ประมวลความเคลื่อนไหวว่าด้วย ‘งบสถาบันกษัตริย์’ ย่างเข้าสู่ปีที่ 4 ที่มีการพูดถึง
<span class="submitted-by">Submitted on Tue, 2024-01-02 18:58</span><div class="field field-name-field-byline field-type-text-long field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even"><p>ทีมข่าวการเมือง</p>
</div></div></div><div class="field field-name-body field-type-text-with-summary field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even" property="content:encoded"><div class="summary-box">
<ul>
<li>จากรายงานเชิงข่าวต้นปี 63 การตั้งคำถามหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การเคลื่อนไหวบนท้องถนน สู่การอภิปรายในสภา การพิจารณาของกรรมาธิการพิจารณางบฯ การอธิบายตอบโต้ และการสู้กันในชั้นศาล ขณะที่อีกฝ่ายชี้บิดเบือนงบฯ สถาบันกษัตริย์ สร้างวาทกรรม ‘เงินรายปี’</li>
<li>ความเคลื่อนไหวในสภาและกรรมาธิการ รวมทั้งข้อเสนอ ‘แผนบูรณาการโครงการที่เกี่ยวข้องกับสถาบันฯ’ ของก้าวไกลที่ไม่ถูกนำไปใช้ สส.ก้าวไกลยังประเมินว่ามีพัฒนาการจากหน่วยงาน แต่คนในสภาเองที่พยายามเซ็นเซอร์กันเอง</li>
<li>‘ส่วนราชการในพระองค์’ ปรับวิธีแจงการใช้งบ-ขอหน่วยงานอื่นเลี่ยงต่อท้ายชื่อโครงการด้วย ‘เฉลิมพระเกียรติ’</li>
<li>ขณะที่กระบวนการในศาลยุติธรรมที่มีการฟ้องคดีจากการวิพากษณ์วิจารณ์งบส่วนนี้ มีทั้งลงโทษมีทั้งยกฟ้อง เปิดมุมมองนักวิชาการนิติศาสตร์เบิกความในศาลชี้ คำว่า ‘งบสถาบันพระมหากษัตริย์’ ไม่ได้เกี่ยวข้อง หรือเชื่อมโยงไปถึงพฤติกรรม หรือการกระทำของบุคคลผู้ดำรงตำแหน่ง ที่ได้รับความคุ้มครองตาม ม.112</li>
</ul>
</div>
<p>3-5 ม.ค.2567 นี้ สภาผู้แทนราษฎรจะประชุมเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจําปี 67 ในวาระที่ 1 โดยประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจตาม
เอกสารงบประมาณ (เอกสารขาวคาดแดง) ที่เว็บไซต์สำนักงบประมาณเผยแพร่เผยแพร่เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.66 นั้นคือเอกสารงบประมาณ ฉบับที่ 3 เล่มที่ 17 งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ระบุรายละเอียดหน่วยงานสำคัญคือ ส่วนราชการในพระองค์ ปีนี้ลดลงเหลือ 8 หน้าหน้ากระดาษ และตั้งงบประมาณไว้ที่ 8,478,383,000 โดยปีที่แล้วหรืองบประมาณปี 66 นั้นมีจำนวน 9 หน้ากระดาษ เป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับหน่วยรับงบประมาณอื่นๆ ที่รับงบประมาณในระดับเดียวกัน เช่น
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ราว 8,800 ล้านบาท แต่กลับมีรายละเอียดถึง 366 หน้ากระดาษ แม้ที่ผ่านมาจะมีความเคลื่อนไหวทั้ง สส. และนอกสภาเพื่อเรียกร้องให้ส่วนราชการในพระองค์ชี้แจ้งรายละเอียดมากกว่านี้ก็ตามทามกลางกระแสเรียกร้องปฏิรูป ‘งบประมาณที่เกียวกับสถาบันกษัตริย์’ หรือเรียกสั้นๆ ว่า ‘งบสถาบันฯ’ กว่า 3 ปีที่ผ่านมา</p>
<p>ในโอกาสก่อนที่สภาจะพิจารณางบประมาณกว่า 3.48 ล้านล้านบาท จะขอย้อนทบทวนความเคลื่อนไหวหรือวาทกรรมเกี่ยวกับ ‘งบสถาบันฯ’ ในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่การตรวจสอบ การเรียกร้องให้เกิดการปฏิรูป ปฏิกิริยาจากรัฐ รวมทั้งการต่อสู้ในคำอธิบายหรือนิยามของคำๆ นี้</p>
<h2><span style="color:#2980b9;">เปิดเมื่อ มี.ค.63</span></h2>
<p style="text-align: center;"><img alt="" src="
https://live.staticflickr.com/65535/49651152987_79e5f2e297_b.jpg" /></p>
<p style="text-align: center;"><span style="color:#e67e22;">พายชาร์ตงบประมาณส่วนที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ตาม พ.ร.บ.งบประมาณ 2563 ที่ประชาไทจัดทำและเผยแพร่เมื่อวันที่ 12 มี.ค.2563</span></p>
<p>ประชาไทเผยแพร่รายงานที่ชื่อว่า “
