14 ธันวาคม 2568 13:26:14
ยินดีต้อนรับคุณ,
บุคคลทั่วไป
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
1 ชั่วโมง
1 วัน
1 สัปดาห์
1 เดือน
ตลอดกาล
เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
หน้าแรก
เวบบอร์ด
ช่วยเหลือ
ห้องเกม
ปฏิทิน
Tags
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
ห้องสนทนา
[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ
เครื่องราง ของขลัง พุทธคุณ
.:::
พระเครื่อง
:::.
หน้า:
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
1
...
9
10
[
11
]
12
ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน
หัวข้อ: พระเครื่อง (อ่าน 268164 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 13
คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์
Thailand
กระทู้: 2730
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
Re: พระเครื่อง
«
ตอบ #200 เมื่อ:
13 กุมภาพันธ์ 2568 12:33:21 »
พระปิดตายันต์ยุ่งสำริด หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง พระเกจิชื่อดังย่านฝั่งธนฯ
ที่มา - คอลัมน์โฟกัสพระเครื่อง มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 22 - 28 มีนาคม 2567
เผยแพร่ - วันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ.2567
“พระภาวนาโกศล” หรือ “หลวงปู่เอี่ยม สุวัณณสโร” หรือ “หลวงพ่อวัดหนัง” เจ้าอาวาสวัดหนังราชวรวิหาร เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร
พระเกจิชื่อดัง ที่ได้รับความเลื่อมใสศรัทธา และรู้จักชื่อเสียงเป็นอย่างดี
วัตถุมงคลที่สร้างชื่อเสียง มีมากมายหลายรุ่น อาทิ เหรียญรุ่นยันต์สี่ หรือเหรียญยันต์ห้า อีกทั้งพระชัยวัฒน์ก็เป็นที่นิยมมากเช่นกัน
แต่ที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน คือ พระปิดตายันต์ยุ่ง เนื้อโลหะผสม
หลวงปู่เอี่ยม สร้างพระปิดตาไว้หลายอย่าง แยกตามเนื้อได้เป็นเนื้อสำริด เนื้อตะกั่ว เนื้อผงใบลาน เนื้อผงหัวบานเย็น และเนื้อไม้แกะ
จากคำบอกเล่าต่อกันมาว่าสร้างพระปิดตาเนื้อผงและพระปิดตาเนื้อไม้แกะขึ้นก่อน ต่อมาจึงได้สร้างพระปิดตาเนื้อตะกั่วและเนื้อสำริด
ในปี พ.ศ.2436 เมื่อเรือรบของฝรั่งเศสเข้ามาปิดอ่าวสยาม ทหารและชาวบ้านได้เข้ามาขอรับพระจนล้นหลาม พระปิดตาเนื้อตะกั่วที่สร้างไว้ก่อนหน้าแจกไปจนหมด จึงให้พระภิกษุ-สามเณรและสานุศิษย์ ช่วยกันเทหล่อพระเนื้อตะกั่วต่อ
หลังจากนั้น จึงได้สร้างพระปิดตาเนื้อสำริด ประมาณว่าสร้างมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2441 ตอนที่ได้มาครองที่วัดหนังแล้ว และเมื่อคราวบูรณะเขื่อนที่หน้าวัด ปี พ.ศ.2463 ก็มีการเทพระชัยวัฒน์และพระปิดตาเนื้อสำริด สมนาคุณแก่ผู้บริจาคเงินช่วยเหลือในครั้งนั้นด้วย
พระปิดตาเนื้อสำริด มีเรื่องบอกเล่าจากหลวงพ่อเล็ก ลูกศิษย์ใกล้ชิดว่า หลวงปู่เอี่ยมจะให้จัดหาโลหะต่างๆ ซึ่งจะนำมาเป็นส่วนผสมเนื้อโลหะสำริด แล้วให้ช่างรีดเป็นแผ่นบางๆ เพื่อให้ลงอักขระเลขยันต์ ต่อจากนั้น จึงมอบให้ช่างนำไปหลอมเทหล่อเป็นองค์พระอีกทีหนึ่ง
หลวงปู่เอี่ยม สร้างพระปิดตาเนื้อสำริดน้อยกว่าพระชัยวัฒน์มาก แต่ต่อมาก็สร้างอยู่หลายครั้งเช่นกัน แบบพิมพ์นั้นจะเป็นพระปิดทวารและมียันต์วางเป็นเส้นสายตลอดเกือบทั้งองค์พระ นิยมเรียกกันว่า พิมพ์ยันต์ยุ่ง ในส่วนที่บริเวณหัวเข่าถ้าเป็นยันต์ตัวนะ มักจะเรียกกันว่าพิมพ์นะหัวเข่า เป็นต้น
การวางยันต์ขององค์พระ ช่างจะปั้นเทียนเป็นเส้นลักษณะคล้ายเส้นขนมจีน แล้วจึงนำมาวางเป็นรูปยันต์ตามกำหนดของหลวงปู่เอี่ยมอีกทีหนึ่ง ตอนยังเป็นหุ่นเทียน ดังนั้นเส้นสายของยันต์ จึงจะไม่เหมือนกันทุกองค์ทีเดียวนัก เนื่องจากเป็นการวางยันต์ทีละองค์
ปัจจุบันพระปิดตายันต์ยุ่งเนื้อสำริด หาพบได้ยากมากองค์หนึ่งในวงการ
หลวงปู่เอี่ยม สุวัณณสโร
อัตโนประวัติเป็นชาวบางขุนเทียนโดยกำเนิด เกิดในสกุลทองอู๋ เมื่อวันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม 2375 ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ครอบครัวประกอบอาชีพชาวสวน
อายุ 9 ขวบ เข้าศึกษาที่สำนักพระอาจารย์รอด วัดหนัง ครั้นอายุได้ 11 ปี ศึกษาพระปริยัติธรรม ในสำนักพระมหายิ้ม วัดบวรนิเวศวิหาร ต่อจากนั้น ได้ไปอยู่ในสำนักพระปิฎกโกศล (ฉิม) วัดราชบูรณะ (วัดเลียบ)
ต่อมากลับมาบรรพชา และศึกษาพระปริยัติธรรมต่อที่วัดหนังสำนักเดิมอีกวาระหนึ่ง การศึกษาในระยะนี้ ดำเนินมาหลายปีติดต่อกันจนกระทั่งถึง พ.ศ.2394 เมื่ออายุได้ 19 ปี จึงได้เข้าสอบแปลพระปริยัติธรรมสนามหลวง ซึ่งสมัยนั้น ต้องเข้าสอบแปลปากเปล่า ณ เบื้องพระพักตร์ ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
แต่น่าเสียดายที่สอบพลาดไป เลยลาสิกขา กลับไปช่วยบิดามารดาประกอบอาชีพอยู่ระยะหนึ่ง
เมื่ออายุ 22 ปี เข้าพิธีอุปสมบทที่วัดราชโอรสาราม มีพระสุธรรมเทพเถร (เกิด) เป็นพระอุปัชฌาย์, พระธรรมเจดีย์ (จีน) พระภาวนาโกศล (รอด) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับฉายา สุวัณณสโร
ปฏิบัติเคร่งครัดในพระธรรมวินัย และมุ่งมั่นศึกษาด้านปริยัติธรรมมาก ในระยะสั้น ย้ายไปอยู่จำพรรษาที่วัดนางนอง โดยได้ฝากตัวเป็นศิษย์กับหลวงปู่รอด วัดหนัง ซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือในด้านวิทยาคมขลัง จนกลายเป็นศิษย์เอกที่พระอาจารย์รักมาก
ต่อมาในปลายสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 หลวงปู่รอด ถูกถอดจากสมณศักดิ์ จึงได้ย้ายไปอยู่ที่วัดโคนอน ซึ่งหลวงปู่เอี่ยมตามไปรับใช้ด้วย ไม่นานนักก็ถึงแก่มรณภาพ จึงได้ครองตำแหน่งเจ้าอาวาสสืบแทน
นอกจากนี้ ยังเป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงเคารพนับถือเป็นการส่วนพระองค์
พ.ศ.2441 ในหลวงรัชกาลที่ 5 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานสมณศักดิ์ให้เป็นพระครูสัญญาบัตรที่พระครูศีลคุณธราจารย์ และอาราธนาไปครองวัดหนัง และรุ่งขึ้นอีก 1 ปี ได้พระราชทานสมณศักดิ์ให้แก่หลวงปู่เอี่ยมแห่งวัดหนัง เป็นพระราชาคณะที่ พระภาวนาโกศล (เอี่ยม) ซึ่งเป็นสมณศักดิ์เดียวกับพระอาจารย์นั่นเอง
ปฏิบัติกิจวัตรเป็นประจำวันอย่างสม่ำเสมอเป็นปกติ เช่น การลงอุโบสถ แม้ฝนจะตกบ้างเล็กน้อยก็เดินกางร่มไป
เนื่องจากเป็นพระเถระผู้ใหญ่ที่ในหลวงรัชกาลที่ 5 ทรงเคารพนับถือเป็นการส่วนพระองค์
ในงานพระราชพิธีต่างๆ จะได้รับสั่งให้ขุนวินิจฉัยสังฆการี นิมนต์เข้าไปในงานพระราชพิธีต่างๆ อาทิ วันฉัตรมงคล วันเฉลิมพระชนมพรรษา เป็นต้น
ครองวัดหนังอยู่ถึง 27 ปีเศษ สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้วัดเป็นอย่างมาก
จวบจนละสังขาร เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2469 สิริอายุ 94 ปี พรรษา 72 •
... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.matichonweekly.com/column/article_754995
เหรียญนั่งเต็มองค์หลวงพ่อพิณ
เหรียญหลวงพ่อพิณ วัดอุบลวรรณาราม รุ่นสุดท้าย
เหรียญนั่งเต็มองค์รุ่นสุดท้าย
มงคล ‘หลวงพ่อพระมหาพิณ’ พระเกจิชื่อดังดำเนินสะดวก
ที่มา - คอลัมน์โฟกัสพระเครื่อง มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 29 มีนาคม - 4 เมษายน 2567
เผยแพร่ - วันอาทิตย์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2567
“พระครูประสิทธิ์สารคุณ” หรือ “หลวงพ่อพระมหาพิณ อินทสาโร” อดีตพระเกจิชื่อดังวัดอุบลวรรณาราม ต.ศรีสุราษฎร์ อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี
เป็นศิษย์ผู้ที่สืบทอดวิชามหาปราบจากหลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม
เหรียญและพระเครื่องล้วนมีประสบการณ์แคล้วคลาด ส่งผลให้ได้รับความนิยมสูง อาทิ เหรียญหล่อชินราช พิมพ์หลวงพ่อวัดบ้านแหลม
ส่วนเหรียญปั๊มที่โด่งดัง คือ “เหรียญนั่งเต็มองค์” สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2512 ลักษณะเป็นเหรียญปั๊มรูปไข่ไม่มีหูเหรียญ มีการจัดสร้างด้วยเนื้อโลหะ เนื้อเงิน และเนื้อทองแดง จำนวนการสร้างไม่ได้มีการจดบันทึกไว้
ด้านหน้า เป็นรูปจำลองนั่งสมาธิเต็มองค์ ห่มจีวรลดไหล่ พาดผ้าสังฆาฏิ มีอักขระภาษาไทยเขียนว่า “อินทสาระมหาเถโร”
ด้านหลัง มีอักขระยันต์ ไม่มีอักขระใดๆ
อีกหนึ่งที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน “เหรียญรุ่นสุดท้าย”
สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2519 ลักษณะเป็นเหรียญปั๊มรูปไข่ แบบมีหู จัดสร้างด้วยเนื้อโลหะ เนื้ออัลปาก้า และเนื้อทองแดง ไม่ได้มีการจดบันทึกไว้ว่าจำนวนเท่าไร
ด้านหน้า เป็นรูปจำลองครึ่งองค์ห่มจีวรลดไหล่ พาดผ้าสังฆาฏิ มีอักขระภาษาไทยเขียนว่า “พระครูประสิทธิ์สารคุณ (พิณ อินทสาโร) วัดอุบลฯ รุ่นสุดท้าย”
ด้านหลัง มีอักขระยันต์ ไม่มีอักขระใดๆ
จัดเป็นเหรียญหายากและเป็นที่นิยมของวงการพระเครื่องและชาวราชบุรีเป็นอย่างมาก
หลวงพ่อพิณ อินทสาโร
มีนามเดิมว่า พิณ อิ้มสำราญ เกิดเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2444 ที่บ้านคลองใหม่ อ.สามพราน จ.นครปฐม บิดา-มารดาชื่อนายหลงและนางพริ้ง อิ้มสำราญ
ในวัยเยาว์ พ่อนำไปฝากร่ำเรียนกับเจ้าอาวาสวัดบางช้างเหนือ ต่อมาให้มาอยู่กับทนายสมบุญ ซึ่งสนิทสนมคุ้นเคยกัน เพื่อศึกษาในโรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย ศึกษาจนจบมัธยมศึกษาปีที่ 2 บิดาก็ถึงแก่กรรม จึงต้องออกมาช่วยมารดาประกอบอาชีพ
พ.ศ.2465 ขณะที่มีอายุ 21 ปี เข้าพิธีอุปสมบท ที่พัทธสีมาวัดบางช้างเหนือ จ.นครปฐม มีหลวงพ่อใจ วัดเชิงเลน เป็นพระอุปัชฌาย์, หลวงพ่อแหวน วัดบางช้างใต้ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอธิการแหวน วัดบางช้างเหนือ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า อินทสาโร
จำพรรษาและเล่าเรียนพระปริยัติธรรมที่วัดบางช้างเหนือ ต่อมาได้ศึกษาบาลี ที่สำนักเรียนวัดทองนพคุณ อ.คลองสาน กทม. ศึกษาทั้งแผนกธรรมและบาลี จนมีความรู้ สามารถสอบได้นักธรรมชั้นเอก และสอบได้เปรียญ 5 ประโยค
จากนั้น สนใจทางนักเทศน์จนมีความรู้ความชำนาญในการแสดงพระธรรมเทศนา พร้อมทั้งร่ำเรียนวิชาโหราศาสตร์และวิทยาคมจนช่ำชอง
ต่อมาช่วยการพระศาสนาด้านการศึกษา โดยเป็นครูสอนพระปริยัติธรรม ทั้งแผนกธรรมและบาลี โดยเป็นพระครูสอนพระปริยัติธรรมที่สำนักเรียนวัดทองนพคุณ, วัดท่าล้อ จ.กาญจนบุรี, วัดอมรญาติสมาคม, วัดประสาทสิทธิ์ และวัดอุบลวรรณาราม จ.ราชบุรี ตามลำดับ
ในปี พ.ศ.2481 อยู่ประจำที่วัดประสาทสิทธิ์ (หลักห้า) อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี โดยเปิดการสอนพระปริยัติธรรม แผนกบาลีเป็นแห่งแรกใน อ.ดำเนินสะดวก อำนวยการสอนด้วยตนเอง
นอกจากนี้ ได้เห็นความขาดแคลนของเด็กๆ สถานศึกษาไม่เพียงพอ ต้องอาศัยศาลาการเปรียญของวัด จึงได้ปรึกษาพระครูล้อม เจ้าอาวาสวัดประสาทสิทธิ์ เพื่อสร้างโรงเรียนขึ้นที่วัดประสาทสิทธิ์ ชื่อว่า “ศรีพรหมมินทร์” และฉลองเปิดโรงเรียนเมื่อ พ.ศ.2484
ต่อมา ย้ายมาจำพรรษาอยู่ที่วัดอุบลวรรณาราม พระอธิการนิ่ม เจ้าอาวาสวัด ได้ปรึกษาหารือกันเพื่อที่จะสร้างโรงเรียนวัดอุบลวรรณาราม โดยขอร้องให้ช่วยเป็นกำลังหาทุนก่อสร้าง ก็เต็มใจช่วยเหลือจนสำเร็จ เป็นโรงเรียนอุบลวรรณาราม (นิ่มพิณมุขประชานุกูล)
นอกจากนี้ ยังช่วยสร้างโรงเรียนอีกหลายโรงในแถบนั้น และยังเป็นครูสอนพระปริยัติธรรมหลายแห่ง เป็นพระธรรมกถึกนักเทศน์ มีญาติโยมนิยมโวหาร และเลื่อมใสศรัทธาเป็นอันมาก
ในปี พ.ศ.2490 พระอธิการนิ่ม ลาสิกขา คณะสงฆ์และคณะกรรมการวัด พร้อมใจกันให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสนับแต่นั้นมา
หลังจากดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส ได้พัฒนาบูรณปฏิสังขรณ์วัดอุบลวรรณารามให้เจริญรุ่งเรืองตามลำดับ
นอกจากจะเป็นพระนักเทศน์ที่มีชื่อเสียงแล้ว ด้านวิทยาคม มีประชาชนทั่วไปให้ความเลื่อมใสเป็นอย่างมาก ในงานพุทธาภิเษกต่างๆ จะได้รับการอาราธนาให้ไปร่วมปลุกเสกอยู่เสมอ ใครมีเรื่องเดือดร้อนหรือมีทุกข์มาขอให้ช่วยเหลือ จะเมตตาสงเคราะห์ช่วยเหลือทุกราย จึงเป็นที่เคารพนับถือของศิษยานุศิษย์ และประชาชนโดยทั่วไป
ชาวบ้านวัดอุบลวรรณารามจะรับรู้กันว่า เป็นพระที่มีบารมีสูงของอำเภอดำเนินสะดวก มีจิตใจโอบอ้อมอารี เก่งทางด้านนักธรรมและบาลี มองดูเผินๆ เป็นพระนักพัฒนาและเป็นครูสอนนักธรรมและบาลีธรรมดา แต่อีกนัยหนึ่งชาวบ้านอำเภอดำเนินสะดวกจะรู้กันดีว่า เก่งด้านการเทศน์และอาจารย์สอนพระปริยัติธรรมอย่างสูง
เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้แก่ชาวดำเนินสะดวกตลอดมาอย่างยาวนาน กระทั่ง พ.ศ.2520 เริ่มอาพาธด้วยโรคชรา ก่อนมรณภาพอย่างสงบ ในวันที่ 14 ธันวาคม 2520
สิริอายุ 77 ปี พรรษา 55 •
... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.matichonweekly.com/column/article_756582
บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 13
คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์
Thailand
กระทู้: 2730
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
Re: พระเครื่อง
«
ตอบ #201 เมื่อ:
01 มีนาคม 2568 19:16:04 »
เหรียญเทพจันทร์ลอย พ.ศ.2444
เหรียญเทพจันทร์ลอย รุ่นแรก-วัดนครหลวง วัตถุมงคลเด่นกรุงเก่า
ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 5 - 11 เมษายน 2567
คอลัมน์ - โฟกัสพระเครื่อง
เผยแพร่ - วันอาทิตย์ที่ 7 เมษายน พ.ศ.2567
พระนครศรีอยุธยา ราชธานีเก่าแก่ มีโบราณสถานและสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่หลายแห่ง พร้อมตำนานเล่าขานมากมายน่าสนใจ
ที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่ง คือ “แผ่นหินเทพจันทร์ลอย” ที่วัดนครหลวง อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา
เล่ากันว่าสร้างขึ้นจากแผ่นหินศักดิ์สิทธิ์ รูปทรงกลม มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3 เมตร หนา 6 นิ้ว ชาวบ้านเรียกแผ่นหินนี้ว่า “พระจันทร์ลอย”
เดิมไม่ได้ประดิษฐานอยู่ที่วัดนครหลวง แต่ประดิษฐานอยู่ที่ “วัดเทพจันทร์ลอย”
โดยมีตำนานเล่าขานต่อๆ กันมาว่า…
“…ครั้งสมัยเมืองอโยธยาเป็นราชธานี ได้เกิดโรคระบาดขึ้นในเมือง ทำให้ชาวเมืองเจ็บไข้ล้มตายเป็นจำนวนมาก สมัยก่อนใช้วีธีการรักษาแบบแผนโบราณ ควบคู่ไปกับเวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์ แต่การรักษาก็ไม่เป็นผล ทำให้ชาวเมืองต้องอพยพย้ายถิ่นหนีกันเป็นจำนวนมาก
ข่าวนี้ได้แพร่สะพัดไปถึงเหล่าฤๅษีที่บำเพ็ญตบะอยู่ที่เมืองศรีเทพ (อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์) ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ต้นแม่น้ำป่าสัก บรรดาเหล่าฤๅษีจึงได้ประชุมหารือกัน แล้วมอบหมายให้เภสัชฤๅษี (ผู้ทรงคุณวิเศษทางยา) 5 ตน ออกไปหาว่านยา เพื่อมาปรุงยารักษาโรค โดยนำตัวยาทั้งหมดที่หามาได้ มาสุมรวมเป็นกองเดียวกัน จากนั้นจึงร่ายเวทมนตร์ปลุกเสกว่านยาพร้อมๆ กัน
ด้วยอำนาจญาณสมาบัติอันแก่กล้า ทำให้ว่านยากองนั้นหลอมกลายสภาพเป็นแผ่นหินรูปกลมขนาดใหญ่
ระหว่างทาง น้ำได้เซาะเอาว่านยาในแผ่นหินละลายไหลลงมาด้วย ประชาชนพลเมืองแห่งเมืองอโยธยาได้พากันอาบ กินน้ำผสมว่านยาจากหินลอยนั้น แล้วอาการเจ็บไข้ก็เหือดหายคลายลงดั่งปลิดทิ้ง
จากนั้น แผ่นหินได้ลอยตามน้ำ จนมาถึงวังน้ำวน ระหว่างวัดใหม่กับวัดนครหลวง ซึ่งตั้งอยู่บนฝั่งขวาของแม่น้ำป่าสัก แผ่นหินนั้นได้ลอยเป็นทักษิณาวัตร ชาวบ้านเมื่อเห็นเหตุการณ์ จึงช่วยกันเอาเชือกผูกแผ่นหินแล้วลากขึ้นฝั่ง แต่ได้พยายามอยู่นานก็ไม่สำเร็จ
จนกระทั่งมีชีประขาวคนหนึ่งมาทำพิธีบวงสรวง แล้วเอาสายสิญจน์คล้องแผ่นหิน อัญเชิญขึ้นจากน้ำได้ จากนั้นจึงนำไปประดิษฐาน ณ วัดนอก
เมื่ออัญเชิญไว้ในที่อันควรแล้ว เป็นที่ศรัทธานับถือกัน เมื่อผู้ใดมีอาการป่วยไข้ต่างก็จะพากันไปกราบไหว้ เอาน้ำมาราดรดไปที่แผ่นหินเทพจันทร์ลอย แล้วรองรับน้ำไปดื่มต่างยา ก็พากันหายป่วยไข้จนหมดสิ้น เทพจันทร์ลอยจึงเป็นที่เคารพบูชาของชาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและจังหวัดใกล้เคียงสืบต่อมา
แผ่นหินได้ประดิษฐานอยู่ที่วัดนอก เป็นเวลาหลายร้อยปีต่อมา จนถึงรัชสมัยของ ‘พระเจ้าปราสาททอง’ พระองค์ได้มาสร้างปราสาทขึ้นไว้เป็นที่ประทับสำหรับทรงแปรพระราชฐานที่วัดนอก และได้ปฏิสังขรณ์วัดนอกขึ้นใหม่ ด้วยทรงเห็นว่าวัดนี้มีแผ่นหินขนาดใหญ่ทรงกลมคล้ายพระจันทร์เต็มดวงประดิษฐานอยู่ จึงทรงให้เปลี่ยนชื่อวัดเสียใหม่ว่า ‘วัดเทพพระจันทร์ลอย’
ครั้งสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ทรงสร้างวัดเบญจมบพิตรขึ้น พระองค์มีพระประสงค์ใฝ่หาวัตถุโบราณจากหัวเมืองต่างๆ ไปประดิษฐาน ณ วัดเบญจมบพิตร
มณฑลอยุธยา จึงได้ส่งแผ่นหินพระจันทร์ลอยนี้มาให้โดยเดินทางขนส่งมาพักไว้ที่ท่าราชวรดิฐ ก่อนเป็นการชั่วคราว เพื่อรอกราบทูลถวาย
คืนหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงนิมิตว่า…แผ่นหินพระจันทร์ลอยนี้ไม่ประสงค์จะอยู่ที่กรุงเทพมหานคร และขอกลับไปอยู่อยุธยาเช่นเดิม
รุ่งขึ้นเมื่อทรงตื่นจากบรรทมเห็นเป็นนิมิตมหัศจรรย์เช่นนั้น พระองค์จึงทรงมีพระบัญชาให้ทหารมหาดเล็ก นำแผ่นหินพระจันทร์ลอยกลับไปไว้ยังที่อยู่เดิมในทันที
ครั้นเมื่อมหาดเล็กนำแผ่นหินมาถึง อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา ก็ช่วยกันยกแผ่นหินไว้ที่โคนต้นโพธิ์ในวัดนครหลวง ไม่ได้นำไปคืนไว้ที่เดิม ที่วัดเทพจันทร์ลอย
แผ่นหินพระจันทร์ลอย จึงได้ประดิษฐาน ณ วัดนครหลวงมาจนถึงทุกวันนี้…”
ครั้นต่อมาถึงปี พ.ศ.2444 พระครูปลื้ม วัดจักรวรรดิราชาวาส กรุงเทพฯ ได้มาบูรณปฏิสังขรณ์เสนาสนะภายในวัดนครหลวง รวมทั้งสร้างมณฑปสำหรับเป็นที่ประดิษฐานแผ่นหินจันทร์ลอยด้วย ในครั้งนั้นจึงได้สร้างเหรียญเทพจันทร์ลอยขึ้นเป็นที่ระลึกเป็นครั้งแรก เท่าที่ทราบมี 2 เนื้อ คือ เนื้อเงินกับเนื้อตะกั่ว แต่จะสร้างเป็นเนื้อเงินเสียส่วนใหญ่ มอบเป็นที่ระลึกแก่ผู้ช่วยเหลือในการปฏิสังขรณ์
ลักษณะเป็นเหรียญทรงกลม มีหูเชื่อม ด้านหน้า เป็นรูปพระฤๅษีถือลูกประคำ รอบเหรียญขอบบนเขียนคำว่า “ปะติสังขอน รูปพะจันลอย” ขอบล่างเขียนคำว่า “พุท ๒๔๔๔ ปี ร.ศ.๑๒๖”
ด้านหลังเป็นพระพุทธรูป 3 องค์ นั่งขัดสมาธิ
เป็นเหรียญเก่าอีกเหรียญของพระนครศรีอยุธยา โดยมีพระเกจิอาจารย์ที่มาร่วมปลุกเสก คือ หลวงพ่อนวม วัดกลาง, หลวงพ่อกรอง วัดเทพจันทร์ลอย, หลวงพ่อรอด วัดสามไถ, หลวงพ่อปุ้ม วัดสำมะกัน ฯลฯ
อีกทั้ง หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ ซึ่งเป็นชาวนครหลวงโดยกำเนิด และมีความสนิทสนมกับหลวงพ่อนวมและหลวงพ่อกรอง เดินทางมาร่วมปลุกเสกด้วย
หากได้ไปเที่ยวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ก็น่าที่จะแวะไปเที่ยวที่วัดนครหลวง อ.นครหลวง แห่งนี้ นอกจากจะได้ไปสักการะเทพจันทร์ลอย ยังได้เที่ยวชมปราสาทนครหลวงอันเก่าแก่ สร้างในสมัยพระเจ้าปราสาททอง ที่ได้จำลองแบบซุ้มปรางค์ของขอมมาไว้ด้วย
เป็นปราสาทอันงดงามด้วยศิลปะอีกแห่งหนึ่งของพระนครศรีอยุธยา •
... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.matichonweekly.com/column/article_758311
พระปิดตา พิมพ์กรมหลวงชุมพรฯ
พระปิดตา ‘หลวงปู่ศุข’ พิมพ์กรมหลวงชุมพรฯ วัดปากคลองมะขามเฒ่า
ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 12 - 18 เมษายน 2567
คอลัมน์ - โฟกัสพระเครื่อง
เผยแพร่ - วันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน พ.ศ.2567
“พระครูวิมลคุณากร” หรือ “หลวงปู่ศุข เกสโร” วัดปากคลองมะขามเฒ่า พระเกจิผู้เปี่ยมด้วยวิทยาคมแก่กล้า ได้รับสมญาเจ้าสำนักทางพุทธาคมยิ่งใหญ่แห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา
เป็นพระอาจารย์ทางวิทยาคมรูปแรกของ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ที่ทรงให้ความเคารพนับถือและใกล้ชิด
อีกทั้งวัตถุมงคลและเครื่องรางของขลังที่สร้างล้วนเป็นที่นิยมอย่างสูง เป็นที่กล่าวขานและแสวงหามาจวบจนปัจจุบัน อาทิ เหรียญรูปเหมือน พระพิมพ์สี่เหลี่ยมประภามณฑล พระปรกใบมะขาม ตะกรุด ประคำ ฯลฯ
นอกจากนี้ ยังมีพระปิดตาด้วย และที่หายากที่สุดคือ พระปิดตาพิมพ์กรมหลวงชุมพรฯ
พระปิดตานั้น สร้างไว้หลายพิมพ์ มีทั้งเนื้อตะกั่วและเนื้อผง และเนื้อผงคลุกรัก
จากคำบอกเล่า หลวงปู่ศุข เริ่มสร้างขึ้นที่วังกรมหลวงชุมพรฯ (วังนางเลิ้ง) กทม. เนื่องในวันไหว้ครูที่จัดขึ้นทุกปี โดยหลวงปู่ศุขจะได้รับนิมนต์มาด้วยทุกปี ในวันแรกจะนิมนต์พระสงฆ์ฉันเช้า สวดมนต์และฉันเพล พิธีไหว้ครู มีด้วยกัน 3 วัน
วันแรก ไหว้ครูหมอยา วันที่สอง ไหว้ครูมวยไทยและกระบี่กระบอง วันที่สาม ไหว้ครูด้านวิทยาคม
ในงานไหว้ครู จะมีผู้ที่เคารพนับถือเสด็จในกรมฯ ได้แก่ ทหารเรือและพลเรือนเป็นจำนวนมาก เมื่อถึงวันที่ 3 เสด็จพิธีไหว้ครูแล้ว หลวงปู่ศุขจะแจกพระเครื่องแก่ผู้ที่เข้ามาร่วมงานโดยทั่วถึงกันทุกคน
พระปิดตาพิมพ์กรมหลวงชุมพรฯ เป็นพระปิดตาอีกพิมพ์หนึ่งที่แจกในวันไหว้ครูของเสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ เป็นพระเนื้อผงคลุกรัก มีขนาดเล็กมาก และผู้ที่ได้รับมักจะเป็นเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ ดังนั้น พระพิมพ์นี้จึงพบเห็นได้ยากมาก
พระปิดตารุ่นนี้ เป็นพระที่มีขนาดเล็ก มี 2 ขนาด คือ ขนาดพิมพ์ใหญ่ กว้างประมาณ 1 เซนติเมตร ส่วนพิมพ์เล็กนั้น กว้างประมาณ 0.8 เซนติเมตร พุทธศิลป์เหมือนกันทั้งสองพิมพ์
ลักษณะเป็นพระสังกัจจายน์ปิดตา นั่งขัดสมาธิเพชร มือที่ปิดตาเป็นนิ้วทั้ง 10 นิ้วค่อนข้างยาวและชัดเจน ช่วงแขนล่ำสันและกางออกเห็นพุงกลมใหญ่ออกมาเสมอต้นแขนองค์พระ
ปัจจุบัน หายากที่สุดในบรรดาพระปิดตาของหลวงปู่ศุข
หลวงปู่ศุข เกสโร วัดปากคลองมะขามเฒ่า
มีนามเดิมว่า ศุข เกิดในสกุล เกษเวช (ภายหลังใช้เป็น เกษเวชสุริยา) เป็นชาวชัยนาทโดยกำเนิด เกิดเมื่อปี พ.ศ.2390 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ที่บ้านมะขามเฒ่า (ปัจจุบันคือบ้านปากคลอง) ต.มะขามเฒ่า อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท บิดา-มารดา ชื่อ นายน่วม-นางทองดี ครอบครัวประกอบอาชีพค้าขายและทำสวน มีพี่น้องรวมกัน 9 คน โดยเป็นพี่ชายคนโต
ในวัยเด็กเป็นคนมีความกล้าหาญ เด็ดเดี่ยว และเชื่อมั่นในตัวเอง จึงมักถูกยกให้เป็นผู้นำของเด็กในย่านตลาดวัดสิงห์
ต่อมาเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อทำมาหากินค้าขายเล็กๆ น้อยๆ ในแถบลำคลองบางเขน จ.นนทบุรี จนมีครอบครัวและมีบุตรชายหนึ่งคน ชื่อ สอน เกศเวชสุริยา
แต่ด้วยจิตตั้งมั่นที่จะบวชทดแทนคุณบิดามารดา พออายุครบ 22 ปี จึงได้ลาไปอุปสมบทที่วัดโพธิ์บางเขน (ปัจจุบันคือวัดโพธิ์ทองล่าง) โดยมีหลวงพ่อเชย จันทสิริ เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ทองล่าง เป็นพระอุปัชฌาย์
เป็นพระสงฆ์ฝ่ายรามัญที่เคร่งในวัตรปฏิบัติและพระธรรมวินัยอย่างยิ่ง ทั้งเป็นผู้ทรงคุณด้านวิปัสสนาธุระและวิทยาคมเข้มขลัง
ซึ่งหลวงปู่ศุขได้รับการถ่ายทอดสรรพวิชาจากพระอุปัชฌาย์อย่างครบถ้วน
จากนั้น ก็เริ่มออกธุดงค์เพื่อปลีกวิเวกฝึกฝนวิทยาการต่างๆ พร้อมแสวงหาและศึกษาเพิ่มเติมจากพระเกจิผู้ทรงคุณหลายรูปในด้านพระกัมมัฏฐานและวิทยาคม อาทิ พระสังวราเมฆ ผู้เชี่ยวชาญพระกรรมฐานลำดับมัชฌิมาปฏิปทาในสมัยนั้น ที่สำนักวัดพลับ (วัดราชสิทธาราม), หลวงปู่ทับ วัดอนงคาราม ด้านการเล่นแปรธาตุและโลหะเมฆสิทธิ์ โดยพักอยู่กับสมเด็จพระพุฒาจารย์ (นวม) ซึ่งเป็นสหธรรมิกในฐานะชาวชัยนาทด้วยกัน ฯลฯ
จึงเป็นผู้รอบรู้และแตกฉานทั้งพระไตรปิฏก วิปัสสนากรรมฐาน และวิทยาคมต่างๆ
เวลาล่วงเลยไป มารดาที่พำนักอยู่ที่บ้านมะขามเฒ่าก็แก่ชราลง จึงตัดสินใจเดินทางกลับไปจำพรรษาที่วัดอู่ทอง ปากคลองมะขามเฒ่า แล้วขยับขยายออกมาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา สร้างวัดปากคลองมะขามเฒ่า จนเสร็จสมบูรณ์ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อปี พ.ศ.2447 โดยมีลูกศิษย์อย่างเสด็จในกรมฯ เป็นกำลังสำคัญ
ที่ปรากฏเป็นประจักษ์พยาน คือ ภาพเขียนฝีมือเสด็จในกรมฯ บนฝาผนังพระอุโบสถ และภาพเขียนสีน้ำมันรูปหลวงปู่ศุขยืนเต็มกายและถือไม้เท้า ที่ยังคงรักษาไว้อย่างสมบูรณ์
สมณศักดิ์สุดท้ายพระครูสัญญาบัตรในราชทินนามที่พระครูวิมลคุณากร ตำแหน่งเจ้าคณะแขวง (ปัจจุบันคือ เจ้าคณะอำเภอ) เป็นรูปแรกของ อ.วัดสิงห์ ก่อนมรณภาพลงในปลายปี พ.ศ.2466 สิริอายุ 75 ปี พรรษา 50
ทุกวันนี้ผู้เคารพศรัทธายังขออนุญาตจัดสร้างวัตถุมงคลหลวงปู่ศุขอย่างต่อเนื่อง
นาม “หลวงปู่ศุข” ยังทรงพุทธาคมมาจนถึงทุกวันนี้ •
... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.matichonweekly.com/column/article_759996
พระยอดธงหลวงพ่อเฟื่อง รุ่น 2
พระยอดธงหลวงพ่อเฟื่อง รุ่น 3
พระยอดธงรุ่น 2 และ 3
หลวงพ่อเฟื่อง ธัมมปาโล พระเกิจวัดอมรญาติสมาคม
ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 19 - 25 เมษายน 2567
คอลัมน์ - โฟกัสพระเครื่อง
เผยแพร่ - วันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน พ.ศ.2567
จังหวัดราชบุรี ดินแดนเมืองเก่า เทือกเขางูและถ้ำที่สลักภาพพระพุทธรูปลงบนผนังถ้ำสมัยทวารวดี สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่สักการะของชาวบ้าน ทั้งสถานที่ท่องเที่ยวมากมายที่ขึ้นชื่ออย่างคลองดำเนินสะดวกและภาพชีวิตตลาดน้ำ
สำหรับอำเภอดำเนินสะดวก มีพระเกจิชื่อดังอีกรูปหนึ่ง คือ “พระครูอดุลสารธรรม” หรือ “หลวงพ่อเฟื่อง ธัมมปาโล” วัดอมรญาติสมาคม อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี
ถือเป็นพระเกจิอาจารย์ทรงวิทยาคมที่ชาวราชบุรีและชาวบ้านพื้นที่ใกล้เคียง เลื่อมใสศรัทธาในอันดับต้นๆ
สร้างวัตถุมงคลหลายรุ่น อาทิ เหรียญ พระปรก ฯลฯ โดยวัตถุมงคลทุกรุ่น ล้วนแต่ได้รับความนิยม
โดยเฉพาะ “พระยอดธง พ.ศ.2470 รุ่นแรก”
อีกทั้ง “พระยอดธง” ซึ่งเป็นรุ่นสองและสาม ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้รุ่นแรก
ทั้งนี้ พระยอดธง รุ่นสอง สร้างเมื่อประมาณปี พ.ศ.2485-2490 โดยใช้วิธีการหล่อโบราณแบบเบ้าประกบเนื้อโลหะเป็นเนื้อทองผสมทองเหลือง
ลักษณะองค์พระเป็นพระพุทธปางสมาธิ แต่มีขนาดเล็กกว่ารุ่นแรกมาก
ด้านหน้า เป็นรูปจำลองพระพุทธรูปประทับนั่งสมาธิบนฐานบัวคว่ำบัวหงาย ห่มจีวรลดไหล่พาดผ้าสังฆาฏิ
ด้านหลัง ปรากฏผ้าสังฆาฏิชัดเจน เรียบ มีการแต่งตะไบ
ส่วนพระยอดธง หลวงพ่อเฟื่อง รุ่นสาม สร้างเมื่อประมาณปี พ.ศ.2496 ใช้วิธีการหล่อโบราณแบบเข้าช่อ ออกแบบโดยหมออยู่ อุบาสกที่ใกล้ชิด
ลักษณะเป็นพระพุทธปางสมาธิ ขนาดอวบอ้วนกว่ารุ่นแรก เนื้อทองผสมแก่ทองเหลือง ในรุ่นนี้ คนพื้นที่ให้การยอมรับอย่างมาก เพราะหลวงพ่อเฟื่องสร้างเองที่วัด และมีประวัติชัดเจน
ด้านหน้า เป็นรูปจำลองพระพุทธรูปประทับนั่งปางสมาธิ องค์พระห่มจีวรลดไหล่พาดผ้าสังฆาฏิ
ด้านหลัง ปรากฏผ้าสังฆาฏิชัดเจน ก้นองค์พระมีเดือยของชนวน ซึ่งเป็นที่มาของชื่อพระยอดธง
ประสบการณ์นั้น คนสมัยก่อนนับถือกันว่าไม่เป็นสองรองใคร เป็นที่ประจักษ์ชาวดำเนินสะดวกและหมู่ศิษย์มานักต่อนัก
จัดเป็นวัตถุมงคลที่หายากและมีราคา ผู้ใดครอบครองยิ่งหวงแหนอย่างมาก
หลวงพ่อเฟื่อง ธัมมปาโล
มีนามเดิมว่า เฟื่อง ภู่สวัสดิ์ เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 16 มีนาคม 2420 ที่บ้านหมู่ที่ 3 ต.ท่านัด อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี บิดา-มารดา ชื่อ นายภู่ และนางมิ่ง ภู่สวัสดิ์ ครอบครัวประกอบอาชีพทำนา
วิถีชีวิตในวัยเด็ก ไม่ได้ศึกษาเล่าเรียน เนื่องจากอยู่ห่างไกลจากระบบการศึกษาในสมัยนั้น แต่ได้มาศึกษาร่ำเรียนต่อเมื่อบวชเป็นพระภิกษุแล้ว
เข้าพิธีอุปสมบทในวันขึ้น 13 ค่ำ เดือน 6 ปีวอก พ.ศ.2440 ที่วัดโชติทายการาม มีพระครูวรปรีชาวิหารกิจ (ช่วง) เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอาจารย์ทองอยู่ วัดโชติทายการาม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอธิการโต เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม เป็นพระอนุสาวนาจารย์
จากนั้น ได้อยู่จำพรรษาที่วัดโชติทายการามกับพระอุปัชฌาย์ พร้อมศึกษาวิทยาคมจากตำรับตำรา สนใจทางด้านการศึกษาพระปริยัติธรรมเป็นอย่างมาก
แม้เมื่อตอนที่บวชนั้นไม่อาจอ่านหนังสือออก หากก็พากเพียรร่ำเรียนอาศัยการท่องจำจากพระภิกษุด้วยกัน เพียงพรรษาแรก ก็สามารถท่องจำบทสวดมนต์และพระปาติโมกข์ได้จนจบ
ทั้งยังไม่ปล่อยให้เวลาล่วงไปโดยปราศจากประโยชน์ ยังได้พากเพียรต่อการเรียนหนังสือไทยและหนังสือขอม สามารถจะอ่านออกเขียนได้ทั้งสองภาษา สามารถเขียนยันต์ได้อย่างถูกต้อง
เคยกล่าวไว้ว่า “การเจริญกัมมัฏฐานทำให้เกิดปัญญาได้เหมือนกัน เพราะกรรมฐานเป็นที่ตั้งแห่งการงาน คือเป็นรากเหง้าของปัญญา ซึ่งเมื่อผู้ใดได้ฝึกกัมมัฏฐานก็เท่ากับฝึกจิตใจให้มีสมาธิ เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็โปร่งใส อ่านอะไรก็ทะลุปรุโปร่ง เพราะมีปัญญาที่อยู่เหนือกว่าปัญหาทั่วๆ ไป คือปัญญาของพระอริยะ”
ต่อมา ย้ายไปจำพรรษายังวัดไผ่ล้อม ต.บางป่า อ.เมือง จ.ราชบุรี ในห้วงนั้นอุโบสถชำรุดทรุดโทรมลงเป็นอันมาก จนไม่สามารถจะทำสังฆกรรมอีกต่อไปได้
จึงได้ร่วมมือกับพระอธิการโต เจ้าอาวาสวัด ซึ่งเป็นพระอนุสาวนาจารย์ จัดการก่อสร้างขึ้นใหม่หมด ทั้งกุฏิ วิหาร และศาลาการเปรียญ บูรณะวัดจนสำเร็จ
เมื่อครั้งพระอธิการโต มรณภาพลงด้วยโรคชรา ก็ได้รับการนิมนต์ให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสสืบแทน
เมื่อเจ้าอาวาสวัดอมรญาติสมาคม หรือ หลวงพ่อน้อย มรณภาพ จึงได้รับนิมนต์ให้รักษาการตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดนี้ด้วยอีกแห่ง จนถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ปีชวด พ.ศ.2455 ตรงกับวันที่ 28 มิถุนายน จึงได้ย้ายมาจำพรรษายังวัดอมรญาติสมาคม
ด้วยความที่วัดกับบ้านเป็นที่พึ่งกันและกัน จึงได้พัฒนาทั้งวัดและบ้าน กล่าวคือ ไม่เพียงแต่จะพัฒนาก่อสร้างถาวรวัตถุแต่เพียงอย่างเดียว ด้านการศึกษานั้นหาได้ปล่อยทิ้งละเลยไม่ ขณะนั้นย่านนั้นหาได้มีสถานศึกษาของพระภิกษุสามเณรไม่ จึงได้จัดสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรม ในปี พ.ศ.2473 และได้จัดหาครูมาสอนให้ด้วย กระทั่งมีพระภิกษุสามเณรมาศึกษาพระปริยัติธรรมอย่างมากมาย
พ.ศ.2477 จัดสร้างศาลาการเปรียญขึ้นใหม่ด้วยของเดิมคับแคบ
พ.ศ.2483 ดำเนินการสร้างโรงเรียนประชาบาลอมรวิทยาคาร
ไม่เพียงพัฒนาวัดเท่านั้น หากยังได้ก่อสร้างถนนหลวงและสะพานข้ามคลองมอญ ย้ายโรงเรียนปริยัติธรรมมายังด้านทิศตะวันตก
ตำแหน่งหน้าที่ปกครองคณะสงฆ์ พ.ศ.2471 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะตำบล
พ.ศ.2473 เป็นพระอุปัชฌาย์
พ.ศ.2492 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร ในราชทินนามที่ “พระครูอดุลสารธรรม”
มรณภาพเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2500 สิริอายุ 80 ปี พรรษา 60 •
... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.matichonweekly.com/column/article_761613
บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 13
คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์
Thailand
กระทู้: 2730
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
Re: พระเครื่อง
«
ตอบ #202 เมื่อ:
03 มีนาคม 2568 12:04:06 »
เหรียญหล่อสามเหลี่ยม หลวงปู่รอด
เหรียญหล่อ-สามเหลี่ยม หลวงปู่รอด วัดบางน้ำวน พระเกจิชื่อดังสมุทรสาคร
ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 26 เมษายน - 2 พฤษภาคม 2567
คอลัมน์ - โฟกัสพระเครื่อง
เผยแพร่ - วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน พ.ศ.2567
“หลวงปู่รอด พุทธสัณโฑ” วัดบางน้ำวน ต.บางโทรัด อ.เมือง จ.สมุทรสาคร เป็นพระเกจิอาจารย์ทรงวิทยาคมอีกรูป
สร้างวัตถุมงคลและเครื่องรางของขลังเอาไว้หลายรุ่น เช่น ตะกรุดโทน เหรียญหล่อ เหรียญปั๊มรุ่นแซยิด เหรียญหล่อพิมพ์พนมมือ เหรียญปั๊มพิมพ์เสมาอัลปาก้า เป็นต้น
ล้วนได้รับความนิยม เลื่อมใส นิยมนำไปคล้องคอติดตัว เพื่อความเป็นสิริมงคล
ที่ได้รับความนิยมสูง คือ “เหรียญหล่อสามเหลี่ยม” สร้างด้วยเนื้อทองผสม
ช่วงปี พ.ศ.2460-2465 ตามประวัติเล่าว่า หลังจากพระอธิการแค ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์และบิดาบุญธรรมมรณภาพลง
หลวงปู่รอด จึงได้ติดต่อช่างมาปั้นหุ่นรูปเหมือนพระอธิการแคขนาดเท่าองค์จริง ไว้บูชากราบไหว้ แสดงถึงความกตัญญูกตเวทิตา
การหล่อรูปเหมือนครั้งนี้ คณะศิษย์วัดบางน้ำวนได้จัดงานกันอย่างยิ่งใหญ่ และประกอบพิธีเททองหล่อพระรูปหล่อ แบบสามเหลี่ยม ลักษณะนั่งยกขอบ ด้านหลังเรียบ หล่อด้วยเนื้อทองผสมสีเหลืองอมแดงและเหลืองอมเขียว
