ตอนที่ 11
พระมหากัสสปเถระทราบข่าวพุทธปรินิพพาน พระมหากัสสปเถระทราบข่าวพุทธปรินิพพาน เมื่อพระบรมศาสดาเสด็จปรินิพพานแล้วถึงวันที่เจ็ด ครั้งนั้นพระมหากัสสปะพร้อมด้วยภิกษุบริวารกำลังเดินทางจากเมืองปาวา จะไปยังเมืองกุสินารา เพื่อเฝ้าพระบรมศาสดา ระหว่างได้แวะพักร้อนที่ร่มไม้ ขณะที่กำลังนั่งพักอยู่นั้นได้มีอาชีวกะผู้หนึ่งถือดอกมณฑารพที่ผูกติดกับกิ่งไม้ต่างร่มเดินมา จึงคิดว่าดอกไม้นี้ไม่มีในแดนมนุษย์เป็นดอกไม้สวรรค์ จะมีในแดนมนุษย์ก็ต่อเมื่อผู้มีฤทธิ์บันดาล และพระโพธิสัตว์เสด็จปฏิสนธิในครรภ์พระมารดาเป็นต้น แต่ว่าพระบรมศาสดาของเรานั้นทรงพระชรามากอยู่แล้ว พระองค์คงเสด็จดับขันธปรินิพพานเสียแล้วเป็นแน่
ดำริห์ฉะนี้แล้ว ท่านจึงได้ลุกขึ้นจากที่นั่งเข้าไปหาอาชีวกะผู้นั้น ยกหัตถ์ขึ้นอัญชลีทัศนสโมธานขึ้นเหนือเศียรเกล้า ถวายคารวะในพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วจึงถามว่า ท่านยังทราบข่าวพระบรมศาสดาของเราบ้างหรือไม่ อาชีวะจึงตอบว่าพระสมณโคดมได้ปรินิพพานเสียได้เจ็ดวันเช้าวันนี้ ดอกไม้นี้ข้าพเจ้าได้เก็บมาจากบริเวณที่เสด็จปรินิพพานนั้น
พอทราบข่าวว่าพระบรมศาสดาเสด็จปรินิพพาน บรรดาภิกษุที่ที่เป็นปุถุชนและพระอริยบุคลที่ยังไม่บรรลุอรหัตผลก็พากันร้องไห้ปริเทวนาการถึงองค์พระบรมศาสดา ส่วนท่านที่เป็นพระอรหันต์ก็ได้เกิดธรรมสังเวชในความที่สังขารเป็นอนิจจตาทิธรรม
ในพวกภิกษุบริวารนั้นมีพระสุภัททะซึ่งบวชเมื่อแก่รูปหนึ่งได้เที่ยวห้ามปรามมิให้บรรดาภิกษุทั้งหลายร้องไห้เศร้าโศก กลับแสดงความดีใจที่พระผู้มีพระภาคได้เสด็จปรินิพพาน เพราะจะได้ไม่มีผู้ที่คอยเคี่ยวเข็ญพวกตนอีกต่อไป การแสดงออกของพระสุภัททะทำให้พระมหากัสสปะได้ถือเป็นเหตุสำคัญ กระทำการสังคายนาพระธรรมวินัยเป็นครั้งแรก พระสุภัททะภิกษุ กล่าวลบหลู่พระธรรมวินัย [size=11ptครั้งนั้น พระมหากัสสปะพร้อมด้วยภิกษุบริวารเป็นจำนวนมากเดินทางไปเฝ้าพระบรมศาสดา ในระหว่างทางได้ทราบข่าวปรินิพพานของพระผู้มีพระภาคเจ้า บรรดาพระภิกษุที่เป็นพระอรหันต์ก็พากันปลงธรรมสังเวชแต่ที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์ต่างก็คร่ำครวญร่ำไห้กันไปมา
มีภิกษุที่บวชเมื่อแก่รูปหนึ่งชื่อสุภัททะ ได้ร้องห้ามภิกษุทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลายอย่าได้เศร้าโศกร่ำไรถึงพระสมณะนั้นเลย เราทั้งหลายพ้นจากพระสมณนั้นได้ยิ่งดี เพราะท่านย่อมสั่งสอนถึงสิ่งควรทำไม่ควรทำ เราลำบากใจนัก บัดนี้เราจะทำสิ่งใดก็ได้ตามความพอใจไม่ต้องเกรงบัญชาผู้ใด
แม้การปรินิพพานของพระบรมศาสดาได้เพียง 7 วัน เท่านั้น ก็ยังมีผู้กล่าวร้ายได้ถึงเพียงนี้ [/size]
ถวายพระเพลิงพระสรีระพระพุทธเจ้า หลังจากพระบรมศาสดาเสด็จปรินิพพานได้เจ็ดวัน เหล่ามัลลกษัตริย์แห่งนครกุสินาราพร้อมทั้งชาวพระนครทั้งหลายได้อัญเชิญพระบรมศพมาประดิษฐาน ณ มกุฎพันธนเจดีย์