เปิดงบประมาณปี 2563 ส่วนที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ 2.9 หมื่นล้านบาท” เมื่อวันที่ 12 มี.ค.2563 สร้างปรากฎการณ์ที่มีผู้เข้ามาอ่านในจำนวนมาก รวมทั้งกระแสในการวิพากษ์วิจารณ์ โดยในครั้งนั้นประชาไทกำชับหรืออธิบายประกอบสิ่งที่เรียกว่า ‘งบสถาบันฯ’ ไว้ว่า</p>
<p>“..แบ่งการใช้จ่ายงบประมาณออกเป็น 2 ส่วนดังกล่าว โดยนิยามของรายจ่ายโดยตรงคือ รายจ่ายที่ใช้จ่ายกับสถาบันกษัตริย์โดยตรง เช่น งบรักษาความปลอดภัย งบการเดินทาง งบพิทักษ์สถาบัน นิยามของรายจ่ายโดยอ้อมคือ รายจ่ายอันเกี่ยวเนื่องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เช่น โครงการในพระราชดำริ โครงการที่เป็นไปในลักษณะเทิดพระเกียรติ โครงการประชาสัมพันธ์ นอกจากนี้หากจะกล่าวกันอย่างเคร่งครัด ยังมีนิยามของส่วนที่สาม โครงการที่ใช้ชื่อเกี่ยวเนื่อง นิยามของมันคือ โครงการของหน่วยงานใดๆ ที่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของหน่วยงานแต่มีชื่อเกี่ยวเนื่องกับสถาบันเพื่อเทิดพระเกียรติ เช่น โครงการสร้างทักษะในการประกอบอาชีพให้แก่เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการเกษตรทฤษฎีใหม่ 70,000 ราย เป็นต้น...”</p>
<p>เดิมการเปิดเรื่องงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์มุ่งไปที่ ‘ส่วนราชการในพระองค์’ ภายหลังจากที่มี พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการในพระองค์ พ.ศ. 2560 เผยแพร่ในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 1 พ.ค.60 เพื่อจัดระเบียบบริหารราชการในพระองค์ ให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัยโดยได้โอนกิจการ อำนาจหน้าที่ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้สิน และงบประมาณของ 5 หน่วยงานเดิม ประกอบด้วย สำนักราชเลขาธิการ สำนักพระราชวัง และกรมราชองครักษ์และหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ กระทรวงกลาโหม และสำนักงานนายตำรวจราชสำนักประจำไปเป็นส่วนราชการในพระองค์ ซึ่งที่แรกๆ ที่พูดถึงงบประมาณในส่วนนี้คือบีบีซีไทย เมื่อวันที่ 9 มิ.ย.60 บีบีซีไทย รายงานหัวข้อ
งบประมาณ 2561: "งบส่วนราชการในพระองค์" ลด 14% กลาโหมเพิ่ม 4.2%</p>
<div class="more-story">
<ul>
<li>เปิดงบประมาณปี 2563 ส่วนที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ 2.9 หมื่นล้านบาท
https://prachatai.com/journal/2020/03/86761</li>
<li>เปิดงบเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ปี 2564 รายละเอียดตามเอกสาร ร่างพ.ร.บ.งบประมาณ
https://prachatai.com/journal/2020/08/89306</li>
<li>เปิดงบเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ ปี 65 รายละเอียดตามเอกสาร ร่างพ.ร.บ.งบฯ พบราว 3.57 หมื่นล้าน
https://prachatai.com/journal/2021/08/94506</li>
<li>เปิดงบเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ ปี 66 รายละเอียดตามเอกสาร ร่างพ.ร.บ.งบฯ พบราว 3.47 หมื่นล้าน
https://prachatai.com/journal/2022/08/99977</li>
</ul>
</div>
<p>อย่างไรก็ตามงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์ซึ่งหมายรวมถึงองคาพยพและกลไกต่างๆ นั้น ไม่ได้มีอยู่เฉพาะในส่วนราชการในพระองค์เท่านั้น หากแต่ยังอยู่ในหน่วยรับงบอื่นๆ ที่ระบุวัตถุประสงค์ไว้ตามเอกสารงบประมาณอีก เช่น งบกลาง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการต่างประเทศ เป็นต้น กระบวนการนับและเผยแพร่ผลการนับจึงเริ่มขึ้นอย่างที่กล่าวข้างต้น</p>
<h2><span style="color:#2980b9;">และแล้วความเคลื่อนไหวก็ปรากฏ</span></h2>