พระชุดนี้หลวงพ่อหงส์ วัดบางพลี ศิษย์ของหลวงปู่รอด เล่าว่าสร้างรวมกันถึง 84,000 องค์ เท่ากับจำนวนพระธรรมขันธ์ โดยมอบให้กับผู้มาช่วยงานโดยเฉพาะ ส่วนที่เหลือนำมาบรรจุไว้ในเจดีย์หน้าวัด
องค์พระมีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม มีหูในตัว สร้างด้วยเนื้อทองผสม องค์ที่ถูกอากาศจะมีสีเหลืองอมแดง บางองค์จะมีเนื้อสีเหลืองอมเขียว
ด้านหน้า เป็นรูปพระพุทธนั่งขัดสมาธิ ปางพนมมือ ขอบสามเหลี่ยมขององค์พระยกสูง มือทั้งสองข้างมีลักษณะพนมมือ ใต้องค์พระมีฐานบัวหงายเป็นอาสนะ
ด้านหลังเรียบไม่มีอักขระ ใต้ฐานขององค์พระมีรอยชนวนรูปสามเหลี่ยม ถือเป็นการต่อชนวนที่เป็นเอกลักษณ์ของพระรุ่นนี้
กล่าวขานกันว่าผู้ใดพกพาอาราธนาติดตัวว่าจะรอดพ้นจากภัยพิบัตินานัปการ ดลบันดาลให้มีความสุข ความเจริญ อายุยืนยาวนาน
ปัจจุบันเป็นที่นิยมและหายาก
หลวงปู่รอด พุทธสัณโฑ
อัตโนประวัติ เกิดเมื่อวันพุธ ขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 ปีกุน พ.ศ.2406 ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 4 บิดา-มารดาชื่อ นายทองดี และนางเกษม บุญส่ง มีเชื้อสายรามัญ
ช่วงเยาว์วัย บิดา-มารดานำมาฝากหลวงปู่แค เจ้าอาวาสวัดบางน้ำวน ให้เลี้ยงดู เนื่องจากเป็นเด็กที่เลี้ยงยาก อ่อนแอ ขี้โรค จึงยกให้เป็นบุตรบุญธรรม
ตั้งแต่นั้นมาก็หายจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ จึงตั้งชื่อให้ว่า “รอด”
อายุ 12 ปี เข้าพิธีบรรพชา ตรงกับปี พ.ศ.2418 ศึกษาพระปริยัติธรรม พร้อมทั้งศึกษาวิชาอาคม และวิชาวิปัสสนากัมมัฏฐานจากหลวงปู่แค
อายุครบ 20 ปี เข้าพิธีอุปสมบท โดยมีพระอธิการแค เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอาจารย์แจ้ง วัดใหญ่บ้านบ่อ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์ปั้น วัดใหญ่บ้านบ่อ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับนามฉายาว่า “พุทธสัณโฑ”
เรียนและฝึกวิปัสสนารวมถึงวิทยาคมจากพระอุปัชฌาย์ หลังหลวงปู่แคมรณภาพลง ได้รับการสนับสนุนจากชาวบ้านและคณะสงฆ์ขึ้นเป็นเจ้าอาวาสสืบแทน
สำหรับวัดบางน้ำวน ตั้งอยู่เลขที่ 81 หมู่ที่ 4 ต.บางโทรัด อ.เมือง จ.สมุทรสาคร สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย มีที่ดินตั้งวัดจำนวน 54 ไร่ 1 งาน 74 ตารางวา ได้รับหนังสือรับรองสภาพวัด เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2528 โดยกรมการศาสนา
ตั้งอยู่ใกล้กับถนนสายธนบุรี-ปากท่อ ก.ม.ที่ 40 จากกรุงเทพฯ อยู่ทางซ้ายมือ มีถนนเชื่อมต่อถึงวัดระยะทางประมาณ 1,600 เมตร บริเวณหน้าวัดติดกับคลอง ซึ่งเป็นแม่น้ำสามสายมาบรรจบกัน
สร้างขึ้นประมาณปี พ.ศ.2357 สร้างขึ้นโดยการนำของสามเณรและชาวมอญที่อพยพโยกย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่ตำบลนี้ เพื่อใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติศาสนกิจ ให้ชาวบ้านได้ทำบุญสุนทาน เป็นแหล่งบวชเรียนและศึกษาวิชาความรู้ของบุตรหลานชาวมอญ
ในอดีตวัดบางน้ำวน บริเวณหน้าวัดจะมีน้ำวนที่เชี่ยวกราก ผู้ใดที่ไม่รู้จักร่องน้ำในการเดินเรือ เรือจมกันมาหลายต่อหลายลำแล้ว จนกลายเป็นที่มาของชื่อวัด
ด้วยวัตรปฏิบัติเป็นที่เลื่อมใสของชาวบ้าน ต่างพากันมาช่วยเป็นกำลังในการบูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอารามจนเจริญรุ่งเรืองเป็นลำดับ
แต่หลวงปู่รอดก็ยังมีเมตตาช่วยเหลือพัฒนาวัดต่างๆ ด้วย เช่น วัดบางกระเจ้า วัดบางสีคต วัดนาโคก วัดบางลำพู วัดบางจะเกร็ง วัดเจริญสุขาราม ฯลฯ
นอกจากช่วยพัฒนาวัดวาอารามอื่นๆ แล้ว ยังช่วยพัฒนาในด้านการศึกษา จัดการเรียนการสอนพระปริยัติธรรม และยังสร้างโรงเรียนประชาบาลไว้ให้กุลบุตร กุลธิดาได้ศึกษาเล่าเรียนกัน โดยมีชื่อของโรงเรียนว่ารอดพิทยาคม เพื่อเป็นอนุสรณ์
ออกธุดงค์ไปยังประเทศพม่าเป็นเวลาหลายปี ผ่านไปเมืองเมาะลำเลิง ต้นตระกูลกำเนิดปู่ย่าตายาย จากนั้นผ่านเมืองย่างกุ้ง ข้ามมาระนอง เข้าเมืองกาญจน์
ระหว่างออกธุดงค์นั้น ได้ศึกษาเล่าเรียนวิชาเมตตามหานิยม คงกระพันชาตรี ทำผ้ายันต์บังไพร ทำธงไม่ให้ฝนตก เสกของหนักให้เบา และวิชาแพทย์แผนโบราณ จากคณาจารย์ชาวมอญ พม่า กะเหรี่ยง
อีกทั้งสนใจเรื่องสมุนไพรเป็นพิเศษ จึงจดจำตำรายาทุกชนิดได้อย่างแม่นยำ
เมื่อเข้าสู่วัยชรา ชาวบ้านจึงขอร้องให้ประจำที่วัดและได้ตั้งกฎระเบียบทำวัตรปฏิบัติธรรมของวัดบางน้ำวน คือ จากสองทุ่มถึงสี่ทุ่มทุกคืน จนเป็นกิจวัตรของวัดบางน้ำวนและมีการตีกลอง ระฆังย่ำค่ำจนถึงปัจจุบัน
ลำดับงานปกครอง พ.ศ.2437 เป็นเจ้าอาวาสวัดบางน้ำวน
พ.ศ.2447 เป็นเจ้าอธิการ (เจ้าคณะตำบล)
พ.ศ.2452 เป็นพระอุปัชฌาย์สามัญ
ลำดับสมณศักดิ์ พ.ศ.2482 เป็นพระครูชั้นประทวน และพระครูคณะกรรมการการศึกษา
มรณภาพเมื่อเวลา 00.20 น. วันจันทร์ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 12 พ.ศ.2487
สิริอายุ 81 ปี พรรษา 61 •
... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.matichonweekly.com/column/article_762960
พระกริ่งวัดชนะสงคราม
พระกริ่ง-พระชัยวัฒน์ มงคลวัดชนะสงคราม สู้ภัยสงครามอินโดจีน
ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 3 - 9 พฤษภาคม 2567
คอลัมน์ - โฟกัสพระเครื่อง
เผยแพร่ - วันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2567
วัดชนะสงคราม หรือ วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร เป็นวัดเก่าแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เรียกกันว่า “วัดกลางนา” สมัยกรุงธนบุรีเปลี่ยนชื่อเป็น “วัดตองปุ” สันนิษฐานว่าเลียนแบบชื่อวัดของพระสงฆ์รามัญในสมัยอยุธยา
สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ทรงให้การอุปถัมภ์ และสถาปนาพระอารามขึ้นใหม่ทั้งหมด
ชื่อ “วัดชนะสงคราม” รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ พระราชทาน เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท (หรือวังหน้าพระยาเสือ) สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้า ที่ทรงชนะศึกกับพม่าถึง 3 ครั้ง ซึ่งในจำนวนนั้นคือศึกใหญ่กับพม่าที่เรียกว่า “สงครามเก้าทัพ”
เมื่อได้ชัยชนะศึกดังกล่าวกลับมา สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท และแม่ทัพนายกองในทัพของพระองค์ ได้ถวาย “เสื้อยันต์” ที่สวมออกศึก แก่พระพุทธรูปภายในพระอุโบสถ เป็นพุทธบูชา
ในสมัยรัชกาลที่ 2 สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์ เมื่อได้รับการสถาปนาเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ได้โปรดให้ซ่อมแซมพระราชมณเฑียร โดยรื้อพระที่นั่งพิมานดุสิดา นำไม้มาสร้างกุฏิ
ในสมัยรัชกาลที่ 3 โปรดให้บูรณะวัดชนะสงครามมาแล้วเสร็จในสมัยรัชกาลที่ 4 พร้อมทั้งทรงสร้างกุฏิใหม่ แล้วเสร็จในปี พ.ศ.2396 และโปรดให้ทำการฉลอง
ในสมัยรัชกาลที่ 5 โปรดให้บูรณะซ่อมแซมและปฏิสังขรณ์หลังคาพระอุโบสถและทรงปรารภที่จะสร้างที่บรรจุพระอัฐิสำหรับเจ้านายฝ่ายพระราชวังบวรสถานมงคล แต่ยังไม่ได้สร้างที่ใดก็สิ้นรัชกาล
ต่อมาสมัยรัชกาลที่ 6 สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระราชทานอุทิศพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ให้ก่อสร้างที่บรรจุพระอัฐิที่เฉลียงท้ายพระอุโบสถวัดชนะสงคราม โดยกั้นผนังระหว่างเสาท้ายพระอุโบสถเป็นห้องทำเป็นคูหา 5 ช่อง คูหาหนึ่งเจาะเป็นช่องเล็กๆ สำหรับบรรจุพระอัฐิเจ้านายตามรัชกาล การก่อสร้างแล้วเสร็จในสมัยรัชกาลที่ 7
สำหรับการบูรณปฏิสังขรณ์พระอุโบสถได้มีมาจนถึงรัชกาลปัจจุบัน
ด้วยชื่อวัดที่เป็นมงคล คือ “วัดชนะสงคราม” ทำให้เป็นหนึ่งในวัดที่ผู้คนนิยมในกิจกรรมไหว้พระ 9 วัด
สำหรับการสร้างพระกริ่งและพระชัยวัฒน์นั้น เนื่องมาจากประเทศไทยได้ส่งทหารเข้ารบในสงครามอินโดจีน ทางการได้ส่งทหารอาสาเข้ารบเป็นจำนวนมาก วัดวาอารามต่างๆ ก็ได้สร้างวัตถุมงคล เพื่อแจกจ่ายให้กับทหารไว้บูชาติดตัว
วัดชนะสงคราม โดยพระสุเมธมุนี (ลับ สังกิจโจ) เจ้าอาวาส จัดสร้างวัตถุมงคลขึ้น เพื่อแจกเป็นที่ระลึกและกำลังใจทหารอาสาส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งเพื่อให้ประชาชนบูชา เพื่อเตรียมรับภัยสงครามที่กำลังลามมายังประเทศไทย
ประกอบพิธีกันในลานหน้าพระอุโบสถวัดชนะสงคราม และมีหลวงภูมินาถสนิท เป็นประธานฝ่ายฆราวาส
หลวงภูมิฯ ได้บันทึกไว้ว่า รายนามพระเถระที่ลงแผ่นทอง ในพิธีหล่อมีดังนี้
พระสมเด็จพระสังฆราช (แพ) วัดสุทัศน์ ท่านเจ้าคุณศรี (สนธิ์) วัดสุทัศน์ ท่านเจ้าคุณสุเมธมุนี (ลับ) วัดชนะฯ ท่านเจ้าคุณอ่ำ วัดวงฆ้อง ท่านเจ้าคุณพระญาณไตรโลก (ฉาย) วัดพนัญเชิง หลวงพ่อเปลี่ยน วัดใต้ ท่านเจ้าคุณวิเชียรโมลี วัดบรมธาตุกำแพงเพชร ท่านเจ้าคุณธรรมธีรคุณ หลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ หลวงพ่อจาด วัดบางกะเบา หลวงพ่อพริ้ง วัดบางปะกอก ท่านพระครูวิจิตรธรรมบาล หลวงพ่อชม วัดประดู่ทรงธรรม หลวงปู่กลิ่น วัดสะพานสูง หลวงปู่เผือก วัดกิ่งแก้ว หลวงพ่อรุ่ง วัดท่ากระบือ หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม หลวงพ่อทัต วัดห้วยหินระยอง
พระครูคณานุยุตวิจิตร พัทลุง หลวงพ่อจันทร์ วัดบ้านยาง หลวงพ่อเฟื่อง วัดสัมพันธวงศ์ ท่านพระครูปลัดมา วัดเลียบ หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก หลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม หลวงพ่อขัน วัดนกกระจาบ หลวงพ่อเส่ง วัดกัลยาฯ หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง หลวงปู่จันทร์ วัดนางหนู หลวงพ่อบุญชู วัดโปรดเกษ ท่านเจ้าคุณชิต วัดมหาธาตุเพชรบุรี หลวงพ่อช่วง วัดบางแพรกใต้ หลวงพ่อแฉ่ง วัดบางพัง หลวงพ่อทอง วัดดอนสะท้อน
หลวงพ่อกรัก วัดอัมพวัน หลวงพ่อดาบเพชร วัดชนะฯ หลวงพ่อจันทร์ วัดคลองระนง หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ หลวงพ่อใย วัดระนาม พระอาจารย์พูน วัดหัวลำโพง พระอาจารย์สา วัดเทพธิดาราม พระอาจารย์ปลั่ง วัดราชนัดดา พระอาจารย์ขั้ว วัดมะปรางหวาน พระอาจารย์จันทร์ วัดสำราญ พระอาจารย์นอ วัดใหม่โพธิ์เอน พระอาจารย์นวม วัดขวาง พระอาจารย์น้อย วัดศีรษะทอง ท่านเจ้าคุณพระวิสุทธิสมโภชน์ วัดพระเชตุพนฯ พระอาจารย์ทองดี วัดท่าเกวียน
นอกจากนี้ หลวงภูมิฯ ยังได้บันทึกไว้ว่า ท่านเจ้าคุณศรี (สนธิ์) วัดสุทัศน์ ยังได้เป็นประธานในพิธีกรรมตลอดการเททอง และพุทธาภิเษก และหลวงภูมิฯ ยังได้นำชนวนมงคลจากพิธีที่วัดราชบพิธฯ และวัดสุทัศน์ ผสมอีกจำนวนหนึ่งด้วย
จากบันทึกบอกกล่าวถึงพิธีหลอมโลหะนั้น มีตะกรุดและแผ่นทองที่ไม่หลอมละลายจำนวนมาก ต้องนิมนต์พระเกจิอาจารย์ที่มาร่วมในพิธีร่วมกันเพ่งกระแสจิตจึงจะละลายลงในที่สุด นับเป็นปรากฏการณ์อันประหลาดมหัศจรรย์อย่างยิ่ง
ต่อมาในเดือนมกราคม 2484 จึงได้ประกอบพิธีพุทธาภิเษก ตลอดสามวันสามคืน มีหลวงพ่อจง หลวงพ่อจาด หลวงพ่ออี๋ หลวงพ่อจันทร์ เป็นประธานนั่งปรกสลับกับพระเถระรูปอื่นๆ จากทั่วประเทศไทย ซึ่งได้ร่วมลงแผ่นทองมาก่อนหน้านั้นแล้ว
พระกริ่ง-พระชัยวัฒน์ วัดชนะสงคราม ที่สร้างในครั้งนี้ จึงเป็นพระที่น่าบูชา เนื่องจากแผ่นชนวนลงอักขระจากพระคณาจารย์ที่โด่งดังในยุคนั้นครบถ้วน และพิธีพุทธาภิเษกก็ยอดเยี่ยมตามที่มีบันทึกของท่านหลวงภูมิฯ
อีกทั้งสนนราคายังไม่สูงมาก และยังพอหาบูชาได้ไม่ยาก •
... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.matichonweekly.com/column/article_764639
หลวงปู่ทวด รุ่นก้นลายเซ็น
พระรูปหล่อหลวงปู่ทวด มงคล ‘เทพเจ้าวัดช้างให้’ รุ่นก้นลายเซ็นหลวงปู่ทิม
ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 - 16 พฤษภาคม 2567
คอลัมน์ - โฟกัสพระเครื่อง
เผยแพร่ - วันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ.2567
“พระครูวิสัยโสภณ” หรือ “หลวงปู่ทิม ธัมมธโร” พระเกจิอาจารย์ชื่อดังวัดช้างให้ จ.ปัตตานี ผู้สร้างตำนานพระเครื่องหลวงพ่อทวด วัดช้างให้ ที่โด่งดังเป็นที่รู้จักกันทุกวันนี้
วัดช้างให้ ตั้งอยู่ที่ ต.ควนโนรี อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี เป็นวัดเก่าแก่สร้างมาแล้วกว่า 300 ปี ตามตำนานกล่าวว่า พระยาแก้มดำเจ้าเมืองไทรบุรี ต้องการหาชัยภูมิสำหรับสร้างเมืองใหม่ให้น้องสาว จึงได้เสี่ยงอธิษฐานปล่อยช้างให้ออกเดินทางไปในป่า โดยมีเจ้าเมืองและไพร่พลเดินติดตามไป
จนมาถึงวันหนึ่ง ช้างได้หยุดอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่ง แล้วร้องขึ้นสามครั้ง พระยาแก้มดำจึงได้ถือเป็นนิมิตที่ดี จะใช้บริเวณนั้นสร้างเมือง แต่น้องสาวไม่ชอบ พระยาแก้มดำจึงให้สร้างวัดที่บริเวณดังกล่าวแทน แล้วให้ชื่อว่า วัดช้างให้ แล้วนิมนต์พระภิกษุรูปหนึ่งที่ชาวบ้านเรียกว่า ท่านลังกา หรือ สมเด็จพะโคะ หรือหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด เป็นเจ้าอาวาสรูปแรก
เป็นพระที่ประชาชนทั่วทั้งประเทศไทยให้ความเคารพนับถือมาก และเชื่อมั่นในพุทธคุณที่จะช่วยให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวงได้ จากประสบการณ์ต่างๆ ที่มีการบอกเล่ากันต่อมา
จนเป็นที่ประจักษ์ว่ามีผู้ประสบเหตุการณ์ต่างๆ แล้วแคล้วคลาดปลอดภัยมาโดยตลอด และเขาเหล่านั้นก็ห้อยพระหลวงปู่ทวดไว้ในคอไม่ว่าจะเป็นรุ่นใด วัดไหน ก็แคล้วคลาดปลอดภัยเช่นกัน จึงเป็นพระที่มีคนศรัทธากันมากไม่เสื่อมคลาย
ในบรรดาพระเครื่องที่เป็นรูปหล่อหลวงปู่ทวดที่นิยมมากที่สุด เป็นพระที่หลวงปู่ทิม วัดช้างให้ปลุกเสกไว้ โดยเฉพาะของวัดช้างให้ ซึ่งก็มีหลายรุ่นหลายพิมพ์ สนนราคาก็สูงเกือบทุกรุ่น ยิ่งพระสวยก็ยิ่งแพง
ห้อยคอที่นิยมและราคาสูงที่สุด คือ พระรูปเหมือนหลวงปู่ทวดรุ่นเลขใต้ฐาน ที่นายสวัสดิ์ โชติพานิช อดีตประธานศาลฎีกา เป็นผู้ที่ดำริสร้างไว้ และขออนุญาตหลวงปู่ทิมสร้างและปลุกเสกให้ในปี พ.ศ.2505
จำนวนการสร้างประมาณ 1,000 องค์ ที่ระลึกในโอกาสสร้างพระวิหารประดิษฐานรูปเหมือนหลวงปู่ทวด ที่วัดพุทธาธิวาส อ.เบตง จ.ยะลา
ต่อมาในปี พ.ศ.2508 พระอาจารย์ทิม ประสงค์ที่จะสร้างอาคารเรียนของโรงเรียนเบญจมราชูทิศ จังหวัดปัตตานี จึงสร้างพระรูปเหมือนขึ้น โดยทำเป็นรูปเหมือนหลวงปู่ทวดนั่งบนฐานบัวคว่ำบัวหงาย และด้านใต้ฐานขององค์พระได้มีการเจาะเพื่อบรรจุเม็ดกริ่ง
พระรุ่นนี้จึงเป็นพระรูปเหมือนกริ่ง เป็นรุ่นแรกของวัดช้างให้ และที่ใต้ฐานจะตอกอักษรไว้ 3 แถว บรรทัดที่หนึ่งตอกคำว่า “วิสัย โสภณ” ซึ่งเป็นสมณศักดิ์ ลักษณะเป็นลายเซ็นของท่าน
บรรทัดต่อมาเป็นคำว่า “หลวงพ่อทวด” บรรทัดสุดท้ายตอกคำว่า “วัดช้างให้”
รูปเหมือนบางองค์ที่ตอกติดแค่ 2 บรรทัดก็มี เนื้อของพระรุ่นนี้ เป็นเนื้อโลหะผสมแก่ทองแดง จำนวนการสร้างประมาณ 5,000 องค์
สร้างขึ้นเพื่อมอบตอบแทนแก่ผู้มีจิตศรัทธาบริจาคสมทบทุนในการสร้างอาคารเรียนโรงเรียนเบญจมราชูทิศ
ด้วยความที่พระรูปเหมือนหลวงปู่ทวดรุ่นนี้มีจำนวนมาก จึงมีผู้ที่ได้รับมาบูชากันทั่วหน้าในปัตตานี เป็นพระรูปเหมือนที่นิยมรองลงมาจากรุ่นก้นลายเซ็น
ปัจจุบันหายาก
หลวงปู่ทิม ธัมมธโร
เดิมท่านชื่อ นายทิม พรหมประดู่ เกิดเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2455 ที่บ้านนาประดู่ ต.นาประดู่ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี เป็นบุตรของนายอินทอง กับนางนุ่ม พรหมประดู่ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันรวม 6 คน
เมื่อท่านอายุ 9 ขวบ บิดามารดาฝากให้อยู่กับพระครูภัทรกรณ์โกวิท ซึ่งขณะนั้นยังเป็น พระแดง ธัมมโชโต เจ้าอาวาสวัดนาประดู่ซึ่งอยู่ใกล้บ้าน เพื่อเรียนหนังสือที่โรงเรียนวัดนาประดู่ ต่อมาเมื่ออายุได้ 18 ปี อาจารย์ทิมท่านได้บวชเป็นสามเณร จากนั้น พระอาจารย์ทิมก็สึกออกมาช่วยพ่อแม่ทำนา
จนอายุ 20 ปี จึงบวชเป็นพระภิกษุที่วัดนาประดู่ โดยจำพรรษาที่วัดนาประดู่ 2 พรรษา แล้วจึงย้ายไปอยู่ที่วัดมุจลินทวาปีวิหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เพื่อศึกษาพระปริยัติธรรม
ต่อมา ย้ายกลับมาเป็นครูสอนพระปริยัติธรรมที่วัดนาประดู่ หลังจากนั้นในปี พ.ศ.2484 พระอาจารย์ทิมได้ย้ายไปเป็นเจ้าอาวาสที่วัดราษฎร์บูรณะ (วัดช้างให้) ซึ่งในตอนแรกยังคงไปๆ มาๆ ระหว่างวัดช้างให้กับวัดนาประดู่ ด้วยยังคงเป็นครูสอนนักธรรมอยู่ที่วัดนาประดู่ด้วย
ช่วงที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่จังหวัดปัตตานี รถไฟสายใต้จากหาดใหญ่ไปสุไหงโก-ลก ต้องขนทหารและสัมภาระผ่านหน้าวัดช้างให้วันละหลายๆ เที่ยวและหลายขบวน ทำให้ประชาชนขวัญเสียหวาดกลัวภัยสงคราม
พระครูวิสัยโสภณ หรือพระอาจารย์ทิม ต้องรับภาระหนัก คือต้องจัดหาอาหารและที่พักแก่ผู้ที่เดินทางผ่านวัดไม่เว้นแต่ละวัน
นับเป็นผู้ทรงคุณธรรมที่มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มาตั้งแต่ต้น
เมื่อครั้งไปอยู่ที่วัดช้างให้ใหม่ๆ นั้น วัดช้างให้อยู่ในสภาพที่ถูกทิ้งร้างทรุดโทรม อาจารย์ทิมริเริ่มตกแต่งสถูปที่บรรจุอัฐิหลวงปู่ทวดให้เป็นที่น่าเคารพบูชา
รวมทั้งดำริที่จะสร้างอุโบสถ ร่วมกับนายอนันต์ คณานุรักษ์ จัดสร้างพระเครื่องหลวงปู่ทวด โดยทำพิธีปลุกเสกโดยเป็นประธานในพิธีและนั่งปรก ได้เงินจากผู้มีจิตศรัทธาที่มาเช่านำมาสร้างพระอุโบสถ และปรับปรุงบริเวณวัด
พระอาจารย์ทิม เริ่มอาพาธด้วยโรคมะเร็งหลอดอาหารตั้งแต่ พ.ศ.2510 และมรณภาพเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2512 •
... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.matichonweekly.com/column/article_765696
บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 13
คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์
Thailand
กระทู้: 2730
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
Re: พระเครื่อง
«
ตอบ #203 เมื่อ:
21 มีนาคม 2568 13:43:56 »
พระปิดตาหลวงปู่ผล
วัตถุมงคลดังพระปิดตา ท่านเจ้าคุณผล วัดหนัง ศิษย์เอก ‘หลวงปู่เอี่ยม’
ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 17 - 23 พฤษภาคม 2567
คอลัมน์ - โฟกัสพระเครื่อง
เผยแพร่ - วันอาทิตย์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ.2567
“พระสุนทรศีลสมาจาร” หรือ “หลวงปู่ผล คุตตจิตโต” พระเกจิชื่อดังวัดหนังราชวรวิหาร เขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ ชาวบ้านมักนิยมเรียกขานว่า “เจ้าคุณผล”
เป็นศิษย์เอกหลวงปู่เอี่ยม สุวัณณสโร หรือ “หลวงพ่อวัดหนัง”
ชาวบ้านในุชมชนวัดหนังและย่านนั้น ต่างทราบกันดีว่า หลวงปู่ผล มีวิทยาคมแก่กล้า จึงได้ขอให้ช่วยสร้างเครื่องรางของขลังให้ มีทั้งหมากทุยตามแบบหลวงปู่เอี่ยม แต่หมากทุยทำยากมาก ต้องหามาให้ถูกต้องตามตำรา อีกทั้งวิธีเก็บหมากทุยจากต้น ก็มีกรรมวิธีที่ทำได้ไม่มากนักต่อครั้ง
ดังนั้น จึงมีน้อยและหายาก หมากทุยรุ่นเก่าๆ บางคนเอามาตีเป็นหมากทุยของหลวงปู่เอี่ยม โดยหมากทุยของหลวงปู่ผล ซึ่งมีพุทธคุณเยี่ยมไม่ต่างจากของพระอาจารย์
ชาวบ้านและลูกศิษย์ล้วนอยากได้ของขลังจากหลวงปู่ผล จึงขออนุญาตสร้างเหรียญรูปเหมือน ก็ได้รับความนิยมจากชาวบ้านมาก มีประสบการณ์แตกต่างกันไป
นอกจากนี้ ยังสร้างพระปิดตาตามแบบฉบับหลวงปู่เอี่ยมอีกด้วย เช่น พระปิดตาเนื้อตะกั่ว เป็นพิมพ์ปิดตานะหัวเข่า พิมพ์พระปิดตาท้องอุ ด้านหลังจะจาร และพระปิดตาเนื้อผงหัวบานเย็น ด้านหลังฝังแผ่นโลหะและมีรอยจาร
พระปิดตาเนื้อผงหัวบานเย็นมีจำนวนไม่มากนัก เนื่องจากทำยาก กว่าจะเก็บรวบรวมผงบานเย็นได้พอก็ใช้เวลามาก
พระปิดตารุ่นนี้ มีประสบการณ์มาก เคยมีคำร่ำลือว่า มีผู้ถูกอันธพาลดักทำร้ายอยู่หลายราย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เรียกว่าเหนียวจริง ชาวบ้านในแถบวัดหนังต่างรู้ดีและหวงแหนมาก
จนกลายเป็นที่มาของผู้เสาะแสวงหาพระปิดตาของหลวงปู่เอี่ยมไม่ได้ ก็จะหาพระปิดตาของหลวงปู่ผลแทน ก็ได้ผลไม่ต่างกันเช่นกัน ปัจจุบันเริ่มหายาก
พระสุนทรศีลสมาจาร หรือ หลวงปู่ผล คุตตจิตโต
อัตโนประวัติเกิดเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2437 ตรงกับวันจันทร์ ขึ้น 12 ค่ำ เดือน 9 ปีมะเมีย จุลศักราช 1256 ในรัชกาลที่ 5 ที่บ้านโคกขาม ต.โคกขาม อ.เมือง จ.สมุทรสาคร
อายุ 12 ปี ได้มาอยู่วัดหนัง เรียนอ่านเขียนหนังสือไทยในสำนักของพระครูสังวรยุตินทรีย์ (คำ) เรียนภาษาบาลี กับนายมิ่ง รักชินวงศ์ อาจารย์สอนบาลีแห่งวัดหนัง
วันที่ 27 มีนาคม 2458 เข้าพิธีอุปสมบท ที่พัทธสีมาวัดหนัง ต.คุ้งเผาถ่าน (บางค้อ) อ.บางขุนเทียน จ.ธนบุรี มีพระภาวนาโกศลเถร (เอี่ยม) วัดหนัง เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอธิการนิ่ม วัดโคกขาม และพระปลัดแจ้ง วัดหนัง เป็นคู่กรรมวาจาจารย์
จำพรรษาที่วัดหนัง ศึกษาพระปริยัติธรรม และวิปัสสนาในสำนักพระอุปัชฌาย์
พ.ศ.2478 ได้รับสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวงชั้นโท เป็นกำลังช่วยบริหารกิจการของวัด แบ่งเบาภาระเจ้าอาวาส จนกระทั่งได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ 7 นับแต่สถาปนาเป็นพระอารามหลวง
มีความเคารพต่อพระธรรมวินัย ข้อบังคับระเบียบ และคำสั่งของคณะสงฆ์ ปฏิบัติงานเด็ดขาดเป็นที่เคารพยำเกรงของบุคคลผู้อยู่ภายใต้การปกครอง และประชาชนทั่วไป
ศึกษาภาษาขอมจนเกิดความชำนาญในการอ่านและการเขียนเป็นอย่างดี และต่อมาค้นคว้าหลักวิชาการ ในแนวทางปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน จนเป็นผู้ฝึกแนะนำให้กุลบุตรได้ปฏิบัติตามแนวทางที่ถูกที่ควรดำเนิน เพื่อให้เกิดเป็นสุปฏิบัติ โดยควรแก่ความรู้ความสามารถ ที่ได้วิริยอุตสาหะ สั่งสมอบรมมา นับว่าเป็นกำลังสำคัญของพระศาสนาที่จะช่วยกันทำนุบำรุงพระปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ
งานบูรณปฏิสังขรณ์ก่อสร้างเสนาสนะนั้น หลวงปู่ผลทำมาก่อนที่ได้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส จับงานมาแต่สมัยเป็นผู้ช่วย
ก่อสร้างปฏิสังขรณ์ ปรับปรุงเพิ่มเติม กุฏิ มณฑปเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธบาทจำลอง ซึ่งตั้งอยู่ริมคลองหน้าวัด ด้านทิศเหนือ ปฏิสังขรณ์พระอุโบสถ เปลี่ยนเครื่องบน มุงกระเบื้อง ยกช่อฟ้าใหม่ ซ่อมศาลาพุทธบาท ศาลาราย บอกบุญสร้างเมรุ ศาลาทึม และปฏิสังขรณ์เสนาสนะไว้เป็นจำนวนมาก
ทำให้พระอารามเป็นที่เจริญตา เจริญใจ
ได้รับสมณศักดิ์และรับพระราชทานสมณศักดิ์ ดังนี้
พ.ศ.2467 เป็นพระครูใบฎีกา ฐานานุกรมของพระภาวนาโกศลเถระ (เอี่ยม)
พ.ศ.2468 เป็นพระครูสมุห์ ฐานานุกรมของพระภาวนาโกศลเถระ (เอี่ยม)
พ.ศ.2470 เป็นพระครูปลัด ฐานานุกรมของพระวิเชียรกวี (ฉัตร)
พ.ศ.2478 เป็นพระครูสัญญาบัตรผู้ช่วย เจ้าอาวาสพระอารามหลวงชั้นโท (ฝ่ายวิปัสสนา)
พ.ศ.2494 เป็นพระครูสัญญาบัตรผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวงชั้นเอก
พ.ศ.2500 เป็นพระราชาคณะสามัญที่พระสุนทรศีลสมาจาร
พ.ศ.2503 ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดหนัง
ศึกษาวิชาอาคมต่างๆ จากหลวงปู่เอี่ยม นอกจากนี้ ยังได้ขออนุญาตออกธุดงค์ไปที่ต่างๆ อยู่เสมอ และหลังหลวงปู่เอี่ยมมรณภาพแล้ว เจ้าคุณพระวิเชียรกวี ก็ขึ้นเป็นเจ้าอาวาสสืบแทน จนถึงปี พ.ศ.2503 พระวิเชียรก็มรณภาพ
จากนั้นจึงได้เป็นเจ้าอาวาสสืบต่อมา เนื่องจากมีลูกศิษย์ลูกหามาก มีผู้ถูกคุณไสยหรือเจ็บไข้ได้ป่วยต่างพากันมาให้รักษามากมาย
จนกาลลุล่วงไป และมีอาการอาพาธ มรณภาพโดยอาการสงบ วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2513 ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สิริอายุ 74 ปี พรรษา 54 •
... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.matichonweekly.com/column/article_767914
รูปเหมือนหลวงปู่คำ วัดหน่อพุทธางกูร
รูปหล่อเหมือน หลวงปู่คำ จันทโชโต พระเกจิวัดหน่อพุทธางกูร
ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 24 - 30 พฤษภาคม 2567
คอลัมน์ - โฟกัสพระเครื่อง
เผยแพร่ - วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ.2567
“พระครูสุวรรณวรคุณ” หรือ “หลวงปู่คำ จันทโชโต” อดีตเจ้าอาวาสวัดหน่อพุทธางกูร ต.พิหารแดง อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี
เป็นหนึ่งในสุดยอดพระคณาจารย์เมืองสุพรรณ ที่มีความเชี่ยวชาญด้านแพทย์แผนโบราณ
สร้างมงคลวัตถุขึ้นหลายอย่าง อาทิ พระเครื่องเนื้อดิน เนื้อว่าน เนื้อผง และผงใบลานเผา อีกหลายพิมพ์ นอกจากนี้ ยังมี รูปหล่อรุ่นแรก เนื้อทองเหลืองรมดำ
ในปี พ.ศ.2498 ลูกศิษย์และชาวบ้านมาขออนุญาตสร้างรูปเหมือนเท่าจริง โดยติดต่อช่างชื่อนายชิ้นมาดำเนินการปั้น พร้อมสร้างรูปเหมือนองค์เล็ก และเหรียญรูปอาร์มหลวงปู่คำด้วย
รูปเหมือนองค์เล็ก ขนาดห้อยคอ สร้างประมาณ 1,000 องค์ มี 2 พิมพ์ คือ พิมพ์สังฆาฏิยาวและพิมพ์สังฆาฏิสั้น
พิมพ์สังฆาฏิยาว ผ้าสังฆาฏิจะยาวลงมาจนลอดใต้มือลงมา
ส่วนพิมพ์สังฆาฏิสั้น จะไม่ยาวลอดมือ จะอยู่ที่มือพอดี
ปัจจุบัน หายาก ใครมีหวงแหนกันมาก
หลวงปู่คำ จันทโชโต
เกิดเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2430 เวลา 19.19 น. ตรงกับวันพุธขึ้น 15 ค่ำ เดือนอ้าย ปีกุน ร.ศ.106 ณ บ้านพิหารแดง หมู่ 1 ต.พิหารแดง อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี เป็นบุตรของจีนฮั้ว แซ่ตัน หรือแซ่ตั้ง มารดาชื่อ นางจันทร์ มีเชื้อสายชาวเวียงจันทน์
ในวัยเด็กต้องกำพร้าบิดามารดาและอาศัยอยู่กับน้าชายชื่อ ทอง น้าสาวชื่อ หริ่ม กระทั่งอายุ 16 ปี บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดมะนาว อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี เมื่อวันอังคารที่ 8 เมษายน 2445 โดยได้รับความอนุเคราะห์จากพระอาจารย์คำตา และอยู่กุฏิเดียวกับพระปลัดบุญมี ซึ่งเป็นญาติกับท่าน พร้อมกับศึกษามูลกัจจายน์และอักขระขอมไทยกับขอมลาว
ต่อมาญาติชื่อ พระอาจารย์บุญมา บวชอยู่ที่วัดภาวนาภิรตาราม อ.บางกอกน้อย ธนบุรี ชักชวนให้ไปเรียนหนังสือต่อที่วัดแห่งนี้
ตั้งหน้าตั้งตาศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมและมูลกัจจายน์กับหนังสือใหญ่ (หนังสือขอม) ด้วยความขยันขันแข็ง
อายุ 21 ปี กลับไปอุปสมบทที่วัดมะนาว เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2451 มีพระครูวินยานุโยค วัดอู่ทอง เป็นพระอุปัชฌาย์, พระปลัดบุญมี เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระช้าง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้ฉายาว่า จันทโชโต
จากนั้นจำพรรษาอยู่ที่วัดมะนาวเรื่อยมา
ต่อมา พระอาจารย์บุญมาได้กลับมาจำพรรษาและดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดหน่อพุทธางกูร ในราวปี พ.ศ.2452 ได้ชักชวนให้มาอยู่ที่วัดด้วยเพื่อช่วยพัฒนาวัด
หลังจากพระอธิการบุญมาถึงแก่มรณภาพราวปี พ.ศ.2458 คณะสงฆ์จึงแต่งตั้งให้รักษาการแทน ก่อนจะเป็นเจ้าอาวาสอย่างสมบูรณ์ เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2471 ขณะอายุ 41 ปี
วันที่ 5 ธันวาคม 2498 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูชั้นสัญญาบัตรที่ พระครูสุวรรณวรคุณ
อุปนิสัยใจคอเป็นคนที่เยือกเย็น ถ้าใครพบเห็นจะมีความรู้สึกเคารพนับถือ เพราะใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลา พูดค่อยและช้า แต่วาจาศักดิ์สิทธิ์
มีความมักน้อยในจิตใจ แต่มักใหญ่ในการก่อสร้างเสนาสนะ เช่น การสร้างอุโบสถ ศาลาการเปรียญคอนกรีต และโรงเรียนประชาบาล
ด้านการปกครอง มีปฏิปทาในหลักธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด แนะนำสั่งสอนพระภิกษุสามเณรให้ประพฤติอยู่ในระเบียบวินัยสงฆ์ โดยเฉพาะที่จำพรรษาอยู่ในวัดหน่อพุทธางกูรไม่ว่าจะบวชนาน หรือบวช 3 เดือน จะต้องศึกษาพระปริยัติธรรมและต้องเข้าสอบธรรมสนามหลวง
ด้านวิทยาคม ศึกษาวิปัสสนากัมมัฏฐานจากหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค จ.พระนครศรีอยุธยา พร้อมกับหลวงพ่อโบ้ย วัดมะนาว พระเกจิอาจารย์ดังของสุพรรณบุรี
นอกจากนี้ ยังมีความรู้ในทางแพทย์โบราณ รักษาโรคภัยไข้เจ็บด้วยสมุนไพร ในสมัยนั้น หน้าร้อนมักจะมีโรคพิษสุนัขบ้าอยู่เป็นประจำ
เนื่องจากวัคซีนแก้โรคสุนัขบ้า ยังไม่มีแพร่หลาย สุนัขเถื่อนมักจะติดโรคนี้และถ้ามีใครผ่านไปเจอ มักจะโดนกัดและติดเชื้อกันเป็นประจำ ถ้ารักษาไม่ทันก็จะเสียชีวิต ชาวบ้านในแถบนั้น ถ้ามีใครถูกสุนัขบ้ากัดก็จะมาขอให้รักษาให้ และช่วยรักษาให้หายทุกรายไป จนเป็นที่ร่ำลือไปทั่ว
รวมทั้งมีความเชี่ยวชาญในการดูฤกษ์ยามต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงานมงคลสมรส อุปสมบท ปลูกบ้าน ขึ้นบ้านใหม่ โกนจุก จนกระทั่งสร้างยุ้งข้าว
ลูกศิษย์ที่เป็นฆราวาสมีอยู่หลายคน ที่มีชื่อเสียงคือ พระเอกยอดนิยม “มิตร ชัยบัญชา” ซึ่งให้ความเคารพนับถือมาก เมื่อครั้งที่มิตรเสียชีวิต ได้เล่าให้ศิษย์ฟังว่า วันที่มิตรเสียไม่ได้ห้อยพระของท่าน
นอกจากนี้ ยังมี “สุรพล สมบัติเจริญ” ราชาเพลงลูกทุ่งไทย คนบ้านวัดไชนาวาสที่ให้ความนับถือ และฝากตัวเป็นลูกศิษย์ตั้งแต่ครั้งยังไม่โด่งดัง
วาระสุดท้าย มรณภาพเมื่อวันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ 2513 เวลา 17.43 น. สิริอายุ 83 ปี
จัดพิธีพระราชทานเพลิงศพ เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2514 มีลูกศิษย์ลูกหาประชาชนเข้าร่วมพิธีอย่างล้นหลาม •
... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.matichonweekly.com/column/article_769303
บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 13
คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์
Thailand
กระทู้: 2730
ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 134.0.0.0
Re: พระเครื่อง
«
ตอบ #204 เมื่อ:
27 มีนาคม 2568 15:08:14 »
พระกริ่งวัดตรีทศเทพ
‘พระกริ่งวัดตรีทศเทพ’ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์
ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 31 พฤษภาคม - 6 มิถุนายน 2567
คอลัมน์ - โฟกัสพระเครื่อง
เผยแพร่ - วันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ.2567
“วัดตรีทศเทพวรวิหาร” เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร เริ่มสร้างในสมัยรัชกาลที่ 4
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นวิษณุนาถนิภาธร (พระองค์เจ้าสุประดิษฐ์-ต้นราชสกุลสุประดิษฐ์ ณ อยุธยา) พระราชโอรสองค์ที่ 2 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างใกล้วังของพระองค์ ริมคลองบางลำพูฝั่งเหนือ หลังทรงกำหนดและเริ่มงานเพียงเล็กน้อยก็สิ้นพระชนม์เสียก่อน
ปีพุทธศักราช 2405 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการ ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นมเหศวรศิววิลาส ซึ่งเป็นพระเชษฐา ดำเนินการสร้างต่อ โปรดให้ขุดคลองเขตวัดทั้ง 4 ด้าน ทำรากฐานพระอุโบสถ พระวิหาร พระเจดีย์และกำแพง แต่การก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จ ก็สิ้นพระชนม์
ในปี พ.ศ.2410 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้พระยาราชสงคราม หรือพระยาเวียงใน เป็นผู้จัดการสร้างต่อสำเร็จเรียบร้อยในปีเดียวกัน
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระพุทธปฏิมาประธานถวายในพระอุโบสถ แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระพุทธรูปยืนปางอุ้มบาตร 2 องค์ เพื่ออุทิศฉลองแด่กรมหมื่นวิษณุนาถนิภาธร และกรมหมื่นมเหศวรศิววิลาศ พระราชโอรส ประดิษฐานไว้สองข้างพระพุทธปฏิมาประธาน
พระราชทานวิสุงคามสีมา สถาปนาเป็นพระอารามหลวง แล้วพระราชทานนามว่า “วัดตรีทศเทพวรวิหาร” หมายถึงวัดที่เทพ 3 องค์สร้างขึ้น
ต่อมาได้บูรณปฏิสังขรณ์และสร้างถาวรวัตถุเพิ่มเติม
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าฯ ให้พระครูปลัดจุลานุนายก (คง) พระครูปลัดซ้าย ฐานานุกรมของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ มาครองวัดตรีทศเทพเป็นรูปแรก ในการนี้ ได้เสด็จพระราชดำเนินมาประทับที่หอสวดมนต์ เพื่อทรงถวายที่วิสุงคามสีมา และถวายพระอารามแก่พระสงฆ์ด้วย
วันเวลาผ่านไป เสนาสนะภายในวัดชำรุดทรุดโทรมลง ดังนั้น เมื่อปี พ.ศ.2529 พระเทพวัชรธรรมาภรณ์ (สุรพงส์ ฐานวโร) อดีตเจ้าอาวาสจึงดำเนินการบูรณปฏิสังขรณ์พระอารามทั้งหมด และได้สร้างพระอุโบสถหลังใหม่ขึ้นแทนหลังเดิม
ในการนี้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2529 และทรงรับเป็นองค์อุปถัมภ์
วัดตรีทศเทพวรวิหาร กทม. มีพระกริ่งสำคัญที่มีชื่อว่า “พระกริ่งพระประธาน” หรือที่นักนิยมพระเครื่องมักเรียกว่า “พระกริ่งวัดตรีฯ” รุ่นนี้มีพุทธลักษณะคล้ายกับพระกริ่ง 7 รอบ วัดบวรนิเวศวิหาร
ย้อนไปในปี พ.ศ.2491 สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (ม.ร.ว.ชื่น นพวงศ์) โปรดให้จัดสร้าง พระกริ่งพระประธาน สำหรับผูกพัทธสีมาวัดตรีทศเทพ โดยทำพิธีหล่อที่บริเวณพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2491 เป็นวาระแรก
