[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 มีนาคม 2567 03:22:42 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: พระปฏาจาราเถรี  (อ่าน 4718 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Maintenence
ผู้ดูแลระบบ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 992


[• บำรุงรักษา •]

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 45.0.2454.101 Chrome 45.0.2454.101


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 14 ตุลาคม 2558 15:34:04 »




พุทธประวัติ
ตอน โปรดนางปฏาจารา


ปฏาจาราเป็นธิดาเศรษฐี ในเมืองสาวัตถี เมื่อรุ่นสาวได้ร่วมรักกับคนใช้ของตน โดยที่มารดาบิดามิได้ทราบระแคะระคายเลยแม้แต่น้อย
 
ต่อมาชายหนุ่มผู้หนึ่งที่มีศักดิ์ตระกูลเสมอกันมาขอนาง มารดาบิดาของนางยกให้ กำหนดวันวิวาห์แล้ว นางจึงบอกแก่คนใช้ซึ่งเป็นคนรักของนางว่า หากนางเข้าสู่พิธีวิวาห์แล้ว เขาไม่อาจพบนางได้อีก ไม่ว่าในกรณีไรๆ เพราะฉะนั้น หากว่ารักนางจริงก็ขอให้พานางหนีไปอยู่ที่อื่นเสียก่อน วันวิวาห์บุรุษนั้นรับทำตามคำของนางนัดหมายกันแล้ว วันรุ่งขึ้นเขาไปคอยอยู่แต่เช้าตรู่ ณ ที่แห่งหนึ่ง

ปฏาจาราปลอมตัวเป็นทาสี นุ่งผ้าปอนๆ เอารำทาตัว สยายผมถือหม้อน้ำรวมไปกับพวกทาสี ไปยังที่นัดหมายแล้ว พากันหนีไปอยู่ ณ บ้านป่าแห่งหนึ่ง อยู่ร่วมกันอย่างสามีภรรยา สามีไถนาในป่า เก็บผักหักฟืน ส่วนภรรยาตักน้ำตำข้าวและหุงต้มเป็นต้น ต่อมานางมีครรภ์ เมื่อท้องแก่จะคลอด นางขอร้องสามีให้นำกลับไปบ้านเดิม เพื่อคลอดบุตร เพราะที่บ้านป่าไม่มีญาติพี่น้อง หรือใครๆ ที่จะช่วยเหลือในการคลอดได้ แต่สามีไม่ยอมไปเพราะกลัวพ่อตา แม่ยาย จะทำร้าย หรือฆ่าให้ถึงตาย นางอ้อนวอนแล้วเล่า แต่ไม่มีผล
 
วันหนึ่งเมื่อสามีออกไปทำงานในป่า นางสั่งเพื่อนบ้านว่า หากสามีกลับมาถามถึงนาง ขอให้บอกว่านางกลับไปคลอดที่บ้านเดิมดังนี้แล้วออกจากบ้านป่ามุ่งหน้าสู่นครสาวัตถี

สามีกลับจากป่าทราบความเข้า จึงรีบออกติดตามมุ่งหมายจะเอาตัวกลับ มาทันเข้าระหว่างทางอ้อนวอนให้นางกลับสู่บ้านป่าแต่นางหายอมไม่ ยืนยันจะไปคลอดที่บ้านอย่างเดียวขณะนั้นลมกัมมัชวาตเกิดขึ้น นางปวดท้องจะคลอดจึงเข้าไปบังพุ่มไม้แห่งหนึ่ง นอนกลิ้งเกลือกอยู่กับพื้นดินคลอดได้โดยยาก แต่ก็คลอดจนได้ เมื่อคลอดแล้วสองสามีภรรยาจึงพากันกลับยังบ้านป่าดังเดิม

ต่อมานางตั้งครรภ์อีก จึงบอกสามีโดยนัยก่อนและหนีออกจากบ้านเมื่อสามีไม่อยู่ สามีมาตามทันเข้าอ้อนวอนให้กลับ นางก็ไม่ยอมกลับ ขณะที่ทั้งสองกำลังโต้เถียงกันอยู่ ฝนตั้งเค้าขึ้นมาพร้อมๆกับที่นางปวดครรภ์จะคลอด นางบอกความนั้นแก่สามี ขอให้ทำที่สักแห่งหนึ่งที่พอบังฝนได้ ฝ่ายสามีถือมีดเข้าไปยังพุ่มไม้ที่จอมปลวกแห่งหนึ่ง จึงเริ่มตัดไม้ อสรพิษมีพิษร้ายแรงตัวหนึ่งเลื้อยออกมาจากจอมปลวกกัดเขา สรีระของเขาเขียวขึ้นเพราะพิษงูแล่นไปทั่ว เสมือนไฟเกิดขึ้นภายในกายแล้วเผาไหม้อยู่เขาล้มลงตาย ณ ที่นั้นเอง
 