<p>ภายหลังจากเผยแพร่รายงานเกี่ยวกับงบสถาบันในเดือนมีนาคม 2563 ต่อมาในเดือนมิถุนายน 2563 ที่ทำเนียบรัฐบาล อานนท์ นำภา ทนายความสิทธิมนุษยชน ชลธิชา แจ้งเร็วและโชคชัย ไพบูลย์รัชตะ นักกิจกรรมด้านประชาธิปไตย เข้ายื่นหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีขณะนั้น เพื่อเรียกร้องให้มีการตรวจสอบและชี้แจงการใช้การใช้งบประมาณที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งอานนท์ ระบุเหตุผลว่า เนื่องมาจากมีการถกเถียงกันว่า งบประมาณที่สนับสนุนสถาบันพระมหากษัตริย์มาจากภาษีประชาชนหรือไม่ หลังจากนั้นตนก็ถูกเพจของกลุ่มกษัตริย์นิยมที่มาล่าแม่มด แจ้งความดำเนินคดีด้วยข้อหานำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ ตนจึงต้องการแสวงหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้</p>
<p>
<img alt="" src="[url]https://live.staticflickr.com/65535/50021997001_555c259594_b.jpg" />[/url]</p>
<p>ภาพ อานนท์ ชลธิชา ยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี เพื่อเรียกร้องให้มีการตรวจสอบและชี้แจงการใช้การใช้งบประมาณที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เมื่อวันที่ 19 มิ.ย.63</p>
<p>ข้อเรียกร้องของทนายอานนท์ที่ระบุไว้ในหนังสือ มีทั้งหมด 3 ข้อคือ ข้อแรกให้มีการชี้แจงการใช้งบประมาณเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ทั้งทางตรงและทางอ้อม และให้มีคำสั่งนายกรัฐมนตรีทำหนังสือถึงพระราชวังให้ชี้แจงการใช้งบประมาณแผ่นดิน และเงินคงเหลือทั้งหมด</p>
<p>ข้อสอง ให้ขอรับเงินงบประมาณแผ่นดินที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์จากทุกหน่วยงานของรัฐเฉพาะในส่วนที่เกินจำเป็นและที่คงเหลือคืน เพื่อนำมาเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดยทนายอานนท์ได้ยกตัวอย่างงบลักษณะดังกล่าว เช่น งบสำหรับการเสด็จพระราชดำเนินทั้งในและต่างประเทศ งบส่วนราชการในพระองค์ และค่าประชาสัมพันธ์แฟชั่นของกระทรวงพาณิชย์ โดยเขาได้แนบเอกสารประกอบเป็นรายงาน “
เปิดงบประมาณปี 2563 ส่วนที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ 2.9 หมื่นล้านบาท" ที่จัดทำโดยประชาไท เพื่อประกอบการพิจารณา</p>
<p>ข้อสุดท้าย ทนายอานนท์ยังขอให้ส่งเอกสารที่ตรวจสอบแล้วแก่พนักงานสอบสวนในคดีที่เขาตกเป็นผู้ต้องหา และหากคดีต้องไปถึงชั้นศาลตนก็ขอให้พล.อ.ประยุทธ์มาเป็นพยานฝ่ายจำเลยในคดีด้วย</p>
<div class="more-story">
<ul>
<li>
ทนายอานนท์ ร้องประยุทธ์ ตรวจสอบการใช้งบเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์</li>
<li>
สำนักปลัดนายกฯ โยนสำนักงบฯ กรมบัญชีกลาง ตอบ 'ทนายอานนท์' ปมงบฯ สถาบันกษัตริย์</li>
</ul>
</div>
<p style="text-align: center;"><img alt="" src="
https://live.staticflickr.com/65535/53436487702_192f5f939a_b.jpg" /></p>
<p>อย่างไรก็ตามเดือนธันวาคมปีเดียวกัน สำนักปลัดนายกรัฐมนตรี ได้มีหนังสือตอบกลับอานนท์ โดยระบุว่า ได้ประสานส่งเรื่องให้ สำนักงบประมาณและกรมบัญชีกลาง ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบกรณีที่ท่านได้มีหนังสือกราบเรียนนายกฯ ดังกล่าว เพื่อรับทราบข้อมูลประกอบการพิจารณาดำเนินการตามหน้าที่เเละอำนาจต่อไปเเล้ว</p>
<p>
<img alt="" src="[url]https://live.staticflickr.com/65535/50184785531_8c5c742eb4_b.jpg" />[/url]</p>
<p style="text-align: center;"><span style="color:#e67e22;">อานนท์ ยังปราศรัยวันที่ 3 ส.ค.63 ซึ่งมีข้อเรียกร้องหนึ่งถึงการตรวจสอบงบประมาณเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์</span></p>
<p>3 ส.ค.2563 อานนท์ ยังปราศรัยระหว่างกิจกรรม 'เสกคาถาผู้พิทักษ์ปกป้องประชาธิปไตย' ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ซึ่งเป็นการปราศรัยถึงข้อเรียกร้องต่อสถาบันกษัตริย์อย่างตรงไปตรงมาในที่สาธารณะครั้งแรกในช่วงการเคลื่อนไหลระรอกปี 63 ซึ่งตอนหนึ่งอานนท์ ยังกล่าวถึงข้อเรียกร้องเกี่ยวกับงบส่วนนี้ว่า การใช้งบประมาณที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นต้องถูกตรวจสอบตามระบอบ โดยการจัดกิจกรรมนี้นอกจาก อานนท์แล้ว ผู้จัดยังถูกฟ้องในข้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์ตามมาตรา 112, ยุยงปลุกปั่น ตามมาตรา 116, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ, พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ, พ.ร.ก ฉุกเฉินฯ, พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาฯ ด้วย</p>
