ข้อความเดิมจาก อ.ฐิตา ครับ บอร์ดเก่า
...ค.ศ.2012
โลกแตกแล้วอย่างไร ?
โลกไม่แตกแล้วอย่างไร ?
ขณะที่ ภาพยนตร์ 2012 วันสิ้นโลก ในปี 2009 กำลังเริ่มฉาย...
คนกลุ่มหนึ่งตั้งปัญหาขึ้นมาในใจว่า
โลกจะแตกจริงเหรอ ?
เมื่อโลกแตก เราจะตายไหม ?แล้ว
เราจะตายก่อนโลกแตกหรือเปล่า ?
เป็นที่แน่ชัดว่า การตั้งปัญหาเช่นนี้ มิได้เกิดขึ้นเมื่อ กระแสแห่งภาพยนตร์ 2012 วันสิ้นโลก ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อหวังปลุกระดมประชากรทุกทวีปให้หันหน้ามาสนใจสุขภาพและใส่หน้ากากให้โลกเล็ก ๆ ใบนี้ !
หากแต่มันถูกขบคิดขึ้นก่อน ภาพยนตร์อีกเรื่องที่ชื่อว่า The Day After Tomorrow วิกฤติวันสิ้นโลก ในปี 2004
ก่อนจากนั้นถอยไปไกล...จนกระทั่ง ในสมัยพุทธกาล ปัญหาว่า โลกเที่ยงหรือ ? โลกไม่เที่ยงหรือ ? ก็ถูกถามตรง ๆ ต่อหน้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ่อยครั้ง ถึงกระนั้น พระองค์ก็ไม่พยากรณ์ /1 และได้เปรียบเทียบความเห็นที่ชี้ชัดว่า โลกเที่ยง! และ โลกไม่เที่ยง! กับเรื่อง ตาบอดคลำช้าง /2 ให้ฟัง
เรื่องเคยมีมาแล้ว ในเมืองสาวัตถี พระราชาองค์หนึ่งตรัสกับราชบุรุษคนหนึ่งว่า
มานี่ซิ บุรุษผู้เจริญ ! คนตาบอดแต่กำเนิด ในเมืองสาวัตถีนี้ มีประมาณเท่าใด ท่านจงให้คนทั้งหมดนั้น มาประชุมกันในที่แห่งหนึ่ง
บุรุษนั้น ทำตามพระประสงค์แล้ว
พระราชา ได้ตรัสสั่งกะบุรุษนั้นว่า ดูก่อนพนาย ! ถ้าอย่างนั้น ท่านจงแสดงซึ่งช้าง แก่คนตาบอดแต่กำเนิดเถิด
ราชบุรุษนั้นได้ทำตามพระประสงค์
โดยการให้คนตาบอดแต่กำเนิดพวกหนึ่ง คลำซึ่ง
ศีรษะช้าง
หูช้าง
งาช้าง
งวงช้าง
กายช้าง
เท้าช้าง
หลังช้าง
โคนหางช้าง
พวงหางช้าง
พร้อมกับบอกว่า “นี่แหละช้าง” ดังนี้
ครั้นบุรุษนั้นแสดงซึ่งช้าง แก่พวกคนตาบอดแต่กำเนิด ดังนั้นแล้ว ได้เข้าไปกราบทูลพระราชาว่า
“พวกคนตาบอดแต่กำเนิดเหล่านั้น ได้เห็นช้างแล้ว
ข้าแต่เทวะ ! ขอพระองค์จงทรงทราบซึ่งสิ่งอันพึงกระทำต่อไป ในกาลนี้เถิด พระเจ้าข้า !”
พระราชาได้เสด็จไปสู่ที่ประชุมแห่งคนตาบอดแต่กำเนิด แล้วตรัสว่า
“พ่อบอดทั้งหลาย ! พ่อเห็นช้างแล้วหรือ?”
ครั้นได้ทรงรับคำตอบว่า เห็นแล้ว จึงตรัสว่า
“ถ้าเห็นแล้ว พ่อบอดทั้งหลาย จงกล่าวดูทีว่า ช้างนั้นเป็นอย่างไร ?”
