[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
20 เมษายน 2567 07:34:35 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: พระพุทธศานสนามหายานกับจีน  (อ่าน 11033 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
sometime
บุคคลทั่วไป
« เมื่อ: 07 เมษายน 2553 13:58:32 »

http://img688.imageshack.us/img688/4127/pi9004622452.jpg
พระพุทธศานสนามหายานกับจีน

<table class="maeva" cellpadding="0" cellspacing="0" border="0" style="width: 800px" id="sae1"> <tr><td style="width: 800px; height: 64px" colspan="2" id="saeva1"><script type="text/javascript"><!-- // --><![CDATA[ var oldLoad = window.onload; window.onload = function() { if (typeof(oldLoad) == "function") oldLoad(); if (typeof(aevacopy) == "function") aevacopy(); } // ]]></script><embed type="application/x-shockwave-flash" src="http://www.flash-mp3-player.net/medias/player_mp3_maxi.swf?mp3=http://mahaparamita.com/music.mp3&amp;width=250&amp;showstop=1&amp;showinfo=1&amp;showvolume=1&amp;volumewidth=35&amp;sliderovercolor=ff0000&amp;buttonovercolor=ff0000" width="800px" height="64px" wmode="transparent" quality="high" allowFullScreen="true" allowScriptAccess="never" pluginspage="http://www.macromedia.com/go/getflashplayer" autoplay="false" autostart="false" /></td></tr> <tr><td class="aeva_t"><a href="http://mahaparamita.com/music.mp3" target="_blank" class="aeva_link bbc_link new_win">http://mahaparamita.com/music.mp3</a></td><td class="aeva_q" id="aqc1"></td></tr></table>


พระพุทธศาสนาเผยแผ่เข้ามาใน สุวรรณภูมิส่วนหนึ่งเข้าไปสู่ธิเบต มองโกเลีย จีน เวียดนาม เกาหลี ญี่ปุ่น อีกส่วนหนึ่งในส่วนที่เมืองไทยรับเข้ามานั้นเป็นพุทธศาสนาหินยานนิกายเถรวาททําไมพระพุทธศาสนาซึ่งมีพระบรมศาสดาองค์เดียวกันแต่กลับมีหลายนิกายหลายลัทธิ ?