<p>จากนั้นวันที่ 10 ส.ค.63 นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในนามแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม จัดชุมนุมโดยใช้ชื่อกิจกรรม "ธรรมศาสตร์จะไม่ทน" ที่ ศูนย์รังสิต ซึ่งมีข้อเรียกร้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ 10 ข้อ โดย 1 ใน 10 ข้อ ระบุว่า “ตัดลดงบประมาณแผ่นดินที่จัดสรรให้กับสถาบันกษัตริย์ให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจของประเทศ” จากนั้นเป็นต้นมาการเคลื่อนไหวของกลุ่มเยาวชนและประชาชนที่ชู 3 ข้อเรียกร้อง คือ 1. ให้พล.อ.ประยุทธ์ ลาออกจากนายกฯ 2. จัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ และ 3 ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ก็เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง จนมีการฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญและวันที่ 10 พ.ย.64 ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 63 ซึ่งมีอานนท์ นำภา, ภาณุพงศ์ จาดนอก และ ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล เป็นผู้ปราศรัย เป็นการกระทำที่เป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขด้วย</p>
<h2><span style="color:#2980b9;">งบสถาบันฯ ในมุมของ iLaw และ Common School ที่ไม่ใช่ตัวบุคคล แต่มองในเชิงสถาบัน</span></h2>
<p>สำหรับรายงานเกียวกับงบสถาบันฯ นั้น iLaw หรือโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน เคยนำเสนอ เมื่อวันที่ 3 ม.ค. 64 โดยดูย้อนหลังไปถึง 10 ปี ขณะที่ Common School ซึ่งหน่วยงานทางความคิดของคณะก้าวหน้าก็ เผยแพร่ข้อมูลในชื่อ "เผยละเอียดทุกรายการ ทุกโครงการ งบประมาณที่เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์! ยอดรวมทั้งสิ้น 36,388.74 ล้านบาท" ซึ่งระบุ ผู้ค้นและเรียบเรียงข้อมูล คือ เอกวิทย์ ทองดีวรกุล เมื่อวันที่ 22 ส.ค.65</p>
<div class="more-story">
<ul>
<li>
iLaw เปิดงบประมาณสถาบันพระมหากษัตริย์ 10 ปีย้อนหลัง (บางส่วน)</li>
<li>
Common School เปิดงบที่เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์ ตามร่าง พ.ร.บ.งบฯ 66 ยอดรวม 3.6 หมื่นล้าน</li>
</ul>
</div>
<p>บุณยนุช มัทธุจักร ผู้จัดทำรายงานของ iLaw อธิบายการนับงบประมาณสถาบันกษัตริย์ของเธอกับประชาไทไว้เมื่อปลายปี 65 ว่า เป็นการเปรียบเทียบกันระหว่าง อิงสถานะบุคคล และอิงกับตัวพระมหากษัตริย์ รวมถึงตัวสถาบันที่เป็นบุคคลรอบข้างว่ารูปแบบการใช้ชีวิตแบบนี้เขาจำเป็นต้องใช้งบประมาณอะไรบ้างเพื่อให้ดำรงอยู่หรือปฏิบัติหน้าที่ได้</p>
<p>หากแบ่งเป็นกรอบเป็น 6 ส่วนใหญ่ๆ 1. เรื่องเกี่ยวกับพระราชฐาน ที่พำนัก 2. องคาพยพที่ใกล้ชิดกับสถาบันพระมหากษัตริย์ หมายถึงตัวองค์กรที่ทำหน้าที่เลขาฯ อย่างสำนักพระราชวัง สำนักราชเลขาธิการ ก่อนตั้งส่วนราชการในพระองค์ 3. งบฯ การเสด็จพระราชดำเนิน 4. การถวายความปลอดภัย 5. งบฯ การประชาสัมพันธ์ และ 6. งบฯ ที่เกี่ยวกับการดำเนินการตามพระบรมราโชบายหรือโครงการจิตอาสา 904</p>
<p>จุดตัดของ iLaw ในการกำหนดกรอบวิธีคิดในการนับงบสถาบันฯ คือ สถาบันได้ประโยชน์จากงบประมาณเหล่านั้นหรือไม่ ซึ่งประโยชน์กาจจะไม่ใช่ประโยชน์โดยตรง อาจเป็นประโยชน์รอบๆ ตัว เช่น สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกหรือมีคนถวายความปลอดภัย แต่อีกอย่างที่สำคัญคือการจะนับงบสถาบันฯต้องดูวัตถุประสงค์ในการใช้งบฯนั้นๆ ด้วย สมมติมีการตั้งสถานที่หากตั้งสถานที่แล้วมีห้อยชื่อ 'เฉลิมพระเกียรติ' ก็อาจไม่สามารถนับว่าเป็นงบฯ สถาบันได้ แม้การตั้งโดยห้อยชื่อในยุคเริ่มต้นอาจจะต้องการประชาสัมพันธ์ แต่เราก็ต้องไปดูในเนื้อนั้นด้วยว่างบฯที่ลงกับสถานที่นั้นถูกนำไปใช้เกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์จริงๆ หรือไม่ หรือมันเป็นการใช้อย่างอื่นแต่ว่าได้มีการห้อยชื่อเฉลิมพระเกียรติเฉย เช่น รพ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ แม้ว่าชื่อจะห้อยคำว่า "เฉลิมพระเกียรติ" มีคีย์เวิร์ด แต่งบฯก็ใช้ไปกับประชาชนที่เขามีสิทธิการรักษาในพื้นที่</p>
