[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
15 ธันวาคม 2567 03:09:10 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: น้าแม๊คพาเที่ยว ขึ้นเหนือแอ่วเมืองเจียงใหม่ ภาค ๔ พระธาตุดอยคำ - งานพืชสวนโลก  (อ่าน 15143 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7866


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 11.0.696.71 Chrome 11.0.696.71


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 01 มิถุนายน 2554 14:55:33 »

น้าแม๊คพาเที่ยว ขึ้นเหนือแอ่วเมืองเจียงใหม่

ภาค ๔ พระธาตุดอยคำ - งานพืชสวนโลก






ซีรี่ย์ท่องเที่ยวเมืองเจียงใหม่ โดยน้าแม๊ค ก็มาถึงภาคสี่แล้วครับ
ซึ่งถ้าใครยังไม่ได้อ่านภาค ๑ - ๓ สามารถติดตามอ่านได้ที่

http://www.sookjai.com/index.php?topic=18783.0 <<< ภาค ๑ !!!

http://www.sookjai.com/index.php?topic=18910.0 <<< ภาค ๒ !!!

http://www.sookjai.com/index.php?topic=19141.0 <<< ภาค ๓ !!!


สาเหตุที่ภาคสี่นี้ผมรวมสองสถานที่ไว้ด้วยกัน เพราะมันอยู่ใกล้กัน

ก็เลยทำไว้เป็นไกด์ไลน์สำหรับคนที่ไปเที่ยวครับ จะได้ไม่ต้องย้อนไปย้อนมา เที่ยวมันซะให้เปรม !

 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น


<table class="maeva" cellpadding="0" cellspacing="0" border="0" style="width: 800px" id="sae1"> <tr><td style="width: 800px; height: 64px" colspan="2" id="saeva1"><script type="text/javascript"><!-- // --><![CDATA[ var oldLoad = window.onload; window.onload = function() { if (typeof(oldLoad) == "function") oldLoad(); if (typeof(aevacopy) == "function") aevacopy(); } // ]]></script><embed type="application/x-shockwave-flash" src="http://www.flash-mp3-player.net/medias/player_mp3_maxi.swf?mp3=http://www.sookjai.com/external/chaingmai.mp3&amp;width=250&amp;showstop=1&amp;showinfo=1&amp;showvolume=1&amp;volumewidth=35&amp;sliderovercolor=ff0000&amp;buttonovercolor=ff0000" width="800px" height="64px" wmode="transparent" quality="high" allowFullScreen="true" allowScriptAccess="never" pluginspage="http://www.macromedia.com/go/getflashplayer" autoplay="false" autostart="false" /></td></tr> <tr><td class="aeva_t"><a href="http://www.sookjai.com/external/chaingmai.mp3" target="_blank" class="aeva_link bbc_link new_win">http://www.sookjai.com/external/chaingmai.mp3</a></td><td class="aeva_q" id="aqc1"></td></tr></table>


Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7866


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 11.0.696.71 Chrome 11.0.696.71


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 01 มิถุนายน 2554 15:10:40 »

หลังจากผมพาตะแล๊ดแต๊ดแต๋มาสามที่แล้วในเมืองเชียงใหม่
หาอ่านได้ในน้าแม๊คพาเที่ยวเชียงใหม่ภาคก่อน ๆ

ภาคนี้น้าแม๊คจะพาเที่ยว พระธาตุดอยคำ แล้วก็งานพืชสวนโลกครับ
สาเหตุที่มาที่นี่เพราะว่า ในภาคก่อนที่น้าแม๊คพาเที่ยว น้าแม๊คพาเที่ยวที่วัดอุโมงค์ซึ่งอยู่เส้นหลัง มช.
พอออกจากเส้นนั้นมาปุ๊บ ก็วิ่งมาทางเส้น หางดง ครับ หากใครมาเชียงใหม่บ่อย ๆ
ให้จับจุดเส้นคลองชลประทานครับ จะง่ายที่สุด เพราะคลองนี้ผ่านจุดสำคัญ ๆ เยอะครับ
เช่นผ่านเส้น มช. ผ่านสนามกีฬา 700 ปี ผ่านหลังศาลากลาง ผ่านเชียงใหม่ภูคำ ผ่านพืชสวนโลก ฯลฯ
ซึ่งในที่นี้เราก็วิ่งเส้นคลองชลประทาน (หมายถึงนั่งรถครับ ไม่ใช่ลงไปวิ่ง) ระยะทางไม่มากไม่มายครับ
จนมาถึงบริเวณทางเข้า จะมีป้ายตัวเบ้อเริ่มครับ ซึ่งตรงปากทางเข้าพืชสวนโลก ถนนเส้นนี้สามารถไปได้
สามที่ด้วยกันครับ คือ เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี มหกรรมพืชสวนโลก แล้วก็ พระธาตุดอยคำครับ

สำหรับวันนี้น้าแม๊คจะพาไปสองที่คือ ที่จัดงานมหกรรมพืชสวนโลก แล้วก็พระธาตุดอยคำครับ

บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7866


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 11.0.696.71 Chrome 11.0.696.71


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 01 มิถุนายน 2554 15:32:26 »


วัดพระธาตุดอยคำ

ต.แม่เหียะ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ (พระเกศาธาตุ)

วัดพระธาตุดอยคำ สร้างในสมัยพระนางจามเทวีกษัตริย์แห่งลำพูนโดยพระโอรสทั้ง 2 เป็นผู้สร้าง
ในปี พ.ศ.1230 ประกอบด้วยเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ศาลาการเปรียญกุฏิสงฆ์

และพระพุทธรูปปูนปั้น เดิมชื่อวัดสุวรรณบรรพต แต่ชาวบ้านเรียกว่า "วัดดอยคำ" ตามประวัติ
เมื่อ พ.ศ.2509 ขณะวัดนั้นยังเป็นวัดร้าง กรุแตกพบโบราณวัตถุหลายชิ้นอาทิเช่น
พระรอดหลวงเป็นพระหินทรายโบราณ ปิดทององค์ใหญ่ พระสามหอม(เนื้อดิน)

และพระคง(เนื้อดิน) ส่วนพระแก้วมรกตประจำองค์พระนางเจ้าจามเทวี หน้าตัก 5 นิ้วมีคำเล่ากันว่า
มีชาวบ้านมาพบตอนกรุแตกและได้นำไปบูชาส่วนตัว ไม่สามารถนำกลับมาได้การบูรณะวัด
และบริเวณใกล้เคียงตั้งแต่ พ.ศ.2524 เป็นต้นมา ได้มีการบูรณะวิหารศาลา
 
วัด หุ้มทรงพระเจดีย์ บูรณะพระพุทธรูปองค์ใหญ่ "พระพุทธนพีสีพิงค์" และล่าสุดในปี พ.ศ.2538
ได้มีพิธีเททองหล่อพระอนุสาวรีย์พระเจ้าจามเทวี ณ ลานวัดพระธาตุดอยคำ และมีพิธีพุทธาภิเษก
เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2538 ลักษณะศิลปกรรม องค์เจดีย์เป็นสถาปัตยกรรมแบบล้านนา
รูปแบบเจดีย์ทรงกลม ดัดแปลงมาลัยเถาเป็นเหลี่ยมศิลปกรรมในวัด


อันพระธาตุดอยคำนั้นล้ำค่า              สถิตอยู่คู่พารามานานหลาย
เป็นปูชนียสถานพรรณราย                ปวงทวยเทพกราบไหว้แต่ไรมา
เป็นสถานศักดิ์สิทธิ์มหิทธ์ยิ่ง              เพราะเป็นมิ่งชาวพุทธสุดจักหา
บรรจุพระบรมธาตุจอมศาสดา            ประสาทให้ด้วยหัตถาของพระองค์
เราชาวไทย ต่างกราบไหว้ด้วยใจภักดิ์    ช่วยปกปักป้องไว้ให้สูงส่ง
ช่วยเสริมต่อก่อให้สวยช่วยจรรโลง       เพื่อดอยคำให้ดำรงอยู่คู่ดินฟ้าเอย


ตำนานพระเจ้าเลียบโลก กล่าวว่า... สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จไปพักประทับนอนที่ภูเขาลูกเล็กลูกหนึ่ง
อยู่ทางทิศตะวันตก พระองค์ประทับอยู่ใต้ต้นมะขามใหญ่ต้นหนึ่ง ซึ่งใหญ่ประมาณ ๘ กำ สูง ๑๕ ศอก
ทรงประทับอยู่เมตตาในที่นั้นตลอดราตรี ในกลางคืนนั้นเทพยดาทั้งหลายก็โสมนัสยินดี
จึงบันดาลให้ฝนเงิน ฝนทองคำตกลงมาบูชาพระพุทธองค์ ครั้นสว่างขึ้นมา แก้ว เงิน ทองคำ เหล่านั้น
ก็หายเข้าไป สู่ใต้ภูเขาลูกเล็กนั้นสิ้น เป็นไปเพราะพุทธานุภาพ เหตุนั้นภูเขาลูกนั้นจึงได้ชื่อว่า
“ดอยเขาคำหลวง” (พระธาตุดอยคำ ตำบลแม่เหียะ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่)