นี่เป็นเพราะความยิ่งใหญ่ของพุทธศาสนานั่นเอง เสมือนต้นไม้ใหญ่ย่อมจะแผ่กิ่งก้านสาขาออกไปทุกทิศทางรวมถึงวัฒนธรรมจารีตประเพณีของกลุ่มชนในแต่ละท้องถิ่นที่รับเอาอิทธิพลพระ พุทธศาสนาเข้าไป ก็มีส่วนอย่างมากในอันที่จะปรับเปลี่ยนโครงสร้างหลักให้มีความเหมาะสมกลมกลืนกับท้องถิ่น เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการรับไว้โดยแท้จริงถ้าจะว่าไปแล้ว ทุกศาสนาล้วนเป็นไปในแนวทางนี้ทั้งสิ้น
ศาสนาเป็นเรื่องของความเชื่อความศรัทธาจําเป็นต้องมีการตรวจสอบโดยผู้ที่รับเข้ามาหรือผู้ที่มีศรัทธา เป็นการตรวจสอบโดยธรรมชาติอีกทางหนึ่ง
หากมีศาสนานั้น ๆ มีความมั่นคงเข้มแข็งพอศาสนานั้นหรือความเชื่อนั้นก็จะดํารงตนเองต่อไปอีกยาวนาน จะมั่นคงยั่งยืนอยู่ในกลุ่มชนนั้น ๆ ชั่วลูกชั่วหลานเรียกว่าเป็นการตรวจสอบโดยมวลชนในท้องถิ่นนั้น ๆ ในคัมภีร์พุทธศาสนาก็ยังปรากฏพระพุทธวัจนะทำนองนี้ดังที่ว่า.....พระพุทธศาสนาจะยั่งยืนอยู่ได้ ก็ด้วยพุทธบริษัททั้ง 4 เป็นอาทิ
ก็อีกนั่นแหละ ถ้าว่าไปแล้วก็เป็นธรรมดาของทุกศาสนาในโลกความที่ได้ผ่านการตรวจสอบของกาลเวลาและมีอายุการดํารงอยู่อย่างยืนยาวมันก็ต้องมีส่วนที่เป็นหลักเป็นเค้าโครงแท้จริงอยู่บ้างบวกเพิ่มเสริมแต่งเข้าไปบ้างสันนิษฐานเชิงวิชาการซ่อมแซมเข้าไปบ้างที่ไหน ๆ
มันก็มีอรรถกถาจารย์อยู่เกลื่อนปหมด เรื่องเช่นนี้จึงน่าจะเป็นเรื่องปกติธรรมดา บางส่วนก็เป็นแก่น บางส่วนก็เป็นกระพี้
อย่าลืมว่าศาสนาเป็นเรื่องของความเชื่อความศรัทธา ซึ่งเป็นหน้าที่ของจิตใจความคิดนึกโดยตรง เรื่องที่จะให้หลงผิดคิดไปคนละทางก็ย่อมเป็นไปได้ง่าย เหมือนลิงปอกกล้วยเข้าปาก เพราะแต่ละคนแต่ละชนชาติล้วนมีอัตตาเป็นที่ตั้งของตนทั้งสิ้น ยิ่งความเชื่อความศรัทธาแล้ว เป็นสิ่งที่เกิดจินตนาการได้อย่างหลากหลาย พระพุทธศาสนาก็ได้ชื่อว่าเป็นศาสนาแห่งความมีเหตุมีผล เป็นศาสนาในอาณาจักร์แห่งความคิดนึกโดยตรง   นี่ก็ยิ่งเป็นเชื้อเพลิงอย่างดีสําหรับการจุดประกายความคิดนึกที่แตกต่างกันออกไปให้เรืองจรัสขึ้นมาได้
วิธีที่ดีที่สุดสําหรับการรับรู้เรื่องราวของศาสนานั่นก็คือ เปิดใจให้กว้างรับฟังไว้ด้วยความเป็นบัณฑิตดังคำพระท่านว่าโยนิโสมนสิการต้องมีทมะในการรับฟังสิ่งที่ต่างไปจากตนโดยการพิจารณาไตร่ตรอง