ฝ่ายปฏาจารา ประสบทุกข์อย่างหนัก ฝนเริ่มเทลงมาอย่างแรง นางมองดูทางมาของสามีก็ไม่เห็น ได้คลอดบุตรตรงนั้น เด็กทั้งสองไม่อาจต้านทานกำลังลมและฝนได้จึงร้องไห้ลั่นออกมา นางหมดปัญญาที่จะทำอย่างอื่นจึงเอาเข่าและมือทั้งสองยันลงกับพื้นคล่อมบุตรทั้งสองไว้ตลอดคืน ราตรีล่วงไปด้วยความยากลำบากของนางเป็นอย่างยิ่ง ร่างกายของนางซีดเหลืองไม่มีโลหิต เสมือนใบไม้เหลือง

เมื่ออรุณขึ้น นางกำหนดทางที่สามีเดินไปเมื่อเย็นวาน แล้วอุ้มบุตรคนหนึ่ง จูงคนหนึ่งเดินไปตามทางนั้น เห็นสามีนอนตายอยู่ข้างจอมปลวก นางเสียใจอย่างใหญ่หลวง รำพันว่า "เพราะเราแท้ๆ สามีจึงตายอย่างนี้" นางเดินทางมาถึงลำน้ำอจิรวดี ซึ่งขณะนั้นน้ำเต็มเปี่ยมลึกแค่อกของนาง นางจึงไม่สามารถนำบุตรทั้งสองข้ามไปพร้อมกันได้ จึงให้บุตรคนโตรออยู่ก่อน พาบุตรคนเล็กเพิ่งคลอดเมื่อคืนนี้ข้ามไปก่อน วางไว้บนฝั่งแล้วกลับมาเพื่อรับบุตรคนโต

ขณะที่นางมาถึงกลางแม่น้ำ เหยี่ยวใหญ่ตัวหนึ่งบินมา เข้าใจในบุตรคนเล็กของนางว่าเป็นชิ้นเนื้อจึงโฉบลงมา นางซึ่งหันรีหันขวางอยู่กลางแม่น้ำเพราะเป็นห่วงบุตรคนเล็ก ได้เห็นดังนั้นจึงส่งเสียงไล่นก แต่นกไม่ได้ยิน ฝ่ายบุตรคนโต ยืนอยู่รอแม่อยู่ฝั่งนี้ ได้ยินเสียงแม่และเห็นแม่ยกมือทั้งสองขึ้น เข้าใจว่าเรียกตนจึงกระโดดลงน้ำ

น้ำซึ่งกำลังไหลเชี่ยวได้พัดเด็กน้อยจมลงทันที
 
ปฏาจาราต้องสูญเสียบุตรทั้งสองในเวลาเดียวกัน นางขึ้นจากแม่น้ำร้องไห้รำพันไปว่า "สามีของเราตายในทางเปลี่ยว บุตรคนหนึ่งถูกเหยี่ยวเฉี่ยวไป คนหนึ่งถูกน้ำพัดไป…."

นางพบชายคนหนึ่งเดินสวนทางมา จึงถามถึงมารดาบิดาในเมืองสาวัตถีชายนั้นตอบว่า เมื่อคืนนี้ฝนตกหนักท่านทราบมิใช่หรือ   ปฏาจาราตอบว่า ทราบ แต่ฝนนั้นตกเพื่อนางคนเดียว คือเพื่อลงโทษนางคนเดียว ชายนั้นบอกให้ทราบว่า เมื่อคืนนี้เรือนของเศรษฐีพังทับคนทั้ง ๓ ถึงตาย คือเศรษฐี ภรรยา และบุตรชายคนหนึ่ง คนทั้ง ๓กำลังถูกเผาที่เชิงตะกอนเดียวกัน ควันยังปรากฏให้เห็นอยู่
 
ปฏาจาราได้ทราบความนั้น ตลึงงัน ไม่รู้สึกแม้ความที่ผ้านุ่งหลุดลุ่ยออกจากตัว ร้องไห้รำพัน บ่นเพ้อ เซซวน ไปว่า "บุตร ๒ คนตายเสียแล้ว สามีก็ตายในทางเปลี่ยว มารดาบิดาและพี่ชายก็ถูกเผาบนเชิงตะกอนเดียวกัน"
 
คนทั้งหลายเห็นอาการของนางแล้วพูดกันว่า "ผู้หญิงบ้ " จึงเอาหยากเยื่อและฝุ่นโปรยลงบนศรีษะ ขว้างปาด้วยก้อนดิน
 