แล้วพวกเทพยดาทั้งหลายก็กราบทูลขอรอยพระบาทจากพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ตรัสว่า
“สถานที่นี้ ไม่มีที่จะไว้รอยพระบาทตถาคต” พอรุ่งสว่างดีแล้วก็เสด็จไปทางทิศตะวันออก
ทรงพบก้อนหินหนึ่งงดงามยิ่ง ทรงประทับนั่งผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก ทรงทอดพระเนตร
ดูสถานที่แห่งนั้น แล้วทรงรำพึงว่า “สถานที่นี้ ต่อไปภายหน้าจักเป็นมหานครเมืองใหญ่
จักเป็นที่อยู่แห่งกษัตริย์และคนทั้งหลาย ศาสนาตถาคตจะมาดำรงอยู่ในเมืองที่นี้ เป็นที่รุ่งเรืองยิ่ง
จักปรากฏชื่อเสียงไปทั่วทิศ ในเมืองนี้จะมีอารามใหญ่อยู่ ๘ หลัง เหมือนดังที่เคยนั่งภาวนาที่
โสฬสสถาน ๑๖ แห่งในเมืองลังกาทวีปนั้นเถิด” ทรงรำพึงเช่นนี้แล้ว เสด็จลุกขึ้นแล้วทรงเหยียบ
รอยพระบาทไว้เหนือหินที่ประทับนั่ง ส่วนรอยพระพุทธบาทที่กล่าวในตำนานนั้นได้จมหายไป
ในพื้นดิน โดยมีเทพเจ้ารักษาไว้ ซึ่งในกาลเบื้องหน้าจักขึ้นมาปรากฏแก่มหาราชทั่วไป



บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7866


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 11.0.696.71 Chrome 11.0.696.71


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 01 มิถุนายน 2554 15:40:25 »


ตำนานพระธาตุดอยคำ
ซึ่งได้รับการเรียบเรียงขึ้นโดย สุทธวารี สุวรรณภาชน์ สรุปได้ดังนี้

“เมื่อครั้งที่พระพุทธองค์มีพระชนมายุได้ ๕๐ ปีเศษ พระองค์ได้นำพระภิกษุอรหันต์พร้อมด้วยพระอินทร์
มุ่งหน้าขึ้นสู่ทิศเหนือผ่าน เมืองบุรพนคร และได้พักอยู่ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งปัจจุบันนี้เป็นสถานที่ตั้งของวัด
เจดีย์เหลี่ยม จากนั้นเสด็จต่อไปถึงดอยคำซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก ณ ที่นั้น ทรงพบว่ามียักษ์สามตน
พ่อ แม่ ลูก อาศัยอยู่และยังชีพด้วยเนื้อมนุษย์หรือเนื้อสัตว์ตลอดมา

ทันทีที่พวกเขาเห็นพระพุทธองค์พร้อมด้วยเหล่าสาวก ก็หมายจะจับกินเป็นอาหารดังเช่นเคย
แต่พระพุทธองค์ทรงแผ่เมตตาห้ามจิตกิเลสของพวกเขาให้อ่อนลง จนต้องเข้ามากราบพระองค์
ด้วยความยำเกรง จากนั้นพระพุทธองค์ทรงทำนายว่าหลังจากที่พระองค์ปรินิพพานไปแล้ว
จะมียักษ์ตนหนึ่งสามารถปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ได้ ซึ่งหมายถึงยักษ์ผู้เป็นลูกนั่นเอง

เนื่องจากยักษ์ผู้เป็นผัวนามว่า “จิคำ” และผู้เป็นเมียชื่อว่า “ตาเขียว” ไม่สามารถจะรักษาศีลห้า
ได้ตลอด จึงขออนุญาตพระพุทธเจ้ากินเนื้อมนุษย์ปีละ ๒ หน เมื่อพระองค์ไม่อนุญาตจึงขอเปลี่ยน
เป็นเนื้อสัตว์ แต่พระองค์ก็เลี่ยงให้ไปขอเจ้าผู้ครองนครเอง ซึ่งท่านเจ้าเมืองก็ยินยอม ดังนั้น
จึงมีพิธีฆ่าควายเผือกเขาเพียงหูให้ปู่แสะขึ้นที่บริเวณวัดฝายหิน เชิงดอยสุเทพ และการจัดพิธี
ฆ่าควายดำเขาเพียงหูให้ย่าแสะที่เชิงดอยคำ จึงมีมาถึงบัดนี้

ภายหลังเมื่อลูกยักษ์ขอบวช พระพุทธเจ้าจึงแสดงธรรมให้ฟังพร้อมกับประทานพระเกศาธาตุ
ซึ่งทรงอธิษฐานให้เป็นพระธาตุของพระองค์ให้กับพ่อและแม่ของลูกยักษ์ตนนั้น จำนวน ๑ ปอย
แล้วบอกทั้งสองรักษาไว้ให้ดี เนื่องจากจะใช้เป็นที่เคารพบูชาแทนพระองค์ได้ และสถานที่แห่งนี้
ก็จะเป็นที่ประชุมของผู้มีบุญญาธิการทั้งหลายในภายภาคหน้า ยักษ์ทั้งสองจึงนำพระธาตุบรรจุ
ไว้อย่างดีในผอบแก้วมรกต จากนั้นได้เกิดศุภนิมิตขึ้น คือมีฝนตกหนักเป็นเวลา ๓ วัน ๓ คืน
แล้วเม็ดฝนได้กลายเป็นทองคำไหลเข้าสู่ถ้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งต่อมาเรียกชื่อกันว่า “ถ้ำคำ” ต่อมาไม่นาน
ลูกยักษ์ได้ขอลาสิกขาบทเพื่อบวชเป็นฤาษี พระพุทธองค์ทรงอนุญาตพร้อมกับตั้งชื่อให้ว่า
“วาสุเทพฤาษี” นับแต่นั้นเป็นต้นมา


รูปปู่แสะ - ย่าแสะ

ตำนานพื้นเมือง กล่าวว่า ปู่แสะย่าแสะ เป็นผีบรรพบุรุษของพวกลัวะ มีหน้าที่ดูแลรักษาเมืองเชียงใหม่
กษัตริย์ ขุนนาง และชาวบ้าน จะต้องร่วมกันทำพิธีเลี้ยงผีปู่แสะย่าแสะเป็นประจำทุกปี พิธีบวงสรวงปู่แสะ
และย่าแสะ จึงกระทำเป็นประเพณีสืบมา โดยถือเอาวันแรม ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๗ (เดือน ๙ เหนือ)
เป็นวันบวงสรวง แต่ต่อมาราวปี พ.ศ.๒๔๘๐ ทางรัฐบาลได้สั่งให้งดพิธีบวงสรวงดังกล่าว
จนกระทั่งถึงปี พ.ศ.๒๔๘๓ – ๒๔๘๔ ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดสงครามอินโดจีนขึ้น จึงมีการฟื้นฟูประเพณีนี้
ขึ้นมาอีกในวันเวลาเดิม โดยพิธีจะมีการฆ่าควายดำตัวเดียว แล้วมีคนทรงให้ปู่แสะย่าแสะลงประทับทรง
ณ สถานที่ซึ่งทั้งสองสถิตอยู่ คือที่เชิงดอยคำทางทิศตะวันออก


อุโมงค์ใต้ดินจากดอยคำถึงอ่างสลุง

พระแม่เจ้าจามเทวี ทั้งท่านพระสุเทพฤาษี พระพี่เลี้ยงทั้งสอง หมู่ปุโรหิตและขุนนางผู้ใหญ่รวม ๑๐๐ เศษ
ได้เสด็จเข้าในอุโมงค์ดอยคำ ตรงไปยังอุจฉุตบรรพต (ดอยสุเทพ) และต่อไปยังดอยอ่างสลุง
เพื่อไปกระทำพระราชพิธีทรงน้ำมูรธาภิเษกที่นั้น เมื่อวันขึ้น ๑๒ ค่ำเดือน ๗ ปีมะเมีย พุทธศก ๑๒๐๒
(คงใช้เวลาเดินทางประมาณ ๒ - ๓ วันก็ถึงดอยอ่างสลุง)


