสุทัศน์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์

ได้รับนามฉายาว่า ยติธโร

พ.ศ.2468 สอบเปรียญธรรมได้ 4 ประโยค พร้อมทั้งได้รับสมณศักดิ์เป็นพระครูธรรมรักขิต ฐานานุกรมในสมเด็จพระพุฒาจารย์

เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2469 เวลาประมาณ 04.00 น.เศษ ประสบเคราะห์กรรมอย่างหนัก ถูกคนวิกลจริตฟันด้วยมีดตอก ได้รับบาดเจ็บตามร่างกายหลายแห่ง

ผลจากการถูกทำร้ายอย่างสาหัสในคราวนั้น ทำให้อาพาธหนักไปประมาณ 3 เดือน เมื่อหายแล้วจึงกลับคืนอยู่ที่วัดสุทัศน์ตามเดิม และเมื่อมาถึงได้ขึ้นไปเฝ้าสมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทโว) ทรงรับสั่งว่า “อ๋อ! มหาสนธิ์ เธอหายดีแล้วหรือ” แล้วท่านก็รับสั่งเรียกให้เข้าไปใกล้ ทรงจับศีรษะไว้แล้วทรงเป่าให้ 3 ครั้ง พร้อมกับทรงรับสั่งต่อไปอีกว่า “ตั้งแต่นี้ต่อไปจะไม่มีอะไรอีกแล้ว”

พ.ศ.2474 สอบได้เปรียญธรรม 7 ประโยค

รับตำแหน่งฐานานุกรมต่างๆ ตามลำดับ พร้อมกับได้ศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณ รวมทั้งโหราศาสตร์ ไสยศาสตร์ เวทมนตร์คาถา ฯลฯ

เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2481 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะที่ พระศรีสัจจญาณมุนี

วันที่ 8 ธันวาคม 2493 ได้เลื่อนจากตำแหน่งพระราชาคณะสามัญ ขึ้นเป็นพระราชาคณะเสมอชั้นราชที่ พระมงคลราชมุนี

เป็นผู้เรียนรู้ศาสตร์ต่างๆ หลายแขนง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมเด็จพระสังฆราช (แพ) พระอุปัชฌาย์ ทรงประสาทศิลปวิทยาการ คือ ตำรับและพิธีกรรมการสร้างพระพุทธรูปและพระกริ่ง ให้จนหมดสิ้น

สืบสานพิธีกรรมต่างๆ เหล่านี้ในเวลาต่อมาอย่างถูกต้องตามตำราทุกประการ

เมื่อว่างในด้านปริยัติศึกษา กลับเพิ่มภารกิจในหน้าที่พระเกจิอาจารย์ ได้รับนิมนต์ให้ไปประกอบพิธีกรรมต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งต้องนั่งปรกเข้าพิธีสวดพุทธาภิเษก ไปจนกว่าจะได้ฤกษ์เททอง

การประกอบพิธีเช่นนี้แต่ละครั้งทำให้สุขภาพค่อยๆ เสื่อมทรุดลงทุกที

ท้ายที่สุด เมื่ออาการอาพาธกำเริบ ทรุดหนัก จนสุดที่คณะแพทย์จะเยียวยา

คืนวันที่ 16 มกราคม 2495 เวลา 21.20 น. จึงมรณภาพลงด้วยอาการอันสงบ •




เหรียญหลวงพ่อโชติ รุ่นแรก

เหรียญรูปเหมือนรุ่นแรก หลวงพ่อช่วง วัดปากน้ำ พระเกจิดังสมุทรสงคราม

ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 22 - 28 กันยายน 2566
คอลัมน์    - โฟกัสพระเครื่อง
เผยแพร่ - วันอาทิตย์ที่ 24 กันยายน พ.ศ.2566


“หลวงพ่อช่วง อินทโชติ” หรือ “พระครูวิมลศีลาจาร” วัดปากน้ำ จ.สมุทรสงคราม เป็นพระเกจิอาจารย์ที่ชาวแม่กลองเคารพนับถือมาก

สร้างพระเครื่อง วัตถุมงคลและเครื่องรางของขลังไว้มากมายหลายชนิด เชื่อกันว่าเข้มขลังมาก ตะกรุดโทนในสมัยนั้น หลวงกล้ากลางสมร มือปราบชื่อดังพกติดตัวอยู่ตลอด

แต่ที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน คือ “เหรียญรูปเหมือนรุ่นแรก”

สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2471 เพื่อแจกเป็นระลึกในงานทำบุญอายุครบ 6 รอบ 72 ปีของหลวงพ่อ มีการสร้างด้วยเนื้อทองแดงเพียงชนิดเดียวเท่านั้น จำนวนการสร้างประมาณ 2,000 เหรียญ

ลักษณะเป็นเหรียญปั๊มทรงหยดน้ำข้างกระบอก มีหูในตัว ด้านหน้า มีขอบรอบนอกเป็นลายกนก และทำเส้นขอบรูปทรงเดียวกับเหรียญอีกชั้นหนึ่ง ภายในเป็นรูปเหมือนครึ่งร่าง ห่มจีวรลดไหล่พาดผ้าสังฆาฎิ โดยรอบรูปเหมือนนั้นเป็นอักษรระบุถึงที่มาของการสร้างเหรียญพระเครื่องนี้ขึ้นมาว่า “พระครูวิมลศีลาจาร วัดปากน้ำ ที่รฤกในงานทำบุญอายุครบ ๖ รอบปี พ.ศ.๗๑”

ด้านหลัง พื้นเหรียญเรียบ มีขอบเนื้อล้นของเนื้อโลหะตรงขอบเหรียญ ตรงกลางเป็นรูปองค์พระภควัมบดี หรือ พระปิดตา และโดยรอบพระปิดตาเป็นอักขระขอม ซึ่งเป็นคาถามหาอุด อ่านได้ว่า อุด อัด อัด พัด อะ ละ นัง ล้อม ภควัม




หลวงพ่อช่วง อินทโชติ

ประวัติหลวงพ่อช่วงนั้น ในพระราชหัตถเลขาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อเสด็จประพาสมณฑลราชบุรี ในปีระกา ร.ศ.128 (พ.ศ.2452) ทรงกล่าวถึงดังความต่อไปนี้ “วัดอัมพวานี้คงจะได้คิดจะให้เป็นของคู่กันกับวัดสุวรรณดารารามจึงได้ทรงสร้างบางอย่างทุกๆ รัชกาลมา จะทิ้งให้สาบสูญเสียเห็นจะไม่ควร ข้อขัดข้องสำคัญนั้นคือ หาเจ้าอธิการไม่ได้ แต่ก่อนมาเป็นวัดพระราชาคณะอยู่เสมอ แต่ได้โทรมเข้าเลยโทรมไม่ฟื้น เพราะไม่มีใครยอมไปอยู่ การที่ไม่ยอมไปอยู่นั้นเห็นจะเป็นด้วยปราศจากลาภผล ไม่เหมือนวัดบ้านแหลมและวัดพวงมาลัย ซึ่งได้ผลประโยชน์ในทางขลังต่างๆ แต่ด้วยเหตุที่ไม่มีสมภารดีนึ้ จนราษฎรในคลองอัมพวาก็พากันเข้าไปทำบุญเสียวัดปากน้ำลึกเข้าไปข้างใน การที่จะแก้ไขไม่ให้ร้างไม่มีอย่างอื่น นอกจากหาสมภารที่ดีมาไว้”

วัดปากน้ำที่ทรงกล่าวถึงในพระราชหัตถเลขานี้ ตั้งอยู่ในท้องที่ ต.แควอ้อม อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม มีอดีตเจ้าอาวาสรูปหนึ่งที่ยังคงมีชื่อติดหูผู้คนทั่วไป คือ พระครูวิมลศีลาจาร (ช่วง อินทโชติ)

หลวงพ่อช่วง อินทโชติ เกิดเมื่อวันอาทิตย์ เดือน 10 ปีมะโรง พ.ศ.2399 ที่บ้านตำบลบางพรม อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม เป็นบุตรของนายรอด และนางแจ่ม อาชีพทำสวน

อายุ 9 ปี บิดานำไปฝากเป็นศิษย์เรียนหนังสือไทยและขอมกับหลวงพ่อกลัด วัดบางพรม ร่ำเรียนจนเขียนอ่านได้ดีแล้ว จึงออกมาช่วยบิดามารดาทำสวน

เข้าพิธีอุปสมบทที่พัทธสีมาวัดบางพรม โดยมีพระอธิการเพ็ง วัดบางแคใหญ่ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอธิการกลัด วัดบางพรม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอธิการขาว วัดปากน้ำ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับนามฉายานว่า อินทโชติ

จำพรรรษาที่วัดปากน้ำ ศึกษาเล่าเรียนทั้งมูลกัจจายน์ บุพสิกขาวรรณา พระธรรมบท มงคลทีปนี บาลีไวยากรณื ทั้งยังมีความอุตสาหะท่องบทสวดมนต์จนจบพระปาฏิโมกข์ ทั้งยังได้ชื่อว่าจารหนังสือขอมได้สวยงาม ทั้งเทศน์ทำนองไพเราะ มีความรู้ทางช่างเป็นอย่างดี

นอกจากนี้ ยังได้ศึกษาร่ำเรียนคาถาอาคมจากพระอธิการเพ็ง พระอุปัชฌาย์ ในด้านรุกขมูล อันเป็นที่นิยม ก็เคยเข้าร่วมในกลุ่มธุดงค์ของหลวงพ่อหรุ่น วัดช้างเผือก อ.อัมพวา อันเป็นพระอาจารยธุดงค์ชื่อดังในยุคนั้น ออกธุดงค์ท่องไพรไปปจนถึงนครวัด ประเทศกัมพูชา พระเจดีย์ชเวดากองของพม่า และธุดงค์ไปถึงหลวงพระบางของประเทศลาว

กลับจากธุดงค์ หลวงพ่อช่วง รับหน้าที่เป็นครูสอนพระปริยัติธรรม อีกทั้งยังได้สร้างโรงเรียนสำหรับเป็นที่ศึกษาของลูกหลานชาวบ้าน เมื่อครั้งที่ได้รับสมณศักดิ์เป็นที่ “พระครูวิมลศีลาจาร” โรงเรียนที่ตั้งขึ้นมีชื่อว่า “โรงเรียนวิมลอุปการ” ซึ่งโรงเรียนเดิมคือ โรงเรียนอมราบำรุงรักษ์ ก่อตั้งโดยพระอมรโมลีตั้งแต่ปี พ.ศ.2435 ในด้านโรงเรียนปริยัติธรรม จัดหาครูจากวัดระฆังโฆสิตารามไปสอน เนื่องจากสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ม.ร.ว.เจริญ อิศรางกูร ณ อยุธยา) เป็นสหธรรมิกกัน
 
ส่วนในการเรียนกรรมฐานวิปัสสนาธุระจะเป็นผู้สอนด้วยตนเอง วัดปากน้ำในตอนที่อุปสมบทใหม่ๆ มีพระอธิการขาวเป็นเจ้าอาวาส ครั้นเมื่อพระอธิการขาวมรณภาพ พระอาจารย์เทศ เป็นเจ้าอาวาสวัดสืบต่อ ตามด้วยพระอาจาย์เกตุ และจากนั้นพระครูวิมลศีลาจาร จึงได้เป็นเจ้าอาวาสสืบต่อมา

ครั้นมาถึงยุคของหลวงพ่อช่วง พัฒนาวัดปากน้ำให้เจริญก้าวหน้าทั้งในด้านถาวรวัตถุ และการเรียนการศึกษาของพระภิกษุสามเณร จนได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรที่ “พระครูวิมลศีลาจาร” เจ้าคณะอำเภออัมพวา พ.ศ.2458 และยังได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์

เข้าสู่วัยชรา ในฐานะที่เป็นเจ้าคณะอำเภออัมพวา จึงขอให้หลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม ดำรงตำแหน่งรองเจ้าคณะอำเภอ และเป็นอุปัชฌาย์ช่วยแบ่งเบาภาระ จนเมื่อมรณภาพลง ทางคณะสงฆ์จึงได้แต่งตั้งให้หลวงพ่อคง เป็นเจ้าคณะอำเภอสืบไป แต่ไม่ยอมรับ จึงต้องย้ายพระครูสุทธิสาร (ใจ) วัดเสด็จ เจ้าคณะอำเภอบางคนที มาเป็นเจ้าคณะอำเภออัมพวาแทน

มรณภาพลงด้วยโรคชราเมื่อปี พ.ศ.2478 สิริอายุ 79 ปี พรรษา 59 •


4
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01 กรกฎาคม 2567 18:59:38 โดย ใบบุญ » บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 13
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2632


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #188 เมื่อ: 18 สิงหาคม 2567 11:45:53 »



เหรียญหลวงพ่อเคลือบ

วัตถุมงคล-ปี พ.ศ.2515 ที่ระลึกหลวงพ่อเคลือบ เทพเจ้าลุ่มน้ำสะแกกรัง

ที่มา - คอลัมน์โฟกัสพระเครื่อง มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 29 กันยายน - 5 ตุลาคม 2566
เผยแพร่ - วันอาทิตย์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2566


“หลวงพ่อเคลือบ สาวรธัมโม” พระเกจิชื่อดังวัดหนองกระดี่ อ.ทัพทัน จ.อุทัยธานี เป็นที่ทราบกันดีว่า มีวาจาสิทธิ์ พูดอย่างไรเป็นอย่างนั้น ได้รับการยกย่องว่าเป็น “เทพเจ้าลุ่มน้ำสะแกกรัง”

สร้างวัตถุมงคลเอาไว้หลายชนิด ที่สร้างเองมีตะกรุดฝาบาตรและรูปถ่าย

ส่วนวัตถุมงคลที่ได้รับความนิยม ได้แก่ วัตถุมงคลชุดปี 2515 จัดสร้างโดย พระครูอุฬารธรรมโฆษิต (สง่า จิตตสังวโร) อดีตเจ้าคณะอำเภอทัพทัน และเจ้าอาวาสวัดทัพทันวัฒนาราม อ.ทัพทัน จ.อุทัยธานี เพื่อนำรายได้ไปใช้ในกิจกรรมสาธารณประโยชน์และสนับสนุนการศึกษาเล่าเรียนของเยาวชน

วัตถุมงคลดังกล่าวมี 8 ชนิด ประกอบด้วย รูปปั้นหลวงพ่อเคลือบหน้าตัก 5 นิ้ว, รูปหล่อเหมือนทองเหลือง, เหรียญล็อกเกตรูปถ่ายหลวงพ่อเคลือบ บรรจุตะกรุดและผ้ายันต์ด้านหลัง, เหรียญหลวงพ่อเคลือบครึ่งตัวทรงรี เนื้ออัลปาก้าและทองแดงรมดำ ด้านหลังมียันต์ประจำตัวของท่าน, ธงยันต์อักขระ, ธงยันต์นางกวัก, ผ้ายันต์อักขระและผ้ายันต์นางกวัก

ประกอบพิธีมงคลปลุกเสก เหรียญหลวงพ่อเคลือบ วัตถุมงคลดังกล่าว จัดพิธีบวงสรวงอัญเชิญดวงวิญญาณหลวงพ่อเคลือบ โดยพราหมณ์ประกอบพิธีที่วัดหนองกระดี่ อ.ทัพทัน เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2515 เวลา 07.00-09.00 น. ตรงกับวันแรม 13 ค่ำ เดือน 5

ครั้นเสร็จพิธีแล้ว จัดตั้งขบวนแห่รูปปั้นจากวัดหนองกระดี่ ไปยังวัดทัพทันวัฒนาราม โดยรถยนต์ จักรยานยนต์ และช้าง 10 เชือก จัดงานสมโภช 3 วัน 3 คืน เวลา 15.19 น. วันที่ 11 เมษายน 2515 ประกอบพิธีนั่งปรก โดยพระคณาจารย์ผู้ทรงธรรมในด้านวิปัสสนาธุระ และพระคณาจารย์ผู้เชี่ยวชาญในด้านวิทยาคมขลัง ในอุโบสถเก่าวัดทัพทันวัฒนาราม

พระคณาจารย์ที่กระทำพิธี ประกอบด้วย หลวงพ่อสว่าง วัดคฤหบดีสงฆ์, เจ้าคุณพระอุดมธรรมภาณ (หลวงพ่อสม) วัดสังกัสรัตนคีรี, หลวงพ่อสมควร วัดถือน้ำ, หลวงพ่อประสิทธิ์ วัดวังม้า, หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง, หลวงพ่อเสน่ห์ วัดสว่างอารมณ์, หลวงพ่อโฉม วัดเขาปฐวี, หลวงพ่อทวน วัดท่ามะขามป้อม และหลวงพ่อสำเริง วัดทุ่งนาไทย

หลังเสร็จพิธีพุทธาภิเษก ฝนได้ตกลงมาอย่างหนักตลอดคืน เป็นที่อัศจรรย์แก่ผู้ร่วมงานเป็นอย่างยิ่ง

สำหรับเหรียญปี 2515 จัดสร้างเป็นเนื้ออัลปาก้าและทองแดง มีพิธีการดีเยี่ยม

ลักษณะกลมรูปไข่ มีหูห่วง ด้านหน้า เป็นรูปเหมือนครึ่งองค์ หันหน้าตรง ใต้รูปเหมือน เขียนคำว่า “หลวงพ่อเคลือบ”

ด้านหลัง เป็นยันต์สี่ ที่มุมของยันต์มีอักขระขอม กลางยันต์กำกับด้วยนะเศรษฐี ขอบล่างมีตัวเลขไทย “๙” และตัวอักษรไทย “วัดทัพทัน”

เปิดให้บูชาที่วัดในปี 2515 เพียงเหรียญละ 10 บาท ปรากฏว่าหมดเกลี้ยงภายใน 3 วัน

ถึงจะเป็นเหรียญตาย คือ สร้างหลังจากท่านละสังขารแล้ว แต่ปัจจุบันกลายเป็นเหรียญยอดนิยมที่หายาก  


 

หลวงพ่อเคลือบ สังวรธัมโม

ตามประวัติ หลวงพ่อเคลือบ เป็นคนเชื้อสายจีน สัญชาติไทย เกิดเมื่อปีพุทธศักราช 2432 ที่บ้านคลองชะโด ต.ทุ่งใหญ่ อ.เมือง จ.อุทัยธานี

เข้าพิธีอุปสมบทเมื่อปีพุทธศักราช 2453 ที่วัดหนองเต่า ค.โนนเหล็ก อ.เมือง จ.อุทัยธานี โดยมีพระครูอุทัยธรรมวินิฐ (หลวงพ่อสิน) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระกรรมวาจาจารย์ และพระอนุสาวนาจารย์ ไม่ทราบนาม ได้รับฉายาว่า สาวรธัมโม

อยู่จำพรรษาเรียนวิชาอาคมกับหลวงพ่อสิน วัดหนองเต่า เป็นเวลา 3 พรรษา จนสำเร็จวิชาวาจาสิทธิ์และวิชาคงกระพันชาตรี สมัยนั้นพระภิกษุสามเณรวัดหนองเต่ามีจำนวนมาก ไม่เหมาะแก่การบำเพ็ญเพียรทางจิต

หลวงพ่อสินพูดอยู่เสมอว่า “ถ้าจะให้วิชาขลังนั้น ต้องไปหาที่สงบฝึกจิต”

หลวงพ่อเคลือบ สนทนาธรรมกับหลวงพ่อสินแล้วก็ขอลาไปฝึกจิตเรียนวิชาเพิ่มเติม

หลวงพ่อสินบอกว่า “มีพระเก่งวิชาเพ่งกสินอยู่แถบลพบุรี” ก็ลาไปโดยมีพระร่วมเดินทางไป 3 รูป ท่านได้ไปพบอาจารย์ ซึ่งจากการสอบถามคนเก่าหลายคนบอกว่า เป็น “หลวงพ่อกบ วัดเขาสาลิกา” ซึ่งเป็นผู้มีวิชาอาคมแก่กล้ามากในสมัยนั้น

เมื่อหลวงพ่อเคลือบเดินทางไปถึงแล้ว ก็เข้าไปกราบพร้อมฝากตัวเป็นศิษย์เพื่อเรียนคาถา โดยหลวงพ่อกบพูดว่า “ถ้าไม่สึกก็จะสอนวิชาให้ ถ้าสึกก็จะไม่สอน” หลวงพ่อเคลือบก็ปฏิญาณแน่วแน่ว่าชาตินี้จะไม่ขอสึก ส่วนพระที่ไปด้วยไม่รับปาก จึงไม่ได้เรียนวิชาด้วย

เรียนกัมมัฏฐานทำสมาธิ จนจิตเป็นหนึ่งเดียวและเรียนวิชากสินไฟและเรียนอักษรขอมที่ใช้เขียนยันต์ เพิ่มเติมจากหลวงพ่อกบอีกเป็นเวลาถึง 6 ปีเต็ม กราบลาอาจารย์ออกธุดงค์ไปทางเหนืออีกหลายปี ไม่ทราบว่าไปที่ใดบ้าง แล้วจึงกลับมาอยู่ที่วัดหนองเต่า แต่อยู่ได้เพียงไม่กี่วัน ญาติโยมวัดหนองหญ้านางก็มานิมนต์ให้ไปจำพรรษา

เมื่อหลวงพ่อเคลือบมาอยู่ ก็สร้างอุโบสถขึ้นมาหนึ่งหลัง แต่ยังไม่ทันเสร็จเรียบร้อยดี ก็เกิดเรื่องกับบรรดามัคนายกวัดขึ้นเสียก่อน ท่านจึงพูดขึ้นว่า “ถ้าอาตมาไม่อยู่ ใครก็มาอยู่ไม่ได้” ต่อมาก็หาพระมาอยู่ได้ยาก แล้วหลวงพ่อเคลือบก็กลับมาที่วัดหนองเต่า

กระทั่งวัดหนองแก ขาดพระอยู่จำพรรษา หลวงพ่อเคลือบจึงมาอยู่ที่นี่หนึ่งพรรษาแล้วย้ายมาอยู่ที่วัดทัพทันวัฒนาราม อีกสามพรรษา

ต่อมา วัดหนองกระดี่ไม่มีเจ้าอาวาส ญาติโยมจึงนิมนต์มาปกครองวัด และอยู่ที่วัดหนองกระดี่ จนมรณภาพในปี พ.ศ.2497

ได้ชื่อว่าเป็นพระที่มีวาจาศักดิ์สิทธิ์ ชาวบ้านจะบนบานศาลกล่าวด้วยธูป 3 ดอก หรือบางครั้งก็จะบอกกล่าวธรรมดาว่าต้องการบนเรื่องอะไรและจะแก้บนด้วยอะไร ส่วนใหญ่การแก้บนมักจะเป็นเหล้าขาว มะขาม หรือพวงมาลัย

การบนบานศาลกล่าวแทบจะเป็นส่วนหนึ่งของการดำรงชีวิตของชาวจังหวัดอุทัยธานีและจังหวัดใกล้เคียง เมื่อมีของหาย ถ้าบนบาน ก็จะได้กลับคืนมาเกือบทุกครั้ง หรือบางครั้งจะมีการบนบานไม่ให้ฝนตก ฝนก็จะหยุดตกเกือบทุกครั้งไป หรือบางครั้งจากหนักเป็นเบา รวมทั้งถึงการช่วยคุ้มครองในการเดินทางให้ปลอดภัย

ซึ่งเป็นความเชื่อของแต่ละคน •



เหรียญพระพุทธ 6 สมัย วัดทัพทันฯ

เหรียญพระพุทธ 6 สมัย หลวงพ่อสง่า อุทัยธานี ยอดพระเกจิวัดทัพทันฯ

ที่มา - คอลัมน์โฟกัสพระเครื่อง  มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 3 - 9 พฤศจิกายน 2566
เผยแพร่ - วันพฤหัสที่ 5 ตุลาคม พ.ศ.2566


“พระครูอุฬารธรรมโฆษิต” หรือ “หลวงพ่อสง่า จิตตสังวโร” อดีตเจ้าคณะอำเภอทัพทัน และเจ้าอาวาสวัดทัพทันวัฒนาราม ต.ทัพทัน อ.ทัพทัน จ.อุทัยธานี

พระสงฆ์นักพัฒนาผู้รอบรู้ทางด้านพระปริยติธรรม และสนใจด้านวิทยาคม ศึกษาพุทธาคมกับหลวงพ่อเคลือบ สังวรธัมโม พระเกจิชื่อดังแห่งอุทัยธานีและศึกษาเวทมนตร์ต่างๆ จากตำราของหลวงพ่อเคลือบมาโดยตลอด

เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2515 จัดสร้างวัตถุมงคลรูปหล่อเหมือนลอยองค์หลวงพ่อเคลือบ, เหรียญรูปไข่หลวงพ่อเคลือบ, เหรียญล็อกเกตรูปถ่ายหลวงพ่อเคลือบ และเหรียญ 6 สมัย เพื่อนำรายได้ไปใช้ในกิจกรรมสาธารณประโยชน์ และสนับสนุนการศึกษา

เหรียญ 6 สมัย มีความหมายถึง สมัยเชียงแสน, สุโขทัย, ล้านนา, อู่ทอง, อยุธยา และรัตนโกสินทร์

จำลองพระพุทธรูปทั้ง 6 สมัย ไว้ด้านหน้าเหรียญ จัดสร้างเป็นเนื้ออัลปาก้า 1,000 เหรียญ และเนื้อทองแดงรมดำ 1,000 เหรียญ

ลักษณะเหรียญเป็นเหรียญกลม มีหูห่วง ด้านหน้าเหรียญ มีขอบล้อมรอบ มีพระพุทธรูปแต่ละสมัย นั่ง 5 องค์ ยืน 1 องค์ทรงเครื่อง

ด้านหลังมีขอบล้อมรอบ ตรงกลางเหรียญเป็นยันต์นะ ประจำตัวหลวงพ่อสง่า มีอักขระขอมกำกับ พุท โธ ยะ สะ รอบยันต์ และตรงกลางยันต์นะ มีอักขระขอม คะ สะ ด้านบนเหรียญมีอักษรไทย เขียนว่า “๖ สมัย” ด้านล่างยันต์มีอักษรไทยเขียนว่า “วัดทับทันอุทัยธานี ๑๑ เม.ย. ๑๕”

วันที่ 11 เมษายน 2515 ประกอบพิธีพุทธาภิเษก และนิมนต์พระเกจิคณาจารย์ผู้ทรงธรรมในด้านวิปัสสนาธุระ และพระคณาจารย์ผู้เชี่ยวชาญในด้านวิทยาคมขลังในพระอุโบสถเก่าวัดทัพทันวัฒนารามนั่งปรก

พระคณาจารย์ที่เข้าร่วมพิธี อาทิ พระวิบูลวชิรธรรม (หลวงพ่อสว่าง) วัดคฤหบดีสงฆ์, พระอุดมธรรมภาณ (หลวงพ่อสม) วัดสังกัสรัตนคีรี, หลวงพ่อสมควร วัดถือน้ำ, หลวงพ่อประสิทธิ์ วัดวังม้า, หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง, หลวงพ่อเสน่ห์ วัดสว่างอารมณ์, หลวงพ่อโฉม วัดเขาปฐวี เป็นต้น

รุ่นนี้กล่าวได้ว่ามีพุทธคุณรอบด้าน ทั้งเมตตามหานิยม มหาโชคมหาลาภ แคล้วคลาดปลอดภัยจากภยันตรายสูง ผู้ที่มีเหรียญ 6 สมัย ไว้ในครอบครอง ต่างมีประสบการณ์หลากหลาย เช่นเดียวกับเหรียญและรูปหล่อเหมือนหลวงพ่อเคลือบ เนื่องจากปลุกเสกพิธีเดียวกัน  




หลวงพ่อสง่า จิตตสังวโร

มีนามเดิมว่า สง่า ประวาลวรรณ เกิดเมื่อวันอังคารที่ 7 กรกฎาคม 2468 ที่บ้านเลขที่ 47 ต.หนองสระ อ.ทัพทัน จ.อุทัยธานี ครอบครัวประกอบอาชีพค้าขาย

เข้าพิธีอุปสมบทเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม 2488 ที่พัทธสีมา วัดหนองสระ มีพระอุดมธรรมภาณ เจ้าอาวาสวัดทัพทันวัฒนาราม และเจ้าคณะอำเภอทัพทัน เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูอุเทศกัลยานุกุล เจ้าอาวาสวัดวังสาลิกา เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระใบฎีกากลม เจ้าอาวาสวัดหนองสระ เป็นพระอนุสาวนาจารย์