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07 เมษายน 2553 15:06:25 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #1 เมื่อ: 07 เมษายน 2553 14:04:27 »

http://img688.imageshack.us/img688/4127/pi9004622452.jpg
พระพุทธศานสนามหายานกับจีน


จีน เป็นประเทศใหญ่ มีประชากรมากนับเป็นพันล้านพื้นที่กว้างขวางใหญ่โต ประมาณว่าพื้นที่เท่ากับ 1 ใน 15 ของพื้นที่โลก มีประชากรหลายเผ่าหลายพันธ์รวมกัน แต่ที่น่าทึ่งไปกว่านั้นคือมีประวัติศาสาตร์และมีประเพณีัวัฒนธรรมยาวนานนับ เป็นพัน ๆ ปี ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องรุ่นแล้วรุ่นเล่า เต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าสนเท่ห์  
อาณาจักร์อียิปต์ สุเมเรียน กรีก โรมัน แม้มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและยิ่งใหญ่ แต่ได้ขาดช่วงและล่มสลายไปแล้วก็มี บางส่วนก็ถูกกลืนไปผสมอยู่ในชนชาติและเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ก็มีแต่จีนยังคงเป็นอาณาจักร์ที่มีวัฒนธรรมสืบต่อกันมายาวนานนับพันปีโดยไม่ขาด ช่วงไม่ขาดตอนและรักษาจารีตความเป็นชนชาติแต่ดั้งเดิมไว้ได้จนทุกวันนี้ แถมยังเพิ่มดินแดนการปกครองเข้าไปอีกในปัจจุบัน
เมื่อพุทธศาสนาแผ่เข้าสู่จีน จึงเป็นเรื่องที่น่าติดตามและควรแก่การค้นคว้าศึกษา ความเป็นมาและเป็นไปเหล่านี้อย่างยิ่ง โดยเฉพาะพุทธศาสนาในจีนนั้น หลักใหญ่เป็นพุทธศาสนานิกายมหายาน ซึ่งก็มีหลายลัทธิแตกแขนงสาขาออกไปอีก ด้วยกุศโลบายการเผยแผ่ธรรมของทั้งสองฝ่ายคือ มหายานและหินยาน ทําให้มีข้อแตกต่างกันในรายละเอียดหลายส่วน ต่างฝ่ายต่างก็สร้างจุดเด่นเพื่อดึงมวลชนให้เข้ามาเลื่อมใสศรัทธานิกายของตนให้มากที่สุด แต่โดยปรัชญาธรรมอันเป็นที่สุดแล้ว ก็มีความมุ่งหมายไปในทางเดียวกันคือ สันติสุขแห่งสังคมโลก
ปัญหาพุทธศาสนาที่เกิดขึ้นในบ้านเรานั่นเป็นส่วนหนึ่งที่พยายามชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างของลัทธิและข้อดีข้อเด่นในแต่ละฝ่ายซึ่งปัญหาลักษณะนี้หากได้ศึกษาลงลึกกันแล้วจะเห็นได้ว่ามันมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลขณะที่พระบรมศาสดาเจ้ายังคงพระชนม์ชีพด้วยซํ้าไม่ใช่ของแปลกใหม่แต่ประการใด
จะใหม่ก็แต่วิธีการรูปแบบของปัญหาแต่เนื้อหาสาระของปัญหาเป็นเรื่องเก่าแก่นานมาแล้วเรื่องอย่างนี้จะผิดหรือถูกผมว่ามันอยู่ที่กาลเทศะมากกว่าไม่ใช่เรื่องปรัชญาหรือเชิงอรรถ
พระพุทธศาสนาเผยแผ่เข้าสู่แผ่นดินจีนราวพุทธศตวรรษที่ 3 โดยประมาณสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นพุทธมหายาน ซึ่งต่อมาราวพุทธศตวรรษที่ 7
พุทธศาสนาฝ่ายมหายานก็จําเริญขึ้นอย่างเต็มที่พระพุทธศาสนามหายานมีหลายนิกายแต่ก็สามารถดํารงไว้คู่เคียงกับศาสนาเต๋าซึ่งในต้นศตวรรษที่ 7
นั้นถือเป็นยุคทองของศาสนา(เต๋า)เข้าใจว่าพระพุทธศาสนาที่เผยแผ่เข้าสู่แผ่นดินจีนในครั้งกระนั้นน่าจะมีศาสนาพราหมณ์ปะปนเข้าไปบ้างแล้ว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07 เมษายน 2553 14:58:07 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #2 เมื่อ: 07 เมษายน 2553 14:11:01 »

http://img688.imageshack.us/img688/4127/pi9004622452.jpg
พระพุทธศานสนามหายานกับจีน