ขณะนั้นพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับแสดงธรรมอยู่ท่ามกลางพุทธบริษัท ณ เชตวันมหาวิหาร ทอดพระเนตรเห็นนางปฏาจาราผู้ได้บำเพ็ญบารมีมาสิ้นแสนกัปป์ มีอภินิหารเต็มเปี่ยมแล้ว กำลังเดินมา
 
ทราบว่าปฏาจาราเห็นพระเถระผู้ทรงวินัยรูปหนึ่งซึ่งพระปทุมุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตั้งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ จึงทำความดีปรารถนาว่า "ขอให้หม่อมฉัน ได้ตำแหน่งเอตทัคคะทางทรงวินัยในศาสนาของพระพุทธเจ้าในอนาคต"

พระปทุมุตตรพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่า จักได้ตำแหน่งนั้นในศาสนาของพระโคดมพุทธเจ้า
 
พระโคดมพุทธเจ้า ทอดพระเนตรเห็นนางผู้มีบุญอันทำไว้แล้ว มีอภินิหารอันทำไว้แล้ว กำลังเดินมาเช่นนั้น ทรงดำริว่า "เว้นเราเสียผู้อื่นซึ่งจะเป็นที่พึ่งของนางได้ไม่มี "จึงทรงบันดาลให้นางมุ่งหน้าสู่วิหารเชตวัน พุทธบริษัทเห็นนางแล้วกล่าวกันว่า อย่าให้หญิงบ้าเข้ามา แต่พระศาสดาตรัสว่า อย่าห้ามเธอเลย จงให้เธอเข้ามาเถิด เราจักเป็นที่พึ่งของนาง
 
เมื่อนางเข้ามาใกล้แล้ว พระศาสดาตรัสว่า "น้องหญิงจงได้สติเถิด" ด้วยพระพุทธานุภาพนั้นเอง นางกลับได้สติแล้ว กำหนดได้ว่าตนมิได้นุ่งผ้า จึงมีอาการขวยเขิน นั่งกระโหย่งเพื่อซ่อนเร้นอวัยวะอันพึงละอาย ชายคนหนึ่งโยนผ้าห่มไปให้ นางนุ่งแล้วเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์แทบพระบาททั้งสอง ทูลว่า "ขอได้โปรดเป็นที่พึ่งของหม่อมฉันด้วยเถิดพระเจ้าข้าเหยี่ยวเฉี่ยวบุตรคนหนึ่งไป คนหนึ่งถูกน้ำพัดไป สามีตายในทางเปลี่ยว มารดาบิดาและพี่ชายถูกเรือนทับตาย"

พระศาสดาทรงปลอบนางว่า "ปฏาจารา! บัดนี้เธอได้มาอยู่เฉพาะหน้าของผู้อันจะเป็นที่พึ่งของเธอได้แล้ว อย่าคิดอะไรมาก อย่าเสียใจเลย เธอจะได้สิ่งอันยิ่งใหญ่อื่นมาชดเชยสิ่งที่สูญเสียไป ปฏาจาราเอ๋ย ! น้ำตาของคนที่ร้องไห้เพราะสูญเสียปิยชน มีบุตรเป็นต้น ในสงสารอันยาวนานนี้มีมากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ เมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุไร เธอจึงประมาทอยู่เล่า"
 
เมื่อพระศาสดาตรัสอนมตัคคปริยายนี้อยู่ ความโศกของนางได้เบาบางลง พระศาสดาทรงทราบความนั้น แล้วตรัสต่อไปว่า "ปฏาจารา ปิยชนมีบุตรเป็นต้น ไม่สามารถต้านทาน หรือป้องกันบุคคลผู้ไปสู่ปรโลกได้ บุตรเป็นต้นนั้น แม้มีก็เหมือนไม่มี บัณฑิตทราบดังนี้แล้ว รีบเร่งชำระศีลให้บริสุทธิ์ ทำทางไปสู่พระนิพพานของตน"
 
เมื่อจบเทสนา ปฏาจาราได้บรรลุโสดาปัตติผล คนอื่นๆ ก็ได้รับประโยชน์จากพระธรรมเทศนานี้มาก…

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

[• สุขใจ บำรุงรักษาระบบ •]
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
พระปฏาจาราเถรี เอตทัคคะผู้ทรงพระวินัย
ประวิติพระอรหันต์ พระสาวก ในสมัยพุทธกาล
Kimleng 0 879 กระทู้ล่าสุด 12 มกราคม 2564 20:24:09
โดย Kimleng
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.339 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 2 ชั่วโมงที่แล้ว