ขุนแผนกับอุโมงค์ดอยคำ

สมัยที่ขุนแผน ชาวสุพรรณบุรี ยกทัพไปตีเมืองเชียงอินทร์ (คือเชียงใหม่ปัจจุบัน) ผ่านเชียงทอง
(อ.จอมทอง) ได้พบทางลับใต้ดินจากดอยจอมทองไปถึงดอยคำ ภายในอุโมงค์ถ้ำดอยคำสามารถ
บรรจุคนได้ร่วม ๑๐๐ คน ถ้ำนี้เคยเป็นที่อาศัยของปู่แสะย่าแสะ พระฤาษีสุเทพ และพระแม่เจ้าจามเทวีมาแล้ว
ขุนแผนได้ใช้เส้นทางลับใต้ดินนี้จากจอมทองเข้าไปจับเมืองเชียงอินทร์ได้ อย่างง่ายดาย
โดยมิต้องใช้กำลังรี้พลมากนัก

สำหรับเรื่องนี้ อาจารย์ชุ่ม ณ บางช้าง ได้ให้ทัศนะว่า ภายในถ้ำจะต้องกว้างขวางคล้ายกับท้องพระโรงใหญ่
เพราะมีข้อความปรากฏในเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนว่า เมื่อครั้งที่ขุนแผนยกทัพมาจับเจ้าเมืองเชียงใหม่นั้น
ได้เดินทางมาพร้อมกับพระไวยบุตรชายและทหารจำนวน ๓๕ คน แล้วระหว่างทางได้อาศัยถ้ำดอยคำแห่งนี้
เป็นที่พักหลบซ่อนตัว ก่อนที่จะเข้าตีเมืองเชียงใหม่ นอกจากนี้ ระหว่างการเดินทางกลับ ขุนแผนยังได้พักพล
อยู่ที่วัดป่าม่วง เมืองตาก และได้สร้างพระพุทธรูปจำนวนแปดหมื่นสี่พันองค์เพื่อบรรจุไว้ที่ถ้ำดอยคำ
ตำนานตอนนี้จึงเป็นการกล่าวถึงการกำเนิดของพระเครื่องชื่อ “พระสามกุมาร” ซึ่งสร้างขึ้นในครั้งนั้น
ที่ถ้ำดอยคำนี้ ต่อมามีผู้ยืมของใช้ต่างๆ และเครื่องบวชไปแล้วไม่คืนเทพยดาจึงบันดาลให้มีก้อนหินก้อนใหญ่
มาปิดปากถ้ำ เสีย ส่วนที่จอมทองได้สร้างพระเจดีย์ปิดปากอุโมงค์ไปแล้ว


บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7866


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 11.0.696.71 Chrome 11.0.696.71


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: 01 มิถุนายน 2554 15:52:08 »


พระบรมธาตุเจดีย์ วัดพระธาตุดอยคำ

ประวัติพระบรมธาตุเจดีย์ วัดพระธาตุดอยคำ เป็นสถาปัตยกรรมแบบล้านนา รูปแบบเจดีย์ทรงกลม
ดัดแปลงมาลัยเถาเป็นเหลี่ยม ซึ่งเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุส่วนพระเกศาของพระพุทธเจ้าพระสมณโคดม
ซึ่งสร้างในสมัยพระแม่เจ้าจามเทวี กษัตริย์แห่งลำพูน โดยพระโอรสทั้ง ๒ เป็นผู้สร้างในปี พ.ศ.๑๒๓๐
จ.ศ ๔๙ เมื่อทรงบรรจุพระบรมธาตุสำเร็จแล้ว ทรงอธิษฐานดังที่พระบิดาเลี้ยงของพระองค์รับคำ
ของพระพุทธองค์ว่า หากแม้ว่ายังมิถึงเวลาที่พระบรมธาตุนี้จักรุ่งเรือง โดยมีผู้มีบุญญาธิการต่างๆ มารวมกันแล้ว
อย่าได้มีผู้ใดผู้หนึ่งมาสร้างวัดวาอาราม หรือสร้างสถานอย่างหนึ่งอย่างใด หรือมีผู้ทุศีลประกอบด้วยอบายต่างๆ
มาอาศัยอยู่ จักทำให้ทรัพย์สิ่งของโบราณวัตถุต้องสูญสลายเพราะบุคคลเหล่านั้น

ตามพุทธทำนายทรงกล่าวไว้ว่า เมื่อได้กึ่งพุทธกาล หลังจากที่พระพุทธองค์เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว
พระธาตุนี้จะรุ่งเรืองด้วยการสักการบูชากราบไหว้ ด้วยความเลื่อมใสของปวงชนหาแห่งใดเท่าเทียมมิได้
อาจเป็นด้วยแรงอธิษฐานดังกล่าวแล้ว เมื่อมีผู้สร้างอารามขึ้นภายหลังก็ถูกรื้อถอน และปล่อยร้างไว้
หลายยุคหลายสมัยมาแล้ว แม้จะมีผู้เลื่อมใสศรัทธาบูรณะขึ้นได้ไม่เท่าไหร่ก็เสื่อม โทรมร้างไปอีกเช่นเดิม
จวบจนปัจจุบันนี้ ได้มีผู้มีบุญญาธิการต่างๆ เริ่มทำบุญกันมากขึ้นและยิ่งเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ เป็นลำดับมา

ในปี พ.ศ.๒๕๐๙ ขณะนั้นวัดพระธาตุดอยคำยังเป็นวัดร้าง กรุแตกพบโบราณวัตถุหลายชิ้นอาทิเช่น
พระรอดหลวง เป็นพระหินทรายโบราณ ปิดทอง องค์ใหญ่, พระสามหอม (เนื้อดิน) และ พระคง (เนื้อดิน)
ซึ่งนำมาบูชาไว้ ณ วิหารวัดพระธาตุดอยคำ ส่วนพระแก้วมรกตประจำพระองค์ของพระแม่เจ้าจามเทวี
หน้าตัก ๕ นิ้ว เล่ากันว่ามีชาวบ้านมาพบตอนกรุแตก และได้นำไปบูชาส่วนตัวไม่สามารถตามกลับมา
ให้เป็นที่สักการะแก่สาธุชนได้


มูลเหตุเจดีย์แตกทำให้พบพระพิมพ์

สาเหตุสำคัญคือ พุทธศักราชที่ ๒๕๐๙ ได้เกิดฝนตกหนักคืนหนึ่ง ชาวบ้านได้ยินเสียงดังเหมือนภูเขาถล่ม
รุ่งเช้าพบว่าพระเจดีย์เก่าแก่นั้นพังทลายลงมา จึงได้นำความไปบอกพระครูไฝ (พระครูปริยัตยานุรักษ์)
วัดพันอ้น จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นผู้ดูแลอยู่ในเวลานั้น พระครูไฝจึงได้เดินทางมาถึง พร้อมกับได้เก็บ
วัตถุโบราณรักษาไว้ รวมทั้งพระพิมพ์จำนวนมาก บรรจุใส่กระสอบลงมาเก็บไว้ที่วัดพันอ้น และพระครูไฝ
ได้มีความคิดที่จะให้นำเอาพระพิมพ์ออกให้ประชาชนเช่าบูชาเพื่อนำ เงินไปบูรณะเจดีย์ และดอยคำต่อไป

พระพิมพ์ที่พบในครั้งนั้น ได้มีการแบ่งแยกพิมพ์ต่างๆ ออกเป็นหลายๆ ประเภท มีทั้งพระพุทธรูป พระเนื้อชิน
และเนื้อดิน พระพุทธรูปส่วนใหญ่เป็นพระอุปคุตจกบาตร พระหินจุยเจีย และพระแก้วสีต่างๆ จำนวนหนึ่ง
พระพิมพ์เนื้อชิน เป็นพระลีลาเดียว


งานประจำปี

วัดพระธาตุดอยคำ จะมีงานประจำปี ๒ ครั้ง ได้แก่ งานสรงน้ำพระบรมธาตุ ซึ่งจะมีขึ้นในวันแรม ๘ ค่ำ
เดือน ๘ เหนือ (เดือน ๖ ใต้) โดยในงานจะมีการจุดประทีปโคมไฟและบ้องไฟต่างๆ มากมาย
และอีกงานหนึ่ง คืองานทานสลากภัตซึ่งจะมีขึ้นในวันแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๙ เหนือ (เดือน ๗ ใต้)
ในงานนี้จะมีงานเลี้ยงปู่แสะย่าแสะ ซึ่งปัจจุบันใช้ควายดำเขาเพียงหูให้ผ่านร่างคนทรง โดยใช้พื้นที่
ด้านทิศตะวันออกของดอยคำเป็นที่ประกอบพิธี