ได้รับฉายาว่า “จิตตสังวโร” แปลว่า ผู้มีจิตอันสำรวม

มุ่งมั่นศึกษาพระปริยัติธรรม สอบได้นักธรรมชั้นเอกและเปรียญธรรม 4 ประโยค ณ สำนักเรียนคณะจังหวัดอุทัยธานี

พ.ศ.2495 ได้มาจำพรรษาที่วัดทัพทันวัฒนาราม ร่วมกับท่านเจ้าคุณพระอุดมธรรมภาณ ร่วมฒนาวัด ทำคันดินป้องกันน้ำในฤดูฝนไม่ให้ไหลออกไปนอกบริเวณวัด เพื่อให้ต้นไม้ดูดซับน้ำได้มากที่สุด

พ.ศ.2496 ริเริ่มสร้างห้องสุขาแบบใช้หัวส้วมราดน้ำ เป็นกรรมการสงฆ์อำเภอทัพทัน เป็นกรรมการตรวจธรรมสนามหลวงประโยคนักธรรมชั้นตรี เป็นกรรมการคุมกิจการโรงเรียนราษฎร์ (สามัคคีประสาสน์วิทย์) เป็นกรรมการคุมสอบบาลีสนามหลวง

พ.ศ.2502 ได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโท ในราชทินนามที่พระครูอุฬารธรรมโฆษิต

พ.ศ.2508 ท่านเจ้าคุณพระอุดมธรรมภาณ ได้รับอาราธนาให้ไปจำพรรษาที่วัดสังกัสรัตนคีรี อ.เมือง จ.อุทัยธานี เพื่อเป็นผู้ดำเนินการควบคุมการก่อสร้างมณฑปบนยอดเขาสะแกกรังซึ่งถูกเพลิงไหม้

จึงได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดทัพทันวัฒนาราม และเป็นเจ้าคณะอำเภอทัพทัน

พ.ศ.2517 ได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูเจ้าคณะอำเภอชั้นเอก ในราชทินนามเดิม พ.ศ.2520 เป็นประธานหน่วยอบรมประชาชนตำบลทัพทันและอำเภอทัพทัน

พ.ศ.2532 เป็นพระปริยัตินิเทศก์

พ.ศ.2533 เป็นพระธรรมทูตประจำอำเภอทัพทัน

พระครูอุฬารธรรมโฆษิต ยังดำเนินการบูรณปฏิสังขรณ์กุฏิเก่าที่ชำรุด คิดออกแบบรางน้ำคอนกรีต สร้างฌาปนสถานแบบเตาเผาโดยไม่ยกพื้นสูง เป็นต้น

นับเป็นพระที่มีวัตรปฏิบัติที่งดงามยิ่ง เป็นพระสงฆ์ที่ทำจิตวิญญาณ เพื่อเป็นต้นแบบให้แก่พุทธศาสนิกชนนำไปเป็นแบบอย่างได้เป็นอย่างดี

ล่วงเข้าสู่วัยชรา เริ่มมีอาการอาพาธด้วยโรคถุงลมโป่งพอง เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลอุทัยธานี ตั้งแต่วันที่ 13 มกราคม 2550 เป็นต้นมา โดยคณะแพทย์ได้รักษาเยียวยาอาการอย่างสุดความสามารถมาตลอดเวลา 10 เดือนเต็ม แต่ด้วยสังขารที่ร่วงโรย ทำให้ไม่สามารถยื้ออาการเอาไว้ได้

สุดท้ายได้มรณภาพลงอย่างสงบด้วยโรคชรา ที่ห้องไอซียู โรงพยาบาลอุทัยธานี เมื่อเวลา 08.45 น. วันที่ 10 พฤศจิกายน 2550

สิริอายุ 82 ปี พรรษา 62

ยังความเศร้าสลดแก่ชาวอุทัยธานีเป็นยิ่งนัก •




เหรียญหลวงพ่อขัน วัดสระตะโก พ.ศ.2505

เหรียญปั๊มรูปเหมือน รุ่นแรก-หลวงพ่อขัน วัดสระตะโก จ.ราชบุรี

ที่มา - คอลัมน์โฟกัสพระเครื่อง มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 6 - 12 ตุลาคม 2566
เผยแพร่ - วันเสาร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ.2566


“หลวงพ่อขัน พุทธญาโณ” หรือพระอธิการขัน อดีตเจ้าอาวาสวัดสระตะโก ต.หนองปลาหมอ อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี และอดีตเจ้าอาวาสวัดบ้านสิงห์ ต.บ้านสิงห์ อ.โพธาราม จ.ราชบุรี พระเกจิชื่อดังราชบุรี

สร้างพระเครื่องวัตถุมงคลและเครื่องรางไว้หลายชนิด แต่ที่มีชื่อเสียงมากคือ พระพรหมสามหน้า

แต่ที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กันคือ เหรียญปั๊มรูปเหมือน

รุ่นแรก ออกที่วัดสระตะโก สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2505 หลังจากมรณภาพลงแล้ว เพื่อแจกจ่ายให้กับผู้ที่บริจาคทรัพย์สร้างเสนาสนะ

ลักษณะเป็นเหรียญปั๊มรูปเสมาแบบมีหูในตัว จัดสร้างโดยหลวงพ่อหัน เจ้าอาวาสรูปถัดมา เนื้อทองแดงรมดำและเนื้ออัลปาก้าชุปนิกเกิล จำนวนการสร้างไม่ได้บันทึกไว้

ด้านหน้า เป็นรูปเหมือนนั่งขัดสมาธิเต็มองค์ ห่มจีวรคลุมไหล่ มือซ้ายถือตาลปัตร ล้อมรอบด้วยอักขระยันต์อ่านได้ว่า นะ มะ พะ ทะ ใต้รูปเหมือน เขียนคำว่า “หลวงพ่อขัน”

ด้านหลัง เป็นรูปเหมือนหลวงพ่อหันครึ่งองค์ ห่มจีวรลดไหล่ พาดผ้าสังฆาฏิ ด้านบนรูปหลวงพ่อมีอักขระยันต์อ่านได้ว่า มะ อะ อุ มีอักขระภาษาไทยเขียนคำว่า “พระครูหัน วัดสระตะโก อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี”

กล่าวได้ว่า พระเครื่องหลวงพ่อขันล้วนมีประสบการณ์ด้านคลาดแคล้วปลอดภัย เป็นที่นิยม ถึงแม้จะเป็นเหรียญตาย ที่สร้างหลังมรณภาพไปแล้วก็ตาม




หลวงพ่อขัน พุทธญาโณ  

มีนามเดิมว่า ขัน พื้นเพเป็นคนราชบุรี เกิดเมื่อปี พ.ศ.2409 ที่บ้านสิงห์ ต.บ้านสิงห์ อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

บิดาชื่อนายจัน (หลวงพ่อจัน จันทโชติ ภายหลังอุปสมบทและดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบ้านสิงห์) มารดาชื่อนางนา

มีพี่น้องร่วมบิดา-มารดาเดียวกัน ทั้งสิ้น 10 คน เป็นบุตรคนที่ 4

พ.ศ.2430 มีอายุ 21 ปีบริบูรณ์ จึงเข้าอุปสมบทที่พัทธสีมาวัดบ้านสิงห์ ต.บ้านสิงห์ อ.โพธาราม จ.ราชบุรี มีพระอธิการจัน วัดบ้านสิงห์ เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า พุทธญาโณ

จำพรรษาร่ำเรียนวิชากับพระอธิการจัน ผู้เป็นบิดา ซึ่งในแต่ละปีนั้น จะเดินธุดงค์ไปยังสถานที่ต่างๆ เพื่อเล่าเรียนวิชากับพระเกจิอาจารย์หลายรูป และบำเพ็ญภาวนาวิปัสสนากัมมัฏฐาน

จนราวปี พ.ศ.2450 เดินทางไปที่บ้านสระตะโก อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี เห็นว่าเป็นสถานที่ร่มรื่นและเงียบสงบเหมาะแก่การปฏิบัติธรรม จึงได้ปักกลดพำนักอยู่ ชาวบ้านเกิดความศรัทธาในจริยวัตรจึงนิมนต์ให้อยู่จำพรรษา และสร้างวัดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2453 โดยชื่อวัดตั้งตามชื่อหมู่บ้านว่า วัดสระตะโก

มีพระครูหัน อดีตเจ้าอาวาสวัดสระตะโก ซึ่งขณะนั้นบวชได้ 2-3 พรรษา มาช่วยสร้างวัดและช่วยสอนหนังสือชาวบ้านอีกด้วย จนวัดได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2470

จนเมื่อสร้างวัดเสร็จชาวบ้านจึงนิมนต์ขึ้นเป็นเจ้าอาวาสวัดสระตะโก รูปแรกของวัด หลังจากสร้างวัดเสร็จ ก็พัฒนาเรื่อยมาจนเจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับแล้วจึงได้เดินทางธุดงค์อีกครั้ง

ต่อมา หลวงพ่อจัน ถึงกาลมรณภาพลง ไม่มีผู้ใดดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสต่อ ชาวบ้านสิงห์จึงตามหาหลวงพ่อขัน ซึ่งขณะนั้นธุดงค์ไปในแถบเมืองย่างกุ้งและเขตชายแดนไทย-พม่าอยู่เสมอ จนได้พบในที่สุด จากนั้นจึงพร้อมใจกันอาราธนาให้มาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสสืบต่อมา

ครั้นเมื่อมาเป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านสิงห์ พัฒนาวัดให้เจริญรุ่งเรืองขึ้น ทั้งการสร้างศาลาการเปรียญสถาปัตยกรรมไทยโบราณหลังใหญ่ ที่มีความสวยงามวิจิตรพิสดาร ซึ่งแสดงถึงความวิริยะอุตสาหะ ตลอดจนชาวบ้านสิงห์ในสมัยนั้น โดยได้ไปนำไม้จากป่าใหญ่ในเขตจังหวัดราชบุรี นำเทียมโคลากเกวียนมาสร้างจนสำเร็จดังที่เห็นจนถึงปัจจุบัน

นอกจากนี้ ยังซ่อมแซมวิหารหลังเก่า สร้างเจดีย์หมู่ไม้สิบสอง เพื่อบรรจุอัฐิบรรพบุรุษชาวบ้านสิงห์รุ่นก่อนหน้านี้คงจะได้เห็นความงามของศิลปะในสมัยนั้น อีกทั้งท่านยังสร้างกุฏิสามหมู่ สร้างกุฏิสิบ สร้างถนน (ห้องสุขาพระ) แม้บัดนี้ได้รื้อไปแล้ว ยังคงเหลือแต่ความทรงจำแล้วก็ตาม

มิได้สร้างและพัฒนาแต่เพียงแค่วัดสระตะโกกับวัดบ้านสิงห์เท่านั้น ยังได้สร้างเสนาสนะ-วัดวาอาราม ไว้ตามสถานที่ต่างๆ อีกหลายแห่ง อาทิ วัดขุนไทยธาราราม อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี, วัดยางหัก อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี และสร้างวัดในเมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า อีก 1-2 วัด

พ.ศ.2481 เมื่อออกพรรษาแล้ว จะต้องเดินธุดงค์ไปนมัสการพระธาตุในเมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า ดังเช่นเคยได้ปฏิบัติมาเป็นประจำทุกปี ครั้นเมื่อเดินทางมาถึงเขต อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี บริเวณพื้นที่ท่าขนุน ก็เกิดอาการอาพาธด้วยโรคไข้ป่า

อาการรุนแรง ถึงแก่มรณภาพลงในปี พ.ศ.2481 สิริอายุ 72 ปี พรรษา 51 •


4
บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 13
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2632


ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 128.0.0.0 Chrome 128.0.0.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #189 เมื่อ: 23 สิงหาคม 2567 14:13:35 »


พระสมเด็จจิตรลดา

มงคล ‘ร.9’ ทรงสร้าง ‘พระสมเด็จจิตรลดา’ คุณค่าไม่ต่างจากเพชร

ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 13 - 19 ตุลาคม 2566
คอลัมน์ - โฟกัสพระเครื่อง
เผยแพร่ - วันอาทิตย์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ.2566


“พระสมเด็จจิตรลดา” หรือ “พระกำลังแผ่นดิน” เป็นพระเครื่องที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงสร้างด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง พระราชทานแก่ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ และพลเรือน ช่วงระหว่าง พ.ศ.2508-2513

“พระดีที่มีคุณค่าไม่ต่างจากเพชร” ไม่ว่าผู้ใดล้วนอยากได้มีไว้ในครอบครองที่เป็นขวัญกำลังใจ มหามิ่งมงคลของพสกนิกรไทยทั้งประเทศ

จัดสร้าง “พระสมเด็จจิตรลดา” มีทั้งสิ้นประมาณ 2,500 องค์ ทุกองค์มีเอกสารส่วนพระองค์ (ใบกำกับพระ) ซึ่งแสดงชื่อ นามสกุล วันที่รับพระราชทาน หมายเลขกำกับทุกองค์

โดยทรงมีพระราชดำรัสแก่ผู้รับพระราชทานว่า “ให้ปิดทองที่หลังองค์พระปฏิมาแล้วเอาไว้บูชาตลอดไป ให้ทำความดีโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ”

ขณะปิดทองให้ตั้งจิตเป็นสมาธิอธิษฐานขอให้ความดีงามที่มีอยู่ในตัว จงดำรงอยู่ต่อไป และขอให้ยังความเป็นสิริมงคล จงบังเกิดแก่ตัวยิ่งขึ้น อีกทั้งให้ประสบแต่ความสุขความเจริญในทางที่ดีงาม

การปิดทองด้านหลังองค์พระ เป็นปริศนาธรรมบางอย่างที่ทรงมีพระราชดำริในการปลูกฝังนิสัยให้ผู้รับพระราชทาน นำไปคิดเป็นทำนองว่า การที่บุคคลใดจะทำกุศลหรือประโยชน์สาธารณะใดๆ พึงมุ่งหวังให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อื่นโดยแท้จริง มิได้หวังลาภยศ ชื่อเสียง ตามคติโบราณที่ว่า “ปิดทองหลังพระ”

สำหรับความเป็นมาของการสร้าง พระสมเด็จจิตรลดา ในช่วงเวลาก่อนที่จะทรงมีพระราชดำริให้สร้าง “พระพุทธนวราชบพิตร” ในราวปีพุทธศักราช 2508 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้ นายไพฑูรย์ เมืองสมบูรณ์ ข้าราชการกองหัตถศิลป กรมศิลปากร เข้ามาเป็นผู้แกะแม่พิมพ์พระพุทธรูปพิมพ์นี้ในพระราชฐาน ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน

พระองค์ทรงตรวจพระพุทธศิลป์ของพระพุทธรูปพิมพ์องค์นี้ จนเป็นที่พอพระราชหฤทัย

พระพุทธรูปพิมพ์ที่แกะถวายนั้น เป็นพระพุทธรูปพิมพ์นั่งปางสมาธิแบบขัดราบ พระบาทขวาทับพระบาทซ้าย ประทับเหนือดอกบัวบานบน 5 กลีบ ล่าง 4 กลีบ รวมเป็น 9 กลีบ รูปทรงสามเหลี่ยมหน้าจั่ว ขนาดกว้าง 2 เซนติเมตร สูง 3 เซนติเมตร และองค์เล็กขนาดกว้าง 1.2 เซนติเมตร สูง 1.9 เซนติเมตร

ความพิเศษอยู่ที่ทรงสร้างขึ้นด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง โดยทรงใช้เวลาหลังจากทรงพระอักษร และทรงงานอันเป็นพระราชภารกิจในตอนดึก มวลสารประกอบด้วยผงมหามงคลจาก “สิ่งมงคลในส่วนพระองค์” และ “ผงมหามงคลร้อยแปด” อาทิ ดอกไม้แห้งจากมาลัยที่พสกนิกรทูลเกล้าฯ ถวาย ในการเสด็จพระราชดำเนินเปลี่ยนเครื่องทรงพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือ พระแก้วมรกต, เส้นพระเจ้า (เส้นพระเกศา), สีจากผ้าใบที่ทรงเขียนภาพฝีพระหัตถ์, ชันและสีซึ่งทรงขูดจากเรือใบพระที่นั่ง รวมกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศไทย อาทิ ดอกไม้แห้ง ผงธูป เทียนบูชาจากพระอารามหลวงที่สําคัญ, ดินจากสังเวชนียสถานทั้ง 4 แห่งในประเทศอินเดีย และประเทศศรีลังกา ซึ่งสมณทูตได้ถวายเก็บไว้ในเจดีย์ที่วัดเสด็จ จังหวัดปทุมธานี, ดินและตะไคร่น้ำแห้งจากใบเสมาจากวัดทุกจังหวัดในประเทศไทย, น้ำจากบ่อน้ำอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเคยนํามาใช้ เป็นน้ำสรงมุรธาภิเษกในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกและน้ำอภิเษก เป็นต้น

ส่วนความแตกต่างของพุทธลักษณะขององค์พระสมเด็จจิตรลดาพิมพ์ใหญ่ในแต่ละปี มีความแตกต่างกันออกไป ซึ่งสามารถพอจะแยกจุดเด่นๆ ขององค์พระสมเด็จจิตรลดาพิมพ์ใหญ่ ตั้งแต่ทรงสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2508 ถึงปี พ.ศ.2513

สังเกตดูตามลักษณะพิมพ์ทรง ความคมลึกชัดขององค์พระในแต่ละปีไม่เท่ากัน ซึ่งเข้าใจว่าเกิดจากการที่ทรงถอดจากแม่พิมพ์หินเป็นแม่พิมพ์ยาง และตกแต่งแม่พิมพ์ ดูจากเนื้อสีวัสดุที่เป็นส่วนผสม ทำให้มวลสารวัตถุมงคต่างๆ แข็งตัวรวมกันเป็นองค์พระ ซึ่งพระสมเด็จจิตรลดาพิมพ์ใหญ่จะมีสีสันขององค์พระในแต่ละปีค่อนข้างจะดูแตกต่างกัน

ลักษณะด้านหลัง ด้านข้างสันขอบขององค์พระ และความหนาความบางขององค์พระ ซึ่งในแต่ละปีจะมีความแตกต่างกัน สังเกตได้ชัดเจนพอสมควร และลักษณะการเก็บงานความเรียบร้อยหลังจากทรงเทพิมพ์เป็นองค์พระแล้ว

สำหรับพุทธลักษณะขององค์พระสมเด็จจิตรลดาพิมพ์เล็ก ตามประวัติที่ทรงสร้างประมาณว่ามีไม่มากนัก และทรงมีการพระราชทานให้เพียง 2 ปีเท่านั้น คือ ปี พ.ศ.2508 และปี พ.ศ.2509 ดูเหมือนจะหาความแตกต่างไม่ได้ สำหรับพระสมเด็จจิตรลดาพิมพ์เล็กในแต่ละปี

ประการสำคัญ ผู้ได้รับพระราชทานสมเด็จพระจิตรลดาทุกองค์ จะได้รับพระราชทานจากพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และมีใบประกาศนียบัตร (ใบกำกับองค์พระ) ทุกคน

ปัจจุบันความนิยมใน “พระสมเด็จจิตรลดา” มีมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่แตกต่างจาก “พระเครื่องชุดเบญจภาคี”





วัตถุมงคล ‘ในหลวง ร.๙’ พระพุทธรูป-กริ่ง ภ.ป.ร. วัดบวรนิเวศวิหาร 2508

ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 20 - 26 ตุลาคม 2566
คอลัมน์ - โฟกัสพระเครื่อง
เผยแพร่ - วันอาทิตย์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ.2566


หนังสือ “จาตุรงคมงคล” วัดบวรนิเวศวิหาร โดยเสด็จพระราชกุศล พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในมหามงคลสมัยพระชนมายุเสมอด้วยสมเด็จพระราชบิดา เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ 29 สิงหาคม 2508 ตั้งแต่หน้า 203-204 และหน้า 206-207 มีใจความว่า…

“วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม 2508 เวลา 16.20 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชนีนาถ เสด็จฯ เข้าสู่พระอุโบสถ ทรงประเคนผ้าไตรแด่สมเด็จพระราชาคณะ พร้อมพระสงฆ์ที่มาในพิธีพุทธาภิเษกทั้งหมดแล้ว เฉพาะสมเด็จพระราชาคณะ และพระราชาคณะ 10 รูป ที่เจริญพระพุทธมนต์ออกไปครองผ้าแล้วกลับมานั่งยังอาสนะ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย สมเด็จพระราชาคณะ ประธานคณะสงฆ์ถวายศีลจบ พระราชครูวามเทพมุนี ถวายน้ำเทพมนต์แล้วพระสงฆ์ 10 รูป เจริญพระพุทธมนต์และลงคาถาในแผ่นโลหะที่จะผสมหล่อพระพุทธรูปจบแล้วได้เวลาพระฤกษ์

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงจุดเทียนทองทรงตั้งสติสัตยาธิษฐานแล้วถวายเทียนทองนั้นแด่สมเด็จพระราชาคณะ ผู้เป็นประธานสงฆ์จุดเทียนชัย พราหมณ์เป่าสังข์ ชาวพนักงานประโคมสังข์ แตรบัณเฑาะว์และดุริยางค์ พระสงฆ์เจริญคาถา…”

“วันเสาร์ที่ 28 สิงหาคม 2508 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มิได้เสด็จฯ พระภาวนาจารย์และพระเกจิอาจารย์หมุนเวียนกันนั่งปลุกเสกโลหะที่จะใช้หล่อพระตลอดทั้งคืนเช่นเดียวกันกับวันแรก”

“วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม 2508 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ ไปยังปะรำพิธีมณฑล หน้าตึกมนุษนาควิทยาทาน ในบริเวณโรงเรียนวัดบวรนิเวศวิหาร ทรงจุดเทียนชัยสักการบูชาพระรัตนตรัยเสร็จแล้ว เสด็จฯ ไปยังเบ้าหล่อพระทรงหย่อนทองสำหรับหล่อ ‘พระพุทธรูป ภ.ป.ร.’ จนครบ 32 เตา ขณะนั้น พระสงฆ์ในวิหารและพระคณาจารย์ที่นั่งอยู่รอบพิธีมณฑลทั้ง 8 ทิศ เจริญชัยมงคลคาถา ชาวพนักงานประโคมฆ้องชัย สังข์แตรดุริยางค์ พระราชครูวามเทพมุนีรดน้ำสังข์เบ้าที่หล่อพระทุกเบ้าแล้ว จากนั้นเสด็จฯ ไปประกอบพิธียังพระเจดีย์หลังพระอุโบสถพระพุทธชินสีห์”




พระพุทธรูป ภปร

ที่กล่าวมาแล้ว เป็นความเป็นมาของการสร้าง “พระพุทธรูป ภ.ป.ร.ปี 2508” และ “พระกริ่ง ภ.ป.ร.” วัดบวรนิเวศวิหาร ปี พ.ศ.2508 วัตถุมงคลอีกรุ่นที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง

เนื่องจากการจัดสร้างครั้งนี้ เป็นพระราชดำริของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี โดยหลังจากที่พระองค์ทรงนำพระพุทธรูป ภ.ป.ร. วัดเทวสังฆาราม ที่จัดสร้างเมื่อปี พ.ศ.2506 ไปพระราชทานแก่หน่วยทหาร-ตำรวจและหน่วยงานราชการอื่นๆ อีกหลายแห่งทำให้ประชาชนทั่วไป ต่างมีความต้องการได้ไว้บูชาเป็นจำนวนมาก พระองค์ทรงมีพระราชดำริว่าน่าจะมีการสร้างขึ้นมาอีก ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เพื่อสนองความต้องการของผู้ศรัทธา

ดังนั้น มีการตั้งคณะกรรมการจัดสร้างพระพุทธรูป ภ.ป.ร. ขึ้นอีกครั้งอย่างเป็นทางการ โดยจัดเป็นงานใหญ่ระดับชาติในเดือนสิงหาคม 2508 โดยพระพุทธรูปที่จัดสร้างครั้งนี้คณะกรรมการต้องการให้จัดสร้างตามแบบพระพุทธรูป ภ.ป.ร. รุ่นพระกฐินต้น วัดเทวสังฆาราม

แต่เมื่อคณะกรรมการได้นำพระพุทธรูปที่ออกแบบ ทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงแบบให้ถูกต้องเหมาะสมกับพระพุทธลักษณะยิ่งขึ้น ด้วยพระบรมราชวินิจฉัยของพระองค์ มีการแก้ไขพุทธลักษณะคล้ายคลึงกับพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย
 
นอกจากนี้ พระองค์ยังได้พระราชทานภาษิตสำหรับจารึกไว้ที่บานด้านหน้า เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชาติว่า “ทยฺยชาติยา สามคฺคิยํ สติสญฺชานเนน โภชิสิยํ รกฺขนฺติ” แปลว่า “คนชาติไทยจะรักษาความเป็นไทยอยู่ได้ ด้วยมีสติสำนึกอยู่ในความสามัคคี”

ส่วนที่ฐานด้านหลังจารึกว่า “เสด็จพระราชดำเนินในพิธีหล่อ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๐๘” โดยมอบให้ ศ.ไพฑูรย์ เมืองสมบูรณ์ นายช่างศิลป์กรมศิลปากรปั้นหุ่นขึ้นใหม่ โดยอยู่ในพระบรมราชวินิจฉัยโดยตลอด

สำหรับ พระพุทธรูป ภ.ป.ร. มีขนาดหน้าตักกว้าง 9 นิ้ว และ 5 นิ้ว

ทั้งนี้ การสร้างพระพุทธรูป ภ.ป.ร. ขนาด 5 นิ้ว ในแต่ละครั้งขึ้นใหม่ มีจำนวนไม่เกิน 10,000 องค์ และหลังจากสร้างเพิ่มเป็นครั้งที่ 3 จะไม่มีการตอกลำดับครั้ง พร้อมลำดับองค์พระอีก

ขณะเดียวกัน พระพุทธรูป ภ.ป.ร. ขนาดหน้าตัก 5 นิ้ว ที่สร้างเพิ่มตั้งแต่ครั้งที่ 1-3 ได้ถูกเรียกขานจากบรรดาเซียนพระว่า “รุ่นหนังไก่” เนื่องจากผิวพระด้านในหลังจากล้างปูนออก มีลักษณะย่นคล้ายหนังไก่

พระกริ่ง ภ.ป.ร. รุ่นนี้ จัดสร้างด้วยวิธีการปั๊มโดยนำชนวนจากการเททองหล่อพระพุทธรูป ภ.ป.ร. ทั้งสองขนาดมาปั๊มเป็นองค์พระ จัดสร้างเป็น 3 เนื้อ คือ 1.เนื้อทองคำ จัดสร้างเพียง 32 องค์ 2.เนื้อทองแดงรมดำ จัดสร้างประมาณ 10,000 องค์ และ 3.เนื้อทองแดงกะไหล่ทอง ไม่ทราบจำนวนที่แน่ชัด




พระกริ่ง ภปร

พระกริ่ง ภ.ป.ร. รุ่นนี้ มีการสร้างขึ้นสองครั้ง ครั้งแรกสร้างเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2508 ในคราวพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลพระชนมายุเสมอด้วยสมเด็จพระราชบิดา และงานสมโภชพระเจดีย์ทอง

ครั้งที่สอง สร้างเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2515 ในพิธีพุทธาภิเษก-มังคลาภิเษกวัตถุมงคลอนุสรณ์ ในงาน “วชิรวงศานุสรณ์” (อนุสรณ์ 100 ปี พระชนมายุสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ สมเด็จพระบรมราชอุปัธยาจารย์)

ทั้งสองพิธีนี้ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ เสด็จฯ ทรงประกอบพิธีทั้งสองครั้งเช่นกัน •



4
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23 สิงหาคม 2567 14:16:03 โดย ใบบุญ » บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 13
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2632


ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 128.0.0.0 Chrome 128.0.0.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #190 เมื่อ: 30 สิงหาคม 2567 15:04:54 »



หรียญหลวงพ่อรุ่ง รุ่นพลายสิงห์ทอง

เหรียญทรงพุ่มข้าวบิณฑ์
หลวงพ่อรุ่ง คังคสุวัณโณ วัดหนองสีนวล จ.สุโขทัย


ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 27 ตุลาคม - 2 พฤศจิกายน 2566
คอลัมน์ - โฟกัสพระเครื่อง
เผยแพร่ - วันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ.2566