พระกริ่งที่หล่อเป็นแบบพระประธานในโบสถ์ปางมารวิชัย มีครอบน้ำมนต์ที่พระหัตถ์ซ้าย จึงเรียกว่า “พระกริ่งพระประธาน” ฐานมีบัวด้านหน้า 9 กลีบ ด้านหลังมีบัว 2 กลีบ เทหล่อแบบเทตัน แล้วเจาะรูใต้ฐาน ขนาดประมาณเท่าแท่งดินสอ บรรจุเม็ดกริ่งอุดด้วยทองชนวนเนื้อเดียวกัน แล้วแต่งตะไบจนแทบมองไม่เห็นรูบรรจุเม็ดกริ่ง วรรณะออกเหลืองอมขาวเล็กน้อย
พัทธสีมาวัดตรีทศเทพฯ ประกอบพิธีผูก เมื่อวันที่ 7 มกราคม พ.ศ.2492 ในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จพระสังฆราช พระกริ่งรุ่นนี้โปรดให้ประกอบพิธีสวดมนต์บริกรรมที่พระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2492
พระกริ่งพระประธานนี้ ผู้นิยมพระเครื่องมักจะเรียกกันว่า “พระกริ่งวัดตรีฯ” มีพุทธลักษณะคล้ายกับพระกริ่ง 7 รอบ ปี พ.ศ.2499 ของวัดบวรฯ ต่างกันที่พระหัตถ์ของพระกริ่ง 7 รอบ จะไม่มีครอบน้ำมนต์ และที่บัวด้านหลังของพระกริ่ง 7 รอบ จะมีตัวเลข “๗” ปรากฏอยู่
เป็นพระกริ่งอีกรุ่นหนึ่งที่ควรค่าแก่การบูชา
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์
กล่าวสำหรับ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 13 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดบวรนิเวศวิหาร
มีพระนามเดิมว่า ม.ร.ว.ชื่น นพวงศ์ ทรงเป็นโอรสของ หม่อมเจ้าถนอมกับหม่อมเอม นพวงศ์ ประสูติเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2415 ตรงกับวันศุกร์ แรม 7 ค่ำ เดือน 12 ปีวอก จุลศักราช 1234
เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2435 ทรงผนวช ณ วัดมกุฏกษัตริยาราม โดยพระพรหมมุนี (แฟง กิตฺติสาโร) วัดมกุฏกษัตริยาราม เป็นพระอุปัชฌาย์ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ครั้งทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นกรมหมื่นวชิรญาณวโรรส ทรงเป็นพระกรรมวาจาจารย์ มีพระนามฉายาว่า สุจิตฺโต
พ.ศ.2499 ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ประกาศสถาปนาสมณศักดิ์และฐานันดรศักดิ์ เป็นสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์
ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดและมีการก่อสร้างสิ่งใหม่ๆ ขึ้นหลายครั้งและหลายสิ่ง เช่น สร้างหอสมุดของวัดขึ้นเมื่อ พ.ศ.2497 สร้างตึกสถานศึกษาของสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย เมื่อ พ.ศ.2498 สร้างตึกอุทิศนภวงศ์ด้วยทุนไวยาวัจกรส่วนพระองค์ สร้างตึกสามัคคีธรรมทาน โรงเรียนพระปริยัติธรรมของวัดด้วยทุนที่เหลือจากการบำเพ็ญกุศลฉลองชนมายุ 60 ปี
สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2501 พระชนมายุ 86 พรรษา 66
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระเมรุสำหรับถวายพระเพลิง ณ สุสานหลวง วัดเทพศิรินทราวาส และมีพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2503 •
รูปหล่อเล็ก หลวงพ่อชุ่ม วัดราชคาม
รูปหล่อเล็ก พ.ศ.2500 หลวงพ่อชุ่ม วัดราชคาม พระเกจิชื่อดัง จ.ราชบุรี
ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 7 - 13 มิถุนายน 2567
คอลัมน์ - โฟกัสพระเครื่อง
เผยแพร่ - วันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2567
“หลวงพ่อชุ่ม พุทธสโร” วัดราชคาม อ.เมือง จ.ราชบุรี พระเกจิอาจารย์ที่ชาวราชบุรีให้ความนับถือ เพราะมีเมตตากรุณา ช่วยเหลือชาวบ้านที่มีทุกข์ร้อนป่วยไข้ก็ช่วยรักษาจนหายทุกราย
ทรงภูมิความรู้และวิทยาคมหลายอย่าง เป็นพระอุปัชฌาย์ เป็นพระอาจารย์ เป็นคณาจารย์การปกครอง เป็นพระอาจารย์สอนปริยัติธรรมและกัมมัฏฐาน
สร้างวัตถุมงคลไว้ ประกอบด้วย ผ้ายันต์ ตะกรุด แหวน ฯลฯ ซึ่งแต่ละชนิดเป็นที่นิยมและหวงแหนมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รูปหล่อพิมพ์เล็ก ปี พ.ศ.2500 ใต้ฐานตอกโค้ด “พระครูชุ่ม” และอุดกริ่งด้วยทองแดงเหมือนรูปหล่อใหญ่ ชาวบ้านเรียกติดปากว่า “หล่อเล็ก” โดยพระอธิการป้อม เจ้าอาวาสรูปถัดมา ได้ว่าจ้างโรงหล่อในจังหวัดราชบุรีหล่อขึ้น
จำนวนไม่แน่ชัด แต่ว่ากันว่าประมาณ 500 องค์ เพื่อที่ระลึกให้แก่ผู้ที่มาร่วมในงานประชุมเพลิง เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2500 โดยพระเกจิที่ร่วมปลุกเสก ประกอบด้วย หลวงพ่อเชย หลวงพ่อเม้ย หลวงพ่อเจียง ฯลฯ
จากคำบอกเล่าของหลวงพ่อป้อม เล่าว่าในพิธีปลุกเสกได้มีการโยงสายสิญจน์จากโลงบรรจุศพของหลวงพ่อชุ่มด้วย
ด้านหน้า จำลองรูปหลวงพ่อชุ่ม ในลักษณะของรูปหล่อลอยองค์ประทับนั่งสมาธิบนฐานเขียง ห่มจีวรพาดผ้าสังฆาฏิเฉียง
ด้านหลัง เห็นสังฆาฏิ และรอยจีวรอย่างชัดเจน
ใต้ฐาน มีการตอกโค้ด “พระครูชุ่ม” ตรงกลางเยื้องไปด้านหลังมีรอยอุดด้วยทองแดงอย่างเห็นได้ชัด เป็นรอยอุดเม็ดกริ่ง
ด้านวิทยาคมโดดเด่นด้านมหาอุด คงกระพันชาตรี เป็นที่ประจักษ์แก่ผู้ที่ได้ครอบครอง จนเป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้งคุ้งน้ำว่า “มหาอุดแห่งวัดราชคาม”
จัดเป็นวัตถุมงคลหายากและเป็นที่นิยมของวงการพระเครื่องและชาวราชบุรี
หลวงพ่อชุ่ม พุทธสโร
หลวงพ่อชุ่ม ถือกำเนิดที่ราชบุรี เมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ จุลศักราช 1241 อันตรงกับวันที่ 26 มิถุนายน 2422 ที่ ต.คุ้งน้ำวน อ.เมือง จ.ราชบุรี บิดา-มารดาชื่อ นายทุ้ม และนางลำใย กลิ่นเทพเกษร เป็นบุตรคนโต ในจำนวนพี่น้องทั้งหมด 9 คน
อายุ 9 ปี บิดานำมาฝากเรียนหนังสือขอมและไทยกับหลวงปู่โต๊ะ วัดราชคาม กระทั่งอายุ 16 ปี จึงบรรพชา
อายุครบ 20 ปี เข้าพิธีอุปสมบท ที่วัดท่าสุวรรณ อ.เมือง จ.ราชบุรี เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2441 ตรงกับวันอาทิตย์ขึ้น 12 ค่ำ เดือน 6 ปีจอ จุลศักราช 1260 มีพระอธิการพู่ วัดราชคาม เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า พุทธสโร
อยู่ศึกษาเล่าเรียนฝึกวิปัสสนากัมมัฏฐานจากพระอธิการพู่ และพระอธิการอินทร์
ปี พ.ศ.2448 เมื่อพระอธิการพู่มรณภาพลง หลวงพ่อชุ่มได้รับการนิมนต์ให้ขึ้นเป็นเจ้าอาวาสวัดสืบแทน
ดำเนินการทำนุบำรุงวัดสุดความสามารถ บูรณปฏิสังขรณ์ทั้งในด้านถาวรวัตถุ ตลอดจนการศึกษาด้านพระปริยัติธรรม
นอกจากนั้น ยังได้จัดสร้างโรงเรียน สถานที่ศึกษาของลูกหลานชาวบ้านในละแวกวัด มีชื่อว่า โรงเรียนประชาบาลชุ่มประชานุกูล
ลําดับงานปกครองและสมณศักดิ์ พ.ศ.2458 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดราชคาม
พ.ศ.2467 ได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัจฌาย์
พ.ศ.2473 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลคุ้งน้ำวน (เจ้าคณะหมวด)
พ.ศ.2479 ได้รับแต่งตั้งเป็นพระครูชั้นประทวน
มีความสามารถทั้งทางด้านการพัฒนาถาวรวัตถุและจิตใจของทุกคน นำความเจริญมาสู่วัดราชคาม มากด้วยความเก่งกล้า มีคาถาอาคม ช่วยเหลือชาวบ้านในทุกทาง ชำนาญด้านการแพทย์แผนโบราณ วิชาทำน้ำมนต์ รดน้ำมนต์ ปลุกเสกลงเลขยันต์และอื่นๆ
เป็นพระที่เจ้าระเบียบและดุ ไม่ว่าพระหรือเณรเดินบนพื้นกุฏิไม้กระดานดังเกินควร ก็จะเรียกเข้าไปสั่งสอนทันที ถ้าเป็นเด็กวัดก็จะโดนตีสั่งสอนทันที หรือไม่หลวงพ่อจะให้ตัวต่อที่เสกออกมาไล่พระเณรที่ชอบจับกลุ่มกันแตกกระเจิงไป
ด้วยความที่ชอบการมีระเบียบวินัย ฉะนั้น ลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายจึงมีระเบียบวินัยที่ดี ประกอบสัมมาอาชีพเจริญรุ่งเรืองกันเป็นส่วนใหญ่
ตามคำบอกเล่าของหลวงพ่อป้อม เจ้าอาวาสรูปถัดมา เล่าถึงประวัติการเดินธุดงค์ซึ่งได้รับฟังจากปากของหลวงพ่อชุ่มเองว่า เมื่อบวชได้ 3 พรรษา เริ่มสนใจในวิทยาคม พยายามศึกษาเล่าเรียนและเริ่มออกเดินธุดงค์ไปในที่ต่างๆ คราวละ 3 ปี บางครั้งก็ธุดงค์ไปพม่าบ้าง
ครั้งหนึ่งเดินธุดงค์จนถึงวัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท ขณะนั้นราวปี พ.ศ.2446 หลวงปู่ศุข ปกครองวัดปากคลองมะขามเฒ่า หลวงพ่อชุ่มศึกษาวิชาจากหลวงปู่ศุข หลายแขนงเกี่ยวกับวิชาด้านคาถาอาคม จนครั้งหนึ่งกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เคยเสด็จมายังวัดราชคาม เนื่องด้วยเป็นศิษย์สำนักเดียวกัน และเมื่อหลวงพ่อชุ่มกลับมาอยู่วัดราชคาม จนได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส ขณะนั้นชื่อเสียงของท่านเป็นที่เลืองลือมาก
จากการที่ธุดงค์จนเป็นกิจวัตร ทำให้ได้รู้จักกับหลวงพ่อรุ่ง วัดท่ากระบือ เมื่อคราวออกธุดงค์ไปศึกษาวิชากับหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ทำให้ทั้ง 2 เป็นสหมิกธรรมกันเรื่อยมา
เริ่มอาพาธ ประกอบกับย่างเข้าวัยชราไม่ได้พักผ่อนเท่าใดนัก จึงทรุดหนักลงในเร็ววัน คณะศิษย์และผู้เคารพนับถือ ร่วมกันรักษาพยาบาลอย่างสุดความสามารถ แต่ไม่สามารถทำให้อาการทุเลาลงได้
กระทั่งวันพุธที่ 16 พฤศจิกายน 2498 เวลาตีสี่ครึ่ง จึงมรณภาพด้วยอาการสงบ
สิริอายุ 77 ปี พรรษา 57 และประชุมเพลิงเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2500 •
บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 13
คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์
Thailand
กระทู้: 2730
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
Re: พระเครื่อง
«
ตอบ #205 เมื่อ:
22 เมษายน 2568 17:45:20 »
เหรียญหลวงพ่อโอด (หน้า - หลัง)
เหรียญที่ระลึกอายุ 5 รอบ หลวงพ่อโอด ปัญญาธโร พระเกจิวัดจันเสน-ตาคลี
ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 14 - 20 มิถุนายน 2567
คอลัมน์ - โฟกัสพระเครื่อง
เผยแพร่ - วันอาทิตย์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ.2567
“พระครูนิสัยจริยคุณ” หรือ “หลวงพ่อโอด ปัญญาธโร” อดีตเจ้าคณะอำเภอตาคลี และอดีตเจ้าอาวาสวัดจันเสน ต.จันเสน อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ พระเกจิอาจารย์ชื่อดังเมืองสี่แคว
ศึกษาวิทยาคมจากพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง อาทิ หลวงพ่อรุ่ง วัดหนองสีนวล, หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ, หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค, หลวงพ่อเชน วัดสิงห์ อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี ฯลฯ
ในปี พ.ศ.2520 คณะศิษย์จากกรุงเทพมหานคร นำกฐินสามัคคีมาทอดที่วัดจันเสน เนื่องในโอกาสอายุวัฒนมงคลครบ 5 รอบ 60 ปี
จึงได้จัดสร้างเหรียญที่ระลึก 2 แบบ เป็นเหรียญรูปไข่ แบบที่ 1 เป็นรูปหลวงพ่อนาค แบบที่ 2 เป็นรูปหลวงพ่อโอด ส่วนด้านหลังเหมือนกัน มีช่างยิ้ม ยอดเมือง เป็นผู้ออกแบบและดำเนินการสร้าง
ขนาดกว้าง 2.2 เซนติเมตร สูง 3.3 เซนติเมตร หนา 0.2 เซนติเมตร จำนวนการสร้าง เหรียญทองคำ 3 เหรียญ เหรียญเงิน 500 เหรียญ เหรียญตะกั่ว 29 เหรียญ และเหรียญทองแดง 5,000 เหรียญ
ลักษณะเป็นรูปไข่ มีหูห่วง ด้านหน้าตรงกลางเป็นรูปเหมือนนั่งขัดสมาธิเต็มองค์บนอาสนะเป็นขีด 2 ชั้น รูปร่างชะลูด ห่มจีวรลดไหล่ พาดผ้าสังฆาฏิ มือทั้งสองประสานกันอยู่บนตัก นิ้วหัวแม่มือจรดกัน ขอบเหรียญรอบองค์หลวงพ่อมีอักษรโค้ง เขียนว่า “พระครูนิสัย” “หลวงพ่อวิสุทธิ์” เหนือศีรษะมีอักขระขอม เขียนว่า “อะสังวิสุโลปุละพุภะ” หัวใจนวหรคุณ ใต้ฐานเขียนคำว่า ”๕ รอบ จริยคุณ”
ด้านหลัง ตรงกลางมียันต์ 5 ขมวดภายในบรรจุอักษรขอม นะโมพุทธายะ ยอด 3 อุณาโลม ใต้ยันต์มีอักขระขอม เขียนว่า “อุทังหะเรจะนะมะพะทะ” ด้านใต้ลงไปอีกเขียนว่า “วัดจันเสน พ.ศ.๒๕๒๐” และมีดอกจัน ขอบเหรียญด้านข้างเขียนว่า “ที่ระลึกการทอดกฐินสามัคคีของคณะศิษย์”
พิธีการจัดสร้างดี รูปทรงสวยงาม เป็นเหรียญพิมพ์นิยม เป็นที่ต้องการของนักสะสม ด้วยเป็นทรงด้วยทรงคุณค่า ราคาเช่าบูชาปัจจุบันติดลมบน
หลวงพ่อโอด ปัญญาธโร
มีนามเดิมว่า วิสุทธิ์ แป้นโต เกิดเมื่อวันที่ 28 ธํนวาคม 2460 ที่บ้านเลขที่ 103 หมู่ที่ 7 บ้านหัวเขา ต.ตาคลี อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ บิดา-มารดา ชื่อ นายชิตและนางต่วน แป้นโต มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันรวม 7 คน
ช่วงวัยเยาว์ สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนวัดหัวเขา ต.ตาคลี อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ แล้วออกมาช่วยครอบครัวประกอบอาชีพ
อายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ เข้าพิธีอุปสมบท เมื่อวันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม 2481 ที่อุโบสถวัดหัวเขา อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ มีพระธรรมไตรโลกาจารย์ (ยอด) วัดเขาแก้ว อ.พยุหะคีรี เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูนิปุณธรรมธร วัดตาคลี เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระครูพิพัทธศีลคุณ วัดหัวเขา อ.ตาคลี เป็นพระอนุสาวนาจารย์
มุ่งมั่นศึกษาพระปริยัติธรรมจนมีวิทยฐานะ พ.ศ.2484 สามารถสอบได้นักธรรมชั้นเอก จากสำนักเรียนวัดมหาพฤฒาราม กรุงเทพฯ
ลำดับงานปกครอง พ.ศ.2489 เป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดหนองสีนวล อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์
พ.ศ.2493 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดจันเสน
พ.ศ.2493 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลจันเสน
พ.ศ.2496 เป็นพระอุปัชฌาย์
พ.ศ.2510 เป็นรองเจ้าคณะอำเภอตาคลี
พ.ศ.2516 เป็นเจ้าคณะอำเภอตาคลี
ลำดับสมณศักดิ์ พ.ศ.2500 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรี
พ.ศ.2510 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโท
พ.ศ.2520 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นเอก
พ.ศ.2527 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นพิเศษ ในราชทินนามพระครูนิสัยจริยคุณ
ด้านการศึกษา เป็นครูสอนนักธรรมของวัดดอน เขตยานนาวา กรุงเทพฯ (ในสมัยที่พระอาจารย์กึ๋น เป็นเจ้าอาวาสวัดดอน) เป็นครูสอนนักธรรม วัดหัวเขา และวัดหนองสีนวล อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ เป็นเจ้าสำนักเรียนวัดจันเสน เป็นต้น
ศึกษาวิทยาคมจากพระเกจิชื่อดัง คือ หลวงพ่อรุ่ง วัดหนองสีนวล อ.ตาคลี, หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ อ.ตาคลี, หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค อ.ตาคลี และหลวงพ่อเชน วัดสิงห์ อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี
นอกจากนี้ ยังมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับหลวงพ่อรุ่ง วัดหนองสีนวล และหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ สองพระเกจิอาจารย์ชื่อดังของอำเภอตาคลี ในฐานะที่เป็นหลานที่ใกล้ชิด ซึ่งพ่อของหลวงพ่อโอด คือ นายชิต แป้นโต เป็นน้องชายแท้ๆ ของหลวงพ่อรุ่ง วัดหนองสีนวล และแม่ของนายชิต เป็นพี่สาวแม่ของหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ
จึงเรียกหลวงพ่อรุ่ง และหลวงพ่อเดิมว่าหลวงลุงทั้งคู่
ด้านการศึกษาพุทธาคม เมื่อกลับจากการเป็นครูสอนนักธรรมที่วัดดอน ยานนาวาแล้ว ได้มาอยู่กับหลวงพ่อรุ่ง ที่วัดหนองสีนวล ซึ่งในระยะนี้เองที่ท่านได้ศึกษาวิทยาคมต่างๆ จากหลวงพ่อรุ่ง
ส่วนหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพนั้นมักมาที่วัดหนองสีนวลอยู่เป็นประจำ จึงได้ศึกษาวิชาต่างๆ จากหลวงพ่อเดิมไปด้วย
ทั้งนี้ จากคำบอกของท่านเองว่า ท่านยังมีอาจารย์อยู่อีก 2 รูป คือ หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ ในช่วงปี พ.ศ.2500 เป็นต้นมา มักไปเยี่ยมเป็นประจำ
พระอาจารย์อีกรูป คือ หลวงพ่อเชน วัดสิงห์ ต.ทับยา อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี ที่ไปอยู่เรียนวิชาทำตะกรุด
ด้านวิปัสสนากัมมัฏฐาน หลวงพ่อโอดเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญทางด้านการปฏิบัติมาก ศึกษามาจากหลวงพ่อรุ่ง ต่อมาได้ไปศึกษาต่อที่สำนักวิปัสสนากัมมัฏฐานที่วัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร์ กรุงเทพฯ
ระหว่าง พ.ศ.2500 เปิดสำนักสอนวิปัสสนากัมมัฏฐานที่วัดจันเสน เป็นผู้สอนด้วยตนเอง
เป็นพระที่มีเมตตาสูงยิ่ง วันหนึ่งๆ จะนั่งคอยรับแขกอยู่ทั้งวัน ใครมีเรื่องทุกข์ร้อนใจไปหา ก็จะให้คำแนะนำที่ดีโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ
มรณภาพอย่างสงบ เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2532 สิริอายุ 72 ปี พรรษา 50 •
... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.matichonweekly.com/column/article_774310
เหรียญหลวงพ่อสด รุ่นถวายภัตตาหาร
เหรียญถวายภัตตาหาร ที่ระลึกเเลื่อนสมณศักดิ์ หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ
ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 21 - 27 มิถุนายน 2567
คอลัมน์ - โฟกัสพระเครื่อง
เผยแพร่ - วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ.2567
ชื่อเสียงของวัดปากน้ำภาษีเจริญ โด่งดังในฐานะสำนักการศึกษา ทั้งด้านคันถธุระและวิปัสสนาธุระ จากบารมีของ “พระมงคลเทพมุนี” หรือ “หลวงพ่อสด จันทสโร” อดีตเจ้าอาวาส
วัตถุมงคลได้รับความนิยมแทบทุกชนิด โดยเฉพาะพระผงของขวัญ
สำหรับ “เหรียญหลวงพ่อสด รุ่นถวายภัตตาหาร” ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน
รุ่นนี้ สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2501 โดยคณะศิษย์ เนื่องในวาระที่ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระมงคลเทพมุนี ปี พ.ศ.2500
เป็นที่ระลึกแก่ผู้ร่วมทำบุญถวายภัตตาหารพระภิกษุ-สามเณรที่มีจำนวนมาก หลวงพ่อสดจึงได้ตั้งโรงครัว จัดเลี้ยงภัตตาหารตลอดมา
ลักษณะเป็นเหรียญรูปไข่ มีหู เนื้อเงิน เนื้อทองแดงกะไหล่เงิน และเนื้อทองแดงกะไหล่ทอง
ด้านหน้า ขอบเหรียญเป็นจุดไข่ปลา ตรงกลางเป็นรูปเหมือนครึ่งองค์หันหน้าตรง ห่มจีวรเฉียงบ่า พาดสังฆาฏิ ด้านบนรูปเหมือน เขียนคำว่า “พระมงคลเทพมุนี”
ด้านหลัง ไม่มีขอบ ตรงกลางเป็นอักขระขอมอยู่ใจกลาง ล้อมรอบอักขระ อ่านว่า สัมมาอรหัง มีอักษรไทยเขียนล้อมรอบอักขระขอม คำว่า “ที่ระลึกในการถวายภัตตาหาร วัดปากน้ำภาษีเจริญ ธนบุรี”
ปลุกเสกด้วยตัวท่านเอง พุทธคุณจึงไม่ต่างจากพระผงของขวัญ
ใครมีในครอบครอง จงรักษาให้จงดี ปัจจุบันหายาก
หลวงพ่อสด จันทสโร
พระมงคลเทพมุนี ถือกำเนิดในตระกูล “มีแก้วน้อย” ของนายเงินและนางสุดใจ เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2427 ที่บ้านสองพี่น้อง อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี
เรียนหนังสือกับพระภิกษุน้าชายที่วัดสองพี่น้อง และศึกษาอักษรขอมที่วัดบางปลา อ.บางเลน จ.นครปฐม ในปกครองของพระอาจารย์ทรัพย์ จนเขียนอ่านได้คล่อง
หลังจบการศึกษาเบื้องต้น ออกมาช่วยบิดามารดาค้าขาย ซื้อข้าวบรรทุกเรือต่อล่องมาขายให้โรงสีในกรุงเทพฯ และนครชัยศรี เป็นคนรักงาน ขยันขันแข็ง ทำอะไรทำจริง การค้าจึงเจริญโดยลำดับ จนมีฐานะดียิ่งขึ้น
เดือนกรกฎาคม 2449 วัยย่าง 22 ปี เข้าอุปสมบทที่วัดสองพี่น้อง มีพระอาจารย์ดี วัดประตูสาร อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูวินยานุโยค (เหนียง อินทโชโต) และพระอาจารย์โหน่ง อินทสุวัณโณ แห่งวัดสองพี่น้อง เป็นพระคู่สวด
จำพรรษาที่วัดสองพี่น้องหนึ่งพรรษา แล้วจึงเดินทางมาเล่าเรียนพระธรรมวินัยที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กรุงเทพฯ
สมัยนั้นต้องเดินไปศึกษากับอาจารย์ตามวัดต่างๆ ฉันเช้าแล้วข้ามฟากไปเรียนที่วัดอรุณราชวนาราม แล้วกลับมาฉันเพลที่วัด บ่ายไปเรียนที่วัดมหาธาตุฯ ตอนเย็นไปเรียนที่วัดสุทัศนเทพวรารามบ้าง วัดจักรวรรดิราชาวาสบ้าง ส่วนกลางคืนเรียนที่วัดพระเชตุพนฯ
แม้จะลำบากขนาดไหนก็ไม่ท้อแท้ ตั้งใจศึกษาจนเข้าใจในหลักสูตรต่างๆ
แม้จะไม่ได้เข้าสอบแปลบาลีในสนามหลวง เพราะไม่ถนัดการเขียน และไม่มีความปรารถนา แต่มักส่งเสริมและเป็นกำลังใจให้ผู้อื่นเสมอว่า “การศึกษานั้นเปลี่ยนชีวิตผู้ศึกษาให้สูงกว่าพื้นเดิม คนที่มีการศึกษาดี จะได้อะไรก็ดีกว่า ประณีตกว่าผู้อื่น คนมีวิชาเท่ากับได้สมบัติใช้ไม่หมด”
จากนั้น ก็มุ่งธรรมปฏิบัติเบื้องต้น ประกอบการศึกษาทางปฏิบัติกับอาจารย์หลายท่าน เช่น พระมงคลทิพยมุนี (มุ้ย) อดีตเจ้าอาวาสวัดจักรวรรดิ พระครูฌานวิรัติ (โป๊) วัดพระเชตุพนฯ พระอาจารย์สิงห์ วัดละครทำ พระอาจารย์ปลื้ม วัดเขาใหญ่ จ.กาญจนบุรี
เมื่อมีความรู้พอสมควรจึงออกจากวัดพระเชตุพนฯ ไปจำพรรษาต่างจังหวัด
หลังวัดปากน้ำภาษีเจริญ ว่างเจ้าอาวาส สมเด็จพระวันรัต วัดพระเชตุพนฯ เจ้าคณะอำเภอภาษีเจริญในยุคนั้น จึงส่งไปปกครองดูแล
เป็นคนพูดจริงทำจริง การปกครองอารามอย่างเข้มงวด แต่ด้วยความที่ชอบการศึกษา จึงส่งเสริมและสนับสนุนด้านการศึกษาอย่างสุดกำลังความสามารถ ควบคู่ไปกับการอบรมทางจิตใจ ไม่ยอมให้พระ-เณรอยู่เปล่า
หากรูปใดมีสติปัญญาสามารถจะสนับสนุนส่งเสริมให้ได้รับการศึกษาชั้นดีตามสำนักต่างๆ
กิจวัตรที่ปฏิบัติเป็นอาจิณ คือ การคุมภิกษุ-สามเณรลงทำวัตรทุกเช้าและเย็น วันพระและวันอาทิตย์จะลงแสดงธรรมในโบสถ์เองเป็นนิจ ควบคุมพระให้ไปนั่งภาวนารวมอยู่กับท่านทั้งกลางวันและกลางคืน ทุกวันพฤหัสบดี เวลาบ่ายสอง จะลงสอนการนั่งสมาธิแก่ภิกษุ-สามเณร อุบาสกอุบาสิกา
ด้านปฏิปทานั้น เน้นเดินสายกลาง ไม่ห่วงในลาภสักการะเพื่อตน แต่ขวนขวายเพื่อส่วนรวม
กิจนิมนต์ทางไกลถึงกับค้างคืนแล้ว จะรับน้อยมาก เพราะต้องใช้เวลาในการอบรมผู้ปฏิบัติธรรม
ลำดับสมณศักดิ์ พ.ศ.2464 เป็นพระครูสัญญาบัตร ที่ พระครูสมณธรรมสมาทาน
พ.ศ.2492 เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญยก ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ที่ พระภาวนาโกศลเถร
พ.ศ.2494 ได้รับพระราชทานพัดยศสมณศักดิ์ พระราชาคณะชั้นสามัญเปรียญ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ
พ.ศ.2498 เป็นพระราชาคณะชั้นราช ที่ พระมงคลราชมุนี
พ.ศ.2500 เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ที่ พระมงคลเทพมุนี
มรณภาพลงอย่างสงบ เมื่อปี พ.ศ.2502 ที่ตึกมงคลจันทสร วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
สิริรวมอายุ 75 ปี พรรษา 53 •
... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.matichonweekly.com/column/article_776358
บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 13
คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์
Thailand
กระทู้: 2730
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
Re: พระเครื่อง
«
ตอบ #206 เมื่อ:
04 พฤษภาคม 2568 12:19:26 »
เหรียญฉลองโรงเรียนธรรมสุนทร วัดคูหาสวรรค์
ที่ระลึก-สร้างโรงเรียน มงคลเหรียญหลวงพ่อติ้ว วัดคูหาสวรรค์ จ.ราชบุรี
ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 28 มิถุนายน - 4 กรกฎาคม 2567
คอลัมน์ - โฟกัสพระเครื่อง
เผยแพร่ - วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ.2567
“พระครูธรรมสุนทร” หรือ “หลวงพ่อติ้ว นันทสาโร” อดีตเจ้าอาวาสวัดคูหาสวรรค์ ต.สี่หมื่น อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี พระเกจิยุคเก่าอีกรูปของจังหวัดราชบุรี
วัตถุมงคลได้รับความนิยม เป็นที่ต้องการของลูกศิษย์ลูกหา นักนิยมสะสมพระทั่วไป และวัตถุมงคลบางอย่าง หาชมของแท้ได้ยากยิ่ง
โดยเฉพาะเหรียญฉลองโรงเรียนธรรมสุนทร วัดคูหาสวรรค์ สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2473 เพื่อเป็นที่ระลึกในคราวฉลองโรงเรียน และที่ระลึกผู้ที่ร่วมบริจาคทรัพย์สร้างโรงเรียน สร้างด้วยเนื้อเงินและเนื้อทองแดงเพียงเท่านั้น จำนวนการสร้างไม่ได้บันทึกไว้
ลักษณะเป็นเหรียญปั๊มข้างกระบอก มีหูเชื่อม ด้านหน้า เป็นรูปจำลองพระแก้วมรกตทรงเครื่องฤดูฝน ประทับบนฐานชุกชี มีลายกนกสวยงาม
ด้านหลัง มีอักขระภาษาไทย เขียนว่า “ที่รฤกในงานฉลองโรงเรียนธรรมสุนทรวิทยาทาน พ ศ ๒๔๗๓” ขอบข้างมีลายกนกล้อมรอบสวยงาม
เป็นเหรียญที่หายาก เนื่องจากผู้ที่มีไว้ในครอบครองเชื่อมั่นและหวงแหน
หลวงพ่อติ้ว นันทสาโร
อัตโนประวัติ พื้นเพเดิมเป็นชาวจีนแต้จิ๋ว มีชื่อว่า ติ้ว เกิดเมื่อปี พ.ศ.2419
เข้าพิธีอุปสมบทเมื่อปี พ.ศ.2443 ขณะมีอายุได้ 24 ปี ที่พัทธสีมาวัดสวนพริก (ชื่อเดิมของวัดคูหาสวรรค์) ต.สี่หมื่น อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี มีหลวงพ่อดำ วัดตาลบำรุงกิจ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอธิการสุทธิ วัดใหม่สี่หมื่น เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอธิการไช วัดคูหาสวรรค์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า นันทสาโร
อยู่จำพรรษาเรื่อยมา และเดินทางไปเรียนวิชาวิปัสสนากัมมัฏฐาน และวิทยาคมจากหลวงพ่อดำ วัดตาลบำรุงกิจ ซึ่งเป็นพระเกจิชื่อดังในสมัยนั้น
สำหรับวัดคูหาสวรรค์ เป็นวัดราษฎร์ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ตั้งอยู่หมู่ที่ 7 ต.สี่หมื่น อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2445 เดิมมีชื่อว่า วัดสวนพริก เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่สวนเตียน ชาวบ้านประกอบอาชีพทำสวน ปลูกผักต่างๆ และนิยมปลูกพริกบางช้างที่มีชื่อเสียง
มีลำดับดับเจ้าอาวาสปกครอง ดังนี้
1. พระอธิการไซ พ.ศ.2428-2448
2. พระครูธรรมสุนทร (หลวงพ่อติ้ว) พ.ศ.2449-2474
3. พระปลัดเปลี่ยว พ.ศ.2474 (ครองวัด 5 เดือน มรณภาพ)
4. พระอธิการทองสุข พ.ศ.2474-2480 (ลาสิกขา)
5. พระอธิการกึน พ.ศ.2480-2486 (ลาสิกขา)
6. พระครูธรรมวรทัศ (หลวงพ่อทองดี) พ.ศ.2486-2529
7. พระปลัดทิม ปัญญภาโส พ.ศ.2529-2537
8. พระมหามงคล (สะอิ้ง) ปัญญาวโร พ.ศ.2538-ปัจจุบัน
ในการสร้างวัดคูหาสวรรค์ระยะแรกนั้น เกิดจากความศรัทธาในพระพุทธศาสนา นายจีนเต็งและนางมรรค แซ่ตั้น ซึ่งได้ถวายที่ดินจำนวน 5 ไร่ เพื่อสร้างเป็นวัด ต่อมา นางจีนเฮียะและนางทิม ถวายเพิ่มอีก 4 ไร่
ช่วงแรกนั้น ได้ตั้งเป็นสำนักสงฆ์ จนแล้วเสร็จเป็นวัดในปี พ.ศ.2428 จึงนิมนต์หลวงพ่อไซ จากวัดบางยาง อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร เป็นเจ้าอาวาสรูปแรก
หลวงพ่อไซนั้นเป็นพระที่ตาพิการ แต่หูรับฟังเสียงได้ดีมาก และเก่งเรื่องงานก่อสร้าง จึงบริหารจัดการงานของวัดไปได้อย่างราบรื่น
พ.ศ.2448 มรณภาพลงด้วยโรคชรา หลังจากปกครองวัดถึง 20 ปี พระและชาวบ้านวัดสวนพริกได้ร่วมกันจัดงานศพจนแล้วเสร็จ ทำให้ตำแหน่งเจ้าอาวาสว่างลง
พ.ศ.2449 ชาวบ้านและคณะกรรมการวัดจึงพร้อมใจกันนิมนต์หลวงพ่อติ้ว ซึ่งบวชได้ 7 พรรษา ขึ้นเป็นเจ้าอาวาสสืบแทน
หลังจากขึ้นเป็นเจ้าอาวาส ปี พ.ศ.2450 สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เสด็จตรวจมณฑลราชบุรี ผ่านมาถึงดำเนินสะดวกทรงแวะเยี่ยมวัดสวนพริก หลวงพ่อติ้วและชาวบ้านได้เตรียมการต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ ทั้งการจัดซุ้มในพื้นที่ตลอดแนวคลองที่จะเสด็จมายังวัด ตามริมคลองยังได้จัดแนวปลูกต้นไม้ดอกไม้อย่างสวยงาม
ระหว่างเสด็จผ่านนั้น ได้ตรัสถึงความสวยงามของซุ้มต่างๆ ว่า ขบวนเรือเสด็จนั้นว่าเหมือนได้แล่นผ่านคูหาสวรรค์ หลังพิธีรับเสด็จ หลวงพ่อติ้ว จึงนำคำชื่นชมนั้นมาตั้งชื่อวัดใหม่ว่า “วัดคูหาสวรรค์” และใช้ชื่อวัดนั้นจนถึงปัจจุบัน
เมื่อได้เป็นเจ้าอาวาสจึงนำความรู้ในการก่อสร้างที่ถนัดมาพัฒนาวัดเป็นการใหญ่ สร้างกุฏิสองแถวโดยมีหอฉันและหอสวดมนต์อยู่ตรงกลาง สร้างศาลาการเปรียญ (ปัจจุบันรื้อไปแล้ว) สร้างโบสถ์ และสร้างสุสานเก็บศพ (สมัยนั้นเรียกกันว่าโรงทึม)
พ.ศ.2467 เป็นพระฐานานุกรมของเจ้าคุณพระเทพกวี วัดบวรนิเวศวิหาร ที่พระครูวินัยธร
พ.ศ.2469 ได้รับการเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรที่พระครูธรรมสุนทร ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอดำเนินสะดวก และเป็นพระอุปัชฌาย์ ในปีเดียวกัน
พ.ศ.2473 สร้างโรงเรียนขึ้นเป็นแห่งแรกของอำเภอดำเนินสะดวก ชื่อว่าโรงเรียนธรรมสุนทร ปัจจุบันคือโรงเรียนวัดคูหาสวรรค์ เพื่อให้บุตรธิดาของชาวบ้านในพื้นที่ได้ศึกษาเล่าเรียน และยังได้สร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรม เพื่อให้ภิกษุสามเณรได้ศึกษาพระปริยัติธรรมอีกด้วย
ปกครองวัดเรื่อยมา จนมรณภาพลง เมื่อวันขึ้น 5 ค่ำ เดือน 3 ปีมะเมีย ตรงกับวันที่ 23 มกราคม 2474
สิริอายุ 55 ปี พรรษา 31 • ... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.matichonweekly.com/column/article_778525
เหรียญหลวงปู่หยอด รุ่นผูกพัทธสีมา
เหรียญดัง-รุ่นผูกพัทธสีมา หลวงปู่หยอด วัดแก้วเจริญ ยอดพระเกจิชื่อแห่งอัมพวา
ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 5 - 11 กรกฎาคม 2567
คอลัมน์ - โฟกัสพระเครื่อง
เผยแพร่ - วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ.2567
“หลวงปู่หยอด ชินวังโส” หรือ “พระครูสุนทรธรรมกิจ” อดีตเจ้าอาวาสวัดแก้วเจริญ อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม นักบุญลุ่มน้ำแม่กลอง ศูนย์รวมความศรัทธาชาวอัมพวา
วัตถุมงคลที่ได้รับความนิยมสูง คือ ไหมเบญจรงค์ 5 สี ได้รับการถ่ายทอดจากหลวงปู่ใจ วัดเสด็จ
เชื่อว่ามีอานุภาพทางเมตตาและแคล้วคลาดจากภยันตราย นอกจากนี้ ยังมีวัตถุมงคล เช่น พระสมเด็จ พระปิดตา และเหรียญกว่า 100 รายการ
ที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน คือ “เหรียญรุ่นผูกพัทธสีมา”
สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2530 ที่ระลึกงานผูกพัทธสีมาของวัดแก้วเจริญ มีเนื้อโลหะทองแดงเพียงชนิดเดียวเท่านั้น
ลักษณะเป็นเหรียญปั๊มรูปไข่ แบบมีหูในตัว ด้านหน้า ตรงกลางเป็นรูปจำลองนั่งสมาธิเต็มองค์บนพรม ห่มจีวรลดไหล่ พาดผ้าสังฆาฏิ ที่สังฆาฏิมีการตอกโค้ดตัว “เฑาะว์” ด้านล่างมีอักษรภาษาไทยเขียนว่า “พระครูสุนทรธรรมกิจ”
ด้านหลัง พื้นเรียบ มีอักขระยันต์พระเจ้าห้าพระองค์ตรงกลาง เขียนว่า “งานผูกพัทธสีมา วัดแก้วเจริญ สมุทรสงคราม ๒๕๓๐”
จัดเป็นเหรียญหายากและเป็นที่นิยมของชาวอัมพวาและสมุทรสงคราม
หลวงปู่หยอด ชินวังโส
มีนามเดิมว่า สุนทร ชุติมาศ ถือกำเนิดเมื่อวันอังคารที่ 16 พฤษภาคม 2454 ที่บริเวณตลาดบางน้อย (ตรงข้ามศาลเจ้าพ่อโรงโขน) ต.ตาหลวง อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี ครอบครัวประกอบอาชีพค้าขาย
ในวัยเยาว์ ศึกษาหาความรู้จากบิดาจนอ่านออกเขียนได้ เมื่อเติบโตได้เป็นกำลังช่วยมารดาค้าขาย แบ่งเบาภาระให้ครอบครัว
เมื่ออายุ 18 ปี ฝากตัวเข้าบรรพชากับพระครูเปลี่ยน สุวัณณโชโต เจ้าอาวาสวัดแก้วเจริญ เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2472
อายุครบ 20 ปี เข้าพิธีอุปสมบท เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2474 มีพระราชมงคลวุฒาจารย์ (ใจ) วัดเสด็จ เมื่อครั้งยังดำรงสมณศักดิ์ที่พระครูสุทธิสารวุฒาจารย์ เป็นพระอุปัชฌาย์, หลวงพ่อเปลี่ยน สุวัณณโชโต วัดแก้วเจริญ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระครูอุดมสุตกิจ (พลบ) วัดปราโมทย์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์
ได้รับนามฉายา “ชินวังโส” มีหมายความว่า ผู้สืบวงศ์แห่งพระพุทธเจ้า
ศึกษาพระปริยัติธรรมด้วยวิริยอุตสาหะสนใจใฝ่ศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง จนได้รับวิทยฐานะความรู้สามัญ สอบไล่ได้ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 (สมัครสอบ)
พ.ศ.2478 สอบได้นักธรรมชั้นตรี-โท-เอก ตามลำดับ
ดูแลปรนนิบัติพระครูเปลี่ยน ซึ่งอาพาธอย่างใกล้ชิด ด้วยกตัญญูกตเวทิตา จวบจนถึงแก่มรณภาพ เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2484
วันที่ 17 สิงหาคม 2484 พระราชมงคลวุฒาจารย์ (หลวงปู่ใจ) เจ้าคณะอำเภออัมพวา จึงแต่งตั้งให้เป็นผู้รักษาการเจ้าอาวาสวัดแก้วเจริญ และรักษาการแทนเจ้าคณะตำบลเหมืองใหม่
วัดแก้วเจริญ เป็นวัดโบราณของชาวรามัญ สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาและรกร้างมาเป็นเวลานาน
มีเรื่องเล่าว่า ชาวบ้านท่าใหญ่กรุงศรีอยุธยา อพยพหลบภัยพม่า เมื่อเสียกรุง พ.ศ.2310 มาถึงสถานที่แห่งนี้แล้วเห็นว่ามีทำเลเหมาะสม จึงช่วยกันแผ้วถางป่าลึก เข้าไปประมาณ 3 เส้น พบวัดร้าง มีซากอุโบสถ พระพุทธรูปศิลาแลงปางต่างๆ มากมาย และพระพุทธรูปสร้างด้วยแก้ว มีใบเสมารอบอุโบสถ พระพุทธรูปหล่อด้วยสำริดไม่มีผ้าพาด
บริเวณวัดยังมีเจดีย์รามัญ 2 องค์ ชำรุดหักพังอยู่ ชาวบ้านเห็นว่าคงไม่เหมาะกับการสร้างที่อยู่อาศัยเพราะมีวัดร้างอยู่ จึงไปแผ้วถางสถานที่แห่งใหม่ ห่างจากวัดประมาณ 5 เส้น ตั้งเป็นหมู่บ้านท่าใหญ่ตามชื่อเดิมของผู้อพยพ
กระทั่งปี พ.ศ.2340 พระอธิการต่าย ปฏิสังขรณ์ให้มีสภาพดีขึ้น โดยพระพุทธรูปที่สร้างด้วยแก้วเป็นปูชนียวัตถุที่สำคัญ ประชาชนจึงเรียกวัดนี้ว่า วัดแก้ว