ครั้นต้องมาอยู่ในดินแดนถิ่นกําเนิดของศาสนา(เต๋า)ก็น่าจะได้รับอิทธิพลของเต๋าปะปนเข้าไปเช่นกันส่วนใหญ่จะสอดแทรกเข้ามาในรูปของพีธีกรรม เช่นเดียวกับพระพุทธศาสนาหินยานฝ่ายเถรวาทในบ้านเรา ซึ่งมีอิทธิพลของพราหมณ์เข้าเจือปนอยู่มาก ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นไปในรูปของพิธีกรรมถ้าพิจารณาโดยภาพรวมทั้งหมดของฝ่ายมหายานจะพบว่า ประเด็นสําคัญที่แตกต่างกันออกไปมากจากหินยานเถรวาทนั้น มักจะเป็นคติในแง่ปรมัตถธรรม โดยพระพุทธศาสนาหินยานมุ่งเผยแผ่พระสัทธรรมในรูปของ ธรรมาธิษฐาน Expostion in terms of Truth อธิบายธรรมในเชิงซ้อนอิงหลักเหตุและผลตามความเป็นจริง เป็นแนวคิดที่ตรงไปตรงมาในแง่ของเนื้อหาสาระ
ขณะที่พระพุทธศาสนามหายาน มุ่งไปที่แนวทางของ บุคลาธิษฐาน Personification อ้างอิงวัตถุธรรม หรืออาศัยกายภาพทางความคิดเป็นตัวสื่อยกเป็นข้อเปรียบเทียบที่สามารถสัมผัสจับต้องได้ (ทางกายและจิต) เป็นหลัก โดยอิงแนวปรัชญาธรรมและพิธีกรรมจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พระพุทธศาสนามหายานจะมีพระสูตรต่าง ๆ มากมาย ซึ่งเดินเนื้อหาของเรื่องด้วยปรัชญาธรรมเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งง่ายต่อการทําความเข้าใจในเบื้องต้นสําหรับคนหมู่มาก  
สมกับชื่อของนิกายว่า มหายาน คล้ายเป็นพาหนะขนาดใหญ่ที่สามารถจะเคลื่อนย้ายผู้คนไปได้คราวละมาก ๆ
เมื่อกล่าวถึงเรื่องราวของพระศาสนา ก็ต้องมีคําศัพท์เฉพาะทาง อ่านยาก ติดเข้ามาเป็นช่วง ๆ ไป ค่อย ๆ อ่าน ค่อย ๆ ทบทวนเอาแล้วกันตรงไหนที่พอจะอธิบายขยายความได้โดยไม่ทําให้เสียเนื้อหาสาระส่วนใหญ่ก็จะพยายามแทรกเอาไว้ตามสถานการณ์คัมภีร์ทางฝ่ายหินยานเถรวาทยึดเอาบาลีเป็นหลักในขณะที่คัมภีร์ฝ่ายมหายานยึดเอาภาษาสันสกฤตเป็นหลักต้องแปลจากทั้งสองภาษามาเป็นไทยแล้วต้องแปลจากไทยเป็นไทยอีกต่อหรือไม่ก็แปลเป็นภาษาอังกฤษเสียก่อนแล้วค่อยย้อนแปลเป็นภาษาไทยอีกทีหลายทอดหลายต่ออย่างนี้นี่ก็เป็นอีกเหตุหนึ่งที่ทําให้เนื้อหาสาระของแท้ดั้งเดิมเสื่อมคลายไปมาก เป็นเรื่องของภาษาศาสตร์มากกว่า
ด้วยเหตุนี้ มหายานจึงมีจุดเด่นในการนําเสนอพระสัทธรรมเชิงบุคลาธิษฐานเป็นที่ฮือฮาเฮโลกันไม่น้อยทีเดียวซึ่งเชื่อว่าน่าจะถูกจริตคนไทยมากที่สุด โดยเฉพาะพระสูตรบทหนึ่งของ มหายานลัทธิสุขาวดี ซึ่งเข้าไปมีบทบาทในแผ่นดินจีนมากที่สุดในราวพุทธศตวรรษที่ 8 - 9 ซึ่งตรงกับช่วงสมัย
(สามก๊ก) ตอนปลายที่แผ่นดินจีนระสํ่าระสายเข้าขั้นกลียุค.......................................................  
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07 เมษายน 2553 14:58:35 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #3 เมื่อ: 07 เมษายน 2553 14:18:26 »

http://img688.imageshack.us/img688/4127/pi9004622452.jpg
พระพุทธศานสนามหายานกับจีน