“หลวงพ่อรุ่ง คังคสุวัณโณ” เจ้าอาวาสรูปแรกวัดหนองสีนวล ต.ตาคลี อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ เป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดังเคียงคู่กับหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ เป็นญาติทางมารดา มีศักดิ์เป็นน้อง แต่หลวงพ่อรุ่ง อ่อนพรรษากว่า และเป็นหลวงลุงของพระครูนิสัยจริยคุณ (หลวงพ่อโอด) วัดจันเสน

ปี พ.ศ.2522 พระครูนิยมธรรมโกศล (หลวงพ่อฉลอง ทวิวังโส) เจ้าอาวาสวัดหนองสีนวลขณะนั้น จัดสร้างวัตถุมงคล “เหรียญหลวงพ่อรุ่ง รุ่นพลายสิงห์ทอง” เนื้อทองแดงและเนื้อชุบอัลปาก้า

เหรียญหลวงพ่อรุ่ง รุ่นพลายสิงห์ทอง ลักษณะเป็นเหรียญรูปทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ มีหูห่วง ด้านหน้า มีขอบลายกนกล้อมรอบ ตรงกลางเป็นรูปนูนหลวงพ่อรุ่งครึ่งองค์ มีอักษรไทย เขียนว่า “หลวงพ่อรุ่ง วัดหนองสีนวล” และใต้อักษรไทย มีเลขไทย “๒๕๒๒”  ส่วนด้านหลัง มีขอบลายกนกล้อมรอบเช่นกัน ตรงกลางเป็นรูปนูนช้างพลายกำลังก้าวเดิน ด้านบนมีอักษรไทย “พลายสิงห์ทอง” ด้านล่างมีอักขระขอม เหรียญหลวงพ่อรุ่ง รุ่นพลายสิงห์ทอง

ประกอบพิธีพุทธาภิเษก และพระครูนิสัยจริยคุณ หรือหลวงพ่อโอด วัดจันเสน เมตตาปลุกเสกเดี่ยวเป็นพิเศษอีก 3 ราตรี

หลังจัดสร้างแล้วเสร็จ ปรากฏว่าได้รับความนิยม ถึงแม้จะเป็นเหรียญตาย ที่สร้างหลังมรณภาพไปแล้วก็ตาม

นับเป็นเหรียญหายากที่ทรงคุณค่า สมควรมีไว้ในครอบครอง




หลวงพ่อรุ่ง คังคสุวัณโณ

เกิดในสกุล แป้นโต เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2412 ที่บ้านหัวหวาย อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ เป็นบุตรคนที่ 2 ในจำนวนพี่น้อง 5 คน ครอบครัวประกอบอาชีพกสิกรรม

พ.ศ.2434 อายุ 22 ปี เบื่อหน่ายทางโลก เข้าพิธีอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดพระปรางค์เหลือง ต.ท่าน้ำอ้อย อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ มีพระครูพยุหานุศาสน์ (หลวงพ่อเงิน) วัดพระปรางค์เหลือง เป็นพระอุปัชฌาย์, หลวงพ่อปั้น วัดหาดทะนง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และหลวงพ่อเทศ วัดสระทะเล เป็นพระอนุสาวนาจารย์

ได้รับนามฉายาว่า “คังคสุวัณโณ”

อยู่จำพรรษาที่วัดพระปรางค์เหลือง ศึกษาปฏิบัติธรรมโดยตรงกับหลวงพ่อเดิมและหลวงพ่อเงิน ครั้นหลวงพ่อเงินมรณภาพ ย้ายไปจำพรรษาอยู่ที่วัดหาดทะนง ศึกษาพระปริยัติธรรมและวิปัสสนากัมมัฏฐานกับหลวงพ่อปั้น

จากนั้นออกเดินธุดงค์แสวงหาความวิเวก ต่อมาได้รับนิมนต์ให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดหัวหวาย ซึ่งขณะนั้นมีการสร้างทางรถไฟผ่านบ้านหัวหวายโดยชาวต่างชาติเป็นผู้รับเหมา มีการกีดกันไม่ให้ชาวบ้านใช้น้ำในบ่อ ซึ่งมีเพียงบ่อเดียว

ทราบความเดือดร้อนของชาวบ้าน จึงดำริที่จะหาสถานที่อยู่ใหม่ให้

เสี่ยงสัตย์อธิษฐานตามพื้นที่ต่างๆ หลายแห่ง จนมาพบพื้นที่หนองตานวลเป็นพื้นที่ที่เหมาะสม จึงนำชาวบ้านหัวหวายมาอยู่ที่หนองตานวล พร้อมก่อสร้างวัดขึ้นด้วย

พ.ศ.2453 นำชาวบ้านและลูกศิษย์ 2 คน เดินทางไปที่เขาชอนเดื่อเวลากลางคืน ขณะที่ท่านนั่งปฏิบัติธรรม ศิษย์ทั้งสองคนที่ท่านใช้ไปตัดใบตองได้ขึ้นไปบนยอดเขาชอนเดื่อ พบ “พระแสงศรกำลังราม” จึงนำมามอบให้

ต่อมา หลวงพ่อรุ่ง ได้นำพระแสงศรกำลังรามดังกล่าว ทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

จากนั้น พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพัดครุฑงานรัชมงคล และพระราชทานเงินตราแก่ศิษย์ทั้งสองคนเป็นบำเหน็จตามสมควร

พ.ศ.2475 หลังจากก่อสร้างวัดและชุมชนชาวบ้านจนเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว จึงดำเนินการสร้างอุโบสถ โดยมีหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ และหลวงพ่ออิน วัดหางน้ำหนองแขม ช่วยเหลือด้านปัจจัย พร้อมทั้งนำคณะสงฆ์ช่วยสร้างจนแล้วเสร็จ ซึ่งในเวลาต่อมาทางราชการได้เปลี่ยนชื่อวัดหนองตานวล เป็น “วัดหนองสีนวล” สืบมาจนถึงปัจจุบัน

หลังจากสร้างอุโบสถเสร็จแล้ว หลวงพ่อรุ่ง ยังจัดสร้างพระพุทธรูปปูนปั้น ขนาดหน้าตัก 6 ศอก สูง 5 ศอก, กุฏิและห้องน้ำ ฯลฯ

นอกจากนี้ ยังจัดสร้างหุ่นด้วยปูนซีเมนต์ เป็นหุ่นรูปทหารอากาศล้อมรอบอุโบสถ ซึ่งต่อมาภายหลังทางราชการได้มาจัดสร้างสนามบินทหารอากาศ กองบิน 4 ขึ้น ในพื้นที่บ้านหนองสีนวล

ด้านวัตถุมงคลจัดสร้างขึ้นตามโอกาสวาระสำคัญ เพื่อให้คณะศิษย์ครอบครองบูชาไว้เป็นสิริมงคลของตนเองและครอบครัว ส่วนปัจจัยจะนำไปสมทบทุนก่อสร้างเสนาสนะให้กับวัด

ได้รับการยอมรับโดยทั่วไปว่าเป็น “ปูชนียบุคคล” ของพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย เพราะมีความเป็นอยู่ด้วยความสงบ สมถะ ตามสมณวิสัย ซึ่งหาได้อย่างยากยิ่ง

ทำให้เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของประชาชนทั่วไป รวมทั้งคณะสงฆ์ให้ความเคารพรักและศรัทธา

ตลอดชีวิตทุ่มเททำงานปฏิบัติงานทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนามากมายนานัปการ และทำการบูรณปฏิสังขรณ์วัดเชิงท่ามาอย่างต่อเนื่อง

ด้วยสังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยงแท้จีรัง บ่ายวันที่ 17 พฤษภาคม 2489 จึงมรณภาพด้วยอาการอันสงบ

สิริอายุ 77 ปี พรรษา 55 •





เหรียญกลมรูปเหมือนรุ่นแรก หลวงปู่สอน วัดหนองเหล็ก
พระเกจิชื่อดัง-มหาสารคาม

ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 - 16 พฤศจิกายน 2566
คอลัมน์ - โฟกัสพระเครื่อง
เผยแพร่ - วันอาทิตย์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ.2566


ชื่อเสียง “พระสุนทรธรรมภาณี” หรือ “หลวงปู่สอน สุนทโร” อดีตเจ้าอาวาสวัดหนองเหล็ก อ.โกสุมพิสัย จ.มหาสารคาม และอดีตเจ้าคณะอำเภอโกสุมพิสัย เป็นที่ยอมรับและเลื่อมใสของชาวมหาสารคามมายาวนาน

เป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง สืบสายธรรมจากหลวงปู่ศรีธรรมศาสน์ วัดใต้โกสุม บูรพาจารย์รุ่นเก่าอีกรูปภาคอีสาน

มีวัตรปฏิบัตรดีงาม มักน้อย ถือสันโดษ มีเมตตาธรรมสูง แม้จะละสังขารจากโลกนี้ไปแล้ว แต่คุณงามความดียังปรากฏอยู่

วัตถุมงคลที่เป็นสุดยอดปรารถนา คือ เหรียญกลมรูปเหมือน รุ่นแรก ปี พ.ศ.2528

วัดหนองเหล็ก จัดสร้างขึ้นเมื่อครั้งที่อายุครบ 65 ปี เพื่อหาทุนสมทบสร้างสาธารณูปโภค สาธารณูปการ

เป็นเหรียญกลมเนื้อทองแดงรมดำ สร้างประมาณ 5,000 เหรียญ

เหรียญหลวงปู่สอน ด้านหน้ายกขอบ มีจุดไข่ปลารอบด้านในขอบเหรียญ ตรงกลางเป็นรูปเหมือนครึ่งองค์ ด้านล่างเขียนคำว่า “หลวงพ่อพระครูพิศิษฏ์ธรรมาจารย์” สมณศักดิ์ขณะนั้น

ต่อมาได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระสุนทรธรรมภาณี

ด้านหลังเหรียญ ยกขอบใต้ห่วงเหรียญ เขียนคำว่า “วัดบ้านหนองเหล็ก” เริ่มจากด้านซ้ายลงไปด้านล่างวนขึ้นไปทางด้านขวาของเหรียญ เขียนคำว่า “ต.หนองเหล็ก อ.โกสุมพิสัย จ.มหาสารคาม” ตรงกลางเหรียญเป็นยันต์อักขระ และมีตัวเลขไทย “๒๕๒๘” เป็นปีพุทธศักราชที่จัดสร้าง

รุ่นนี้ประกอบพิธีพุทธาภิเษกเดี่ยว ภายในอุโบสถตลอดพรรษา

ร่ำลือกันว่าพุทธศาสนิกชนผู้ที่ห้อยเหรียญรุ่นนี้ ล้วนแต่มีประสบการณ์อัศจรรย์มากมาย

จัดเป็นเหรียญยอดนิยมอีกเหรียญของอำเภอโกสุมพิสัย





หลวงปู่สอน สุนทโร

นามเดิมชื่อ สอน ดวงราช เกิดวันศุกร์ที่ 28 กรกฎาคม 2463 ที่บ้านหนองเหล็ก ต.เหล่า (ปัจจุบันเป็น ต.หนองเหล็ก) อ.โกสุมพิสัย จ.มหาสารคาม เป็นบุตรคนที่ 8 ในจำนวนพี่น้อง 9 คน

บิดา-มารดาชื่อ นายซุยและนางลี ครอบครัวประกอบอาชีพทำไร่ทำนา

หลังเรียนจบชั้นประถมศึกษาจากโรงเรียนวัดหนองเหล็ก ด้วยมีใจใฝ่เรียนรู้ เมื่ออายุ 14 ปี บิดา-มารดาจึงนำไปบรรพชาที่วัดสวนกล้วย จากนั้นได้มาพักอยู่กับพระอธิการเนตร สมาจาโร ที่วัดหนองเหล็ก ศึกษาเล่าเรียนปริยัติธรรมด้วยความขยันหมั่นเพียร

พ.ศ.2478 ออกเดินทางไปเรียนมูลกัจจายน์ ที่บ้านเมืองไพร อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด ฝากตัวเป็นศิษย์เรียนกับหลวงปู่มา ญาณวีโร และเดินทางไปศึกษากับอีกหลายสำนักในพื้นที่และจังหวัดข้างเคียง พ.ศ.2480 สอบได้นักธรรมชั้นเอกที่สำนักวัดหนองเหล็ก

นอกจากเรียนหนังสือเก่งแล้วยังเทศน์ได้น่าฟัง ในยุคนั้นมีสามเณร 3 รูปที่มีชื่อเสียงในการเทศน์ คือ สามเณรสอน สามเณรคาย และสามเณรชา

ต่อมาปี พ.ศ.2484 อุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดบัวใหญ่ อ.บัวใหญ่ จ.นครราชสีมา โดยมีพระครูบวรสมณการ วัดบัวใหญ่ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูสมุห์บุญมี เขมิโย วัดบัวใหญ่ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระครูพระชา ธมฺมโชโต วัดบัวใหญ่ เป็นพระอนุสาวนาจารย์

หลังอุปสมบท เดินทางกลับมาจำพรรษาที่วัดหนองเหล็ก เป็นครูสอนพระปริยัติธรรมแผนกธรรม ประจำสำนักศาสนศึกษาวัดหนองเหล็ก และไปช่วยงานสอนหนังสือที่วัดกลางกุดรัง

ช่วงนั้นสำนักเรียนวัดหนองเหล็ก มีชื่อโด่งดังไปทั่ว หลวงปู่สอน ให้ความสำคัญงานด้านจัดการศึกษาเป็นอย่างมาก เพราะผู้บวชเรียนส่วนใหญ่ล้วนมาจากครอบครัวชาวไร่ชาวนา มีฐานะยากจน

เคยดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าสำนักเรียนวัดกลางโกสุมพิสัย เป็นประธานการศึกษาคณะสงฆ์อำเภอโกสุมพิสัย เป็นผู้รับใบอนุญาตโรงเรียนมัธยมวัดกลางโกสุม เป็นประธานอำนวยการสอบธรรมสนามหลวงประจำหน่วยสอบอำเภอโกสุมพิสัย นานถึง 34 ปี

นอกจากนี้ ยังมีผลงานการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เป็นพระธรรมทูตสายที่ 5

ด้วยวัตรปฏิบัติที่ดีงามบังเกิดคุณประโยชน์ต่อสาธารณชน พ.ศ.2491 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดหนองเหล็ก

พ.ศ.2495 ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลเหล่า

พ.ศ.2498 เป็นพระอุปัชฌาย์

พ.ศ.2502 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรีที่ “พระครูพิศิษฏ์ธรรมาจารย์”

พ.ศ.2508 ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะอำเภอโกสุมพิสัย และเจ้าอาวาสวัดกลางโกสุม นานถึง 34 ปี

ต่อมาในปี พ.ศ.2509 ได้รับพระราชทานเลื่อนเป็นพระครูชั้นโท

พ.ศ.2515 รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูชั้นเอก

พ.ศ.2524 รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ชั้นพิเศษในราชทินนามเดิม

พ.ศ.2540 เป็นเจ้าอาวาสวัดหนองเหล็ก

พ.ศ.2541 ได้รับพระราชทานเสาเสมาธรรมจักร สาขาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศ จากพระหัตถ์สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

พ.ศ.2542 ได้รับพระราชทานแต่งตั้งสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ (สย.) ที่พระสุนทรธรรมภาณี

พ.ศ.2543 ได้รับโล่เกียรติคุณคนดีศรีโกสุม และเป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอโกสุมพิสัย

พ.ศ.2546 ได้รับโล่เกียรติคุณจากกระทรวงวัฒนธรรม สาขาผู้ใช้สมุนไพรภูมิปัญญาท้องถิ่น
 
หลวงปู่สอน เป็นผู้มีคุณูปการทั้งด้านการปกครอง การศึกษา การเผยแผ่ การสาธารณสุข และเป็นพระนักพัฒนา มีความชำนาญด้านการก่อสร้างเป็นพิเศษ

นอกจากนี้ ยังคอยเน้นย้ำให้พุทธศาสนิกชนรักษาศีล คนที่มีศีลธรรม ชีวิตจะพานพบแต่ความเจริญรุ่งเรือง

เมื่อล่วงเข้าปัจฉิมวัย สังขารของหลวงปู่ร่วงโรยไปตามกาลเวลา ทำให้ต้องเข้าออกโรงพยาบาลอยู่เป็นประจำ

จากการตรากตรำทำหน้าที่ในวัยสูงอายุ ทำให้อาพาธด้วยโรคชราและอาการไตวายแทรกซ้อน อาการทรุดหนัก ส่งเข้ารักษาที่โรงพยาบาลมหาสารคาม

ละสังขารอย่างสงบ ช่วงเช้าวันศุกร์ที่ 28 กรกฎาคม 2546 รวมสิริอายุ 83 ปี พรรษา 62

มีพิธีพระราชทานเพลิงช่วงต้นปี พ.ศ.2547 •


4
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30 สิงหาคม 2567 15:07:18 โดย ใบบุญ » บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 13
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2632


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #191 เมื่อ: 08 กันยายน 2567 14:06:08 »



เหรียญหลวงพ่อเที่ยง หลังพระอาจารย์แม้น

เหรียญหลวงพ่อเที่ยง มงคลวัดธรรมนิมิต พระเกจิชื่อดังแม่กลอง

ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 17 - 23 พฤศจิกายน 2566
คอลัมน์    - โฟกัสพระเครื่อง
เผยแพร่ - วันอาทิตย์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ.2566


“หลวงพ่อเที่ยง ปัณฑิโต” อดีตเจ้าอาวาสรูปที่ 2 วัดธรรมนิมิต ต.แม่กลอง อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม พระเกจิอาจารย์ชื่อดังอีกรูปลุ่มน้ำแม่กลอง วิทยาคมเข้มขลัง

เกียรติคุณและความแก่กล้าในวิทยาคม ยังได้รับการกล่าวขานจนถึงปัจจุบัน พระเครื่องและวัตถุมงคลที่ปลุกเสกไว้ ล้วนเป็นที่ปรารถนา หลายรุ่นได้รับความนิยมสูง

เหรียญหลวงพ่อเที่ยง หลังพระอาจารย์แม้น ก็เป็นอีกเหรียญที่ได้รับความนิยม

สร้างเมื่อปี พ.ศ.2495 ลักษณะเป็นเหรียญรูปอาร์มหรือเหรียญโล่ มีหูในตัว จัดสร้างโดยพระอาจารย์แม้น อิสิทินโน เจ้าอาวาสวัดธรรมนิมิต สร้างด้วยเนื้อทองแดงเพียงชนิดเดียว

ด้านหน้า เป็นรูปจำลองหลวงพ่อเที่ยงครึ่งองค์ ห่มจีวรลดไหล่พาดผ้าสังฆาฏิ ใต้รูปจำลองของเหรียญมีอักขระยันต์ เขียนว่า “อะ สัง วิ สุ โล ปุ สะ พุ ภะ”

ด้านหลัง เป็นรูปจำลองพระอาจารย์แม้นครึ่งองค์ ห่มจีวรลดไหล่พาดผ้าสังฆาฏิ ใต้รูปจำลองของเหรียญมีอักขระยันต์ เขียนว่า “อะ สัง วิ สุ โล ปุ สะ พุ ภะ”  




ส่วนอีกเหรียญหนึ่ง คือ เหรียญหลวงพ่อเที่ยง พ.ศ.2511

สร้างเมื่อปี พ.ศ.2511 ลักษณะเป็นเหรียญรูปอาร์มหรือเหรียญโล่ มีหูในตัว จัดสร้างโดยพระอาจารย์แม้น สร้างด้วยเนื้อทองแดง และทองแดงกะไหล่ทอง จำนวนการสร้างไม่ได้ระบุไว้

ด้านหน้า เป็นรูปจำลองหลวงพ่อเที่ยงครึ่งองค์ห่มจีวรลดไหล่ พาดผ้าสังฆาฏิ

ด้านหลัง มีอักขระภาษาไทย เขียนคำว่า “หลวงพ่อเที่ยงปณฺฑิตะ วัดธรรมนิมิต พ.ศ.๒๕๑๑”

แม้ทั้งสองเหรียญจะเป็นเหรียญตาย แต่มิใช่ว่าจะด้อยพุทธคุณ

จัดเป็นเหรียญที่หายากอีกเหรียญเช่นเดียวกัน

 


หลวงพ่อเที่ยง ปัณฑิโต

อัตโนประวัติ หลวงพ่อเที่ยง ทราบแค่เพียงว่า เกิดในปี พ.ศ.2370

เข้าพิธีอุปสมบทเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2392 ขณะที่มีอายุได้ 22 ปี ที่วัดธรรมนิมิต โดยมีพระอุปัชฌาย์บุญ เจ้าอาวาสวัดธรรมนิมิต เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอาจารย์มา วัดธรรมนิมิต เป็นพระกรรมวาจาจารย์ แต่ไม่ปรากฏนามพระอนุสาวนาจารย์ว่าเป็นท่านใด ได้รับฉายาว่า ปัณฑิโต

หลังอุปสมบท กราบลาพระอุปัชฌาย์บุญ ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม กรุงเทพฯ เพื่อศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรม เป็นเวลา 4 พรรษา

ในพรรรษาที่ 4 นั้นเอง พระอาจารย์มา วัดธรรมนิมิต มรณภาพลงในปี พ.ศ.2396 จึงได้ลาเจ้าอาวาสวัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม กลับมาอยู่กับพระอุปัชฌาย์บุญ ที่วัดธรรมนิมิต ตามเดิม

ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2402 พระอุปัชฌาย์บุญ มรณภาพลง จึงช่วยรักษาการเจ้าอาวาส จนเมื่อร่วมกันจัดการฌาปนกิจศพพระอุปัชฌาย์บุญและพระอาจารย์มา พร้อมกัน เมื่อปี พ.ศ.2403 เสร็จเรียบร้อยแล้ว

จึงได้รับนิมนต์ขึ้นเป็นเจ้าอาวาสสืบแทน โดยมีพระอาจารย์สร้าง เป็นผู้ช่วย เมื่อปี พ.ศ.2403

หลังเป็นเจ้าอาวาส ยึดถือปฏิปทาดำเนินตามพระธรรมวินัยโดยเคร่งครัด มีคุณธรรม คือ หิริและโอตตัปปะ ช่วยแนะนำพร่ำสอนให้พระภิกษุ-สามเณร ศึกษาพระธรรมวินัยและให้ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด และหมั่นแนะนำพร่ำสอนชาวบ้านให้ตั้งอยู่ในศีลธรรมและดำรงตนอยู่ในสัมมาปฏิบัติ

ด้วยความที่ปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัดและมีจิตใจที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ทำให้ชาวบ้านและพุทธศาสนิกชนเลี่ยมใส จึงได้พากันไปมาหาสู่และมีใจศรัทธาเสียสละทรัพย์ส่วนตัวบ้าง รวมกันบ้าง เพื่อทำการก่อสร้างเสนาสนะและถาวรวัตถุต่างๆ ไว้ในวัด

สุดท้ายมรณภาพด้วยโรคชรา เมื่อวันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2458 สิริอายุ 83 ปี พรรษา 61

ในการนี้ พระเขมาภิมุขธรรม วัดพิชัยญาติการาม กรุงเทพฯ มาเยี่ยมศพเมื่อกลับกรุงเทพฯ แล้ว จึงนำข่าวมรณภาพไปกราบทูลให้สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงทราบ

เพื่อขอให้พระอาจารย์ถนอม เป็นผู้รั้งตำแหน่งเจ้าอาวาส ซึ่งสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงอนุญาตให้มาในปี พ.ศ.2458

ปี พ.ศ.2459 สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เสด็จมาเยี่ยมศพพระอาจารย์เที่ยง ทรงรับสั่งให้เตรียมการฌาปนกิจศพ โดยทรงพระกรุณารับเป็นประธาน และทรงพระกรุณาสร้างกุฎีอุทิศให้พระอาจารย์เที่ยง 1 หลัง เพื่อเป็นอนุสรณ์

ปลายปี พ.ศ.2459 ทางวัดจัดการฌาปณกิจศพ มีสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นประธาน พระอาจารย์ถนอม เป็นรองประธาน พระอาจารย์แม้น เป็นผู้ช่วย ฝ่ายคฤหัสถ์ที่เป็นกรรมการ อาทิ ขุนนิพัทธ์หะริณสุต, ขุนอนุกรมจะเกร็งรัฐ, ขุนศรีปุนสิริ, ขุนบวรประชานันท์, ขุนอาชีวกิจโกศล เป็นต้น พร้อมด้วยศิษยานุศิษย์และท่านที่เคารพนับถือ ร่วมกันทำการฌาปณกิจศพ

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงเริ่มวางพระเพลิงก่อน มีมหรสพพอสมควรแก่ฐานะ

แต่ด้วยเหตุที่สมเด็จฯ ทรงมีงานที่ต้องตรวจสังฆมณฑลให้เสร็จสิ้นเสียก่อน งานจึงล่าช้าออกไป และงานณาปณกิจศพของหลวงพ่อเที่ยงมาสำเร็จไปได้ด้วยความเรียบร้อยหลังจากนั้น •





เหรียญหลวงปู่บก ถาวโร

เหรียญรูปไข่รุ่นแรก หลวงปู่บก ถาวโร พระเกจิ-ปู่เจ้าเขาตาคลี

ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 24 - 30 พฤศจิกายน 2566
คอลัมน์    - โฟกัสพระเครื่อง
เผยแพร่ - วันอาทิตย์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ.2566


“หลวงปู่บก ถาวโร” หรือ “พระครูนิยมธรรมภาณ” อดีตเจ้าคณะตำบลตาคลี เขต 1 และอดีตเจ้าอาวาสวัดสว่างวงษ์คณะกิจ ต.ตาคลี อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ ศิษย์สายธรรมกัมมัฏฐานหลวงพ่อเภา วัดถ้ำตะโก

ปี พ.ศ.2522 จัดสร้างวัตถุมงคลมอบเป็นที่ระลึกแก่ผู้ร่วมทำบุญสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรม เป็นเหรียญรูปไข่ เนื้อทองแดงรมดำ มีหูห่วง

เหรียญหลวงปู่บก ด้านหน้า มีขอบรอบสองชั้น ตรงกลางเป็นรูปนูนเต็มองค์ นั่งสมาธิ ด้านข้าง ซ้าย-ขวา มีอักษรไทย “พระครูนิยมธรรมภาณ (หลวงปู่บก) วัดสว่างวงค์” (ใช้ ค.ควาย การันต์) ด้านล่างมีอักษรไทย และตัวเลขไทย เขียนว่า “อายุ ๗๒ ปี พ.ศ.๒๕๒๒”

ส่วนด้านหลัง มีขอบสองชั้นเช่นกัน ตรงกลางมียันต์และอักขระขอมตัวลึก “นะ โม พุท ธา ยะ, จะ พะ กะ สะ, มะ อะ อุ, สิทธิกิจจัง สิทธิกัมมัง สิทธิการะยะ ชะโยนิจจัง” กำกับด้วย “อุณาโลม” สามยอด

ใต้ขอบด้านบน มีอักษรไทยตัวลึก “ลาภผล พูนทวี อยู่ดี มีสุข” เหนือขอบด้านล่าง มีอักษรไทยตัวลึก “ศิษย์ตาคลีร่วมสร้าง ร.ร.ปริยัติธรรม”

ปลุกเสกด้วยพุทธาคมสายหลวงพ่อเภา วัดถ้ำตะโก ปัจจุบันหายากมาก ได้รับความนิยมอย่างยิ่ง

หลวงปู่บก เป็นพระเถระผู้เคร่งครัดในพระธรรมวินัย แม้ละสังขารมาเป็นเวลานาน แต่ยังมีผู้เลื่อมใสศรัทธามิคลาย

เป็นพระนักเทศน์ชื่อดังที่จับคู่ปุจฉา-วิสัชนากับหลวงพ่อหลิน วัดสมอ อ.สรรพยา จ.ชัยนาท อดีตเจ้าคณะจังหวัดชัยนาท

ได้รับสมญานามจากชาวบ้านว่า “พระปู่เจ้าเขาตาคลี” เป็นที่รู้จักและเคารพนับถือของทั้งในจังหวัดนครสวรรค์และจังหวัดใกล้เคียง  




หลวงปู่บก ถาวโร

มีนามเดิมว่า บก สุขสำราญ เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2450 ที่ ต.ท่าแค อ.เมือง จ.ลพบุรี