ต่อมาพระพุทธรูปแก้วองค์นี้ เนื่องจากมีขนาดเล็กมาก เกรงว่าจะไม่ปลอดภัย และเห็นว่าควรจะเก็บไว้ในที่ปลอดภัย จึงฝังไว้ที่ใต้ฐานชุกชีของพระประธาน ปัจจุบันอยู่ภายนอกฐานชุกชี
ประกาศตั้งเป็นวัดเมื่อปี พ.ศ.2375 ชื่อว่า “วัดแก้วเจริญ” และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2529
พ.ศ.2487 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาส และเจ้าคณะตำบลเหมืองใหม่-วัดประดู่
หลังจากได้รับตำแหน่ง พัฒนาวัดอย่างสุดความสามารถ จนวัดเจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับ ทั้งการจัดการให้วัดเป็นสถานรักษาพยาบาลผู้ป่วยที่เดือดร้อนต่างๆ
แต่ที่โด่งดังมาก คือ การต่อกระดูก ประสานกระดูก เรียกว่าสมัยก่อนใครแขนหักขาหัก ไม่มีชาวบ้านคนไหนไปโรงพยาบาล แต่มารักษาที่วัดแก้วเจริญกันแทบทั้งสิ้น
ลำดับสมณศักดิ์ พ.ศ.2491 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรีที่ พระครูสุนทรธรรมกิจ
พ.ศ.2499 เป็นพระอุปัชฌาย์
พ.ศ.2507 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโท ในราชทินนามเดิม
พ.ศ.2517 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นเอก ในราชทินนามเดิม
ผลงานด้านการศึกษา เป็นเจ้าสำนักเรียนพระปริยัติธรรมแผนกธรรม และเป็นกรรมการสงฆ์องค์การเผยแผ่ อำเภออัมพวา
งานเผยแผ่พระพุทธศาสนา เป็นพระอุปัชฌาย์ในการบรรพชาและอุปสมบท ปกครองสงฆ์สำนักวัดแก้วเจริญ ในการอบรมสั่งสอนสามเณรและภิกษุในเรื่องจริยวัตร กิจวัตรและศาสนพิธี จัดเทศนาอบรม สั่งสอนคฤหัสถ์ให้เกิดศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา
ผลงานด้านสาธารณูปการ เป็นผู้นำบรรพชิตและคฤหัสถ์ ดำเนินการก่อสร้างปฏิสังขรณ์ บำรุงรักษาวัดและศาสนสมบัติของวัดให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และเจริญรุ่งเรืองตามลำดับ สืบทอดตามเจตนารมณ์ของเจ้าอาวาสในอดีต
มรณภาพอย่างสงบ เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2541
สิริอายุ 86 ปี พรรษา 66 •
... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.matichonweekly.com/column/article_780678
พระสมเด็จกล้วย หลวงพ่อปึก
พระเล็บมือ หลวงพ่อปึก
พระสมเด็จ-พระเล็บมือ หลวงพ่อปึก วัดสวนหลวง พระเกจิดังอำเภออัมพวา
ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 12 - 18 กรกฎาคม 2567
คอลัมน์ - โฟกัสพระเครื่อง
เผยแพร่ - วันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ.2567
“พระครูสมุทรวิริยาภรณ์” หรือ “หลวงพ่อปึก บุญญวิริโย” อดีตเจ้าอาวาสวัดสวนหลวง ต.สวนหลวง อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม ถือเป็นพระเกจิอาจารย์ทรงพุทธาวิทยาคมที่ชาวอัมพวา และชาวบ้านพื้นที่ใกล้เคียงเลื่อมใสศรัทธา
สร้างวัตถุมงคลและเครื่อรางของขลังเอาไว้หลายรุ่น ล้วนได้รับความนิยม เชื่อมั่น นำไปคล้องคอติดตัวเพื่อความเป็นสิริมงคล
ที่โดดเด่น คือ “พระสมเด็จกล้วย”
สร้างขึ้นก่อนปี พ.ศ.2516 โดยพระเนื้อผงทั้งหมดนั้น ไม่ได้สร้างเอง แต่เป็นพระที่มีคนสร้างแล้วมาถวายแทบทั้งสิ้น ลักษณะเป็นพระเนื้อผงพิมพ์สมเด็จ เนื้อผงผสมเนื้อกล้วย จึงเป็นที่มาของชื่อพระพิมพ์นี้
ด้านหน้า เป็นรูปพระสมเด็จฐาน 7 ชั้น หูบายศรี ครอบด้วยซุ้มระฆัง มีเอกลักษณ์จดจำได้ง่าย
ด้านหลังเรียบ ไม่ปรากฏอักขระยันต์ใดๆ
นอกจากนี้ ยังมี “พระเล็บมือ” ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน
สร้างขึ้นก่อนปี พ.ศ.2516 เช่นกัน ลักษณะเป็นพระเนื้อผงรูปเล็บมือทรงสูง ทารักในบางองค์
ด้านหน้า เป็นรูปพระพุทธรูปปางสมาธิบนฐาน 4 ชั้น องค์พระคล้ายพระสมเด็จ มีเส้นขอบล้อไปกับพิมพ์พระ
ด้านหลังเรียบ ไม่ปรากฏอักขระยันต์ใดๆ
ทุกวันนี้ กลายเป็นอีกวัตถุมงคลที่หายาก
หลวงพ่อปึก บุญญวิริโย
อัตโนประวัติ เป็นชาวสวนหลวงมาแต่กำเนิด ท่านเกิดในปี พ.ศ.2448 บิดา-มารดาชื่อ นายอิ่มและนางแจ่ม โพธิ์อิ่ม โดยนายอิ่มบวชและต่อมาได้เป็นเจ้าอาวาสวัดสวนหลวงด้วย
ในสมัยเด็กมีความฉลาดเฉลียวเกินกว่าเด็กทั่วไป และบวชเป็นเณร
จนเมื่อปี พ.ศ.2468 เข้าพิธีอุปสมบทที่พัทธสีมาวัดสวนหลวง ต.สวนหลวง อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม
ได้รับฉายาว่า “ปุญญวิริโย” โดยมีเจ้าอธิการคง ธัมมโชโต วัดบางกะพ้อม เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอธิการฮ้อ วัดราษฎร์บูรณะ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอธิการอิ่ม วัดสวนหลวง เป็นพระอนุสาวนาจารย์
อยู่จำพรรษาที่วัดสวนหลวง แต่เดินทางไปเรียนวิชาคาถาอาคมและวิชากรรมฐานกับหลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม ผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ อยู่เสมอๆ ซึ่งเป็นศิษย์สายตรงร่ำเรียนวิชาจากหลวงพ่อคงของจริง
โดยจะพายเรือข้ามฟากไปเรียนกับหลวงพ่อคงอยู่เสมอ บางครั้งก็ไปค้างแรมที่วัดบางกะพ้อม จนสำเร็จวิชาหลายอย่าง โดยเป็นศิษย์รุ่นเดียวกับหลวงพ่อสาย วัดจันทร์เจริญสุข และเป็นศิษย์พี่ของหลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี
ต่อมาได้ขึ้นเป็นรองเจ้าอาวาสวัดสวนหลวง เพื่อช่วยพระอธิการอิ่ม ดูแลวัด จนถึงปี พ.ศ.2481 พระอธิการอิ่ม มรณภาพลง จึงได้รับช่วงดูแลวัดสวนหลวงเรื่อยมา จนได้รับการการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส ในปี พ.ศ.2486
แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ประวัติไม่ได้มีการจดบันทึกไว้อย่างละเอียด ด้วยเหตุที่สมัยนั้นวัดสวนหลวงเป็นวัดเล็ก
ต่อมาเริ่มเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายในสมัยนั้น เพราะเป็นพระเกจิอาจารย์ผู้รักสันโดษ อยู่อย่างสมถะเรียบง่าย ทรงอภิญญามีจิตใจเมตตาสูง เป็นที่นับถือของชาวบ้าน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเรือตังเก มักนำเรือมาให้เจิมอยู่เสมอๆ
นอกจากนี้ ยังเก่งด้านยาสมุนไพร รับรักษาญาติโยมที่เดือดร้อนได้อย่างดียิ่งจนชาวบ้านเรียกกันว่าพระหมอวัดสวนหลวง
เป็นวัดราษฎร์ ที่ตั้งของวัดอยู่ที่บ้านแหลมสวนหลวง หมู่ที่ 1 ต.สวนหลวง อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม สันนิษฐานว่าเชื้อพระวงศ์เป็นผู้สร้างวัดนี้ขึ้นมา
จากหลักฐานของกองพุทธศาสนาบันทึกไว้ว่า ได้ตั้งเป็นวัดเมื่อปี พ.ศ.2245 ร่วมอายุของวัดนี้แล้ว 300 ปีเศษ จึงทำให้ถาวรวัตถุในวัดหลายๆ ชิ้นที่เหลืออยู่ในปัจจุบัน เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ถึงความเก่าแก่ของวัดแห่งนี้
ไม่ว่าจะเป็น หลวงพ่อจักรนารายณ์ พระพุทธรูปโบราณปูนปั้นศักดิ์สิทธิ์ ที่ประดิษฐ์สถานอยู่ในพระอุโบสถ เจดีย์โบราณสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ที่ตั้งอยู่ข้างอุโบสถ กุฏิสงฆ์ที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งเดียวในจังหวัดสมุทรสงคราม และพระพุทธรูปโบราณอีกจำนวนหนึ่ง
ปกครองอย่างร่มเย็น จนมรณภาพลงเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2516 นับรวมสิริอายุได้ 68 ปี พรรษา 47
วัดสวนหลวงได้เก็บรักษาสรีระไว้จนถึงปี พ.ศ.2525 จึงได้ขอพระราชทานเพลิงในวันที่ 7 มีนาคม 2525 •
... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.matichonweekly.com/column/article_782450
บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 13
คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์
Thailand
กระทู้: 2730
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
Re: พระเครื่อง
«
ตอบ #207 เมื่อ:
29 พฤษภาคม 2568 13:20:34 »
เหรียญหลวงพ่อสุด รุ่นบัวเล็ก
เหรียญหลวงพ่อสุด รุ่นบัวใหญ่
เหรียญบัวเล็ก-บัวใหญ่ หลวงพ่อสุด วัดกาหลง สมุทรสาคร
ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 19 - 25 กรกฎาคม 2567
คอลัมน์ - โฟกัสพระเครื่อง
เผยแพร่ - วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ.2567
พระเกจิอาจารย์ชื่อดังมหาชัยมีอยู่จำนวนมาก ทั้งที่ละสังขารไปแล้วและยังดำรงขันธ์อยู่
ที่กล่าวขวัญถึงอย่างมากคือ “หลวงพ่อสุด สิริธโร” หรือ “พระครูสมุทรธรรมสุนทร” อดีตเจ้าอาวาสวัดกาหลง อ.เมือง จ.สมุทรสาคร
สร้างวัตถุมงคลมากมายที่ได้รับความนิยม อาทิ ยันต์ตะกร้อ ที่เด่นด้านอยู่ยงคงกระพัน
อีกรุ่นที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน คือ เหรียญรุ่นปิตุภูมิ หรือ บัวเล็ก
จัดสร้างขึ้นในปี พ.ศ.2522 ออกให้บูชาแก่ผู้ที่บริจาคทรัพย์ในการสร้างพระอุโบสถ วัดศรีมงคล จ.ร้อยเอ็ด สร้างด้วยเนื้อเงิน และเนื้อทองแดง ทุกเหรียญตอกโค้ด ส.เสือ ที่สังฆาฏิ ไม่ได้บันทึกจำนวนการสร้างไว้
ลักษณะเป็นเหรียญปั๊มรูปไข่แบบมีหูในตัว ด้านหน้า เป็นรูปจำลองนั่งสมาธิเต็มองค์ ห่มจีวรลดไหล่พาดผ้าสังฆาฏิ ข้างใต้มีรูปเสืออยู่ตัวหนึ่ง เขียนคำว่า “หลวงพ่อสุด วัดกาหลง”
ด้านหลัง เป็นยันต์ตะกร้อ ซึ่งเป็นยันต์ครูที่เป็นเอกลักษณ์ มีอักขระภาษาไทยเขียนว่า “รุ่นปิตุภูมิ เมตตาสร้างโบสถ์ วัดศรีมงคล จ.ร้อยเอ็ด”
นอกจากนี้ ยังมีเหรียญรุ่นมาตาปิตุภูมิ หรือเหรียญบัวใหญ่ ที่ได้รับความนิยมอีกเช่นกัน
รุ่นนี้สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2522 ออกให้บูชากับผู้ที่บริจาคทรัพย์ในงานผูกพัทธสีมา วัดโพธิ์ไทร จ.ร้อยเอ็ด สร้างด้วยเนื้อเงิน และเนื้อทองแดง จำนวนการสร้างไม่ได้จดบันทึกไว้
ลักษณะเป็นเหรียญปั๊มรูปไข่แบบมีหูในตัว ด้านหน้า เป็นรูปจำลองนั่งสมาธิเต็มองค์ ห่มจีวรลดไหล่พาดผ้าสังฆาฏิ ข้างใต้มีรูปเสืออยู่ตัวหนึ่ง ใต้เสือมีเลขไทยเขียนว่า “๒๕๒๒” ขอบเหรียญมีอักขระภาษาไทยเขียนว่า “หลวงพ่อสุด วัดกาหลง”
ด้านหลัง เป็นยันต์ตะกร้อ ซึ่งเป็นยันต์ครูที่เป็นเอกลักษณ์ มีอักขระภาษาไทยเขียนว่า “รุ่นมาตาปิตุภูมิ งานผูกพัทธสีมา วัดโพธิ์ไทร อ.พนมไพร จ.ร้อยเอ็ด”
จัดเป็นเหรียญที่หายาก จำนวนการสร้างไม่ได้จดบันทึกไว้เช่นกัน
หลวงพ่อสุด รุ่นบัวเล็ก
อัตโนประวัติ มีนามเดิมว่า สุด สัตย์ตัง เป็นชาว อ.พนมไพร จ.ร้อยเอ็ด เกิดเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2445
บรรพชาเมื่ออายุ 16 ปี ที่วัดกลาง อ.พนมไพร โดยมีพระครูเม้า เป็นพระอุปัชฌาย์
อายุครบ 20 ปี อุปสมบทที่วัดกลาง เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2465
ออกธุดงค์เดินทางรอนแรมจากจังหวัดร้อยเอ็ด รอนแรมไปตามสถานที่ต่างๆ จวบจนมีชาวบ้านที่ตำบลกาหลง นิมนต์ให้จำพรรษาอยู่ที่วัด
ในห้วงเดินท่องธุดงค์ มีโอกาสร่ำเรียนวิทยาคมจากพระเกจิอาจารย์ชื่อดังหลายท่าน อาทิ หลวงพ่อรุ่ง ติสสโร วัดท่ากระบือ จ.สมุทรสาคร, หลวงพ่อคง ธัมมโชโต วัดบางกะพ้อม จ.สมุทรสงคราม เป็นต้น
มีความรู้ด้านภาษาลาวและภาษาขอม เข้าใจว่าหลังจากบวชเณรแล้วคงได้เดินธุดงค์อยู่ละแวกอีสานระยะหนึ่ง กว่าจะเดินทางมาถึงจังหวัดสมุทรสาครได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย
ในยุคนั้นพระเถระชั้นผู้ใหญ่ของภาคอีสาน เดินทางมาแสวงหาความรู้ในกรุงเทพฯ มากมาย เช่น สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (จันทร์ สิริจันโท) เป็นต้น
พระเถระอาวุโสหลายรูปเคยเล่าว่าพระเณรจำนวนไม่ใช่น้อยที่มาตายอยู่ในป่า ด้วยต้องการจะเดินทางมาศึกษาเล่าเรียนในกรุงเทพฯ ผู้ที่ผ่านป่าดงดิบลึกมาได้โดยตลอดปลอดภัยจึงแก่วิทยาคมพอสมควร จำเป็นอย่างยิ่งต่อการเดินผ่านเข้าดงดิบลึกที่มีทั้งไข้ป่า พิษว่าน สัตว์ร้ายนานาชนิด
ผ่านมาจนถึงวัดกาหลงได้ นับว่าเป็นยอดหนึ่งเดียวด้านวิทยาคม
ได้รับนิมนต์เข้าร่วมพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลมากมายหลายพิธีไม่ต่ำกว่า 100 ครั้ง โดยเฉพาะพิธีปลุกเสกพระพุทธ 25 ศตวรรษ
มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วจากการเป็นพระอาจารย์ของตี๋ใหญ่ จอมโจรชื่อดัง ร่ำลือกันว่าเป็นผู้มอบเครื่องรางของขลังให้ตี๋ใหญ่ ทำให้รอดพ้นแคล้วคลาดจากการถูกเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเข้าจับกุม
อีกทั้งยังเป็นเกจิต้นตำรับยันต์ตะกร้อ ที่มีพุทธคุณด้านอยู่ยงคงกระพันชาตรี
ยันต์ตะกร้อ เป็นยันต์ที่จัดทำขึ้นมาด้วยการปลุกเสกลงอาคม โดยใช้ภาษาขอม เขมร และลาว ได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่ง
แต่เดิมเป็นอาจารย์สักยันต์เลื่องชื่อ มีคนนิยมไปสักยันต์มาก ทั้งยันต์เสือเผ่นและยันต์ตะกร้อ ซึ่งผู้ที่ได้รับการสักยันต์จะอยู่ยงคงกระพัน โดยเฉพาะลูกศิษย์ชาวตังเก แต่บางคนประพฤติเป็นโจร ทำให้ยากต่อการปราบปรามจับกุม
ตอนหลังทางการต้องขอร้องให้เลิก
หลวงพ่อสุด เล่าเรื่องยันต์ตะกร้อไว้ว่า “ยันต์ตะกร้อทนทานแคล้วคลาด เมื่อตอนเป็นเด็กหลวงพ่อชอบดูการเตะตะกร้อมาก สวยดี ลองเตะบ้างมันเจ็บ ก็ลองคิดดูว่าจะเขียนอักขระยันต์อย่างไรให้งดงามไม่ไปซ้ำของใคร ได้เห็นเด็กๆ เตะตะกร้อเล่นที่ลานวัดกาหลง ก็เลยวาดแบบรอยสานตะกร้อดู พยายามอยู่นานจนได้ดี จุดสำคัญคือ สวยงามและตะกร้อนั้นแข็งแรงทนทาน หมายถึงความอดทนแคล้วคลาดของคนเรา โดนเท่าไรก็ไม่เป็นไร ใครเคยเห็นตะกร้อโดนเตะเพียงทีสองทีก็เสีย เคยเห็นไหม เห็นมีแต่คนเตะบ่นปวดเท้า ถือเป็นปรัชญาแห่งชีวิต ข้อหนึ่งคือความอดทนและมีศิลปะ”
ศิลปะการออกแบบยันต์ตะกร้อ นับว่าสุดยอดทั้งความงดงาม การลากเส้นอักขระขอม ลวดลายของยันต์สง่างามและสวยงามอย่างยิ่ง
ลําดับสมณศักดิ์
พ.ศ.2490 เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรี
พ.ศ.2511 เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโท
พ.ศ.2517 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นเอก ในราชทินนามเดิมที่ พระครูสมุทรธรรมสุนทร
มรณภาพอย่างสงบ เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2526 สิริอายุ 81 ปี • ... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.matichonweekly.com/column/article_784003
พระกริ่งอรหัง หลวงปู่แคล้ว
วัตถุมงคลพระกริ่งอรหัง หลวงปู่แคล้ว สุมุตโต พระเกจิลุ่มน้ำแม่กลอง
ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 26 กรกฎาคม - 1 สิงหาคม 2567
คอลัมน์ - โฟกัสพระเครื่อง
เผยแพร่ - วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ.2567
“พระเทพเมธากร” หรือ “หลวงปู่แคล้ว สุมุตโต” อดีตเจ้าอาวาสวัดมหาชัยคล้ายนิมิตร ต.มหาชัย อ.เมือง จ.สมุทรสาคร พระเกจิผู้ทรงวิทยาคมเข้มขลังลุ่มน้ำแม่กลอง
จัดสร้างวัตถุมงคลต่างๆ ล้วนโดดเด่นเป็นเอกทั้งสิ้น โดยเฉพาะ “พระกริ่งอรหัง” ซึ่งปัจจุบันหาเช่าบูชาได้ยากยิ่ง
พระกริ่งอรหัง รุ่นแรก สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2516 ที่ระลึกในงานฉลองอายุวัฒนมงคลครบ 6 รอบ
ลักษณะเป็นพระกริ่งหล่อโบราณ แกะพิมพ์โดยนายช่างเกษม มงคลเจริญ ช่างแกะพระกริ่งชื่อดัง สร้างด้วยเนื้อนวโลหะเพียงเนื้อเดียวเท่านั้น
ด้านหน้า มีรูปจำลองพระพุทธปางสมาธิบนฐานเขียง องค์พระห่มจีวรลดไหล่ ที่ฐานเขียงมีอักขระยันต์อ่านว่า “อรหัง”
ด้านหลัง ที่ฐานเขียงมีอักขระยันต์อ่านว่า “สุมุตโต” ใต้ฐานเรียบตอกโค้ด “ส.”
เป็นอีกวัตถุมงคลที่ได้รับความศรัทธาเชื่อมั่น
หลวงปู่แคล้ว สุมุตโต
อัตโนประวัติมีนามเดิมว่า แคล้ว สุพรรณ เกิดเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2444 เป็นชาวบ้านหมู่ที่ 5 ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี บิดา-มารดาชื่อ นายเพิก และนางตุ๊กตา สุพรรณ
ในวัยเด็กเป็นเด็กที่ฉลาดกว่าเด็กทั่วไป บิดาจึงนำไปฝากไว้กับพระอาจารย์แก้ว วัดสวนหงษ์ ผู้เป็นลุง เพื่อศึกษาเล่าเรียนในสำนักวัดสวนหงษ์ อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี จนอ่านออกเขียนได้ และบรรพชาที่วัดแห่งนี้
ขณะที่มีอายุ 20 ปี ได้มาเรียนต่อที่วัดเสน่หา เพื่อศึกษาพระปริยัติธรรมทั้งนักธรรมและบาลี
อายุครบ 21 ปี จึงเข้าพิธีอุปสมบท เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2465 ณ พัทธสีมาวัดเสน่หา ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม
ได้รับฉายาว่า สุมุตโต โดยมี พระธรรมไตรโลกาจารย์ (เจริญ ญาณวโร) วัดเทพศิรินทร์ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูสังวรกิจ (อาจ ชุตินธโร) วัดเสน่หา เป็นพระกรรมวาจาจารย์
อยู่จำพรรษาที่วัดเสน่หาเรื่อยมา เพื่อศึกษาพระปริยัติธรรม และสวดมนต์บทต่างๆ ได้อย่างคล่องแคล้ว
หลังจากที่อยู่จำพรรษาที่วัดเสน่หา 5 พรรษา จึงย้ายไปจำพรรษาที่วัดมกุฏกษัตริยาราม กรุงเทพฯ เพื่อศึกษาพระปริยัติธรรมบาลีต่อ จนสอบได้เปรียญ
พ.ศ.2480 ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดใหม่ หรือ วัดมหาชัยคล้ายนิมิตร ว่างลง คณะสงฆ์จึงมีคำสั่งให้มารักษาการเจ้าอาวาส และได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2480
หลังจากขึ้นเป็นเจ้าอาวาสวัด มุ่งมั่นพัฒนาวัดอย่างสุดความสามารถ ทั้งการสร้างเสนาสนะต่างๆ จนวัดเจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับ
วัดมหาชัยคล้ายนิมิตร เดิมชื่อ วัดใหม่ สร้างเมื่อปี พ.ศ.2434 โดยหม่อมคล้าย บุนนาค ชายาในสมเด็จเจ้าพระยาบรมหาประยูรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) ได้บริจาคที่ดินหมู่บ้านสนามไชยเพื่อสร้างวัด และได้บริจาคทรัพย์ก่อสร้างเสนาสนะต่างๆ
ในปี พ.ศ.2489 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล เสด็จเป็นการส่วนพระองค์ ยังจังหวัดสมุทรสาคร โดยรถไฟสายคลองสาน-มหาชัย เพื่อเยี่ยมราษฎร
จากเอกสารสำคัญในสำนักราชเลขาธิการ คือ หนังสือประมวลพระบรมฉายาลักษณ์ ของ ร.8 ที่มีชื่อว่าอัฐมหาราชานุสรณ์ พิมพ์พระราชทานในงานพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล ซึ่งมีภาพในการเสด็จครั้งนั้น รวม 7 ภาพ เป็นหลักฐานว่า พระองค์เสด็จเยี่ยมราษฎรเมืองสมุทรสาคร เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2489 เป็นการเสด็จส่วนพระองค์ มิได้มีหมายกำหนดการเป็นหลักฐานทางราชการแต่ประการใด
ตามบันทึกกล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล และสมเด็จพระอนุชาเจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช พร้อมด้วยข้าราชบริพารประมาณ 20 คน เสด็จโดยรถไฟขบวนพิเศษเป็นราชพาหนะ เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2489 พระสมุทรคุณากร เจ้าคณะจังหวัด เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ สวดชยันโต ถวายพระพรเป็นคำรบแรก
หลังทรงมีพระราชปฏิสันถารกับผู้ที่คอยเฝ้าฯ รับเสด็จเพียงเล็กน้อยแล้ว พระสมุทรคุณากร จึงได้นำเสด็จไปนมัสการพระประธานในพระอุโบสถวัดมหาชัยคล้ายนิมิตร ซึ่งขณะนั้นพระมหาแคล้ว สุมุตโต เจ้าอาวาสได้เตรียมการรับเสด็จไว้พร้อมแล้ว การเสด็จต้องพระราชดำเนินด้วยพระบาทโดยตลอด เพราะมีถนนอยู่สายเดียว จะมีรถสามล้อเพียงไม่กี่คัน และพระองค์ก็ไม่มีพระประสงค์จะเสด็จโดยรถสามล้อ
ทางวัดได้จัดปูลาดพระบาทตั้งแต่ประตูทางเข้าวัดจนถึงประตูพระอุโบสถ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระอนุชา เข้านมัสการพระประธานแล้ว ก่อนจะเสด็จออกจากพระอุโบสถได้ทรงบริจาคทรัพย์ส่วนพระองค์บำรุงวัดจำนวน 200 บาท
เงินจำนวนนี้ ทางวัดพิจารณาเห็นว่าเป็นพระราชทรัพย์ที่มีคุณค่าเป็นอเนกประการ ไม่ควรจะนำไปจับจ่ายใช้สอยให้สิ้นเปลือง จึงได้นำไปสมทบทุนมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อเป็นเงินบำรุงการศึกษาปริยัติธรรมของพระภิกษุสามเณรมาจนทุกวันนี้ จากนั้นทั้งสองพระองค์ได้เสด็จทางชลมารคไปฝั่งท่าฉลอม และเสด็จกลับโดยรถไฟขบวนพิเศษ พระสงฆ์สวดชยันโตถวายพระพรส่งเสด็จอีกคำรบหนึ่ง
ลำดับงานปกครอง
พ.ศ.2488 เป็นเจ้าคณะอำเภอเมืองมหาชัย
พ.ศ.2495 เป็นผู้ช่วยเจ้าคณะจังหวัดสมุทรสาคร
ลำดับสมณศักดิ์ พ.ศ.2490 เป็นพระครูสัญญาบัตร ที่พระครูพิสณฑวินัยกิจ
พ.ศ.2496 เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ที่พระพิสณฑวินัยกิจ เจ้าคณะจังหวัดสมุทรสาคร ฝ่ายธรรมยุต
พ.ศ.2498 ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระราชาคณะที่พระเทพเมธากร
ทำนุบำรุงวัดมหาชัยคล้ายนิมิตรจนรุ่งเรือง เป็นพระที่สมถะ มีวัตรปฏิบัติเรียบง่าย
ถึงแก่มรณภาพด้วยโรคชรา เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2540 เวลา 04.45 น. สิริอายุ 96 ปี พรรษา 75 •
... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.matichonweekly.com/column/article_785793
เหรียญหลวงพ่อเที่ยง รุ่นเสือเผ่น
เหรียญหลวงพ่อเที่ยง รุ่นผู้ชนะ
เหรียญรุ่นเสือเผ่น-ผู้ชนะ หลวงพ่อเที่ยง วัดม่วงชุม กาญจนบุรี
ที่มา - มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 2 - 8 สิงหาคม 2567
คอลัมน์ - โฟกัสพระเครื่อง
เผยแพร่ - วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ.2567
“พระครูจันทสโรภาส” หรือ “หลวงพ่อเที่ยง จันทสโร” อดีตเจ้าอาวาสวัดม่วงชุม และอดีตเจ้าคณะตำบลม่วงชุม อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี เจ้าตำรับตะกรุดหนังเสืออันลือลั่น
เป็นศิษย์และมีศักดิ์เป็นหลานพระวิสุทธิรังษี (หลวงปู่เปลี่ยน) วัดใต้ หรือวัดไชยชุมพลชนะสงคราม พระเกจิชื่อดัง รวมทั้งสหธรรมิกกับหลวงพ่อนารถ วัดศรีโลหะราษฎร์บำรุง อีกทั้งมีความสนิทสนมอย่างมากกับ หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม จังหวัดนครปฐมด้วย
ว่ากันว่าเรียนวิชาทำตะกรุดหนังเสือจากสำนักเดียวกัน
นอกจากนี้ ยังมีสหธรรมิกอีกหลายรูป ที่ได้พบปะเจอะเจอในงานพุทธาภิเษกต่างๆ อาทิ หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี, หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่, หลวงพ่อแดง วัดทุ่งคอก, หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว เป็นต้น
วัตถุมงคลทุกรุ่นล้วนได้รับความนิยม โดยเฉพาะ “เหรียญรุ่นเสือเผ่น”
สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2519 จัดสร้างด้วยเนื้อทองแดงเพียงเนื้อเดียวเท่านั้น โดยแบ่งออกเป็นเนื้อทองแดงกะไหล่ทองลงยา และเนื้อทองแดงรมดำ จำนวนการสร้างไม่ได้จดบันทึกไว้
ลักษณะเป็นเหรียญปั๊มรูปเสมา แบบมีหูในตัว ด้านหน้าเป็นรูปจำลองครึ่งองค์ ห่มจีวรคลุมไหล่ มีอักขระภาษาไทย เขียนคำว่า “พระครูจันทสโรภาส (เที่ยง)”
ด้านหลังเป็นรูปพัดยศ และรูปเสือเผ่น พร้อมเลขไทย เขียนคำว่า “๒๕๑๙” มีอักขระภาษาไทย เขียนคำว่า “วัดม่วงชุม อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี”
นอกจากนี้ เหรียญรุ่นผู้ชนะ ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน
รุ่นนี้ สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2520 มอบให้กับลูกศิษย์ลูกหา จัดสร้างด้วยเนื้อทองแดงเพียงเนื้อเดียวเท่านั้น ทุกเหรียญจะตอกโค้ดที่ใต้อาสนะ จำนวนการสร้างไม่ได้จดบันทึกไว้เช่นกัน
ลักษณะเป็นเหรียญปั๊มรูปไข่แบบมีหูในตัว ด้านหน้า เป็นรูปเหมือนนั่งขัดสมาธิเต็มองค์ ห่มจีวรลดไหล่พาดผ้าสังฆาฏิ รัดประคด มีอักขระภาษาไทย เขียนคำว่า “หลวงพ่อเที่ยง วัดม่วงชุม อายุ ๙๐” มีการตอกโค้ด ไว้ใต้รูปหลวงพ่อ
ด้านหลังเป็นรูปยันต์สาม มีอักขระภาษาไทย เขียนคำว่า “ผู้ชนะ กาญจนบุรี” เป็นวัตถุมงคลอีกรุ่นที่หายากในปัจจุบัน
หลวงพ่อเที่ยง จันทสโร
อัตโนประวัติมีนามเดิมว่า เที่ยง ท่านกเอี้ยง เกิดเมื่อวันพฤหัสบดี ปีชวด ที่บ้านม่วงชุม ต.ม่วงชุม อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี เมื่อปี พ.ศ.2431 เป็นบุตรของนายเขียวและนางทองแคล้ว ท่านกเอี้ยง มีพี่น้องรวม 8 คน
ในวัยเด็ก มีอุปนิสัยชอบทางด้านชกมวย และรักความยุติธรรม เป็นคนพูดแบบตรงไปตรงมาไม่เกรงกลัวใคร จึงเป็นที่รักของเด็กวัยเดียวกัน ยกให้เป็นพี่ใหญ่
พ.ศ.2452 อายุ 21 ปีบริบูรณ์ ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารเป็นเวลา 2 ปี หลังปลดประจำการ กลับมาอยู่บ้านประกอบอาชีพทำนา
อายุ 24 ปี เข้าพิธีอุปสมบท ที่พัทธสีมาวัดบ้านถ้ำ อยู่ศึกษาเล่าเรียนกับอุปัชฌาย์ระยะหนึ่ง แล้วย้ายมาอยู่จำพรรษาที่วัดม่วงชุม ซึ่งเป็นวัดใกล้บ้าน
เนื่องจากในวัยเด็กมีโอกาสเล่าเรียนไม่มาก เพราะขาดแคลนครูและห้องเรียน ยิ่งเรียนก็มีความสุขกับการเรียน ทำให้มีความแตกฉานอย่างมาก
หลังจากศึกษาพระปริยัติธรรม และพิธีกรรมต่างๆ ทางพระพุทธศาสนา จึงเริ่มหันมาศึกษาวิปัสสนากัมมัฏฐานและวิทยาคมกับหลวงปู่เปลี่ยน วัดใต้ ในฐานะที่มีศักดิ์เป็นหลาน จึงได้รับความเมตตาเป็นพิเศษในการถ่ายทอดสรรพวิชาด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านวิทยาคม จนมีความเชี่ยวชาญอย่างมาก
ชาวบ้านทั่วไปมักกล่าวขวัญว่า “ใครแขวนวัตถุมงคลของท่าน แมลงวันไม่ได้กินเลือด” หมายความว่า คนคนนั้นหนังเหนียว แทงไม่เข้า ยิงไม่ออก
แม้แต่หลวงปู่แย้ม พระเกจิอาจารย์ดังแห่งวัดสามง่าม อ.ดอนตูม จ.นครปฐม ยังกล่าวยกย่องว่าเก่งกล้า โดยเป็นสหธรรมิกกับหลวงพ่อเต๋ คงทอง (อาจารย์หลวงปู่แย้ม) ซึ่งทั้งสองท่าน ต่างมีชื่อเสียงอย่างมากในการสร้างตะกรุดหนังหน้าผากเสือ
เป็นพระของชาวบ้านชนบทโดยแท้ พูดตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม ภาษาที่ใช้สื่อสารก็เหมือนหลวงพ่อคูณ เป็นภาษาไทยแท้ๆ ฟังไม่เพราะหู แต่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตา ญาติโยมที่ไปขอความช่วยเหลือจากท่านจะได้รับความเมตตาช่วยเหลือในทุกๆ เรื่องด้วยดี
จากการบอกเล่าของชาวบ้านกล่าวว่าชอบกีฬาชกมวยอย่างมาก การละเล่นนิยมลิเกและหนังตะลุง เป็นพระโบราณลูกทุ่งชนบท ชอบฉันหมากไม่เคยขาดปากเลย จึงเป็นที่มาของการสร้างพระเครื่องเนื้อชานหมากที่โด่งดัง
ลงมือสร้างอุโบสถเมื่อปี พ.ศ.2484 ค่อยสร้างอุโบสถตามกำลังที่มี โดยไม่เรี่ยไร เพราะไม่ต้องการเป็นภาระของชาวบ้าน
ช่วงนั้นประเทศไทยยังตกอยู่ในระหว่างปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 เมืองกาญจน์ได้รับผลกระทบจากภัยสงครามอย่างมาก ด้วยทหารญี่ปุ่นมาตั้งฐานทัพหลายแห่ง ทำให้ทหารพันธมิตรนำเครื่องบินมาทิ้งระเบิดเพื่อทำลายฐานทัพของญี่ปุ่น
เป็นเหตุให้สภาพเศรษฐกิจตกอยู่ในภาวะข้าวยากหมากแพง แต่ชาวบ้านก็ช่วยบริจาคทุนทรัพย์สร้างอุโบสถจนสำเร็จ และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2494
มรณภาพด้วยอาการสงบ เวลา 09.00 น. เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2523 ที่วัดม่วงชุม สิริอายุ 92 ปี พรรษา 69
วัดเก็บสรีระของท่านไว้นาน 10 ปี ปรากฏว่าสังขารของท่านไม่เน่าไม่เปื่อย จึงพร้อมใจกันสร้างมณฑป พร้อมทั้งโลงแก้วบรรจุร่างไว้ให้กราบไหว้ เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2534 •
... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.matichonweekly.com/column/article_787406
บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 13
คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์
Thailand
กระทู้: 2730
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
Re: พระเครื่อง
«
ตอบ #208 เมื่อ:
13 มิถุนายน 2568 17:32:38 »
พระปิดตาปลดหนี้ หลวงพ่อแก้ว
พระสังกัจจายน์ หลวงพ่อแก้ว[
พระปิดตา-สังกัจจัายน์ พระเทพสาครมุนี (แก้ว) วัดช่องลม จ.สมุทรสาคร
“พระเทพสาครมุนี” หรือ “หลวงพ่อแก้ว สุวัณณโชโต” อดีตเจ้าอาวาสวัดสุทธิวาตวราราม ต.ท่าฉลอม อ.เมือง จ.สมุทรสาคร และอดีตเจ้าคณะจังหวัดสมุทรสาคร
สร้างวัตถุมงคลและเครื่อรางของขลังไว้หลายรุ่น ล้วนได้รับความนิยม นำไปคล้องคอติดตัว เพื่อความเป็นสิริมงคล
ที่นิยมเป็นอย่างสูง คือ “พระปิดตารุ่นแรก (ปลดหนี้)” สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2525 เพื่อหาปัจจัยใช้หนี้ค่าก่อสร้างเขื่อนหลังวัดที่ค้างชำระไว้
ลักษณะเป็นพระปิดตา เนื้อผง มวลสารที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นพระสมเด็จแก้วสุทธิที่ชำรุดแตกหักและผงว่านต่างๆ ไม่ต่ำกว่า 200 ชนิด รวมทั้งผงปัถมังและผงอิทธิเจ และเกศา นำมาตำบดผสมรวมๆ กัน จำนวนการสร้าง 39,000 องค์
พระปิดตาปลดหนี้ หลวงพ่อแก้ว
ด้านหน้า เป็นรูปจำลองพระปิดตา คล้ายพระปิดตาของหลวงปู่โต๊ะ องค์พระอวบอิ่มสวยงาม
ด้านหลัง มีอักขระยันต์อุณาโลม แต่ไม่ปรากฏอักขระภาษาไทยใดๆ
สมัยนั้นออกให้บูชาองค์ละ 50 บาท ซึ่งก็หมดภายในวันเดียว
ยังมีอีกพระผงอีกรุ่นหนึ่ง ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน คือ “
พระสังกัจจายน์
”
สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2526 เพื่อหาปัจจัยช่วยเหลือวัดหงษ์อรุณรัศมีในงานประจำปี ซึ่งตรงกับวันที่ 16 ธันวาคม 2526
ลักษณะเป็นพระสังกัจจายน์ เนื้อผง รูปไข่ มวลสารที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นผงปัถมังและผงอิทธิเจ และมวลสารต่างๆ ที่รวบรวมนำมาตำบดผสมรวมกัน จำนวนการสร้างไม่ได้บันทึกไว้
ด้านหน้า เป็นรูปจำลองพระสังกัจจายน์ องค์พระพาดผ้าสังฆาฏิประทับนั่งบนฐานบัวหงาย
ด้านหลัง มีอักขระยันต์อุณาโลม และรูปหงษ์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของวัดหงษ์อรุณรัศมี
ปัจจุบัน ค่อนข้างหาได้ยาก เนื่องจากเป็นพระผงพุทธคุณ
หลวงพ่อแก้ว สุวัณณโชโต
อัตโนประวัติ มีนามเดิมว่า แก้ว ธนสุวรรณ เกิดเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2446 ตรงกับวันศุกร์ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 2 ปีเถาะ เวลา 21.00 น. ที่ ต.กระสัง อ.กระสัง จ.พระตะบอง บิดา-มารดาชื่อ นายกัน และนางวงษ์ ธนสุวรรณ
เมื่ออายุ 12 ปี บรรพชาที่วัดจำบกมาศ อ.กระสัง จ.พระตะบอง เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2458 เพื่อศึกษาเล่าเรียนชั้นสามัญ จนมีความรู้อ่าน-เขียนภาษาไทย และภาษาขอมเป็นอย่างดี
อายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ เข้าพิธีอุปสมบท เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2466 ที่พัทธสีมาวัดจำบกมาศ อ.กระสัง จ.พระตะบอง มีพระปัญญาสุธรรม เจ้าอาวาสวัดจำบกมาศ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอาจารย์เผือก พรหมสโร วัดกระสัง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์เกตุ วัดชำนิหัตถการ กรุงเทพฯ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า สุวัณณโชโต
อยู่จำพรรษาอยู่ที่วัดจำบกมาศ ช่วงหนึ่งจึงเดินทางไปจำพรรษาที่วัดมหาพฤฒาราม เขตบางรัก กรุงเทพฯ เพื่อศึกษาต่อ
พ.ศ.2480 สอบได้นักธรรมชั้นตรี-โท-เอก ตามลำดับ
พ.ศ.2481 สอบได้เปรียญธรรม 6 ประโยค
ลำดับงานปกครอง พ.ศ.2482 เป็นพระกรรมวาจาจารย์
พ.ศ.2488 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดคลองตันราษฎร์บำรุง
พ.ศ.2489 เป็นพระอุปัชฌาย์
พ.ศ.2495 เจ้าอาวาสวัดช่องลม หรือ วัดสุทธิวาตวราราม จ.สมุทรสาคร ว่างลง คณะสงฆ์จึงแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาส และในปีเดียวกัน ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะจังหวัดสมุทรสาครด้วยอีกตำแหน่ง
พัฒนาวัด สร้างกุฏิสงฆ์ ศาลาการเปรียญ โรงครัว ซุ้มประตูหน้าวัด ศาลาท่าน้ำ และพระอุโบสถหลังใหม่
สร้างวัตถุมงคลรุ่นต่างๆ เพื่อมอบให้ชาวสมุทรสาครที่ร่วมบริจาคเงินในการก่อสร้างทั้งหมด
ให้ความสำคัญกับการศึกษาของกุลบุตรและกุลธิดาของชาวบ้านในพื้นที่ จึงส่งเสริมและเป็นผู้อุปการะโรงเรียนเทศบาลวัดช่องลม (เปี่ยมวิทยาคม) ด้วยการจัดตั้งทุนการศึกษาประจำสำนักเรียน จัดส่งนักเรียนไปศึกษาต่อเพิ่มเติม จัดพิมพ์หลักสูตรทั้งบาลีและนักธรรมใช้ในสำนักเรียน ที่แพร่หลาย คือ หลักสูตรย่อนักธรรมตรี
นอกจากนี้ ยังบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ สร้างสะพานสาครบุรี สร้างถนนเชื่อมต่อระหว่าง ตำบลท่าจีน-ตำบลบางหญ้าแพรก อ.เมือง จ.สมุทรสาคร
สร้างสถานีตำรวจภูธรชั่วคราว และโครงการสร้างสถานีอนามัย ต.ท่าฉลอม เป็นผู้อุปถัมภ์ในการปรับปรุงวัดใหญ่บ้านบ่อ เป็นผู้วางแผนผังการก่อสร้างวัดบางหญ้าแพรก อ.เมือง จ.สมุทรสาคร
คุณงามความดีในการพัฒนาวัด ตลอดจนเสนาสนะอย่างต่อเนื่อง จนมีเจ้าอาวาสวัดต่างๆ เดินทางมาดูตัวอย่างการก่อสร้างที่วัดอยู่เสมอๆ
ความทราบถึงพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จพระราชดำเนินทรงทอดพระกฐินต้น เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2508
โปรดเกล้าฯ พระราชทานพระปรมาภิไธยย่อ ภ.ป.ร. ประดิษฐานที่หน้าบันพระอุโบสถ พระราชทานฉัตรขาว 9 ชั้น ตั้งสองข้างพระประธาน และพระราชทานนามวัดช่องลมให้ใหม่ว่า “วัดสุทธิวาตวราราม”
หลวงพ่อแก้วเคยเล่าว่า ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินวัดช่องลมเป็นการส่วนพระองค์หลายครั้ง มีพระราชปฏิสันถารจนพลบค่ำ จึงเสด็จพระราชดำเนินกลับ หลังจากนั้นวัดช่องลมเริ่มเป็นที่รู้จักของชาวไทยทั้งประเทศ กรมการศาสนายกวัดช่องลมเป็นวัดพัฒนาตัวอย่างดีเด่นของประเทศไทย
ปกครองวัดเรื่อยมา กรำงานหนักมาตลอดชีวิต เริ่มเจ็บป่วยอาพาธ กระทั่งมรณภาพลงอย่างสงบ เมื่อตอนเช้าตรู่วันศุกร์ที่ 9 กันยายน 2526 เวลา 04.45 น.