ประวัติขุนหลวงวิรังคะ

ประวัติขุนหลวงวิรังคะ ใน สมัยที่พระแม่เจ้าจามเทวีปกครองเมืองหริภุญชัยราว พ.ศ.๑๓๐๐ ในสมัยนั้น
เล่ากันว่า นครหริภุญชัยเป็นนครของชนชาติมอญ หรือเม็ง และในขณะเดียวกันบริเวณเชิงดอยสุเทพ
เป็นที่ตั้งบ้านเมืองของชาวลัวะ มีขุนหลวงวิรังคะเป็นเจ้าเมืองหรือหัวหน้า ขุนหลวงวิรังคะมีความรัก
ในพระแม่เจ้าจามเทวี มีความประสงค์จะอภิเษกกับพระแม่เจ้าจามเทวี แต่พระแม่เจ้าจามเทวีไม่ปรารถนา
จะสมัครรักใคร่กับขุนหลวงลัวะ เพราะเป็นกลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมต่ำกว่ามอญในสมัยนั้น ขุนหลวงได้ส่งทูต
มาเจริญไมตรีขอพระแม่เจ้าจามเทวีอภิเษกด้วย พระแม่เจ้าจามเทวีก็ผลัดผ่อนหลายครั้ง โดยมีเงื่อนไขต่างๆ
ได้แก่ ขอให้ขุนหลวงสร้างเจดีย์ที่มีขนาดและลักษณะคล้ายกับเจดีย์พระธาตุหริภุญชัย ให้ขุนหลวงพุ่งเสน้า
มาตกที่ในเมือง พระแม่เจ้าจามเทวีจึงจะอภิเษกสมรสด้วย

แต่ขุนหลวงวิรังคะ ก็ไม่สามารถทำสำเร็จและหนีออกจากเมืองไป ก่อนสิ้นชีวิต ขุนหลวงวิรังคะได้ขอให้
เสนาอำมาตย์นำศพของท่านไปฝังไว้ ณ สถานที่ที่ขุนหลวงจะสามารถมองเห็นเมืองหริภุญชัยได้ตลอดเวลา

เสนาอามาตย์ที่หามโลงศพของขุนหลวงได้เดินทางไต่ตีนเขาไปทางทิศเหนือ ถึงบริเวณแห่งหนึ่ง
โลงศพได้คว่ำตกลงจากที่หาม เสนาอามาตย์จึงได้ฝังศพของขุนหลวงไว้ ณ สถานที่บนภูเขาแห่งนี้
ซึ่งจะสามารถมองเห็นเมืองหริภุญชัยได้ตลอดเวลา ยอดภูเขานี้ชาวบ้านเรียกว่า ดอยคว่ำหล้อง
(หล้อง หมายถึง โลงศพ)

ชาวบ้านเล่าว่า ดวงวิญญาณของขุนหลวงจะสถิตอยู่ ๓ แห่งได้แก่ บนดอยคว่ำหล้อง ศาลที่บ้านเมืองก๊ะ
อำเภอแม่ริม และอีกแห่งหนึ่งคือ บริเวณดอยคำ อำเภอเมือง ซึ่งตั้งอยู่ทิศใต้ของดอยสุเทพ
ปัจจุบันบนยอดดอยมีวัดชื่อว่า วัดพระธาตุดอยคำ


ประวัติพระฤาษีวาสุเทพ

ประวัติพระฤาษีวาสุเทพ ภาย หลังจากที่พระพุทธเจ้าอนุญาตให้ลูกยักษ์บวชเป็นพระฤาษีนามว่า วาสุเพทฤาษี
แล้ว ฤาษีตนนี้ได้ไปตั้งอาศรมอยู่หลังดอยสุเทพ ตัวปู่แสะอาศัยอยู่บริเวณวัดฝายหินและตัวย่าแสะ
ได้อยู่รักษาถ้ำดอยคำไว้ หลังจากที่ปู่แสะและย่าแสะได้ตายไป วาสุเทพฤาษีจึงเป็นผู้ดูแลถ้ำดอยคำพร้อมกับ
พระบรมธาตุสืบต่อมา พิธีการเซ่นสรวงบูชาดวงวิญญาณของปู่แสะย่าแสะก็ยังคงมีอยู่ จนกระทั่งปี พ.ศ.๑๑๗๖
วาสุเทพฤาษีองค์ที่ ๘ ได้ทารกเพศหญิงซึ่งมีลักษณะของผู้มีบุญญาธิการมาเลี้ยงไว้ ๑ คน โดยให้ชื่อว่า “วี”
เมื่อนางเติบโตขึ้นเป็นพระแม่เจ้าผู้มีสิริโฉมงดงาม พระแม่เจ้าจามเทวียังได้ครองนครหริภุญชัย (เมืองลำพูน)
อีกด้วย เมื่อวาสุเทพฤาษีสิ้นไปแล้ว พระแม่เจ้าจามเทวีจึงรับภาระการรักษาดูแลพระบรมธาตุและถ้ำดอยคำ
สืบต่อมา


ประวัติพระแม่เจ้าจามเทวี

ประวัติพระแม่เจ้าจามเทวี วีรสตรีปฐมกษัตริย์กษัตริย์แห่งหริภุญชัย พระแม่เจ้าจามเทวีขึ้นครองราชย์
นครหริภุญชัย ระหว่าง พ.ศ. ๑๒๐๒ - ๑๒๓๑ เป็นปฐมกษัตริย์และเป็นต้นราชวงศ์จามเทวี
พระองค์ได้ทำการบูรณะรอยพระพุทธบาท พระบรมธาตุเจดีย์ และวัดวาอารามต่างๆ ทรงบำเพ็ญ
หิตานุหิตประโยชน์ไว้กับพระพุทธศาสนาอย่างมากมาย นับจำนวนอารามที่พระแม่เจ้าจามเทวี
ได้ทรงสร้างไว้แต่ครั้งอยู่ละโว้ (ลพบุรี) สร้างอารามที่สุโขทัย ละโว้ สวรรคโลก นครงามฟ้า
นครสุวรรณบรรพต นครชุมรุม เรื่อยมาจนถึง นครพิสดาร หริภุญชัย ระมิงค์ เขลางค์ แปร
รวมได้ ๒,๕๐๐ วัด สร้างกุฏิได้ ๑๐,๐๐๐ หลัง

เมื่อพระแม่เจ้าจามเทวีพระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา (พ.ศ. ๑๒๓๖) ได้สละเพศลาผนวชเป็นชีผ้าขาว
แล้วก็ยุติการสร้าง บำเพ็ญธรรมอย่างเดียว ทั้งพระชนนีปทุมวดี และพระเกษวดี และแม่เลี้ยงก็ออกบวชด้วย
แม่ชีจามเทวีได้ถึงแก่มรณะ เมื่อ พ.ศ.๑๒๗๔ พระชนมายุ ๙๘ พรรษา บวชเป็นชีขาวได้ ๓๘ พรรษา
ยังความทุกข์โศกเศร้าแก่พศกนิกรมหาชนทั่วนครหริภุญชัยในสมัยนั้นเป็นอย่างยิ่ง

ประวัติอนุสาวรีย์พระแม่เจ้าจามเทวี บรมราชินี ศรีสุริยวงศ์ องค์บดินทร์ ปิ่นธานีหริภุญชัย ใน ปี พ.ศ.๒๕๓๘
วันที่ ๔ มกราคม ๒๕๓๘ ได้มีพิธีเททองหล่อพระอนุสาวรีย์พระเจ้าจามเทวี ณ ลานวัดพระธาตุดอยคำ
และมีพิธีพุทธาภิเษก เมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ พร้อมๆ กับทางวัดหุ้มทรงพระเจดีย์
และบูรณะพระพุทธรูปองค์ใหญ่ "พระพุทธนพีสีพิงค์" ซึ่งปัจจุบันมีผู้มาสักการะเป็นจำนวนมากตลอดทั้งปี


ประวัติความเป็นมาพระพุทธนพีสีพิงครัตน์

พระพุทธนพีสีพิงครัตน์ เป็นพระพุทธรูปสิงห์หนึ่ง ขนาดหน้าตักกว้าง ๑๒ เมตร สูง ๑๗ เมตร ประดิษฐาน
อยู่บนวัดพระธาตุดอยคำ ตำบลแม่เหี้ย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ จัดสร้างโดยทายาท
เจ้าแม่อินหวัน ณ เชียงใหม่ รวมทั้ง ผู้มีจิตศรัทธาในจังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดใกล้เคียง
พุทธสมาคมจังหวัดเชียงใหม่ร่วมกับเจ้าภาพ ได้จัดงานฉลองสมโภชพุทธาภิเษกพระพุทธรูป
เมื่อวันที่ ๗-๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๓๔