คนตาบอดพวกใด ได้คลำ ศีรษะช้าง ก็กล่าวว่า ข้าแต่เทวราชเจ้า ! ช้างเหมือน หม้อ
คนตาบอดพวกใด ได้ คลำหูช้าง ก็กล่าวว่า ข้าแต่เทวราชเจ้า ! ช้างเหมือน กระด้ง
คนตาบอดพวกใด ได้คลำ งาช้าง ก็กล่าวว่า ข้าแต่เทวราชเจ้า ! ช้างเหมือน ผาล
คนตาบอดพวกใด ได้คลำ งวงช้าง ก็กล่าวว่า ข้าแต่เทวราชเจ้า ! ช้างเหมือน งอนไถ
คนตาบอดพวกใด ได้คลำ กายช้าง ก็กล่าวว่า ข้าแต่เทวราชเจ้า ! ช้างเหมือน พ้อม
คนตาบอดพวกใด ได้คลำ เท้าช้าง ก็กล่าวว่า ข้าแต่เทวราชเจ้า! ช้างเหมือน เสา
คนตาบอดพวกใด ได้คลำ หลังช้าง ก็กล่าวว่า ข้าแต่เทวราชเจ้า! ช้างเหมือน ครกกระเดื่อง
คนตาบอดพวกใด ได้คลำ โคนหางช้าง ก็กล่าวว่า ข้าแต่เทวราชเจ้า!ช้างเหมือน สากตำข้าว
คนตาบอดพวกใด ได้คลำ พวงหางช้าง ก็กล่าวว่า ข้าแต่เทวราชเจ้า! ช้างเหมือน ไม้กวาด
คนตาบอดแต่กำเนิดทั้งหลายเหล่านั้นเถียงกันอยู่ว่า
ช้างเป็นอย่างนี้ ช้างมิใช่อย่างนี้ บ้าง
ช้างมิใช่อย่างนี้
ช้างเป็นอย่างนี้ ต่างหาก
ฉันใด ก็ฉันนั้น การขบคิดและถกเถียงปัญหาเกี่ยวกับโลกแล้วยืนยันความเห็นว่า โลกเที่ยง! หรือ โลกไม่เที่ยง! อย่างใดอย่างหนึ่ง โดยส่วนเดียว ก็เป็นอย่างเดียวกับ เรื่อง ตาบอดคลำช้าง นี้นี่แหละ ซึ่ง
ฝ่ายที่เห็นว่า “โลกเที่ยง!” ก็ต้องอ้างว่า
โลกย่อมไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดในระยะเวลา คือ โลกมีอยู่แล้ว
ไม่มีการเกิดปรากฏ ไม่มีการเสื่อม(แตก)ปรากฏ และเมื่อตั้งอยู่ก็ไม่มีภาวะอย่างอื่นปรากฏ /3 ส่วน
ฝ่ายที่เห็นว่า “โลกไม่เที่ยง!” ก็ต้องอ้างว่า
โลกย่อมมีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดในระยะเวลา คือ
มีการเกิดปรากฏ มีการเสื่อม(แตก)ปรากฏ และเมื่อตั้งอยู่ก็มีภาวะอย่างอื่นปรากฏ /3
เมื่อทั้งสองฝ่ายเชื่อในความเห็นของตน ทางใดทางหนึ่งซึ่งต่างกันโดยสิ้นเชิง อย่างเส้นขนานที่ที่ไม่มีวันตัดกันแล้ว ก็ย่อมเกิดการบาดหมาง ทะเลาะกัน วิวาทกัน ทิ่มแทงซึ่งกันและกันอยู่ด้วยหอกคือ ปาก เป็นธรรมดา ! /2
เหตุเพราะต่างก็จ่อมจมอยู่ในความเห็นที่สุดโต่ง สุดขั้วทั้งคู่ ! เปรียบได้กับปลาที่ถูกตาข่ายของชาวประมงครอบไว้ ทำให้ว่ายไปวนมาอยู่ในที่นั้น
ขณะเดียวกัน หากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์ลงไปชัดว่า โลกเที่ยง! หรือ โลกไม่เที่ยง! แล้ว
คำถาม ต่อเนื่องที่สำคัญมากกว่า ! คือ
โลกไม่เที่ยง(โลกแตก) แล้วอย่างไร?
โลกเที่ยง(โลกไม่แตก) แล้วอย่างไร?
พุทธวจนะข้างล่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแก่ มาลุงกยบุตรที่เชตวัน /4 น่าจะเป็นคำตอบได้ดีที่สุด