สิริอายุ 79 ปี พรรษา 59 •
ที่มา มติชนสุดสัปดาห์
บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 13
คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์
Thailand
กระทู้: 2730
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
Re: พระเครื่อง
«
ตอบ #209 เมื่อ:
10 กันยายน 2568 12:42:01 »
เหรียญหลวงพ่อเฟื่อง รุ่นสิบตัง
วัตถุมงคลเหรียญรุ่นสิบตัง หลวงพ่อเฟื่อง ธัมมปาโล พระเกจิวัดอมรญาติสมาคม
จังหวัดราชบุรี ดินแดนเขางูและถ้ำที่สลักภาพพระพุทธรูปลงบนผนังถ้ำ สมัยทวารวดี สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่สักการะของชาวบ้าน ทั้งสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่ออย่างคลองดำเนินสะดวกและภาพชีวิตตลาดน้ำ
สำหรับอำเภอดำเนินสะดวก มีพระเกจิชื่อดังอีกรูปหนึ่ง คือ “พระครูอดุลสารธรรม” หรือ “หลวงพ่อเฟื่อง ธัมมปาโล” วัดอมรญาติสมาคม
ถือเป็นพระเกจิอาจารย์ทรงวิทยาคมที่ชาวราชบุรีและชาวบ้านพื้นที่ใกล้เคียง เลื่อมใสศรัทธาในอันดับต้นๆ
สร้างวัตถุมงคลหลายรุ่น อาทิ เหรียญ พระปรก ฯลฯ ล้วนแต่ได้รับความนิยม
โดยเฉพาะ “เหรียญรุ่นสิบตัง” สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2493 ที่ระลึกงานฉลองสมณศักดิ์ โดยผู้ใหญ่สง่า ช่วงทอง สร้างถวายให้ปลุกเสกและแจกในงานเปิดป้ายโรงเรียนวัดอมรญาติฯ
ลักษณะเหรียญเป็นรูปวงกลม ขนาดเท่าเหรียญสิบสตางค์สมัยเก่า จึงเป็นที่มาของชื่อพิมพ์นี้ สร้างด้วยเนื้อโลหะดีบุก และเนื้อทองแดง
ด้านหน้าเป็นรูปจำลองครึ่งองค์ ห่มจีวรคลุมไหล่ ใต้รูปมีอักขระภาษาไทยว่า “พระครูอดุลสารธรรม” หากเป็นเนื้อทองแดงมีข้อความเพิ่มเติมว่า “วัดอมรญาติสมาคม 6 มี.ค.93” เพิ่มมาอีกข้อความหนึ่ง ตัวเลขเป็นเลขอารบิกสากล
ด้านหลังปรากฏอักขระยันต์ตรีนิสิงเห ไม่มีอักขระภาษาไทย
ประสบการณ์นั้น คนสมัยก่อนนับถือกันว่าไม่เป็นสองรองใคร เป็นที่ประจักษ์ชาวดำเนินสะดวกและหมู่ศิษย์มานักต่อนัก
จัดเป็นวัตถุมงคลที่หายากและมีราคา ผู้ใดครอบครองยิ่งหวงแหน
หลวงพ่อเฟื่อง ธัมมปาโล
มีนามเดิมว่า เฟื่อง ภู่สวัสดิ์ เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 16 มีนาคม 2420 ที่บ้านหมู่ที่ 3 ต.ท่านัด อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี บิดา-มารดาชื่อ นายภู่ และนางมิ่ง ภู่สวัสดิ์ ครอบครัวประกอบอาชีพทำนา
วิถีชีวิตในวัยเด็ก ไม่ได้ศึกษาเล่าเรียน เนื่องจากอยู่ห่างไกลจากระบบการศึกษาในสมัยนั้น แต่ได้มาศึกษาร่ำเรียนต่อเมื่ออุปสมบทแล้ว
เข้าพิธีอุปสมบทในวันขึ้น 13 ค่ำ เดือน 6 ปีวอก พ.ศ.2440 ที่วัดโชติทายการาม มี พระครูวรปรีชาวิหารกิจ (ช่วง) เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอาจารย์ทองอยู่ วัดโชติทายการาม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอธิการโต เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม เป็นพระอนุสาวนาจารย์
จากนั้น อยู่จำพรรษาที่วัดโชติทายการามกับพระอุปัชฌาย์ พร้อมศึกษาวิทยาคมจากตำรับตำรา และสนใจศึกษาพระปริยัติธรรมเป็นอย่างมาก
แม้เมื่อตอนที่บวชนั้นอ่านหนังสือไม่ออก แต่ก็พากเพียรร่ำเรียนอาศัยการท่องจำจากพระภิกษุด้วยกัน เพียงพรรษาแรก ก็สามารถท่องจำบทสวดมนต์และพระปาติโมกข์ได้จนจบ
นอกจากนี้ ยังพากเพียรต่อการเรียนหนังสือไทยและหนังสือขอม จนอ่านออกเขียนได้ทั้งสองภาษา สามารถเขียนยันต์ได้อย่างถูกต้อง
เคยกล่าวไว้ว่า “การเจริญกัมมัฏฐานทำให้เกิดปัญญาได้เหมือนกัน เพราะกรรมฐานเป็นที่ตั้งแห่งการงาน คือเป็นรากเหง้าของปัญญา ซึ่งเมื่อผู้ใดได้ฝึกกัมมัฏฐานก็เท่ากับฝึกจิตใจให้มีสมาธิ เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็โปร่งใส อ่านอะไรก็ทะลุปรุโปร่ง เพราะมีปัญญาที่อยู่เหนือกว่าปัญหาทั่วๆ ไป คือปัญญาของพระอริยะ”
ต่อมา ย้ายไปจำพรรษายังวัดไผ่ล้อม ต.บางป่า อ.เมือง จ.ราชบุรี ในห้วงนั้นอุโบสถชำรุดทรุดโทรมลงเป็นอันมาก จนทำสังฆกรรมอีกต่อไม่ได้
จึงร่วมกับพระอธิการโต เจ้าอาวาส ซึ่งเป็นพระอนุสาวนาจารย์ จัดการก่อสร้างขึ้นใหม่หมด ทั้งกุฏิ วิหาร และศาลาการเปรียญ บูรณะวัดจนสำเร็จ
ครั้นพระอธิการโตมรณภาพลงด้วยโรคชรา ก็ได้รับนิมนต์ให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสสืบแทน
เมื่อเจ้าอาวาสวัดอมรญาติสมาคมคือหลวงพ่อน้อย มรณภาพ จึงได้รับนิมนต์ให้รักษาการตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดนี้อีกวัด จนถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ปีชวด พ.ศ.2455 ตรงกับวันที่ 28 มิถุนายน จึงได้ย้ายมาจำพรรษายังวัดอมรญาติสมาคม
ด้วยความที่วัดกับบ้านเป็นที่พึ่งกันและกัน จึงได้พัฒนาทั้งวัดและบ้าน กล่าวคือ ไม่เพียงแต่จะพัฒนาก่อสร้างถาวรวัตถุแต่เพียงอย่างเดียว ด้านการศึกษานั้นหาได้ปล่อยทิ้งละเลยไม่ ขณะย่านนั้นหาได้มีสถานศึกษาของพระภิกษุสามเณรไม่ จึงได้จัดสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรม ในปี พ.ศ.2473 และได้จัดหาครูมาสอนให้ด้วย กระทั่งมีพระภิกษุสามเณรมาศึกษาพระปริยัติธรรมอย่างมากมาย
พ.ศ.2477 จัดสร้างศาลาการเปรียญขึ้นใหม่ด้วยของเดิมคับแคบ
พ.ศ.2483 ดำเนินการสร้างโรงเรียนประชาบาลอมรวิทยาคาร ก่อสร้างถนนหลวงและสะพานข้ามคลองมอญ ย้ายโรงเรียนปริยัติธรรมมายังด้านทิศตะวันตก
ตำแหน่งหน้าที่ปกครองคณะสงฆ์ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะตำบล พ.ศ.2471
พ.ศ.2473 เป็นพระอุปัชฌาย์
พ.ศ.2492 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร ในราชทินนามที่ “พระครูอดุลสารธรรม”
มรณภาพเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2500 สิริอายุ 80 ปี พรรษา 60 •
เหรียญหลวงพ่อรักษ์ หลังพระพุทธชินราช
เหรียญหลวงพ่อรักษ์ หลังพ่อบัณฑูรสิงห์
เหรียญรุ่นแรกหลวงพ่อรักษ์ หลังชินราช-พ่อบัณฑูรสิงห์ วัดน้อยแสงจันทร์
“พระครูสุธรรมธาดา” หรือ “หลวงพ่อรักษ์ ฐิตธัมโม” อดีตเจ้าอาวาสวัดน้อยแสงจันทร์ ต.ลาดใหญ่ อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม
วัตถุมงคลที่จัดสร้างล้วนแต่โดดเด่น เป็นที่ปรารถนา ทั้งประเภทเครื่องรางของขลัง ผ้ายันต์ ฯลฯ ร่ำลือไปทั่วลุ่มน้ำแม่กลองและภาคกลาง
รวมถึง เหรียญรุ่นแรก ที่จัดสร้างออกมา 2 แบบ คือ หลังพระพุทธชินราช และหลังพ่อบัณฑูรสิงห์ ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2506
ลักษณะเป็นเหรียญปั๊มทรงพุ่มข้าวบิณฑ์แบบมีหูในตัว มีความบางตามความนิยมในสมัยนั้น สร้างด้วยเนื้ออัลปาก้าเพียงชนิดเดียวเท่านั้น จำนวนไม่ได้บันทึกไว้
ด้านหน้า เป็นรูปจำลองครึ่งองค์ห่มจีวรลดไหล่พาดผ้าสังฆาฏิ บนรูปมีอักขระยันต์ ใต้รูปมีอักขระภาษาไทยเขียนว่า “พระอธิการรักษ์ ฐิตธัมโม เจ้าอาวาสวัดน้อยแสงจันทร์ พรรษา ๓๒”
ด้านหลัง มีรูปจำลองพระพุทธชินราช รอบองค์พระมีอักขระยันต์ ใต้รูปองค์พระมีอักขระภาษาไทย เขียนว่า “พ.ศ.๒๕๐๖” ซึ่งคือปีที่จัดสร้าง
ส่วนอีกเหรียญคือ เหรียญหลวงพ่อรักษ์ วัดน้อยแสงจันทร์ หลังบัณฑูรสิงห์
สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2506 เช่นเดียวกัน ลักษณะเป็นเหรียญปั๊มทรงพุ่มข้าวบิณฑ์แบบมีหูในตัว สร้างด้วยเนื้ออัลปาก้า เนื้อทองแดง และเนื้อทองแดงกระไหล่ทอง จำนวนการสร้างไม่ได้มีการจดบันทึกไว้
ด้านหน้า เป็นรูปจำลองหลวงพ่อรักษ์ครึ่งองค์ห่มจีวรลดไหล่พาดผ้าสังฆาฏิ บนรูปของท่านมีอักขระยันต์ ใต้รูปหลวงพ่อมีอักขระภาษาไทยเขียนว่า “พระอธิการรักษ์ ฐิตธมโม เจ้าอาวาสวัดน้อยแสงจันทร์ พรรษา ๓๒”
ด้านหลัง มีรูปจำลองท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ วัดบางโทรัด ครึ่งองค์ห่มผ้าลดไหล่พาดผ้าสังฆาฏิ ด้านบนของรูปมีอักขระยันต์ ใต้รูปจำลองมีอักขระยันต์และอักขระภาษาไทยเขียนว่า “ท่านบัณฑูรสิงห์ พ.ศ.๒๕๐๖”
หายากอีกเหรียญของจังหวัดสมุทรสงคราม
หลวงพ่อรักษ์ ฐิตธัมโม
อัตโนประวัติ เกิดที่คลองบางตะบูน เมื่อวันแรม 7 ค่ำ เดือน 7 วันพุธ ปีจอ ตรงกับวันที่ 29 มิถุนายน 2453 บิดาชื่อนายยิ้ม มารดาชื่อนางเหม
ในวัยเด็ก บิดาและมารดานำมาฝากเรียนหนังสือเป็นเด็กวัดอยู่วัดสวนแก้ว อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม ภายหลังย้ายมาอยู่ใกล้วัดน้อยแสงจันทร์ เคยตามอาไปอยู่ที่ปทุมธานีใกล้วัดเทียนถวาย แล้วย้ายไปที่ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี
เรียนหนังสือจนอายุครบบวช จึงเข้ารับการอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดเทียนถวาย ต.บ้านใหม่ อ.เมือง จ.ปทุมธานี เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2474 มีพระครูธัญญเขตเขมากร (หลวงพ่อช้าง) วัดเขียนเขต เป็นพระอุปัชฌาย์ และพระปทุมวรนายก (หลวงพ่อสอน) วัดเทียนถวาย เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับฉายาว่า ฐิตธัมโม
อยู่จำพรรษาที่วัดเทียนถวาย เพื่อร่ำเรียนวิชาอาคมกับหลวงพ่อสอน และเรียนกัมมัฏฐานกับหลวงพ่อช้าง วัดเขียนเขต
ต่อมาไปเรียนวิชากัมมัฏฐานเพิ่มเติมจากท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ (เจิม คุณาบุตร) ที่วัดเกตุมวดีศรีวราราม ต.บางโทรัด อ.เมือง จ.สมุทรสาคร จนสำเร็จวิชาต่างๆ มากมาย
แล้วจึงย้ายกลับมาจำพรรษาที่วัดน้อยแสงจันทร์ ซึ่งเป็นวัดบ้านเกิด และอยู่จำพรรษาเรื่อยมาเพื่อโปรดมารดาที่ชราภาพ ซึ่งในขณะนั้นหลวงพ่อพูนเป็นเจ้าอาวาส
จนถึงปี พ.ศ.2494 หลวงพ่อพูน มรณภาพลง ชาวบ้านและคณะกรรมการวัดจึงนิมนต์ให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสสืบแทน ด้วยมีคุณสมบัติเหมาะสมด้วยอายุพรรษากาล มีความรู้ทางด้านวิทยาคม อีกทั้งปฏิบัติดีปฏิบัติชอบพร้อมด้วยศีลาจริยาวัตร
ผู้คนเลื่อมใสศรัทธาควรแก่การกราบไหว้เป็นอย่างยิ่ง
วัดน้อยแสงจันทร์ เป็นวัดราษฎร์สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ตั้งอยู่ริมคลองแม่กลอง ต.ลาดใหญ่ อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม สร้างเมื่อปี พ.ศ.2459 ผู้สร้างคือ นายเหม็น นางน้อย นายจันทร์ และนางแสง ซึ่งได้สละทรัพย์สมบัติและที่ดินให้สร้างวัดพร้อมกับเรือนฝากระดานอีกจำนวน 3 หลัง และยังได้จัดสร้างเสนาสนะต่างๆ เพิ่มเติมให้ตลอดมา
ชาวบ้านจึงได้ให้ชื่อวัดนี้ว่า วัดน้อยแสงจันทร์ ตามชื่อผู้สร้าง เพียงแต่รายที่ 4 ซึ่งมีนามว่านายเหม็นนั้น เจ้าตัวเห็นว่าชื่ออาจจะไม่เป็นมงคลนัก จึงให้ใช้ชื่อเพียง 3 ราย
เมื่อได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาส ก็ได้พัฒนาวัดเพิ่มเติมอย่างสุดความสามารถ ทั้งการสร้างเสนาสนะต่างๆ เพิ่มเติม ปรับปรุงถาวรวัตถุต่างๆ ภายในวัดให้แข็งแรง มั่นคงมากขึ้น และยังได้ขัดเกลาให้ชาวบ้านอยู่ในศีลในธรรม
ในสมัยที่มีชีวิตอยู่นั้น จะเน้นงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง มีการฝึกอบรมพระภิกษุสามเณรทุกกึ่งเดือน ทำวัตรเช้า-เย็น รวมทั้งอบรมศีลธรรมแก่เด็กวัด และนักเรียนโรงเรียนของรัฐ ประชาชนตามหลักเบญจศีลเบญจธรรม
พ.ศ.2516 ช่วยสั่งสอนประชาชนชาวจังหวัดสมุทรสงครามและจังหวัดใกล้เคียงให้รู้จักการนั่งกัมมัฏฐาน
เป็นพระนักพัฒนา อีกทั้งปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ชาวบ้านให้ความเลื่อมใสศรัทธา
ปกครองวัดเรื่อยมา จนล่วงเลยเข้าสู่วัยชราภาพ บ่อยครั้งทำให้อ่อนแรง สุขภาพไม่แข็งแรงดังเดิม กระทั่งล้มป่วยอาพาธเป็นประจำ ต้องเข้าออกโรงพยาบาลหลายครั้ง
คณะแพทย์ขอให้พักรักษาตัวที่โรงพยาบาล เพื่อให้การรักษาอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด
ท้ายที่สุด ถึงแก่มรณภาพลงอย่างสงบในปี พ.ศ.2538 สิริอายุ 85 ปี พรรษา 64 •
บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 13
คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์
Thailand
กระทู้: 2730
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
Re: พระเครื่อง
«
ตอบ #210 เมื่อ:
13 กันยายน 2568 12:00:11 »
พระสมเด็จไผ่ดำหลวงพ่อมาลัย
พระสมเด็จไผ่ดำ-รุ่นแรก ยอดมงคลหลวงพ่อมาลัย วัดบางหญ้าแพรก
“พระครูอุทัยธรรมสาคร” หรือ “หลวงพ่อมาลัย อุทโย” พระเกจิชื่อดังลุ่มแม่น้ำท่าจีน อดีตเจ้าคณะตำบลท่าฉลอม และอดีตเจ้าอาวาสวัดบางหญ้าแพรก อ.เมือง จ.สมุทรสาคร
สร้างพระเครื่องวัตถุมงคลและเครื่องรางไว้หลายชนิด ที่มีชื่อเสียงมาก คือ “พระสมเด็จไผ่ดำ รุ่นแรก”
สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2526 เพื่อเป็นที่ระลึกงานฉลองตราตั้งพระอุปัชฌาย์
ลักษณะเป็นผงพิมพ์สมเด็จเหมือนทั่วไป มีการสร้างด้วยเนื้อต้นไผ่หลากหลายพันธุ์ เผาจนเป็นถ่านมาเป็นส่วนผสมหลัก กับผงวิเศษต่างๆ ที่รวบรวมไว้ ผ่านการอธิษฐานจิตปลุกเสกจากหลวงพ่ออุตตมะ วัดวังก์วิเวการาม กาญจนบุรี, หลวงปู่สิน บางกระดี่ เป็นต้น
ด้านหน้า จำลองรูปพระสมเด็จพิมพ์สามชั้น มีครอบแก้วคล้ายพระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่
ด้านหลัง มีอักขระภาษาไทย เขียนคำว่า “สมเด็จ หลวงพ่อมาลัย วัดบางหญ้าแพรก จ.สมุทรสาคร”
จัดเป็นวัตถุมงคลที่หายาก ผู้ที่ครอบครองมักหวงแหนยิ่ง
หลวงพ่อมาลัย อุทโย
มีนามเดิมว่า มาลัย แตงอ่อน เกิดวันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน 2483 ณ บ้านเลขที่ 63 หมู่ 8 ต.แสมดำ อ.บางขุนเทียน กรุงเทพฯ มีพี่น้องร่วมกัน 6 คน
ในช่วงวัยเยาว์มีความผูกพันกับพระพุทธศาสนา ด้วยมีจิตใจเอนเอียงเข้าวัดฟังธรรม ทำให้ได้รับการปลูกฝังให้ใกล้ชิดกับพระศาสนาไปในตัว
ครั้นเมื่ออายุ 21 ปี ได้เข้ารับราชการทหาร ได้รับตำแหน่งนายสิบกองประจำการ
ต่อมาเข้ารับพิธีอุปสมบท เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2509 เวลา 13.00 น. ที่พัทธสีมาวัดบางกระดี่ บางขุนเทียน กรุงเทพฯ มีพระเทพญาณมุนี วัดราชโอรสาราม เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอาจารย์สง่า การวิโก วัดบางกระดี่ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์สงวน อาสโภ วัดกำพร้า เป็นพระอนุสาวนาจารย์
เป็นพระเถระที่มีความมุมานะ อุตสาหะ ฝักใฝ่เรียนรู้ พรรษาแรกก็สามารถสวดบทสวดพระปาติโมกข์แบบภาษารามัญได้ชัดเจน
กล่าวกันว่าในสมัยนั้นวัดบางหญ้าแพรก มีพระจำพรรษาอยู่ไม่มากนัก พื้นที่ของวัดรกร้างเต็มไปด้วยป่าโกงกาง ต่อมาเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2517 ตรงกับข้างขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ปีขาล พระเทพสาครมุนี (หลวงปู่แก้ว) วัดสุทธิวาตวราราม (ช่องลม) มอบหมายให้เป็นเจ้าอาวาส
จากนั้น จึงเริ่มบูรณปฏิสังขรณ์วัดบางหญ้าแพรกมาโดยตลอด สมกับที่ชาวบ้านกล่าวขวัญยกย่องให้เป็นพระนักพัฒนาจนเป็นที่เลื่องลือ
พ.ศ.2523 เดินทางไปงานมุทิตาสักการะหลวงพ่ออุตตมะ ที่ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี
ครั้นเมื่อไปถึงได้พบสิ่งแปลกประหลาดคือ มีกอไผ่ที่ไฟไม่ไหม้ มีอยู่เพียง 1 กอเท่านั้น ที่บริเวณวัดของหลวงพ่ออุตตมะ ส่วนกอไผ่กออื่นๆ ล้วนโดนไฟไหม้หมด
สิ่งนี้เองทำให้เกิดประหลาดใจ จึงได้ขอไผ่กอนั้นจากหลวงพ่ออุตตมะ และได้นำกลับมาที่วัดบางหญ้าแพรก เพื่อที่จะเอาเนื้อของไผ่ชนิดนี้มาบรรจุผสมเข้าเพื่อจัดสร้างวัตถุมงคลอันประกอบไปด้วยไผ่มงคลทั้ง 9 ชนิด ซึ่งเป็นที่มาของ “สมเด็จไผ่” ที่มีชื่อเสียงโด่งดังและมีความโดดเด่นรอบด้าน
ส่วนตะกรุดตี๋ใหญ่เป็นเครื่องรางของขลังที่ได้รับกล่าวขวัญมากเช่นกัน มีที่มาคือ ในยุคที่จอมโจรชื่อดังตี๋ใหญ่เดินทางมาที่ท่าฉลอม เข้ามาขอพึ่งใบบุญ
สมัยนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจมักจะพูดว่า ตี๋ใหญ่เป็นผี ไม่ใช่คนธรรมดา เพราะสามารถหายตัวล่องหนได้ แต่ความจริงตี๋ใหญ่มีวิชาคาถามหากำบัง
หลังจากนั้นประมาณ 3 ครั้ง ตี๋ใหญ่เข้ามาขอเครื่องรางของขลัง และฝากตัวเป็นศิษย์ อีกทั้งยังได้รับปากว่าจะกลับตัวเป็นคนดี จึงได้มอบตะกรุดผงว่านใบลาน ซึ่งเป็นตะกรุดซึ่งคลึงจากมือ
ทำให้ตี๋ใหญ่รอดพ้นแคล้วคลาดจากการถูกจับกุมอย่างเหลือเชื่อ จนเป็นที่มาของตะกรุดที่ชาวบ้านขนานนามว่า “ตะกรุดพอกยา” หรือที่เรารู้จักกันคือ “ตะกรุดตี๋ใหญ่”
กล่าวกันว่า คนมหาชัยที่มีตะกรุดดังกล่าวไว้ในครอบครองต่างหวงแหนกันมาก เพราะเลื่องลือในด้านคงกระพันชาตรีและมหาอุด
อีกทั้งเชื่อกันว่า หากได้หลวงพ่อมาลัยช่วยประพรมน้ำมนต์และเป่ายันต์เกราะเพชรแล้วจะทำให้ชีวิตมีความเจริญรุ่งเรือง แคล้วคลาดจากภยันตรายต่างๆ
หลวงพ่อมาลัย มักจะปลุกเสกเดี่ยว เนื่องจากได้ร่ำเรียนวิชาต่างๆ มาจากครูบาอาจารย์หลายท่านด้วยกัน อาทิ หลวงปู่แก้ว หลวงพ่อสุด และอาจารย์ศิลป์ วัดบางกระดี่
นำวิชาความรู้ด้านวิทยาคมเป็นกุศโลบายสำคัญในการอบรมประชาชนทั่วไปได้ยึดหลักธรรมน้อมนำจิตใจ เข้าถึงธรรมะได้ง่ายดาย
นอกจากเป็นพระเกจิชื่อดัง ยังมีความชำนาญภาษารามัญ อีกทั้งเป็นพระนักพัฒนา สร้างถาวรวัตถุภายในวัดบางหญ้าแพรกมากมาย เช่น อุโบสถหลังใหญ่ เมรุเผาศพ ศาลาการเปรียญที่มีเอกลักษณ์ศิลปะรามัญ
มีลูกศิษย์ลูกหาที่เป็นทั้งชาวไทย ชาวจีนและชาวรามัญ ให้ความนับถือจำนวนมาก
มรณภาพลงด้วยโรคมะเร็งกระเพาะ เมื่อวันอังคารที่ 15 กันยายน 2563 เวลา 17.08 น. สิริอายุรวม 80 ปี พรรษา 55
หลังเข้ารับการรักษาอาการอาพาธ ตั้งแต่เดือนเมษายน 2563 ที่โรงพยาบาลสมุทรสาคร จ.สมุทรสาคร •
เหรียญหลวงปู่สินธุ์
เหรียญรูปเหมือนหลวงปู่สินธุ์ พุทธาภิเษก ณ วัดนาควิชัย
“พระเทพวุฒาจารย์” หรือ “หลวงปู่สินธุ์ เขมิโย” อดีตเจ้าอาวาสวัดมหาชัย และอดีตเจ้าคณะจังหวัดมหาสารคาม
เป็นพระที่มีวัตรปฏิบัติอันเคร่งครัด เป็นที่เคารพเลื่อมใสศรัทธาของพุทธศาสนิกชน
วัตถุมงคลเคยจัดสร้างเหรียญรูปเหมือน เมื่อครั้งที่ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราช ในปี พ.ศ.2531 สร้างไม่เกิน 3,000 เหรียญ เนื้อทองแดงรมดำ
ประกอบพิธีพุทธาภิเษกที่วัดนาควิชัย มีพระเกจิคณาจารย์ชื่อดังของมหาสารคามมากมาย เข้าร่วมพิธีอธิษฐานจิต ในช่วงนั้นยังดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดนาควิชัย ก่อนย้ายมาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดมหาชัย พระอารามหลวง
ภายหลังเสร็จพิธีได้มอบให้เป็นที่ระลึกแก่ญาติโยมที่มาร่วมมุทิตาสักการะทุกคนได้เก็บไว้บูชา
ลักษณะเป็นเหรียญรูปใบสาเก มีหูห่วง ด้านหน้ายกขอบสองชั้น บริเวณตรงกลางเป็นรูปเหมือนครึ่งองค์ ใต้รูปเหมือนเขียนคำว่า “พระราชสารคามมุนี” สมณศักดิ์ขณะนั้น
ด้านหลังเป็นยันต์องค์พระ มีอักขระอ่านว่า “นะ เส ทุ สะ มะ วิ ทะ ทา กิ ทะ กุ วิ” ด้านบนเป็นยันต์อุณาโลม สรุปเป็นยันต์หัวใจองค์พระ
กล่าวได้ว่าเหรียญรุ่นนี้เป็นวัตถุมงคลรุ่นแรกและรุ่นเดียว
คณะศิษยานุศิษย์ผู้ที่ได้รับไปบูชานำขึ้นคล้องคอ ล้วนแต่มีประสบการณ์ แต่มักสั่งสอนศิษยานุศิษย์ไม่ให้อวดอ้างพุทธคุณวัตถุมงคลด้วยจะเป็นการอวดอุตริมนุสธรรม อันไม่สมควรอย่างยิ่ง
ทุกวันนี้จัดเป็นเหรียญที่ค่อนข้างหายาก
พระเทพวุฒาจารย์ (สินธุ์ เขมิโย)
อัตโนประวัติมีนามเดิมว่า สินธุ์ คำปลิว เกิดเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2456 ที่บ้านเขียบ ต.ขามเรียง อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม
หลังจากจบการศึกษาชั้น ป.4 จากโรงเรียนบ้านขามเรียง ออกมาช่วยงานครอบครัวทำไร่ทำนาอยู่ปีเศษ
อายุ 12 ปี พ.ศ.2469 จึงขอให้บิดามารดาบรรพชาให้ ณ วัดเจริญผล ต.ท่าขอนยาง อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม
ด้วยความที่มุ่งมั่นอยากศึกษาพระปริยัติธรรมจึงเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ไปเรียนที่สำนักวัดสระเกศ เป็นสำนักเรียนที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากในสมัยนั้น จนถึงปี พ.ศ.2478 เมื่ออายุครบบวชท่านจึงอุปสทบท ณ พัทธสีมาวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร โดยมี “สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก” (อยู่ ญาโณทยมหาเถร ป.ธ.9) วัดสระเกศ เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายา “เขมิโย”
หลังจากนั้นมุมานะเล่าเรียนอย่างหนัก จนถึงปี พ.ศ.2478 ก็สอบได้นักธรรมเอก และสอบได้เปรียญธรรม 3 ประโยค จากสำนักเรียนวัดสระเกศ ด้วยความที่เป็นคนเรียนเก่ง ในปี 2483 ก็สอบเทียบได้ชั้น ม.3 ปี พ.ศ.2485 ก็สอบได้ประกาศนียบัตรประโยคครู พ.ม. หลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ
ด้วยความที่ต้องการอยากกลับมาพัฒนาสร้างสรรค์ความเจริญอีสานบ้านเกิด จึงเดินทางกลับมาจำพรรษาอยู่ที่วัดพุทธไชยาราม บ้านเขียบ ต.ขามเรียง อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม จนถึงปี 2489 ก็ได้รับความไว้วางใจจากคณะสงฆ์เป็นเจ้าอาวาสวัดพุทธไชยาราม
เป็นพระที่มีผลงานปรากฏมากมาย เช่น บูรณปฏิสังขรณ์ศาสนวัตถุศาสนสถาน อนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมและโบราณสถาน
ในปี 2512 ได้รับการแต่งตั้งเป็นรองเจ้าอาวาสวัดนาควิชัย ต.ตลาด อ.เมือง และเป็นพระอุปัชฌาย์
พ.ศ.2518 เป็นรองเจ้าคณะจังหวัดมหาสารคาม และได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นพิเศษที่ “พระครูวิจัยปริยัติกิจ”
พ.ศ.2523 ได้รับแต่งตั้งขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดนาควิชัย ต.ตลาด อ.เมือง
พ.ศ.2524 ได้รับพระราชทานตั้งสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ในราชทินนามเดิม
พ.ศ.2526 ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าคณะจังหวัดมหาสารคาม
พ.ศ.2531 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราช ในราชทินนามที่ “พระราชสารคามมุนี”
ต่อมาได้ไปรับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดมหาชัย พระอารามหลวง
ในปี พ.ศ.2540 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ในราชทินนามที่ พระเทพวุฒาจารย์
พ.ศ.2542 เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดมหาสารคาม และยังเป็นประธานที่ปรึกษาพุทธสมาคม ยุวพุทธิกสมาคมจังหวัดมหาสารคาม เป็นประธานมูลนิธิสงฆ์อาพาธจังหวัดมหาสารคาม เป็นประธานที่ปรึกษามูลนิธิพระธาตุนาดูน และเป็นผู้จัดการโรงเรียนบาลีสาธิต มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วัดอภิสิทธิ์ ตั้งแต่ พ.ศ.2525-2548
ช่วงบั้นปลายชีวิตได้กลับไปจำพรรษาที่วัดพุทธไชยารามบ้านเกิด ด้วยความไม่เที่ยงของสังขาร เริ่มอาพาธบ่อยครั้ง จนถึงเช้าของวันที่ 28 กรกฎาคม 2548 เกิดอาการอ่อนเพลียช็อกหมดสติ จึงรีบนำส่งโรงพยาบาลจังหวัดมหาสารคาม ท้ายที่สุด มรณภาพลงด้วยอาการสงบ สิริอายุ 93 ปี พรรษา 72
ในวันอาทิตย์ที่ 2 เมษายน 2549 พิธีพระราชทานเพลิง ณ เมรุชั่วคราววัดมหาชัย สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชในขณะนั้น เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ •
บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 13
คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์
Thailand
กระทู้: 2730
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
Re: พระเครื่อง
«
ตอบ #211 เมื่อ:
14 กันยายน 2568 17:23:44 »
เหรียญหล่อสามเหลี่ยม หลวงพ่อรุ่ง วัดท่ากระบือ
เหรียญหล่อ-สามเหลี่ยม หลวงพ่อรุ่ง วัดท่ากระบือ กระทุ่มแบน
“หลวงพ่อรุ่ง ติสสโร” หรือ “พระไพโรจน์วุฒาจารย์” วัดท่ากระบือ ต.บางยาง อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร พระเกจิชื่อดัง ที่ได้รับความเลื่อมใสศรัทธา และรู้จักชื่อเสียงเป็นอย่างดี
สร้างวัตถุมงคลเอาไว้หลายชนิด ในวาระและโอกาสต่างๆ รวมทั้งร่วมพิธีพุทธาภิเษกครั้งสำคัญอยู่เสมอ
ส่วนใหญ่เป็นที่นิยมเสาะหากันอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นตะกรุด เสือยันต์ ผ้ายันต์ ธงยันต์ หนังหน้าผากเสือ แหวนพิรอด ลูกสะกด ฯลฯ
เฉพาะ “เหรียญรุ่น 1 และรุ่น 2” จนได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง เป็นที่ต้องการอย่างมาก
นอกจากนี้ ยังมีเหรียญรูปเหมือนอีกรุ่น ที่ได้รับความนิยม คือ “เหรียญหล่อสามเหลี่ยม”
สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2491 สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกในพิธีหล่อพระประธานของวัดท่ากระบือ ซึ่งจัดเป็นวัตถุมงคลที่ไม่ได้ปลุกเสกเดี่ยว แต่ใช้การจัดพิธีปลุกเสกใหญ่ที่วัดท่ากระบือแทน โดยนำเหรียญเงิน 1 บาท สมัยรัชกาลที่ 5 และที่ 6 ที่ได้สะสมไว้จำนวน 2,600 เหรียญ เข้าหลอมด้วย จำนวนการสร้างไม่ได้บันทึกไว้
ในพิธีนี้ หลวงพ่อรุ่งสร้างพระเครื่องเนื้อโลหะชนิดพิมพ์นางพญาไว้ด้วย แต่ก็ไม่ได้แจกให้กับผู้ใด โดยนำไปบรรจุกรุทั้งหมด
ลักษณะเป็นเหรียญหล่อทรงสามเหลี่ยม ด้านหน้า เป็นจำลองพระพุทธรูปหรือพระประธานภายในอุโบสถของวัดท่ากระบือ องค์พระเป็นปางสมาธิ ประทับนั่งบนฐานบัว 2 ชั้น
ด้านหลัง มียันต์ อ่านได้ว่า “นะ โม พุท ธา ยะ มะ อะ อุ อิ สวา สุ พุท ธะ สัง มิ”
ได้รับความศรัทธาอย่างยิ่ง ทั้งยังเป็นผู้ที่มีพลังจิตแก่กล้า
ด้วยเหตุนี้ของดีวัตถุมงคลต่างๆ จึงมีคุณวิเศษทุกด้าน สมกับเป็นพระอาจารย์อันดับหนึ่งที่อยู่ในใจของชาวสมุทรสาครตลอดมา
จนได้ฉายาว่า “เทพเจ้าแห่งลุ่มน้ำท่าจีน”
หลวงพ่อรุ่ง ติสสโร
อัตโนประวัติถือกำเนิดในสกุล พ่วงประพันธ์ เมื่อวันเสาร์ แรม 8 ค่ำ เดือน 9 ปีระกา พ.ศ.2416 ที่ ต.หนองนกไข่ อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร
ในวัยเยาว์เข้าศึกษาความรู้เบื้องต้น ร่ำเรียนหนังสือไทย ขอม ตลอดจนภาษาบาลีและมูลกัจจายน์กับพระอุปัชฌาย์ทับ เจ้าอาวาสวัดน้อยนพคุณ กรุงเทพฯ
ต่อมา เข้าพิธีอุปสมบท เมื่อวันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม 2437 ตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 6 ปีมะเมีย มีพระอุปัชฌาย์ทับ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอธิการบัว วัดใหม่ทองเสน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์เคลือบ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับนามฉายา ติสสโร
เพียง 2 วันจากบวช ย้ายไปอยู่ที่วัดท่ากระบือ ซึ่งในขณะนั้นมีฐานะเป็นสำนักสงฆ์ มีพระภิกษุร่วม เป็นเจ้าสำนัก
หลังจากนั้น ศึกษาทางพุทธาคมกับพระอาจารย์อีกหลายสำนัก และเดินธุดงค์ไปภาคเหนือ บางครั้งเลยเข้าไปในเขตพม่า
ใฝ่ใจศึกษาวิทยาการต่างๆ ทั้งคันถธุระและวิปัสสนาธุระ จากพระเกจิอาจารย์หลายรูป เช่น พระอาจารย์เกิด วัดกำแพง จ.สมุทรสาคร, พระอาจารย์หลำ วัดอ่างทอง จ.สมุทรสาคร เป็นต้น
กล่าวกันว่า เป็นสหธรรมิกกับหลวงพ่อเชย วัดท่าควาย จ.สิงห์บุรี มีการแลกเปลี่ยนวิชาความรู้ด้านอาคมซึ่งกันและกันด้วย
ต่อมาเมื่อพระภิกษุร่วมสึกออกไป จึงได้รับตำแหน่งเจ้าสำนักสืบแทน
หลังจากนั้นต่อมา สภาพสำนักสงฆ์ ได้รับการยกฐานะกลายเป็นวัดท่ากระบือขึ้นมา ท่านทุ่มเทสติปัญญา กำลังกาย กำลังใจ สร้างวัดท่ากระบือให้เจริญรุ่งเรืองเป็นวัดใหญ่โตวัดหนึ่งในจังหวัดสมุทรสาคร
กล่าวถึงประวัติ วัดท่ากระบือ แต่เดิมเป็นเพียงแค่สำนักสงฆ์ ตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2430 ติดกับแม่น้ำท่าจีน ต่อมาจึงได้ยกฐานะขึ้นเป็นวัด เดิมชื่อว่า “วัดท่าควาย” เนื่องจากเคยเป็นท่าน้ำสำหรับวัวควายลงกินน้ำและเปลี่ยนชื่อมาเป็นวัดท่ากระบือ จวบจนปัจจุบัน
ตามปกติเป็นผู้สนใจในการแสวงหาความรู้อยู่เสมอ เจริญสมถวิปัสสนาในสำนักวัดสุนทรประสิทธิ์ จนมีความรู้แตกฉานในการปฏิบัติพระกัมมัฏฐาน อันเป็นพื้นฐานที่สำคัญให้ท่านมีอำนาจจิตเป็นอย่างสูง สามารถสร้างเครื่องรางของขลังเป็นที่เลื่องลือ
การธุดงค์ทุกครั้ง เมื่อเดินทางกลับมาถึงวัดท่ากระบือ มักจะติดของดีหรือวัตถุมงคลมาแจกลูกศิษย์อยู่เสมอ ดังนั้น เมื่อลูกศิษย์ทราบข่าวว่ากลับมาที่วัด จะรีบพากันออกจากบ้านตรงไปยังวัดท่ากระบือ เพื่อมนัสการ พร้อมกับถือโอกาสขอวัตถุมงคลที่ได้จากการธุดงค์ในคราวนั้นด้วย
ด้านศีลาจารวัตร เป็นพระที่มีคุณธรรมอันประเสริฐ เคร่งครัดพระธรรมวินัย เปี่ยมไปด้วยเมตตา มีความมักน้อย และถ่อมตน ถือเอกาฉันจังหันวันละมื้อตลอดชีวิต
พัฒนาด้านการศึกษาสำหรับพระภิกษุ-สามเณรและเด็กนักเรียนในชุมชนละแวกวัด โดยสร้างหอเรียนพระปริยัติธรรม รวมถึงโรงเรียนประชาบาลขึ้น
ด้านการเผยแผ่ธรรม แสดงพระธรรมเทศนาอบรมสั่งสอนพุทธบริษัท จัดส่งพระภิกษุไปแสดงธรรมในวันธรรมสวนะ ส่งเสริมการศึกษาปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิภาวนา
ลำดับงานปกครอง พ.ศ.2442 ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดท่ากระบือ
พ.ศ.2474 เป็นพระอุปัชฌาย์
พ.ศ.2482 ได้รับแต่งตั้งเป็นพระครูชั้นประทวน
พ.ศ.2483 ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอกระทุ่มแบน
ลำดับสมณศักดิ์ พ.ศ.2489 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโท ในราชทินนามที่ พระครูไพโรจน์มันตาคม
พ.ศ.2494 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นเอก ในราชทินนามเดิม
พ.ศ.2499 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระไพโรจนวุฒาจารย์
มรณภาพ เมื่อวันศุกร์ที่ 27 กันยายน 2500 สิริอายุ 85 ปี พรรษา 64
พระราชทานเพลิงศพ เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2501 •
เหรียญหลวงพ่อแดง รุ่นตะกูลโจว
เหรียญรุ่น-ตะกูลโจว หลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ เพชรบุรี
“หลวงพ่อแดง รัตโต” หรือ “พระครูญาณวิลาศ” วัดเขาบันไดอิฐ อ.เมือง จ.เพชรบุรี ยอดพระเกจิผู้มีชื่อเสียงไม่เพียงแต่ในจังหวัดเท่านั้น
สร้างวัตถุมงคลไว้หลายชนิด ในวาระและโอกาสต่างๆ ล้วนเป็นที่นิยมและเสาะแสวงหาอย่างแพร่หลาย
หลังสร้างเหรียญรุ่นแรกจนได้รับความนิยมแล้ว ก็มีวัตถุมงคลอีกรุ่นที่ยอดฮิตตามมา ได้แก่ “เหรียญรุ่นตระกูลโจว”
ในปี พ.ศ.2510 ในงานฉลองอายุครบ 89 ปี วัดเขาบันไดอิฐ ได้สร้างเหรียญขึ้นใหม่ โดยใช้ข้อความและตัวอักษรเหมือนรุ่นหนึ่งทุกอย่าง แต่รูปใบหน้าหลวงพ่อแดงเปลี่ยนไป
ในปีเดียวกัน มีคหบดีนายห้างขายยาที่มีชื่อเสียงจากกรุงเทพฯ นำกฐินมาทอดที่วัดเขาบันไดอิฐ พร้อมกันนี้ได้ขออนุญาตจัดสร้างเหรียญเป็นที่ระลึก รุ่นนี้ออกแบบให้ใบหน้าของหลวงพ่อแดงชราภาพมากขึ้น
สร้างเป็นเนื้อสามกษัตริย์, ทองคำ, นาก, เงิน และทองแดง จำนวนรวมกันประมาณ 2,000 เหรียญ แยกเป็นเนื้อสามกษัตริย์ พื้นด้านหลังเหรียญเป็นเนื้อเงิน ด้านหลังตอกโค้ดภาษาจีน จัดสร้างจำนวน 10 เหรียญ
เนื้อทองคำ ด้านหลังตอกโค้ดภาษาจีนและตอกโค้ดหมายเลขทุกเหรียญ จัดสร้าง 89 เหรียญ
เนื้อนาก ด้านหลังตอกโค้ดภาษาจีน
เนื้อเงิน ด้านหลังตอกโค้ดภาษาจีน ไม่ตอกโค้ดหมายเลข
และเนื้อทองแดง ด้านหลังตอกโค้ดภาษาจีน
ลักษณะเป็นเหรียญทรงกลมรูปไข่ มีหู ด้านหน้า ตรงกลางเป็นรูปเหมือนหลวงพ่อแดงครึ่งองค์หันหน้าตรง ขอบโค้งด้านบน เขียนคำว่า “พ.ศ.๒๕๑๐ ที่ระลึกอายุครบรอบ ๘๙ ปี” ขอบโค้งด้านล่าง เขียนคำว่า “พระครูญาณวิลาศ (แดง)”
ด้านหลัง ตรงกลางลงหัวใจพระพุทธคุณต่างๆ ไว้ด้วยภาษาขอม ตรงกลางด้านหลังลงยันต์สี่ มีหัวขมวด แต่ตอกโค้ดภาษาจีนอ่านว่า “โจว” ไว้ที่ใต้ตัว “อุ” ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเหรียญรุ่นนี้
เป็นวัตถุมงคลที่นิยมของชาวเพชรบุรีอย่างมาก
หลวงพ่อแดง รัตโต
เกิดในสกุล อ้นแสง ที่บ้านสามเรือน หมู่ที่ 4 ต.บางจาก อ.เมือง จ.เพชรบุรี เมื่อวันพุธขึ้น 2 ค่ำ เดือน 11 พ.ศ.2422 บิดาชื่อนายแป้น มารดาชื่อนางนุ่ม อ้นแสง มีพี่น้องรวมกัน 12 คน ท่านเป็นคนที่ 5
วัยเด็กช่วยพ่อแม่ทำไร่ทำนา ไม่มีโอกาสร่ำเรียนหนังสือ
ครั้นถึงวัยหนุ่ม พ่อแม่หวังจะให้บวชเรียน จึงพาไปฝากกับพระอาจารย์เปลี่ยน วัดเขาบันไดอิฐ
อายุ 22 ปี เข้าพิธีอุปสมบท ที่วัดเขาบันไดอิฐ ต.ไร่ส้ม อ.เมือง จ.เพชรบุรี มีพระครูญาณวิสุทธิ วัดแก่นเหล็ก อ.เมือง จ.เพชรบุรี เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า รัตโต
เคร่งครัดต่อพระวินัยและปฏิบัติต่อพระอาจารย์เป็นอย่างดี พระอาจารย์เปลี่ยนจึงเมตตาสอนวิชาการวิปัสสนา และวิธีนั่งปลงกัมมัฏฐานให้ รวมถึงถ่ายทอดวิทยาคมให้อย่างไม่ปิดบัง
เหตุนี้ทำให้มีความปีติเพลิดเพลินในการศึกษาวิชาความรู้ ยิ่งนานวันก็ยิ่งสำนึกในรสพระธรรม ไม่มีความคิดลาสิกขาแต่อย่างใด จึงกลายเป็นพระปฏิบัติดีที่มีอาวุโสสูงสุด
กระทั่งพระอาจารย์เปลี่ยนมรณภาพลง จึงรับหน้าที่เป็นสมภารวัดเขาบันไดอิฐแทน ตั้งแต่ปี พ.ศ.2461 เป็นต้นมา และแม้จะได้เป็นสมภารซึ่งต้องมีภารกิจมาก แต่ก็ยังปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิในถ้ำเพื่อแสวงหาวิมุตติภาวนาทุกวัน
ไม่เคยอวดอ้างในคุณวิเศษใดๆ แต่ผลของเลขยันต์เป่ามนต์ได้สำแดงออกมาให้ประจักษ์ว่าคุ้มครองป้องกันภัยได้
มีเรื่องเล่ากันมาว่า ระหว่าง พ.ศ.2477-2480 เวลานั้นเกิดโรคระบาดสัตว์ วัวควายเป็นโรคปากเท้าเปื่อยที่ติดต่อร้ายแรง พากันล้มตาย สัตวแพทย์ก็ไม่มี ต้องขอให้ทางการมาช่วยฉีดยา ราษฎรจึงพากันไปหาให้ช่วยปัดเป่าป้องกันโรคระบาดสัตว์ให้
จึงปลุกเสกลงเลขยันต์ในผืนผ้ารูปสี่เหลี่ยมเล็กๆ แจกให้ชาวบ้านที่เลี้ยงวัวควายนำไปผูกปลายไม้ปักไว้ที่คอกสัตว์ ปรากฏว่า คอกสัตว์ที่ปักผ้าประเจียดยันต์ไม่ตาย ทุกบ้านในตำบลใกล้เคียงวัดเขาบันไดอิฐ เมื่อรู้กิตติศัพท์จึงพากันมาขอยันต์ทุกวันมิได้ขาด
กระทั่งเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 คือ มหาสงครามเอเชียบูรพา เมืองเพชรมีระเบิดลงทุกวัน ทำลายสถานีรถไฟ สะพานข้ามแม่น้ำ บ้านเรือน โรงเรียนต้องสั่งปิด ข้าราชการไม่ได้ไปทำงาน ทุกหน่วยราชการปิดหมด และปรากฏเรื่องเป็นที่ฮือฮาว่า บ้านคนที่มีผ้ายันต์หรือเหรียญ กลับไม่ได้รับอันตรายใดๆ
เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2502 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร ในราชทินนามที่ พระครูญาณวิลาศ
เป็นพระใจดีมีเมตตาสูง และอารมณ์ดีเสมอ ไม่ชอบดุด่าว่าใคร โดยเฉพาะคำหยาบคายถึงพ่อแม่ ห้ามขาด เพราะทุกคนเขาก็มีพ่อมีแม่ การด่าถึงบุพการีทำให้ความดีงามเสื่อมถอย ถึงห้อยพระท่านก็ไม่คุ้มครอง