นั่นคือพระคัมภีร์ อมิตายุสูตร หรืออมิตายุรธยานสูตร เรียกได้อีกหลายชื่อที่ออกไปในทํานองนี้ อันพรรณนาความว่าด้วยพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งตรงนี้เป็นส่วนสําคัญของเรื่องที่กําลังเขียนถึงด้วย แล้วจะเกี่ยวโยงไปถึงอัลบั้มซีดี บทเพลงบรรเลงสวด ที่ได้แนะนํากันไว้ก่อนหน้าแล้วในอมิตายุสูตรของพระพุทธศาสนามหายาน ปรากฏความในตอนหนึ่งว่าสมัยหนึ่งเมื่อครั้งพระบรมศาสดาเจ้าประทับอยู่ ณ. เชตะวันวนารามซึ่งอนาถปิณฑิกเศรษฐีในกรุงสาวัตถีได้น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายเป็นพุทธบูชา
พร้อมด้วยสงฆ์สาวกประมาณ 1,250 พระองค์ ล้วนเป็นอรหันตขีณาสพ มีอาทิคือ พระสารีบุตรเถรเจ้า พระมหาโมคคัลลาน พระเรวัต พระจุฬปันถก
พระนันท พระอานนัท พระราหุล พระควัมปติ พระปิณโฑลภารัทวาช พระกาฬุทายี พระมหากัปปิน พระวักกุลและพระอนิรุทธ เป็นต้น
อีกทั้งพระมหาสาวกทั้งหลาย พระโพธิสัตว์ พระมหาสัตว์เช่นพระมัฌชุศรีกุมารภูต พระอชิตโพธิสัตว์ พระคันธหัสดินโพธิสัตว์ พระนิตโยทยุกโพธิสัตว์   อีกทั้งพระมหาโพธิสัตว์ทั้งหลายและเทพบุตรต่าง ๆ เป็นจํานวนมากมีท้าวสักกะเทวราชและท้าวสหัมปติพรหม เป็นต้น
เข้าใจว่ารจนาจารย์ มีเจตนาจะยกอ้างเอาพระนามเหล่านี้ เป็นเสมือนหนึ่งสักขีพยาน เพื่อจะทําให้พุทธนิทานมหายานมีนํ้าหนักเพื่อประโยชน์แห่งความเชื่อถือหรือน่าเชื่อถือ ด้วยมีบุคคลในประวัติศาสตร์ร่วมสมัยพระพุทธองค์ซึ่งหลายคัมภีร์ฝ่ายพุทธศาสนาให้การยอมรับ ปรากฏอยู่ในพระสูตรนี้ด้วย
สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสแก่พระสารีบุตรเถรเจ้าว่าจากที่นี้ไป 100,000 โยชน์ เบื้องปัจฉิมทิศ ทิศตะวันตก มีโลกธาตุแห่งหนึ่งชื่อ
ว่า สุขาวดีในที่นั้นมีพระตถาคตอรหัตสัมมา สัมพุทธเจ้า ผู้ทรงพระนามว่า อมิตยุส อมิตาภะพุทธเจ้า - อมิตายุร อมิตพุทธเจ้า - อานันทพุทธเจ้า
เสด็จสถิตเสวยสุขารมณ์และแสดงพระธรรมอยู่ในบัดนี้..............................................................
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07 เมษายน 2553 15:04:41 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #4 เมื่อ: 07 เมษายน 2553 14:26:20 »

http://img688.imageshack.us/img688/4127/pi9004622452.jpg
พระพุทธศานสนามหายานกับจีน