อายุ 9 ขวบ บิดา-มารดานำไปฝากไว้เป็นศิษย์วัดป่าธรรมโสภณ เรียนหนังสือกับพระอาจารย์ฉาย จนอ่านออกเขียนได้ ต่อมาเข้าเรียนในโรงเรียนประชาบาล จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 3

อายุ 16 ปี เข้าพิธีบรรพชาเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2466 ที่วัดป่าธรรมโสภณ ต.พรหมมาศ อ.เมือง จ.ลพบุรี

มุ่งศึกษาพระปริยัติธรรม สามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรี-โท ตามลำดับ

พออายุ 21 ปี อุปสมบทเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2470 ที่พัทธสีมาวัดป่าธรรมโสภณ โดยมีพระครูโวทานสมณคุต วัดเชิงท่า เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอธิการฉาย วัดป่าธรรมโสภณ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์ดำ วัดป่าธรรมโสภณ เป็นพระอนุสาวนาจารย์

ได้รับฉายาว่า ถาวโร หมายถึง ผู้มีความมั่นคง

จำพรรษาอยู่ที่วัดป่าธรรมโสภณ 2 พรรษา ต่อมาย้ายไปจำพรรษาอยู่ที่วัดถ้ำตะโก อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี เพื่อปฏิบัติธรรม เรียนกัมมัฏฐานกับหลวงพ่อเภา เป็นเวลา 2 ปี

พ.ศ.2474 ขุนตาคลีคณะกิจ (กำนันแดง เวชกิจ) พร้อมชาวบ้านตลาดตาคลี ร่วมกันสร้าง “สำนักสงฆ์วัดสว่างวงษ์คณะกิจราษฎร์ศรัทธาธรรม” และนิมนต์พระภิกษุบก พร้อมด้วยพระภิกษุวัดป่าธรรมโสภณ อีก 5 รูป มาจำพรรษา

ลําดับงานปกครองคณะสงฆ์ พ.ศ.2481 เป็นกรรมการศึกษาโรงเรียนวัดสว่างวงษ์ฯ

พ.ศ.2492 เป็นกรรมการตรวจประโยคธรรม

พ.ศ.2494 เป็นเจ้าคณะตำบลตาคลี เขต 1

พ.ศ.2500 เป็นพระอุปัชฌาย์

พ.ศ.2501 เป็นเจ้าอาวาสวัดสว่างวงษ์ (คณะกิจ)

ลำดับสมณศักดิ์ พ.ศ.2480 เป็นพระสมุห์ ฐานานุกรมในพระครูนิพัทธศีลคุณ อดีตเจ้าคณะอำเภอตาคลี

พ.ศ.2501 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ชั้นตรี ในราชทินนาม พระครูนิยมธรรมภาณ

พ.ศ.2509 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะตำบลชั้นโท ในราชทินนามเดิม

พ.ศ.2513 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะตำบลชั้นเอก ในราชทินนามเดิม

พ.ศ.2517 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะตำบลชั้นพิเศษ ในราชทินนามเดิม

งานด้านการศึกษา ก่อตั้งโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกธรรม ให้พระภิกษุ-สามเณรทุกรูปสอบธรรมสนามหลวงก่อน แล้วจึงลาสิกขา สนับสนุนวัดในเขตปกครองตั้งสำนักเรียน ถ้าสำนักเรียนใดขาดครูสอนธรรม จะจัดส่งพระภิกษุที่มีความรู้ ความสามารถด้านปริยัติไปช่วยสอน

งานก่อสร้างถาวรวัตถุ ก่อสร้างศาลาการเปรียญ, อุโบสถ, ตึกสังฆวาโส, ตึกภิกขุโน, เมรุ, ศาลาการเปรียญ (หลังใหม่) และบริจาคเงินส่วนตัวสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรม “โรงเรียนนิยมธรรมภาณอนุสรณ์”

สังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยง หลวงปู่บก มรณภาพอย่างสงบเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2524 ที่ตึกสังฆวาโส วัดสว่างวงษ์ (คณะกิจ)

สิริอายุ 74 ปี พรรษา 54 •


4
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08 กันยายน 2567 14:28:54 โดย ใบบุญ » บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 13
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2632


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #192 เมื่อ: 26 กันยายน 2567 17:59:28 »


เหรียญหลวงปู่ตี๋ ลักษณะเป็นเหรียญรูปไข่ หูห่วงยกซุ้ม

เหรียญอายุครบ 80 ปี หลวงปู่ตี๋ ญาณโสภโณ มงคลวัดหลวงราชาวาส

ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 1 - 7 ธันวาคม 2566
คอลัมน์ - โฟกัสพระเครื่อง
เผยแพร่ - วันอาทิตย์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ.2566


“หลวงปู่ตี๋ ญาณโสภโณ” หรือ “พระครูอุทัยธรรมกิจ” อดีตเจ้าอาวาสวัดหลวงราชาวาส ต.อุทัยใหม่ อ.เมือง จ.อุทัยธานี พระเกจิอาจารย์ชื่อดัง

ศึกษาวิทยาคมจากพระเกจิอาจารย์ชื่อดังหลายรูป อาทิ หลวงพ่อพูน วัดหนองตางู, หลวงพ่อพุฒ วัดทุ่งแก้ว, หลวงพ่อเคน วัดดงเศรษฐี,หลวงปู่พลอย วัดห้วยขานาง เป็นต้น

วัตถุมงคลที่สร้างขึ้นมาแต่ละรุ่น มีความคิดโดดเด่นในทุกด้าน ไม่ว่าจะเมตตามหานิยม โชคลาภ และมีประสบการณ์ จึงเป็นที่นิยมเสาะหาโดยทั่วไป

ที่โดดเด่นเป็นที่เลื่องลือ นอกจากเหรียญรุ่นแรก จัดสร้างขึ้นเมื่อปี 2520 แล้ว ยังมี “เหรียญอายุครบ 80 ปี”

ปี พ.ศ.2535 จัดสร้างวัตถุมงคลในโอกาสที่มีอายุครบรอบ 80 ปี เป็นเหรียญพิมพ์ทรงรูปไข่ มีหูห่วง เนื้อนวะ 400 เหรียญ, เนื้อทองเหลือง 1,000 เหรียญ และเนื้อทองแดง 1,000 เหรียญ โดยปลุกเสกเดี่ยวตลอดไตรมาส

ด้านหน้า มีขอบรอบคู่กับลายกนก ตรงกลาง มีรูปนูนครึ่งองค์ มีอักษรไทยเขียนกำกับว่า “พระครูอุทัยธรรมกิจ”

ส่วนด้านหลัง มีขอบรอบเช่นกัน ตรงกลางมีอักขระขอม “นะ ใหญ่” หรือ “นะ ทรงแผ่นดิน” ใต้ขอบด้านบน มีอักษรไทย “วัดหลวงราชาวาส” ขอบเหรียญทั้งซ้าย-ขวา มีอักขระขอม อิ สะ หวา สุ และ สุ สะ หวา สุ อิ กำกับ ใต้ยันต์นะใหญ่ หรือ นะทรงแผ่นดิน มีอักขระขอม สะ สะ ลิ เต และอักษรไทย “ครบรอบ 80 ปี จ.อุทัยธานี”

พุทธคุณเด่นรอบด้าน ทั้งเมตตามหานิยม โชคลาภ เป็นต้น ผู้เช่าบูชาไปห้อยคอต่างพบประสบการณ์ นักนิยมสะสมพระเครื่องต่างเสาะหาเก็บไว้ในครอบครอง

เป็นวัตถุมงคลอีกรุ่นที่กล่าวขวัญ




หลวงปู่ตี๋ ญาณโสภโณ
อัตโนประวัติ เป็นชาวอุทัยธานีโดยกำเนิด เกิดที่ ต.อุทัยใหม่ อ.เมือง เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2455 ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 5 ปีชวด มีนามเดิมว่า ตี๋ แซ่ตั้ง เป็นบุตรคนที่ 3 ในจำนวน 6 คน ครอบครัวประกอบอาชีพค้าขาย

ในช่วงวัยเยาว์ เรียนหนังสือที่โรงเรียนอุทัยทวีเวทย์ จ.อุทัยธานี จนจบการศึกษาชั้นมัธยมปีที่ 3

หลังจากนั้นได้เข้าพิธีอุปสมบทเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2476 ที่พัทธสีมาวัดธรรมโฆษก (โรงโค) โดยมีพระสุนทรมุณี (หลวงพ่อฮวด) วัดพิชัยปุรณาราม เจ้าคณะจังหวัดอุทัยธานี เป็นพระอุปัชฌาย์, พระปลัดโชติ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระใบฎีกาทิม เป็นพระอนุสาวนาจารย์

ได้รับฉายาว่า ญาณโสภโณ มีความหมายว่า ผู้มีญาณอันงดงาม

จำพรรษาอยู่ที่วัดธรรมโฆษก ต่อมาเมื่อเกิดไฟไหม้ตลาดอุทัยธานีครั้งใหญ่ ได้ไปอยู่กับหลวงพ่อพูนที่วัดหนองตางู เป็นเวลา 2 พรรษา ศึกษาวิทยาคม จนกระทั่งหลวงพ่อพูนมรณภาพลงในปี พ.ศ.2480 จึงได้กลับมาอยู่ที่วัดธรรมโฆษกอีกครั้ง

ในปี พ.ศ.2497 ย้ายมาจำพรรษาอยู่ที่วัดหลวงราชาวาส

พ.ศ.2501 ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส และได้รับแต่งตั้งเป็นพระฐานานุกรมของพระราชอุทัยกวี (พุฒ) เจ้าคณะจังหวัดอุทัยธานี เจ้าอาวาสวัดมณีสถิตกปิฏฐาราม (วัดทุ่งแก้ว) พระอารามหลวง

พ.ศ.2517 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระครูชั้นสัญญาบัตร ที่ พระครูอุทัยธรรมกิจ

นอกจากได้รับการถ่ายทอดการฝึกจิตวิชาแพทย์แผนโบราณ รวมทั้งวิทยาคมด้านอื่นจากหลวงพ่อพูน วัดหนองตางู จ.อุทัยธานี แล้ว

ยังได้ศึกษาจากตำราสมุดข่อยโบราณของหลวงพ่อแป้น อดีตเจ้าอาวาสวัดหลวงราชาวาส เกี่ยวกับยันต์เทพรัญจวน เป็นยันต์เดียวกับที่จารลงในตะกรุดโทน ซึ่งหลวงพ่อป๊อก อดีตเจ้าอาวาสวัดอุโปสถารามใช้อยู่เป็นประจำ

จึงให้ช่างหลี เป็นช่างตัดผมในตลาดอุทัยธานี สักยันต์เทพรัญจวนที่ตัว ที่อก และหลังเป็นที่ระลึกกับหลวงพ่อแป้น และเห็นว่าเป็นยันต์โบราณที่ใช้สืบทอดกันมา

อีกทั้งยังได้รับการถ่ายทอดต่อจากพระราชอุทัยกวี หรือท่านเจ้าคุณพุฒ วัดทุ่งแก้วด้วย
 
ด้วยความสมถะและถือสันโดษมาตลอดระยะเวลาในชีวิตสมณเพศ ชอบศึกษาหาความรู้และอยู่อย่างเงียบๆ มีวัตรปฏิบัติที่เรียบง่าย ยึดมั่นในศีลาจารวัตร เคร่งครัดในพระธรรมวินัย

แม้จะมีชื่อเสียงในเรื่องของการสร้างวัตถุมงคลที่เป็นที่นิยมสะสมกันในวงการพระเครื่อง แต่ก็ยึดคำโบราณที่ว่า “ฆ้องดังเองไม่มีคนตี เรียกว่า ฆ้องอัปรีย์ ฆ้องที่ดีต้องมีคนตีถึงจะดัง”

วัตถุมงคลไม่ว่าจะเป็นเสือพุทธาคม ตะกรุดเทพรัญจวน เหรียญและรูปหล่อ สร้างขึ้นมาด้วยเจตนาบริสุทธิ์ ประกอบการปลุกเสกเดี่ยวและใช้เวลายาวนานตลอดไตรมาส เป็นส่วนใหญ่ จึงมีพุทธคุณจนเป็นที่เล่าลือโจษขานกันมากมาย

มีเอกลักษณ์อย่างหนึ่ง คือ การพูดตรงไปตรงมา เป็นวาจาเสมือนเนื้อของหัวใจ ปากกับใจตรงกัน ท่านไม่เคยแสดงตัวโอ้อวด แม้ท่านจะมีชื่อเสียงในเรื่องของการจัดสร้างวัตถุมงคลเป็นที่นิยมกัน

วันที่ 1 มีนาคม 2546 เวลา 11.57 น. ละสังขารลงด้วยอาการสงบ สิริอายุ 91 ปี พรรษา 71

ปัจจุบัน สังขารยังคงนอนสงบนิ่งภายในโลงแก้วอันโปร่งใส ณ วัดหลวงราชาวาส ต.อุทัยใหม่ อ.เมือง จ.อุทัยธานี

เพื่อให้ผู้ที่ศรัทธา ตลอดจนบรรดาศิษยานุศิษย์ได้กราบไหว้สักการะ





เหรียญหล่อพิมพ์เศียรโล้น หลวงพ่อแก้ว พรหมสโร

เหรียญหล่อ ‘หลวงพ่อแก้ว’ วัดพวงมาลัย สมุทรสงคราม

ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 8 - 14 ธันวาคม 2566
คอลัมน์    - โฟกัสพระเครื่อง
เผยแพร่ - วันอาทิตย์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2566


“พระครูวินัยธรรม” หรือ “หลวงพ่อแก้ว พรหมสโร” วัดพวงมาลัย ต.บ้านปรก อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม พระเกจิอาจารย์ชื่อดังลุ่มน้ำแม่กลอง

เกียรติคุณปรากฏหลักฐานในพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่าวัดบ้านแหลมและวัดพวงมาลัย อุดมด้วยวัตถุมงคลเครื่องรางของขลัง

สร้างวัตถุมงคลไว้หลายอย่าง เช่น ตะกรุดใบลานบางปืน เหรียญปั๊ม และเหรียญหล่อหลายรุ่น เป็นที่นิยมและหวงแหนกันมาก

ที่ได้รับความนิยมสูง คือ “เหรียญหล่อพระพุทธพิมพ์เศียรโล้น”

สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2459 จัดเป็นเหรียญหล่อยอดนิยมอีกพิมพ์ สร้างด้วยเนื้อโลหะแบบทองผสม สีเหลืองอมเขียว สมัยก่อนพิมพ์เศียรโล้น ถือเป็นพิมพ์อันดับหนึ่งของเหรียญหล่อ ลักษณะมีหูในตัว

ด้านหน้า เป็นรูปพระพุทธนั่งปางสมาธิ ห่มจีวรลดไหล่ พาดผ้าสังฆาฎิ องค์พระมีเศียรโล้นตามพิมพ์ที่เรียก

ด้านหลัง เป็นอักขระยันต์

นอกจากนี้ ยังมี “เหรียญหล่อพระพุทธ พิมพ์เศียรแหลม”

ปัจจุบันมีราคาแพงและหายากยิ่ง




หลวงพ่อแก้ว พรหมสโร

หลวงพ่อแก้ว กำเนิดในปีมะแม พ.ศ.2393 พื้นเพเป็นชาว ต.บางแค อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม

ในวัยเยาว์ ศึกษาวิทยาคมจากบิดา ซึ่งอดีตเป็นทหารวังหน้า มีวิชาแก่กล้าเชี่ยวชาญพุทธาคม และเป็นคนโปรดของวังหน้า เมื่ออายุมากขึ้น จึงลาออกจากทหารวังหน้า มาอยู่ที่ ต.บางแค อ.อัมพวา ถ่ายทอดพุทธาคมให้กับบุตรชายทั้ง 3 คน

บรรพชาเมื่ออายุ 10 ขวบ จนอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ ตรงกับปี พ.ศ.2413 จึงอุปสมบทที่พัทธสีมาวัดบางแคใหญ่ มีหลวงพ่อเพ็ง วัดบางแคใหญ่ เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้นามฉายาว่า พรหมสโร

ศึกษาพุทธาคมและวิปัสสนากัมมัฏฐานกับหลวงพ่อเพ็ง วัดบางแคใหญ่ พระอุปัชฌาย์ ที่เชี่ยวชาญและเก่งกล้าในทางวิปัสสนากัมมัฏฐาน และเรืองอาคม

จากนั้น เดินทางไปเมืองเพชร เพื่อศึกษาเพิ่มเติมด้านเวทมนตร์และวิปัสสนากัมมัฏฐานที่วัดเขาตะเครา จ.เพชรบุรี

ทั้งยังศึกษาเพิ่มเติมกับพี่ชายคือ อาจารย์เกต วัดทองนพคุณ และจำพรรษาที่วัดแห่งนี้ จนพี่ชายได้เป็นเจ้าอาวาส พร้อมทั้งศึกษาเรียนรู้ด้านวิชาช่างไม้ ช่างปูน จากวัดต่างๆ ในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี จนมีความชำนาญด้วย

ด้วยเหตุที่พำนักจำพรรษาและใช้เวลาศึกษาสรรพศาสตร์ต่างๆ อยู่เมืองเพชรเป็นเวลานาน ทำให้มีคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นชาวเพชรบุรี

กระทั่งปี พ.ศ.2424 วัดช่องลม อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม ขาดเจ้าอาวาสปกครองดูแลวัด ชางบ้านจึงไปอาราธนาให้ครองตำแหน่งเจ้าอาวาส

หลังจากนั้น 6 ปี จึงย้ายไปดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพวงมาลัย

สําหรับวัดพวงมาลัย ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ ต.แม่กลอง อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม สร้างเมื่อปี พ.ศ.2430 โดยสัสดีพ่วง และนางมาลัย จึงตั้งชื่อวัดว่า วัดพวงมาลัย โดยอาราธนาหลวงพ่อแก้ว จากวัดช่องลม มาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสรูปแรก

ในห้วงที่ครองวัดพวงมาลัย มีผลงานการพัฒนาหลายประเภท โดยเฉพาะด้านการก่อสร้าง ด้วยมีฝีมือเชิงช่างที่ได้ศึกษามาจากเมืองเพชร ศิษย์ของสมัยนั้น หากลาสิกขาจะเก่งด้านช่างไม้, ช่างปูน สามารถนำไปประกอบอาชีพได้

รวมทั้งสร้างเจดีย์แบบมอญที่วัดพวงมาลัย เรียกว่า เจดีย์หงสาวดี หรือ เจดีย์หงษา ด้านในมีพระพุทธบาทจำลองและพระพุทธปฏิมากรอยู่ทั้ง 4 ทิศ

ในด้านวัตถุมงคลแล้ว ไม่มีใครในแม่กลองยุคนั้นที่จะไม่รู้จักตะกรุดใบลาน หรือที่เรียกกันภาษาชาวบ้านว่า “ตะกรุดบังปืน”

ด้วยอุปเท่ห์ในการสร้างที่ต้องเฉพาะเจาะจงให้ผู้ที่ต้องการตะกรุดไปใช้ ต้องไปตัดใบลานด้วยตัวเองจากต้นลาน ที่ปากคลองบางปืนเท่านั้น (ปัจจุบันคือบ้านบางปืน หมู่ 6 ต.นางตะเคียน อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม)

นอกจากตะกรุดบังปืนที่เลื่องชื่อ ยังมีผ้ายันต์ ลูกอม

ชื่อเสียงเกียรติคุณในด้านความเข้มขลังเป็นที่เล่าขานโด่งดังขนาดที่ว่าเจ้านายหลายพระองค์ในกรุงเทพฯ แวะมาสนทนาธรรมกับท่านถึงเมืองสมุทรสงคราม อาทิ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส, สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ฯลฯ

โดยเฉพาะสมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ทรงมีความคุ้นเคยกับหลวงพ่อแก้วเป็นพิเศษ โดยสร้างตำหนักส่วนพระองค์ชื่อว่า “ญาโณยาน” ไว้ที่ข้างวัดพวงมาลัย 1 หลัง เพื่อเป็นที่พักผ่อน

ตำหนักหลังดังกล่าวเป็นหลังเดียวกับที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต เคยเสด็จมาประทับ แต่ปัจจุบันตำหนักนั้นได้ชำรุดทรุดโทรมลงและถูกรื้อไปในที่สุด เหลือเพียงที่ดินตกทอดแก่ทายาทในตระกูลภาณุพันธ์ ซึ่งได้ถวายให้เป็นที่ธรณีสงฆ์

มรณภาพเมื่อปี พ.ศ.2462 สิริอายุ 69 ปี พรรษา 49


4
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26 กันยายน 2567 18:08:38 โดย ใบบุญ » บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 13
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2632


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #193 เมื่อ: 29 กันยายน 2567 17:36:06 »


เหรียญหลวงปู่ผ่าน ปัญญาปทีโป

เหรียญรูปเหมือน-รุ่นแรก หลวงปู่ผ่าน ปัญญาปทีโป พระป่าศิษย์สายหลวงปู่มั่น

ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 15 - 21 ธันวาคม 2566
คอลัมน์    - โฟกัสพระเครื่อง
เผยแพร่ - วันอาทิตย์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ.2566


“หลวงปู่ผ่าน ปัญญาปทีโป” อดีตเจ้าอาวาสวัดปาประทีปปุญญาราม ต.โพนแพง อ.อากาศอำนวย จ.สกลนคร พระสายป่านักปฏิบัติสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่มีวัตรปฏิบัติอันน่ายกย่อง เป็นพระสุปฏิปันโน ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เคร่งครัดในพระธรรมวินัย

จัดสร้างวัตถุมงคลกว่า 40 รุ่น แต่ที่ได้รับความนิยมอย่างสูง คือ “เหรียญรุ่น 1 พ.ศ.2521” สร้างโดย “นายเซียมฮ้อ” หรือ “เจ๊กฮ้อ” ถวายไว้แจกเป็นที่ระลึกแก่ผู้ที่มาทำบุญ

ลักษณะรูปไข่ มีหูห่วง จัดสร้างเป็นเนื้อทองแดงรมดำ จำนวน 4,200 เหรียญ

ด้านหน้า ขอบรอบวงรีมีเส้นสันนูน ขอบชั้นในมีลวดลาย ใต้หูห่วงเหนือรูปหลวงปู่มียันต์ตัว “นะ” ใกล้ขอบชั้นในจากซ้ายไปขวาเป็นอักขระ ตรงกลางมีรูปเหมือนนั่งขัดสมาธิเต็มองค์ บนอาสนะ ด้านล่างสุดเขียนว่า “พระอาจารย์ผ่าน ปัญญาปทีโป”

ด้านหลัง มีเส้นสันนูนหนา ใกล้ขอบเหรียญจากซ้ายไปขวา มีตัวหนังสือนูนคำว่า “วัดป่าปทีปปุญญาราม บ้านเซือม” ตรงกลางเหรียญมีอักขระ ล้อมรอบตารางสี่เหลี่ยมจัตุรัส

ภายในช่องสี่เหลี่ยม มีตารางสี่เหลี่ยมจัตุรัสแบ่งเป็น 4 ช่อง ในแต่ละช่องสี่เหลี่ยมเล็กมีอักขระ 4 ตัว เป็นอักขระ ด้านล่างสุดระบุ “พ.ศ.๒๕๒๑”

เป็นอีกเหรียญที่ควรเก็บสะสม




หลวงปู่ผ่าน ปัญญาปทีโป

มีนามเดิมว่า ผ่าน หัตถสาร เกิดเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2465 ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 2 ปีจอ ที่บ้านเซือม ต.โพนแพง อ.อากาศอำนวย จ.สกลนคร บิดา-มารดาชื่อ นายด่าง และนางจันทร์เพ็ง หัตถสาร

เมื่อปี พ.ศ.2480 อายุ 15 ปี บรรพชาที่วัดทุ่ง ต.อากาศ อ.อากาศอำนวย จ.สกลนคร มีพระครูวิรุฬห์นวกิจ เป็นพระอุปัชฌาย์ พ.ศ.2485

อายุ 20 ปี เข้าพิธีอุปสมบทที่พัทธสีมาวัดทุ่ง ต.อากาศ อ.อากาศอำนวย จ.สกลนคร โดยมีพระครูวิรุฬห์นวกิจ เป็นพระอุปัชฌาย์ และพระมาก เป็นพระกรรมวาจาจารย์

ญัตติเป็นพระธรรมยุต เมื่อวันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม 2490 ที่พัทธสีมาวัดจอมศรี ต.พันดอน อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี มีพระครูพิทักษ์คณานุการ เป็นพระอุปัชฌาย์ และพระสมุห์ภา เป็นพระกรรมวาจาจารย์

หลังจากนั้นได้ศึกษาพระปริยัติธรรม รวมทั้งข้อวัตรปฏิบัติกับพระเถราจารย์กรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เช่น หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม วัดอรัญญวิเวก อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม, หลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณนานิคม จ.สกลนคร, หลวงปู่อุ่น อุตตโม วัดอุดมรัตนาราม อ.อากาศอำนวย จ.สกลนคร เป็นต้น

เมื่อปี พ.ศ.2490 จำพรรษากับหลวงปู่อุ่น อุตตโม ณ วัดอุดมรัตนาราม ต.อากาศ อ.อากาศอำนวย จ.สกลนคร และหลวงปู่อุ่นได้พาหลวงปู่ผ่านไปกราบนมัสการหลวงปู่มั่น ที่วัดป่าบ้านหนองผือ (วัดป่าภูริทัตตถิราวาส) ต.นาใน อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร หลายครั้ง

ครั้นออกพรรษาแล้วได้กราบลาเพื่อไปอยู่ศึกษาพระปริยัติธรรมและวิปัสสนากัมมัฏฐานกับหลวงปู่มั่น โดยเดินทางไปกับสามเณรน้อยรูปหนึ่ง พอไปถึงกราบนมัสการหลวงปู่มั่นแล้ว ท่านพูดว่า “ท่านผ่านมากับเณรน้อยแท้ มันไข้ได๋” (มีสามเณรอายุน้อยมาด้วย จะเป็นไข้ป่าได้ง่าย)

หลวงปู่ผ่าน ตอบว่า “ครับผม ไม่มีคนมา กระผมจึงมากับเณรน้อย”

เวลาเย็นก็พากันไปสรงน้ำพระอาจารย์มั่น หลวงปู่ผ่านเป็นพระผู้น้อยเพียง 1 พรรษา จึงได้ถูหลังเท้า พระรูปอื่นก็ได้ถูแข้ง ถูขา ถูแขน หลวงปู่บอกว่า “เท้าของหลวงปู่มั่นนิ่มมากๆ ถึงแม้ว่าจะเดินธุดงค์มาตลอดแต่เท้ากลับนิ่ม” ซึ่งตรงกับที่หลวงปู่หลุย จันทสาโร เคยบอกไว้ว่า “เท้าท่านพระอาจารย์มั่นนิ่ม ท่านเป็นผู้มีบุญมาก เราคนเท้าแข็งเป็นคนบาป”

ในครั้งนั้นมีพระเณร 10-20 รูป อาทิ พระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน, พระอาจารย์อ่อนสา สุขกาโร, พระอาจารย์วัน อุตตโม, พระอาจารย์หลุย จันทสาโร, พระอาจารย์คำพอง ติสโส, พระอาจารย์หล้า เขมปัตโต, สามเณรบุญเพ็ง (หลวงปู่บุญเพ็ง เขมาภิรโต วัดถ้ำกลองเพล ต.โนนทัน อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู)

หลวงปู่ผ่าน เป็นพระเถระพระป่าอีกรูปหนึ่งที่มีศีลาจารวัตรที่งดงามน่าเลื่อมใส แม้สังขารจะล่วงเข้าวัยชรา แต่ยังได้ออกมารับญาติโยมที่เดินทางมาจากแดนใกล้ไกลไปคารวะนมัสการทุกวันไม่เว้น มิได้ขาดจำนวนมาก

ทุกครั้งที่ญาติโยมขอพรขอศีล ท่านจะบอกว่า มีหลักอยู่ 3 อย่าง คือ “ขออย่าได้เจ็บ อย่าได้ป่วยไข้ และสุดท้ายอย่าลืมหายใจ”

เมื่อใครได้เข้ากราบไหว้ทำให้จิตใจสงบและร่มเย็นเป็นสุข เมื่อได้สดับฟังหลักธรรมจากท่าน