<p>อีกแบบที่ไม่ค่อยนับรวมเป็นงบฯสถาบันเท่าไหร่ คือ งบฯ เครื่องราชฯ แม้จะมองเป็นงบฯสถาบันก็ได้เพราะเป็นการสืบสารวัฒนธรรมรากเหง้าจากระบบเดิมที่เกี่ยวข้องกับสถาบันฯ แต่ทาง iLaw ก็ไม่ได้นับ เพราะคนที่ได้ประโยชน์ปลายทางจริงๆ คือคนที่ใส่เครื่องราชฯ มากกว่า ซึ่งก็ยังเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันได้อยู่ ว่ามันควรนับหรือไม่ควรนับ ส่วนโครงการในพระราชดำริที่หมายเหตุว่าไม่ได้นำมาคำนวนงบสถาบันฯ นั้น บุณยนุช กล่าวว่าเป็นเหตุผลเรื่องการทำงานมากกว่าเพื่อให้งานเสร็จทัน แต่ส่วนตัวคิดว่าหากจะนับโครงการพระราชดำริเป็นงบสถาบันฯ ก็ยังเป็นสิ่งที่ถกเถียงกันได้อยู่เช่นกัน</p>
<p style="text-align: center;"><img alt="" src="
https://live.staticflickr.com/65535/50809527197_dc7c6f652d_b.jpg" /></p>
<p style="text-align: center;"><span style="color:#e67e22;">กราฟิกประกอบรายงานของ iLaw เผยแพร่เมื่อ 3 ม.ค. 64</span></p>
<p>กรณีที่ iLaw ทำงบสถาบันฯ นับย้อนหลังไปถึง 10 ปี นั้น นอกจากยอดที่เพิ่มขึ้นแล้ว บุณยนุช กล่าวว่า 10 ปี อาจเป็นตัวเลขที่มีข้อบกพร่องอยู่จากที่เห็นช่วง 3 รัฐบาล แต่สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนั้นก็เห็นไม่ครบ สำหรับเชิงตัวเลขนั้น ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีการตั้งงบประมาณสถาบันฯ ค่อนข้างสูง แต่ว่าในเชิงรายละเอียดก็พบว่าในแง่หน่วยรับงบประมาณบางอย่างมีการเปลี่ยนแปลง เช่น งบประชาสัมพันธ์หรือพีอาร์ก็มีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นภายใต้ยุครัฐบาลประยุทธ์</p>
<p>อีกสิ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงในการจัดสรรงบสถาบันฯ คือ ในรัฐบาลประยุทธ์ มีการโอนย้ายหน่วยงานอย่างสำนักราชเลขาธิการ สำนักพระราชวัง และกรมราชองครักษ์และหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ที่อยู่ภายใต้สังกัดกระทรวงกลาโหม รวมไปถึงตำรวจราชสำนักภายใต้สำนักงานตำรวจแห่งชาติมาเป็นส่วนราชการในพระองค์ เมื่อมีการฟอร์มรูปแบบหน่วยงานใหม่ภายใต้ พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการในพระองค์ ทำให้เกิดงบประมาณที่ไปตั้งในหน่วยงานใหม่ซึ่งมันไม่มีในยุครัฐบาลก่อนหน้านี้ และอีกอย่างเมื่อไปตั้งในหน่วยงานใหม่ก็จะมีงบประมาณบางอย่างที่ยังหลงเหลือจากหน่วยงานเดิมที่เขาโอนย้ายมา ทำให้เกิดการซ้ำซ้อนในการตั้งงบประมาณกับหน่วยงานเดิม เช่น กระทรวงกลาโหมอาจจะมีการตั้งงบประมาณซ้ำซ้อนเรื่องการถวายความปลอดภัยทั้งที่นำกำลังพลไปส่วนราชการในพระองค์แล้ว และส่วนราชการในพระองค์ก็ควรจะรวมถึงเงินเดือนของข้าราชการที่รักษาความปลอดภัยแล้ว แต่กลับปรากฏมีงบส่วนนี้ห้อยอยู่ที่กระทรวงกลาโหมอีก ซึ่งเมื่อดูงบประมาณส่วนราชการในพระองค์ที่มีการชี้แจงกับกรรมาธิการตอนพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 65 และ 66 พบว่างบประมาณส่วนราชการในพระองค์ประมาณ 90% เป็นเงินเดือนของข้าราชการ จึงทำให้เข้าใจได้ว่างบประมาณส่วนราชการในพระองค์ตั้งแต่งบเเดือน อาจจะมีส่วนอื่นบ้างแต่เล็กน้อย อาจส่งผลให้งบประมาณที่เกี่ยวกับการถวายความปลอดภัย เช่น การจัดซื้อวัสดุต่างๆ มันถึงไปห้อยที่กระทรวงกลาโหม เนื่องจากส่วนราชการในพระองค์ไม่ครอบคลุม</p>