พระพุทธนพีสีพิงครัตน์ ริเริ่มสร้างโดย ทายาทของเจ้าแม่อินหวัน ณ เชียงใหม่ โดยเจ้าแม่ได้ล่วงลับไป
เมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๕ (สิริรวมอายุได้ ๘๖ ปี) หลังจากนั้นประมาณ ๗-๘ วัน เจ้ากุลวงศ์
ผู้เป็นทายาทคนหนึ่งได้ฝันว่า เจ้าแม่ขอให้สร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ประดิษฐานไว้ ณ ที่สูง
เพื่อให้ประชาชนได้กราบไหว้บูชาจากระยะไกลได้ ในฝันเจ้ากุลวงศ์ ได้ถามเจ้าแม่ว่า
ท่านให้ชื่อพระพุทธรูปองค์นี้ว่าอย่างไรดี เจ้าแม่ตอบว่า แล้วแต่ลูกจะเห็นสมควร เจ้ากุลวงศ์ตอบไปทันที
โดยไม่ได้คิดมาก่อนว่า จะให้ชื่อว่า พระพุทธนพีสีพิงครัตน์ มีความหมายว่า พระพุทธรูปอันเป็นแก้วที่ประเสริฐ
ของเมืองเชียงใหม่ และเมื่อเจ้ากุลวงศ์ได้เล่าเรื่องความฝันให้พี่น้องฟัง ทุกคนต่างปีติศรัทธาเห็นชอบ
การจัดสร้างพระพุทธรูป และได้รวบรวมเงินเป็นค่าจัดสร้าง ๔๕๐,๐๐๐ บาท

ต่อมาเจ้ากุลวงศ์ได้ไปนมัสการท่านพระครูศรีปริยัติยานุรักษ์ เจ้าคณะอำเภอเมืองเชียงใหม่ ซึ่งดำรงตำแหน่ง
เจ้าอาวาสวัดสวนดอก และปรารภเรื่องการจัดสร้างพระพุทธรูป ท่านได้แนะนำให้สร้างไว้บนพระธาตุดอยคำ
เพราะเป็นวัดเก่าแก่ตั้งอยู่ที่บนสูง จะเป็นศรีสง่าแก่จังหวัดเชียงใหม่ไปในอนาคต และท่านพระครู
ได้มีเมตตาติดต่อขออนุญาตก่อสร้างจากกองบิน ๔๑ เชียงใหม่ และกระทรวงกลาโหมตามลำดับ

สำหรับตำแหน่งการก่อสร้าง เป็นมูลดินสูงทิศตะวันตกหน้าวัดพระธาตุดอยคำ ซึ่งเป็นที่ครูบาศรีวิชัย
นักบุญแห่งล้านนาไทย ได้ปลูกที่พักสำหรับดูแลคนงาน ระหว่างที่ท่านคุมการสร้างวิหารและซ่อมแซม
วัดพระธาตุดอยคำ การก่อสร้างเริ่มตั้งแต่วันที่ ๔ มกราคม ๒๕๓๑ แล้วเสร็จต้นปี พ.ศ.๒๕๓๔
และมีงานฉลองสมโภชพุทธาภิเษกตามจารีตวัฒนธรรมประเพณีล้านนาไทย เมื่อวันที๗-๙ พฤศจิกายน
พ.ศ.๒๕๓๔


บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7866


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 11.0.696.71 Chrome 11.0.696.71


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: 01 มิถุนายน 2554 21:11:12 »

หลังจากรู้ตำนานที่เกี่ยวกับตัวดอยคำไปแล้ว น้าแม๊คได้ไปหาข้อมูลเพิ่มเติม และพบว่ามีข้อมูลที่น่าสนใจอยู่มาก
ซึ่งก็จะลงให้ได้อ่านได้ชมกัน

ปู่แสะย่าแสะ กับประเพณีเลี้ยงดงเชียงใหม่
กับที่มาของฤษีวาสุเทพ ที่ต่อมาเป็นชื่อของ ดอยสุเทพ
รวมทั้งที่มาของ ตุงพระบฏ



http://forum.narandd.com/imageupload/image/l40igl-befe9f.jpg
น้าแม๊คพาเที่ยว ขึ้นเหนือแอ่วเมืองเจียงใหม่ ภาค ๔ พระธาตุดอยคำ - งานพืชสวนโลก



งานประเพณีเลี้ยงดง หมายถึง การเซ่นสรวงดวงวิญญาณผีในป่า    
“ประเพณี” หมายถึง สิ่งที่ปฏิบัติกันมาหลายร้อยปีหลายช่วงอายุคน  
“ดง” หมายถึง ป่าไม้หรือป่าดงดิบ  

      ตั้งแต่อดีตกาลป่าไม้คู่กับคน  ป่าเป็นต้นกำเนิดของสรรพสิ่งมีชีวิต คนอาศัยป่าในการดำรงชีวิตอยู่
สภาพแวดล้อมในป่าได้สร้างทรัพยากรทางธรรมชาติ เช่น พืชพันธ์สัตว์ต่างๆ และรักษาความสมดุล
ทางธรรมชาติตลอดจนเป็นต้นน้ำที่ดียิ่งหล่อเลี้ยงมนุษยชาติในปัจจุบัน  ป่าไม้ให้สมดุลให้กับธรรมชาติ
“คนกับป่าไม้” อยู่คู่กันตลอดมา

      สถานที่เลี้ยงดงที่ตั้งอยู่ในปัจจุบันนี้ คือ บริเวณลาน เชิงวัดพระธาตุดอยคำ และบริเวณหมู่ที่ 3
บ้านแม่เหียะใน ต.แม่เหียะ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ป่าไม้บริเวณดังกล่าวเป็นป่าต้นน้ำของลำห้วยแม่เหียะ
ซึ่งหล่อเลี้ยงชีวิตคนใน ต.แม่เหียะ ต.สันผักหวาน และ ต.ป่าแดด ป่าต้นน้ำนี้ได้สร้างความสมดุล
ให้กับชาวเชียงใหม่มาหลายร้อยปีแล้ว

      ประเพณีเลี้ยงดง เป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาตั้งแต่อดีตกาลเพื่อให้ประชาชนมีความรักและหวงแหน
รักษาป่าไม้ให้คงอยู่และไม่ให้ใครเข้าไปบุกรุกทำลายธรรมชาติป่าต้นน้ำดังกล่าวให้เสียหาย โดยวิธีดังกล่าว
ได้ผ่านร่างทรงโดยอันเชิญดวงวิญญาณผู้ปกปักรักษาป่าแห่งนี้นามว่า “ปู่แสะ ยักษ์จิคำ” และ
“ย่าแสะ ยักษ์ตาเขียว” โดยได้จัดพิธีปีละหนึ่งครั้งและมีความเชื่อว่าเป็นผู้รักษาป่าให้คงอยู่ ผู้บุกรุก
จะพบกับเหตุเภทภัยต่างๆ  ในอดีตป่าต้นน้ำแม่เหียะเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ซึ่งมีน้ำตกที่ใช้ชื่อว่าน้ำตกตาดหมาไห้
และน้ำลำห้วยแม่เหียะไหลผ่านตลอดปี ประชาชนใดจะเข้าไปในป่าจะต้องได้รับอนุญาตจากผีป่า- ผีดง
คือ “ผีปู่แสะ ย่าแสะ” ก่อน ซึ่งบริเวณที่เลี้ยงดงในปัจจุบันจะมีศาลเพียงตาเพื่อทำพิธีบอกกล่าวก่อนที่
ผู้เข้าไปเก็บของป่าหรือล่าสัตว์ป่า หากผู้ใดมิได้บอกกล่าวและละเมิดมักจะมีอันเป็นไปตายโดยมิรู้สาเหตุ
ซึ่งเป็นที่กล่าวในอดีตว่าถูกยักษ์ปู่แสะ ย่าแสะกิน

http://forum.narandd.com/imageupload/image/l40ikq-9d5be7.jpg
น้าแม๊คพาเที่ยว ขึ้นเหนือแอ่วเมืองเจียงใหม่ ภาค ๔ พระธาตุดอยคำ - งานพืชสวนโลก