หลังออกพรรษา ปี พ.ศ.2553 เริ่มอาพาธ ตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายนเป็นต้นมา แต่ยังคงพักรักษาตัวอยู่ที่วัด จนกระทั่งวันที่ 13 พฤศจิกายน อาการอาพาธเริ่มหนักขึ้น คณะศิษย์จึงนำท่านเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลจังหวัดสกลนคร โดยคณะแพทย์ได้ทำการตรวจวินิจฉัยโรค และผลปรากฏว่าอาพาธด้วยโรคเนื้องอกในกระเพาะอาหาร และกระเพาะปัสสาวะ

ภายหลังการผ่าตัด อาการมีแต่ทรงกับทรุด ไตไม่ตอบสนอง

จนเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2554 เวลาประมาณเที่ยงคืนครึ่ง จึงละสังขารด้วยอาการอันสงบ

สิริอายุ 89 ปี พรรษา 64 •




เหรียญโสฬสมงคล หลวงพ่อสมควร วิชชาวิสาโล

เหรียญโสฬสมงคล 2520 หลวงพ่อสมควร วัดถือน้ำ พระเกจิชื่อดังนครสวรรค์

ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 22 - 28 ธันวาคม 2566
คอลัมน์ - โฟกัสพระเครื่อง
เผยแพร่ - วันอาทิตย์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ.2566


“พระครูนิมิตนวกรรม” หรือ “หลวงพ่อสมควร วิชชาวิสาโล” วัดศรีสวรรค์สังฆาราม (วัดถือน้ำ) ต.นครสวรรค์ออก อ.เมือง จ.นครสวรรค์ พระเถระนักปฏิบัติ นักพัฒนา ผู้มีเมตตาจิตสูง รักสันโดษ เชี่ยวชาญวิปัสสนากรรมฐานและศาสตร์ต่างๆ

ชาวนครสวรรค์ต่างเคารพในวัตรปฏิบัติ ถึงกับให้สมญานามว่า “เทพเจ้าแห่งค่ายจิรประวัติ”

ปี พ.ศ.2520 พ.อ.แสวง อริยะกุล ขออนุญาตจัดสร้าง “เหรียญโสฬสมงคล” ถวาย เพื่อหารายได้สมทบทุนบูรณะวัด โดยจัดสร้างเพียง 2 เนื้อ มีเนื้อเงินและเนื้อทองแดงมันปู

ลักษณะทรงกลมรูปไข่ หูห่วงยกซุ้ม ด้านหน้า รอบขอบเป็นเกลียวเชือก ซุ้มหูห่วงเป็นลายกนก ตรงกลางเหรียญเป็นรูปนูนครึ่งองค์ ด้านซ้ายและขวามียันต์นูน “สุริยันจันทรา” ด้านล่างมีอักษรไทย “โสฬสมงคล”

ด้านหลัง ไม่มีขอบ ตรงกลางเป็นเส้นตารางสี่เหลี่ยมเล็ก 16 ช่อง แต่ละช่องเป็นเลขไทย (ยันต์โสฬส) รอบๆ ตารางสี่เหลี่ยมใหญ่ มีอักขระขอม “นะ ชา ลี ติ, ชา ลี ติ นะ, ลี ติ นะ ชา, ติ นะ ชา ลี” รอบเหรียญมีอักษรไทย เขียนว่า “พ.อ.แสวง อริยะกุล อนุโมทนา พระอาจารย์สมควร วิชชาวิสาโล วัดศรีสวรรค์สังฆาราม (ถือน้ำ) นครสวรรค์ ๒๕๒๐”

ปลุกเสกเดี่ยวตลอดไตรมาส (3 เดือน) แล้วจัดพิธีพุทธาภิเษก โดยพระเกจิคณาจารย์อีกครั้ง




หลวงพ่อสมควร วิชชาวิสาโล

ชาติภูมิเป็นชาวเวียดนาม เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 17 กันยายน 2459 ที่จังหวัดตาวิน เมืองไซ่ง่อน เป็นบุตรนายเซ็นแน และนางสุพันธุ์ สุริยประภา (เซิงหงก)

ศึกษาเบื้องต้นที่โรงเรียนวัดโพนโด่ง จังหวัดตาวิน จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เมื่อปี พ.ศ.2471

อายุครบ 20 ปี เข้าพิธีอุปสมบทที่วัดจงโกรม ไซ่ง่อน เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2479 มีพระธรรมจริยาพฤติ วัดมณีเพตราราม เจ้าคณะจังหวัดพระตระบอง เป็นพระอุปัชฌาย์

พ.ศ.2480 เดินทางมาประเทศกัมพูชาและจำพรรษาที่วัดลำดวน อ.พระตะบอง ศึกษาเล่าเรียนบาลี นักธรรม และเป็นครูประชาบาลไปด้วย

ปลายปี พ.ศ.2484 ไทยได้ปกครองจังหวัดพระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ จึงกลับไปอยู่กับพระอุปัชฌาย์ที่เมืองเสียมราฐ และศึกษาจนสอบได้นักธรรมชั้นตรี-โท ที่สำนักเรียนวัดโพธิ์ศักดิ์ จ.พระตะบอง ก่อนไปศึกษาพระธรรมและปฏิบัติกัมมัฏฐานกับพระอาจารย์คิมออม วัดโพนโด่ง พระอาจารย์ถังฮาย วัดจงโกรม ประเทศเวียดนามใต้อยู่ 2 พรรษา ก่อนมาศึกษาด้านวิทยาคมที่สำนักพระครูแลน วัดมะถัก อ.ศรีโสภณ

กระทั่งปี พ.ศ.2487 เดินธุดงค์เข้ามาประเทศไทยเพื่อศึกษาพระพุทธศาสนา ธุดงค์ผ่านอรัญประเทศ จ.ปราจีนบุรี สระบุรี บุรีรัมย์ สุรินทร์ ไปจนถึงเชียงใหม่ แล้วย้อนลงมาจำพรรษาที่วัดถือน้ำ จ.นครสวรรค์ ในปี พ.ศ.2490

จากนั้นก็ออกธุดงค์ไปปฏิบัติธรรมที่เขากาซาก อ.ตาคลี เขาม่อนทลายนอน ถ้ำผาไท พระธาตุจอมแจ้ง พระธาตุช่อแฮ ถ้ำผาลม ถ้ำเชียงดาว ได้พบกับพระเกจิอาจารย์หลายรูป

ช่วงที่ธุดงค์ผ่านนครชัยศรี จ.นครปฐม ประมาณ พ.ศ.2499 ไปช่วยสร้างอุโบสถวัดสาละวัน และมีโอกาสได้พบกับ “สมเด็จป๋า” สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (ปุ่น ปุณณสิริ) วัดโพธิ์ เมื่อครั้งยังดำรงตำแหน่งเจ้าคณะภาค 7 จึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นฐานานุกรม ที่พระครูใบฎีกา พร้อมทั้งเข้าร่วมงานพิธีฉลองครบ 25 ศตวรรษ เมื่อปี พ.ศ.2500 ด้วย

ก่อนที่จะมาอยู่วัดถือน้ำ ธุดงค์ผ่านนครสวรรค์มาทาง อ.ชุมแสง เข้าจำพรรษาที่วัดจอมคีรีนาคพรต (วัดเขา) ได้เห็นทัศนียภาพ บึงบอระเพ็ดมีดอกบัวสวยงาม จึงอยากอยู่ที่เมืองนครสวรรค์

วัดถือน้ำในขณะนั้นถือได้ว่าเป็นวัดเก่าแก่ มีพระสงฆ์อยู่จำพรรษาน้อยรูป เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม เมื่อญาติโยมไปกราบนิมนต์ขอให้ท่านกลับมาจำพรรษาที่วัด เพื่อช่วยรวบรวมปัจจัยช่วยสร้างวัดถือน้ำให้เจริญรุ่งเรือง ท่านก็ไม่ขัดศรัทธา

แต่เมื่อบูรณะวัดเสร็จแล้ว ท่านยังคงเดินทางไปพำนักตามป่าเขาแถว จ.อุทัยธานี เหมือนเดิม

จนถึงปี พ.ศ.2531 จึงเดินทางกลับมาจำพรรษาที่วัดถือน้ำแห่งเดียว

สร้างวัตถุมงคลไว้มากมายเพื่อแจกจ่ายให้ทหารและประชาชนไปบูชา

หากได้ศึกษาเจาะลึกจริงๆ แล้วจะพบว่าวัตถุมงคลทุกอย่างต้องมีขั้นตอน ต้องมีฤกษ์ยาม ต้องเจริญพระพุทธมนต์ตั้งแต่การทำส่วนผสมหรือการปลุกเสก ลงเลขยันต์ต่างๆ อย่างละเอียด

นอกจากนี้ ก่อนจะแจกวัตถุมงคล จะต้องลงเหล็กจารเขียนยันต์ที่เหรียญเกือบทุกครั้ง ส่วนใหญ่จะลงยันต์ มะ อะ อุ หรือ จะ ภะ กะ สะ

แม้จะเป็นพระสงฆ์ที่พูดน้อย แต่ทุกถ้อยคำมีคุณค่าน่าฟัง

ต่อมาในปี พ.ศ.2546 มีอายุมากขึ้นจึงต้องรับกิจนิมนต์น้อยลง และได้รับการดูแลจากแพทย์ประจำโรงพยาบาลค่ายจิรประวัติเป็นอย่างดี ซึ่งต่อมาก็ได้เข้าโรงพยาบาลเป็นประจำ เนื่องจากมีสุขภาพไม่แข็งแรง

สุดท้าย มรณภาพลงอย่างสงบ ในวันที่ 3 ตุลาคม 2547 เวลา 13.10 น. ที่โรงพยาบาลค่ายจิรประวัติ อ.เมือง จ.นครสวรรค์

สิริอายุ 88 ปี พรรษา 66 •


4
บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 13
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2632


ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 129.0.0.0 Chrome 129.0.0.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #194 เมื่อ: 03 ตุลาคม 2567 11:55:58 »


พระสมเด็จหลังยันต์ตรีนิสิงเห

สมเด็จหลังยันต์ตรีนิสิงเห หลวงพ่อยิด วัดหนองจอก พระเกจิดังประจวบคีรีขันธ์

ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 29 ธันวาคม 2566 - 4 มกราคม 2567
คอลัมน์ - โฟกัสพระเครื่อง
เผยแพร่ - วันอาทิตย์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2566


“หลวงพ่อยิด จันทสุวัณโณ” หรือ “พระครูนิยุตธรรมสุนทร” วัดหนองจอก ต.ดอนยายหนู อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง

สร้างพระเครื่องวัตถุมงคลและเครื่องรางของขลังไว้มากมายหลายชนิด ที่ขึ้นชื่อคือ ปลัดขิก โดดเด่นในทางเมตตามหานิยม เป็นที่นิยมกว้างขวางในหมู่ทหารและตำรวจ

ปี พ.ศ.2536 จัดสร้าง “พระสมเด็จหลังยันต์ตรีนิสิงเห” แจกเป็นที่ระลึกในงานทอดผ้าป่าสามัคคี เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2536 นำทุนทรัพย์จัดสร้างกุฏิสงฆ์ สำนักสงฆ์ไร่เนิน

โดยมีพระไชยา ปัญญาธโร ดำเนินการจัดสร้าง พระนำโชค เตชธัมโม นำมวลสารว่าน 108 ผสมผงยาจินดามณี วัดกลางบางแก้ว พร้อมเส้นเกศาหลวงพ่อยิด และเกศาหลวงพ่อหวล วัดประดิษฐนาราม ใส่ในเนื้อพระ แร่เกาะล้านใส่ในเนื้อพระด้วย ปลุกเสกเดี่ยว 1 เดือนเต็ม

พระสมเด็จหลังยันต์ตรีนิสิงเหนี้ฝังตะกรุดทองคำ 15 องค์, ฝังตะกรุดเงิน 128 องค์ และไม่ฝังตะกรุด 5,999 องค์

จารตะกรุดทุกดอกที่ใส่ไว้ในองค์พระด้วยตัวท่านเอง และปรารภว่า พระสมเด็จชุดนี้หากผู้ใดจะปลูกบ้านยกเสาเอกไม่มีผ้ายันต์แขวนหัวเสา ให้เอาพระสมเด็จหลังยันต์ตรีนิสิงเหแขวนแทนได้

ลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ด้านหน้า ตรงกลางเป็นรูปนูนพระพุทธนั่งสมาธิในซุ้มหวาย

ด้านหลังตรงกลางเป็นยันต์ตรีนิสิงเห ด้านล่างมีอักษรไทย “ว.น.จ.”

เป็นพระผงที่ได้รับความนิยมในพื้นที่เมืองประจวบฯ และใกล้เคียง   





หลวงพ่อยิด จันทสุวัณโน

มีนามเดิมว่า ยิด ศรีดอกบวบ เกิดเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2476 บิดา-มารดา ชื่อนายแก้วและนางพร้อย ศรีดอกบวบ

อายุ 9 ขวบ บรรพชาในวัดบ้านเกิด ฝึกปฏิบัติสมาธิ ศึกษาอักขระเลขยันต์ ศึกษาพระปริยัติธรรม กระทั่งอายุ 14 ปี จึงสึกออกมาช่วยครอบครัวหาเลี้ยงชีพ

อายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ เข้าพิธีอุปสมบท มีหลวงปู่อินทร์ วัดยาง เป็นพระอุปัชฌาย์ และพระอธิการหวล เป็นพระอนุสาวนาจารย์

ฝากตัวเป็นศิษย์กับหลวงปู่ศุข วัดโตนดหลวง เพื่อศึกษาวิทยาคมเพิ่มเติม และยังได้ออกธุดงค์ไปตามสถานที่วิเวกต่างๆ ในหลายพื้นที่ รวมทั้งได้เดินเท้าเข้าไปในฝั่งประเทศพม่า เป็นต้น

จนกระทั่งปี พ.ศ.2487 บิดาล้มป่วย จึงเดินทางกลับมา ด้วยความกตัญญูรู้คุณ ลาสิกขาออกมาดูแล และแต่งงานมีครอบครัว

ท้ายที่สุด เมื่อบิดา-มารดาถึงแก่กรรมในปี พ.ศ.2518 จึงได้เข้าพิธีอุปสมบทอีกครั้ง ที่วัดเกาะหลัก มีเจ้าคณะจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ขณะนั้นเป็นพระอุปัชฌาย์

อยู่จำพรรษาเป็นพระลูกวัดที่วัดทุ่งน้อย อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์

ต่อมาชาวบ้านหนองจอก ต.ดอนยายหนู ทราบข่าวจึงยกที่ดินให้จำนวน 21 ไร่ 2 งาน เป็นพื้นที่ป่า เพื่อให้สร้างวัดขึ้น

ได้รับความศรัทธาจากนายทหาร ตำรวจ ข้าราชการ ประชาชน เป็นจำนวนมาก ที่เข้ามาขอรับวัตถุมงคล อาทิ ตะกรุด พระเครื่อง ปลัดขิก เนื่องจากเชื่อกันว่า วัตถุมงคลมีพุทธคุณโดดเด่นรอบด้าน เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในวงการพระเครื่อง

วัตรปฏิบัติ ใน 1 ปี จะสรงน้ำปีละครั้งเท่านั้น โดยอนุญาตให้ใช้แปรงทองเหลืองที่ใช้ขัดเหล็ก ขัดตามตัว แขนขา แต่แปรงทองเหลืองไม่ได้ระคายผิวหนังแม้แต่น้อย หลังจากขัดตัวแล้วเสร็จ จะมอบวัตถุมงคลให้นำไปบูชากันอย่างทั่วถึง

สำหรับปัจจัยที่ได้รับจากการบริจาค จะนำไปสมทบทุนการศึกษา ทำนุบำรุงศาสนา สังคมและชุมชน จนกลายเป็นประเพณีถือปฏิบัติต่อมา

ได้ชื่อว่าเป็นพระนักพัฒนาที่มีฝีมือรูปหนึ่ง เห็นได้จากการสร้างสรรค์พัฒนาให้วัดหนองจอก จนเป็นวัดที่สมบูรณ์มีถาวรวัตถุทางศาสนาครบ สร้างได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว

นอกจากนี้ ยังพัฒนาจิตใจและการศึกษาของเด็กและเยาวชนอย่างเต็มที่ โดยสนับสนุนด้านทุนการศึกษา ทุนอาหารกลางวันแก่โรงเรียนหลายแห่งใน จ.ประจวบคีรีขันธ์ รวมทั้งร่วมสร้างสาธารณประโยชน์แก่สถานที่ราชการและหน่วยราชการมากมาย

มีกิจนิมนต์ในการปลุกเสกพระเครื่องและเครื่องรางของขลังทั่วประเทศ จนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน ในวันเสาร์ 5 ปลุกเสกวัดแรกที่ จ.นครสวรรค์ วัดสุดท้ายที่วัดหนองจอก แต่ละวัดจะปลุกเสกวัดละ 30 นาที รวมทั้งหมดวันเดียวปลุกเสก 9 วัด

แต่ด้วยสังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยง จึงมรณภาพลงอย่างสงบ เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2538 สิริรวมอายุ 71 ปี พรรษา 30

แม้จะมรณภาพลง ชาวบ้านในพื้นที่จึงได้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิพระครูนิยุตธรรมสุนทร (หลวงพ่อยิด จันทสุวัณโณ) เพื่อบำรุง บูรณปฏิสังขรณ์ศาสนสถาน เป็นทุนภัตตาหาร การศึกษา และพยาบาล พระภิกษุ สามเณร ทุนการศึกษาแก่เด็กนักเรียน นักศึกษาที่เรียนดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ส่งเสริมและสนับสนุนในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาและดำเนินการเพื่อสาธารณประโยชน์

แต่ละปีจะมีการนำดอกผลบริจาคให้กับสาธารณะมาโดยตลอด มอบเป็นทุนการศึกษาให้แก่เด็กนักเรียนที่เรียนดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ สงเคราะห์ผู้สูงอายุ บำรุงการศึกษาให้แก่พระภิกษุ สามเณร ที่เล่าเรียนพระธรรมวินัย พร้อมทั้งบำรุงซ่อมแซมถาวรวัตถุวัดหนองจอก ค่าบำรุงการศึกษานักเรียนในเขตอำเภอกุยบุรี จำนวนทั้งสิ้น 26 โรงเรียน

นอกจากนี้ ยังปรับปรุงศาลาอเนกประสงค์หมู่บ้านหนองจอก มอบเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นสื่อการเรียนการสอนให้ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ค่าอาหารเสริมให้นักเรียน ปรับปรุงห้องสมุด โรงเรียน สนับสนุนงบในการจัดทำโครงการพัฒนายกระดับคุณภาพกระบวนการจัดการเรียนรู้ เป็นต้น •




เหรียญปั๊มแซยิด หลวงปู่รอด วัดบางน้ำวน

เหรียญหล่อ-ปั๊มแซยิด หลวงปู่รอด วัดบางน้ำวน พระเกจิชื่อดังสมุทรสาคร

ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 5 - 11 มกราคม 2567
คอลัมน์ - โฟกัสพระเครื่อง
เผยแพร่ - วันอาทิตย์ที่ 7 มกราคม พ.ศ.2567


“หลวงปู่รอด พุทธสัณโฑ” วัดบางน้ำวน ต.บางโทรัด อ.เมือง จ.สมุทรสาคร พระเกจิอาจารย์ทรงวิทยาคมอีกรูป

สร้างวัตถุมงคลและเครื่อรางของขลังเอาไว้หลายรุ่น เช่น ตะกรุดโทน เหรียญหล่อเหรียญปั๊มรุ่นแซยิด เหรียญหล่อพิมพ์พนมมือ เหรียญปั๊มพิมพ์เสมาอัลปาก้า เป็นต้น

ล้วนได้รับความเลื่อมใส นิยมนำไปคล้องคอติดตัว เพื่อความเป็นสิริมงคล

ที่ได้รับความนิยมสูง คือ “เหรียญหล่อแซยิด”





เหรียญหล่อแซยิด หลวงปู่รอด วัดบางน้ำวน

ย้อนไปในปี พ.ศ.2477 ตรงกับปีที่อายุครบ 72 ปี ชาวบ้านบางน้ำวน พร้อมใจกันจัดงานฉลองแซยิดให้เพื่อแสดงความกตเวทิตาคุณ โดยจัดสร้างเหรียญจอบเป็นที่ระลึก มีทั้งที่เป็นเหรียญหล่อและเหรียญปั๊ม ถือเป็นเหรียญที่ได้รับความนิยมสูงสุด จัดอยู่ในเบญจภาคีเหรียญหล่อ

ลักษณะเป็นเหรียญรูปจอบ สร้างด้วยเนื้อโลหะผสมแก่ทองเหลือง มีหูสำหรับห้อยพระในตัว

ด้านหน้า จำลองรูปเหมือนหลวงปู่รอด ในลักษณะนั่งมีอาสนะรองรับ ห่มจีวรลดไหล่ พาดผ้าสังฆาฏิ มือทั้งสองข้างจับที่หัวเข่า มีอักขระไทยซ้ายขวา อ่านว่า “วัดบางน้ำวน” ใต้องค์พระมีอักขระไทย อ่านว่า “พุทธสัณโท งานแซยิด พศ๒๔๗๗” ข้างขอบของเหรียญมีเส้นนูนล้อไปกับพิมพ์พระ

ด้านหลัง เรียบใน บางเหรียญมีรอยจารด้วย

ส่วนเหรียญปั๊มข้างเลื่อย ตัวเหรียญมีลักษณะเป็นเหรียญรูปจอบ สร้างด้วยเนื้อทองแดง มีหูสำหรับห้อยพระในตัว

ด้านหน้า จำลองรูปเหมือนนั่งมีอาสนะรองรับ ปู่ห่มจีวรลดไหล่ พาดผ้าสังฆาฏิ มือทั้งสองข้างจับที่หัวเข่า ด้านข้างมีอักขระไทยซ้าย-ขวา อ่านว่า “วัดบาง น้ำวน” ใต้องค์พระมีอักขระไทยอ่านว่า “พุทธสัณโท งานแซยิด พ.ศ.๒๔๗๗” ข้างขอบของเหรียญมีเส้นนูนล้อไปกับพิมพ์พระ

ด้านหลัง เรียบในบางองค์มีรอยจาร

กล่าวขานกันว่าผู้ใดพกพาอาราธนาติดตัวว่าจะรอดพ้นจากภัยพิบัตินานัปการ ดลบันดาลให้มีความสุข ความเจริญ อายุยืนยาวนาน

ปัจจุบันนับเป็นที่นิยมและหายาก





หลวงปู่รอด พุทธสัณโฑ

อัตโนประวัติ เกิดเมื่อวันพุธ ขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 ปีกุน พ.ศ.2406 ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 4 บิดา-มารดา ชื่อ นายทองดี และนางเกษม บุญส่ง มีเชื้อสายรามัญ

ช่วงเยาว์วัย บิดา-มารดานำมาฝากหลวงปู่แค เจ้าอาวาสวัดบางน้ำวน ให้เลี้ยงดู เนื่องจากเป็นเด็กที่เลี้ยงยาก อ่อนแอ เป็นเด็กขี้โรค จึงยกให้เป็นบุตรบุญธรรมหลวงปู่แค ตั้งแต่นั้นมาก็หายจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ จึงตั้งชื่อให้ว่า “รอด”

อายุ 12 ปี เข้าพิธีบรรพชา ตรงกับปี พ.ศ.2418 ศึกษาพระปริยัติธรรม พร้อมทั้งศึกษาวิชาอาคม และวิชาวิปัสสนากัมมัฏฐานจากหลวงปู่แค

อายุครบ 20 ปี เข้าพิธีอุปสมบท โดยมี พระอธิการแค เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอาจารย์แจ้ง วัดใหญ่บ้านบ่อ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์ปั้น วัดใหญ่บ้านบ่อ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “พุทธสัณโฑ”

เรียนและฝึกวิปัสสนารวมถึงพุทธาคมจากพระอุปัชฌาย์ หลังหลวงปู่แคมรณภาพลง ได้รับการสนับสนุนจากชาวบ้านและคณะสงฆ์ขึ้นเป็นเจ้าอาวาสสืบแทน

สําหรับวัดบางน้ำวน ตั้งอยู่เลขที่ 81 หมู่ที่ 4 ต.บางโทรัด อ.เมือง จ.สมุทรสาคร สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย มีที่ดินตั้งวัดจำนวน 54 ไร่ 1 งาน 74 ตารางวา ได้รับหนังสือรับรองสภาพวัด เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2528 โดยกรมการศาสนา

ตั้งอยู่ใกล้กับถนนสายธนบุรี-ปากท่อ ก.ม.ที่ 40 จากกรุงเทพฯ อยู่ทางซ้ายมือ มีถนนเชื่อมต่อถึงวัดระยะทางประมาณ 1,600 เมตร บริเวณหน้าวัดติดกับคลอง ซึ่งเป็นแม่น้ำสามสายมาบรรจบกัน

สร้างขึ้นประมาณปี พ.ศ.2357 สร้างขึ้นโดยการนำของสามเณรและชาวมอญ ที่อพยพโยกย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่ตำบลนี้ เพื่อใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติศาสนกิจของสงฆ์ ให้ชาวบ้านได้ทำบุญสุนทาน เป็นแหล่งบวชเรียนและศึกษาวิชาความรู้ของบุตรหลานชาวมอญ

ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาในสมัยพระอาจารย์แค เมื่อปี พ.ศ.2407 และผูกพัทธสีมาในปีเดียวกัน

ในอดีตวัดบางน้ำวน บริเวณหน้าวัดจะมีน้ำวนที่เชี่ยวกราก ผู้ใดที่ไม่รู้จักร่องน้ำในการเดินเรือ เรือจมกันมาหลายต่อหลายลำแล้ว จนกลายเป็นที่มาของชื่อวัด

ด้วยวัตรปฏิบัติเป็นที่เลื่อมใสของชาวบ้าน ต่างพากันมาช่วยเป็นกำลังในการบูรณปฏิสังขรณ์ วัดวาอารามจนเจริญรุ่งเรือง เป็นลำดับ ถึงความเจริญจะเข้าสู่วัดบางน้ำวนแล้ว ท่านก็ยังมีเมตตาช่วยเหลือพัฒนาวัดต่างๆ ด้วย เช่น วัดบางกระเจ้า วัดบางสีคต วัดนาโคก วัดบางลำพู วัดบางจะเกร็ง วัดเจริญสุขาราม ฯลฯ

นอกจากหลวงปู่รอด ช่วยพัฒนาวัดวาอารามอื่นๆ แล้ว ยังช่วยพัฒนาในด้านการศึกษา จัดการเรียนการสอนพระปริยัติธรรม และยังสร้างโรงเรียนประชาบาลไว้ให้กุลบุตร กุลธิดาได้ศึกษาเล่าเรียนกัน โดยมีชื่อของโรงเรียนว่ารอดพิทยาคม เพื่อเป็นอนุสรณ์

ออกธุดงค์ไปยังประเทศพม่าเป็นเวลาหลายปี ผ่านไปเมืองเมาะลำเลิง ซึ่งเป็นตระกูลกำเนิดปู่ย่าตายาย จากนั้นผ่านเมืองย่างกุ้ง ข้ามมาระนอง เข้าเมืองกาญจน์

ระหว่างออกธุดงค์นั้น ได้ศึกษาเล่าเรียนวิชาเมตตามหานิยม วิชาคงกระพันชาตรี วิชาทำผ้ายันต์บังไพร วิชาทำธงไม่ให้ฝนตก วิชาเสกของหนักให้เบา วิชาแพทย์แผนโบราณ จากคณาจารย์ชาวมอญ พม่า กะเหรี่ยง

อีกทั้งสนใจเรื่องสมุนไพรเป็นพิเศษ จึงจดจำตำรายาทุกชนิดได้อย่างแม่นยำ

เมื่อเข้าสู่วัยชรา ชาวบ้านจึงขอร้องให้ประจำที่วัดและได้ตั้งกฎระเบียบทำวัตรปฏิบัติธรรมของวัดบางน้ำวน คือ จากสองทุ่มถึงสี่ทุ่มทุกคืน จนเป็นกิจวัตรของวัดบางน้ำวน และมีการตีกลอง ระฆังย่ำค่ำจนถึงปัจจุบัน

ลำดับงานปกครอง พ.ศ.2437 เป็นเจ้าอาวาสวัดบางน้ำวน

พ.ศ.2447 เป็นเจ้าอธิการ (เจ้าคณะตำบล)