<p>"ถ้าเราจะต้องรักษาพระมหากษัตริย์องค์ใดองค์หนึ่งให้มีชีวิตอยู่ได้เพื่อเป็นประมุขของรัฐ เราต้องรักษาความปลอดภัย เพราะฉะนั้นคนที่ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับภารกิจเพื่อการมีอยู่ของพระมหากษัตริย์โดยตรง เพราะฉะนั้นเราควรนับงบประมาณขององคาพยพของคนที่ทำหน้าที่เหล่านั้นว่าเป็นงบสถาบันฯ มันไม่ได้หมายความว่าการนับงบสถาบันฯมันจะจบแค่ว่าเงินไปเข้ามือสถาบันฯ โดยตรง ส่วนตัวมองว่าแม้กระทั้งทำระบบบางอย่างให้สถาบันสามารถอยู่ต่อไปได้ สามารถทำงานมีกลไกขับเคลื่อนต่อไปได้มันก็ต้องนับ" บุณยนุช กล่าว</p>
<p>ขณะที่ เอกวิทย์ ผู้จัดทำรายงานงบสถาบันฯ ของ Common School เปิดเผยถึงกรอบในการนับงบประมาณของเขากับประชาไทไว้เมื่อปลายปี 65 เช่นกันว่า อะไรก็ตามที่ไม่มีการอ้างอิงใดๆ กับประมุขแล้วมันไม่น่าจะเกิดโครงการนั้นได้ คิดว่านี่เป็นงบสถาบันฯ ยกตัวอย่าง พิพิธภัณฑ์ไม้มีค่าที่กำลังก่อสร้าง แม้ว่าไม่ได้มีชื่อโดยตรง แต่ที่มาที่ไปของพิพิธภัณฑ์นี้เกี่ยวข้องกับประมุขอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่โครงการอาคารเฉลิมพระเกียรติหลายๆ แห่งแม้ว่าจะมีชื่อประมุขอยู่ ตนมองว่าไม่ใช่งบประมุขเพราะหลายที่มันต้องมีการก่อสร้างอยู่แล้ว เช่น โรงเรียนต่างๆ ถ้าไม่ใส่ชื่อประมุข อาคารเรียนก็ได้สร้างอยู่แล้ว</p>
<p>ในกรณี โครงการชลประทาน “ในพระราชดำริ” อย่างไรเสียก็ต้องเป็นงบประมุข เพราะความหมายมันคือโครงการที่เป็น “นโยบาย” ของประมุข ซึ่งเปรียบเสมือนการบริหารงานโดยประมุข การอ้างว่ารัฐบาลเป็นคนบริหารโครงการนี้เองโดยรับเอานโยบายจากประมุขมาทำ อย่างไรก็ผิดหลักการประชาธิปไตย ซึ่งในบริบทประชาธิปไตยมันอธิบายไม่ได้ งบส่วนนี้จึงควรเป็นของประมุขอย่างแน่นอน เป้าหมายคือการนำนโยบายประมุขไปทำต่อ เปรียบเสมือนนักการเมืองคนหนึ่งที่ใช้นโยบายนี้หาเสียงต่อไปเรื่อยๆโดยไม่ได้ยึดโยงกับนโยบายรัฐบาลที่ประชาชนเป็นคนเลือก เนื่องจากหลักการ King can do no wrong ที่รัชกาลที่ 9 เคยพูดไว้นั่นเอง โครงการ “ในพระราชดำริ” ไม่เพียงแต่เป็นงบประมุข แต่เป็นงบที่ประมุขไม่ได้ใช้กำไรจากทรัพย์สินประมุขลงทุนเองเสียด้วยซ้ำ ซึ่งในที่สุดแล้วประมุขสามารถที่จะทำได้หากใช้เงินส่วนพระองค์ เหมือนกับที่อังกฤษมีโครงการทางสังคมของตัวเอง ก็ใช้งบประมาณของวังเอง ส่วนญี่ปุ่นนั้นมีกรอบที่มากจนทำอะไรแทบไม่ได้</p>
<p>ส่วนอื่นๆ ก็คืองบโครงการจากแนวคิดของคนในพระราชวงศ์ ก็ควรเป็นงบประมุขเช่นกัน ในอีกนัยหนึ่งถ้าไม่มีระบบประมุขที่เป็นกษัตริย์คงไม่มีงบตรงนี้เกิดขึ้น เช่น งบเครื่องเครื่องราชอิสริยาภรณ์</p>
<p style="text-align: center;"><img alt="" src="
https://live.staticflickr.com/65535/52303540754_ae9139fd5b_k.jpg" /></p>
<p style="text-align: center;"><span style="color:#e67e22;">ภาพที่ Common School เผยแพร่เมื่อวันที่ 22 ส.ค.65</span></p>
<p>ผู้จัดทำรายงานงบสถาบันฯ ของ Common School ระบุด้วยว่า ในความเป็นจริง หากจากเปรียบเทียบงบประมาณกับอังกฤษ งบสถาบันฯไทยควรจะขึ้นไปถึง 5 หมื่นล้านอย่างน้อยๆ เป็นการรวมงบ สามหมื่นล้านจากงบสามล้านล้าน และงบจากกำไรทรัพย์สินพระฯอีกประมาณ สองหมื่นล้านอย่างต่ำๆ อาจจะมากกว่านี้ ไม่มีงานศึกษาแน่ชัด แต่ถ้าคิดจากทรัพย์สินที่เคยรายงานกว่า ล้านล้านบาท หากกำไรปีละ 1% ก็ได้แล้ว 3 หมื่นล้านบาท สุดท้ายแล้วข้อถกเถียงเรื่องทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์จะเป็นของร้อน ว่าสรุปเป็นของส่วนพระองค์หรือเป็นของรัฐ นี่คือระเบิดเวลาที่กำลังนับถอยหลัง แม้อานนท์ นำภา จะเคยนำมาอภิปรายไปแล้วก็ตาม แต่ถูกทำให้ลืมๆ ไปโดยนิติสงคราม</p>
<p>แม้กรอบการนับงบสถาบันฯ ของประชาไท พรรคกาวไกล iLaw และ Common School อาจจะไม่เหมือนกัน 100% แต่ในส่วนใหญ่ก็เห็นไปในทางเดียวกัน โดยเฉพาะไม่ได้มองเพียงแค่ตัวบุคคลหรือกษัตริย์ แต่มองที่องคาพยพหรือกลไกและเครือข่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบสร้างความเป็นสถาบันขึ้นมา</p>