       ดังนั้นพิธีเลี้ยงดง จึงเป็นประเพณีที่ชาว ต.แม่เหียะและตำบลใกล้เคียงได้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี
ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 9 เหนือ (ประมาณเดือนพฤษภาคม) ผ่านมาหลายร้อยปีแล้ว เพื่อให้เป็นศิริมงคล
แก่ประชาชนที่อยู่ใน ต.แม่เหียะและตำบลใกล้เคียง  ตามประวัติศาสตร์และพงศวดารกล่าวไว้ว่า
พิธีดังกล่าวในอดีตเจ้าผู้ครองนครล้านนาและผู้นำชุมชนระดับสูงต้องเข้าร่วมในพิธีกรรมและเป็นประเพณี
ที่ปฏิบัติถึงชนรุ่นหลัง การจัดพิธีกรรมนี้มีความเชื่อว่าเมื่อเลี้ยงดง บวงสรวงด้วยเครื่องเซ่น คือ
ควายรุ่นเขาเพียงหูสีดำ 1 ตัว ดอกไม้ธูปเทียน ผลไม้ต่างๆ และสุราขาว เป็นเครื่องเซ่นไหว้ให้ดวงวิญญาณ
ปู่แสะ - ย่าแสะ ให้มารับเครื่องบวงสรวงเซ่นไหว้โดยผ่านร่างทรงเข้ามารับเครื่องเซ่นไหว้คือ ควายดิบ
และของที่เตรียมไว้ การจัดพิธีดังกล่าวมีความเชื่อว่าจะก่อให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข ป่าไม้อุดมสมบูรณ์
ฝนตกต้องตามฤดูกาลและประชาชนไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ทำการเกษตรได้ผลดีตลอดปี ในขณะเดียวกัน
ป่าต้นน้ำก็ยังอยู่และผู้บุกรุกก็มีอันเป็นไปด้วยอิทธิฤทธิ์ของดวงวิญญาณปู่แสะ - ย่าแสะ

       สำหรับตำนานของปู่แสะ – ย่าแสะ มีอยู่ว่า ในอดีตมีเมืองหนึ่งชื่อ บุพพนคร เป็นเมืองชนเผ่าลัวะ
ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำปิงและดอยอ้อยช้าง ชาวบ้านแห่งนี้อยู่กันแบบไม่เป็นสุขเพราะถูกยักษ์ 3 ตน
ยักษ์พ่อแม่ลูก จับเอาชาวเมืองไปกินทุกวันๆ จนชาวเมืองต้องหนีออกจากเมืองเนื่องจากกลัวยักษ์ ต่อมา
พระพุทธเจ้า รับรู้ความเดือดร้อนของชาวเมืองลัวะ จึงได้เสด็จมาโปรดและแสดงอภินิหารแสดงธรรม
ให้ยักษ์สามตนได้เห็น จนยักษ์สามตนนั้นเกิดความเลื่อมใส และให้ยักษ์ทั้งสามตนสมาทานศีลห้าสืบไป
ต่อมายักษ์ทั้งสามตนนึกได้ว่าพวกตนเป็นยักษ์ต้องประทังชีวิตด้วยการกินเนื้อ จึงได้ขอพระพุทธเจ้า
กินควายปีละ 1 ตัว พระพุทธเจ้าไม่ทรงตอบ ให้ไปถามเจ้าเมืองเอาเอง ว่าแล้วพระพุทธเจ้าก็เสด็จ
ออกจากดอยคำนั้นไปก่อนไปพระพุทธองค์จึงได้สั่งไว้ว่าให้ยักษ์ทั้งสองตน จงรักษาผู้คนในบ้านเมือง
ให้อยู่เย็นเป็นสุข และ ขอให้สืบทอดรักษาพระศาสนาให้ครบห้าพันปี ยังความยินดีถึงพระอินทร์
ได้เนรมิตให้ฝนเงินฝนคำตกลงมาไหลเข้าไปยังพื้น ดอยแห่งนี้ ภายหลังมาดอยเหนือใต้จึงได้ชื่อว่า
ดอยสุเทพ และดอยคำ

http://forum.narandd.com/imageupload/image/l40ing-c1595a.jpg
น้าแม๊คพาเที่ยว ขึ้นเหนือแอ่วเมืองเจียงใหม่ ภาค ๔ พระธาตุดอยคำ - งานพืชสวนโลก


     ยักษ์ทั้งสามตนจึงได้ไปขอกับเจ้าเมืองลัวะ ซึ่งทางเจ้าเมืองก็ได้นำควายมาถวายให้ปีละ 1 ตัว
และยักษ์ก็จะดูแลชาวบ้านชาวเมืองให้อยู่เย็นเป็นสุขสืบไป ส่วนลูกยักษ์ได้บวชเป็นพระ ต่อมาได้ลาสิกขาบท
ออกมาเป็นฤาษีมีนามว่า “สุเทพฤาษี” บำเพ็ญพรตอยู่ที่ถ้ำหลังดอยเหนือซึ่งคือดอยสุเทพ
โดยเรียกตามชื่อฤาษีสุเทพ  ส่วนยักษ์ตัวพ่อชื่อปู่แสะ ยักษ์ตัวแม่ชื่อย่าแสะ หลังสิ้นสมัยปู่แสะย่าแสะแล้ว
ชาวบ้านชาวเมืองก็ยังเกรงกลัวอิทธิฤทธิ์อยู่และหวังให้ปู่แสะย่าแสะ ช่วยกันรักษาพระพุทธศาสนา
พร้อมช่วยกันดูแลชาวบ้านชาวเมืองให้อยู่เย็นเป็นสุข จึงได้มีพิธีเซ่นดวงวิญญานที่เรียกกันว่า เลี้ยงดง
ต่อจากนั้นมาทุกๆ ปีเมื่อถึงเดือนเก้าออกของเมืองล้านนา ชาวบ้านที่เกี่ยวข้องจะเอาผืนผ้ามาแต้มเป็นรูป
พระบฏให้ดูเหมือนพระพุทธเจ้า เสด็จมาร่วมพิธีกรรมเลี้ยงผีปู่แสะ-ย่าแสะ หรือชาวบ้านเรียกผืนผ้ากันว่า
ตุงพระบฏ (อิริยาบถ) มาแขวนให้แกว่งไปมาเหมือนดั่งภาพมีชีวิตโดยในตำนานเชื่อว่าจะทำให้
ยักษ์กลัวและไม่กล้าที่จะกินมนุษย์อีกเพราะคิดว่าพระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่......



ที่มา - ภาพ
โค๊ด:
http://forum.narandd.com/index.php?topic=1913.0
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01 มิถุนายน 2554 21:16:44 โดย Mckaforce » บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7866


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 11.0.696.71 Chrome 11.0.696.71


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #6 เมื่อ: 01 มิถุนายน 2554 21:57:11 »


หลังจากทราบความเกี่ยวข้องของปู่แสะ ย่าแสะ และฤษีวาสุเทพซึ่งเป็นลูกของปู่แสะ ย่าแสะ แล้ว
ฤษีวาสุเทพก็ยังมีความเกี่ยวโยงไปถึงยุคของพระนางจามเทวี และการสร้างเมืองหริภุญชัย อีกด้วย
ดังจะกล่าวต่อไปนี้

ตำนาน พระราชประวัติ พระนางจามเทวี
กษัตริย์ศรีหริภุญชัย



อนุสาวรีย์พระนางจามเทวี

               ตามตำนานเล่าว่า  พระนางจามเทวีเป็นลูกของเศรษฐีชาวมอญ (เม็ง) ชื่อ นายอินตา   
มารดาไม่มีชื่อปรากฏ  เกิดที่บ้านหนองดู่  อำเภอป่าซาง  จังหวัดลำพูน  เมื่อวันพฤหัสบดี 
เวลาใกล้พลบค่ำ  เดือนห้า  ปีมะโรง  ซึ่งตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ  พ.ศ. ๑๑๗๖   อภินิหารตอนพระนาง
อายุได้ ๓ ขวบนั้น  กล่าวกันว่า  ได้มี่นกใหญ่ตัวหนึ่งบินเข้ามาหาอาหารในบ้าน  แล้วได้โฉบลงมาจับตัว
ทารกน้อยนี้บินไปในอากาศ  ขึ้นไปทางทิศเหนือ  จนกระทั่งนกใหญ่ตัวนี้หมดแรงเพราะเหตุใดไม่ปรากฏ 
จึงปล่อยร่างทารกน้อยนี้ร่วงลงมายังสระใหญ่  ซึ่งทารกก็นอนอค้างอยู่บนใบบัว  เป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก

http://2.bp.blogspot.com/_5vAEBk0H_xk/TPIEIfrfmvI/AAAAAAAAAHk/K8IU6-K-4u8/s320/DSCF1990.jpg
น้าแม๊คพาเที่ยว ขึ้นเหนือแอ่วเมืองเจียงใหม่ ภาค ๔ พระธาตุดอยคำ - งานพืชสวนโลก