พ.ศ.2452 เป็นพระอุปัชฌาย์สามัญ

ลำดับสมณศักดิ์ พ.ศ.2482 เป็นพระครูชั้นประทวน และพระครูคณะกรรมการการศึกษา

มรณภาพเมื่อเวลา 00.20 น. วันจันทร์ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 12 พ.ศ.2487 •


บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 13
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2632


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #195 เมื่อ: 12 ตุลาคม 2567 16:28:00 »



เหรียญรูปเหมือนรุ่นแรก หลวงปู่เสือ วัดคงคาเลิงใต้

ที่มา - คอลัมน์โฟกัสพระเครื่อง  มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 12 - 18 มกราคม 2567
เผยแพร่ - วันอาทิตย์ที่ 14 มกราคม พ.ศ.2567


“หลวงปู่เสือ สุวัณโณ” อดีตเจ้าอาวาสวัดคงคาเลิงใต้ ต.เลิงใต้ อ.โกสุมพิสัย จ.มหาสารคาม

เป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดังสายวิปัสสนากัมมัฏฐาน ที่มีวัตรปฏิบัติเคร่งครัด สืบสายธรรมจากหลวงปู่ศรีธรรมศาสน์ วัดใต้โกสุม อ.โกสุมพิสัย

วัตถุมงคลได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เหรียญต่างๆ ล้วนมีประสบการณ์แคล้วคลาด ส่งผลให้พระเครื่องต่างๆ ได้รับความนิยมสูง แต่ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก คือ “เหรียญรูปเหมือน” ปี พ.ศ.2529

รุ่นนี้ วัดคงคาเลิงใต้ จัดสร้างในวาระสิริอายุครบ 69 ปี เพื่อเป็นที่ระลึกแก่คณะศิษยานุศิษย์ รวมทั้งประชาชนที่ร่วมงานมุทิตาสักการะ  เป็นเหรียญทองแดงรมดำ มีหูห่วง สร้างประมาณ 3,000 เหรียญ

เป็นเหรียญกลมรูปไข่ ด้านหน้า ยกขอบเป็นเกลียว จากด้านขวามีอักขระโค้งขึ้นไปด้านบนวนลงไปทางขอบเหรียญด้านซ้าย อ่านว่า “อิ หัง ทะ โร เก ทิ นัง” ซึ่งเป็นยันต์คงกระพันชาตรี  ด้านขวา มีตัวอักษรไทยโค้งลงไปด้านล่างวกขึ้นไปด้านซ้าย เขียนว่า “หลวงพ่อปลัดเสือ สุวณฺโณ” บริเวณกลางเหรียญเป็นรูปเหมือนเต็มองค์ในอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ   ด้านหลัง เป็นยันต์อักขระพระเจ้าห้าพระองค์ นะโม พุทธายะ มียันต์อุณาโลมปิดด้านบน 3 ตัว ด้านขวาของเหรียญมีตัวอักษรไทยโค้งลงไปด้านล่างวนขึ้นไปด้านซ้าย เขียนคำว่า “วัดคงคาเลิงใต้ อ.โกสุม จ.มหาสารคาม”

ประกอบพิธีพุทธาภิเษกเดี่ยว ภายในอุโบสถตลอดพรรษา

กล่าวกันว่า ผู้ที่มีเหรียญรุ่นนี้ห้อยคอพกติดตัวล้วนเคยมีประสบการณ์อัศจรรย์มากมาย ได้โชคลาภเป็นประจำ

เป็นเหรียญยอดนิยมในพื้นที่อีกเหรียญของอำเภอโกสุมพิสัย





หลวงปู่เสือ สุวัณโณ

อัตโนประวัติ มีนามเดิม เสือ ไชยมูล เกิดเมื่อปี 2461 ที่บ้านเชียงส่ง ต.เลิงใต้ อ.โกสุมพิสัย จ.มหาสารคาม เป็นบุตรของนายน้อยและนางรอด ไชยมูล

หลังจบการศึกษาชั้นประถมปีที่ 4 ออกมาช่วยงานครอบครัว ทำไร่ทำนา เป็นผู้มีจิตใจโน้มเอียงเข้าหาพระธรรมตั้งแต่วัยเยาว์ ชมชอบไปช่วยงานที่วัดในหมู่บ้านเป็นนิจ

เมื่ออายุครบบวช 20 ปีบริบูรณ์ จึงอุปสมบทที่วัดบ้านเชียงส่ง มีหลวงปู่ศรีธรรมศาสน์ เป็นพระอุปัชฌาย์

จำพรรษาศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดใต้โกสุม จนสอบได้นักธรรมชั้นโท

ในยุคนั้นชื่อเสียงของหลวงปู่ศรีธรรมศาสน์ พระอุปัชฌาย์โด่งดังไปในฐานะพระเกจิผู้เรืองวิทยาคม จึงขอฝากตัวเป็นศิษย์นานถึง 4 พรรษา

ด้วยวัตรปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเสมอต้นเสมอปลาย และเป็นศิษย์หลวงปู่ศรีธรรมศาสน์ ทำให้ชื่อเสียงเริ่มเป็นที่รู้จัก

ล่วงถึงปี พ.ศ.2490 ชาวบ้านเลิงใต้ได้นิมนต์ให้มาจำพรรษาอยู่วัดคงคาเลิงใต้

วัตรปฏิบัติช่วงหลังเทศกาลออกพรรษาทุกปี จะออกเดินธุดงค์ไปตามป่าเขาลำเนาไพรในภาคอีสาน

โดยเฉพาะแถบเทือกเขาภูพาน สมัยนั้นป่าอุดมสมบูรณ์มาก บางครั้งเผชิญสัตว์ร้าย แต่หาหวั่นไหวไม่

ได้รับการยกย่องว่าเป็นพระกัมมัฏฐานอีกรูปที่กราบไหว้ได้อย่างสนิทใจ แต่ละวันจะมีผู้หลั่งไหลเดินทางมากราบนมัสการอย่างล้นหลาม

ปัจจัยที่ได้จากการบริจาคก็นำพัฒนาสร้างความเจริญรุ่งเรือง ไม่ว่าจะเป็นอุโบสถ กุฏิ ศาลาการเปรียญ ทำให้วัดคงคาเลิงใต้แห่งนี้เจริญรุ่งเรืองอย่างรวดเร็ว

ถ่ายทอดหลักธรรมง่ายๆ แก่ชาวบ้านให้ยึดถือปฏิบัติคือ การรักษาศีล 5 ให้มั่นคง

ได้ชื่อว่าเป็นพระนักการศึกษา เปิดสำนักเรียนพระปริยัติธรรมที่วัดคงคาเลิงใต้ รับหน้าที่เป็นครูสอน ได้ทุ่มเทกำลังกายกำลังใจกับการสอนพระปริยัติธรรมอย่างต่อเนื่อง

อีกทั้งเป็นพระนักพัฒนา เป็นหัวแรงใหญ่พาชาวบ้านตัดถนนเชื่อมหมู่บ้านข้างเคียง สร้างสะพานข้ามห้วย ทำให้การไปมาหาสู่กันระหว่างชุมชนสะดวกมากยิ่งขึ้น

ช่วงบั้นปลายชีวิตเมื่ออายุย่าง 70 ปี สูญเสียดวงตาทั้งสองข้าง ด้วยโรคตาแดงระบาด และอุบัติเหตุ

ต่อมา ได้กลับมาจำพรรษาที่วัดบ้านเชียงส่ง บ้านเกิด และเริ่มอาพาธบ่อยครั้งด้วยโรคชรา

สุดท้าย ถึงแก่มรณภาพอย่างสงบเมื่อ พ.ศ.2538 สิริอายุ 77 ปี พรรษา 54 •





พระปิดตาน้ำนมควาย ‘พ่อท่านมุ่ย’ พระเกจิชื่อดังปากพนัง

ที่มา - คอลัมน์โฟกัสพระเครื่อง มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 19 - 25 มกราคม 2567
เผยแพร่ - วันอาทิตย์ที่ 21 มกราคม พ.ศ.2567


“พ่อท่านมุ่ย จันทสุวัณโณ” หรือ “พระครูนิโครธจรรยานุยุต” วัดป่าระกำเหนือ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช เป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง เปี่ยมด้วยเมตตาธรรม ชาวใต้ให้ความเลื่อมใสศรัทธา

หนึ่งในพระเกจิอาจารย์ในพิธีพุทธาภิเษก จตุคามรามเทพรุ่นแรก ปี 2530 พระเครื่องและวัตถุมงคลแต่ละชนิดแต่ละรุ่น เช่น พระปิดตา พระพิมพ์ประทานพร ลูกอม จะปลุกเสกเดี่ยว

พระเครื่องที่โด่งดัง เป็นที่นิยมกันมากและหายาก คือ “พระปิดตาน้ำนมควาย” สร้างจำนวนไม่มาก

รุ่นแรก มีทั้งพิมพ์เล็กและพิมพ์ใหญ่ ซึ่งพิมพ์ใหญ่จะเป็นที่นิยมมากกว่า

พระปิดตาน้ำนมควายรุ่นแรกนั้น กรรมวิธีการสร้างพิถีพิถัน และสร้างยากมาก ขั้นแรก จะทำแท่งดินสอที่จะนำมาเขียนอักขระ โดยทำจากข้าวเม่าตำผสมกับสมุนไพรและมวลสารต่างๆ ตามตำราโบราณ ปั้นเป็นแท่งใช้เขียนอักขระลงบนกระดานชนวนพร้อมบริกรรมคาถาไปด้วย แล้วลงอักขระทำผงปถมังด้วยนะต่างๆ จนผงทะลุกระดานชนวน

ในครั้งแรกๆ ผงหายไปหมด จึงไปปรึกษากับพ่อท่านหมุน วัดเขาแดงตะวันออก ซึ่งเป็นสหธรรมิก ได้รับคำแนะนำให้ใช้ใบกล้วยทองลงอักขระยันต์ผูกธรณีรองรับ จึงจะได้ผงปถมัง จากนั้นก็เพียรสร้างผงวิเศษเป็นเวลาหลายปีเก็บไว้ ก่อนจะนำมาสร้างเป็นพระเครื่อง โดยใช้น้ำนมควายเป็นตัวประสาน

พ่อท่านมุ่ยบอกว่า “น้ำนมวัว น้ำนมควาย ชุบเลี้ยงคนบนโลกนี้มานานแล้ว เป็นสัตว์ที่มีคุณต่อมนุษย์”

ด้วยเหตุที่น้ำนมควาย มีความข้นกว่าน้ำนมวัว จึงใช้น้ำนมควายเป็นตัวประสาน ขั้นตอนในการเคี่ยวน้ำนมควายนั้นก็พิถีพิถัน ขั้นแรกก็ต้องนำก้อนเส้าที่จะใช้ทำเตามาลงอักขระบนก้อนเส้าทุกก้อน ฟืนก็ใช้ไม้มงคลต่างๆ และลงอักขระทุกท่อน ภาชนะที่จะใช้เคี่ยวน้ำนมควาย แม้แต่ไม้พายที่จะใช้ในการเคี่ยวก็ต้องลงอักขระทุกชิ้น ขณะเวลาเคี่ยวก็ต้องบริกรรมคาถาตลอดการเคี่ยวจนเสร็จ

เมื่อน้ำนมควายข้นดีแล้ว จึงนำมาคลุกเคล้ากับผงปถมังที่เขียนไว้ โดยมิได้ผสมปูนหรือสิ่งอื่นใดเลย เป็นเนื้อผงปถมังล้วน เมื่อเหนียวดีแล้ว จากนั้นจะกดลงบนพิมพ์ และตกแต่งที่ด้านหลังทุกองค์ ทุกขั้นตอนจะทำผู้เดียวตลอดทุกองค์ หลังจากนั้นจึงมาทาแล็กเกอร์บ้าง เชลแล็กบ้าง ในส่วนนี้มีลูกศิษย์มาช่วยทา

หลังจากนั้นจะนำพระไปปลุกเสกเดี่ยวเป็นเวลานาน ส่วนมากก็จะตลอดช่วงเข้าพรรษา แล้วจึงนำมาแจก

จัดเป็นพระปิดตาที่หายาก เนื่องด้วยจำนวนการสร้างที่น้อย


 


พ่อท่านมุ่ย จันทสุวัณโณ

มีนามเดิม มุ่ย ทองอุ่น เกิดเมื่อวันอังคารที่ 4 เมษายน 2442 ที่บ้านป่าระกำ หมู่ที่ 6 ต.ป่าระกำ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช บิดา-มารดาชื่อ นายทองเสน และนางคงแก้ว ทองอุ่น

เข้าพิธีอุปสมบทเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2462 ที่วัดป่าระกำเหนือ อ.ปากพนัง และได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรที่พระครูนิโครธจรรยานุยุต เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2498 และในปี พ.ศ.2477 ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าระกำเหนือ และเจ้าคณะตำบลป่าระกำ ในปีเดียวกัน

ศึกษาด้านวิปัสสนาธุระกับอาจารย์จืด และอาจารย์ศักดิ์ วัดถ้ำเขาพลู อ.ปะทิว จ.ชุมพร ออกธุดงค์ในป่าลึก แถบจังหวัดชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี และราชบุรี เป็นเวลาหลายปี ร่วมกับหลวงพ่อสงฆ์ วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย จังหวัดชุมพร ซึ่งเป็นสหธรรมิกที่รักใคร่นับถือกันมาก

เป็นพระวิปัสสนาธุระ ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เคร่งครัดในพระธรรมวินัยเป็นเลิศ นอกจากนั้น ยังมีความรู้ด้านต่างๆ อีกมาก เป็นหมอยาสมุนไพร เป็นผู้รู้เวทมนตร์คาถา เป็นพระนักเทศน์ เป็นพระเกจิอาจารย์ที่เคารพนับถือของคนทั่วไป

เป็นพระเถระที่มากด้วยเมตตาบารมี ประพฤติพรหมจรรย์มั่นคงยาวนานปี ศีลาจารวัตรเรียบร้อย เป็นที่เคารพนับถือ เป็นพระสุปฏิปันโนอีกรูปของนครศรีธรรมราช มีอัธยาศัยโอบอ้อมอารี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อคนทุกระดับชั้น

กล่าวสำหรับคลองใหม่พ่อท่านมุ่ย เป็นคลองขุดอยู่ในพื้นที่ตำบลชะเมา เป็นคลองที่ขุดเชื่อมระหว่างคลองชะเมาที่บ้านโอขี้นาก เชื่อมกับคลองค้อที่บ้านหัวสวน เริ่มขุดเมื่อ พ.ศ.2495 และขุดเสร็จเมื่อ พ.ศ.2497 มีความยาวประมาณ 4 กิโลเมตร ผู้ดำเนินการขุดคลองนี้ คือหลวงพ่อมุ่ยนั่นเอง

ขุดโดยใช้แรงงานคน ส่วนมากเป็นคนในพื้นที่ตำบลชะเมา ต.เกาะทวด อ.ปากพนัง และ ต.เชียรเขา อ.เชียรใหญ่ มีกำนันและผู้ใหญ่บ้าน เป็นผู้รับผิดชอบออกปากคนในหมู่บ้านไปขุด เริ่มแรกคลองมีขนาดกว้าง 2 เมตร ลึก 1 เมตร คนทั่วไปเรียกชื่อคลองนี้ว่า “คลองใหม่พ่อท่านมุ่ย” ตามชื่อของผู้ดำเนินการขุด

คลองใหม่พ่อท่านมุ่ย มีประโยชน์ในด้านคมนาคมระหว่างคลองค้อกับคลองชะเมา แต่เดิมนั้นการเดินทางจากคลองค้อไปคลองชะเมาต้องไปออกทางบ้านเกาะแก ตำบลชะเมา คลองใหม่พ่อท่านมุ่ยจึงช่วยย่นระยะทาง และช่วยให้การเดินทางได้สะดวกรวดเร็วขึ้น สำหรับผู้ที่จะเดินทางไปบ้านหัวสะพานชะเมา บ้านเสาธง ในหน้าน้ำชาวบ้านเข้าไปหาไม้ในป่าพรุ และล่องแพมาทางคลองนี้ และยังมีประโยชน์ด้านการเกษตรกรรม มีน้ำใช้ เพื่อการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ โดยเฉพาะเพื่อการทำนา เพราะทั้งสองฝั่งคลองนี้เป็นพื้นที่นาทั้งหมด

คลองใหม่พ่อท่านมุ่ยนี้ บ่งบอกถึงวิสัยทัศน์พระนักพัฒนา ผู้นำและบารมีอย่างแท้จริง เป็นคลองประวัติศาสตร์ที่น่าภาคภูมิใจ

มรณภาพด้วยโรคชรา เมื่อวันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม 2535 เวลา 04.46 น. สิริอายุ 93 ปี 1 เดือน 18 วัน พรรษา 73 •
บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 13
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2632


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #196 เมื่อ: 11 พฤศจิกายน 2567 14:26:36 »



เหรียญหลวงพ่อเที่ยง วัดบางหัวเสือ

พระปิดตา-เหรียญรุ่นแรก หลวงพ่อเที่ยง วัดบางหัวเสือ พระประแดง


ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 26 มกราคม - 1 กุมภาพันธ์ 2567
คอลัมน์ - โฟกัสพระเครื่อง
เผยแพร่ - วันอาทิตย์ที่ 28 มกราคม พ.ศ.2567


ในอดีตจังหวัดสมุทรปราการ ฝั่ง อ.พระประแดง มีพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงเข้มขลังในวิทยาคมอีกรูป คือ “หลวงพ่อเที่ยง กีสนาคะ” วัดบางหัวเสือ ต.บางหัวเสือ อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ

เป็นผู้สร้างพระปิดตาเนื้อตะกั่วผสมปรอท ที่มากด้วยประสบการณ์

นอกจากนี้ ยังมีวัตถุมงคลที่ได้รับความนิยม คือ “เหรียญรุ่นแรก”

ในปี พ.ศ.2470 ลูกศิษย์และชาวบ้านขออนุญาตจัดงานบุญอายุครบ 60 ปี และขออนุญาตสร้างเหรียญรูปเหมือนครึ่งองค์ ด้านหลังเรียบ ที่จะนำไปให้จารอักขระ

ลักษณะเป็นเหรียญปั๊ม หูเชื่อม เท่าที่พบมีเนื้อเงินสร้างจำนวนน้อย และเนื้อทองแดง ด้านหน้า ตรงกลางเป็นรูปเหมือนครึ่งองค์ หันหน้าตรง ใต้รูปเหมือน เขียนตัวเลขไทย “๒๔๗๐” รอบเหรียญมีอักษรเขียนคำว่า “ที่รฤกในงานทำบุญอายุครบ 60 ปี พระอาจารย์เที่ยง วัดบางหัวเสือ”

ส่วนด้านหลัง เป็นพื้นที่เรียบปล่อยไว้ให้ลงเหล็กจาร

รุ่นนี้มีเพียงบล็อกเดียว ถือเป็นรุ่นแรกและรุ่นเดียวที่สร้างทันหลวงพ่อเที่ยง 






หลวงพ่อเที่ยง วัดบางหัวเสือ

เกิดที่บ้านบางฝ้าย ต.บางหัวเสือ อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ เมื่อปี พ.ศ.2410 บิดาชื่อ คล้าย มารดาชื่อ มอญ ซึ่งครอบครัวของท่านย้ายมาจากชัยนาท มาตั้งถิ่นฐานที่ ต.บางหัวเสือ

ในวัยเด็กบิดาได้นำไปฝากเรียนหนังสือกับพระอธิการบัว วัดบางหัวเสือ เพื่อร่ำเรียนอักขระมนต์คาถา

จนเมื่ออายุครบ 20 ปี จึงได้อุปสมบท ณ พัทสีมาวัดบางหัวเสือ มีหลวงปู่บัว เป็นพระอุปัชฌาย์, หลวงพ่อพิณ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และหลวงพ่ออ้น เป็นพระอนุสาวนาจารย์

จำพรรษาที่วัดบางหัวเสือ ได้ศึกษาพระปริยัติธรรม ตลอดจนวิชาอาคม และวิชาแพทย์แผนโบราณจากหลวงปู่บัว และหลวงพ่อพิน ทั้ง 2 พระอาจราย์ถ่ายทอดวิชาอาคมให้อย่างเจนจบครบทุกกระบวน จนสำเร็จวิทยาคมชั้นสูง พร้อมกันนั้นได้ปฏิบัติตนในฐานะลูกศิษย์ตลอดมา

เล่าขานกันว่า หลวงปู่บัว เป็นน้องชายของหลวงปู่จีน วัดท่าลาดเหนือ ต.ท่าถ่าน อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา หากแต่มีข้อมูลบางด้านกล่าวว่าเป็นพี่ชายหลวงปู่จีน

แต่จากเอกสาร “บาญชีพระสงฆ์เล่ม ๑ วัดบางหัวเสือ” ที่ได้คัดลอกในสมัยหลวงพ่ออยู่ อดีตเจ้าอาวาสวัดบางหัวเสือ รูปที่ 4 โดยพระอาจารย์คำ ได้บันทึกไว้ถึงการอุปสมบทของหลวงพ่อพิณ อดีตเจ้าอาวาสวัดบางหัวเสือ รูปที่ 3 ว่า

“ท่านช้าง วัดโปรดเกศเชษฐาราม เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงปู่จีน วัดท่าลาดเหนือ ฉะเชิงเทรา เป็นพระกรรมวาจาจารย์ หลวงปู่บัว วัดบางสีสะเสือ (วัดบางหัวเสือ) เป็นพระอนุสาวนาจารย์”

ซึ่งจากเอกสารดังกล่าว ทำให้สันนิษฐานว่า หลวงปู่บัว มีพรรษาอ่อนกว่า จึงได้ลงไว้เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เพราะฉะนั้น จึงควรเกิดหลังและบวชหลังหลวงปู่จีน

กระทั่งถึงปี พ.ศ.2463 หลวงพ่อพิณ ผู้ซึ่งเป็นอาจารย์ของหลวงพ่อเที่ยง มรณภาพลง ขณะนั้นหลวงพ่อเที่ยงมีอายุ 53 ปี ชาวบ้านบางหัวเสือ จึงนิมนต์ให้เป็นเจ้าอาวาสต่อจากหลวงพ่อพิณ

แต่หลวงพ่อเที่ยง ไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับการปกครอง แต่อยากปฏิบัติตนอย่างสมถะ จึงไม่รับตำแหน่ง ขอเป็นพระลูกวัดธรรมดาเท่านั้น

ต่อมาตำแหน่งเจ้าอาวาสก็เป็นของหลวงพ่ออยู่ ซึ่งตอนแรกก็ปฏิเสธไม่รับตำแหน่ง ด้วยเห็นว่าหลวงพ่อเที่ยงอยู่วัดแห่งนี้มาก่อน ควรที่จะได้รับตำแหน่งมากกว่า แต่หลวงพ่อเที่ยงก็ปฏิเสธเช่นกัน เพราะเห็นว่าหลวงพ่ออยู่อาวุโสกว่า และเชี่ยวชาญในด้านพัฒนาวัด จึงยกตำแหน่งเจ้าอาวาสให้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ทั้งหลวงพ่ออยู่และหลวงพ่อเที่ยง ชาวบ้านบางหัวเสือล้วนเคารพนับถือมาก และทั้งสองก็เป็นสหธรรมิกกันมาตั้งแต่บวชใหม่ๆ ชาวบ้านในอำเภอพระประแดงมีเรื่องทุกข์ร้อนอะไรต่างก็มาขอให้ช่วยเหลือ เจ็บไข้ได้ป่วยก็ช่วยรักษาให้หายได้ทุกราย

กล่าวได้ว่า ในยุคนั้น ชาวบ้านบางหัวเสือยึดถือกันว่า เป็นวัด 2 เจ้าอาวาส คือได้ยกย่องหลวงพ่อเที่ยง เสมือนเจ้าอาวาสวัดอีกรูปหนึ่ง

หลวงพ่อเที่ยง ใช้ชีวิตในร่มกาสาวพัสตร์ บำเพ็ญเพียรอย่างมุ่งมั่น ปฏิบัติกิจของสงฆ์มิเคยขาด เป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านบางหัวเสือ จวบจนทั้ง อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ

ด้านวัตถุมงคล ลูกศิษย์ต่างขอให้ช่วยทำให้ มีพระปิดตาเนื้อตะกั่ว ด้านหน้าเป็นรูปพระปิดตา ด้านหลังเป็นองค์พระ และหลวงพ่อเที่ยงก็จะจารให้อีกที มีประสบการณ์ต่างๆ มากมาย

ด้วยสังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยง จึงมรณภาพลงในปี พ.ศ.2472 สิริอายุ 62 ปี •





พระสมเด็จหลังยันต์ตรีนิสิงเห

เหรียญรุ่นแรกหลวงพ่อโต วัดเจริญสุขาราม แม่กลอง ‘หลวงพ่อเจียง’ จัดสร้าง

ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 2 - 8 กุมภาพันธ์ 2567
คอลัมน์ - โฟกัสพระเครื่อง
เผยแพร่ - วันอาทิตย์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2567


“พระเทพสังวรวิมล” หรือ “หลวงพ่อเจียง วัณณสโร” อดีตเจ้าอาวาสวัดเจริญสุขารามวรวิหาร อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม ยอดพระเกจิที่มีชื่อเสียง ได้รับนิมนต์ให้เข้าร่วมพิธีปลุกเสกพระพุทธชินราชอินโดจีน เพื่อคุ้มครองทหารและคนไทยในภาวะสงครามโลกครั้งที่ 2

โดยมีเจ้าพิธี คือ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสสเทโว) วัดสุทัศนเทพวราราม และยังได้นิมนต์พระเกจิอีกมากมาย

สร้างวัตถุมงคลเอาไว้หลายชนิด ในวาระและโอกาสต่างๆ เป็นที่นิยมเสาะหากันแพร่หลาย แต่ที่ได้รับความนิยม คือ “เหรียญหลวงพ่อโตรุ่นแรก”

หลวงพ่อโต เป็นพระพุทธรูปประธานในอุโบสถวัดเจริญสุขารามฯ เป็นพระพุทธรูปศิลาแดง ปางมารวิชัย ขนาดหน้าพระเพลากว้าง 178 เซนติเมตร สูงจากฐานรองประทับนั่ง 208 เซนติเมตร

สร้างเพื่อแจกในการทำบุญแก่ผู้บริจาคทรัพย์ สร้างโรงเรียนสุขวัฒนาทาน โรงเรียนแห่งแรกใน ต.บางนกแขวก

จัดสร้างด้วยกันทั้งหมด 3 เนื้อ คือ เนื้อทองคำ เนื้อเงิน และเนื้อทองแดง มีทั้งแบบที่มีกะไหล่ทองและไม่มีกะไหล่

ด้านหน้า แกะเป็นรูปหลวงพ่อโต แต่มีลักษณะคล้ายพระพุทธชินราช ซึ่งช่างที่แกะเหรียญได้แกะซุ้มนาคลงไปในเหรียญ องค์พระประทับนั่งบนฐานบัว 2 ชั้น

ด้านบนมีอักขระภาษาไทย เขียนคำว่า “หลวงพ่อโต” ด้านล่างองค์พระมีอักขระภาษาไทย เขียนว่า “พ.ศ.๒๔๗๐”

ด้านหลัง มีอักขระภาษาไทยเขียนว่า “ที่รฤกในการฉลองโรงเรียนสุขวัฒนาทาน วัดเจริญศุขาราม”  เป็นอีกวัตถุมงคลที่ได้รับความเชื่อมั่นในพุทธาคม





หลวงพ่อเจียง วัณณสโร

มีนามเดิม เจียง ลิ้มฮะสุน เกิดเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2425 ที่บ้านคลองกระจ่า ต.ตาหลวง อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี บิดา-มารดาชื่อ นายเก และนางกลิบ ลิ้มฮะสุน

วัยเด็ก บิดามารดานำไปฝากเรียนหนังสือที่วัดเจริญสุขารามฯ กับหลวงพ่ออาจ ในสมัยนั้นชาวบ้านเรียกว่าวัดกลางคลองบ้าง เรียกวัดต้นชมพู่บ้าง

ต่อมาเมื่อทางการมาสร้างประตูน้ำบางนกแขวก ชาวบ้านเรียกว่า วัดประตูน้ำบางนกแขวก

กระทั่งอายุครบบวช จึงได้เข้าพิธีอุปสมบทที่พัทธสีมาวัดเจริญสุขารามฯ มีพระครูปรีชาวิหารกิจ (ช่วง) วัดโชทายิการาม เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอธิการอาจ (หลวงตามืด)  วัดเจริญสุขาราม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระธรรมวิรัตสุนทร (หลวงพ่อเชย)  วัดโชติทายการาม เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า วัณณสโร