<h2><span style="color:#2980b9;">ขณะที่อีกฝ่ายชี้บิดเบือนงบฯ สถาบันกษัตริย์ สร้างวาทกรรม ‘เงินรายปี’</span></h2>
<p>อย่างไรก็ตามไม่ได้มีเพียงกระแสทำความเข้าใจทรัพยากรหรือกลไกของรัฐผ่านงบประมาณส่วนนี้ไปทางเดียวเท่านั้น แต่ยังมีการโต้แย้ง โดยเฉพาะ อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ นักวิชาการคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือนิด้า และยังเป็นหนึ่งในคณาจารย์สถาบันทิศทางไทย ออกมาเขียนบทความโต้ รวมทั้งรวมเล่มเป็นหนังสือ ‘สถาบันกษัตริย์ : ความจริงที่ถูกบิดเบือน’ ที่จัดเปิดตัวไปเมื่อวันที่ 13 ต.ค.65 ในงานดังกล่าว อานนท์ กล่าวว่า งบประมาณถูกหยิบยกขึ้นมา เนื่องจากง่ายที่จะทำให้คนผิดใจกัน ดังนั้น จึงมีความพยายามใส่ไฟ และบิดเบือน เรื่องงบประมาณของสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยการประดิษฐ์วาทกรรมใหม่ คือ ‘เงินรายปี’</p>
<div class="more-story">
<ul>
<li>
สรุปเสวนาเปิดตัวหนังสือ 'สถาบันกษัตริย์: ความจริงที่ถูกบิดเบือน'-มองเรื่อง ‘กษัตริย์’ ผ่านแว่น ‘อนุรักษ์นิยม’</li>
</ul>
</div>
<p>นักวิชาการนิด้า แย้งว่าเขาไม่เคยได้ยินคำว่า “เงินรายปี” เพราะในประเทศไทยปกติจะมีคำว่า “เงินปี” หรือเป็นเงินที่รัฐบาลถวายให้องค์พระมหากษัตริย์ เพื่อใช้เป็นการส่วนตัว และพระราชทานให้พระบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งมีต่างประเทศก็มีเหมือนกันอย่างในประเทศอังกฤษ และญี่ปุ่น และเงินปีส่วนนี้ไม่ได้จำนวนมาก นอกจากนี้ จะยังมีงบประมาณประจำปีของหน่วยราชการในพระองค์ด้วย</p>
<p>มีคนที่พยายามเอางบประมาณส่วนราชการในพระองค์ภายใต้สำนักพระราชวัง สำนักองคมนตรี และหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ มารวมกัน ซึ่งทั้ง 3 หน่วยงานมีบุคลากรจำนวนราว 14,000 คน และมาเรียกงบฯ ทั้งหมดว่า “เงินรายปี” และมีการนำมาตีความว่าเป็น “เงินปี” ซึ่งเป็นเงินที่ในหลวงใช้ส่วนพระองค์ ซึ่งอานนท์ มองว่า ‘เงินปี’ และงบประมาณส่วนราชการในพระองค์ฯ สำนักองคมนตรี และหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยฯ เป็นงบฯ คนละส่วน ต้องมองแยกกัน</p>
<p>
<img alt="" src="[url]https://live.staticflickr.com/65535/52437089609_907e95d5cf_b.jpg" />[/url]</p>
<p style="text-align: center;"><span style="color:#e67e22;">ภาพ อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ (ขวา) ในงานเปิดตัวหนังสือ ‘สถาบันกษัตริย์ : ความจริงที่ถูกบิดเบือน’ ที่เขาเป็นผู้เขียน เมื่อวันที่ 13 ต.ค.65</span></p>
<p>“อันหนึ่งเป็นเรื่องใช้ส่วนพระองค์ คือ เงินปี ส่วนเงินงบประมาณประจำปี เป็นเรื่องของงบประมาณแผ่นดิน กับราชการส่วนพระองค์ มาประดิษฐ์คำใหม่ว่า ‘เงินรายปี’ ให้คนงงเล่นๆ ใช้วิธีการในการโกหกได้ง่ายที่สุดคือการประดิษฐ์คำพูดใหม่” อานนท์ กล่าว</p>
<p>นอกจากนี้ อานนท์ ระบุว่าในความเป็นจริง พระมหากษัตริย์และพระราชินีไม่เคยรับเงินปีที่รัฐบาลถวาย และพระราชทานคืน ‘กรมบัญชีกลาง’ ทั้งหมด และเงินในส่วนที่ถวายให้พระบรมวงศานุวงษ์ ในหลวงใช้เงินส่วนพระองค์เองทั้งหมด ซึ่งไม่เกี่ยวกับที่รัฐบาลถวาย</p>
<p>สืบเนื่องจากเมื่อปี 2563 ทางรัฐบาลมีการออกพระราชกำหนดโอนอัตรากำลังพลและงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก ไปเป็นหน่วยบัญชาการความปลอดภัยรักษาพระองค์ ทำให้ฝ่ายต่อต้านสถาบันฯ ออกมาวิจารณ์ว่าเป็นการสร้างกองทัพส่วนพระองค์</p>
<p>อานนท์ กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า นี่เป็นเรื่องปกติที่ประมุขของทุกประเทศต้องได้รับการคุ้มครอง อย่างในสหรัฐฯ การดูแลความปลอดภัยของประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ปีหนึ่งใช้งบฯ ประมาณ 4 หมื่นกว่าล้านบาท และมีคนในหน่วยงานหลายหมื่นคน</p>