มรณภาพอย่างสงบ เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2517 สิริอายุ 96 ปี พรรษา 74
ก่อนสิ้นลม ได้ฝากฝังกับพระปลัดบุญส่ง ธัมมปาโล รองเจ้าอาวาสขณะนั้น ว่า “เมื่อฉันหมดลมหายใจแล้วอย่าเผา ให้เก็บร่างฉันไว้ที่หอสวดมนต์ และให้เอาเหรียญที่ปลุกเสกรุ่น 1 ใส่ปากไว้พร้อมเงินพดด้วง 1 ก้อน ส่วนนี้ฉันเอาไปได้ และให้เอาขมิ้นมาทาตัวฉันให้เหลืองเหมือนทองคำ”
พระปลัดบุญส่ง รับปากและได้ทำตามประสงค์ไว้ทุกประการ
ทุกวันนี้ ยังเป็นที่เคารพศรัทธาของชาวเพชรบุรี รวมทั้งผู้มีจิตศรัทธาไม่เสื่อมคลาย •
บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 13
คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์
Thailand
กระทู้: 2730
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
Re: พระเครื่อง
«
ตอบ #212 เมื่อ:
19 กันยายน 2568 11:15:27 »
พระสมเด็จ หลวงพ่อเคลือบ (หน้า - หลัง)
พระสมเด็จผงพุทธคุณ 108 ‘หลวงพ่อเคลือบ’ วัดหนองกระดี่ จ.อุทัยธานี
ชื่อเสียงเกียรติคุณ “
หลวงพ่อเคลือบ สาวรธัมโม
” แห่งวัดหนองกระดี่ อ.ทัพทัน จ.อุทัยธานี ได้รับการยกย่องว่าเป็นเทพเจ้าแห่งลุ่มน้ำสะแกกรัง
สร้างวัตถุมงคลเอาไว้หลายชนิด ที่ได้รับความนิยม ได้แก่ วัตถุมงคลชุดปี 2515 จัดสร้างโดย พระครูอุฬารธรรมโฆษิต (สง่า จิตตสังวโร) อดีตเจ้าคณะอำเภอทัพทัน และเจ้าอาวาสวัดทัพทันวัฒนาราม อ.ทัพทัน จ.อุทัยธานี
เพื่อนำรายได้ไปใช้ในกิจกรรมสาธารณประโยชน์และสนับสนุนการศึกษาเล่าเรียนของเยาวชน
ชุดดังกล่าวมี 8 ชนิด ประกอบด้วย รูปปั้น หน้าตัก 5 นิ้ว, รูปหล่อเหมือนทองเหลือง, เหรียญครึ่งตัว ทรงรี เนื้ออัลปาก้า และทองแดงรมดำ, ธงยันต์อักขระ, ธงยันต์นางกวัก, ผ้ายันต์อักขระ, ผ้ายันต์นางกวัก และสมเด็จหลวงเนื้อผงพุทธคุณ 108
จัดพิธีบวงสรวงอัญเชิญดวงวิญญาณหลวงพ่อเคลือบ โดยพราหมณ์ประกอบพิธีที่วัดหนองกระดี่ อ.ทัพทัน เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2515 เวลา 07.00-09.00 น. ตรงกับวันแรม 13 ค่ำ เดือน 5
ครั้นเสร็จพิธีแล้ว จัดตั้งขบวนแห่รูปปั้นจากวัดหนองกระดี่ ไปยังวัดทัพทันวัฒนาราม โดยรถยนต์ จักรยานยนต์ และช้าง 10 เชือก จัดงานสมโภช 3 วัน 3 คืน เวลา 15.19 น. วันที่ 11 เมษายน 2515 ประกอบพิธีนั่งปรก โดยพระคณาจารย์ผู้ทรงธรรมในด้านวิปัสสนาธุระ และพระคณาจารย์ผู้เชี่ยวชาญในด้านวิทยาคมขลัง ในอุโบสถเก่าวัดทัพทันวัฒนาราม
พระคณาจารย์ที่กระทำพิธี ประกอบด้วย หลวงพ่อสว่าง วัดคฤหบดีสงฆ์, เจ้าคุณพระอุดมธรรมภาณ (หลวงพ่อสม) วัดสังกัสรัตนคีรี, หลวงพ่อสมควร วัดถือน้ำ, หลวงพ่อประสิทธิ์ วัดวังม้า, หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง, หลวงพ่อเสน่ห์ วัดสว่างอารมณ์, หลวงพ่อโฉม วัดเขาปฐวี, หลวงพ่อทวน วัดท่ามะขามป้อม และหลวงพ่อสำเริง วัดทุ่งนาไทย
หลังเสร็จพิธีพุทธาภิเษกฝนได้ตกลงมาอย่างหนักตลอดคืน เป็นที่อัศจรรย์แก่ผู้ร่วมงานเป็นอย่างยิ่ง
พระสมเด็จ ปี 2515 ลักษณะเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ด้านหน้าเป็นพระพุทธรูป
ด้านหลังเป็นรูปนูนครึ่งองค์อยู่กลางหยดน้ำ มีอักษรไทย เขียนคำว่า “หลวงพ่อเคลือบ” และอักขระขอม นะสำเร็จ หรือนะเศรษฐี กำกับ
กล่าวได้ว่า พระสมเด็จเนื้อผงพุทธคุณ 108 จัดเป็นวัตถุมงคลที่พิธีการจัดสร้างดี พุทธคุณเด่นรอบด้าน เช่าบูชาที่วัด องค์ละ 10 บาท ปรากฏว่าหมดเกลี้ยงภายใน 3 วัน
ปัจจุบันนักสะสมพบประสบการณ์และทราบข้อมูลพิธีการจัดสร้าง โดยเฉพาะรายนามพระคณาจารย์ที่อธิษฐานจิตล้วนทรงวิทยาคม ราคาเช่าหาที่สวยๆ ได้ขยับขึ้นสูง เนื่องจากหายากมากและเป็นผงพุทธคุณของพระเกจิชื่อดัง
จึงกลายเป็นพระยอดนิยมและเสาะแสวงหากันขณะนี้
หลวงพ่อเคลือบ สังวรธัมโม
ตามประวัติ หลวงพ่อเคลือบ เป็นคนเชื้อสายจีน สัญชาติไทย เกิดเมื่อปีพุทธศักราช 2432 ที่บ้านคลองชะโด ต.ทุ่งใหญ่ อ.เมือง จ.อุทัยธานี
เข้าพิธีอุปสมบทเมื่อปีพุทธศักราช 2453 ที่วัดหนองเต่า ต.โนนเหล็ก อ.เมือง จ.อุทัยธานี โดยมีพระครูอุทัยธรรมวินิฐ (หลวงพ่อสิน) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระกรรมวาจาจารย์ และพระอนุสาวนาจารย์ ไม่ทราบนาม ได้รับฉายาว่า สาวรธมโม
อยู่จำพรรษาเรียนวิชาอาคมกับหลวงพ่อสิน วัดหนองเต่า เป็นเวลา 3 พรรษา จนสำเร็จวิชาวาจาสิทธิ์และวิชาคงกระพันชาตรี สมัยนั้นพระภิกษุสามเณรวัดหนองเต่ามีจำนวนมาก ไม่เหมาะแก่การบำเพ็ญเพียร
หลวงพ่อสิน พูดอยู่เสมอว่า “ถ้าจะให้วิชาขลังนั้น ต้องไปหาที่สงบฝึกจิต”
หลวงพ่อเคลือบ สนทนาธรรมกับหลวงพ่อสินแล้วก็ขอลาไปฝึกจิตเรียนวิชาเพิ่มเติม
หลวงพ่อสินบอกว่า “มีพระเก่งวิชาเพ่งกสินอยู่แถบลพบุรี” ก็ลาไปโดยมีพระร่วมเดินทางไป 3 รูป ท่านได้ไปพบอาจารย์ ซึ่งจากการสอบถามคนเก่าหลายคนบอกว่า เป็น “หลวงพ่อกบ วัดเขาสาลิกา” ซึ่งเป็นผู้มีวิชาอาคมแก่กล้ามากในสมัยนั้น
เมื่อเดินทางไปถึงแล้ว ก็เข้าไปกราบพร้อมฝากตัวเป็นศิษย์เพื่อเรียนคาถา โดยหลวงพ่อกบพูดว่า “ถ้าไม่สึกก็จะสอนวิชาให้ ถ้าสึกก็จะไม่สอน” หลวงพ่อเคลือบก็ปฏิญาณแน่วแน่ว่าชาตินี้จะไม่ขอสึก ส่วนพระที่ไปด้วยไม่รับปาก จึงไม่ได้เรียนวิชาด้วย
เรียนกัมมัฏฐานทำสมาธิ จนจิตเป็นหนึ่งเดียว และเรียนวิชากสินไฟและเรียนอักษรขอมที่ใช้เขียนยันต์ เพิ่มเติมจากหลวงพ่อกบอีกเป็นเวลาถึง 6 ปีเต็ม
กราบลาอาจารย์ออกธุดงค์ไปทางเหนืออีกหลายปี ไม่ทราบว่าไปที่ใดบ้าง แล้วจึงกลับมาอยู่ที่วัดหนองเต่า
แต่อยู่ได้เพียงไม่กี่วัน ญาติโยมวัดหนองหญ้านางก็มานิมนต์ให้ไปจำพรรษา
เมื่อหลวงพ่อเคลือบมาอยู่ ก็สร้างอุโบสถขึ้นมาหนึ่งหลัง แต่ยังไม่ทันเสร็จเรียบร้อยดี ก็เกิดเรื่องกับบรรดามัคนายกวัดขึ้นเสียก่อน ท่านจึงพูดขึ้นว่า “ถ้าอาตมาไม่อยู่ ใครก็มาอยู่ไม่ได้” ต่อมาก็หาพระมาอยู่ได้ยาก แล้วหลวงพ่อเคลือบก็กลับมาที่วัดหนองเต่า
กระทั่งวัดหนองแก ขาดพระอยู่จำพรรษา หลวงพ่อเคลือบจึงมาอยู่ที่นี่หนึ่งพรรษาแล้วย้ายมาอยู่ที่วัดทัพทันวัฒนาราม อีก 3 พรรษา
ต่อมา วัดหนองกระดี่ไม่มีเจ้าอาวาส ญาติโยมจึงนิมนต์มาปกครองวัด และอยู่ที่วัดหนองกระดี่ จนมรณภาพ ในปี พ.ศ.2497
ได้ชื่อว่าเป็นพระที่มีวาจาศักดิ์สิทธิ์ ชาวบ้านจะบนบานศาลกล่าวด้วยธูป 3 ดอก หรือบางครั้งก็จะบอกกล่าวธรรมดาว่าต้องการบนเรื่องอะไรและจะแก้บนด้วยอะไร ส่วนใหญ่การแก้บนมักจะเป็นเหล้าขาว มะขาม หรือพวงมาลัย
การบนบานศาลกล่าวแทบจะเป็นส่วนหนึ่งของการดำรงชีวิตของชาวจังหวัดอุทัยธานีและจังหวัดใกล้เคียง เมื่อมีของหาย ถ้าบนบาน ก็จะได้กลับคืนมาเกือบทุกครั้ง หรือบางครั้งจะมีการบนบานไม่ให้ฝนตก ฝนก็จะหยุดตกเกือบทุกครั้งไป หรือบางครั้งจากหนักเป็นเบา รวมทั้งถึงการช่วยคุ้มครองในการเดินทางให้ปลอดภัย
เป็นความเชื่อของแต่ละคน •
บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 13
คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์
Thailand
กระทู้: 2730
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
Re: พระเครื่อง
«
ตอบ #213 เมื่อ:
22 กันยายน 2568 16:16:37 »
เหรียญพระพุทธมงคลเรณูนคร (หน้า - หลัง)
‘พระพุทธมงคลเรณูนคร’ วัดพระธาตเรณู นครพนม 5
“วัดธาตุเรณู” ต.เรณู อ.เรณูนคร จ.นครพนม เป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมือง ภายในอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรัตนมงคลทศพลญาณ (พระพุทธมงคลเรณูนคร) พระประธานในอุโบสถก่ออิฐถือปูน ปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 1.89 เมตร สูง 2.90 เมตร สร้างเมื่อปี พ.ศ.2499
ปี พ.ศ.2508 พระครูสีลสัมปัน อดีตเจ้าอาวาสวัดศรีวิไลย์ ต.เรณูนคร จัดสร้าง “เหรียญพระพุทธมงคลเรณูนคร” นำรายได้ไปก่อสร้างวัดป่าสันติสุข
จัดสร้างเป็นเนื้อทองแดงกะไหล่ทอง เนื้อทองแดงกะไหล่เงิน และเนื้อทองแดงรมดำ จำนวนการสร้างไม่ได้บันทึกไว้
ลักษณะเป็นเหรียญทรงรูปไข่ มีหูห่วง ด้านหน้า ขอบเหรียญมีลวดลายคล้ายเม็ดข้าว 2 ชั้นซ้อนกัน ขอบเหรียญชั้นในมีจุดไข่ปลาล้อมรอบ ตรงกลางเหรียญประดิษฐานพระพุทธรัตนมงคลทศพลญาณ ปางมารวิชัย ประทับบนแท่นฐานรูปทรงคล้ายกลีบบัวหงาย ใต้ฐานสลักตัวหนังสือ 2 บรรทัดคำว่า “พระพุทธมงคลเรณูนคร”
ด้านหลัง ขอบเหรียญมีเส้นสันนูนหนา ตรงกลางเหรียญมีรูปเหมือนครึ่งองค์ ด้านล่างสุดสลักตัวหนังสือคำว่า “พระเทพสิทธาจารย์”
เหรียญรุ่นนี้ “พระเทพสิทธาจารย์” หรือ “หลวงปู่จันทร์ เขมิโย” อดีตเจ้าคณะจังหวัดนครพนม (ธ) อดีตเจ้าอาวาสวัดศรีเทพประดิษฐาราม พระเถระชื่อดังรูปหนึ่งของเมืองไทย อนุญาตให้จัดสร้างเป็นกรณีพิเศษ สืบเนื่องจากเป็นพระอุปัชฌาย์ของพระครูสีลสัมปัน
อีกทั้งยังเมตตาปลุกเสกให้เป็นพิเศษ ในปี พ.ศ.2518
ทำให้เป็นที่ต้องการของบรรดานักนิยมสะสมวัตถุมงคล
หลวงปู่จันทร์ เขมิโย
มีนามเดิมว่า จันทร์ สุวรรณมาโจ ถือกำเนิดเมื่อวันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม 2424 ปีมะเส็ง ณ บ้านท่าอุเทน หมู่ 3 ต.ท่าอุเทน อ.เมือง จ.นครพนม บิดามารดาชื่อ นายวงศ์เสนา และนางไข สุวรรณมาโจ
ช่วงวัยเยาว์ สุขภาพไม่ค่อยสมบูรณ์ ป่วยโรคหอบหืด บิดาจึงให้ไปอยู่กระท่อมปลายนา
พ.ศ.2431 เริ่มศึกษาหนังสือไทยน้อยและหนังสืออักษรลาว ขณะมีอายุ 7 ขวบ หัดอ่านเขียนจากหนังสือผูกใบลานวรรณคดีพื้นบ้าน
ขณะอายุ 10 ขวบ บิดาล้มป่วยและเสียชีวิต จึงได้บรรพชาหน้าไฟ ณ วัดโพนแก้ว ต.ท่าอุเทน อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม โดยมีพระขันธ์ ขันติโก เป็นพระอุปัชฌาย์
ขณะอยู่ที่วัดโพนแก้ว ได้ศึกษาอักษรขอมและอักษรธรรม ฝึกอ่านเขียนสวดมนต์น้อย มนต์กลาง และมนต์หลวง ตามลำดับ
อายุ 19 ปี ลาสิกขาไปประกอบอาชีพค้าขาย
ครั้นอายุ 20 ปี เมื่อ พ.ศ.2445 จึงตัดใจเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์อีกครั้ง ณ พัทธสีมาวัดโพนแก้ว โดยมีพระเหลา ปัญญาวโร เป็นพระอุปัชฌาย์, พระเคน อุตตโม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระหนู เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า เขมิโย
พำนักอยู่วัดได้ 2 เดือน กราบลาพระอุปัชฌาย์ไปจำพรรษาที่วัดอินทร์แปลง อ.เมือง จ.นครพนม เพื่อติดตามพระเคน ครูผู้สอนคัมภีร์มูลกัจจายน์
พ.ศ.2445 พระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล แห่งวัดเลียบ จ.อุบลราชธานี พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนากัมมัฏฐาน ผู้เป็นอาจารย์ของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต แม่ธรรมทัพพระป่า และพระปัญญาพิศาลเถร (หนู ฐิตปัญโญ) วัดปทุมาราม ผ่านมาพักปักกลดบริเวณโรงฆ่าสัตว์เทศบาลเมืองในปัจจุบัน
ซึ่งพระปัญญาพิศาลเถร และพระยาสุนทรเทพกิจจารักษ์ ได้รับคำแนะนำจากพระอาจารย์เสาร์ ให้คัดพระภิกษุ 4 รูป ผู้เฉลียวฉลาด โดย 1 ในนั้นมีพระจันทร์ พระลา พระหอม และสามเณรจูม (พระธรรมเจดีย์) วัดโพธิสมภรณ์ จ.อุดรธานี ถวายเป็นศิษย์พระอาจารย์เสาร์
ออกธุดงค์ผ่านป่าดงสัตว์ป่านานาชนิด บำเพ็ญเพียรสมาธิภาวนา ก่อนมุ่งสู่ จ.อุบลราชธานี
ช่วงที่พำนักที่วัดนี้ 4 เดือนเต็มเพื่อฝึกซ้อมบทสวดมนต์ พระอาจารย์เสาร์นำประกอบพิธีญัตติหลวงปู่จันทร์ เป็นพระธรรมยุต ณ อุโบสถวัดศรีอุบลรัตนราม (วัดศรีทองเดิม) จ.อุบลราชธานี มีพระปัญญาพิศาลเถร เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูประจักษ์อุบลคุณ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ มีฉายาเดิมว่า เขมิโย
ขณะจำพรรษาที่วัดเลียบ ได้ศึกษาวิชาวินัย วิชาธรรม วิชาพุทธประวัติ ฝึกหัดแสดงธรรมด้วยปากเปล่า และศึกษาวิปัสสนาเพิ่มเติม มีหลวงปู่เสาร์ พระอาจารย์มั่น เป็นพี่เลี้ยง
พ.ศ.2449 กราบลาพระอาจารย์มาจำพรรษาที่วัดศรีเทพประดิษฐาราม ซึ่งเป็นวัดร้าง เดิมชื่อวัดศรีคุณเมือง นาน 3 ปี ปรับปรุงพัฒนาวัดขณะพรรษาที่ 7
พ.ศ.2453 เดินทางเข้ากรุงเทพฯ ไปศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรม ฝากตัวเป็นศิษย์กับสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่พระเทพกวี) ที่วัดเทพศิรินทราวาส ศึกษานักธรรมตรี-โท และบาลีเปรียญ 3 ประโยค นาน 6 ปี จึงเดินทางกลับบ้านเกิด
เป็นช่วงที่วัดศรีเทพประดิษฐาราม ขาดพระผู้ใหญ่ปกครอง จึงได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส และเป็นเจ้าคณะอำเภอหนองบึก (อำเภอเมืองในปัจจุบัน)
พ.ศ.2459 ได้นำแผนการศึกษาของรัชกาลที่ 5 จัดตั้งโรงเรียนสอนภาษาไทยแผนใหม่และนักธรรมบาลีขึ้นเป็นแห่งแรก มีพระเณรและคฤหัสถ์ชาย เรียนรวมกัน
ก่อนย้ายไปเรียนที่ศาลากลางจังหวัดหลังเก่า และโรงเรียนปิยะมหาราชาลัย ในปัจจุบัน และยังตั้งโรงเรียนพระปริยัติธรรมขึ้นแห่งแรกที่วัดแห่งนี้ด้วย เปิดสอนพระภิกษุ-สามเณร
ลําดับงานปกครองคณะสงฆ์ พ.ศ.2459 เป็นเจ้าอาวาสวัดศรีเทพประดิษฐาราม
พ.ศ.2460 เป็นพระอุปัชฌาย์
พ.ศ.2477 เป็นรองเจ้าคณะจังหวัดนครพนม
พ.ศ.2502 เป็นเจ้าคณะจังหวัดนครพนม
ลำดับสมณศักดิ์ พ.ศ.2474 เป็นพระครูสัญญาบัตรที่พระครูสารภาณพนมเขต
พ.ศ.2480 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระสารภาณมุนี
พ.ศ.2496 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ พระราชสารภาณมุนี
พ.ศ.2502 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพสิทธาจารย์
ด้วยสังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยง วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2516 เวลา 08.00 น. มรณภาพลงอย่างสงบ สิริอายุ 92 ปี พรรษา 72
สร้างความเศร้าสลดให้สาธุชนทั่วประเทศ •
เหรียญหลวงพ่อกริ่ง รุ่นแรก
เหรียญรูปเหมือน-รุ่นแรก หลวงพ่อกริ่ง วัดโพธิ์เลี้ยว กาญจนบุรี
“หลวงพ่อกริ่ง ปัญญาพโล” หรือ “พระครูวิธานกาญจนกิจ” วัดโพธิ์ศรีสุขาราม (วัดโพธิ์เลี้ยว) อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี
พระเกจิที่มีชื่อเสียงโด่งดังในพื้นที่เมืองกาญจน์ วิทยาคมไม่เป็นสองรองใครในยุคนั้น
เป็นศิษย์เอกของหลวงพ่อน้อย คันธโชโต วัดศีรษะทอง จ.นครปฐม เจ้าตำรับราหูอมจันทร์และวัวธนูที่โด่งดัง
ด้วยความที่เป็นศิษย์ทำให้วัตถุมงคลจำนวนไม่น้อยเกี่ยวข้องกับพระราหู
อย่างไรก็ตาม เหรียญที่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยม ก็มีเช่นกัน
“เหรียญรุ่นแรก” สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2520 ที่ระลึกแก่ศิษยานุศิษย์ เนื่องในงานทำบุญอายุวัฒนมงคลครบ 60 ปี เนื้อเงิน จำนวน 19 เหรียญ และเนื้อทองแดงเท่านั้น ในบางเหรียญจะมีรอยจาร สำหรับจำนวนการสร้างเนื้อทองแดงไม่มีการจดบันทึกไว้
ลักษณะเป็นเหรียญทรงเสมา แบบมีหูในตัว ด้านหน้า เป็นรูปเหมือนครึ่งองค์ ห่มจีวรลดไหล่พาดผ้าสังฆาฏิ ด้านบนมีอักขระภาษาไทย เขียนคำว่า “หลวงพ่อ (กริ่ง)”
ด้านหลัง มีอักขระยันต์สามหรือยันต์ใบพัด ใต้ยันต์มีอักขระภาษาไทย เขียนคำว่า “ทำบุญอายุครบ ๖๐ ปี วัดโพธิ์เลี้ยว กาญจนบุรี”
จัดเป็นเหรียญหายากและเป็นที่นิยมของวงการพระเครื่องและชาวเมืองกาญจน์เป็นอย่างมาก
หลวงพ่อกริ่ง ปัญญาพโล
มีนามเดิมชื่อ กริ่ง จินดากูล เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 30 มีนาคม 2460 ตรงกับวันขึ้น 8 ค่ำเดือน 5 ปีมะเส็ง พื้นที่บ้านทวน ต.บ้านทวน อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี บิดา-มารดา ชื่อ นายนาค และนางเทียบ จินดากูล
อายุครบบวช เข้าพิธีอุปสมบท เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2483 ที่พัทธสีมาวัดท่าเรือ ต.ท่าเรือ อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี มีพระครูวรวัตตวิบูล เจ้าอาวาสวัดแสนตอ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอธิการวุ้น พุทธสโร เจ้าอาวาสวัดท่าเรือ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระใจ วัดแสนตอ เป็นอนุสาวนาจารย์
อยู่จำพรรษาวัดวังศาลา ต.วังศาลา อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี แต่หลังจากนั้นไม่นาน ก็ย้ายไปสังกัดวัดศีรษะทอง อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม เพื่อศึกษาพระปริยัติธรรมและวิทยาคมจากหลวงพ่อน้อย เจ้าอาวาส และเกจิชื่อดังของเมืองนครปฐม เจ้าตำรับราหูอมจันทร์และวัวธนู
ในสมัยนั้นมีลูกศิษย์ก้นกุฏิอยู่ 2 รูป คือ พระสมและพระกริ่ง
โดยส่งพระสมให้ไปเรียนที่วัดมหาธาตุฯ กรุงเทพฯ สอบได้เปรียญธรรม 9 ประโยค และหวังจะให้รับช่วงเป็นเจ้าอาวาสสืบต่อจากท่าน
ขณะเดียวกันก็รู้ว่าพระกริ่งสนใจด้านวิทยาคม จึงได้เสกหมากเสกพลูให้พระกริ่งเคี้ยวทุกวัน ก่อนสอนวิชาวัวธนูและวิชาราหู
เป็นศิษย์ก้นกุฏิเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ครอบครูราหูให้ และช่วยจารกะลามาโดยตลอด เนื่องจากถ้าจารเองเพียงรูปเดียวไม่ทันเวลาในฤกษ์นั่นเอง
ครั้นเมื่อได้รับการถ่ายทอดวิชาจนเสร็จสิ้น จึงได้กลับมาจำพรรษาที่วัดหัวพงษ์ ในขณะนั้นมีเจ้าอาวาสรูปแรก นามว่า หลวงตาปั้น
ต่อมาออกธุดงค์แสวงหาความวิเวก และไม่ได้กลับมาที่วัดหัวพงษ์อีกเลย
ในปี พ.ศ.2487 ชาวบ้านจึงไปนิมนต์หลวงพ่อกริ่งจากวัดศีรษะทองมาจำพรรษา
ต่อมาขณะนั้นอยู่ในช่วงของสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารญี่ปุ่นตั้งค่ายอยู่ตรงหน้าวัดโพธิ์เลี้ยว
มีเรื่องเล่าขานกันว่า ครั้งหนึ่ง เดินผ่านค่ายทหารญี่ปุ่นในยามวิกาล ทหารญี่ปุ่นเข้าใจผิดคิดว่าเป็นไส้ศึก ชักเอาดาบซามูไรฟันไปที่หลังจนจีวรขาด แต่ดาบซามูไรไม่ละคายผิวแม้แต่น้อย ทำให้ทหารญี่ปุ่นพากันนับถือยำเกรงเป็นอย่างมาก ขนาดขับรถจี๊ปให้นั่งไปกลับวัดศีรษะทองทุกครั้ง
เมื่อสงครามสงบลง ทหารญี่ปุ่นได้ถวายรถยนต์ เครื่องปั่นไฟ ให้ทั้งหมด
วัดโพธิ์เลี้ยวจึงเป็นวัดแรกๆ ของ จ.กาญจนบุรี ที่มีรถยนต์และเครื่องปั่นไฟใช้ก่อนใครสมัยนั้น
พ.ศ.2519 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรในราชทินนามที่ พระครูวิธานกาญจนกิจ
เป็นพระที่รักสันโดษและอดทนมั่นคง โดยในฤดูร้อนเกือบทุกปี ขณะที่พระรูปอื่นลาสิกขาเกือบหมด จะมีท่านอยู่เฝ้าวัดเพียงรูปเดียว สร้างถาวรวัตถุ และส่งเสริมการศึกษาพระภิกษุ-สามเณร
ด้วยความผูกพัน ก็ไม่เคยทิ้งวัดศีรษะทอง จ.นครปฐม สร้างคุณูปการต่างๆ กับวัดศีรษะทองเป็นอันมาก ดั่งผู้ปิดทองหลังพระ
ช่วงท้ายชีวิต ก่อสร้างอาคารเรียนวัดโพธิ์ศรีสุขาราม แต่เกิดอุบัติเหตุพลัดตกที่สูง กระดูกสันหลังอักเสบและขาเสีย
มรณภาพลงอย่างสงบ เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2535 เวลา 16.30 น.
สิริอายุ 75 ปี พรรษา 52
ทั้งนี้ ในงานวันพระราชทานเพลิง พอถึงเวลา เกิดท้องฟ้ามืดครึ้ม เจ้าหน้าที่จุดไฟเท่าไรก็จุดไม่ติด เล่ากันว่าก่อนละสังขาร สั่งเสียศิษย์ใกล้ชิดเอาไว้ว่า น้องชายคนเดียวเท่านั้นที่จุดศพได้ ปรากฏว่า พอน้องชายท่านมาถึง ท้องฟ้าก็สว่างเกิดปรากฏการณ์พระอาทิตย์ทรงกรด น้องชายท่านจุดไฟครั้งเดียวติด
พอไฟเริ่มไหม้ร่างของท่านสักระยะ ต้นสะเดาหน้าเมรุเกิดเสียงลั่นดังสนั่น กิ่งใหญ่ต้นสะเดาก็แยกหักลงมาสร้างความประหลาดใจต่อญาติโยมเป็นอันมาก
หลังเสร็จพิธี ชาวบ้านต่างแย่งนำกิ่งต้นสะเดากลับไปบูชา ด้วยเชื่อว่า เป็นเครื่องรางสุดท้ายที่สร้าง •
ที่่มา มติชนสุดสัปดาห์
บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 13
คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์
Thailand
กระทู้: 2730
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
Re: พระเครื่อง
«
ตอบ #214 เมื่อ:
28 กันยายน 2568 10:28:06 »
เหรียญทรงน้ำเต้าหลวงพ่อแม้น พ.ศ.2518
เหรียญทรงน้ำเต้า พ.ศ.2518 หลวงพ่อแม้น วัดใหญ่โพหัก ราชบุรี
“พระครูธรรมสาทิศ” หรือ “หลวงพ่อแม้น ธัมมสโร” วัดใหญ่โพหัก ต.โพหัก อ.บางแพ จ.ราชบุรี เป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง วัตถุมงคลมากด้วยประสบการณ์
เป็นพระเกจิที่มีวัตถุมงคลเป็นที่นิยมสูงเป็นอันดับต้นของอำเภอบางแพ ชื่อเสียงโด่งดังมาก
เกียรติคุณความแก่กล้าในวิทยาคมยังได้รับการกล่าวขานจนถึงปัจจุบัน พระเครื่องและวัตถุมงคลที่ปลุกเสกไว้ล้วนเป็นที่ปรารถนา หลายรุ่นได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง โดยเฉพาะ “เหรียญรุ่นแรก”
จัดสร้างขึ้นในปี พ.ศ.2494 ลักษณะเป็นเหรียญทรงน้ำเต้า แบบมีหูในตัว สร้างด้วยเนื้อทองแดงเพียงเนื้อเดียวเท่านั้น จำนวนการสร้างไม่ได้บันทึกไว้
อย่างไรก็ตาม เหรียญรูปทรงน้ำเต้ารุ่น พ.ศ.2518 ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน
เหรียญสร้างขึ้นในปี พ.ศ.2518 ในสมัยที่หลวงปู่บัว อินทโชติ เป็นเจ้าอาวาส ลักษณะเป็นแบบเดียวกับเหรียญรุ่นแรก แต่ทางวัดแกะแม่พิมพ์ใหม่ สร้างด้วยเนื้อทองแดงเพียงเนื้อเดียวเท่านั้น จำนวนการสร้างไม่ได้มีการจดบันทึกไว้
ลักษณะเป็นเหรียญทรงน้ำเต้าแบบมีหูในตัว ด้านหน้า ตรงกลางเป็นรูปเหมือนหลวงพ่อแม้นครึ่งองค์ ห่มจีวรลดไหล่ พาดผ้าสังฆาฏิ ด้านบนรูปหลวงพ่อมีอักขระยันต์ มะ อะ อุ มีข้อความภาษาไทย เขียนคำว่า “พระครูธรรมสาทิส (แม้น)”
ด้านหลัง มีอักขระยันต์พระเจ้าห้าพระองค์ ใต้ยันต์มีข้อความภาษาไทย เขียนคำว่า “วัดใหญ่โพหัก พ.ศ.๒๔๙๔” โดยตัวเลข ๒๔๙๔ ปลายหางจะงอ เป็นเอกลักษณ์
เหรียญรุ่นนี้ปลุกเสกเมื่อวันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2518 โดยมีพระเกจิอาจารย์เรืองนามเข้าพิธีปลุกเสก เช่น หลวงพ่อเงิน จันทสุวัณโณ วัดดอนยายหอม, หลวงพ่อสาย สุกกปุณโณ วัดหนองสองห้อง, หลวงปู่โต๊ะ อินทสุวัณโณ วัดประดู่ฉิมพลี, หลวงพ่อเกลี้ยง โสภิโต วัดเฉลิมอาสน์ เป็นต้น
แม้จะเป็นเหรียญตาย แต่มิใช่ว่าจะด้อยพุทธคุณ จัดเป็นเหรียญที่หายากอีกเหรียญเช่นเดียวกัน
หลวงพ่อแม้น ธัมมสโร
อัตโนประวัติ เกิดเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2434 เป็นชาวตำบลโพธิ์หักมาแต่กำเนิด เป็นบุตรของนายทอง และนางโมง ทิมบุตร
ในช่วงวัยเยาว์ ศึกษาเล่าเรียนหนังสือไทยและบาลีกับหลวงพ่อกล่อม วัดใหญ่โพหัก
เมื่อเติบใหญ่จนอายุ 21 ปี ในปี พ.ศ.2455 เข้าพิธีอุปสมบท ที่พัทธสีมาวัดใหญ่โพหัก โดยมีหลวงพ่อแดง วัดทำนบ ต.วัดแก้ว อ.บางแพ จ.ราชบุรี เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอธิการดำ วัดจินดาราม ต.ตลาดจินดา อ.สามพราน จ.นครปฐม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอธิการอ้น วัดใหญ่โพหัก เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายา ธัมมสโร
จำพรรษาอยู่ที่วัดใหญ่โพธิ์หัก เพื่อร่ำเรียนวิชาอาคมจากพระอาจารย์หลายท่าน ทั้งในจังหวัดราชบุรี นครปฐม สมุทรสาคร และสมุทรสงคราม เริ่มตั้งแต่หลวงพ่อกล่อม วัดโพหัก, หลวงพ่อแดง วัดทำนบ, หลวงพ่อแช่ม วัดดอนเซ่ง, หลวงพ่อดำ วัดจินดาราม, หลวงพ่อรุ่ง วัดดอนยายหอม เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังเป็นสหธรรมิกกับหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม และหลวงพ่อสาย วัดหนองสองห้องด้วย
กระทั่งในปี พ.ศ.2460 ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดใหญ่โพหักว่างลง คณะสงฆ์จึงแต่งตั้งให้ขึ้นเป็นเจ้าอาวาสสืบต่อมา ทำนุบำรุงวัดอย่างสุดความสามารถ บำเพ็ญประโยชน์ต่อพระศาสนา บูรณะวัดใหญ่โพหัก เดิมซึ่งชำรุดทรุดโทรมให้ดีขึ้น
สําหรับ “วัดใหญ่โพหัก” เป็นวัดเก่าแก่โบราณวัดหนึ่งของจังหวัดราชบุรี
ความเป็นมาจากปากคำบอกเล่าของชาวบ้านกล่าวกันไว้หลายทาง ทางหนึ่งเป็นเรื่องเล่าที่เกี่ยวพันถึงพญากง พญาพาน ว่าพญาพานได้ยกทัพเพื่อจะไปรบกับพญากงผู้เป็นบิดา ผ่านมาบริเวณบ้านโพหักนี้ เห็นว่ามีทำเลที่เหมาะสม จึงได้หยุดพักไพร่พล เหล่าไพร่พลที่มาในกองทัพได้เอาศาสตราวุธที่นำมาด้วยไปพิงไว้กับต้นโพธิ์ ทำให้ต้นโพธิ์หักลงอันเป็นอาเพศบอกเหตุว่า พญาพานจะกระทำปิตุฆาตฆ่าบิดาของตน ตำบลแห่งนี้จึงได้ชื่อว่า “ตำบลโพหัก”
ทางหนึ่งเล่าว่า ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย พม่าได้ยกกองทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา ได้มาหยุดพักพล ณ ตำบลนี้ ทหารพม่าได้เอาปืนใหญ่ที่นำมาด้วยไปวางพิงไว้กับต้นโพธิ์ ทำให้ต้นโพธิ์หักลงมา จึงได้เรียกกันเป็นที่หมายของการพบปะกันบริเวณแห่งนี้ว่า “ตำบลโพหัก”
อีกทางหนึ่งเล่าว่า เมื่อกรุงศรีอยุธยาแตก ราษฎรจากกรุงศรีอยุธยา พากันอพยพหนีภัยสงคราม โดยมีการใช้เกวียนบรรทุกทรัพย์สมบัติต่างๆ หนีการปล้นสะดมของทหารพม่ามาถึงตำบลหนึ่ง วัวที่ใช้เทียมเกวียนเกิดเมื่อยล้า ไม่สามารถเดินทางต่อไปได้ ชาวบ้านจึงได้หยุดแล้วเอาทรัพย์สมบัติที่ขนมากองและแขวนไว้กับต้นโพธิ์ ทำให้ต้นโพธิ์หักลง จึงเรียกสถานที่ดังกล่าวว่า “บ้านโพหัก” และมีการสร้างวัดขึ้น
ภายในวัดมีมณฑปและพระพุทธรูปเก่าแก่ วัดตั้งเมื่อปี พ.ศ.2277 ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อปี พ.ศ.2493
ในปี พ.ศ.2463 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะตำบลโพหัก ทั้งที่อายุพรรษายังน้อย
พ.ศ.2480 ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระครูชั้นประทวน
พ.ศ.2492 ได้รับพระราชทานยศพระครูสัญญาบัตรที่ พระครูธรรมสาทิศ
ดูแลพระสงฆ์และทำนุบำรุงวัดใหญ่โพธิ์หักเป็นอย่างดี ด้วยความที่เป็นพระที่มีเมตตาและมีวาจาสิทธิ์ จึงเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของชาวบ้าน ทั้งยังส่งเสริมการศึกษาสร้างโรงเรียนประถมศึกษาให้ชาวตำบลโพหัก
ต่อมาได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ ว่ากันว่ามีชาวบ้านล้วนนำกุลบุตรให้ทำพิธีบวชให้เป็นจำนวนมาก
ด้วยความที่มีจิตใจดี ใครนิมนต์ให้ไปบวชให้ที่ไหน ก็จะขี่ม้าไปบวชให้ทุกที่ ไม่เคยปฏิเสธ อีกทั้งวิทยาคมทำให้ชาวบ้านได้รับรู้ ได้เห็นกัน ยิ่งทำให้เคารพยิ่งขึ้นไป
มีเรื่องเล่ากันว่า เมื่อครั้งที่มีการขุดคลองป่าหลวงไปถึงช่วงหนึ่งแล้วต้องหยุด เพราะขุดต่อไปไม่ได้ จึงบอกกับชาวบ้านว่าให้ทำพิธีขอขมา และเมื่อขุดต่อไป จึงได้พบโครงกระดูกคนโบราณมีความสูงถึง 8 ศอก เพราะเชื่อว่ากล่าวถึงสิ่งใดล้วนเป็นจริงดังว่า
ผู้คนจึงต่างเชื่อว่ามีวาจาสิทธิ์และล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า
มรณภาพลง เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2498 สิริอายุ 65 ปี พรรษา 44 •
พระผงพิมพ์เล็บมือ หลวงพ่อคง
พระผงพิมพ์โคนสมอ หลวงพ่อคง
พระผงเล็บมือ-โคนสมอ หลวงพ่อคง ธัมมโชโต วัดบางกะพ้อม อัมพวา
“พระอุปัชฌาย์คง” หรือ “หลวงพ่อคง ธัมมโชโต” อดีตเจ้าอาวาสวัดบางกะพ้อม อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม
เป็นพระเกจิอาจารย์ลุ่มแม่น้ำแม่กลองอีกรูป ที่มีวัตรปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาไม่แพ้หลวงพ่อแก้ว พรหมสโร วัดพวงมาลัย
วัตถุมงคลและเครื่องรางของขลังทุกรุ่นได้รับความนิยม เป็นที่ต้องการอย่างมาก โดยเฉพาะเหรียญรุ่นแรก พ.ศ.2484
ที่นับว่าโดดเด่นและเป็นที่รู้จักกันอย่างดี ไม่แพ้เหรียญรุ่นแรก คือ “
พระผงพิมพ์เล็บมือ
”
สร้างก่อนปี พ.ศ.2484 เนื้อผงผสมดินเผาตามตำรับการลบผงของหลวงพ่อตาด วัดบางวันทอง, หลวงพ่อหรุน วัดช้างเผือก และพระอธิการด้วง-พระอธิการทิม วัดเหมืองใหม่ องค์พระมีลักษณะเป็นรูปเล็บมือ
ด้านหน้า เป็นรูปจำลองพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับนั่ง ปางสมาธิ บนฐานชุกชี 3 ชั้น รอบองค์พระมีเส้นซุ้มทรงระฆังบังคับพิมพ์ล้อไปกับองค์พระ
ด้านหลัง อูมนูน มีอักขระยันต์ขอมอ่านได้ว่า อะ อุ
ยังมีอีกพระผงอีกรุ่น ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน คือ “
พระผงพิมพ์โคนสมอ
”
สร้างก่อนปี พ.ศ.2484 เช่นกัน องค์พระมีลักษณะเป็นรูปจำลองของพระประธานในภายโบสถ ชาวบ้านมักเรียกกันว่าพระโคนสมอ
ด้านหน้า เป็นรูปจำลององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับนั่ง ปารมารวิชัย หรือบางพิมพ์จะเป็นปางสมาธิ บนฐานชุกชีพาดด้วยผ้าทิพย์ รอบองค์พระมีเส้นซุ้มทรงระฆังครอบบังคับพิมพ์ล้อไปกับองค์พระ องค์พระอวบอิ่มลึกและคมชัด
ด้านหลัง เรียบ ในบางองค์มีรอยจาร
หลังจัดสร้างแล้วเสร็จได้รับความนิยมอย่างสูง
หลวงพ่อคง ธัมมโชโต
เกิดในสกุล จันทร์ประเสิรฐ เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2407 ณ ต.บางสำโรง อ.บางคนที จ.สุมทรสงคราม
บิดา-มารดา ชื่อ นายเกตุ และนางทองอยู่ จันทร์ประเสิรฐ
เล่ากันว่าเกิดในเรือนแพ ซึ่งมีความเชื่อกันว่า ถ้าใครถือกำเนิดในห้องเล็กที่ใต้เรือนแพ จะต้องเป็นผู้ชายและครองสมณเพศตลอดชีวิต โดยบิดา-มารดาซื้อเรือนแพนี้มาอีกทอดหนึ่ง
พออายุได้ 12 ปี บรรพชาที่วัดเหมืองใหม่ อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม เพื่อศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรม มีความสนใจในวิชาเมตตามหานิยม
กระทั่งอายุได้ 19 ปี ลาสิกขาเพื่อไปช่วยครอบครัวประกอบอาชีพ
ครั้นเมื่อมีอายุครบ 20 ปี เข้าพิธีอุปสมบท ณ วัดเหมืองใหม่ เมื่อวันศุกร์ ขึ้น 6 ค่ำ เดือนสิงหาคม 2427 มีพระอาจารย์ด้วง เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอธิการจุ้ย เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอธิการทิม วัดเหมืองใหม่ เป็นพระอนุสาวนาจารย์
ได้รับฉายาว่า ธัมมโชโต แปลว่า ผู้รุ่งเรืองในธรรม
จําพรรษาอยู่ที่วัดเหมืองใหม่ คอยอุปัฏฐากรับใช้พระอุปัชฌาย์ ด้วยอุปนิสัยที่รักการศึกษาเล่าเรียน ศึกษาเล่าเรียนทั้งทางคันถธุระ วิปัสสนาธุระ กับพระอุปัชฌาย์เป็นพื้นฐาน ต่อมาได้ไปศึกษากับพระเถระชื่อดังในยุคนั้นอีกหลายรูป
ได้ศึกษาคัมภีร์มูลกัจจายน์ ซึ่งเป็นตำราเรียนบาลีไวยากรณ์ในสมัยโบราณ กับอาจารย์นก ซึ่งเป็นอุบาสกในละแวกนั้นเป็นเวลา 13 ปี จนมีความคล่องแคล่วสามารถแปลธรรมบทตลอดจนคัมภีร์ต่างๆ ได้
นอกจากนี้ ยังสนใจการศึกษาวิทยาคม โดยร่ำเรียนกับพระเกจิชื่อดัง เริ่มแรกศึกษาคัมภีร์นี้กับพระอาจารย์ด้วง ซึ่งท่านเชี่ยวชาญการลบผงวิเศษ เป็นที่นับถือในสมัยนั้น ต่อมาเล่าเรียนกับหลวงพ่อตาด วัดบางวันทอง พระเถระผู้ที่มีวิทยาคมอันแก่กล้า โดยเฉพาะวิชานะปัดตลอด
อีกทั้งยังได้ไปศึกษากับหลวงพ่อหรุ่น วัดช้างเผือก ผู้เชี่ยวชาญในพระกัมมัฏฐาน
ในพรรษา 19 มีอาการอาพาธ จึงหยุดพักผ่อน หันมาสอนสมถะกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐานให้กับลูกศิษย์ลูกหา
เอาใจใส่การดูแลก่อสร้างเสนาสนะ เนื่องจากมีฝีมือในเชิงช่าง ในเบื้องต้นซ่อมแซมหอไตรที่มีสภาพชำรุดทรุดโทรมให้มีสภาพที่ดีขึ้น พร้อมกันนั้นก็ปั้นพระป่าเลไลยก์ด้วยฝีมือตัวเอง
จนกระทั่งพรรษาที่ 21 ในปี พ.ศ.2448 ชาวบ้านใน ต.บางกะพ้อม อาราธนามาเป็นเจ้าอาวาส ซึ่งในขณะนั้นวัดบางกะพ้อมไม่มีสมภารปกครองวัด และวัดก็อยู่ในสภาพที่ชำรุดทรุดโทรม
ฟื้นฟูบูรณปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุภายในวัด ซึ่งชำรุดทรุดโทรม ด้วยท่านมีฝีมือในการพัฒนาเป็นทุนเดิม จึงทำให้การสร้างความเจริญให้แก่วัดสำเร็จลุล่วงในเวลาอันสั้น
พ.ศ.2464 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะตำบลบางกะพ้อม และแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์
แม้จะมีภาระงานปกครองวัด แต่ในเดือน 4 ของทุกปี จะไปปักกลดในป่าช้าข้างวัดเป็นเวลาราว 1 เดือน เรียกกันว่า รุกขมูลข้างวัด ชำระจิตใจให้สะอาด หลังจากยุ่งกับเรื่องราวทางโลกเกือบตลอดทั้งปี
ช่วงบั้นปลายชีวิตอาพาธด้วยโรคชรา เนื่องจากมีงานอยู่หลายอย่างต้องทำ ด้วยเป็นกิจของสงฆ์ ทั้งานการสร้างพระพุทธรูป การสร้างวัตถุมงคล ทำให้ไม่มีเวลาพักผ่อน
เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2486 ขณะนั่งร้านเพื่อตกแต่งพระขนงพระพุทธรูปประธานองค์ใหม่ เมื่อสวมพระเกตุพระประธานแล้วเสร็จ ก็เกิดอาการหน้ามืด คล้ายจะเป็นลม แต่มีสติดี เอามือประสานในอิริยาบถนั่งสมาธิจนหมดลมถึงแก่มรณภาพในอาการอันสงบ
คณะศิษย์เห็นท่านนั่งอยู่นาน จึงประคองร่างลงมาจากนั่งร้าน จึงรู้ว่ามรณภาพไปแล้ว
สิริอายุ 78 ปี พรรษา 58 •
ที่่มา มติชนสุดสัปดาห์
บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 13
คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์
Thailand
กระทู้: 2730
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
Re: พระเครื่อง
«
ตอบ #215 เมื่อ:
09 ตุลาคม 2568 12:42:37 »
พระกริ่งพุทธโชติ หลวงปู่ดี
‘พระกริ่งพุทธโชติ’ พระเทพมงคลรังษี วัดเหนือ กาญจนบุรี
“พระเทพมงคลรังษี” หรือ “หลวงปู่ดี พุทธโชติ” อดีตเจ้าอาวาสวัดเหนือ (วัดเทวสังฆาราม) ต.บ้านเหนือ อ.เมือง จ.กาญจนบุรี พระเกจิที่ได้รับความเลื่อมใสศรัทธา
อีกทั้งยังเป็นพระอุปัชฌาย์สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร (เจริญ สุวัฑฒโน) วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อครั้งทรงกลับมาอุปสมบทที่วัดเหนือและจำพรรษาอยู่ 1 พรรษา
จากนั้น กลับสู่วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงอุปสมบทซ้ำญัตติเป็นธรรมยุต โดยสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์
วัตถุมงคลที่สร้างล้วนเป็นที่นิยมและเสาะแสวงหา มีทั้งพระบูชา ภปร, รูปหล่อ, พระกริ่ง, เหรียญรูปเหมือน และเครื่องรางของขลังต่างๆ
โดยเฉพาะ “พระกริ่งพุทธโชติ” หลวงปู่ดี วัดเทวสังฆาราม
ในช่วงปี พ.ศ.2484 ไทยเกิดกรณีพิพาทกับฝรั่งเศส กลิ่นอายแห่งสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มปะทุ ครั้งนั้น พล.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) ศิษย์ใกล้ชิดและเลื่อมใสศรัทธา ได้ขออนุญาตสร้างวัตถุมงคลเพื่อบำรุงขวัญให้กับทหารที่ไปราชการสงคราม รวมถึงประชาชนทั่วไป เพื่อไว้ปกปักรักษาคุ้มครองให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากภัยสงคราม
วัตถุมงคลที่จัดสร้างครั้งนั้น อาทิ พระพุทธชินราช, พระขุนแผน, พระคงเนื้อดินเผา, พระลืออุดกริ่ง, พระท่ากระดานหล่อโบราณ เป็นต้น
สำหรับ พระกริ่งพุทธโชติ จัดสร้างเป็นเนื้อทองผสมกลับแดง และเนื้อทองแดง (สำริด) แต่เนื้อทองแดงอุดกริ่งแบบเจาะสะโพก
นอกจากนี้ ยังมีเนื้อดินเผาละเอียด มีปีก หลังอูม โดดเด่นด้านแคล้วคลาด คงกระพันชาตรี