ในวันนั้นพระมหากัสสปะพร้อมภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่มาจากเมืองปาวาได้ทราบข่าวจากอาชีวกะผู้หนึ่งในระหว่างทางว่า พระบรมศาสดาได้เสด็จปรินิพพานได้เจ็ดวันแล้ว จึงได้พากันไปยังมกุฎพันธนเจดีย์ เมื่อไปถึงได้กระทำปทักษิณสามรอบ ถวายบังคมแล้วได้กล่าวรำพึงถึงความกตัญญูกตเวทีและความจงรักภักดีที่ตนมีต่อพระพุทธองค์ แล้วตั้งสัตยาธิษฐานให้พระบาททั้งสองของพระพุทธองค์ชำแรกออกมาให้ได้ถวายบังคมพระพุทธบาทเป็นครั้งสุดท้าย
หลังจากนั้นไฟก็ได้ลุกขึ้นติดพระศพเองและไหม้อยู่เจ็ดวันเจ็ดคืน ครั้นแล้วเหล่ามัลลกษัตริย์จึงได้เก็บพระบรมธาตุ อัญเชิญเข้าสู่สันฐาคารศาลา กระทำการบูชาสมโภชน์อีกเจ็ดวัน โทณพราหมณ์ห้ามทัพ ขณะนั้น กษัตริย์ทั้งเจ็ดนครได้ยกกองทัพมายังเมืองกุสินาราเพื่อขอแบ่งปันพระบรมธาตุ พวกมัลลกษัตริย์แห่งเมืองกุสินาราแจ้งว่า พระบรมศาสดาได้เสด็จมาปรินิพพาน ณ ที่นี้จึงไม่ยอมแบ่งพระบรมธาตุให้ จึงเกิดความขัดแย้งใกล้จะเกิดความรุนแรงถึงขั้นต้องใช้กำลังกัน
ครั้งนั้นโทณพราหมณ์ซึ่งเคยเป็นอาจารย์สั่งสอนผู้คนมาหลายนครได้สดับเหตุการณ์วิวาทอันจะก่อให้เกิดการใช้กำลังกันอันเนื่องมาจากการเสด็จปรินิพพานของพระบรมศาสดา ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สมควร จึงได้ปรากฎตัวขึ้นท่ามกลางบรรดากษัตริย์เหล่านั้น แล้วประกาศให้ยุติการวิวาทและได้ตกลงแบ่งพระบรมธาตุออกเป็นแปดส่วน เพื่อแบ่งให้นครต่างๆ นำไปสักการะบูชาสืบต่อไป โทณพราหมณ์แจกพระบรมสารีริกธาตุ เมื่อมัลลกษัตริย์ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระแล้วก็ให้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุไปประดิษฐานไว้ในสัณฐาคารศาลากลางนครกุสินารา จัดการรักษาไว้เป็นอย่างดีให้มีดุริยางค์ดนตรีประโคมตลอดเวลาเจ็ดวัน
ครั้งนั้น เหล่ากษัตริย์และพราหมณ์เจ็ดนคร คือ พระเจ้าอชาติศัตรู แห่งกรุงราชคฤห์ เจ้าลิจฉวีแห่งเมืองไพสาลี เจ้าศากยะแห่งกรุงกบิลพัสดุ์ ถูลีกษัตริย์แห่งอัลลกัปปนคร โกลิยกษัตริย์แห่งเมืองรามคาม มหาพราหมณ์แห่งเมืองเวฏฐีปถะ และเจ้ามัลละแห่งเมืองปาวา ต่างก็พากันมาขอส่วนแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ พวกมัลลกษัตริย์แห่งเมืองกุสินาราไม่ยอมให้จนเกือบจะเกิดสงครามกัน
ครั้งนั้นโทณพราหมณ์ซึ่งเป็นผู้ใหญ่เป็นที่นับถือของคนส่วนใหญ่ ได้พูดจาเกลี้ยกล่อมบรรดากษัตริย์ทั้งหลายให้ปรองดองกัน ตกลงแบ่งปันพระบรมสารีริกธาตุไปสักการะบูชาอย่างทั่วถึง แล้วโทณพราหมณ์ก็ได้ใช้ทะนานทองตวงพระบรมสารีริกธาตุ โดยแบ่งเป็นแปดส่วนเท่าๆ กัน ในส่วนของตนก็ได้ขอทะนานทองที่ใช้ตวงไว้เป็นที่สักการะบูชา
กษัตริย์ทั้งแปดพระนคร มี นครราชคฤห์ ไพศาลี กบิลพัสดุ์ อัลลกัปปนคร รามคาม เวฏฐปถะ ปาวา และนครกุสินารา เมื่อได้รับส่วนแบ่งพระบรมสารีริกธาตุโดยเท่าเทียมกันแล้วก็มีความปิติโสมนัสชื่นชมยินดีเป็นที่ยิ่งได้พากันอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุแห่แหนกลับไปสักการะบูชา ยังบ้านเมืองของตน จบ
ที่มา: http://www.heritage.thaigov.net/religion/bio/index10.htm