<p>อานนท์ ระบุว่า เป็นการโอนเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารจำนวน 8,000 รายเท่านั้น ซึ่งไม่ได้เยอะมากพอจะไปตั้งเป็นกองทัพส่วนพระองค์ตามที่ถูกกล่าวอ้าง และเป็นคนเดิมที่ถวายงานอารักษาให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่แล้ว และการโอนอัตรากำลังพลครั้งนี้ โอนมาแค่กำลังพล และไม่มีการโอนอาวุธยุทโธปกรณ์มาด้วย</p>
<p>นักวิชาการสถิติศาสตร์ ระบุว่า ตามประวัติศาสตร์ กองพันทหาร ราบ 1 และราบ 11 แต่เดิมเป็นทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ของรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 แต่พอเปลี่ยนแปลงการปกครองในสมัย 2475 คณะราษฎรกังวลว่า พระเจ้าแผ่นดินจะมีทหารรักษาความปลอดภัยในมือ ก็มีการโอนทหารไปขึ้นอยู้กับกองทัพบก สุดท้ายก็แค่โอนกลับไปอยู่ทางพระราชวังเหมือนเดิม เป็นกองบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์</p>
<h2><span style="color:#2980b9;">ความเคลื่อนไหวในสภาและกรรมาธิการ รวมทั้งข้อเสนอ ‘แผนบูรณาการโครงการที่เกี่ยวข้องกับสถาบันฯ’ ของก้าวไกลที่ไม่ถูกนำไปใช้</span></h2>
<p>อีกด้านคือการอภิปรายงบประมาณในสภาโดยเฉพาะบทบาทของ สส.พรรคก้าวไกล และกรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบฯ เริ่มจาก 20 ส.ค. 63 ในการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ พิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2564 เป็นการพิจารณางบประมาณส่วนราชการในพระองค์ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ในฐานะที่ปรึกษา กมธ. ซึ่งเป็นสัดส่วนพรรคก้าวไกล ร่วมซักถามโดยขอให้สำนักงบประมาณช่วยชี้แจงว่า ทำไมงบประมาณส่วนราชการในพระองค์เพิ่มขึ้นในอัตราสูงมาก ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่สำนักงบฯ ชี้แจงว่า ที่วงเงินเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นงบบุคลากรของหน่วยงานที่รับโอนมาตาม พ.ร.ก. โอนอัตรากำลังพลและงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นส่วนราชการในพระองค์ พ.ศ. 2562 ด้วย</p>
<p>
<img alt="" src="[url]https://live.staticflickr.com/65535/51218297223_49c86491d6_b.jpg" />[/url]</p>
<p style="text-align: center;"><span style="color:#e67e22;">ภาพ เบญจา แสงจันทร์ ขณะอภิปราย งบประมาณค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ในปีงบประมาณ 2565 เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.64</span></p>
<p>ขณะที่ในสภาวันที่ 1 มิ.ย.64 ระหว่างประชุมเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ 2565 นั้น เบญจา แสงจันทร์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว โดยระบุว่า เมื่อพูดถึงการกำหนดวงเงินของหน่วยงานรับงบประมาณต่างๆ ที่ตั้งงบประมาณค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ในปีงบประมาณ 2565 มีงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับสถาบันอยู่อย่างน้อยๆ 33,712,000,000 บาท (สามหมื่นสามพันเจ็ดร้อยสิบสองล้านบาท) เป็นรายการตามที่แสดงเป็นชื่อโครงการในเอกสารงบประมาณ ยังไม่ได้รวมงบที่เกี่ยวข้องกับสถาบันที่อาจซ่อนอยู่ในหมวดหมู่โครงการก่อสร้างที่มีราคาต่อหน่วยต่ำกว่า 10 ล้านบาท หรืออื่นๆ ในจำนวนนี้แบ่งงบออกได้เป็น 5 ประเภท คือ 1. งบพิทักษ์รักษาและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ 2. งบถวายความปลอดภัย 3. งบส่วนราชการในพระองค์ 4. งบโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริและโครงการหลวงต่าง ๆ 5. งบอื่น ๆ เช่น พระราชทานเพลิงศพ เครื่องราชอิสริยาภรณ์</p>
<p>“ต้องย้ำก่อนว่า เงินจำนวนสามหมื่นกว่าล้านนี้ไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด แต่ประเด็นคือผลผลิตของการตั้งงบประมาณ และประสิทธิภาพของโครงการที่ควรจะมีการพินิจพิจารณาอย่างรอบคอบ เหมาะสม เปิดเผย โปร่งใส ถูกต้องและตรวจสอบได้ เพื่อให้ประโยชน์สูงสุดนั้นตกเป็นของประชาชน โดยเฉพ