ลักษณะเป็นพระกริ่งศิลปะแบบเขมร ฐานบัวฟันปลา 3 คู่ พระหัตถ์ซ้ายอุ้มบาตร พระหัตถ์ขวาถือดอกบัว
ด้านหลัง มีกลีบบัวฟันปลา 2 คู่ ใต้ฐานก้นถ้วยมีเลขหนึ่งไทยและกากบาท อุดกริ่งแบบฝาเชื่อม
เป็นพระกริ่งที่หายากมากอีกรุ่น
หลวงปู่ดี พุทธโชติ
อัตโนประวัติ เกิดที่บ้านทุ่งสมอ อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2416 บิดา-มารดาชื่อ นายเทศ-นางจันทร์ เอกฉันท์
บรรพชาในปี พ.ศ.2434 ณ วัดทุ่งสมอ มีพระอธิการรอด วัดทุ่งสมอ ซึ่งมีศักดิ์เป็นปู่เป็นพระอุปัชฌาย์
อยู่ได้ 6 เดือน ก็ลาสิกขาออกมาช่วยงานครอบครัว จนอายุครบบวช จึงอุปสมบท ณ วัดทุ่งสมอ มีพระครูวิสุทธิรังษี (หลวงปู่ช้าง) เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอธิการรอด และพระใบฏีกาเปลี่ยน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับฉายา “พุทธโชติ”
จำพรรษาที่วัดทุ่งสมอ ใฝ่ใจศึกษาเล่าเรียนทั้งคันถธุระและวิปัสสนาธุระ โดยมีความชอบเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับการสวดปาติโมกข์ จึงมีความมานะพยายาม จนที่สุด สามารถท่องได้จบบริบูรณ์ในพรรษาที่ 2
ช่วงออกพรรษามักธุดงค์ไปตามที่ต่างๆ ศึกษาวิปัสสนาและวิทยาคมเพิ่มเติมกับพระเกจิหลายรูป อาทิ พระอาจารย์เกิด วัดกกตาล นครชัยศรี, หลวงปู่เปลี่ยน วัดใต้ จ.กาญจนบุรี, หลวงพ่อยิ้ม วัดหนองบัว ฯลฯ
ชะตาผกผัน ในพรรษาที่ 12 ที่มาจำพรรษาที่วัดรังษี ครั้งที่ 2 นั้น พบพระครูสิงคิบุราคณาจารย์ (หลวงพ่อสุด) เจ้าอาวาสวัดเหนือ ซึ่งรู้จักกันมาก่อนในครั้งที่รับนิมนต์ให้ไปสวดที่วัดใต้
หลวงพ่อสุดทำหนังสือขอเดินทางเพื่อไปนมัสการพระเจดีย์ชเวดากอง เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า จึงขออนุญาตเดินทางไปด้วย ตลอดทางทั้งไปและกลับ หลวงพ่อสุดเกิดอาพาธ ซึ่งหลวงปู่ดีคอยปรนนิบัติดูแลจนกลับถึงวัดเหนือ
หลวงพ่อสุดยังปรารภว่า “ถ้าไม่ได้หลวงปู่ดีไปด้วยกัน ก็คงมรณภาพเสียที่กลางทางเป็นแน่”
จากนั้น กลับมาอยู่กรุงเทพฯ ดังเดิม แต่ก็มีจดหมายไต่ถามทุกข์สุขกันเสมอมา บางครั้ง หลวงพ่อสุดลงมากรุงเทพฯ จะมาแวะพักพูดคุย จนช่วงหลังๆ อาพาธหนัก เดินทางไปไหนไม่ได้ จึงมีจดหมายถึง ขอให้ไปเยี่ยม
จึงหาโอกาสขึ้นไปเยี่ยมที่วัดเหนือ หลวงพ่อสุดให้ศิษย์นิมนต์หลวงปู่ดีอยู่จำพรรษาที่วัดแห่งนี้ แต่ก็ไม่ได้รับปาก แต่ช่วยดูแลกิจการต่างๆ เช่น สวดปาติโมกข์ หรือเทศน์แทน เป็นต้น
คราหนึ่งให้หลายคนมาขอร้องให้เป็นสมภาร แต่ก็ปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
จนเมื่อหลวงพ่อสุดมรณภาพลง กรรมการ ศิษย์วัดและชาวบ้านทั้งหลาย จึงนิมนต์ขอให้เป็นสมภารอีกครั้ง ซึ่งไม่สามารถปฏิเสธได้ จึงต้องรับเป็นเจ้าอาวาสวัดเหนืออย่างเต็มตัว
เป็นพระเถราจารย์ผู้เปี่ยมล้นด้วยเมตตาจิต ปรับปรุงและพัฒนาทุกอย่างในวัด ทั้งขนบธรรมเนียม ระเบียบพิธีการ และถาวรวัตถุต่างๆ ภายในวัด พระทุกรูปมีวัตรปฏิบัติเรียบร้อย เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน นับได้ว่า วัดเหนือได้รับการพัฒนาในด้านต่างๆ จนเจริญรุ่งเรือง เป็นที่ชื่นชมศรัทธาของเหล่าสาธุชน แม้สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระวชิรญาณวโรรส ยังทรงยกย่องให้เป็นตัวอย่างของวัดทั้งหลาย
ในปี พ.ศ.2506 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จฯ ถวายผ้าพระกฐินต้นที่วัดเหนือ
ทรงมีพระบรมราชานุญาตให้อัญเชิญพระปรมาภิไธย ภปร จารึกไว้เหนือผ้าทิพย์ของ “พระพุทธรูปปางประทานพร” ที่วัดจัดสร้างเพื่อนำปัจจัยมาบำรุงวัด ทั้งพระราชทานแผ่นทอง เงิน และนาก ลงในเบ้าหลอมพระพุทธรูปทุกเบ้า อันเป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่ง
ได้รับการเลื่อนสมณศักดิ์เรื่อยมา สุดท้ายเป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ในราชทินนามที่ พระเทพมงคลรังษี และเป็นเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี
มรณภาพลงด้วยโรคชรา เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2510 สิริอายุ 94 ปี พรรษา 73 •
เหรียญหล่อหน้าเสือ หลวงพ่อน้อย
เหรียญหล่อหน้าเสือ มงคล ‘หลวงพ่อน้อย’ วัดธรรมศาลานครปฐม
“พระครูภาวนากิตติคุณ” หรือ “หลวงพ่อน้อย อินทสาโร” อดีตเจ้าอาวาสอดีตเจ้าอาวาสวัดธรรมศาลา อ.เมือง จ.นครปฐม หนึ่งในพระเกจิอาจารย์ดังแห่งยุค
เป็นตำนานแห่งนครปฐมอีกรูป ได้ชื่อเป็นเจ้าตำรับ “เหรียญหน้าเสือ-เหรียญหล่อคอน้ำเต้า” อันลือลั่น
อีกทั้งเป็นสหธรรมิกร่วมยุคสมัยกับหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี, หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม, หลวงปู่เส่ง วัดกัลยาณ์ ฯลฯ
วัตถุมงคลได้รับความนิยมอย่างมาก อาทิ เหรียญทรงเสมารุ่นแรก, เหรียญหล่อหน้าเสือรุ่นแรก สร้างราวปี 2497-2498, เหรียญหล่อคอน้ำเต้า สร้างปี 2497-2498
นอกจากนี้ ยังมีรูปหล่อ, พระพิมพ์สมเด็จ, พระยอดธง, พระปิดตา และเครื่องรางของขลังอื่นๆ อีกจำนวนมาก
ตามปกติ ไม่ค่อยชอบและไม่อนุญาตการจัดสร้างวัตถุมงคล บรรดาศิษย์ได้กราบขออนุญาตหลายครั้ง ก็ไม่ได้รับอนุญาต จนกระทั่งได้รับการสนับสนุนจากหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ซึ่งเป็นสหธรรมิก
สุดท้ายบรรดาศิษย์ก็ได้ขออนุญาตจัดสร้างอีก แต่ครั้งนี้ ไม่ได้กล่าวตอบรับหรือปฏิเสธ บรรดาศิษย์จึงถือว่าอนุญาตแล้ว
สำหรับ “เหรียญหล่อหน้าเสือ รุ่นแรก” จัดสร้างราวปี พ.ศ.2498 ลักษณะเป็นรูปใบเสมา
ด้านหน้าเป็นรูปเหมือนหน้าตรง จีวรห่มคลุม เหนือศีรษะเป็นแถบลายไทยมีจุดกลมอยู่กึ่งกลาง ล้อมรอบด้วยลายไทย มีเส้นคู่วิ่งรอบอยู่ด้านใน
ด้านหลังตรงกลางเป็นยันต์นะทรงแผ่นดิน
ในการหล่อครั้งแรก สั่งให้ลูกศิษย์ทุบหุ่นออก เพื่อดูรูปพิมพ์ ครั้นเมื่อดูเหรียญ ถึงกับอุทานว่า “หน้าดุอย่างกับเสือ ใครเขาจะเอาไปใช้”
จนกลายเป็นว่า เหรียญหล่อรุ่นแรกพิมพ์นี้ ถูกเรียกขาน เหรียญหล่อหน้าเสือ เรื่อยมาจนทุกวันนี้ ปัจจุบันหายาก
หลวงพ่อน้อย อินทสาโร”
อัตโนประวัติ เกิดที่บ้านหนองอ้อ ต.ธรรมศาลา อ.เมือง จ.นครปฐม เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2426
ในวัยเยาว์ บิดานำไปฝากไว้กับพระครูปริมานุรักษ์ (นวม) เจ้าอาวาสวัดธรรมศาลา เพื่อการศึกษาเล่าเรียนและรับการอบรม จนมีความรู้ความสามารถการอ่านและเขียนภาษาไทยกับภาษาขอม
อายุ 20 ปี เข้าพิธีอุปสมบท ที่วัดธรรมศาลา เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2446 มีพระอธิการทอง วัดละมุด อ.นครชัยศรี เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูปริมานุรักษ์ (นวม) วัดธรรมศาลา เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระสมุห์แสง วัดใหม่ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ มีนามฉายาว่า “อินทสโร”
มีความสนใจศึกษาทางด้านวิปัสสนาธุระและวิทยาคม ศึกษาพระปริยัติธรรมเป็นเบื้องต้นจากอาจารย์หลายรูป ได้แก่ พระอธิการทอง วัดละมุด พระครูปริมานนุรักษ์ (นวม) พระครูทักษิณานุกิจ (แจ้ง) พระสมุห์แสง วัดใหม่ รวมทั้งอาจารย์อู๊ด ฆราวาสผู้มีวิทยาคม
มีความรู้ภาษาขอมมาแต่เดิมและมีสมาธิมั่นคงแน่วแน่ จึงทำให้การศึกษาทางวิทยาคมเป็นไปอย่างรวดเร็ว ร่ำเรียนวิชาชนิดไหนก็สำเร็จไม่มีติดขัด
มีคุณวิเศษหลายประการ โดยเฉพาะเกี่ยวกับวิชาการฝังลูกนิมิต การเสกทรายและการลงไม้หลักมงคล ซึ่งใช้สำหรับการประกอบพิธิวางศิลาฤกษ์นั้น มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่โจษจันกันมาก
จนปรากฏว่าสังฆเสนาสนะทั้งหลาย ที่ได้สร้างไว้ล้วนเป็นที่น่าอัศจรรย์ ดังมีเรื่องเล่าขานว่า โจรใจบาปหยาบช้าที่เข้ามาโจรกรรมสิ่งของมีค่า ภายในปูชนียสถานเหล่านั้น ไม่อาจเล็ดลอดออกไปได้ ถึงออกไปแล้วก็ต้องกลับมาให้จับกุมจนได้
งานพุทธาภิเษกต่างๆ มักได้รับนิมนต์ให้ร่วมปลุกเสกด้วยแทบทุกครั้ง โดยช่วงเบื้องปลายชีวิต ได้รับนิมนต์ไปร่วมในพิธีพุทธาภิเษก ณ ที่อื่นๆ อยู่เนืองๆ เช่นเมื่อปี 2500 ได้เข้าร่วมชุมนุมพระอาจารย์ 1,782 รูป ในพิธีพุทธาภิเษกสร้างพระสมเด็จและรูปสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) เป็นอนุสรณ์กึ่งพุทธกาล
มีบันทึกประวัติในหนังสือชุมนุมพระอาจารย์ ความสำคัญมีว่า
“พระอาจารย์น้อย อินทสโร อายุ 77 ปี พรรษา 57 เจ้าอาวาสวัดธรรมศาลา ตำบลธรรมศาลา ลงทางมหาอุตม์กันกระทำ มหานิยม คลอดบุตรง่าย-ปลอดภัยกันภยันตรายต่างๆ เลี้ยงบุตรง่าย ก็เด็กขี้อ่อน กันแท้งลูก ใส่ก้งถุง-มีเงินใช้ไม่ขาด มีอำนาจ”
นอกจากนี้ พิธีเททองหล่อพระพุทธรูปพระกริ่งที่สำคัญอีกครั้งหนึ่ง ที่วัดประสาทบุญญาวาท เมื่อประมาณปี 2508 ร่วมลงแผ่นโลหะปลุกเสกไปเข้าพิธีด้วย ปรากฏว่าแผ่นโลหะนี้ เมื่อใส่ไปในเบ้าหลอมกลับไม่ละลาย ซึ่งเป็น 1 ใน 5 ของพระอาจารย์ที่เกิดปรากฏการณ์แบบเดียวกัน จนเป็นที่โจษจันในอิทธิปาฏิหาริย์
สร้างวัตถุมงคลไว้หลายชนิด ทั้งที่สร้างเป็นรุ่นๆ ในจำนวนมาก และที่ปลุกเสกเป็นการเจาะจงให้ลูกศิษย์เป็นเฉพาะรายในจำนวนน้อย เมื่อรวมกันแล้วถึง 50 กว่าชนิด เพื่อแจกเป็นที่ระลึก รวมทั้งแจกในโอกาสต่างๆ เช่น งานทอดกฐิน และผ้าป่า งานสร้างศาลาการเปรียญ-สร้างพระอุโบสถ-สร้างโรงเรียน-สร้างหอระฆัง หรือกิจกรรมอื่นๆ ภายในวัด
อุปนิสัยเป็นพระที่สงบเสงี่ยมสำรวมอยู่เป็นนิจ มักน้อยสันโดษ มีเมตตาต่อบุคคลและสัตว์
สร้างอาคารโรงเรียนประชาบาล เมื่อปี พ.ศ.2495
สร้างอุโบสถ เมื่อปี พ.ศ.2501
สร้างสะพานคอนกรีตและถนน ในปี พ.ศ.2502
สร้างอาคารโรงเรียนหลังที่ 2 ในปี พ.ศ.2505
สร้างฌาปนสถาน ในปี พ.ศ.2510
สร้างกุฏิสงฆ์ ในปี พ.ศ.2511
สร้างหอระฆัง ในปี พ.ศ.2512 เป็นต้น
ด้วยสังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยง ในที่สุดก็มรณภาพด้วยโรคชรา เมื่อวันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน 2513
สิริอายุ 87 ปี พรรษา 67 •
ที่่มา มติชนสุดสัปดาห์
บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 13
คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์
Thailand
กระทู้: 2730
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
Re: พระเครื่อง
«
ตอบ #216 เมื่อ:
16 ตุลาคม 2568 19:24:21 »
เหรียญหลวงพ่อเพชร รุ่นแรก
เหรียญหลวงพ่อเพชรรุ่นแรก วัดไทรโยค สมุทรสงคราม
“หลวงพ่อเพชร ปัญญาวชิโร” หรือ “พระอธิการเพชร” วัดไทรโยค ต.บางกุ้ง อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม เจ้าของอมตวาจา “อยากได้ไปหยิบเอา” พระเกจิอาจารย์ยุคเก่าลุ่มน้ำแม่กลอง
สร้างพระเครื่องวัตถุมงคลไว้หลายชนิด แต่ที่มีชื่อเสียง คือ “เหรียญรุ่นแรก”
จัดสร้างขึ้นในปี พ.ศ.2482 ลักษณะเป็นเหรียญปั๊มข้างเลื่อย รูปใบสาเกแบบมีหูในตัว ไม่ได้จดบันทึกจำนวนไว้
ด้านหน้า เป็นรูปเหมือน นั่งเต็มรูป ด้านบนรูปเหมือนเป็นอักขระขอม อ่านได้ว่า “นิมิตตัง สาธุรูปานัง กตัญญูกตเวทิตา” ด้านล่างรูปเหมือนเป็นอักษรไทยว่า “หลวงพ่อวัดไทรโยค ปุญฺญชรเพ็ชร พ.ศ.๒๔๘๒”
ด้านหลัง แกะเป็นลวดลายมณฑปครอบ บรรจุอักขระขอมว่า “อะระหัง ติตัง วิปัสสนา นิพพานัง อาระ ราโหติ”
ในการปลุกเสกเหรียญรุ่นนี้ นิมนต์พระเกจิอาจารย์ดังหลายรูป อาทิ หลวงพ่อเปลี่ยน วัดใต้ อ.เมือง จ.กาญจนบุรี เป็นประธานในพิธี, หลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม, หลวงพ่ออ่วม วัดไทร, หลวงปู่ใจ วัดเสด็จ, หลวงพ่อเหมือน วัดกลางเหนือ, หลวงพ่อเลี้ยง วัดเกาะใหญ่, หลวงพ่อทองสุข วัดราษฎร์บูรณะ, หลวงพ่ออาน วัดกลางบางแขยง และหลวงพ่อเหรียญ วัดลาดหญ้า เข้าร่วมปลุกเสก
สร้างขึ้นหลังหลวงพ่อเพชรมรณภาพไปแล้วกว่า 10 ปี เมื่อคราวหล่อรูปเหมือนขนาดเท่าจริงไว้เป็นที่สักการะ สร้างด้วยเนื้อทองแดงเพียงชนิดเดียว สำหรับเป็นที่ระลึกแก่ผู้ร่วมทำบุญในงานดังกล่าว
ปัจจุบันเป็นที่เสาะแสวงหาอย่างยิ่ง
หลวงพ่อเพชร ปัญญาวชิโร
อัตโนประวัติ เกิดเมื่อวันอาทิตย์ เดือน 12 ปีชวด ตรงกับ พ.ศ.2395 ที่บ้านวัดกลาง ต.บางแขยง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เมื่ออายุ 13 ปี บรรพชาที่วัดกลางใต้ ต.ไทรโยค (ต.บางกุ้งในปัจจุบัน) อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม
ศึกษาเล่าเรียนวิชากับพระอธิการดอน เจ้าอาวาส เป็นระยะเวลา 1 พรรษา จากนั้นจึงไปเรียนพระปิยัติธรรมกับพระมหาขำ ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้าที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ กรุงเทพฯ
ครั้นมีอายุครบ 20 ปี กลับมาอุปสมบทที่พัทธสีมาวัดกลางใต้ เมื่อวันอังคารขึ้น 14 ค่ำ เดือน 6 ปีวอก พ.ศ.2415 มีพระอธิการกลัด วัดบางพรหม เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอธิการเที่ยง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอธิการนุ่ม เป็นพระอนุสาวนาจารย์
อยู่จำพรรษาที่วัดกลางใต้ เป็นเวลา 2 พรรษา จากนั้นได้ติดตามพระอธิการเที่ยง ที่ย้ายมาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสามจีน (วัดตรีจินดาวัฒนาราม) แต่อยู่ได้ไม่นานนัก ก็กราบลาเดินทางเข้ามาศึกษาในกรุงเทพฯ ยังสำนักเดิม คือ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์
จนเมื่อพระอธิการเที่ยงมรณภาพ จึงเดินทางกลับมาร่วมงานฌาปนกิจ ด้วยวัตรปฏิบัติอันงดงาม ชาวบ้านและคณะสงฆ์จึงนิมนต์ให้รับตำแหน่งเจ้าอาวาสสืบต่อ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2435
วัดไทรโยค เดิมชื่อว่า “วัดสามจีน” เป็นวัดเก่าแก่ตั้งอยู่ในพื้นที่ ต.บางกุ้ง อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม ด้านข้างติดปากคลองไทรโยค อีกด้านของวัดติดริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำแม่กลอง และด้วยเหตุที่ตั้งวัดอยู่ตรงบริเวณปากคลองไทรโยค ชาวบ้านจึงเรียกชื่อวัดว่า “วัดไทรโยค”
เหตุที่ชื่อว่าวัดสามจีนด้วยมีเรื่องเล่าต่อกันมาว่า เป็นวัดที่ชาวจีน 3 คนพี่น้องได้สร้างถวายในบวรพุทธศาสนา มีประวัติความเป็นมาว่าไว้ว่า มีชาวจีน 4 คนพี่น้อง เกิดที่เมืองเจียงจิวฮู้ มณฑลฮกเกี้ยน ประเทศจีน
เมื่อบิดามารดาเสียชีวิต จึงได้ลงเรือสำเภาเดินทางเข้ามาเมืองไทยเพื่อหางานทำ เมื่อแรกมาถึงนั้นได้อาศัยวัดเป็นที่พักพิง ก่อนขยับขยายมาปลูกบ้านเรือนใน ต.บางพรม อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม ประกอบอาชีพเพาะถั่วงอกขายจนร่ำรวยมีเงินทอง
ใน 4 คนพี่น้องนี้ คนที่ 2 มีชื่อไทยว่า ด้วง อุปสมบทที่วัดบางสะแก แล้วย้ายมาจำพรรษาที่วัดกลางใต้ ส่วนอีก 3 คนยังคงประกอบอาชีพต่อไป และทำนุบำรุงวัดวาอารามต่างๆ ด้วยความศรัทธาและรำลึกเสมอว่าเมื่อแรกมาเมื่อไทยนั้นได้อาศัยวัดเป็นที่พักพิง
ว่ากันว่าเพราะความที่ทำนุบำรุงบวรพระพุทธศาสนาจนเป็นที่พอพระหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็น “ขุน”
ต่อมาชาวจีนทั้ง 3 คนร่วมกันสร้างวัดขึ้น เมื่อปี พ.ศ.2378 แล้วเสร็จในปี พ.ศ.2381 จากนั้นจึงได้นิมนต์พระอธิการด้วงพี่ชายคนรองมาเป็นเจ้าอาวาสวัดรูปแรก ชาวบ้านจึงเรียกวัดแห่งนี้ว่า “วัดสามจีน”
เรื่อยมาในสมัยที่พระครูสุตสาร หรือหลวงพ่อเล็ก ปุสสเทโว เป็นเจ้าอาวาส จึงเปลี่ยนชื่อวัดอีกครั้งว่า “วัดตรีจินดาวัฒนาราม” จวบจนถึงปัจจุบัน
เมื่อได้เป็นเจ้าอาวาส ก็พัฒนาวัดให้เจริญรุ่งเรือง และได้ชื่อว่าเป็นผู้สอนวิปัสสนากัมมัฏฐาน และพระปริยัติธรรม เป็นพระเถระที่มีชื่อเสียง มักได้รับนิมนต์ให้ไปเทศน์และแสดงธรรมอยู่บ่อยๆ มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย
ลูกศิษย์ที่ศึกษาร่ำเรียนวิชาด้วยในกาลต่อมาได้เป็นเจ้าอาวาสวัดดังหลายรูป เช่น พระครูสมุทรสุธี (สุพจน์ ธัมมสโร) วัดกลางเหนือ, พระครูบุญสิริวัฒน์ (ไป๋) วัดปรกรังสฤษดิ์, พระอธิการพับ วัดบางกล้วย, พระครูพิชิตสมุทรการ (ศักดิ์ ฐิตธัมโม) วัดไทร เป็นต้น
มีเรื่องเล่าในส่วนของวัตถุมงคลที่จัดสร้างขึ้นมานั้น ตะกรุด ถือเป็นเครื่องรางของขลังที่สร้างขึ้นเป็นลำดับแรก เพราะวัตถุในการสร้าง ตลอดจนขั้นตอนไม่ยุ่งยากมากมาย เหมือนการสร้างพระเครื่อง
สำหรับตะกรุดเมื่อทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จะใส่ไว้ในบาตรน้ำมนต์ขนาดใหญ่ โดยกล่าวไว้ว่า “ของกูทำไว้ดี ใครอยากได้ไปหยิบเอา” ซึ่งผู้ที่มาขอตะกรุดจมีจำนวนมาก โดยแต่ละคนต้องควานมือลงไปหยิบในบาตรน้ำมนต์เอาเอง แต่บางคนไม่สามารถหยิบขึ้นมาได้ ทั้งที่ในบาตรนั้นใส่ตะกรุดไว้หลายดอก นับเป็นเรื่องที่อัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง
ปกครองวัดเรื่อยมา จนถึงแก่มรณภาพลงด้วยโรคชรา เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2473 สิริอายุ 78 ปี พรรษา 58 •
รูปหล่อหลวงพ่อเที่ยง
รูปเหมือนหลวงพ่อเที่ยง
พระรูปหล่อ-รูปเหมือน หลวงพ่อเที่ยง วัดม่วงชุม เจ้าตำรับตะกรุดหนังเสือ
“พระครูจันทสโรภาส” หรือ “หลวงพ่อเที่ยง จันทสโร” อดีตเจ้าคณะตำบลม่วงชุม และอดีตเจ้าอาวาสวัดม่วงชุม อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี เจ้าตำรับตะกรุดหนังเสืออันลือลั่น
เป็นศิษย์และมีศักดิ์เป็นหลานพระวิสุทธิรังษี (หลวงปู่เปลี่ยน) วัดใต้หรือวัดไชยชุมพลชนะสงคราม พระเกจิชื่อดัง
รวมทั้งเป็นสหธรรมิกกับหลวงพ่อนารถ วัดศรีโลหะราษฎร์บำรุง อีกทั้งมีความสนิทสนมอย่างมากกับหลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม จังหวัดนครปฐม
ว่ากันว่าเรียนวิชาทำตะกรุดหนังเสือมาจากสำนักเดียวกัน
นอกจากนี้ ยังมีสหธรรมิกอีกหลายท่านที่พบปะในงานพุทธาภิเษก อาทิ หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี, หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่, หลวงพ่อแดง วัดทุ่งคอก, หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว เป็นต้น
สําหรับรูปหล่อ รุ่นแรก สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2519 ลักษณะเป็นรูปหล่อโบราณ สร้างด้วยเนื้อโลหะทองเหลืองรมดำ โดยสร้างขึ้นเพื่อแจกเป็นที่ระลึกให้กับลูกศิษย์ จำนวนการสร้างไม่ได้มีการจดบันทึกไว้
ด้านหน้า เป็นรูปจำลอง นั่งลักษณะมารวิชัยบนฐานเขียง ห่มจีวรลดไหล่ พาดผ้าสังฆาฏิ มีอักขระภาษาไทยเขียนว่า “พ่อเที่ยง”
ด้านหลัง มีอักขระภาษาไทยเขียนว่า “วัดม่วงชุม”
ด้านฐาน เรียบ ไม่มีอักขระใดๆ ในบางองค์อาจเห็นรอยอุดกริ่ง
นอกจากนี้ รูปเหมือน เนื้อชานหมาก ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน
สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2519 เช่นกัน ลักษณะเป็นรูปเหมือนทรงจอบ สร้างด้วยเนื้อชานหมาก มอบให้กับลูกศิษย์ จำนวนการสร้างไม่ได้มีการจดบันทึกไว้
ด้านหน้า เป็นรูปจำลอง นั่งในลักษณะมารวิชัยบนฐานเขียง ห่มจีวรลดไหล่ พาดผ้าสังฆาฏิ
ด้านหลัง เป็นรูปยันต์พระเจ้าห้าพระองค์ มีอักขระภาษาไทยว่า “หลวงพ่อเที่ยง วัดม่วงชุม”
จัดเป็นวัตถุมงคลหายากในปัจจุบัน
หลวงพ่อเที่ยง จันทสโร
อัตโนประวัติ มีนามเดิมว่า เที่ยง ท่านกเอี้ยง เกิดเมื่อวันพฤหัสบดี ปีชวด ที่บ้านม่วงชุม ต.ม่วงชุม อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี เมื่อปี พ.ศ.2431 เป็นบุตรของนายเขียวและนางทองแคล้ว ท่านกเอี้ยง มีพี่น้องรวม 8 คน
ในวัยเด็ก มีอุปนิสัยชอบทางด้านชกมวย และรักความยุติธรรม เป็นคนพูดแบบตรงไปตรงมา ไม่เกรงกลัวใคร จึงเป็นที่รักของเด็กวัยเดียวกัน ยกให้เป็นพี่ใหญ่
พ.ศ.2452 อายุ 21 ปีบริบูรณ์ ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารรับใช้ชาติอยู่ 2 ปี หลังปลดประจำการ กลับมาอยู่บ้านประกอบอาชีพทำนา
อายุ 24 ปี เข้าพิธีอุปสมบท ที่พัทธสีมาวัดบ้านถ้ำ อยู่ศึกษาพระปริยัติธรรมกับอุปัชฌาย์ระยะหนึ่ง แล้วย้ายมาอยู่จำพรรษาที่วัดม่วงชุม วัดอยู่ใกล้บ้าน
เนื่องจากในวัยเด็กมีโอกาสเล่าเรียนไม่มาก เพราะขาดแคลนครูและห้องเรียน ยิ่งเรียนก็มีความสุขกับการเรียน ทำให้มีความแตกฉานไปในตัว
หลังศึกษาพระปริยัติธรรม และพิธีกรรมต่างๆ จึงเริ่มหันมาศึกษาวิปัสสนากัมมัฏฐานและวิทยาคมกับหลวงปู่เปลี่ยน ในฐานะที่มีศักดิ์เป็นหลาน จึงได้รับความเมตตาเป็นพิเศษในการถ่ายทอดสรรพวิชาด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านวิทยาคม จนมีความเชี่ยวชาญ
ชาวบ้านทั่วไปมักกล่าวขวัญว่า “ใครแขวนวัตถุมงคลหลวงพ่อเที่ยง แมลงวันไม่ได้กินเลือด” หมายความว่า คนนั้นหนังเหนียว แทงไม่เข้า ยิงไม่ออก
แม้แต่หลวงปู่แย้ม พระเกจิอาจารย์ดังวัดสามง่าม อ.ดอนตูม จ.นครปฐม ยังกล่าวยกย่องว่าเก่งกล้า โดยเป็นสหธรรมิกกับหลวงพ่อเต๋ คงทอง ซึ่งเป็นพระอาจารย์หลวงปู่แย้ม โดยทั้งสองท่าน ต่างมีชื่อเสียงอย่างมากในการสร้างตะกรุดหนังหน้าผากเสือ
เป็นพระของชาวบ้านชนบทโดยแท้ พูดตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม ภาษาที่ใช้สื่อสารก็เหมือนหลวงพ่อคูณ เป็นภาษาไทยแท้ๆ ฟังไม่เพราะหู แต่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตา ญาติโยมที่ไปขอความช่วยเหลือจากท่านจะได้รับความเมตตาช่วยเหลือในทุกๆ เรื่องด้วยดี
จากการบอกเล่าของชาวบ้านกล่าวว่าชอบกีฬาชกมวยอย่างมาก การละเล่นนิยมลิเกและหนังตะลุง เป็นพระโบราณลูกทุ่งชนบท ชอบฉันหมากไม่เคยขาดปากเลย จึงเป็นที่มาของการสร้างพระเครื่องเนื้อชานหมากอันโด่งดัง
ลงมือสร้างอุโบสถเมื่อปี พ.ศ.2484 ค่อยๆ สร้างตามกำลังที่มี โดยไม่ได้เรี่ยไร เพราะไม่อยากเป็นภาระให้ชาวบ้าน
ช่วงนั้นประเทศไทยยังตกอยู่ในระหว่างปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 จังหวัดกาญจนบุรีได้รับผลกระทบจากภัยสงคราม ด้วยทหารญี่ปุ่นมาตั้งฐานทัพหลายแห่ง ทำให้ทหารพันธมิตรนำเครื่องบินมาทิ้งระเบิดเพื่อทำลายฐานทัพของญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง
เป็นเหตุให้สภาพเศรษฐกิจตกอยู่ในภาวะข้าวยากหมากแพง แต่ชาวบ้านก็ช่วยบริจาคทุนทรัพย์สร้างอุโบสถจนสำเร็จ และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2494
มรณภาพด้วยอาการสงบ เวลา 09.00 น. เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2523 ที่วัดม่วงชุม สิริอายุ 92 ปี พรรษา 69
วัดเก็บสรีระไว้นาน 10 ปี ปรากฏว่าสังขารของท่านไม่เน่าไม่เปื่อย จึงพร้อมใจกันสร้างมณฑป พร้อมทั้งโลงแก้วบรรจุร่างไว้ให้กราบไหว้ในเวลาต่อมา •
บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 13
คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์
Thailand
กระทู้: 2730
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
Re: พระเครื่อง
«
ตอบ #217 เมื่อ:
02 พฤศจิกายน 2568 15:04:09 »
เหรียญคานหักหลวงพ่อสม (หน้า-หลัง)
เหรียญคานหัก หลวงพ่อสม วัดมะค่า สุพรรณบุรี
“พระครูศรีคณานุรักษ์” หรือ “หลวงพ่อสม คังคสุวัณโณ” อดีตเจ้าคณะอำเภอศรีประจันต์ และอดีตเจ้าอาวาสวัดดอนบุบผาราม ต.บ้านกร่าง อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี
พระเกจิอาจารย์ที่ชาวสุพรรณบุรีให้ความเคารพนับถือ
หลวงพ่อสม เป็นศิษย์พระครูธรรมสารรักษา หรือหลวงปู่อ้น อดีตเจ้าอาวาสวัดดอนบุบผาราม นอกจากนี้ ยังเป็นศิษย์เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เข้ม) วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กรุงเทพฯด้วย
เหรียญเสมา สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2528 เนื่องในโอกาสอายุวัฒนมงคลครบ 88 ปี สร้างจากเนื้อกะไหล่รมดำ และรุ่นนี้ยังเป็นเหรียญที่ประกอบพิธีพุทธาภิเษกอธิษฐานจิตเสกเดี่ยวถึง 4 ครั้ง ที่อุโบสถวัดดอนบุบผาราม ตั้งแต่ปี 2528 จนกระทั่งถึงปี 2532
ด้านหน้า เป็นรูปเหมือนหน้าตรง ด้านล่างเขียนว่า “หลวงพ่อสมยาอุไร” เขียนติดกัน ซึ่งคำว่า “ยาอุไร” เป็นนามสกุลเดิม
ด้านหลังเป็นยันต์ “มะอะอุ” ยันต์ประจำตัว ใต้ยันต์เขียนว่า “พ.ศ.๒๕๒๘” รอบเหรียญด้านล่างเขียนว่า “วัดดอนบุบผาราม รุ่นอายุครบ ๘๘ ปี”
ส่วนที่ชาวบ้านเรียกว่ารุ่นคานหัก เนื่องจากรุ่นนี้ไม่เคยนำออกมาแจกเป็นที่ระลึกมาก่อน หลังสร้างขึ้น จนกระทั่งมรณภาพลง
วัดดอนบุปผาราม เตรียมนำเหรียญรุ่นนี้ออกมาเพื่อแจก แต่ปรากฏว่าจะแบกจะดึงกล่องบรรจุเหรียญรุ่นนี้อย่างไร ก็ไม่ขยับออกมาแม้แต่น้อย จนกระทั่งชาวบ้านร่วมใจกันไปหาไม้คาน กระทู้ไม้ไผ่มาหาบหาม ก็หักทุกครั้ง
สุดท้าย ต้องจุดธูปอธิษฐานขออนุญาต จึงสามารถเคลื่อนย้ายเหรียญรุ่นนี้ออกมาแจกชาวบ้านได้
ชาวบ้านจึงเรียกกันติดปากว่า “เหรียญรุ่นคานหัก”
สำหรับพุทธคุณวัตถุมงคลทุกรุ่น โดดเด่นในด้านเมตตามหานิยม แคล้วคลาด ปลอดภัย แต่ผู้ที่ใช้ต้องเป็นคนดี ทำดี คิดดี ไม่คิดคดโกงใคร
กล่าวกันว่า มีอดีต ส.ส.พรรคชาติไทยคนหนึ่ง ประสบอุบัติเหตุ แต่รอดชีวิตมาได้อย่างปาฏิหาริย์ ชาวบ้านร่ำลือกันว่ามาจากพุทธคุณแห่งเหรียญดังกล่าว
ทำให้ชาวบ้านที่ทราบข่าว ต่างเสาะหาบูชาเหรียญรุ่นคานหักเป็นจำนวนมาก
หลวงพ่อสม คังคสุวัณโณ
ชาติภูมิ เกิดในสกุล ยาอุไร เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2441 ที่บ้านเลขที่ 130 หมู่บ้านทองลุ่ม หมู่ที่ 2 ต.บ้านกร่าง อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี
อายุครบ 20 ปี เข้าพิธีอุปสมบท เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2461 ที่พัทธสีมาวัดตะค่า (วัดดอนบุบผารามปัจจุบัน) ต.บ้านกร่าง มีพระครูธรรมสารรักษา (หลวงปู่อ้น) วัดดอนบุบผาราม เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอธิการผ่อง วัดยาง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอธิการโฉม วัดพังม่วง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายา คังคสุวัณโณ
ในช่วงแรก จำพรรษาอยู่กับหลวงปู่อ้น ที่วัดดอนบุบผาราม ศึกษาวิทยาคมที่เมตตาถ่ายทอดสรรพวิชาให้มากมาย
กล่าวกันว่าในยุคนั้น วัดดอนบุบผาราม หรือวัดมะค่า เปรียบเสมือนตักศิลาแห่งการเรียนรู้อีกแห่งหนึ่งของเมืองสุพรรณ อีกทั้งหลวงปู่อ้น เป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังของเมืองสุพรรณในสมัยนั้น มีชื่อด้านวิทยาคมและแพทย์แผนโบราณ มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย
พ.ศ.2462 เดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อฝากตัวเป็นศิษย์เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เข้ม) วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กรุงเทพฯ จำพรรษาที่วัดแห่งนี้ ที่คณะ 9 ได้ศึกษาพระปริยัติธรรมทั้งแผนกธรรมและแผนกบาลี สอบได้นักธรรมชั้นตรี
เดินทางกลับวัดดอนบุบผาราม เมื่อปี พ.ศ.2467 เพื่อปฏิบัติรับใช้อุปัฏฐากหลวงปู่อ้น ซึ่งขณะนั้นอาพาธ และในปี พ.ศ.2469 หลวงปู่อ้นมรณภาพด้วยโรคชรา สิริอายุ 88 ปี
ต่อมา ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสในปี พ.ศ.2471
คำสอนที่มักกล่าวอบรมลูกศิษย์ คือ “สะทา โสตถี ภวันตุ โว” อันมีความหมายว่า “จงทำดี พูดดี คิดดี จะเป็นศรีแก่ตน”
ครั้งหนึ่ง เมื่อปี พ.ศ.2492 เดินทางไปตัดไม้ในป่าเพื่อนำมาสร้างวัด โดยมีกรรมการวัดเดินทางไปด้วยมากมาย ตั้งกองเกวียนอยู่ที่ด่านช้างดงเชือก หรือ อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี ในปัจจุบัน
ตกกลางคืนจำวัด มีลูกศิษย์และคณะกรรมการวัดที่เดินทางติดตามมา พากันมานอนล้อมรอบหลวงพ่อสม ด้วยความอ่อนเพลีย คนส่วนมากจึงหลับกันหมด
ปรากฏว่าได้มีงูเห่าหม้อดำสนิท ยาวประมาณ 1 เมตร เลื้อยขึ้นมานอนขดอยู่บนอก แต่หลวงพ่อสมไม่ตกใจ กลับเรียกให้ทุกคนที่นอนล้อมเป็นวงกลมรอบๆ ท่านดู พร้อมกับบอกบรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายว่า “อย่าไปทำอะไรเขานะ เขามาร่วมอนุโมทนาในการตัดไม้ไปสร้างวัดกับพวกเราด้วย เดี๋ยวเขาก็จะไปเอง”
จากนั้น งูเห่านั้นก็ได้เลื้อยไปอย่างช้าๆ พอพ้นเขตกองเกวียนของวัด งูนั้นได้หายไปอย่างน่าอัศจรรย์
รุ่งเช้าวันที่ 5 เมษายน 2532 ซึ่งเป็นวันพระทำบุญตามประเพณีไทย ชาวบ้านต่างมาทำบุญใส่บาตร พระภิกษุสามเณรลงสู่ศาลาการเปรียญ และมรรคนายกดำเนินศาสนพิธี
ขณะนั้น หลวงพ่อสม นอนพักอยู่ที่กุฏิ ได้ยินเสียงพระกำลังให้ศีลอยู่บนศาลาใหญ่ จึงถามลูกศิษย์ซึ่งอยู่ปฏิบัติรับใช้ในที่นั้นว่า “วันนี้เขาทำอะไรกัน” ลูกศิษย์ตอบว่า “วันนี้เป็นวันพระสิ้นเดือน 4 เขาทำบุญกัน”
จึงตอบมาทันควันว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันตายวันนี้แหละ” ทุกคนที่นั่งตรงนั้นต่างตกตะลึง
จากนั้น ขอให้ลูกศิษย์ช่วยอาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย ก่อนให้นอนหลับตาสนิท
มรณภาพอย่างสงบเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2532 สิริอายุ 91 ปี พรรษา 71 •
เหรียญหลวงพ่ออี๋ พิมพ์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์
เหรียญทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ จงชลบุรี
พระครูวรเวทมุนี ปรากฏนามเป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่า “หลวงพ่ออี๋ พุทธสโร” เกจิอาจารย์ชื่อก้องแห่งภาคตะวันออก จ.ชลบุรี
สร้างพระเครื่องรางต่างๆ ไว้มาก ทั้งตะกรุด เสื้อยันต์ เหรียญ พระปิดตา “พระสาม” และ “พระสี่” หรือพรหมสี่หน้า
รวมทั้งเครื่องรางปลัดขิกที่มีชื่อเสียงมาก สร้างออกมามากแบบในปี พ.ศ.2484 ช่วงสงครามโลก และตาม พ.ศ.นี้เอง “พระสาม” และ “พระสี่” หรือพระพรหมสี่หน้า ก็กำเนิดตามออกมาด้วย
พระทั้ง 2 พิมพ์เป็นพระเนื้อเมฆพัด องค์หนึ่งทำเป็นพระ 3 หน้า ประทับนั่งบนฐานบัวกลีบ (3 หน้า 3 องค์) ส่วนพระสี่หรือพระพรหมสี่หน้าก็ทำเป็นพระประทับนั่งบนฐานเขียงเหมือนกันทั้ง 4 หน้า (4 หน้า 4 องค์)
ส่วนเหรียญยอดนิยม นอกจากเหรียญรูปไข่ เนื้อทองแดง ยังมี “เหรียญพิมพ์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์”
ย้อนไปในปี พ.ศ.2473 วัดสัตหีบ กำหนดหล่อพระพุทธรูปพระประธาน ประจำพระอุโบสถ คณะศิษย์จึงขออนุญาตสร้างเหรียญรูปเหมือนขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อแจกเป็นที่ระลึกแก่ผู้ร่วมสมทบทุนสร้าง มีทั้งเหรียญรูปไข่ และทรงพุ่มข้าวบิณฑ์
ลักษณะเหรียญด้านหน้ามีรูปเหมือนนั่งขัดสมาธิ ด้านซ้ายเขียนคำว่า “วัดสัต” ด้านขวาเขียนคำว่า “หีบฯ” ใต้รูปเหมือน เขียนคำว่า “พระอุปัชฌาย์อี๋”
ด้านหลัง เขียนว่า “ที่ระฤก ในงานหล่อพระพุทธรูป” และ “พ.ศ.2473” โดยมียันต์อยู่ตรงกลาง
รุ่นนี้เป็นที่นิยม ราคาเช่าสูงมาก ปัจจุบันหายาก นักสะสมสายตรงนิยมเล่นหา
หลวงพ่ออี๋ พุทธสโร
พระครูวรเวทมุนี หรือ หลวงพ่ออี๋ มีนามเดิมว่า อี๋ ทองขำ เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 1 ตุลาคม 2408 ที่ ต.สัตหีบ กิ่ง อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี
เมื่ออายุ 25 ปี เข้าพิธีอุปสมบทที่วัดอ่างศิลานอก มีพระอาจารย์จั่น จันทโส เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า พุทธสโร
ศึกษาพระปริยัติธรรมในสำนักของพระอุปัชฌาย์รวม 6 พรรษา ทั้งท่องบ่นพระพุทธมนต์ และพระปาฏิโมกข์
ต่อมาศึกษาวิปัสสนาธุระ ในสำนักของท่านพระครูนิโรธาจารย์ (หลวงพ่อปาน) วัดบางเหี้ย จ.สมุทรปราการ จนมีความชำนาญ จึงกลับมาจำพรรษาที่วัดอ่างศิลา
พรรษาที่ 11 กลับมาเยี่ยมญาติที่วัดสัตหีบ และในพรรษานั้นเองได้ร่วมมือกับญาติโยมจัดการย้ายสำนักสงฆ์เดิมที่มีอยู่ที่หัวตลาด มาสร้างที่วัดสัตหีบในปัจจุบัน โดยได้อาราธนาให้ท่านครองวัดสัตหีบ สืบจนสิ้นอายุขัย
เป็นพระเถระที่มีศีลาจารวัตรงดงาม มีเมตตาธรรม เป็นพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดี เคร่งครัดในพระธรรมวินัย ให้การสงเคราะห์แก่ผู้เดือดร้อนและผู้ที่เจ็บป่วยไข้ด้วยยาแผนโบราณและเวทมนตร์คาถา
มีตำนานเล่าขานว่าเมื่อครั้งสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพพันธมิตรได้โจมตีฐานทัพเรือสัตหีบ ซึ่งอยู่ในน่านน้ำ อ.สัตหีบ แต่ปรากฏว่าลูกระเบิดที่ทิ้งลงมาจากเครื่องบิน ไม่ลงมาในพื้นที่สัตหีบแม้แต่ลูกเดียว
มีผู้เห็นว่าในขณะที่เกิดสงครามมีการทิ้งระเบิดจากเครื่องบินอยู่นั้น หลวงพ่ออี๋ได้นั่งบำเพ็ญจิตภาวนาอยู่กลางแจ้ง อธิษฐานจิต ทำให้ลูกระเบิดจากเครื่องบินกองทัพพันธมิตรที่โจมตีฐานทัพเรือสัตหีบ เที่ยวแล้วเที่ยวเล่าไม่ลงมาในพื้นที่สัตหีบเลยแม้แต่ลูกเดียว
ประชาชนชาวสัตหีบจึงเลื่อมใสศรัทธาในพระบุญญาธิการ จนเกิดความเคารพรัทธามาอย่างไม่เสื่อมคลาย
ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ได้สร้างคุณงามความดีไว้ให้กับ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี อย่างมากมาย อาทิ สร้างโรงเรียนประชาบาลบั๊กเส็งขึ้นภายในวัดสัตหีบ ปัจจุบันได้ย้ายไปตั้งและทำการอยู่ที่ถนนบ่านนา และเปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนสัตหีบจนถึงปัจจุบัน ในการให้การศึกษาแก่เยาวชนในท้องถิ่น
ด้านวัตถุมงคลสร้างไว้ให้เป็นขวัญและกำลังใจของประชาชนไว้แจกทหารเรือหรือเสื้อยันต์ ผ้าพันหมวก ที่ขึ้นชื่อมากที่สุดในบรรดาเครื่องรางของท่าน ได้แก่ ปลัดขิก ที่มีชื่อเสียงในด้านมงคล ทำมาค้าขึ้นที่ผู้คนนิยมเช่าไปบูชากัน
ต่อมาเริ่มอาพาธ ด้วยอาการฝีที่คอตั้งแต่เดือนมีนาคม 2489 แม้เอายาสมุนไพรปิดพอกบ้าง แต่อาการไม่ทุเลาลง จนโรคฝีได้กำเริบ ทำให้ต้องพักการทำวัตรสวดมนต์ กำลังวังชาเริ่มถดถอยลงตามลำดับ
พอถึงวันที่ 20 กันยายน 2489 ตรงกับแรม 10 ค่ำเดือน 10 ปีจอ เวลา 21.05 น. จึงละสังขารอย่างสงบ สิริอายุ 82 ปี พรรษา 57
จนถึงปัจจุบันชื่อเสียงยังเป็นที่บอกกล่าวเล่าขานกันสืบต่อมา บารมีและวัดสัตหีบ (วัดหลวงพ่ออี๋) ก็ยังคงอยู่ตราบนานเท่านาน
ด้วยเหตุนี้ วัดสัตหีบ จึงได้จัดงานประจำปีติดต่อกันมา เพื่อให้ศิษยานุศิษย์และผู้ที่มีความเลื่อมใสศรัทธาร่วมทำบุญบำเพ็ญกุศลอุทิศถวาย และผลรายได้จากการจัดงานได้นำไปก่อสร้างและซ่อมแซมเสนาสนะวัดสัตหีบ มอบเป็นทุนการศึกษาให้กับเด็กนักเรียนในแต่ละปี และบริจาคเป็นสาธารณกุศลต่างๆ อีกเป็นจำนวนมาก
เกียรติคุณความขลังและความศักดิ์สิทธิ์ ยังเป็นที่กล่าวขวัญสืบมาจนถึงบัดนี้ •
ที่มา มติชนสุดสัปดาห์
บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 13
คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์
Thailand
กระทู้: 2730
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