ดูก่อนสารีบุตรไฉนโลกธาตุนี้จึงได้ชื่อว่า สุขาวดีเล่า ?ก็เพราะว่าสัตว์ทั้งหลายในที่นั้นหมายถึงดินแดนสุขาวดีพุทธเกษตรมณฑล - Sukavadee Buddha Land ไม่มีทุกข์กายหรือทุกข์ใจ มีแต่ความสุขทุกอย่างเหลือประมาณเหตุนั้นจึงชื่อว่า สุขาวดี
ดูก่อนสารีบุตร เธอเคยนึกหรือไม่ว่า เหตุไฉนพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น จึงทรงพระนามว่าอมิตาภะ ดูก่อนสารีบุตรอันว่ารัศมีแห่งพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ย่อมส่องไปไม่มีที่สุดทั่วทิศานุทิศ เหตุนั้นจึงทรงพระนามว่า อมิตาภะ    
อนึ่ง สารีบุตร ชนมายุแห่งพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นกับทั้งบริวารของพระองค์นั้นไม่มีกําหนดขีดคั่นชั่วกัลปาวสานเหตุนั้นจึงทรงพระนามว่า อมิตาภะ
คําว่าอมิตา อมิตะ อมิตาภะหรืออมิตายุร หรืออมตะ แปลว่าหาที่สุดมิได้ไม่มีต้นไม่มีท่ามกลางและไม่มีที่สิ้นสุด เป็นอนันตกาล มีอายุยืนยาวหาที่สุดมิได้มีพระรัศมีแผ่ไปไม่รู้จบสิ้นพระรูปของพระพุทธเจ้าองค์นี้จึงมีเครื่องหมายสวัสติกะอยู่ตรงกลางพระอุระเสมอซึ่งตรงกับอักษรจีนอ่านว่า ว่าน
แปลว่าหมื่น หมายถึงมีอายุนับเป็นหมื่น ๆ ปีนั่นเอง
ความในพระสูตรนี้มีอีกมากยกมาเฉพาะส่วนที่เป็นสาระของเรื่องที่จะดําเนินไปเท่านั้นนอกจากพระบรมศาสดาเจ้าได้แสดงธรรมถึงองค์พระอมิตาภะพุทธเจ้าแล้วยังได้สาธยายถึงดินแดนแห่งสุขาวดีหรือพุทธเกษตรมณฑลในแง่ภูมิศาสตร์ รัฐศาสตร์ปรัชญาสังคมและความงดงามร่มรื่นเป็นความมหัศจรรย์อีกมากมายสุดพรรณนารวมความถึงได้ทรงจําแนกพระพุทธเจ้าอีกจํานวนมากซึ่งปรากฏอยู่ในโลกธาตุในทิศต่าง ๆ
พระพุทธศาสนาหินยานฝ่ายเถรวาท มีคติเรื่องโลกธาตุเอาไว้เพียง 31 โลกธาตุเท่านั้น
นั่นคือการจําแนกสวรรค์เรียงลําดับชั้นจากโลกมนุษย์ขึ้นไปเช่น สวรรค์ที่ต่อแดนกับมนุษย์โลกคือ สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิก มนุษย์โลก - เทวโลก - พรหมโลก ถือว่าติดกับโลกมนุษย์มากที่สุด แล้วก็เรียงลําดับโลกธาตุขึ้นไปเป็นสเต็ปและไกลออกไปจนสุดขอบเขตชนิดที่ไม่มีกลางวันกลางคืนพ้นรัศมีจากระบบสุริยจักรวาล แสงดวงอาทิตย์สาดส่องไปไม่ถึงสุดเขตแดนสุญญากาศนั่นคือสวรรค์ชั้น เนวสัญญานาสัญญยตน เป็นที่สถิตของ อรูปพรหม ในทางเต๋าเชื่อกันว่าองค์เต่าหมู่เทียนจุน ก็ประทับอยู่ที่สวรรค์ชั้นนี้
แต่ฝ่ายมหายานนั้นมีโลกธาตุหรือโลกอื่นๆนอกจากโลกมนุษย์อีกมากซึ่งลําดับในชั้นต้นนั้นจากคัมภีร์หลายฝ่ายก็สอดคล้องกัน
จะแตกต่างกันไปบ้างก็ในช่วงปลายซึ่งพระศากยมุนีพุทธเจ้าก็ทรงลําดับเอาไว้ในพระสูตร ฝ่ายมหายาน ที่ว่านี้เช่นกัน
นอกจากความเชื่อซึ่งเป็นคติของพุทธศาสนามหายานในเรื่องโลกธาตุแห่งหนึ่งคือ แดนสุขาวดีพุทธเกษตรมณฑลแล้ว ลัทธิตรีกายที่มีคติว่าพระพุทธเจ้ามี 3 กาย ก็มีบทบาทอย่างมากในนิกายนี้เช่นกัน  
แต่มีประเด็นหนึ่งซึ่งเป็นประเด็นที่โดดเด่นมาก ๆ สำหรับพุทธนิกายมหายานซึ่งทำให้นิกายนี้ต่างไปจากหินยานเถรวาทอยู่ไม่น้อยนอกจากสองสามประเด็นที่ว่ามาแล้วประเด็นที่ว่านี้ก็คือ เรื่องราวของ พระโพธิสัตว์
ในพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทไม่ค่อยจะได้พบคำนี้บ่อยนักแต่ถ้าเป็นคัมภีร์หรือพระสูตรต่าง ๆ ของมหายานที่มีมากมายนั้นพระโพธิสัตว์กลาย
เป็นอีกจุดเด่นหนึ่งและมหายานให้ความสำคัญมากทีเดียว



บทความโดย..........................ธนกฤต เสรีรักษ์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07 เมษายน 2553 15:05:31 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #5 เมื่อ: 07 เมษายน 2553 16:40:20 »



อนุโมทนาสาธุค่ะ น้อง"บางครั้ง"
บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.266 วินาที กับ 31 คำสั่ง

Google visited last this page 01 เมษายน 2567 15:26:57