ศึกษาพระปริยัติธรรมจนแตกฉาน นอกจากนี้ ยังสนใจทางวิปัสสนาธุระ และแพทย์แผนโบราณ จึงได้ศึกษาจากพระอุปัชฌาย์และพระคู่สวดของท่าน ซึ่งมีความเชี่ยวชาญชื่อดังในยุคนั้น

เดินทางมาศึกษาวิทยาคมจากหลวงพ่อเปลี่ยน วัดใต้ จ.กาญจนบุรี

พ.ศ.2453 พระอธิการอาจ มรณภาพ คณะสงฆ์เห็นสมควรแต่งตั้งให้หลวงพ่อเจียง เป็นเจ้าอาวาสวัดเจริญสุขารามฯ สืบแทน

วัดเจริญสุขารามวรวิหาร ตั้งอยู่ริมคลองบางนกแขวก (คลองดำเนินสะดวก) ต.บางนกแขวก อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม เดิมเป็นวัดร้าง ไม่ทราบว่าสร้างขึ้นเมื่อไหร่

ในปี พ.ศ.2451 กระทรวงเกษตราธิการได้สร้างประตูน้ำบางนกแขวกขึ้น จึงได้ชื่อวัดใหม่ว่า วัดประตูน้ำบางนกแขวก จากนั้นไม่นานก็เปลี่ยนเป็นวัดเจริญสุขารามฯ

หลวงพ่อเจียง เป็นพระที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัย มีลูกศิษย์มากมาย สร้างโบสถ์และโรงเรียนเมธีชุณหะวัณ

หลวงพ่อเจียงสร้างวัดเจริญสุขารามฯ จนเจริญรุ่งเรืองมาจนตราบทุกวันนี้ และได้รับการยกฐานะเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี เป็นวัดแห่งที่ 3 ของจังหวัดสมุทรสงคราม

พ.ศ.2469 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระครูปลัดของพระเทพกวี เจ้าคณะมณฑลราชบุรี

พ.ศ.2470 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูอัตตโกศล และเป็นพระอุปัชฌาย์

หลังจากที่ได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์ ชาวบ้านบางนกแขวกนิยมนำลูกหลานมาให้ท่านบวชเป็นจำนวนมาก ท่านเป็นพระพูดจริงทำจริง เคร่งครัดต่อพระธรรมวินัย มีผู้ที่เลื่อมใสและมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย หนึ่งในจำนวนลูกศิษย์สมัยนั้น คือ จอมพลผิน ชุณหะวัณ

พ.ศ.2480 เป็นรองเจ้าคณะจังหวัดสมุทรสงคราม

พ.ศ.2490 ได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะที่ พระเมธีสมุทรเขตต์

พ.ศ.2507 ได้รับการเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพสังวรวิมล

สร้างวัตถุมงคลไว้เป็นที่ระลึกแก่ศิษย์และชาวบ้านหลายอย่าง เช่น ตะกรุด เหรียญรุ่นต่างๆ ยังมีพระแก้วมรกตจำลอง ซึ่งพระแก้วนี้ลูกศิษย์ของท่านที่อยู่ต่างประเทศ จัดสร้างถวาย โดยรุ่นแรกสั่งทำจากประเทศอิตาลี ประมาณปี พ.ศ.2490-2491 ประมาณ 300 องค์ เป็นพระทำจากแก้วสีเขียวมรกต ก็เมตตาปลุกเสกให้

นอกจากวัตถุมงคลดังกล่าว ยังได้นำพระเครื่องต่างๆ จากที่เดินทางร่วมปลุกเสกตามสถานที่ต่างๆ กลับมาแจกให้แก่ลูกศิษย์ลูกหาอีกด้วย ทั้งพระกริ่งวัดราชบพิตร พิมพ์ฐานสูง หรือพระสมเด็จพิมพ์ขาโต๊ะ

สมัยปลุกเสกพระแก้ว มีเรื่องเล่าจากลูกศิษย์ว่า พระที่ปลุกเสก หลวงพ่อจะจับที่บาตรที่ใส่พระไว้แล้วบริกรรมคาถาไปโดยปกติ แต่คนที่อยู่ในพิธีจะได้ยินเสียงของแก้วกระทบกันเสียงดัง เหมือนว่าพระแก้วนั้นหมุนวน วิ่งอยู่ในบาตร เป็นที่น่าอัศจรรย์

มรณภาพลงด้วยโรคชรา เมื่อปี พ.ศ.2514 สิริอายุ 89 ปี พรรษา 69 •
บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 13
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2632


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #197 เมื่อ: 22 พฤศจิกายน 2567 11:51:43 »


พระผงรูปเหมือนหลวงพ่อโอด (หน้า - หลัง)

พระผงรูปเหมือนรุ่นลายเซ็น หลวงพ่อโอด วัดจันเสน พระเกจิชื่อดังนครสวรรค์

ที่มา - คอลัมน์โฟกัสพระเครื่อง มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 9 - 15 กุมภาพันธ์ 2567
เผยแพร่ - วันอาทิตย์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2567


“พระครูนิสัยจริยคุณ” หรือ “หลวงพ่อโอด ปัญญาธโร” อดีตเจ้าคณะอำเภอตาคลีและอดีตเจ้าอาวาสวัดจันเสน ต.จันเสน อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ พระเกจิอาจารย์ชื่อดังนครสวรรค์

วัตถุมงคลในห้วงที่ยังมีชีวิตอยู่ จัดสร้างเป็นจำนวนน้อย แต่ก็เป็นที่ปรารถนาของบรรดาเซียนพระและนักนิยมสะสมพระเครื่อง

ในปี พ.ศ.2532 ก่อนที่จะมรณภาพ จัดสร้างวัตถุมงคลเป็นพระผงรูปเหมือน รุ่นลายเซ็น นับเป็นวัตถุมงคลรุ่นสุดท้าย ปลุกเสกเดี่ยวและประกอบพิธีพุทธาภิเษกอีกครั้ง ก่อนนำออกให้เช่าบูชา

ลักษณะเนื้อเป็นผงว่าน 108 ผสมเกสรดอกไม้ พิมพ์สี่เหลี่ยม

ด้านหน้ามีขอบรอบ ตรงกลางเป็นรูปนูนนั่งสมาธิเต็มองค์ บนโต๊ะขาสิงห์ ล้อมรอบด้วยวงกลมรี หรือวงกลมรูปไข่ มีลายไทยที่มุมทั้งสี่ ใต้เส้นขอบวงกลมรี มีอักขระขอม “นะ ชา ลี ติ, สิ ริ โภ คา นะ มา สะ โย, นะ โม พุท ธา ยะ” และใต้โต๊ะขาสิงห์ มีเส้นนูนเป็นลายเซ็น “พระครูนิสัยจริยคุณ”

ส่วนด้านหลังไม่มีขอบ ที่มุมทั้งสี่เป็นรูปลายไทยเช่นกัน มีวงกลมรี หรือวงกลมรูปไข่ภายในพื้นสี่เหลี่ยม ตรงกลางมีอักขระขอม “นะ ใหญ่ หรือ นะ เศรษฐี” สามตัว ด้านบนมีอักขระขอมกำกับ “อะ สัง วิ สุ โล ปุ สะ พุ พะ” ใต้อักขระขอม (นะ เศรษฐี) มีอักษรไทยว่า “หลวงพ่อโอด วัดจันเสน อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์”

มีพุทธคุณโดดเด่นด้านเมตตามหานิยม ค้าขาย โชคลาภ และโภคทรัพย์ เป็นอีกรุ่นที่น่าเก็บสะสมไว้ในครอบครอง




หลวงพ่อโอด ปัญญาธโร

มีนามเดิมว่า วิสุทธิ์ แป้นโต เกิดเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2460 ที่บ้านเลขที่ 103 หมู่ที่ 7 บ้านหัวเขา ต.ตาคลี อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายชิตและนางต่วน แป้นโต มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันรวม 7 คน

ในช่วงวัยเยาว์ สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนวัดหัวเขา ต.ตาคลี อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ จากนั้นออกมาช่วยครอบครัวประกอบอาชีพ

อายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ เข้าพิธีอุปสมบท เมื่อวันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม 2481 ที่อุโบสถวัดหัวเขา อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ มีพระธรรมไตรโลกาจารย์ (ยอด) วัดเขาแก้ว อ.พยุหะคีรี เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูนิปุณธรรมธร วัดตาคลี เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระครูพิพัทธศีลคุณ วัดหัวเขา อ.ตาคลี เป็นพระอนุสาวนาจารย์

มุ่งมั่นศึกษาพระปริยัติธรรมจนได้วิทยฐานะ พ.ศ.2484 สามารถสอบได้นักธรรมชั้นเอก จากสำนักเรียนวัดมหาพฤฒาราม กรุงเทพฯ

ลําดับงานปกครอง พ.ศ.2489 เป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดหนองสีนวล อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์

พ.ศ.2493 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดจันเสน

พ.ศ.2493 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลจันเสน

พ.ศ.2496 เป็นพระอุปัชฌาย์

พ.ศ.2510 เป็นรองเจ้าคณะอำเภอตาคลี

พ.ศ.2516 เป็นเจ้าคณะอำเภอตาคลี

ลำดับสมณศักดิ์ พ.ศ.2500 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรี

พ.ศ.2510 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโท

พ.ศ.2520 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นเอก

พ.ศ.2527 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระครูสัญญาบัตรชั้นพิเศษ ในราชทินนาม พระครูนิสัยจริยคุณ

ด้านการศึกษา เป็นครูสอนนักธรรมของวัดดอน เขตยานนาวา กรุงเทพฯ (ในสมัยที่พระอาจารย์กึ๋น เป็นเจ้าอาวาส) เป็นครูสอนนักธรรม วัดหัวเขา และวัดหนองสีนวล อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ เป็นเจ้าสำนักเรียนวัดจันเสน เป็นกรรมการตรวจประโยคธรรมสนามหลวง เป็นต้น

ศึกษาวิชาอาคมจากพระเกจิชื่อดัง คือ หลวงพ่อรุ่ง วัดหนองสีนวล อ.ตาคลี, หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ อ.ตาคลี,  หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค อ.ตาคลี และหลวงพ่อเชน วัดสิงห์ อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี

นอกจากนี้ ยังมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับหลวงพ่อรุ่ง วัดหนองสีนวล และหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ สองพระเกจิอาจารย์ชื่อดังของอำเภอตาคลี ในฐานะที่เป็นหลานที่ใกล้ชิด โดยพ่อของหลวงพ่อโอด คือ นายชิต แป้นโต เป็นน้องชายแท้ๆ ของหลวงพ่อรุ่ง และแม่ของนายชิต เป็นพี่สาวแม่ของหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ดังนั้น หลวงพ่อโอด จึงเรียกหลวงพ่อรุ่ง และหลวงพ่อเดิมว่า หลวงลุง

ด้านการศึกษาด้านอาคม เมื่อกลับจากการเป็นครูสอนนักธรรมที่วัดดอนยานนาวาแล้ว ได้มาอาศัยอยู่กับหลวงพ่อรุ่ง ที่วัดหนองสีนวล ซึ่งในระยะนี้เองได้ศึกษาวิทยาคมต่างๆ จากหลวงพ่อรุ่งไปด้วย

ส่วนหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ เดินมาที่วัดหนองสีนวลอยู่เป็นประจำ ทำให้ได้ศึกษาวิชาต่างๆ จากหลวงพ่อเดิมไปด้วย

ทั้งนี้ จากคำบอกของท่านเองว่ายังมีอาจารย์อยู่อีก 2 รูป คือ หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ ในช่วงปี พ.ศ.2500 เป็นต้นมา มักไปเยี่ยมหลวงพ่อพรหมเป็นประจำ

พระอาจารย์อีกรูป คือ หลวงพ่อเชน วัดสิงห์ ต.ทับยา อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี โดยไปอยู่เรียนกับหลวงพ่อเชน ที่วัดสิงห์ เรียนวิชาทำตะกรุด

ด้านวิปัสสนากัมมัฏฐาน หลวงพ่อโอด เป็นผู้ที่เชี่ยวชาญทางด้านการปฏิบัติมาก ศึกษามาจากหลวงพ่อรุ่ง ต่อมาได้ไปศึกษาต่อที่สำนักวิปัสสนาวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ราชวรมหาวิหาร กรุงเทพฯ

ระหว่าง พ.ศ.2500 เปิดสำนักสอนวิปัสสนากัมมัฏฐานที่วัดจันเสน โดยเป็นผู้สอนด้วยตนเอง

เป็นพระที่มีเมตตาสูงยิ่ง วันหนึ่งๆ จะนั่งคอยรับแขกอยู่ทั้งวัน ใครมีเรื่องทุกข์ร้อนใจไปหาก็จะให้คำแนะนำที่ดีโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ ไม่ว่าจะยากดีมีจน

มรณภาพอย่างสงบ เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2532 สิริอายุ 72 ปี พรรษา 50 •  




เหรียญรูปเหมือน-รุ่นแรก หลวงปู่คูณ วัดรัมณียาราม

เหรียญรูปเหมือน-รุ่นแรก หลวงปู่คูณ วัดรัมณียาราม พระเกจิชื่อดังมหาสารคาม

ที่มา - คอลัมน์โฟกัสพระเครื่อง มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 16 - 22 กุมภาพันธ์ 2567
เผยแพร่ - วันอาทิตย์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2567


“พระครูโสภณปสุตคุณ” หรือ “หลวงปู่คูณ ปสุโต” อดีตเจ้าอาวาสวัดรัมณียาราม ต.เขวาไร่ อ.นาเชือก อดีตรองเจ้าคณะอำเภอนาเชือก จ.มหาสารคาม เป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่รูปที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีเมตตาธรรม จึงอยู่ในศรัทธาของชาว อ.นาเชือก และพื้นที่ใกล้เคียง แม้จะมรณภาพไปนานแล้ว

สำหรับวัตถุมงคลเท่าที่สืบค้นพบมีเพียงรุ่นเดียว คือ เหรียญรูปเหมือนที่สร้างขึ้น เนื่องในโอกาสที่มีอายุครบ 5 รอบ 60 ปี ในปี พ.ศ.2536 รุ่นนี้ ทางวัดร่วมกับคณะศิษยานุศิษย์จัดสร้างถวาย เพื่อแจกเป็นที่ระลึกคณะศิษยานุศิษย์ที่ร่วมงานมุทิตาสักการะ รวมทั้งมอบให้ผู้ที่ร่วมบริจาคทำบุญพัฒนาวัด

ลักษณะเป็นเหรียญกลม คล้ายผลน้ำเต้ามีหูห่วง เนื้อทองแดงรมดำ สร้างประมาณ 3,000 เหรียญ

ด้านหน้า บริเวณกลางเหรียญเป็นรูปเหมือนนั่งเต็มองค์ท่าวิปัสสนากัมมัฏฐาน มีอักขระยันต์ที่พื้นเหรียญ 4 ตัว ใต้ห่วงเป็นยันต์พระเจ้าห้าพระองค์และยันต์องค์พระ ส่วนด้านขวาโค้งขึ้นไปด้านบนเขียนว่า “พระครูโสภณปสุตคุณ” ส่วนด้านซ้ายเขียนคำว่า “วัดรัมณียาราม เขวาไร่” ขอบล่างสุด เขียนคำว่า “นาเชือก มหาสารคาม”

ด้านหลัง ตรงกลางเป็นอักขระยันต์ อ่านว่า “อะ ระ หัง สุ ขะ โต ภคะวา” ด้านบนใต้ห่วง อ่านว่า “มะ อะ อุ อิ สวาสุ” อักขระยันต์ที่มีพุทธคุณเด่นทุกด้าน

ประกอบพิธีพุทธาภิเษกเดี่ยว ภายในกุฏินานแรมเดือน ผู้ที่มีเหรียญรุ่นนี้ห้อยคอพกติดตัว ล้วนเคยมีประสบการณ์




พระครูโสภณปสุตคุณ หรือ หลวงปู่คูณ ปสุโต

มีนามเดิมว่า คูณ ถาพิลา เกิดเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2476 ที่บ้านหนองบัวแดง ต.เขวาไร่ อ.นาเชือก จ.มหาสารคาม ครอบครัวประกอบอาชีพทำไร่

หลังจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จากโรงเรียนในหมู่บ้าน ต้องลาออกมาช่วยงานครอบครัวทำไร่ทำนา ด้วยความขยันขันแข็ง

อายุครบบวช เข้าพิธีอุปสมบท ณ วัดดอนกลอย อ.นาเชือก จ.มหาสารคาม มีพระอาจารย์พรมมา พรหมสโร วัดหัวหนองคู ต.เขวาไร่ อ.นาเชือก เป็นพระอุปัชฌาย์

จากนั้น เดินทางไปจำพรรษาที่สำนักเรียนวัดหมากหม้อ ต.หนองเม็ก อ.นาเชือก จ.มหาสารคาม เพื่อศึกษาพระปริยัติธรรม จนสอบได้นักธรรมชั้นตรี โท และเอก ตามลำดับ

นอกจากนี้ ยังสนใจการเทศน์ปุจฉา-วิสัชนา ได้ฝึกเรียนเทศน์กับพระอาจารย์ท่านหนึ่งที่วัดหมากหม้อ ต้องอ่านหนังสือคัมภีร์ 3 โลก ฝึกการบรรยาย หัดพูด ใช้เวลานานหลายปี จนมีความรู้แตกฉานและชำนาญ

พ.ศ.2514 ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดรัมณียาราม ต.เขวาไร่ อ.นาเชือก จ.มหาสารคาม ว่างลง ชาวบ้านจึงนิมนต์ให้มาดำรงตำแหน่ง ซึ่งได้จำพรรษาปฏิบัติศาสนกิจตราบจนวาระสุดท้าย

เป็นพระที่มีเมตตาธรรมต่อชนทุกชั้น ปกครองพระภิกษุ-สามเณร ด้วยความเที่ยงธรรม ยังให้ความสำคัญด้านการศึกษาพระภิกษุ-สามเณร ด้วยผู้ที่มาบวชเรียนส่วนใหญ่มาจากครอบครัวที่ยากจน จึงตั้งสำนักเรียนพระปริยัติธรรมที่วัดรัมณียาราม โดยรับหน้าที่เป็นครูสอนเอง

เป็นพระที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัย หากพระภิกษุ-สามเณรรูปใดมีพฤติกรรมที่ออกนอกลู่นอกทาง จะไม่ให้จำพรรษาอยู่ที่วัดด้วยอย่างเด็ดขาด

สมัยนั้นจึงมีพระภิกษุ-สามเณรมาจำพรรษา ศึกษาเล่าเรียนที่วัดแห่งนี้นับร้อยรูป และตั้งมูลนิธิพระครูโสภณปสุตคุณ เพื่อนำดอกเบี้ยช่วยเหลือการศึกษาพระภิกษุ-สามเณรที่ตั้งใจเรียนแต่ขาดทุนทรัพย์ รวมทั้งให้ทุนการศึกษาแก่เด็กนักเรียนโรงเรียนในตำบลเขวาไร่ และกลุ่มโรงเรียนบัวแดงทุกปี

ส่วนงานสาธารณประโยชน์ ท่านได้บริจาคทรัพย์ส่วนตนทุกปี เช่น จัดซื้อเตียงคนไข้ให้โรงพยาบาล สร้างถนน ขุดสระน้ำ สร้างศูนย์เด็กเล็กก่อนเกณฑ์ในวัด เป็นต้น

ด้านงานเผยแผ่ ได้รับแต่งตั้งเป็นพระธรรมทูต และออกอบรมศีลธรรมแก่เยาวชนในโรงเรียนต่างๆ ในเขต อ.นาเชือก แทบทุกโรงเรียน และได้รับมอบหมายจากเจ้าคณะ อ.นาเชือก ให้เป็นรองประธานควบคุมหน่วยสอบธรรมสนามหลวง

ลำดับงานปกครองคณะสงฆ์ พ.ศ.2507 เป็นเจ้าอาวาสวัดโนนเพ็ด อ.บัวใหญ่ จ.นครราชสีมา

พ.ศ.2514 เป็นเจ้าอาวาสวัดรัมณียาราม และเจ้าคณะ ต.เขวาไร่

พ.ศ.2525 เป็นพระอุปัชฌาย์

พ.ศ.2543 ได้รับความไว้วางใจจากคณะสงฆ์ดำรงตำแหน่งรองเจ้าคณะอำเภอนาเชือก

ลำดับสมณศักดิ์ พ.ศ.2514 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโทที่ พระครูโสภณปสุตคุณ

พ.ศ.2543 ได้รับพระราชทาน เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูชั้นโท ในราชทินนามเดิม

ช่วงปัจฉิมวัย ยังรับนิมนต์แสดงธรรมอย่างไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย แม้บางครั้งอาพาธก็ยังฝืน

หลังจากตรากตรำงานพระพุทธศาสนามาอย่างยาวนาน ด้วยความไม่เที่ยงของสังขาร อาพาธบ่อยครั้งด้วยโรคชรา

ช่วงต้นปี 2552 มรณภาพด้วยอาการสงบ สิริอายุ 76 ปี พรรษา 54

แม้จะละสังขารไปนานแล้ว แต่คุณงามความดียังคงอยู่ในศรัทธาของชาวมหาสารคาม •
บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 13
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2632


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #198 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2567 14:22:50 »


รูปหล่อหลวงพ่อเนื่อง รุ่นแรก


รูปหล่อหลวงพ่อเนื่อง รุ่น 2

วัตถุมงคลรูปหล่อเหมือน หลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี พระเกจิชื่อดังสายแม่กลอง

ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 23 - 29 กุมภาพันธ์ 2567
คอลัมน์ - โฟกัสพระเครื่อง
เผยแพร่ - วันอาทิตย์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2567


พระเกจิอาจารย์สายแม่กลอง “หลวงพ่อเนื่อง โกวิโท” หรือ “พระครูโกวิทสมุทรคุณ” วัดจุฬามณี ต.บางช้าง อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม เป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังเมื่อกว่า 20 ปีก่อน

เป็นศิษย์เอกของพระเกจิชื่อดังหลายรูป อาทิ หลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม, หลวงพ่อแช่ม วัดจุฬามณี, หลวงปู่ใจ วัดเสด็จ เป็นต้น

กล่าวได้ว่า พระเครื่องและวัตถุมงคลทั้งที่สร้างเองและร่วมนั่งปรก ล้วนแล้วแต่พุทธคุณสูง ผู้ครอบครองต่างมีประสบการณ์เป็นที่ประจักษ์

“พระรูปหล่อหลวงพ่อเนื่อง” ก็เป็นหนึ่งในนั้น

รูปหล่อเหมือนรุ่นแรก สร้างเมื่อปี พ.ศ.2515 ลักษณะเป็นรูปหล่อโบราณ สร้างด้วยเนื้อนวโลหะเพียงอยางเดียว

ด้านหน้า มีรูปเหมือนนั่งเต็มองค์บนฐานเขียง ห่มจีวรลดไหล่พาดผ้าสังฆาฏิ รัดประคต มือทั้งสองข้างจับที่หัวเข่า มีภาษาไทยเขียนว่า “หลวงพ่อเนื่อง”

ด้านหลัง ไม่มีอักขระยันต์ และไม่มีอักขระภาษาใดๆ ใต้ฐานตอกโค้ด น.หนู

นอกจากนี้ ยังมี “รูปหล่อรุ่นสอง” สร้างเมื่อปี พ.ศ.2520 สร้างด้วยเนื้อโลหะผสมแก่ทองแดงเพียงอย่างเดียว

ลักษณะเป็นรูปหล่อขนาดเล็ก ด้านหน้า มีรูปเหมือนนั่งเต็มองค์บนฐานเขียง ห่มจีวรลดไหล่พาดผ้าสังฆาฏิ รัดประคด มือทั้งสองข้างจับที่หัวเข่า มีอักขระภาษาไทย เขียนคำว่า “หลวงพ่อเนื่อง”

ด้านหลัง มีภาษาไทยเขียนว่า “พ.ศ.๒๕๒๐” ใต้ฐานเรียบ

ปัจจุบัน กลายเป็นอีกวัตถุมงคลที่หายาก

มีนามเดิมว่า เนื่อง เถาสุวรรณ เกิดเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2452 ปีระกา ที่บ้านคลองใหญ่ หมู่ที่ 4 ต.แพรกหนามแดง อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม

ในช่วงวัยเยาว์ จบการศึกษาชั้นประถม 4 จากโรงเรียนวัดบางกะพ้อม เมื่อปี พ.ศ.2463

เมื่ออายุ 23 ปี เข้าพิธีอุปสมบท เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2475 ที่อุโบสถวัดบางกะพ้อม ต.อัมพวา อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม มีหลวงพ่อคง ธัมมโชโต เจ้าอาวาสวัดบางกะพ้อม เป็นพระอุปัชฌาย์, หลวงพ่อแช่ม โสฬส เจ้าอาวาสวัดจุฬามณี เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์ปล้อง วัดบางกะพ้อม เป็นอนุสาวนาจารย์

การศึกษาพระปริยัติธรรม สอบได้นักธรรมชั้นเอก เมื่อปี 2479 ขณะเดียวกัน ก็เชี่ยวชาญในทางวิปัสสนาและอาคมเป็นอย่างมาก เพราะได้อาจารย์ดีเป็นเบื้องต้นตั้งแต่อุปสมบท ประกอบกับความตั้งใจมั่นในการศึกษา และปฏิบัติอย่างเคร่งครัด โดยศึกษาจากหลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม พระเกจิอาจารย์ผู้โด่งดังของ จ.สมุทรสงคราม เจ้าของเหรียญ 1 ใน 5 ชุดเบญจภาคีเหรียญยอดนิยมของวงการพระเครื่องเมืองไทย

นอกจากนี้ ยังได้เรียนสรรพวิทยาคมต่างๆ จากหลวงพ่อแช่ม เจ้าอาวาสวัดจุฬามณี และหลวงปู่ใจ วัดเสด็จ ผู้สร้างตำนานตะกรุดลูกอม อันลือลั่น ไล่เรียงรายนามอาจารย์แล้ว จึงมิต้องแปลกใจแต่อย่างใด ในความรู้ความสามารถและความเข้มขลังในสายพุทธาคม

ถือเป็นพระเถราจารย์ที่ชาวสมุทรสงครามและจังหวัดใกล้เคียง ให้ความความศรัทธาเลื่อมใส อีกทั้งอุทิศตนในการทำงานพัฒนาสร้างสรรค์ความเจริญรุ่งเรืองมาสู่วัดจุฬามณีและชุมชนท้องถิ่นมาโดยตลอด





หลวงพ่อเนื่อง โกวิโท

ลําดับสมณศักดิ์ เมื่อปี พ.ศ.2476 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์พระครูสัญญาบัตรชั้นตรีที่ พระครูโกวิทสมุทรคุณ

เมื่อปี พ.ศ.2517 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์พระครูสัญญาบัตรชั้นโท ฝ่ายวิปัสสนาคันธุระ ในราชทินนามเดิม

วัดจุฬามณี เป็นวัดโบราณ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นระหว่างปี 2172-2190 ในรัชสมัยพระเจ้าปราสาททอง เดิมชื่อ วัดแม่เจ้าทิพย์ เป็นวัดที่มีความสำคัญในประวัติศาสตร์ เกี่ยวกับราชวงศ์จักรี ฝ่ายราชนิกุล (ตระกูล ณ บางช้าง) โดยเดิมกุฏิและอุโบสถ ล้วนสร้างจากไม้สัก ซึ่งย่อมผุพังและเสื่อมโทรมไปตามกาล

แต่ก็ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ให้อยู่ในสภาพคงทนแข็งแรงและมีความสวยงามยิ่งขึ้น ด้วยความสามารถของหลวงพ่อเนื่องอย่างแท้จริง

ดูแลบูรณปฏิสังขรณ์วัดจุฬามณี จนเป็นวัดที่มีความเจริญรุ่งเรือง และมีความสมบูรณ์ในทุกด้าน โดยเฉพาะอุโบสถจตุรมุข หินอ่อน 3 ชั้น กว้าง 40 เมตร ยาว 80 เมตร สูง 10 เมตร มูลค่าการก่อสร้างนับสิบล้านบาท วางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2511 โดยสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (จวน อุฏฐายี) เสด็จประกอบพิธี