Re: พระเครื่อง
«
ตอบ #218 เมื่อ:
10 พฤศจิกายน 2568 12:40:57 »
เหรียญหลวงพ่ออี๋ พิมพ์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์
เหรียญทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ ชลบุรี
พระครูวรเวทมุนี ปรากฏนามเป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่า “หลวงพ่ออี๋ พุทธสโร” เกจิอาจารย์ชื่อก้องแห่งภาคตะวันออก จ.ชลบุรี
สร้างพระเครื่องรางต่างๆ ไว้มาก ทั้งตะกรุด เสื้อยันต์ เหรียญ พระปิดตา “พระสาม” และ “พระสี่” หรือพรหมสี่หน้า
รวมทั้งเครื่องรางปลัดขิกที่มีชื่อเสียงมาก สร้างออกมามากแบบในปี พ.ศ.2484 ช่วงสงครามโลก และตาม พ.ศ.นี้เอง “พระสาม” และ “พระสี่” หรือพระพรหมสี่หน้า ก็กำเนิดตามออกมาด้วย
พระทั้ง 2 พิมพ์เป็นพระเนื้อเมฆพัด องค์หนึ่งทำเป็นพระ 3 หน้า ประทับนั่งบนฐานบัวกลีบ (3 หน้า 3 องค์) ส่วนพระสี่หรือพระพรหมสี่หน้าก็ทำเป็นพระประทับนั่งบนฐานเขียงเหมือนกันทั้ง 4 หน้า (4 หน้า 4 องค์)
ส่วนเหรียญยอดนิยม นอกจากเหรียญรูปไข่ เนื้อทองแดง ยังมี “เหรียญพิมพ์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์”
ย้อนไปในปี พ.ศ.2473 วัดสัตหีบ กำหนดหล่อพระพุทธรูปพระประธาน ประจำพระอุโบสถ คณะศิษย์จึงขออนุญาตสร้างเหรียญรูปเหมือนขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อแจกเป็นที่ระลึกแก่ผู้ร่วมสมทบทุนสร้าง มีทั้งเหรียญรูปไข่ และทรงพุ่มข้าวบิณฑ์
ลักษณะเหรียญด้านหน้ามีรูปเหมือนนั่งขัดสมาธิ ด้านซ้ายเขียนคำว่า “วัดสัต” ด้านขวาเขียนคำว่า “หีบฯ” ใต้รูปเหมือน เขียนคำว่า “พระอุปัชฌาย์อี๋”
ด้านหลัง เขียนว่า “ที่ระฤก ในงานหล่อพระพุทธรูป” และ “พ.ศ.2473” โดยมียันต์อยู่ตรงกลาง
รุ่นนี้เป็นที่นิยม ราคาเช่าสูงมาก ปัจจุบันหายาก นักสะสมสายตรงนิยมเล่นหา
วัดสัตหีบ หรือที่คนทั่วไปรู้จักกันในนาม “วัดหลวงพ่ออี๋” เพราะเป็นผู้สร้างวัดนี้ขึ้นโดยตั้งอยู่เลขที่ 333 หมู่ 1 ถนนชายทะเล ต.สัตหีบ อ.สัตหีบ จ.พระครูวรเวทมุนี ปรากฏนามเป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่า “หลวงพ่ออี๋ พุทธสโร” เกจิอาจารย์ชื่อก้องแห่งภาคตะวันออก จ.ชลบุรี
สร้างพระเครื่องรางต่างๆ ไว้มาก ทั้งตะกรุด เสื้อยันต์ เหรียญ พระปิดตา “พระสาม” และ “พระสี่” หรือพรหมสี่หน้า
รวมทั้งเครื่องรางปลัดขิกที่มีชื่อเสียงมาก สร้างออกมามากแบบในปี พ.ศ.2484 ช่วงสงครามโลก และตาม พ.ศ.นี้เอง “พระสาม” และ “พระสี่” หรือพระพรหมสี่หน้า ก็กำเนิดตามออกมาด้วย
พระทั้ง 2 พิมพ์เป็นพระเนื้อเมฆพัด องค์หนึ่งทำเป็นพระ 3 หน้า ประทับนั่งบนฐานบัวกลีบ (3 หน้า 3 องค์) ส่วนพระสี่หรือพระพรหมสี่หน้าก็ทำเป็นพระประทับนั่งบนฐานเขียงเหมือนกันทั้ง 4 หน้า (4 หน้า 4 องค์)
ส่วนเหรียญยอดนิยม นอกจากเหรียญรูปไข่ เนื้อทองแดง ยังมี “เหรียญพิมพ์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์”
ย้อนไปในปี พ.ศ.2473 วัดสัตหีบ กำหนดหล่อพระพุทธรูปพระประธาน ประจำพระอุโบสถ คณะศิษย์จึงขออนุญาตสร้างเหรียญรูปเหมือนขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อแจกเป็นที่ระลึกแก่ผู้ร่วมสมทบทุนสร้าง มีทั้งเหรียญรูปไข่ และทรงพุ่มข้าวบิณฑ์
ลักษณะเหรียญด้านหน้ามีรูปเหมือนนั่งขัดสมาธิ ด้านซ้ายเขียนคำว่า “วัดสัต” ด้านขวาเขียนคำว่า “หีบฯ” ใต้รูปเหมือน เขียนคำว่า “พระอุปัชฌาย์อี๋”
ด้านหลัง เขียนว่า “ที่ระฤก ในงานหล่อพระพุทธรูป” และ “พ.ศ.2473” โดยมียันต์อยู่ตรงกลาง
รุ่นนี้เป็นที่นิยม ราคาเช่าสูงมาก ปัจจุบันหายาก นักสะสมสายตรงนิยมเล่นหา
วัดสัตหีบ หรือที่คนทั่วไปรู้จักกันในนาม “วัดหลวงพ่ออี๋” เพราะเป็นผู้สร้างวัดนี้ขึ้นโดยตั้งอยู่เลขที่ 333 หมู่ 1 ถนนชายทะเล ต.สัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี
หลวงพ่ออี๋ พุทธสโร
พระครูวรเวทมุนี หรือ หลวงพ่ออี๋ มีนามเดิมว่า อี๋ ทองขำ เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 1 ตุลาคม 2408 ที่ ต.สัตหีบ กิ่ง อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี
เมื่ออายุ 25 ปี เข้าพิธีอุปสมบทที่วัดอ่างศิลานอก มีพระอาจารย์จั่น จันทโส เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า พุทธสโร
ศึกษาพระปริยัติธรรมในสำนักของพระอุปัชฌาย์รวม 6 พรรษา ทั้งท่องบ่นพระพุทธมนต์ และพระปาฏิโมกข์
ต่อมาศึกษาวิปัสสนาธุระ ในสำนักของท่านพระครูนิโรธาจารย์ (หลวงพ่อปาน) วัดบางเหี้ย จ.สมุทรปราการ จนมีความชำนาญ จึงกลับมาจำพรรษาที่วัดอ่างศิลา
พรรษาที่ 11 กลับมาเยี่ยมญาติที่วัดสัตหีบ และในพรรษานั้นเองได้ร่วมมือกับญาติโยมจัดการย้ายสำนักสงฆ์เดิมที่มีอยู่ที่หัวตลาด มาสร้างที่วัดสัตหีบในปัจจุบัน โดยได้อาราธนาให้ท่านครองวัดสัตหีบ สืบจนสิ้นอายุขัย
เป็นพระเถระที่มีศีลาจารวัตรงดงาม มีเมตตาธรรม เป็นพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดี เคร่งครัดในพระธรรมวินัย ให้การสงเคราะห์แก่ผู้เดือดร้อนและผู้ที่เจ็บป่วยไข้ด้วยยาแผนโบราณและเวทมนตร์คาถา
มีตำนานเล่าขานว่าเมื่อครั้งสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพพันธมิตรได้โจมตีฐานทัพเรือสัตหีบ ซึ่งอยู่ในน่านน้ำ อ.สัตหีบ แต่ปรากฏว่าลูกระเบิดที่ทิ้งลงมาจากเครื่องบิน ไม่ลงมาในพื้นที่สัตหีบแม้แต่ลูกเดียว
มีผู้เห็นว่าในขณะที่เกิดสงครามมีการทิ้งระเบิดจากเครื่องบินอยู่นั้น หลวงพ่ออี๋ได้นั่งบำเพ็ญจิตภาวนาอยู่กลางแจ้ง อธิษฐานจิต ทำให้ลูกระเบิดจากเครื่องบินกองทัพพันธมิตรที่โจมตีฐานทัพเรือสัตหีบ เที่ยวแล้วเที่ยวเล่าไม่ลงมาในพื้นที่สัตหีบเลยแม้แต่ลูกเดียว
ประชาชนชาวสัตหีบจึงเลื่อมใสศรัทธาในพระบุญญาธิการ จนเกิดความเคารพรัทธามาอย่างไม่เสื่อมคลาย
ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ได้สร้างคุณงามความดีไว้ให้กับ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี อย่างมากมาย อาทิ สร้างโรงเรียนประชาบาลบั๊กเส็งขึ้นภายในวัดสัตหีบ ปัจจุบันได้ย้ายไปตั้งและทำการอยู่ที่ถนนบ่านนา และเปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนสัตหีบจนถึงปัจจุบัน ในการให้การศึกษาแก่เยาวชนในท้องถิ่น
ด้านวัตถุมงคลสร้างไว้ให้เป็นขวัญและกำลังใจของประชาชนไว้แจกทหารเรือหรือเสื้อยันต์ ผ้าพันหมวก ที่ขึ้นชื่อมากที่สุดในบรรดาเครื่องรางของท่าน ได้แก่ ปลัดขิก ที่มีชื่อเสียงในด้านมงคล ทำมาค้าขึ้นที่ผู้คนนิยมเช่าไปบูชากัน
ต่อมาเริ่มอาพาธ ด้วยอาการฝีที่คอตั้งแต่เดือนมีนาคม 2489 แม้เอายาสมุนไพรปิดพอกบ้าง แต่อาการไม่ทุเลาลง จนโรคฝีได้กำเริบ ทำให้ต้องพักการทำวัตรสวดมนต์ กำลังวังชาเริ่มถดถอยลงตามลำดับ
พอถึงวันที่ 20 กันยายน 2489 ตรงกับแรม 10 ค่ำเดือน 10 ปีจอ เวลา 21.05 น. จึงละสังขารอย่างสงบ สิริอายุ 82 ปี พรรษา 57
จนถึงปัจจุบันชื่อเสียงยังเป็นที่บอกกล่าวเล่าขานกันสืบต่อมา บารมีและวัดสัตหีบ (วัดหลวงพ่ออี๋) ก็ยังคงอยู่ตราบนานเท่านาน
ด้วยเหตุนี้ วัดสัตหีบ จึงได้จัดงานประจำปีติดต่อกันมา เพื่อให้ศิษยานุศิษย์และผู้ที่มีความเลื่อมใสศรัทธาร่วมทำบุญบำเพ็ญกุศลอุทิศถวาย และผลรายได้จากการจัดงานได้นำไปก่อสร้างและซ่อมแซมเสนาสนะวัดสัตหีบ มอบเป็นทุนการศึกษาให้กับเด็กนักเรียนในแต่ละปี และบริจาคเป็นสาธารณกุศลต่างๆ อีกเป็นจำนวนมาก
เกียรติคุณความขลังและความศักดิ์สิทธิ์ ยังเป็นที่กล่าวขวัญสืบมาจนถึงบัดนี้ •
พระนาคปรกใบมะขาม หลวงปู่ใจ
พระซุ้มประตู หลวงปู่ใจ
พระปรก-พระซุ้มประตู ‘หลวงปู่ใจ วัดเสด็จ’ สมุทรสงคราม
“หลวงปู่ใจ อินทสุวัณโณ” หรือ พระราชมงคลวุฒาจารย์ วัดเสด็จ ต.เหมืองใหม่ อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม พระเกจิอาจารย์ชื่อดัง ชาวลุ่มน้ำแม่กลองต่างให้ความเลื่อมใสเคารพศรัทธา
วัตถุมงคลที่ได้รับความนิยม คือ “ตะกรุดมหาระงับปราบหงสา” เด่นด้านระงับดับภัย โชคร้ายกลายเป็นดี ดับทุกข์โศกหรือเรื่องร้าย ด้วยมีประวัติการสร้างเกิดขึ้นในสมัยสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว และเป็นเครื่องรางของขลังประจำพระวรกายองค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ออกศึกทำยุทธหัตถี มีชัยชนะเหนือพระมหาอุปราชา (มังสามเกียดหรือมังกยอชวา) ทำให้ทหารพม่าแตกทัพไป
แต่วัตถุมงคลประเภทอื่น ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน คือ “พระปรกใบมะขาม”
สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2470 จัดให้อยู่ในชุดเบญจภาคีปรกมะขาม สร้างขึ้นเพื่อแจกให้กับผู้ที่ร่วมบริจาคทรัพย์ถวายวัดเสด็จ และฉลองที่ได้รับตำแหน่งเจ้าคณะแขวง
ลักษณะเป็นพระหล่อเนื้อเมฆพัดขนาดเล็ก สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 พิมพ์ คือ พิมพ์ 2 เข็ม พิมพ์เข็มเดียว และพิมพ์มีจุด
ด้านหน้า เป็นจำลองพระสมเด็จสัมมาพระพุทธเจ้า ประทับนั่งสมาธิบนฐาน 3 ชั้น ด้านหลังองค์พระมีนาคปรก 7 เศียรแผ่พังพระกาฬ
ด้านหลัง เป็นตรงกลางเป็นอักขระยันต์เฑาะว์
นอกจากนี้ ยังมี “พระซุ้มประตู” สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2470 สร้างขึ้นในวาระที่ท่านได้รับตำแหน่งเจ้าคณะแขวงเช่นกัน
ลักษณะเป็นพระหล่อเนื้อเมฆพัด พระพิมพ์นี้สร้างขึ้นเพียงพิมพ์เดียว และยังเป็นพระพิมพ์ที่หลวงปู่หยอด วัดแก้วเจริญ ซึ่งเป็นศิษย์นำไปสร้างพระอีกด้วย
ด้านหน้า เป็นจำลองพระสมเด็จสัมมาพระพุทธเจ้า ประทับนั่งมารวิชัยบนฐานบัวคว่ำบัวหงาย องค์พระอยู่ในซุ้มประตูย่อมุม 2 ชั้น รอบองค์พระมีอักขระยันต์
ด้านหลัง เป็นตรงกลางเป็นอักขระยันต์เฑาะว์ ใต้ยันต์เฑาะว์มีอักขระยันต์
ถือเป็นวัตถุมงคลยุคแรกที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ด้วยจำนวนการสร้างที่น้อยและอายุการสร้างที่เกือบร้อยปี
นอกจากนี้ วัตถุมงคลชุดดังกล่าว เมื่อมีผู้นำไปใช้คุ้มครองป้องกันตัว ต่างก็มีประสบการณ์เป็นที่ประจักษ์ จึงเป็นที่แสวงหาเป็นอย่างยิ่ง
หลวงปู่ใจ อินทสุวัณโณ
อัตโนประวัติเดิมชื่อ ใจ ขำสนชัย ถือกำเนิดเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2405 ที่ บ้าน ต.บางกุ้ง อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม ต่อมาครอบครัวอพยพไปตั้งถิ่นฐานที่ ต.เหมืองใหม่ อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม
อายุ 21 ปีบริบูรณ์ อุปสมบทที่พัทธสีมาวัดบางเกาะเทพศักดิ์ มีพระอาจารย์จุ้ย เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายา “อินทสุวัณโณ”
ศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรม วิปัสนากัมมัฏฐาน รวมถึงพุทธาคมต่างๆ จากพระอุปัชฌาย์ ตั้งใจเล่าเรียนนักธรรมทั้งอักษรไทยและขอมจนแตกฉาน มีความสนใจในด้านวิทยาคมต่างๆ และศึกษาวิชาทางสมาธิภาวนาจากหลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว พระเกจิอาจารย์ชื่อดังกาญจนบุรี
พ.ศ.2434 พระอาจารย์จุ้ยเห็นว่าเป็นผู้มีความสามารถ ภูมิปัญญาความรอบรู้พอที่จะดูแลตัวเองและหมู่คณะได้เป็นอย่างดี และขณะนั้น วัดใหม่ยายอิ่ม ซึ่งเป็นวัดสร้างใหม่ ยังไม่มีใครดูแล จึงมอบหมายให้ไปดูแลปกครอง
ทุ่มเทสติปัญญา กำลังกาย กำลังใจ สร้างและพัฒนาวัดแห่งนี้ให้เจริญรุ่งเรืองตามลำดับ จนเป็นวัดแห่งหนึ่งของสมุทรสงคราม ที่มีความใหญ่โต สวยงาม เป็นหน้าเป็นตา
ครั้งหนึ่ง สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณโรรส สมเด็จพระสังฆราชเจ้า วัดบวรนิเวศวิหาร เสด็จตรวจการคณะสงฆ์ตามหัวเมืองใหญ่ เสด็จมายังวัดแห่งนี้ ได้ประทานนามวัดเสียใหม่ว่า “วัดเสด็จ”
ทรงคุ้นเคยกับวัดเสด็จ พระองค์ทรงมีเมตตาต่อหลวงปู่ใจ ดังจะเห็นได้จากอุโบสถที่สร้างใหม่นั้น ประทานทุนทรัพย์จ้างช่างหลวง ดำเนินการออกแบบและก่อสร้างให้ นอกจากนี้ พระบรมวงศานุวงศ์ที่เคยตามเสด็จ ยังร่วมบริจาคทรัพย์สมทบในการสร้างอีกด้วย
ย้อนกลับไปในสมัยที่หลวงปู่ใจกำลังสร้างวัดเสด็จ ต้องเดินทางไปที่จังหวัดกาญจนบุรีอยู่บ่อยครั้ง เพื่อไปหาซื้อไม้มาสร้างวัด ขึ้นล่องอยู่หลายปีจึงสร้างวัดได้สำเร็จ และทุกปี จะมาแวะพักที่วัดหนองบัว นำหมากพลูมาถวายหลวงปู่ยิ้ม ซึ่งเป็นที่เคารพอย่างมาก
ครั้งหนึ่ง หลวงปู่ยิ้มพูดว่า ถ้าสนใจในวิทยาคมก็จะถ่ายทอดให้ จึงรีบขอเป็นศิษย์ทันที หลวงปู่ยิ้มมอบบทเรียนบทแรกว่าด้วยการทดสอบพลังจิต โดยจุดเทียนตั้งไว้ที่ขันน้ำมนต์ แล้วให้เพ่งกระแสจิตไปที่เทียนให้เทียนขาดกลางให้ได้ ถ้าทำได้เมื่อใดจึงจะมอบวิชาให้
มุ่งมั่นทำอยู่ 7 คืน เทียนก็ไม่ยอมขาด หลังจากกลับมาพัก จึงตัดสินใจว่าถ้าหากคืนพรุ่งนี้เทียนยังไม่ขาด ก็จะกลับอัมพวา ปรากฏว่าคืนวันที่ 8 ก็ทำได้สำเร็จ
หลวงปู่ยิ้มกล่าวชมว่า “เมื่อแรกเรียนท่านก็เก่งกว่าเสียแล้ว” เพราะหลวงปู่ยิ้มต้องทำอยู่นานถึง 15 วัน หลวงปู่ยิ้มจึงถ่ายทอดวิชาว่าด้วยการสร้างตะกรุดมหาระงับปราบหงสา ตะกรุดลูกอมอันเลื่องลือให้แก่หลวงปู่ใจจนหมดสิ้น
ลำดับสมณศักดิ์ พ.ศ.2496 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระสุทธิสารวุฒาจารย์
วันที่ 5 ธันวาคม 2504 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ พระราชมงคลวุฒาจารย์
มรณภาพเมื่อวันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน 2505 สิริอายุ 100 ปี พรรษา 78 •
เหรียญปั๊ม หลวงพ่อห้อง
เหรียญปั๊มรูปเหมือน หลวงพ่อห้อง วัดช่องลม ราชบุรี
“หลวงพ่อห้อง พุทธสโร” หรือ พระครูอินทเขมาจารย์ วัดช่องลม จ.ราชบุรี พระเกจิผู้ปรากฏเกียรติคุณชื่อเสียงโด่งดังมาแต่ครั้งอดีต วัตถุมงคลล้วนได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะเหรียญหล่อโบราณ
วัตถุมงคลที่จัดสร้างขึ้นมานั้น ล้วนเป็นที่นิยมสะสมและแสวงหาอย่างกว้างขวาง ที่นับว่าโดดเด่นและเป็นที่รู้จักกันอย่างดี คือ “เหรียญหล่อรุ่นแรก”
มีลักษณะคล้ายเหรียญหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน จ.พิจิตร เพราะรูปพรรณสัณฐาน เป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่าเหรียญหลวงพ่อห้อง ค่อนข้างพบเห็นยาก
อีกทั้งอายุของทั้งสองเหรียญไล่เลี่ยกัน
ปี พ.ศ.2465 อนุญาตให้สร้างเหรียญรูปเหมือนตามที่คณะศิษย์ได้ขออนุญาต โดยมีทั้งเหรียญหล่อและเหรียญปั๊ม ในอิริยาบถนั่งสมาธิเต็มองค์ทั้งสองแบบ จำนวนสร้างไม่ได้จดบันทึกไว้ แต่คาดว่าน่าจะมีจำนวนไม่มาก
สำหรับเหรียญปั๊มรูปเหมือน ลักษณะเป็นเหรียญรูปไข่ มีหูห่วงในตัว
ด้านหน้า ตรงกลางเหรียญเป็นรูปเหมือนนั่งสมาธิเต็มรูป พาดผ้าสังฆาฏิ ด้านบนซ้าย มีอักษรไทยเขียนว่า “ว, ช, ล,” อันหมายถึง วัดช่องลม ด้านบนขวา มีอักขระขอม
ด้านหลัง มีอักขระขอมจำนวน 4 บรรทัด อ่านราวมกันว่า “อะ สัง วิ สุ โล ปุ สะ พุ ภะ มะ อะ อุ”
หล่อด้วยเนื้อทองผสม มีลักษณะสีสันออกทางเหลืองอมเขียว และเหลืองอมแดง
นับเป็นเหรียญปั๊มที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดอีกเหรียญของจังหวัดราชบุรี ปัจจุบันหาของแท้ยาก สนนราคาค่อนข้างสูง
หลวงพ่อห้อง พุทธสโร
อัตโนประวัติหลวงพ่อห้อง เกิดที่บ้านหน้าเมือง จังหวัดราชบุรี เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2488
ครั้นเมื่ออายุครบบวช ตรงกับปี พ.ศ.2509 เข้าพิธีอุปสมบทที่วัดช่องลม จ.ราชบุรี มีพระอธิการวัดช่องลม เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูธรรมเสนา (จันทร์) วัดพญาไม้ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระครูอินทเขมา (เรือง) วัดท้ายเมือง เป็นพระอนุสาวนาจารย์
อายุได้ 36 ปี พรรษา 15 ในปี พ.ศ.2424 พระครูอินทเขมาจารย์ (เรือง) เห็นถึงความอุตสาหวิริยะหมั่นเพียร และเอาใจใส่ในธุระของการศาสนา จึงได้แต่งตั้งให้เป็นฐานานุกรมตำแหน่งพระปลัด
ต่อมาในปี พ.ศ.2432 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์พระครูสัญญาบัตรที่ พระครูอินทเขมาจารย์ ตำแหน่งรองเจ้าคณะจังหวัดราชบุรี
พ.ศ.2455 ได้เลื่อนสมณศักดิ์ขึ้นเป็นเจ้าคณะจังหวัดราชบุรี
เคร่งครัดในพระธรรมวินัย มีจริยวัตรที่น่าเลื่อมใส ได้ช่วยระงับอธิกรณ์น้อยใหญ่ และบริหารคณะสงฆ์ด้วยดีเสมอมา
นอกจากนี้ ยังได้บำรุงพระพุทธศาสนาโดยการบูรณปฏิสังขรณ์เสนาสนะต่างๆ ภายในให้เจริญรุ่งเรืองมาจนทุกวันนี้
วัดช่องลม ตั้งอยู่บนถนนไกรเพชร ต.บ้านเมือง อ.เมือง จ.ราชบุรี แต่เดิมวัดชื่อ ช้างล้ม ในอดีตบริเวณวัดเป็นป่าไผ่ มีโขลงช้างมาอาศัยหากินอยู่บริเวณนั้น เมื่อช้างเกิดป่วย เจ็บ และล้มตาย ก็จะตายบริเวณนั้น จึงเป็นเหตุให้ชาวบ้านในบริเวณนั้นขนานนามว่า “วัดช้างล้ม”
ต่อมา พ.ศ.2457 สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เสด็จตรวจการคณะสงฆ์มณฑลราชบุรี ได้ประทับ ณ วัดนี้ ด้วยเหตุวัดนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำแม่กลอง เป็นเหตุให้บริเวณในวัดมีอากาศร่มรื่นเย็นสบาย มีต้นไม้ใหญ่น้อยหนาแน่นมาก บริเวณวัดสะอาด และมีลมพัดเย็นตลอดเวลา
จึงตรัสขึ้นด้วยความสบายใจว่า “วัดนี้อากาศเย็นสบายเหมือนวัดช่องลม มีลมพัดผ่านตลอดเวลาทุกฤดูกาล”
เมื่อเสด็จกลับแล้ว พระครูอินทเขมาจารย์ (ห้อง) ได้จดจำคำว่า วัดช่องลม ตามที่ตรัสไว้ จึงได้ปรึกษากับพระภิกษุ-สามเณร ไวยาวัจกรวัดและชาวบ้านรอบวัด เพื่อความเป็นสิริมงคล เห็นสมควรเปลี่ยนชื่อวัดเป็น “วัดช่องลม” ตามพระดำรัสในครั้งนั้น
แม้ในปีหลังอาพาธใกล้มรณภาพ ก็ยังมีผู้ปรารถนาจะให้เป็นพระอุปัชฌาย์ ซึ่งก็รับหน้าที่บวชให้ตามที่ร้องขอ
ด้านวัตถุมงคลที่สร้างขึ้นมานั้น ที่นับว่าโดดเด่นและเป็นที่รู้จักกันอย่างดี คือ เหรียญหล่อโบราณ เป็นเหรียญหล่อที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก
ร่ำลือกันว่า ในอดีตเสือแป้นหรือเสือฮุย ซึ่งเป็นจอมโจรที่ชื่อเสียงว่าหนังเหนียว เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อห้อง เมื่อเสือแป้นถูกจับและถูกพิพากษาให้ประหารชีวิต ในวันเข้าสู่แดนประหาร คมมีดของเพชฌฆาตไม่สามารถทำอันตรายเสือแป้นได้เลย
จนกระทั่งเสือแป้นยอมเอาเหรียญหล่อโบราณห้องออกจากร่างกาย พร้อมก้มลงกราบลาผู้เป็นแม่ พร้อมสำนึกผิดในสิ่งที่กระทำลงไป ศีรษะของเสือร้ายก็หลุดกระเด็นออกจากร่างกายของเสือร้ายทันที ชดใช้เวรกรรมที่ก่อไว้ในอดีต
ราวปี พ.ศ.2469 ต้นเดือนพฤษภาคม เริ่มอาพาธหนักขึ้น แพทย์เยียวยารักษาแนะนำให้ท่านฉันอาหารในเวลาเย็น เพื่อจะได้ช่วยให้อาการดีขึ้น แต่ด้วยเคร่งครัดในพระธรรมวินัยจึงไม่ได้ทำตาม
บอกกับลูกศิษย์ที่เฝ้าดูแลว่า “ถึงแม้จะถึงชีวิตก็จะไม่ขอล่วงพระธรรมวินัยแม้แต่เพียงเล็กน้อยก็จะไม่ยอม” ในที่สุดการอาพาธในครั้งนั้นก็เป็นวาระสุดท้าย
วันที่ 29 มิถุนายน 2469 มรณภาพ เวลาตี 4 กับ 55 นาที ขณะนั่งสมาธิ
สิริอายุ 82 ปี พรรษา 61 •
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10 พฤศจิกายน 2568 12:42:30 โดย ใบบุญ
»
บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 13
คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์
Thailand
กระทู้: 2730
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
Re: พระเครื่อง
«
ตอบ #219 เมื่อ:
29 พฤศจิกายน 2568 11:17:31 »
เหรียญเงินลงยาหลวงปู่ศุข (หน้า - หลัง)
เหรียญเงินลงยา ‘หลวงปู่ศุข เกสโร’ วัดปากคลองมะขามเฒ่า
“พระครูวิมลคุณากร” หรือ “หลวงปู่ศุข เกสโร” วัดปากคลองมะขามเฒ่า พระเกจิผู้เปี่ยมด้วยวิทยาคม จนได้รับสมญา “เจ้าสำนักทางวิทยาคมยิ่งใหญ่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา”
เป็นพระอาจารย์ทางวิทยาคมรูปแรกของ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ที่ทรงให้ความเคารพนับถือและมีความใกล้ชิดเป็นอย่างยิ่ง
อีกทั้งวัตถุมงคลและเครื่องรางของขลังที่สร้างล้วนเป็นที่นิยมอย่างสูง ด้วยประสบการณ์เป็นเลิศ และยังคงเป็นที่กล่าวขานและแสวงหามาจวบจนปัจจุบัน อาทิ เหรียญรูปเหมือน พระพิมพ์สี่เหลี่ยมประภามณฑล พระปรกใบมะขาม ตะกรุด ประคำ ฯลฯ
เมื่อปี พ.ศ.2536 คณะครู-อาจารย์ โรงเรียนชัยนาทพิทยาคม อ.เมือง จ.ชัยนาท พร้อมใจกันจัดสร้างวัตถุมงคล “เหรียญเงินลงยาปี 36” หลวงปูศุข ประกอบด้วยเหรียญเงินลงยาองค์พระทองคำ (ตามสั่งจอง), เหรียญเงินลงยาสีแดง-น้ำเงิน, เหรียญเงินลงยาสีน้ำเงิน-แดง, เหรียญเงินลงยาสีเขียว-น้ำเงิน, เหรียญเงินลงยาสีฟ้า-น้ำเงิน และเหรียญเงินลงยาสีม่วง-เขียว จัดสร้างอย่างละ 2,000 เหรียญ
ลักษณะเป็นเหรียญรูปไข่ ไม่มีหูห่วง ด้านหน้าไม่มีขอบ ตรงกลางเหรียญเป็นรูปนูนครึ่งองค์ ด้านบนมีอักขระขอม นะ โม พุท ธา ยะ ด้านล่างมีอักษรไทย เขียนคำว่า “พระครูวิมลคุณากร(ศุข)”
ส่วนด้านหลัง ไม่มีขอบ เช่นกัน ตรงกลางเหรียญ เป็นยันต์พัด มีอักขระขอม มะ อะ อุ กำกับและมีเลขไทย “๒๕๓๖” ตอกโค้ด “ธะ นะ” รอบเหรียญมีอักขระขอม “อะ สัง วิ สุ โล ปุ สะ พุ ภะ และ พา มา นา อุ กะ สะ นะ ทุ”
วันที่ 26 มีนาคม 2536 เวลา 16.00 น. สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร (เจริญ สุวัฑฒโน) ทรงเมตตาอธิษฐานจิตเป็นปฐมฤกษ์ ณ พระตำหนัก วัดบวรนิเวศวิหาร
จากนั้น ประกอบพิธีพุทธาภิเษก โดยพระเกจิคณาจารย์ รวม 28 รูป วันที่ 12 เมษายน 2536 เวลา 13.19 น. ณ อุโบสถวัดศรีวิชัยวัฒนาราม จ.ชัยนาท อาทิ หลวงพ่อพุธ วัดป่าสาลวัน, หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ, หลวงพ่อหยอด วัดแก้วเจริญ, หลวงพ่อบุญตา วัดคลองเกตุ, หลวงพ่อสวัสดิ์ วัดหุบมะกล่ำ, หลวงพ่อดี วัดหนองจอก, หลวงพ่อฮวด วัดดอนโพธิ์ทอง, หลวงพ่อเสียน วัดอินทาราม, หลวงพ่อเสน่ห์ วัดสว่างอารมณ์, หลวงพ่อลำไย วัดทุ่งลาดหญ้า, หลวงพ่อประสิทธิ์ วัดไทรน้อย, หลวงพ่อสมควร วัดถือน้ำ, หลวงพ่อมหาโพธิ์ วัดคลองมอญ, หลวงพ่อเกิด วัดเขาดิน, หลวงพ่อวิชา วัดศรีมณีวรรณ, หลวงปู่นะ วัดปทุมธาราม (หนองบัว) เป็นต้น
เหรียญเงินลงยารุ่นนี้ มีวัตถุประสงค์การจัดสร้างดี พระเกจิคณาจารย์เด่นปลุกเสก จึงมีพุทธคุณครบทุกด้าน ทั้งเมตตามหานิยม โชคลาภ แคล้วคลาดปลอดภัย และคงกระพัน
นับเป็นวัตถุมงคลอีกรุ่นหนึ่งที่น่าสนใจ
หลวงปู่ศุข เกสโร วัดปากคลองมะขามเฒ่า
มีนามเดิมว่า ศุข เกิดในสกุล เกษเวช (ภายหลังใช้เป็น เกษเวชสุริยา) เป็นชาวชัยนาทโดยกำเนิด เกิดเมื่อปี พ.ศ.2390 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่บ้านมะขามเฒ่า (ปัจจุบันคือ บ้านปากคลอง) ต.มะขามเฒ่า อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท
บิดา-มารดา ชื่อ นายน่วม-นางทองดี ครอบครัวประกอบอาชีพค้าขายและทำสวน มีพี่น้องรวมกัน 9 คน โดยเป็นพี่ชายคนโต
ในวัยเด็กเป็นคนมีความกล้าหาญ เด็ดเดี่ยว และเชื่อมั่นในตัวเอง จึงมักถูกยกให้เป็นผู้นำของเด็กในย่านตลาดวัดสิงห์
ต่อมาเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อทำมาหากินค้าขายเล็กๆ น้อยๆ ในแถบลำคลองบางเขน จ.นนทบุรี จนมีครอบครัวและมีบุตรชายหนึ่งคน ชื่อ สอน เกศเวชสุริยา
แต่ด้วยจิตตั้งมั่นที่จะบวชทดแทนคุณบิดา-มารดา พออายุครบ 22 ปี จึงได้ลาไปอุปสมบท ที่วัดโพธิ์บางเขน (ปัจจุบันคือ วัดโพธิ์ทองล่าง) โดยมีหลวงพ่อเชย จันทสิริ เจ้าอาวาสเป็นพระอุปัชฌาย์ โดยเป็นพระสงฆ์ฝ่ายรามัญที่เคร่งในวัตรปฏิบัติและพระธรรมวินัยอย่างยิ่ง ทั้งเป็นผู้ทรงคุณด้านวิปัสสนาธุระและวิทยาคมเข้มขลัง ซึ่งหลวงปู่ศุขได้รับการถ่ายทอดสรรพวิชาจากพระอุปัชฌาย์อย่างครบถ้วน
จากนั้น ก็เริ่มออกธุดงค์เพื่อปลีกวิเวกฝึกฝนวิทยาการต่างๆ พร้อมแสวงหาและศึกษาเพิ่มเติมจากพระเกจิผู้ทรงคุณหลายรูปในด้านพระกัมมัฏฐานและวิทยาคม อาทิ พระสังวราเมฆ ผู้เชี่ยวชาญพระกรรมฐานลำดับมัชฌิมาปฏิปทาในสมัยนั้น ที่สำนักวัดพลับ (วัดราชสิทธาราม), หลวงปู่ทับ วัดอนงคาราม ด้านการเล่นแร่แปรธาตุและโลหะเมฆสิทธิ์ โดยพักอยู่กับสมเด็จพระพุฒาจารย์ (นวม) วัดอนงคาราม ซึ่งเป็นสหธรรมิกในฐานะชาวชัยนาทด้วยกัน ฯลฯ
จึงเป็นผู้รอบรู้และแตกฉานทั้งพระไตรปิฎก วิปัสสนากรรมฐาน และวิทยาคมต่างๆ
เวลาล่วงเลยไป มารดาที่พำนักอยู่ที่บ้านมะขามเฒ่าก็แก่ชราลง จึงตัดสินใจเดินทางกลับไปจำพรรษาที่วัดอู่ทอง ปากคลองมะขามเฒ่า แล้วขยับขยายออกมาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา สร้างวัดปากคลองมะขามเฒ่า จนเสร็จสมบูรณ์ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อปี พ.ศ.2447 โดยมีลูกศิษย์อย่างเสด็จในกรมฯ เป็นกำลังสำคัญ
ที่ปรากฏเป็นประจักษ์พยาน คือ ภาพเขียนฝีพระหัตถ์พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ บนฝาผนังพระอุโบสถ และภาพเขียนสีน้ำมันรูปหลวงปู่ศุขยืนเต็มองค์และถือไม้เท้า ที่ยังคงรักษาไว้อย่างสมบูรณ์
สมณศักดิ์สุดท้ายเป็นพระครูสัญญาบัตรที่พระครูวิมลคุณากร ตำแหน่งเจ้าคณะแขวง (ปัจจุบันคือ เจ้าคณะอำเภอ) รูปแรกของ อ.วัดสิงห์ ก่อนมรณภาพลงในปลายปี พ.ศ.2466 สิริอายุ 75 ปี พรรษา 50
ทุกวันนี้ผู้เคารพศรัทธายังขออนุญาตจัดสร้างวัตถุมงคลหลวงปู่ศุขอย่างต่อเนื่อง
นาม “หลวงปู่ศุข” ยังทรงวิทยาคมมาจนถึงทุกวันนี้ •
พระปิดตา หลวงปู่จีน วัดท่าลาดเหนือ
พระปิดตาเนื้อผง-คลุกรัก หลวงปู่จีน วัดท่าลาดเหนือ
“พระปิดตา” เป็นพระเครื่องประเภทหนึ่ง มีพุทธศิลปะเป็นเอกลักษณ์แตกต่างจากพระเครื่องประเภทอื่นๆ มีความโดดเด่นและได้รับความนิยมอย่างสูงยิ่งในหมู่ผู้นิยมพระเครื่องและวัตถุมงคล
พุทธลักษณะ เป็นองค์พระที่ค่อนข้างอวบอ้วน ยกพระหัตถ์ขึ้นปิดพระพักตร์ บางสำนักจะทำเป็นรูปมือ เพิ่มอีก 2 ข้าง เอื้อมไปปิดทวารด้านล่าง (วงการเรียก “โยงก้น”) อีกด้วย
การสร้างพระปิดตาในสยามประเทศ เริ่มต้นในยุคอยุธยาตอนปลาย จากหลักฐานที่พบพระปิดตายุคแรกเป็นเนื้อโลหะ ได้แก่ พระปิดตากรุวัดท้ายย่าน อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท
ต่อมาสร้างพระปิดตาเนื้อผงคลุกรักและพระปิดตาอื่นๆ เช่น พระปิดตาหลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ จ.ชลบุรี
การสร้างพระปิดตาเริ่มได้รับความนิยมแพร่หลายตั้งแต่ตอนต้นยุครัตนโกสินทร์เรื่อยมา มีพระเกจิอาจารย์หลายสำนักพากันจัดสร้างขึ้นและได้รับความนิยมไปทั่ว เช่น พระปิดตาวัดพลับ (วัดราชสิทธาราม) พระปิดตาวัดหนัง พระปิดตาวัดทอง พระปิดตาหลวงปู่ศุข พระปิดตาแร่บางไผ่ และพระปิดตาหลวงปู่ยิ้ม เป็นต้น
ลักษณะเด่นของพระปิดตา นับเป็นพระเครื่องที่แสดงถึง “นัย” หรือ “ปริศนาธรรม” แห่งงานพุทธศิลปะอย่างโดดเด่น ยากจะหาพระเครื่องประเภทใดเทียบเทียมได้
ความหมายเบื้องต้นแห่งการปิดตา คือ การปิด “ทวาร” หรือทางเข้าทางออกแห่งอาสวะกิเลสทั้งหลาย ซึ่งเราเชื่อกันว่าร่างกายของมนุษย์ (หรือสัตว์) มี “ทวาร” หมายถึงประตูแห่งการเข้าออก 9 ทาง ได้แก่ ตา 2 จมูก 2 หู 2 ปาก 1 รวมทั้งช่องขับถ่ายด้านหน้าและด้านหลังอีก 2
“การปิดกั้นทวารทั้ง 9” เป็นปริศนาธรรมที่ปิดกั้นกิเลสจากภายนอก เพื่อนำไปสู่จุดหมายแห่งการปฏิบัติกรรมฐาน ซึ่งโบราณาจารย์ที่สร้าง “พระปิดตา” (หรือปิดทวาร) ในอดีตจะเป็นพระภิกษุที่ขึ้นชื่อลือเลื่องทางวิปัสสนาธุระทั้งสิ้น
แต่การสร้างรูปจำลองในลักษณะนี้ค่อนข้างยากต่อการออกแบบ ส่วนใหญ่จึงพบการแสดงความหมายให้เห็นเพียงการปิดพระพักตร์ ซึ่งรวมถึงการปิดปากเท่านั้น
สำหรับ “พระปิดตาเนื้อผงคลุกรัก” ที่เก่าแก่และโด่งดังมากของจังหวัดฉะเชิงเทรา คือ “พระปิดตา หลวงปู่จีน วัดท่าลาดเหนือ” สุดยอดแห่งพระปิดตาเมตตามหานิยม และหายากมากในปัจจุบัน
หลวงปู่จีน วัดท่าลาดเหนือ
ประวัติของหลวงปู่จีนและประวัติวัด ไม่มีผู้ใดได้บันทึกไว้ เพียงมีการบอกเล่าสืบต่อกันมาเท่านั้น การสืบค้นจึงทำได้ยากมาก ต้องสอบถามและเก็บข้อมูลจากหลายๆ ที่และประมวลไว้ ตามที่ได้สืบค้นพอจะจับเค้าโครงได้ก็มีดังนี้
วัดท่าลาดเหนือ ตั้งอยู่ที่ ต.ท่าถ่าน อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าสืบต่อกันมาว่าสร้างโดยพระยาชาวเขมรที่อพยพมาจากพระตะบองได้เป็นผู้สร้างไว้ตั้งแต่เมื่อประมาณปี พ.ศ.2395 เมื่อสร้างวัดเสร็จได้ประมาณปีก็ได้มีพระธุดงค์ผ่านมาด้วยกัน 3 รูป ชาวบ้านเห็นวัตรปฏิบัติแล้วก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธา จึงได้นิมนต์ให้อยู่จำพรรษาที่วัดท่าลาด ต่อมาอีกระยะหนึ่งพระอีก 2 องค์จึงได้ออกธุดงค์ต่อ
พระที่อยู่จำพรรษาและเป็นเจ้าอาวาสของวัดนี้ก็คือหลวงปู่จีน ส่วนประวัติความเป็นมาในสมัยนั้นไม่มีผู้ใดบันทึกไว้เลย เพียงแต่เล่าสืบต่อกันมาจากผู้ที่เกิดทันได้พบเท่านั้น จากการสืบค้นดูเป็นชาวจังหวัดเพชรบุรี และบวชมาจากเพชรบุรี ออกธุดงค์ผ่านมาทางอำเภอพนมสารคาม สันนิษฐานว่าคงเกิดในราวปี พ.ศ.2357 และมาเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าลาด ราวปี พ.ศ.2397
เป็นพระที่เมตตาธรรมสูง มีความรู้ในด้านวิปัสสนาธุระเป็นอย่างดี สั่งสอนอบรมลูกศิษย์ พระเณรอยู่เสมอๆ และยังเก่งกล้าในด้านวิทยาคม อีกทั้งวิชาแพทย์แผนโบราณก็เชี่ยวชาญเป็นพิเศษ
ช่วยเหลือชาวบ้านในแถบนั้นอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ และชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนในทุกด้าน ก็ได้ช่วยปัดเป่าให้ทุเลาหายได้ทุกราย
จึงเป็นที่เคารพนับถือและศรัทธามากในย่านนั้น และกิตติคุณล่วงรู้กันไปทั่วทั้งแปดริ้วและจังหวัดใกล้เคียง จึงทำให้มีลูกศิษย์ลูกหามากมายต่างหลั่งไหลไปสู่วัดท่าลาดไม่ขาดสาย
เป็นเจ้าอาวาสวัดท่าลาดเหนือ สืบจนถึงราวปี พ.ศ.2440 โดยประมาณก็มรณภาพ สิริอายุ 83 ปี
ส่วนพระปิดตาเนื้อผงคลุกรักที่ได้สร้างไว้ สันนิษฐานว่าได้สร้างไว้ในราวปี พ.ศ.2430 โดยสร้างด้วยเนื้อผงพุทธคุณผสมว่านวิเศษต่างๆ และนำมาคลุกรักเพื่อเป็นตัวประสาน นำมากดแม่พิมพ์พระปิดตา ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายพิมพ์ เช่น พิมพ์แข้งหมอน พิมพ์เม็ดกระบก พิมพ์กลีบบัวใหญ่ พิมพ์กลีบบัวเล็ก พิมพ์เม็ดบัว พิมพ์ไม้ค้ำเกวียน เป็นต้น
พระปิดตาส่วนใหญ่ด้านหลังมักจะอูม เป็นแบบหลังเบี้ยหรือหลังประทุนแทบทุกองค์ และลงรักทับไว้อีกชั้นหนึ่ง
สันนิษฐานว่าคงสร้างด้วยกันหลายครั้ง จำนวนครั้งละไม่มากนัก เนื่องจากกรรมวิธีการสร้างนั้นทำได้ยากมาก จึงทำให้ในปัจจุบันหาพระปิดตาของหลวงปู่จีนยากมาก สนนราคาก็สูงตามไปด้วย
พระปิดตาเนื้อผงคลุกรักตำรับนี้ นับเป็นต้นกำเนิดพระปิดตาผงคลุกรัก
เนื่องจากลูกศิษย์ลูกหาอีกหลายรูปสร้างตามรูปแบบของหลวงปู่จีนด้วย •
ที่มา โฟกัสพระเครื่อง มติชนสุดสัปดาห์
บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า:
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
1
...
9
10
[
11
]
12
ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
กระโดดไป:
เลือกหัวข้อ:
-----------------------------
จากใจถึงใจ
-----------------------------
=> หน้าบ้าน สุขใจ
===> สุขใจ ป่าวประกาศ (ข้อความจากทีมงาน)
===> สุขใจ เสนอแนะ (ข้อความจากสมาชิก)
===> สุขใจ ให้ละเลง (มุมทดสอบบอร์ด)
-----------------------------
สุขใจในธรรม
-----------------------------
=> พุทธประวัติ - ประวัติพระสาวก
===> พุทธประวัติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
===> ประวิติพระอรหันต์ พระสาวก ในสมัยพุทธกาล
===> ประวัติพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ในยุคปัจจุบัน
===> นิทาน - ชาดก
=====> ชาดก พระเจ้า 500 ชาติ
=> ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
===> ธรรมะจากพระอาจารย์
===> เกร็ดครูบาอาจารย์
=> ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4
=> สมถภาวนา - อภิญญาจิต
=> จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
=> เสียงธรรมเทศนา - เอกสารธรรม - วีดีโอ
===> เอกสารธรรม
===> เสียงธรรมเทศนา
=====> ธรรมะจาก สมเด็จโต
=====> ธรรมะจาก หลวงปู่มั่น
=====> เสียงบทสวดมนต์
=====> เพลงสวดมนต์
=====> เพลงเพื่อจิตสำนึก แด่บุพการี
=====> ธรรมะ มิวสิค (เพลงธรรมทั่วไป)
===> ห้อง วีดีโอ
=> เกร็ดศาสนา
=> กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ
=> ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก
=> บทสวด - คัมภีร์ คาถา - วิชา อาคม
=> พุทธวัจนะ - ภาษิตธรรม
===> พุทธวัจนะ ในธรรมบท
===> พุทธศาสนสุภาษิต
===> คำทำนายภัยพิบัติที่จะเกิด
===> รวมข่าวภัยพิบัติ ทั้งในอดีต และปัจจุบัน
===> รู้ เพื่อ รอด (การเตรียมการ)
=> ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม
===> ฐานข้อมูล มูลนิธิต่าง ๆ ในประเทศไทย (Donation Exchange Center)
-----------------------------
วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ
-----------------------------
=> วิทยาศาสตร์ - จักรวาล - การค้นพบ
===> เรื่องราว จากนอกโลก
=====> ประสบการณ์เกี่ยวกับ UFO
=====> หลักฐาน และ การพิสูจน์ยูเอฟโอ
=====> คลิปวีดีโอ ยูเอฟโอ
=> ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม
=> เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ
===> ร้อยภูติ พันวิญญาณ
=====> ประสบการณ์ ผี ๆ
=======> เรื่องเล่าในรั้วมหาลัย
=====> ประวัติ ต้นกำเนิด ตำนานผี
===> ดูดวง ทำนายทายทัก
===> ไดอะล็อก คือ ดอกอะไร - พลังไดอะล็อก (Dialogue)
===> กระบวนการ NEW AGE
=> เครื่องราง ของขลัง พุทธคุณ
-----------------------------
นั่งเล่นหลังสวน
-----------------------------
=> สุขใจ จิบกาแฟ
=> สุขใจ ร้านน้ำชา
=> สุขใจ ห้องสมุด
===> สุขใจ หนังสือแนะนำ
===> สุขใจ คลังความรู้ลวงโลก
===> สยาม ในอดีต
=> สุขใจ ใต้เงาไม้
=> สุขใจ ตลาดสด
=> สุขใจ อนามัย
=> สุขใจ ไปเที่ยว
=> สุขใจ ในครัว
===> เกร็ดความรู้ งานบ้าน งานครัว
=> สุขใจ ไปรษณีย์
=> สุขใจ สวนสนุก
===> ลานกว้าง (มุมดูคลิป)
===> เวที จำอวด (จำอวดหน้าม่าน)
===> หนังกลางแปลง (ดูหนัง รีวิวหนัง)
===> หน้าเวที (มุมฟังเพลง)
=====> เพลงไทยเดิม
===> แผงลอยริมทาง (รวมคลิปโฆษณาโดน ๆ)
คุณ
ไม่สามารถ
ตั้งกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
ตอบกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความได้
BBCode
เปิดใช้งาน
Smilies
เปิดใช้งาน
[img]
เปิดใช้งาน
HTML
เปิดใช้งาน
กำลังโหลด...