                พระฤาษีวาสุเทพ (สุเทวฤาษี)  ซึ่งจำศีลภาวนาอยู่ ณ ดอยสุเทพ  ได้ธุดงค์มาพบเข้า
ก็ทราบว่าทารกคนนี้คงไม่ใช่คนธรรมดาสามัญ  ต้องเป็นผู้มีบุญบารมีมาเกิดเป็นแน่  ท่านจึงใช้พัด (วี)
ยื่นไปในสระน้ำนั้นพร้อมกับตั้งจิตอธิษฐานว่า  หากทารกนี้มีบุญจริงก็ให้พัดของเรารับร่างน้อยนั้นเข้าฝั่ง
มาได้เถิด  และสิ้นคำอธิษฐาน  ร่างของทารกน้อยก็ลอยขึ้นฝั่งได้พร้อมกับพัดที่ใช้รองรับ  ดังนั้น
ท่านฤาษีวาสุเทพจึงได้นำทารกน้อยนี้ไปเลี้ยงดูโดยตั้งชื่อให้ว่า “หญิงวี” ต่อมาพระนางได้ร่ำเรียนสรรพวิชาการ
ต่างๆ จากสุเทวฤๅษีท่านสุเทวฤๅษีจึงได้ผูกดวงและตรวจสอบชะตา ทราบว่ากุมารีผู้เป็นบุตรบุญธรรมของท่าน
จะมีวาสนาเป็นถึงจอมกษัตริย์ ปกครองบ้านเมืองอันใหญ่โตซึ่งจะรุ่งเรืองไปในภายภาคหน้า จึงตกลงใจว่า
จะต้องส่งเด็กหญิงไปสู่ราชสำนักเพื่อรับการอภิเษกขึ้นเป็นเชื้อพระวงศ์ให้สมควรแก่การที่จะได้เป็นใหญ่ต่อไป
และที่เหมาะสมในสายตาท่านฤๅษีคือ ราชสำนักแห่งกรุงละโว้ ซึ่งเป็นราชสำนักที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดแห่งหนึ่ง
ในสุวรรณภูมิเวลานั้นท่านฤาษีวาสุเทพได้เลี้ยงดูหญิงวีจนกระทั่งอายุได้ ๑๓ ขวบ จึงได้ต่อแพยนต์

http://4.bp.blogspot.com/_5vAEBk0H_xk/TPIHysaUG2I/AAAAAAAAAHo/yHvoNoOpTC4/s320/DSCF2005.jpg
น้าแม๊คพาเที่ยว ขึ้นเหนือแอ่วเมืองเจียงใหม่ ภาค ๔ พระธาตุดอยคำ - งานพืชสวนโลก


จัดส่งพระนางไปตามนิมิต โดยให้นั่งไปบนแพยนต์ มีวานรติดตามไปดูแล ๓๕ ตัว แพยนต์ซึ่งพระฤาษีเสก
ด้วยเวทย์มนต์คาถาก็นำพาหญิงวีไปตามลำน้ำใหญ่ จนกระทั่งถึงวัดเชิงท่าตลาดลพบุรี อ.เมือง จ.ลพบุรี
(ละโว้) แพยนต์ของหญิงวีก็ลอยเป็นวงกลม อยู่ที่ท่าน้ำนั้น  ประชาชนพลเมืองต่างช่วยกันชักลากขึ้นฝั่ง
แต่ก็กระทำไม่สำเร็จ  จึงพากันไปทูลแจ้งแก่กษัตริย์เมืองละโว้ในขณะนั้นได้ทราบข่าวก็อัศจรรย์ยิ่งนัก 
จึงเสด็จมาพร้อมกับรับหญิงวีเป็นธิดาบุญธรรม ต่อจากนั้นก็ได้จัดให้มีงานเฉลิมฉลองและเจิมพระขวัญ
แต่งตั้งให้หญิงวีที่มากับสายน้ำนี้เป็นพระราชธิดาแห่งกรุงละโว้ธานี และได้ให้ปุโรหิตจารึกพระนาม
ลงในแผ่นสุพรรณบัฏว่า

“เจ้าหญิงจามเทวีศรีสุริยวงศ์ บรมราชขัติยนารี  รัตนกัญญาละโว้บุรีราไชศวรรย์”

เป็นรัชทายาทแห่งนครละโว้ในดิถีอาทิตยวาร  ขึ้น ๑๕ ค่ำ  เดือน ๓ ปีมะเมีย พ.ศ. ๑๑๙๐  ต่อมาเจ้าหญิง
จามเทวีฯ ได้อภิเษกสมรสกับเจ้าชายรามแห่งกรุงละโว้  และได้ครองราชย์ร่วมกัน


สร้างบ้านแปงเมือง

http://4.bp.blogspot.com/_5vAEBk0H_xk/TPIIz92NZxI/AAAAAAAAAHs/yZFTNf2pAy8/s320/DSCF9218.jpg
น้าแม๊คพาเที่ยว ขึ้นเหนือแอ่วเมืองเจียงใหม่ ภาค ๔ พระธาตุดอยคำ - งานพืชสวนโลก



               เมื่อปี พ.ศ. ๑๒๐๐  ฤาษีวาสุเทพ  และ ฤาษีสุกกทนต  ได้พิจารณาสถานที่ริมฝั่งแม่น้ำ
แห่งหนึ่งเห็นว่าเหมาะสมดีจึงทำตามคำแนะนำของเพื่อฤาษีองค์หนึ่งชื่อว่า  อนุสิสะฤาษี  ได้สร้าง
บ้านเมืองเป็นรูปสัณฐานดั่งหอยสังข์  โดยเชื่อว่าจะทำให้บ้านเมืองมีความเจริญรุ่งเรืองประชาชน
อยู่เย็นเป็นสุข   ท่านวาสุเทพฤาษีได้รวบรวมชนเผ่าลัวะ  สร้างบ้านแปงเมืองเสร็จแล้ว  จึงนึกถึงธิดาบุญธรรม
ซึ่งเมื่อหลายปีที่ผ่านมาท่านได้สร้างแพยนต์เพื่อหญิงวีได้ประทับล่องลอยไปกับวานร จำนวน ๓๕ ตัว 
ซึ่งต่อมาท่านก็ได้ทราบว่าหญิงวีได้มีบุญบารมีเป็นพระราชธิดาของพระเจ้ากรุงละโว้ (ลพบุรี) 
และเป็นขัตติยะนารีที่มีความสามารถเยี่ยงบุรุษ  สามารถปกป้องบ้านเมือง  เป็นจอมทัพรับหน้าพม่า
แห่งกรุงโกสัมภี  และยังได้รับการสถาปนาอภิเษกสมรสกับ  เจ้าราม  ครองราชย์ ณ เมืองละโว้ธานี 
ท่านวาสุเทพฤาษีจึงได้ทำสารไปอัญเชิญขอต่อเจ้าเมืองละโว้  เพื่อให้พระนางจามเทวีได้เสด็จกลับมา
ปกครองเมืองที่สร้างใหม่นี้   การทูลเชิญเสด็จนี้ได้แต่งตั้ง  นายคะวะยะ  เป็นทูตถือสารไปพร้อมกับ
สุกกะทันตะฤาษี  ซึ่งตามตำนานได้กล่าวถึงคะวะยะนี้ว่า  เป็นผู้ที่เฉลียวฉลาด  กล้าหาญ  อดทน 
แข็งแรง  สามารถเดินทางในป่าที่เต็มไปด้วยอันตราย  รู้จักใช้ชีวิตในป่าและมีความรู้ทางยาสมุนไพรต่างๆ
ซึ่งบุคคลผู้นี้ต่อมาได้เป็นกำลังสำคัญในการสร้างบ้านแปงเมืองของพระนางจามเทวี  มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์
มากมาย  ปัจจุบันคนรุ่นหลังเคารพกราบไหว้ในนามของเจ้าพ่อเตโค  เสื้อเมืองหริภุญชัย 
นับว่าท่านคะวะยะเป็นขุนพลแก้วของพระนางจามเทวีโดยแท้

               ในการตัดสินใจเสด็จกลับมาครองเมืองหริภุญชัยของพระนางจามเทวีนั้น  พระนางได้
ทูลเชิญเจ้ารามพระสวามีมาด้วย  แต่ได้รับการปฏิเสธ  ดังนั้นพระนางจึงต้องเสด็จมาโดยลำพัง
ขณะนั้นได้กำลังทรงพระครรภ์ได้ราว ๓ เดือน  และพระนางได้ทูลขอจากพระราชบิดากรุงละโว้
นำประชาชนพลเมือง  สิ่งของต่างๆ เดินทางมายังเมืองหริภุญชัยด้วย