มีเรื่องเล่าขานกันมาว่า หลวงพ่อเนื่อง เคยต้องอธิกรณ์ โดนตั้งกรรมการสอบสวนถอดสมณศักดิ์ เนื่องจากท่านมีชื่อเสียงเรื่องการใบ้หวย จนมีชาวบ้านหลั่งไหลเข้าขอเลขเด็ดกันไม่ขาดสาย

จนมีพระเถระรูปหนึ่ง ท้าทายท่านว่า “คุณเนื่อง ถ้าคุณแน่จริง เห็นเลขจริง ให้มาพิสูจน์สักสองตัวได้ไหม” หลวงพ่อเนื่องตอบกลับไปว่า “พระเดชพระคุณจะให้สัจจะกับเกล้ากระผมได้ไหมว่าจะไม่เอาไปแทง ถ้าให้สัจจะ เกล้ากระผมก็จะให้เลขเพื่อพิสูจน์ว่า เกล้าเห็นจริงหรือไม่จริง”

หลังจากเจ้าคุณให้สัจจะ ท่านก็ได้เขียนตัวเลขรางวัลที่ 1 ใส่กระดาษแล้วก็ได้ขอให้เจ้าคุณเก็บไว้ในตู้เซฟ ครั้นประกาศผลก็ให้เปิดกระดาษนั้นคลี่ดู ปรากฏว่าตัวเลขที่เขียนไว้ในกระดาษตรงกับรางวัลที่ 1 ของกองสลากไม่ผิดเพี้ยน

เมื่อต้นปี พ.ศ.2530 หลวงพ่อเนื่อง เริ่มมีอาการอาพาธ จนมีอาการทรุดหนักลง

กระทั่งในช่วงเช้าเวลา 06.20 น. วันที่ 27 พฤศจิกายน 2530 ละสังขารลงอย่างสงบ ที่โรงพยาบาลสมิติเวช

สิริอายุ 78 ปี พรรษา 56

ท่ามกลางความเศร้าสลดของบรรดาคณะศิษยานุศิษย์ •




เหรียญพระพุทธ หลวงพ่อชุบ


เหรียญพระสิวลี หลวงพ่อชุบ

เหรียญพระพุทธ-พระสีวลี หลวงพ่อชุบ
วัดวังกระแจะ สืบสายอาคมจากหลวงปู่ศุข

ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 1 - 7 มีนาคม 2567
คอลัมน์    - โฟกัสพระเครื่อง
เผยแพร่ - วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2567


“พระครูอดุลพิริยานุวัตร” หรือ “หลวงพ่อชุบ ปัญญาวุโธ” อดีตเจ้าอาวาสวัดวังกระแจะ ต.วังกระแจะ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี พระเกจิอาจารย์สืบสายวิชาอาคมจากหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า

ร่ำเรียนจากอาจารย์รื่น นิลแนบแก้ว ทำให้ได้สืบทอดการสักยันต์ เด่นรอบด้าน รวมทั้งวิทยาคม การทำตะกรุดและเครื่องราง

อีกทั้งยังสืบทอดวิชาสายหลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม จากพระมหาสิทธิการ (ทอง) วัดเพชรสมุทร จ.สมุทรสงคราม ผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อครั้งจำพรรษาอยู่ที่วัดเพชรสมุทร (วัดบ้านแหลม)

สร้างพระเครื่องวัตถุมงคลและเครื่องรางไว้หลายชนิด แต่ที่มีชื่อเสียงมาก คือ “เหรียญพระพุทธ วัดวังกระแจะ รุ่นแรก”

สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2533 ที่ระลึกในงานผูกพัทธสีมาของวัดวังกระแจะ ปลุกเสกเดี่ยว มีเนื้อทองแดงเพียงชนิดเดียวเท่านั้น

เหรียญพระพุทธ หลวงพ่อชุบ
ลักษณะเป็นเหรียญปั๊มรูปเสมาจอบ แบบมีหูในตัว ด้านหน้า เป็นรูปจำลองพระพุทธรูปปางสมาธิ บนอาสนะสวยงาม ข้างรูปพระมีอักขระยันต์ อ่านได้ว่า “อะ ระ หัง พุท โธ ภิ ภี ภะ” ขอบเขียนว่า “พระอาจารย์ชุบ วัดวังกระแจะ อ.ไทนโยค จ.กาญจนบุรี”

ด้านหลัง มีอักขระยันต์ ใต้อักขระยันต์มีอักขระภาษาไทยเขียนว่า “ที่ระลึกในงานผูกพัทธสีมา วัดวังกระแจะ ๒๕๓๓”

นอกจากนี้ ยังมี “เหรียญพระสิวลี วัดวังกระแจะ” ด้วย จัดสร้างในปี พ.ศ.2539 ที่ระลึกสำหรับผู้ที่บริจาคทรัพย์บำรุงวัด ปลุกเสกเดี่ยวสร้างด้วยเนื้อทองแดงเพียงชนิดเดียวเช่นกัน

ลักษณะเป็นเหรียญปั๊มรูปไข่แบบมีหูในตัว ด้านหน้า เป็นรูปจำลองพระสีวลี ข้างรูปพระมีอักขระยันต์อ่านได้ว่า “นะ ชา ลี ติ” ขอบเขียนว่า “พระอาจารย์ชุบ วัดวังกระแจะ อ.ไทนโยค จ.กาญจนบุรี” ด้านหลัง เป็นอักขระยันต์

เป็นเหรียญที่ได้รับความนิยมสูง





หลวงพ่อชุบ ปัญญาวุโธ 

อัตโนประวัติ เกิดวันศุกร์ที่ 25 มีนาคม 2469 ตรงกับแรม 8 ค่ำ เดือน 4 ปีขาล บิดา-มารดา ชื่อ นายปลื้ม และนางช่วง ถินนาก มีพี่น้องร่วมบิดามารดาทั้งหมด 5 คน

ในช่วงวัยเยาว์ มีความสามารถด้านศิลปะวาดเขียนมากกว่าเด็กอื่นๆ ในวัยเดียวกัน พอวัยรุ่นฝากตัวเป็นศิษย์และได้รับการถ่ายทอดวิชาการสักยันต์และวิทยาคมต่างๆ จากอาจารย์รื่น นิลแนบแก้ว เมื่อครั้งเปิดสำนักสักยันต์ที่ อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม

สำหรับอาจารย์รื่น เป็นศิษย์ของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า พระเกจิอาจารย์ชื่อดัง และยังเป็นพระสหายกับพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์

เข้าพิธีอุปสมบทเมื่อปี พ.ศ.2491 ที่วัดคู้สนามจันทร์ ต.บ้านปรก อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม มีหลวงพ่อกลึง ธัมมโชติ วัดสวนแก้ว เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอธิการเจียม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอธิการปิ่น เป็นพระอนุสาวนาจารย์

จำพรรษาอยู่วัดคู้สนามจันทร์รวม 4 พรรษา จากนั้นย้ายไปจำพรรษาและศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดเพชรสมุทร และยังศึกษาสรรพวิชาเพิ่มเติมจากพระมหาสิทธิการ (ทอง) วัดเพชรสมุทร ซึ่งเป็นศิษย์หลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม

เริ่มออกท่องธุดงค์ไปยังจังหวัดต่างๆ เช่น นครศรีธรรมราช ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี ราชบุรี และกาญจนบุรี

พ.ศ.2505 เดินธุดงค์มาที่ จ.กาญจนบุรี และได้เดินทางจนมาถึงถ้ำละว้า มีญาติโยมนิมนต์ให้มาพักที่บ้านวังกระแจะ และสร้างกุฏิให้อยู่เป็นไม้ไผ่มุงแฝก 1 หลัง จากนั้นได้สร้างกุฏิไม้แบบถาวรให้ 1 หลัง

เพื่อหาปัจจัยมาสร้างวัดตามที่ชาวบ้านศรัทธา และขอให้เป็นวัดประจำหมู่บ้าน

ด้วยถือสัจจะเป็นใหญ่ เมื่อรับปากชาวบ้านว่าจะสร้างวัดให้ ก็ต้องดำเนินการให้สำเร็จ

พ.ศ.2511 ตั้งเป็นวัดอย่างเป็นทางการ

พ.ศ.2514 ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา

พ.ศ.2533 ทำพิธีผูกพัทธสีมาอุโบสถ

ได้รับตำแหน่งหน้าที่ปกครอง พ.ศ.2513 เป็นเจ้าอาวาสวัดวังกระแจะ ต.วังกระแจะ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี

พ.ศ.2517 เป็นเจ้าคณะตำบลท่าทุ่งนา และต่อมาย้ายมาเป็นเจ้าคณะตำบลวังกระแจะ

พ.ศ.2522 เป็นพระอุปัชฌาย์

พ.ศ.2526 เป็นรองเจ้าคณะอำเภอไทรโยค

พ.ศ.2549 เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอไทรโยค

งานด้านการศึกษา พ.ศ.2498 ได้รับการแต่งตั้งเป็นครูสอนพระปริยัติธรรม

พ.ศ.2499 เป็นกรรมการตรวจข้อสอบธรรมสนามหลวง

พ.ศ.2501 ได้รับการแต่งตั้งเป็นครูสอนพระปริยัติธรรม

พ.ศ.2513 เป็นเจ้าสำนักเรียนประจำสำนักเรียนวัดวังกระแจะ

งานสาธารณูปโภค พ.ศ.2516 สร้างอุโบสถ

พ.ศ.2519 สร้างกุฏิสงฆ์ ศาลาการเปรียญ หอฉัน หอสวดมนต์ ห้องนํ้า

พ.ศ.2534 สร้างเมรุ ศาลาฌาปนสถาน และห้องน้ำใหม่

พ.ศ.2547 สร้างศาลาการเปรียญหลังใหม่

งานเผยแผ่พุทธศาสนา พ.ศ.2524 ได้รับแต่งตั้งเป็นพระธรรมทูตเผยแผ่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ (อินเดีย)

ลำดับสมณศักดิ์ พ.ศ.2519 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นเอก ในราชทินนามที่ พระครูอดุลพิริยานุวัตร

กล่าวได้ว่า เป็นพระเกจิผู้มีบารมี มุ่งมั่นสืบทอด และจรรโลงบวรพระพุทธศาสนา

ด้วยความไม่เที่ยงของสังขาร มีอาการอาพาธ เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลในจังหวัด ต่อมาได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้เป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์ ในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา โดยเข้ารักษาตัวนานกว่า 2 เดือน

กระทั่งเวลา 20.40 น. วันที่ 20 เมษายน 2565 ละสังขารด้วยอาการสงบ ณ โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา

สิริอายุ 96 ปี พรรษา 74 •
บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 13
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2632


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #199 เมื่อ: 10 มกราคม 2568 18:38:31 »


พระสมเด็จหลวงพ่อสุด วัดกาหลง


พระหยกหลวงพ่อสุด วัดกาหลง

พระสมเด็จ-พระหยก
หลวงพ่อสุด วัดกาหลง พระเกจิชื่อดังสมุทรสาคร

ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 8 - 14 มีนาคม 2567
คอลัมน์    - โฟกัสพระเครื่อง
เผยแพร่ - วันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ.2567


พระเกจิอาจารย์ชื่อดังมหาชัย มีอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งที่ละสังขารไปแล้วและยังดำรงขันธ์อยู่

หนึ่งในนั้น เป็นที่กล่าวขวัญถึงอย่างมากคือ “หลวงพ่อสุด สิริธโร” หรือ “พระครูสมุทรธรรมสุนทร” อดีตเจ้าอาวาสวัดกาหลง อ.เมือง จ.สมุทรสาคร

วัตถุมงคลมากมายได้รับความนิยม รวมถึงเครื่องรางของขลัง โดยเฉพาะ “ตะกรุด”

ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดี คือ “พระสมเด็จหลวงพ่อสุดรุ่นแรก” สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2514 ลักษณะเป็นสมเด็จเนื้อผงพุทธคุณ

ด้านหน้า เป็นรูปพระพิมพ์สมเด็จ พิมพ์ใหญ่ ฐานสามชั้น

ด้านหลัง เป็นรูปเหมือนครึ่งองค์ห่มจีวรลดไหล่ พาดผ้าสังฆาฏิ ด้านบนมีอักขระยันต์อ่านได้ว่า พุท ธะ สัง มิ และเขียนคำว่า “ส.ค. หลวงพ่อวัดกาหลง”

นอกจากนี้ ยังมี “พระหยก” สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2521 ลักษณะเป็นรูปหยดน้ำไม่มีหู มีการด้วยเนื้ออัญมณี 3 ชนิด ประกอบไปด้วย เนื้อหยกลายไม้สัก เนื้อหยกพลอยโมรา (สีออกแดง) และเนื้อหยกเขียว จำนวนการสร้างไม่ได้จดบันทึกไว้

ด้านหน้า เป็นรูปจำลองครึ่งองค์ ห่มจีวรลดไหล่พาดผ้าสังฆาฏิ ใต้รูปมีอักขระภาษาไทยเขียนว่า “มูลนิธิ นพเกล้า ๒๕๒๑” ขอบองค์พระมีอักขระภาษาไทยเขียนว่า “พระครูสมุทรธรรมสุนทร (สุด) วัดกาหลง จ.สมุทรสาคร”

ด้านหลัง เป็นยันต์ตะกร้อ ยันต์ครูที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัว

จัดเป็นวัตถุมงคลที่หายากในปัจจุบัน





หลวงพ่อสุด สิริธโร

มีนามเดิมว่า สุด สัตย์ตัง เป็นชาว อ.พนมไพร จ.ร้อยเอ็ด เกิดเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2445 บรรพชาเมื่ออายุ 16 ปี ที่วัดกลาง อ.พนมไพร โดยมีพระครูเม้า เป็นพระอุปัชฌาย์

อายุครบ 20 ปี อุปสมบทที่วัดกลาง เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2465

ออกธุดงค์เดินทางรอนแรมจากจังหวัดร้อยเอ็ด รอนแรมไปตามสถานที่ต่างๆ จวบจนมีชาวบ้านที่ตำบลกาหลง นิมนต์ให้จำพรรษาอยู่ที่วัด

ในห้วงเดินท่องธุดงค์ มีโอกาสร่ำเรียนวิทยาคมจากพระเกจิอาจารย์ชื่อดังหลายท่าน อาทิ หลวงพ่อรุ่ง ติสสโร วัดท่ากระบือ จ.สมุทรสาคร, หลวงพ่อคง ธัมมโชโต วัดบางกะพ้อม จ.สมุทรสงคราม เป็นต้น

มีความรู้ด้านภาษาลาวและภาษาขอม เข้าใจว่าหลังจากบวชเณรแล้วคงได้เดินธุดงค์อยู่ละแวกอีสานระยะหนึ่ง กว่าจะเดินทางมาถึงจังหวัดสมุทรสาครได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย

ในยุคนั้นพระเถระชั้นผู้ใหญ่ของภาคอีสาน เดินทางมาแสวงหาความรู้ในกรุงเทพฯ มากมาย เช่น สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (จันทร์ สิริจันโท) เป็นต้น

พระเถระอาวุโสหลายรูปเคยเล่าว่าพระเณรจำนวนไม่ใช่น้อยที่มามรณภาพอยู่ในป่า ด้วยต้องการจะเดินทางมาศึกษาเล่าเรียนในกรุงเทพฯ ผู้ที่ผ่านป่าดงดิบลึกมาได้โดยตลอดปลอดภัย จึงแก่กล้าวิทยาคมพอสมควร จำเป็นอย่างยิ่งต่อการเดินผ่านเข้าดงดิบลึกที่มีทั้งไข้ป่า พิษว่าน สัตว์ร้ายนานาชนิด

ผ่านมาจนถึงวัดกาหลงได้ นับว่าเป็นยอดหนึ่งเดียวด้านวิทยาคม

ได้รับนิมนต์เข้าร่วมพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลมากมายหลายพิธีไม่ต่ำกว่า 100 ครั้ง โดยเฉพาะพิธีปลุกเสกพระพุทธ 25 ศตวรรษ

มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วจากการเป็นพระอาจารย์ของตี๋ใหญ่ จอมโจรชื่อดัง ร่ำลือกันว่าเป็นคนมอบเครื่องรางของขลังให้ด้วย ทำให้รอดพ้นแคล้วคลาดจากการถูกเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเข้าจับกุมแทบทุกครั้ง

อีกทั้งยังเป็นเกจิต้นตำรับยันต์ตะกร้อ ที่มีชื่อด้านอยู่ยงคงกระพันชาตรี

ยันต์ตะกร้อ เป็นยันต์ที่จัดทำขึ้นมา ด้วยการปลุกเสกลงอาคม โดยใช้ภาษาขอม เขมร และลาว ได้รับความนิยมอย่างยิ่ง

แต่เดิมเป็นอาจารย์สักยันต์เลื่องชื่อ มีคนนิยมไปสักยันต์มาก ทั้งยันต์เสือเผ่นและยันต์ตะกร้อ ซึ่งผู้ที่ได้รับการสักยันต์จะเด่นในทางอยู่ยงคงกระพัน โดยเฉพาะลูกศิษย์ชาวตังเก

แต่บางคนประพฤติเป็นโจร ทำให้ยากต่อการปราบปรามโดยตำรวจ ตอนหลังทางการต้องขอร้องให้เลิกสักยันต์

หลวงพ่อสุด เล่าเรื่องยันต์ตะกร้อไว้ว่า ยันต์ตะกร้อทนทานแคล้วคลาด เมื่อตอนเป็นเด็กหลวงพ่อชอบดูการเตะตะกร้อมาก สวยดี ลองเตะบ้างมันเจ็บ ก็ลองคิดดูว่าจะเขียนอักขระยันต์อย่างไรให้งดงามไม่ไปซ้ำของใคร ได้เห็นเด็กๆ เตะตะกร้อเล่นที่ลานวัดกาหลง ก็เลยวาดแบบรอยสานตะกร้อดู พยายามอยู่นานจนได้ดี จุดสำคัญคือ สวยงามและตะกร้อนั้นแข็งแรงทนทาน หมายถึงความอดทนแคล้วคลาดของคนเรา โดนเท่าไรก็ไม่เป็นไร ใครเคยเห็นตะกร้อโดนเตะเพียงทีสองทีก็เสียเคยเห็นไหม เห็นมีแต่คนเตะบ่นปวดเท้า ถือเป็นปรัชญาแห่งชีวิตข้อหนึ่งคือความอดทนและมีศิลปะŽ

ศิลปะในการออกแบบยันต์ตะกร้อ นับว่าสุดยอดทั้งความงดงาม การลากเส้นอักขระขอม ลวดลายของยันต์สง่างามและสวยงามอย่างยิ่ง

ลำดับสมณศักดิ์ พ.ศ.2490 เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรี

พ.ศ.2511 เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโท

พ.ศ.2517 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นเอก ในราชทินนามเดิมที่ พระครูสมุทรธรรมสุนทร

มรณภาพลงอย่างสงบ เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2526 สิริอายุ 81 ปี •





‘พระผงญาณวิลาศ’
วัตถุมงคลหลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐเพชรบุรี

ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 15 - 21 มีนาคม 2567
คอลัมน์    - โฟกัสพระเครื่อง
เผยแพร่ - วันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ.2567


“หลวงพ่อแดง รัตโต” หรือ “พระครูญาณวิลาศ” วัดเขาบันไดอิฐ อ.เมือง จ.เพชรบุรี ยอดพระเกจิผู้มีชื่อเสียง ไม่เพียงแต่ในจังหวัดเท่านั้น

สร้างวัตถุมงคลไว้หลายชนิด ในวาระและโอกาสต่างๆ เป็นที่นิยมและเสาะแสวงหากันอย่างแพร่หลาย

หลังสร้างเหรียญรุ่นแรกจนได้รับความนิยมแล้ว ยังมีวัตถุมงคลอีกรุ่นที่ยอดฮิต ได้แก่ “พระผงญาณวิลาศ” อันเป็นราชทินนามสมณศักดิ์

ในปี พ.ศ.2510 เมื่อครั้ง ร.ท.ประสงค์ เจิมพร นำแม่พิมพ์พระแบบสมเด็จ ไปถวายให้ได้ชม และนมัสการถามว่า “พระนี้จะขอให้นามว่า พระสมเด็จหลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ”

หลวงพ่อแดงจึงบอกว่า “ไม่เหมาะดอกหมวด ฉันเป็นเพียงพระครูเท่านั้น ไม่ใช่สมเด็จเสียหน่อย จะทำอย่างนั้นไม่ได้ อาศัยพิมพ์รูปแบบพระสมเด็จของเจ้าประคุณสมเด็จก็หนักหนาพอแล้ว จะเอายศของท่านมาใช้อีกมันไม่เหมาะเลย”

ร.ท.ประสงค์จึงเรียนถามต่อว่า “แล้วจะใช้นามว่าอะไรดีขอรับ”

หลวงพ่อแดงจึงบอกว่า “เอาง่ายๆ พระผงญาณวิลาศ วัดเขาบันไดอิฐ พอแล้ว”

อันเป็นที่มาของชื่อ “พระผงญาณวิลาศ”

พระรุ่นนี้ หลวงพ่อแดงได้มอบชานหมาก พร้อมทั้งผงวิเศษต่างๆ ที่ได้ทำไว้ และของดีต่างๆ รวมทั้งแร่เกาะล้าน ที่ว่าเป็นของกายสิทธิ์ นำมาบดผสมลงไปในเนื้อพระ เริ่มกดพิมพ์ แล้วเสร็จประมาณปี พ.ศ.2511

ประกอบพิธีประจุพระพุทธคุณอีก 3 ไตรมาส ตั้งแต่ปี พ.ศ.2511-2513

สร้างประมาณ 40,000 องค์ สร้างเพียงรุ่นเดียว และทำลายพิมพ์ทั้งหมด มีอยู่ด้วยกัน 3 สี คือ สีแดง สีดำ และสีเหลือง

เมื่อปลุกเสกแล้ว จึงนำออกมาให้บูชาในวัดส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งนำไปบรรจุเจดีย์ พร้อมกับพระปิดตาเนื้อตะกั่วที่ปลุกเสกพร้อมกัน

มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับด้านแคล้วคลาดว่า ร.ท.ประสงค์เคยกระโดดร่มลงมา แต่ร่มไม่กาง แต่ก็รอดตายเหมือนปาฏิหาริย์ เพียงนอนโรงพยาบาลดูแลอาการอยู่ 7 วันเท่านั้น แต่ก็ไม่เป็นอะไรมาก

จัดเป็นวัตถุมงคลที่นิยมของชาวเพชรบุรีอย่างมาก




หลวงพ่อแดง รัตโต

อัตโนประวัติ เกิดในสกุล อ้นแสง ที่บ้านสามเรือน หมู่ที่ 4 ต.บางจาก อ.เมือง จ.เพชรบุรี เมื่อวันพุธขึ้น 2 ค่ำ เดือน 11 พ.ศ.2422 บิดาชื่อนายแป้น มารดาชื่อนางนุ่ม อ้นแสง มีพี่น้องรวมกัน 12 คน ท่านเป็นคนที่ 5

วัยเด็กช่วยพ่อแม่ทำไร่ทำนา ไม่มีโอกาสร่ำเรียนหนังสือ

ครั้นถึงวัยหนุ่ม พ่อแม่หวังจะให้บวชเรียน จึงพาไปฝากกับพระอาจารย์เปลี่ยน วัดเขาบันไดอิฐ

อายุ 22 ปี เข้าพิธีอุปสมบทที่วัดเขาบันไดอิฐ ต.ไร่ส้ม อ.เมือง จ.เพชรบุรี มีพระครูญาณวิสุทธิ วัดแก่นเหล็ก อ.เมือง จ.เพชรบุรี เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า รัตโต

เคร่งครัดต่อพระวินัยและปฏิบัติต่อพระอาจารย์เป็นอย่างดี พระอาจารย์เปลี่ยนจึงเมตตาสอนวิชาการวิปัสสนา และวิธีนั่งปลงกัมมัฏฐานให้ รวมถึงถ่ายทอดวิยาคมให้อย่างไม่ปิดบัง

เหตุนี้ทำให้มีความปีติเพลิดเพลินในการศึกษาวิชาความรู้ ยิ่งนานวันก็ยิ่งสำนึกในรสพระธรรม ไม่มีความคิดลาสิกขาแต่อย่างใด จึงกลายเป็นพระปฏิบัติดีที่มีอาวุโสสูงสุด

กระทั่งพระอาจารย์เปลี่ยนมรณภาพลง จึงรับหน้าที่เป็นสมภารวัดเขาบันไดอิฐแทน ตั้งแต่ปี พ.ศ.2461 เป็นต้นมา และแม้จะได้เป็นสมภารซึ่งต้องมีภารกิจมาก แต่ก็ยังปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิในถ้ำเพื่อแสวงหาวิมุตติภาวนาทุกวัน

ไม่เคยอวดอ้างในคุณวิเศษใดๆ แต่ผลของเลขยันต์เป่ามนต์ได้สำแดงออกมาให้ประจักษ์ว่าคุ้มครองป้องกันภัยได้

มีเรื่องเล่ากันมาว่า ระหว่าง พ.ศ.2477-2480 เวลานั้นเกิดโรคระบาดสัตว์ วัวควายเป็นโรคปากเท้าเปื่อยที่ติดต่อร้ายแรง พากันล้มตาย สัตวแพทย์ก็ไม่มี ต้องขอให้ทางการมาช่วยฉีดยา ราษฎรจึงพากันไปหาให้ช่วยปัดเป่าป้องกันโรคระบาดสัตว์ให้

จึงปลุกเสกลงเลขยันต์ในผืนผ้ารูปสี่เหลี่ยมเล็กๆ แจกให้ชาวบ้านที่เลี้ยงวัวควายนำไปผูกปลายไม้ปักไว้ที่คอกสัตว์ ปรากฏว่า คอกสัตว์ที่ปักผ้าประเจียดยันต์ไม่ตาย ทุกบ้านในตำบลใกล้เคียงวัดเขาบันไดอิฐ เมื่อรู้กิตติศัพท์จึงพากันมาขอยันต์ทุกวันมิได้ขาด

กระทั่งเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 คือ มหาสงครามเอเชียบูรพา เมืองเพชรบุรีมีระเบิดลงทุกวันทำลายสถานีรถไฟ สะพานข้ามแม่น้ำ บ้านเรือน โรงเรียนต้องสั่งปิด ข้าราชการไม่ได้ไปทำงาน ทุกหน่วยราชการปิดหมด และปรากฏเรื่องเป็นที่ฮือฮาว่า บ้านคนที่มีผ้ายันต์หรือเหรียญ กลับไม่ได้รับอันตรายใดๆ

เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2502 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร ในราชทินนามที่ พระครูญาณวิลาศ

เป็นพระใจดีมีเมตตาสูง และอารมณ์ดีเสมอ ไม่ชอบดุด่าว่าใคร โดยเฉพาะคำหยาบคายถึงพ่อแม่ ห้ามขาด เพราะทุกคนเขาก็มีพ่อมีแม่ การด่าถึงบุพการีทำให้ความดีงามเสื่อมถอย ถึงห้อยพระท่านก็ไม่คุ้มครอง

มรณภาพอย่างสงบ เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2517 สิริอายุ 96 ปี พรรษา 74

ก่อนสิ้นลม ได้ฝากฝังกับพระปลัดบุญส่ง ธัมมปาโล รองเจ้าอาวาสขณะนั้น ว่า “เมื่อฉันหมดลมหายใจแล้วอย่าเผา ให้เก็บร่างฉันไว้ที่หอสวดมนต์ และให้เอาเหรียญที่ปลุกเสกรุ่น 1 ใส่ปากไว้พร้อมเงินพดด้วง 1 ก้อน ส่วนนี้ฉันเอาไปได้ และให้เอาขมิ้นมาทาตัวฉันให้เหลืองเหมือนทองคำ”

พระปลัดบุญส่ง รับปากและได้ทำตามประสงค์ไว้ทุกประการ

ทุกวันนี้ ยังเป็นที่เคารพศรัทธาของชาวจังหวัดเพชรบุรี รวมทั้งผู้มีจิตศรัทธาไม่เสื่อมคลาย •
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10 มกราคม 2568 18:43:56 โดย ใบบุญ » บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า:  1 ... 8 9 [10] 11   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.64 วินาที กับ 29 คำสั่ง

Google visited last this page 11 มิถุนายน 2568 01:45:39