พระนางจามเทวีทรงใช้เวลาเดินทางจากกรุงละโว้โดยทางเรือ  มาตามแม่น้ำปิงใช้เวลาเดินทาง ๗ เดือน 
ตลอดระยะเวลาการเดินทางได้เสด็จผ่านเมืองและสถานที่ต่างๆ เมื่อพระนางจามเทวีเสด็จมาถึงยัง
หริภุญชัยนครแล้ว  ทรงทำพระราชพิธีราชาภิเษกขึ้นครองราชย์ได้ ๗ วัน  ก็ทรงประสูติพระราชโอรส
ฝาแฝด  ทรงพระนามว่า  พระมหันตยศ  และพระอนันตยศ  ในรัชสมัยของพระนางจามเทวีได้ทรงมี
ช้างเผือกคู่บุญบารมี  คือ  ช้างปู้หม่นงาเขียว  หมายถึง  ช้างที่มีงาเป็นสีเขียว  ตามตำนานกล่าวว่า 
ช้างเผือกเชือกนี้ได้มาพักหากินในดอยงัม  ดอยโดน (เขต อ. สันกำแพง  จ. เชียงใหม่)  พระนางจามเทวี
ได้พาข้าราชบริพารพร้อมด้วย  พญาลิงเผือก  ชื่อ กากะวานร  และบริวารมาทำการคล้องช้าง 
โดยวิธีการให้พญาลิงเผือกและบริวารเข้าไปทำความคุ้นเคย  จนช้างเผือกลดความดุร้ายเชื่องลง   
หมดควาญช้างจึงได้นำอาหารให้ช้างกิน  และทำการตกปลอกให้พญาลิงเผือกนำช้างเข้ามาถวายตัว
แด่พระนางจามเทวี ซึ่งข่าวนี้เป็นที่ปีติยินดีของชาวเมือง อันว่าช้างเผือกนี้เป็นพญาช้างเผือกที่มีอิทธิฤทธิ์
ปาฏิหาริย์เป็นอย่างมาก  ปัจจุบันนี้  ชาวนครลำพูนและผู้คนโดยทั่วไปให้ความเคารพนับถือไหว้
เจดีย์กู่ช้างเป็นอย่างยิ่ง



ที่มาเนื้อหา:
โค๊ด:
http://www.lannatalkkhongdee.com/scoopDetail.php?id=Sco000007

ที่มาภาพประกอบ:
โค๊ด:
http://safetylp.blogspot.com/2010_11_26_archive.html?zx=69e7d34d1a69850f
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7866


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 12.0.742.100 Chrome 12.0.742.100


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #7 เมื่อ: 20 มิถุนายน 2554 01:55:27 »

หลังจากเดินทางขึ้นยอดดอย ก็จะมีจุดให้จอดรถครับ ซึ่งจุดจอดรถของที่นี่จะอยู่ห่างจากโบสถ์ไม่มาก
(น่าจะเป็นโบสถ์นะครับ เพราะลักษณะของรูปทรงอาคารเหมือนโบสถ์ ที่ผมไม่แน่ใจเพราะว่าเป็นโบสถ์
หรือวิหารแน่ เพราะปกติแล้ว โบสถ์จะต้องมีใบเสมาล้อมรอบ แต่ที่นี่ไม่มีใบเสมาครับ เลยงง ๆ)
ซึ่งจุดที่จอดจะเป็นด้านข้างครับ แล้วก็ต้องเดินตามถนนขึ้นไปอีกนิด (ห้าสิบเมตร)
จริง ๆ มีจุดจอดรถด้านบนอีกนะครับ แต่ถ้าไปวันหยุดหรือช่วงเทศกาล ส่วนมากที่จอดจะเต็ม




เมื่อเดินขึ้นมาจะพบพระองค์ใหญ่ครับ ชื่อว่า พระพุทธพีสีพิงครัตน์ ใครได้ขึ้นไปก็แวะกราบไหว้สักหน่อยครับ
ก่อนจะเข้าไปกราบไหว้องค์พระธาตุ จากภาพด้านบนจะเห็นไกล ๆ ด้านหลังองค์พระครับ นั่นคือโบสถ์
ที่ผมพูดถึงครับ จุดจอดรถอยู่ด้านซ้ายครับ




ถ่ายภาพไว้เป็นที่ระทึก (มุกเก่ามาก !)




หิว ๆ กันมา แม่เลยแวะซื้อลูกชิ้นทอด กินกล้อมแกล้มระหว่างเที่ยว

บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7866


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 12.0.742.100 Chrome 12.0.742.100


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #8 เมื่อ: 20 มิถุนายน 2554 02:16:47 »





อนุสาวรีย์พระนางเจ้าจามเทวี ลานจะอยู่ฝังตรงข้ามกับฝั่งร้านขายของเมื่อครู่ครับ
ถ้าหันหน้าเข้าทางพระธาตุ (หันหลังให้พระองค์ใหญ่) ก็เดินตรงมาก่อนเข้าเขตรั้ว จะอยู่ซ้ายมือครับ




ด้านข้างอนุสาวรีย์ยังมีลานอีกเล็กน้อยครับ จอดรถได้ (ถ้าไม่เต็ม)




เดินมาอีกไม่ถึงร้อยเมตรก็จะเจอป้ายครับ เป็นป้ายวัดพระธาตุดอยคำ ซึ่งพระธาตุจะอยู่ด้านใน
มาถึงตรงนี้ผมยิ่งสงสัย (สงสัยมากจริงไอ้นี่) ว่าทำไมทำรั้วล้อมแค่เฉพาะบริเวณพระธาตุกับวิหาร
ส่วนโบสถ์ไปอยู่นอกรั้วซะไกล (มาก)




อันนี้ถ่ายกำแพงที่ล้อมรอบครับ เป็นกำแพงที่ค่อนข้างเตี้ย ด้านซ้ายมือของรูปจะเห็นช่องเล็ก ๆ นั่นแหละครับ
คือทางเข้าไปด้านใน ถ้าจำไม่ผิด รู้สึกผมต้องก้มตัวนิด ๆ ส่วนบริเวณกำแพงจะเห็นตุ๊กตาน่ารักน่าชัง
มาวางเรียงราย มีทั้งตุ๊กตาถือป้ายต้อนรับ เอ่อ... มันต้อนรับหลายตัวจังวะ แบ่งงานกันยังไงเนี่ย !!
มีตุ๊กตาถือป้าย เงินไหลกอง ทองไหลมา มั่งมีศรีสุข นี่ถ้าไม่ติดว่าอยู่บนพระธาตุดอยคำ ผมนึกว่า
อยู่งานตรุษจีนนครสวรรค์เลยทีเดียว ถ้าสังเกตุดี ๆ มีตุ๊กตารูปร่างเหมือนกุมารทองด้วย คุณพระช่วย  ช๊อค
เป็นการผสมผสานแบบไม่มีความลงตัวเอาซะเลย (Mix and ไม่ match) ขัดกับหลังคาที่ดูเก่า
เหมือนมีมาแต่โบร่ำโบราณซะนี่กระไร

บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7866


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 12.0.742.100 Chrome 12.0.742.100


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #9 เมื่อ: 23 มิถุนายน 2554 22:33:27 »




เข้ามาแล้วครับ พบองค์พระธาตุโดดเด่นเป็นสง่า สวยงามมากครับ
ในความคิดผมดอยสุเทพดูจะวิจิตรกว่า โดยเฉพาะศิลปะรอบ ๆ
แต่วัน ๆ เดียวได้มากราบไหว้นมัสการพระธาตุถึงสองที่นี่ก็เป็นบุญมากมายแล้วครับ
(ถ้าย้อนกลับไปดูหัวข้อก่อน จะพบว่าก่อนมาที่นี่ผมไปที่ดอยสุเทพมาก่อนแล้ว)






บรรยากาศรอบ ๆ ครับ เดินดูเพลิน ๆ แดดจ้ามาก เหงื่อตกเหมือนกัน แต่ก็ยังดี
มีลมโกรกตลอดครับด้านบนนี่

บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7866


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 12.0.742.100 Chrome 12.0.742.100


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #10 เมื่อ: 23 มิถุนายน 2554 23:02:02 »




เดินมาสุดจะเป็นจุดชมวิวบนยอดดอยครับ มองเห็นตัวเชียงใหม่ได้กว้างสุดลูกหูลูกตา
และที่สำคัญรูปที่สอง จะเห็นได้ว่าเราสามารถมองเห็นจุดจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกได้ทั้งงาน
ในงานพืชสวนโลกจะเห็นอาคารหลังดำ ๆ หันหลังอยู่ นั่นคือหอคำหลวงอันลือชื่อครับ




ไปไหว้พระในวิหารหลังน้อย ๆ ของที่ดอยคำกันครับ

บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.41 วินาที กับ 28 คำสั่ง

Google visited last this page 19 พฤศจิกายน 2567 03:37:36